ฅนเกง่ คิดบวก 14 เรื่อง : กองบรรณาธิการ / ภาพ : ว่าที่ ร.ต. อรุณ สิทธิโชค เฉลิมชัย โฆษติ พิพัฒน์ ผู้ยงิ่ ใหญข่ องโลก
15 ฅนเก่งคิดบวก “มุ่งมั่น ฝึกฝน ท