Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore วินัยเชิงบวก

วินัยเชิงบวก

Published by siriwanmy1993, 2020-09-23 01:08:03

Description: รายงานการพัฒนาตนเอง

Keywords: วินัยเชิงบวก

Search

Read the Text Version

รายงานผล ความสขุ ในชน้ั เรียนสรา้ งได้..ดว้ ยวินยั เชิงบวก ของ นางสาวศริ ิวรรณ มาลยารมย์ ตาแหนง่ ครูโรงเรยี นบา้ นสไุ หงโก-ลก โรงเรยี นบ้านสไุ หงโก-ลก สานักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานราธวิ าส เขต 2 สานกั งานคณะกรรมการการศกึ ษาขั้นพ้นื ฐาน กระทรวงศกึ ษาธิการ

ก คานา เอกสารเลม่ นจี้ ัดทาข้นึ เพื่อรายงานผลการพัฒนาตนเองในการศกึ ษาคน้ ควา้ หาความรดู้ ้วย ตนเอง เรื่อง ความสุขในช้นั เรียนสรา้ งได้..ด้วยวินยั เชิงบวก โดยการศกึ ษาเก่ียวกับการสรา้ งวนิ ัยเชิง บวกให้กับผ้เู รียน ซึง่ จะชว่ ยให้เด็กเติบโตได้อย่างมคี ุณภาพและนาไปสู่ความสาเรจ็ และเทคนิคการ สรา้ งวนิ ยั เชิงบวกในชั้นเรียน เพ่ือใหน้ กั เรยี นคิดเป็น ทาเปน็ เรียนรเู้ ปน็ แกป้ ญั หาเป็น อยูก่ บั คนอื่น เปน็ และหาความสขุ เปน็ กจ็ ะอยใู่ นสังคมโลกได้อย่างมีคณุ ภาพและนาไปสู่ความสาเร็จในชวี ิต หวังไวเ้ ปน็ อยา่ งย่ิงวา่ รายงานผลเล่มน้ี จะเป็นประโยชน์ในการพฒั นางาน การปรับ ประยุกตใ์ ช้ในการจดั การเรยี นการสอน หากมีขอ้ เสนอแนะหรอื ข้อแนะนาขอบพระคุณเปน็ อย่างสูงมา ณ โอกาสนี้ นางสาวศิริวรรณ มาลยารมย์ ผู้รายงาน

สารบญั ข คานา หน้า สารบัญ บนั ทึกขอ้ ความ ก รายงานผลการคน้ คว้า ข แหล่งอ้างอิง 1 2 10

บันทึกขอ้ ความ สว่ นราชการ โรงเรยี นบ้านสไุ หงโก-ลก สานักงานเขตพืน้ ท่ีการศกึ ษาประถมศกึ ษานราธิวาส เขต 2 ที่ วนั ท่ี 23 ธนั วาคม 2562 เรื่อง รายงานผลการศกึ ษาดว้ ยตนเอง เรอ่ื ง ความสขุ ในชน้ั เรยี นสร้างได.้ .ด้วยวินยั เชิงบวก เรียน ผูอ้ านวยการโรงเรียนบ้านสุไหงโก-ลก ขา้ พเจา้ นางสาวศริ วิ รรณ มาลยารมย์ ตาแหน่ง ครู โรงเรยี นบา้ นสไุ หงโก-ลก ไดศ้ ึกษา ค้นคว้าหาความรู้ด้วยตนเอง เรือ่ ง ความสุขในชั้นเรียนสรา้ งได.้ .ดว้ ยวนิ ยั เชิงบวก โดยการศกึ ษาเกี่ยวกับการ สร้างวินยั เชิงบวกให้กบั ผู้เรยี น ซง่ึ จะชว่ ยใหเ้ ดก็ เตบิ โตไดอ้ ยา่ งมคี ุณภาพและนาไปสู่ความสาเรจ็ และเทคนิค การสร้างวนิ ยั เชงิ บวกในชั้นเรยี น เพ่อื ใหน้ กั เรียนคดิ เป็น ทาเปน็ เรยี นรเู้ ป็น แก้ปญั หาเปน็ อยกู่ บั คนอ่นื เปน็ และหาความสขุ เปน็ กจ็ ะอยใู่ นสงั คมโลกได้อย่างมีคุณภาพและนาไปสู่ความสาเร็จในชีวิต ในการน้ี ขา้ พเจา้ จะนาความร้ทู ไ่ี ดจ้ ากการศกึ ษาคน้ ควา้ หาความรูด้ ้วยตนเอง ไปใชใ้ น กิจกรรมการเรยี นการสอนโดยการปรบั ใหเ้ หมาะสมกบั นกั เรียน และเป็นประโยชน์ในการศกึ ษาต่อไป จึงเรียนมาเพ่อื โปรดทราบ (นางสาวศริ ิวรรณ มาลยารมย์) ครู โรงเรียนบา้ นสไุ หงโก-ลก

2 เรอ่ื ง ความสขุ ในช้ันเรียนสรา้ งได.้ .ด้วยวินยั เชงิ บวก การลงโทษ คอื สง่ิ ท่ีปฏิบัตติ ่อคนที่ทาผิดกฎหรือแสดงพฤติกรรม ทไี่ มเ่ หมาะสม โดยมงุ่ เปา้ ไปที่การ ควบคมุ พฤติกรรม โดยใชว้ ธิ กี ารในเชิงลบ จากอดตี จนถึงปัจจบุ ัน การลงโทษ นบั เป็นพฤตกิ รรมท่สี ังคมพึง ยอมรับ และปฏิบัติกันมาอย่างช้านาน การลงโทษมีทั้ง การลงโทษทางร่างกาย เช่น การเฆีย่ นตี การบดิ การหยิก การเขกหวั ฯลฯ การลงโทษทางจิตใจ เช่น การตะคอก ตะโกน ดดุ า่ ใช้คาพูดรุนแรง “โง,่ ปัญญา อ่อน” ประจานให้อับอายต่อหนา้ เพ่ือนๆ การขู่ด้วยไม้เรียว ซึ่งจริง ๆ แล้วการลงโทษด้านร่างกายก็ล้วน สง่ ผลกระทบต่อจิตใจของนักเรยี นทงั้ ส้นิ ส่งผลใหเ้ ดก็ รสู้ กึ หวาดกลัว อับอาย กังวลใจ และโกรธแคน้ อาฆาต อาจส่งผลให้เกิดพฤตกิ รรมก้าวร้าวขึ้นไปด้วย การลงโทษอาจหยุดพฤตกิ รรมท่ีเกิดขึ้นในขณะนน้ั ได้ แต่ไมอ่ าจ เปล่ียนพฤติกรรมได้ตลอดไป…การลงโทษเป็นการสง่ เสริมให้นักเรียนเรียนร้กู ารใช้กาลังและความรุนแรง เพอ่ื ทจี่ ะหยดุ ปญั หาต่าง ๆ ท่ีเกิดขน้ึ การเรียนรูเ้ ช่นนี้ จะนาไปสู่การขม่ เหงรงั แกเพอ่ื นต่อไป และอาจส่งผลให้ เด็กย่งิ กระทาผดิ ตอ่ ไปในระยะยาว เพราะจะไดร้ บั ความสนใจจากเพอ่ื นและครเู ป็นพเิ ศษ จะควบคุมนกั เรยี นจากภายนอกหรือฝึกให้นกั เรยี นควบคุมตัวเองจากภายใน? วนิ ยั เชงิ บวก สรา้ งไดโ้ ดยใชค้ วามเข้าใจ การเร่ิมต้นสร้างวินัยเชงิ บวกในชั้นเรยี น ครคู วรเริ่มจากการทาความเขา้ ใจในตัวนักเรยี นก่อน ว่าทาไม เขาถงึ มีพฤตกิ รรมเช่นนั้น เขามองตวั เองอย่างไร รวมถึงเขา้ ใจในระดับความสามารถและสถานการณ์ชวี ิตของ นกั เรยี นในขณะนนั้ ๆ ดว้ ย การสรา้ งความสัมพนั ธท์ ด่ี จี ะทาใหน้ กั เรยี นไว้ใจ จะลดพฤติกรรมที่เปน็ ปญั หาลงได้ เชน่ “เพราะอะไรหนถู ึงมาโรงเรียนสายหรอจ้ะ ช่วยเลา่ ใหค้ รูฟงั หน่อย” , “เพราะอะไรหนูถงึ ไมไ่ ดท้ าการบ้าน มาสง่ คะ” วนิ ัยเชิงบวก สรา้ งไดโ้ ดยการให้แนวทาง ครกู าหนดขอบเขต ระเบยี บและกฎเกณฑ์ท่ชี ดั เจน บอกความคาดหวงั ของครูให้นกั เรียนทราบ อธิบาย เหตุผลให้นกั เรยี นฟัง และส่งเสรมิ ให้นักเรยี นคิดเป็น รจู้ ักการต่อรอง เช่น “โจทยเ์ ลขหนา้ น้ี จะทาในหอ้ งเรยี น หรือจะทาการบา้ นมาสง่ ดีคะ” “เราจะไมใ่ ชโ้ ทรศัพท์ในหอ้ งเรยี นกันนะคะ หากใครมีธุระเร่งดว่ น สามารถขอ อนญุ าตครูแล้วไปคุยธุระไดท้ น่ี อกห้องคะ่ ”

3 วินัยเชิงบวก สรา้ งได้โดยการใหค้ วามอบอุ่น หมั่นใหก้ าลงั ใจนักเรยี น เมื่อทาดตี ้องกลา่ วชื่นชม ควบคุมอารมณ์ของตนให้เสมอตน้ เสมอปลาย มน่ั คง แสดงออกทง้ั รา่ งกายและคาพูด ใหอ้ ยา่ งไม่มีเงอื่ นไข เชน่ “วันนี้ครขู อชื่นชมนักเรียนทุกคนนะคะ ให้ความ รว่ มมือกันดีมาก” การตักเตือนโดยใช้ความเขา้ ใจและวินยั เชิงบวก สามารถทาไดโ้ ดย 1. ตักเตอื นโดยใช้คาพูดท่ีสั้นๆ กระชบั ตรงประเดน็ เปน็ รูปธรรม และไม่ควรประจานนักเรียนต่อหน้า เพ่ือน ควรทาเป็นส่วนตัว 2. ใชก้ ารส่ือสารโดยตรงกบั นกั เรียน สบตาเด็กและสอื่ สารทนั ทที เี่ ด็กแสดงพฤตกิ รรมไม่พึงประสงค์ 3. ทาโดยไม่แสดงอารมณ์โกรธ หรือควบคมุ อารมณ์ให้มอี ารมณ์น้อยที่สุด ไม่ตาหนิ เยาะเยย้ ถากถาง ประชดประชัน เปรยี บเทยี บ 4. เมื่อนักเรียน ทา ดี ต้องชมทุกครั้ง โดยพยา ยา มให้กา รชม เกิดขึ้น บ่อยกว่าการ ตักเตือน เราเลอื กไดว้ ่าจะถา่ ยทอดความรนุ แรงหรือความรกั ให้กับเดก็ แหล่งที่มา ผศ.ดร.สมบตั ิ ตาปญั ญา นกั จติ วทิ ยาและผูเ้ ชี่ยวชาญเร่ืองวนิ ยั เชงิ บวก

4

5 เทคนิคการสรา้ งวินัยเชิงบวกในชั้นเรียน การสรา้ งวินยั เชิงบวก เป็นวธิ ีจดั การกับพฤติกรรมท่ไี ม่พึงประสงค์ ของเดก็ อยา่ งสร้างสรรค์โดยไม่ใช้ วธิ กี ารลงโทษ จะมจี ุดมงุ่ หมายใหเ้ ด็กร้จู ักควบคุมพฤติกรรมท่ไี ม่พึงประสงคข์ องตวั เอง มากกวา่ ทีจ่ ะโดนบงั คับ เพอ่ื ให้เดก็ เกดิ การปรับพฤติกรรมไปในแนวทางทดี่ ีข้ึนและมีผลต่อเนอ่ื งไปในอนาคต การสรา้ งวินัยเชิงบวกน้นั มีความแตกตา่ งจากการลงโทษปกติ เพราะการลงโทษโดยท่ัวไปนนั้ เป็นการ บังคับใหห้ ยุดพฤติกรรมจากภายนอก ซ่ึงสามารถหยุดพฤตกิ รรมท่ีไม่พงึ ประสงค์ของเด็กไดท้ ันที แต่ไม่อาจจะ ทาให้เดก็ สานึกไดด้ ว้ ยตวั เอง และยิง่ ลงโทษมากเทา่ ไหร่ การแสดงพฤตกิ รรมตอ่ ตา้ นของเดก็ กม็ ีมากขึน้ เท่าน้ัน ซึง่ แตกต่างจากการสรา้ งวินบั เชิงบวกท่ีเน้นการพูดคยุ ปรับความเข้าใจระหวา่ งกัน เพื่อหาทางแก้ปัญหาใน พฤตกิ รรมท่ีไม่พึงประสงค์ของเด็ก ถงึ แมว้ ่าวิธนี ี้อาจต้องใช้เวลาในการปรบั พฤติกรรมนานกว่าวิธีแรก แต่ถา้ สามารถทาให้สาเรจ็ จะทาใหเ้ ด็กมีวินยั จากใจของตัวเองและจะเป็นผลทีด่ ีต่อเดก็ ไปในระยะยาว การสร้างวนิ ัยเชงิ บวก เป็นวธิ กี ารที่สอดคลอ้ งกับธรรมชาติการรับรแู้ ละการเรยี นรขู้ องเด็ก กลา่ วถึง เด็กจะรับรสู้ ่ิงทเ่ี ราสอ่ื สารได้ดีเม่อื เราตอบสนองความต้องการพนื้ ฐานทางร่างกายและจิตใจของเด็กกอ่ น แล้ว สมองของเด็กจงึ จะเปิดรบั ส่ิงที่เราตอ้ งการส่ือสาร และเดก็ จะเรยี นรู้ส่งิ ทีเ่ ราสือ่ สารได้ดีเมอ่ื เราสร้างและรักษา สมั พันธภาพที่ดีกับเด็กก่อน แล้วสมองของเดก็ จะพรอ้ มทาความเข้าใจ ภาพ : shutterstock.com

6 เทคนคิ ของการสรา้ งวนิ ัยเชิงบวก 1. ควรชมเชยนักเรยี นแบบเฉพาะเจาะจงตามสมควร เพ่อื ให้เขาร้สู ึกว่าตวั เองมีความสาคญั 2. ในการพูดคยุ กบั นกั เรียน ครูผู้สอนควรยืนในระดับสายตากับนักเรยี น ซึ่งจะทาใหน้ กั เรียนรู้สึกได้รับ ความใสใ่ จ มีคุณคา่ และเช่อื ใจ 3. เปิดโอกาสให้นกั เรยี นมีทางเลอื กในเชิงบวก โดยไม่ใช้ การส่ังหรือการบังคับ เช่น มีข้อเสนอให้ นกั เรียนเลือกวา่ จะให้จดั สอบหรอื จะทารายงานมาส่งเกบ็ คะแนน ซ่งึ ส่ิงจะช่วยใหน้ กั เรยี นรู้จกั คดิ และตัดสินใจ เลอื กสง่ิ ทีเ่ หมาะสมกบั ตัวเอง 4. ใชว้ ิธีการเบี่ยงเบนพฤติกรรมแทนการส่ังให้หยุดหรือหา้ ม เชน่ นักเรยี นบางคนท่ีชอบเหม่อล อย ออกไปนอกหนา้ ต่าง กอ็ าจเปล่ยี นทีน่ ่งั ให้ใกล้ชดิ คุณครหู รือใหห้ ่างจากหนา้ ตา่ งแทนการไปดตุ อ่ ว่านกั เรียน ซงึ่ จะทาใหน้ ักเรยี นมคี วามรูส้ ึกตอ่ ต้านได้ 5. ควรใหค้ วามสาคญั กับนกั เรียนทุกคน ในฐานะเขาเปน็ ส่วนหน่งึ ของชัน้ เรยี น เขาควรมสี ทิ ธ์ใิ นการ นาเสนอแนวคดิ เกยี่ วกบั ช้ันเรยี นและควรมอบหมายหน้าที่ให้เขาดแู ลตามสมควร 6. ใช้โทนเสียงปกตใิ นการพูดคุยกับนักเรียน ไม่ตะโกนใส่ ซึ่งจะทาใหช้ ั้นเรียนมีความสัมพันธท์ ่ีดี นกั เรียนกพ็ ร้อมที่จะตัง้ ใจฟังครู และพฤตกิ รรมที่ดขี องครูก็จะเป็นแบบอย่างท่ีดขี องนักเรยี นต่อไป เพราะไม่มี ใครชอบคนทต่ี ะโกนใสต่ ัวเอง ดงั นั้นจึงควรพดู คุยกบั เดก็ ดว้ ยโทนเสยี งปกติ 7. สอนใหเ้ ด็กรู้จกั เลือกทจ่ี ะทาอะไรก่อนและหลัง 8. กาหนดเวลาในการทากิจกรรมตา่ ง ๆ ในชัน้ เรียน และกาชับใหน้ ักเรยี นคานงึ ถึงการรกั ษาเวลาอยู่ เสมอ 9. ครูควรมโี อกาสบอกความรสู้ กึ ของตัวเองกบั นักเรยี น ถงึ ส่งิ ท่นี ักเรียนกาลงั กระทาอยู่วา่ ครูชอบและ ชื่นชมในส่งิ ทีเ่ ขาทาดี หรือรสู้ ึกเสียใจกับพฤติกรรมไม่ดีของเขา ซง่ึ จะทาใหเ้ ขาไดเ้ รียนรวู้ ่าทุกการกระทาของ เขาสง่ ผลตอ่ ความรู้สกึ ของคนอ่นื 10. สง่ เสรมิ ใหน้ ักเรยี นทาความเขา้ ใจตัวเอง ซึ่งแตล่ ะคนล้วนมีความแตกตา่ ง และแม้จะคนเดียวกัน แต่ในแตล่ ะวนั ก็มีอารมณ์ความรู้สกึ ท่ีไม่เหมอื นกัน เราจึงควรสอนใหน้ ักเรียนรู้เท่าทันอารมณ์ความรสู้ ึกของ ตวั เอง เพือ่ ทจ่ี ะได้จดั การกบั อารมณค์ วามรสู้ กึ ของตัวเองได้อย่างเหมาะสม คอื สามารถกากบั ตัวเองได้น่ันเอง ภาพ : shutterstock.com

7 การใชค้ าพูดเป็นกุญแจสาคัญของการสร้างวนิ ัยเชิงบวก จากเทคนคิ การสร้างวนิ ัยเชิงบวกจะเหน็ ไดว้ ่า เปน็ วธิ ีท่ีสง่ เสริมให้ครไู ดใ้ ช้วิธีการเพื่อการสอนมา กกว่า การสั่ง ซง่ึ คียเ์ วริ ์ดทสี่ าคัญในเร่อื งของการสร้างวนิ ัยเชิงบวกน้ีคอื เรอ่ื งของการเลือกใช้คา โดย ดร.ปนัดดา ธนเศรษฐกร ไดบ้ อกถงึ แนวทางในการตรวจสอบคาพดู ของตวั เองวา่ ชว่ ยใหน้ กั เรียนมีวินัยเชงิ ลบหรือเชิงบวก หรือไม่ ได้แก่ 1. คาพดู นั้น เป็นการสั่ง หรอื การสอน การสั่งคอื การบังคบั ให้ทา ส่วนการสอนคือการบอกและ ส่งเสริมให้นักเรียนได้ทาดว้ ยตัวเอง ซ่ึงการสอนนน้ั ส่งผลตอ่ สภาพจิตใจของนกั เรยี นไดด้ ีกว่าการสั่งหรือการ บังคับ 2. คาพดู นน้ั เป็นสิง่ ทีพ่ ูดถึงอดีต ปจั จบุ ัน หรืออนาคต เราควรจะพูดถึงพฤติกรรมของนักเรียนในเร่ือง ของปจั จบุ นั ไม่ควรจะยกเรือ่ งในอดีตหรอื อนาคตมากลา่ วถึง เชน่ เราพบว่านักเรียนหลบั ระหว่างเรยี นหนังสือ เราควรจะพูดคยุ กับเขาเฉพาะพฤติกรรมดังกลา่ ว และไม่ควรตอ่ ว่าเด็กถึงการมาสายของเด็กเมื่อหลายวัน ก่อน หรอื พดู ถงึ เรอ่ื งทีเ่ ราคิดวา่ เขาจะทา แตเ่ ขายังไมไ่ ด้ทา เปน็ ต้น 3. คาพูดนน้ั เข้าใจยากหรือง่ายสาหรบั นกั เรยี นหรือไม่ นกั เรียนแต่ละระดับ มรี ะดบั ความเข้าใจในการ สือ่ สารแตกตา่ งกนั การเลือกใช้คาใหเ้ หมาะสมกบั วัยของนกั เรยี นจงึ เปน็ เร่ืองที่สาคัญ 4. คาพูดลักษณะของคาพูด ควรเปลี่ยนจาก “ห้าม ไม่ อย่า หยุด” ซึ่งเป็นคาที่ทาให้สมองต้อง ประมวลผล 2 รอบ ให้เป็นการบอกสิ่งทต่ี อ้ งการให้ทาไปตรง ๆ เชน่ แทนที่จะบอกวา่ “อย่าว่ิง” ใหเ้ ปล่ยี นเป็น “คอ่ ยๆ เดนิ ” เป็นตน้ จะเห็นได้วา่ การเลือกใชค้ าและการแสดงออกอย่างเหมาะสมตอ่ นกั เรียนน้นั มคี วามสาคัญอย่างมากใน การสรา้ งวนิ ัยเชงิ บวก ซง่ึ แนน่ อนว่า ในชว่ งแรกอาจเปน็ เรื่องท่ยี ากลาบากในการจัดการชั้นเรียน แต่ถ้าสามารถ ดาเนนิ การไดอ้ ยา่ งมปี ระสทิ ธภิ าพแล้ว การสร้างวนิ ยั เชิงบวกนจี้ ะทาใหก้ ารจัดการชนั้ เรยี นไปเร่อื งท่ีง่ายดายข้ึน และส่งผลดีกบั นักเรยี นเพราะจะทาใหเ้ ขาเป็นคนที่รู้จกั ควบคุมตวั เอง มีเหตผุ ล และพรอ้ มท่ีจะรับฟังควา ม คิดเห็นของคนอนื่ ๆ ซ่ึงสิ่งเหลา่ นี้ล้วนเปน็ ทกั ษะท่สี าคัญอยา่ งมากในยุคไทยแลนด์ 4.0 นเ้ี ลยกว็ ่าได้

8 สรปุ ผลการศึกษาควา้ การสรา้ งวนิ ัยเชงิ บวก เป็นลดการลงโทษและใช้การสรา้ งความเขา้ ใจกนั ระหวา่ งครูและนักเรียน โดย การท่ีครูอาจจะตักเตอื นโดยใช้ความเขา้ ใจและวินยั เชิงบวก สามารถทาได้โดย 1. ตกั เตอื นโดยใช้คาพูดท่ีสัน้ ๆ กระชบั ตรงประเด็นเปน็ รูปธรรม และไม่ควรประจานนักเรียน ต่อหนา้ เพื่อน ควรทาเปน็ ส่วนตวั 2. ใช้การส่ือสารโดยตรงกับนักเรียน สบตาเด็กและส่ือสารทันทีท่ีเด็กแสดงพฤติกรรมไม่พึง ประสงค์ 3. ทาโดยไม่แสดงอารมณโ์ กรธ หรอื ควบคุมอารมณใ์ หม้ ีอารมณ์น้อยท่ีสุด ไม่ตาหนิ เยาะเย้ย ถากถาง ประชดประชัน เปรียบเทยี บ 4. เม่ือนักเรียนทาดี ต้องชมทุกครั้ง โดยพยายามให้การชม เกิดข้ึนบ่อยกว่าการตักเตือน เราเลอื กได้วา่ จะถา่ ยทอดความรนุ แรงหรือความรกั ให้กบั เดก็ เทคนิคของการสรา้ งวินยั เชงิ บวก 1. ควรชมเชยนกั เรียนแบบเฉพาะเจาะจงตามสมควร เพ่อื ใหเ้ ขารูส้ กึ วา่ ตัวเองมีความสาคญั 2. ในการพดู คุยกบั นักเรียน ครูผู้สอนควรยนื ในระดบั สายตากบั นักเรียน ซึ่งจะทาให้นักเรยี นรสู้ ึกได้รับ ความใสใ่ จ มีคณุ ค่าและเช่อื ใจ 3. เปิดโอกาสให้นกั เรียนมีทางเลือกในเชิงบวก โดยไม่ใช้การส่ังหรือการบงั คับ เช่น มีข้อเสนอให้ นักเรยี นเลือกว่า จะใหจ้ ดั สอบหรอื จะทารายงานมาส่งเก็บคะแนน ซ่ึงสิ่งจะช่วยใหน้ ักเรียนรจู้ กั คิดและตัดสินใจ เลือกสิ่งท่เี หมาะสมกบั ตวั เอง 4. ใชว้ ิธกี ารเบยี่ งเบนพฤติกรรมแทนการสั่งให้หยุดหรือห้าม เชน่ นกั เรยี นบางคนท่ีชอบเหม่อลอย ออกไปนอกหน้าตา่ ง กอ็ าจเปลีย่ นทีน่ ง่ั ใหใ้ กลช้ ดิ คุณครูหรอื ให้ห่างจากหน้าต่างแทนการไปดุตอ่ ว่านกั เรียน 5. ควรใหค้ วามสาคญั กับนักเรยี นทุกคน ในฐานะเขาเป็นสว่ นหน่งึ ของชัน้ เรยี น เขาควรมีสทิ ธใิ์ นการ นาเสนอแนวคดิ เก่ียวกบั ชั้นเรียนและควรมอบหมายหน้าท่ีให้เขาดแู ลตามสมควร 6. ใช้โทนเสียงปกติในการพูดคุยกับนักเรียน ไม่ตะโกนใส่ ซึ่งจะทาให้ช้ันเรียนมีความสัมพนั ธท์ ดี่ ี นักเรยี นกพ็ ร้อมที่จะตงั้ ใจฟงั ครู 7. สอนให้เดก็ รูจ้ กั เลอื กท่จี ะทาอะไรก่อนและหลัง 8. กาหนดเวลาในการทากจิ กรรมต่าง ๆ ในช้นั เรียน และกาชับให้นกั เรียนคานึงถึงการรักษาเวลาอยู่ เสมอ 9. ครคู วรมโี อกาสบอกความรสู้ กึ ของตัวเองกับนักเรยี น ถึงสิง่ ทนี่ กั เรียนกาลังกระทาอยวู่ า่ ครชู อบและ ชน่ื ชมในส่ิงท่เี ขาทาดี หรอื รสู้ กึ เสียใจกบั พฤตกิ รรมไม่ดขี องเขา 10. สง่ เสรมิ ใหน้ กั เรยี นทาความเขา้ ใจตัวเอง เราจงึ ควรสอนให้นกั เรยี นรเู้ ทา่ ทนั อารมณ์ความรสู้ ึกของ ตัวเอง เพือ่ ท่จี ะได้จดั การกบั อารมณค์ วามรสู้ กึ ของตัวเองได้อย่างเหมาะสม

9 การใชค้ าพูดเปน็ กญุ แจสาคัญของการสรา้ งวนิ ัยเชงิ บวก 1. คาพดู น้นั เป็นการสั่ง หรอื การสอน การสงั่ คือ การบังคับให้ทา ส่วนการสอนคือการบอกและ สง่ เสรมิ ใหน้ กั เรียนได้ทาดว้ ยตวั เอง 2. คาพูดน้ัน เปน็ ส่ิงทพี่ ดู ถึงอดตี ปัจจุบนั หรืออนาคต เราควรจะพูดถงึ พฤตกิ รรมของนักเรยี นในเรื่อง ของปัจจบุ ัน ไมค่ วรจะยกเร่ืองในอดีตหรืออนาคตมากลา่ วถึง 3. คาพดู นนั้ เข้าใจยากหรือง่ายสาหรบั นกั เรียนหรือไม่ 4. คาพดู ลักษณะของคาพดู ควรเปลย่ี นจาก “ห้าม ไม่ อยา่ หยดุ ” ให้เปน็ การบอกสิ่งทต่ี อ้ งการให้ทา ไปตรง ๆ เช่น แทนท่จี ะบอกว่า “อยา่ วิ่ง” ใหเ้ ปลยี่ นเปน็ “คอ่ ยๆ เดิน” เปน็ ตน้

10 แหล่งอ้างอิง นรรัชต์ ฝันเชียร. (2562). เทคนคิ การสร้างวนิ ยั เชิงบวกในชั้นเรียน. สืบค้นเมอ่ื วนั ท่ี 8 ธนั วาคม 2562, จาก https://www.trueplookpanya.com/blog/content/71919/- teaartedu-teaart-teamet- สมบตั ิ ตาปญั ญา. (2558). ความสขุ ในช้ันเรยี นสร้างได้…ด้วยวินัยเชิงบวก. สืบค้นเม่อื วนั ที่ 8 ธนั วาคม 2562, จาก https://www.thaichildrights.org/articles/article-violence/ วนิ ัยเชิงบวก/


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook