วนั มาฆะบชู า
ประวตั คิ วามเป็นมาของวนั มาฆะบชู า ประวตั วิ นั มาฆบชู าเรมิ่ ตน้ ขน้ึ ภายหลงั ทพ่ี ระพทุ ธเจา้ ไดเ้ สดจ็ เดนิ ทางไปปฏบิ ตั พิ ุทธกจิ แสดงธรรม ณ ถ้าสุกรขาตา เสรจ็ สน้ิ แลว้ พระองคไ์ ดเ้ ดนิ ทางกลบั มาประทบั ทว่ี ดั เวฬุวนั เมอื งราชคฤห์ แควน้ มคธ เม่อื หลงั จากทพ่ี ระองคไ์ ดท้ รงตรสั รไู้ ป เป็นเวลา ๙ เดอื น ในวนั ทพ่ี ระองค์เสดจ็ กลบั มาประทบั ตรงกบั วนั เพญ็ เดอื นมาฆะ หรอื เดอื น ๓ ในเวลาบ่าย พระอรหนั ต สาวกไดเ้ ดนิ ทางมามาเขา้ เฝ้าพรอ้ มกนั โดยมไิ ดน้ ดั หมาย ณ สถานทป่ี ระทบั ของพระพุทธเจา้ อนั ประกอบไปดว้ ย คณะศษิ ย์ ของชฎลิ ๓ พน่ี ้อง จานวน ๑,๐๐๐ รูป และคณะของพระอคั รสาวก จานวน ๒๕๐ รูป รวมจานวนได้ ๑, ๒๕๐ รูป โดยใน จานวนน้มี ไิ ดน้ บั รวมชฎลิ ๓ พน่ี ้องและอคั รสาวกทงั้ ๒ ซง่ึ การเดนิ ทางมาเขา้ เฝ้าพระพุทธเจา้ ในวนั มาฆฤกษ์น้ีนบั เป็นการเขา้ ประชุมของพระอรหนั ต์ผู้เป็นมหาสงั ฆนิบาติ และประกอบด้วย องค์ประกอบอศั จรรย์ทงั้ ๔ ประการท่เี รยี กว่า จาตุรงค สนั นิบาต อนั ประกอบไปดว้ ย - พระสงฆส์ าวกมาประชมุ พรอ้ มกนั โดยมไิ ดน้ ดั หมายเป็นจานวน ๑, ๒๕๐ รปู ณ วดั เวฬุวนั เมอื งราชคฤห์ แควน้ มคธ - พระสงฆท์ เ่ี ดนิ ทางมาประชุมทงั้ หมดต่างลว้ นแต่เป็น เอหภิ กิ ขอุ ุปสมั ปทา หรอื การเป็นพระสงฆโ์ ดยไดร้ ับการอุปสมบทจาก พระพทุ ธเจา้ โดยตรง - พระสงฆท์ งั้ หมดทม่ี าประชุมลว้ นแลว้ แตเ่ ป็นพระอรหนั ตผ์ ทู้ รงอภญิ ญา ๖ วนั ทพ่ี ระสงฆม์ าประชุมตรงกบั วนั เพญ็ มาฆปุรณมดี ถิ ี ขน้ึ ๑๕ ค่า เดอื น ๓ เป็นวนั ทพ่ี ระจนั ทรเ์ ตม็ ดวงกาลงั เสวยมาฆฤกษ โดยอาจเรยี กวนั น้เี ป็นอกี คาหน่งึ ไดว้ า่ วนั จาตุรงคสนั นิบาต หรอื วนั ทม่ี กี ารประชมุ พรอ้ มดว้ ยองค์ ๔
มลู เหตุวนั มาฆะบชู า หลงั จากพระสมั มาสมั พุทธเจ้าไดต้ รสั รูใ้ นวนั ขน้ึ ๑๕ ค่า เดอื น ๖ และไดท้ รงประกาศพระศาสนาและส่ง พระอรหนั ตสาวกออกไปจารกิ เพ่อื เผยแพร่พระพุทธศาสนายงั สถานท่ตี ่าง ๆ ล่วงแล้วได้ ๙ เดือน ในวนั ท่ใี กล้ พระจนั ทรเ์ สวยมาฆฤกษ์ (วนั ขน้ึ ๑๕ ค่า เดอื น ๓) พระอรหนั ต์ทงั้ หลายเหลา่ นนั้ ต่างไดร้ ะลกึ ว่า วนั น้ีเป็นวนั สาคญั ของศาสนาพราหมณ์ อนั เป็นศาสนาของตนอยู่เดมิ ก่อนท่จี ะหนั มานับถอื พระธรรมวนิ ัยของพระพุทธเจ้า และใน ลทั ธศิ าสนาเดมิ นัน้ เม่อื ถงึ วนั เพญ็ เดอื นมาฆะ เหล่าผูศ้ รทั ธาพราหมณลทั ธนิ ิยมนับถอื กนั ว่าวนั น้ีเป็นวนั ศวิ าราตรี โดยจะทาการบูชาพระศวิ ะด้วยการลอยบาปหรอื ล้างบาปดว้ ยน้า แต่มาบดั น้ีตนได้เลกิ ลทั ธเิ ดมิ หันมานับถอื พระ ธรรมวนิ ยั ของพระพทุ ธเจา้ แลว้ จงึ ควรเดนิ ทางไปเขา้ เฝ้าบชู าฟงั พระสทั ธรรมจากพระพุทธเจา้ พระอรหนั ตเ์ หล่านนั้ ซง่ึ เคยปฏบิ ตั ศิ วิ าราตรอี ยเู่ ดมิ จงึ พรอ้ มใจกนั ไปเขา้ เฝ้าพระพทุ ธเจา้ โดยมไิ ดน้ ดั หมาย มผี กู้ ล่าวว่า สาเหตุสาคญั ทท่ี าใหพ้ ระสาวกทงั้ ๑,๒๕๐ องคม์ าประชุมพรอ้ มกนั โดยมไิ ด้นัดหมาย มาจาก ในวนั เพญ็ เดอื น ๓ ตามคตพิ ราหมณ์ เป็นวนั พธิ ศี วิ าราตรี พระสาวกเหล่านนั้ ซง่ึ เคยนบั ถอื ศาสนาพราหมณ์มาก่อน จึงได้เปล่ียนจากการรวมตัวกันทาพิธีชาระบาปตามพิธีพราหมณ์ มารวมกันเข้าเฝ้ าพระพุทธเจ้า แทน
คาวา่ \"จาตุรงคสนั นบิ าต\" แยกศพั ทไ์ ดด้ งั น้ี คอื “ จาตุร \" แปลวา่ ๔ \"องค\"์ แปลวา่ สว่ น \"สนั นิบาต\" แปลวา่ ประชุม ฉะนนั้ จา ตุรงคสนั นบิ าตจงึ หมายความวา่ “ การประชุมดว้ ยองค์ ๔ \" กล่าวคอื มเี หตกุ ารณ์พเิ ศษทเ่ี กดิ ขน้ึ พรอ้ มกนั ในวนั น้ี คอื ๑. เป็นวนั ท่ี พระสงฆส์ าวกของพระพุทธเจา้ จานวน ๑,๒๕๐ รูป มาประชุมพรอ้ มกนั ทเ่ี วฬุวนั วหิ ารในกรุงราชคฤห์ โดย มไิ ดน้ ดั หมาย ๒. พระภกิ ษุสงฆเ์ หล่าน้ีลว้ นเป็น “ เอหิภิกขอุ ปุ สมั ปทา \" คอื เป็นผทู้ ไ่ี ดร้ บั การอุปสมบทโดยตรงจาก พระพุทธเจา้ ทงั้ สน้ิ **เอหภิ กิ ขอุ ุปสมั ปทา เป็นชอ่ื เรยี กวธิ บี รรพชาอุปสมบทเป็นพระภกิ ษุในสมยั พุทธกาลยคุ ตน้ ๆ โดยพระพทุ ธเจา้ ทรงประทานใหด้ ว้ ยพระองคเ์ อง โดยการตรสั วา่ เธอจงเป็นภกิ ษุมาเถดิ ธรรมอนั เรากลา่ วดแี ลว้ ทา่ นจงประพฤตพิ รหมจรรยเ์ พอ่ื ทาทส่ี ดุ แหง่ ทุกขโ์ ดยชอบเถิด** ๓. พระภกิ ษุสงฆท์ ุกองคท์ ไ่ี ดม้ าประชมุ ในครงั้ น้ี ลว้ นแตเ่ ป็นผไุ้ ดบ้ รรลุพระอรหนั ตแ์ ลว้ ทกุ ๆองค์ ๔. เป็นวนั ทพ่ี ระจนั ทรเ์ ตม็ ดวงกาลงั เสวยมาฆฤกษ
ความหมายวนั มาฆบชู า วนั มาฆบชู า หมายถงึ การบชู า ในวนั เพญ็ เดอื น ๓ เน่อื งในโอกาสคลา้ ย วนั ทพ่ี ระพทุ ธเจา้ ทรงแสดงโอวาทปาตโิ มกข์ ความสาคญั วนั มาฆบูชา วนั มาฆบชู า เป็นวนั ขน้ึ ๑๕ ค่า เดอื น ๓ มเี หตุการณ์อศั จรรยท์ ่ี พระสงฆส์ าวกของพระพุทธเจา้ จานวน ๑,๒๕๐ รปู มาเฝ้าพระพทุ ธเจา้ ณ วดั เวฬุวนั เมอื งราชคฤห์ แควน้ มคธ โดยมไิ ดน้ ดั หมายกนั พระสงฆ์ ทงั้ หมดเป็นพระอรหนั ต์ ผู้ได้อภิญญา ๖และเป็นผู้ท่ีได้รบั การอุปสมบท โดยตรงจากพระพุทธเจ้า ในวนั น้ีพระพุทธเจ้าได้ทรงแสดง โอวาทปาตโิ มกข์ ในทป่ี ระชุมสงฆเ์ หล่านนั้ ซง่ึ เป็นทงั้ หลกั การอุดมการณ์และวธิ กี ารปฏบิ ตั ทิ ่ี นาไปใชไ้ ดท้ ุกสงั คม มเี น้ือหา โดยสรปุ คอื ใหล้ ะความชวั่ ทุกชนิด ทาความดี ใหถ้ งึ พรอ้ มและทาจติ ใจใหผ้ อ่ งใส
การปฎบิ ตั ติ นสาหรบั พุทธศาสนาในวนั น้ีกค็ อื การทาบุญตกั บาตรในตอนเชา้ หรอื ไม่กจ็ ดั หาอาหารคาวหวานไป ทาบุญฟงั เทศน์ทว่ี ดั ตอนบา่ ยฟงั พระแสดงพระธรรมเทศนา ในตอนกลางคนื จะพากนั นาดอกไม้ ธปู เทยี น ไปทว่ี ดั เพอ่ื ชุมนุม กนั ทาพธิ เี วยี นเทยี นรอบพระอุโบสถพรอ้ มกบั พระภกิ ษุสงฆ์ โดยเจา้ อาวาสจะนาวา่ นะโม ๓ จบ จากนนั้ กล่าวคาถวายดอกไม้ ธปู เทยี น ทุกคนวา่ ตาม จบแลว้ เดนิ เวยี นขวา ตลอดเวลาใหร้ ะลกึ ถงึ พระพุทธคุณ พระธรรมคุณ พระสงั ฆคุณ จนครบ ๓ รอบ แลว้ นาดอกไม้ ธปู เทยี นไปปกั บชู าตามทท่ี างวดั เตรยี มไวเ้ ป็นอนั เสรจ็ พธิ ี
กจิ กรรมตา่ งๆ ทค่ี วรปฏบิ ตั ใิ นวนั มาฆบชู า ทำบญุ ใส่บำตร ไปวดั เพ่อื ปฏบิ ัติธรรมและฟังพระธรรมเทศนำ
ประดบั ธงชำตติ ำมอำคำรบ้ำนเรือนและสถำนท่ีรำชกำร ไปเวยี นเทยี นท่วี ดั
กจิ กรรมทพ่ี งึ ปฏบิ ตั ใิ นวนั มาฆบชู า โดยปกติในวนั มาฆบูชาก่อนท่ีจะเร่ิมการเวียนเทียน วดั ต่างๆ จะจดั ให้มีการทาวตั รสวดมนต์ หรือที่การทาวตั รเย็น แล้วตามด้วยการเวียนเทียนอย่างเป็ นทางการในช่วงเวลาประมาณ 20.00 น. หรือ 2 ท่มุ ตรง (มีพระสงฆ์นาเวียนเทียน) ซง่ึ บท สวดที่พระสงฆ์นิยมสวดในวนั มาฆบชู าก่อนเริ่มการเวียนเทียนนีจ้ ะนิยมสวดตามลาดบั ดงั นี ้(ทงั้ บาลแี ละคาแปล) ๑. บทบชู าพระรัตนตรัย (บทสวดบาลที ี่ขนึ ้ ต้นด้วย:อรหงั สมั มา ฯลฯ) ๒. บทนมสั การนอบน้อมบชู าพระพทุ ธเจ้า (นะโม ฯลฯ ๓ จบ) ๓. บทสรรเสริญพระพทุ ธคณุ (บทสวดบาลที ่ีขนึ ้ ต้นด้วย:อิติปิโส ฯลฯ) ๔. บทสรรเสริญพระพทุ ธคณุ สวดทานองสรภญั ญะ (บทสวดสรภญั ญะท่ีขนึ ้ ต้นด้วย:องค์ใดพระสมั พทุ ธ ฯลฯ) ๕. บทสรรเสริญพระธรรมคณุ (บทสวดบาลีท่ีขนึ ้ ต้นด้วย:สวากขาโต ฯลฯ) ๖. บทสรรเสริญพระธรรมคณุ สวดทานองสรภญั ญะ (บทสวดสรภญั ญะท่ีขนึ ้ ต้นด้วย:ธรรมมะคือ คณุ ากร ฯลฯ) ๗. บทสรรเสริญพระสงั ฆคณุ (บทสวดบาลีท่ีขนึ ้ ต้นด้วย:สปุ ฏิปันโน ฯลฯ) ๘. บทสรรเสริญพระสงั ฆคณุ สวดทานองสรภญั ญะ (บทสวดสรภญั ญะท่ีขนึ ้ ต้นด้วย:สงฆ์ใดสาวกศาสดา ฯลฯ) ๙. บทสวดบชู าเน่ืองในวนั มาฆบชู า (บทสวดบาลีที่ขนึ ้ ต้นด้วย:อชั ชายงั ฯลฯ)
หลกั การ ๓ คือหลกั คาสอนท่ีควรปฏิบตั ิ ไดแ้ ก่ ๑. การไม่ทาบาปทงั้ ปวง คือ การลด ละ เลิก ทาบาปทงั้ ปวง อนั ได้แก่ อกศุ ลกรรมบถ ๑๐ ซงึ่ เป็นทางแห่งความชว่ั ๑๐ ประการที่เป็นความชวั่ ทางกาย (การฆ่าสตั ว์ การลกั ทรัพย์ การประพฤติผิดในกาม) ทางวาจา (การพดู เท็จ การพดู ส่อเสียด การ พดู เพ้อเจ้อ) และทางใจ (การอยากได้สมบตั ขิ องผ้อู ื่น การผกู พยาบาท และความเหน็ ผิดจากทานองคลองธรรม)
๒. การทากุศลให้ถึงพร้ อม คือ การทาความดีทุกอย่างตาม กุศลกรรมบถ ๑๐ ทงั้ ความดีทางกาย (ไม่ฆ่าสัตว์ ไม่ เบียดเบียนผ้อู ื่น ไม่เอาสิ่งของที่เจ้าของไม่ได้ให้มาเป็ นของตน มีความเอือ้ เฟื อ้ เผ่ือแผ่ ไม่ประพฤติผิดในกาม) ความดีทางวาจา (ไม่พดู เท็จ ไม่พดู สอ่ เสยี ด ไมพ่ ดู หยาบคาย ไมพ่ ดู เพ้อเจ้อ) และความดที างใจ (ไม่โลภอยากได้ของผ้อู ื่น มีความเมตตาปรารถนา ดี มีความเข้าใจถกู ต้องตามทานองคลองธรรม)
๓. การทาจิตใจให้ผ่องใส คือ ทาจิตใจให้บริสุทธิ์ หลดุ จากนิวรณ์ที่คอยขดั ขวางจิตใจไม่ให้เข้าถึงความสงบ ได้แก่ ความพอใจในกาม, ความพยาบาท, ความหดห่ทู ้อแท้, ความฟ้ งุ ซา่ น และความลงั เลสงสยั
อุดมการณ์ ๔ ไดแ้ ก่ ๑. ความอดทน อดกลนั้ คอื ไมท่ าบาปทงั้ กาย วาจา ใจ ๒. ความไมเ่ บยี ดเบยี น คอื งดเว้นจากการทาร้าย หรือเบียดเบียนผ้อู ื่น ๓. ความสงบ ได้แก่ การปฏิบตั ติ นให้สงบทงั้ ทางกาย วาจา ใจ ๔. นิพพาน ได้แก่ การดบั ทกุ ข์ ซงึ่ เป็นเป้ าหมายสงู สดุ ในพระพทุ ธศาสนา
วธิ ีการ ๖ไดแ้ ก่ ๑. ไม่วา่ ร้าย คือ ไม่กลา่ วให้ร้าย โจมตีใคร ๒. ไม่ทาร้าย คือ การไม่เบยี ดเบียนผ้อู ่ืน ๓. สารวมในปาฏิโมกข์ คือ เคารพระเบยี บวนิ ยั กฎกตกิ า รวมทงั้ ขนบธรรมเนียมประเพณีอนั ดีงามของสงั คม ๔. รู้จกั ประมาณ คือ รู้จกั ความพอดีในการบริโภค รวมทงั้ การใช้สอยสิ่งตา่ ง ๆ ๕. อย่ใู นสถานท่ีสงดั คือ อยใู่ นสถานที่ท่ีมีสง่ิ แวดล้อมที่เหมาะสม ๖. ฝึกหดั จิตใจให้สงบ คอื การฝึกหดั ชาระจิตใจให้สงบ มีประสทิ ธิภาพที่ดี
กิจกรรมเกี่ยวกบั ครอบครัว กิจกรรมที่ครอบครัวควรทาในวนั มาฆบูชา อย่างเช่น การทาความสะอาดบ้าน จัดแต่งท่ีบูชาประจาบ้ าน ชกั ชวน ครอบครัวไปทาบญุ ตกั บาตร ฟังศีล ฟังธรรม บาเพ็ญกศุ ล ปฏิบตั ิธรรม รวมทงั้ ควรศกึ ษาหลกั ธรรมคาสง่ั สอน และความสาคญั ของวนั มาฆบชู าด้วย
กิจกรรมเกี่ยวกบั สถานศึกษา ในสถานศึกษาเป็ นแหล่งเรียนรู้ที่สาคญั อีกแห่ง โดยภายในสถานศึกษาควรมีการร่วมราลึกถึงความสาคญั ของวนั มาฆบชู า เชน่ จดั นิทรรศการให้ความรู้ ประกวดเรียงความ ตอบปัญหาธรรมะ บรรยายธรรม หรือร่วมกนั ทาบญุ ตกั บาตร เวียน เทียน บาเพญ็ กศุ ล อีกทงั้ ประกาศเกียรตคิ ณุ นกั เรียนผ้ทู าประโยชน์ ประพฤตติ นเป็นแบบอยา่ งที่ดี
กิจกรรมเกี่ยวกบั สถานท่ีทางาน ควรประชาสมั พนั ธ์ในท่ีทางาน และจดั ให้มีการบรรยายธรรม หรือบาเพญ็ ประโยชน์ร่วมกนั ร่วมทาบุญ บาเพญ็ กศุ ล ร่วมกนั
กิจกรรมเก่ียวกบั สงั คม ภาคส่วนต่าง ๆ ในสังคม ไม่ว่าจะเป็ น วัด มูลนิธิ สมาคม ส่ือมวลชน สนามบิน สถานีรถไฟ ฯลฯ ควรช่วยกั น ประชาสมั พนั ธ์ความสาคญั ของวนั มาฆบชู า อาจเป็นการพิมพ์เอกสารให้ความรู้ จดั ให้มีการเข้าร่วมกิจกรรมทางศาสนาร่วมกนั เช่น ทาบญุ ตกั บาตร ฟังธรรม ช่วยกนั รณรงค์ให้เลิกอบายมขุ โดยรณรงค์ให้ช่วยกนั ทาประโยชน์ต่อสงั คมแทน อาจช่วยกนั ปลกู ต้นไม้ ทาความสะอาดที่สาธารณะ ฯลฯ
ประโยชน์ท่ีจะไดร้ ับจากการจดั กิจกรรมในวนั มาฆบูชา พทุ ธศาสนิกชนจะมีความรู้ ความเข้าใจอย่างถกู ต้องเก่ียวกบั ความสาคญั ของวนั มาฆบชู า รวมทงั้ หลักธรรมตา่ ง ๆ ซงึ่ จะทาให้เกิดความตระหนกั ต่อความสาคญั ของพระพทุ ธศาสนา อีกทงั้ ยงั เป็นการปฏิบตั ิหน้าท่ีในฐานะชาวพุทธ และยงั เป็นการ ชว่ ยธารงพระพทุ ธศาสนาให้สบื ตอ่ ไป
หลกั ธรรมที่ควรนาไปปฏิบตั ิในวนั มาฆบชู า หลกั ธรรมที่ควรนาไปปฏิบตั ิคือ \"โอวาทปาติโมกข์\" ซง่ึ เป็ นหลกั คาสอนสาคญั อนั เป็ นหวั ใจของพระพทุ ธศาสนา เพ่ือ นาไปสคู่ วามหลดุ พ้น หลกั ธรรมประกอบด้วย หลกั การ ๓ อดุ มการณ์ ๔ และวิธีการ ๖
จดั ทาโดย นางสาวกนกอร ภมู ไิ ธสง ปวส.1/13 เลขท่ี 2 สาขาการบญั ชี
Search
Read the Text Version
- 1 - 21
Pages: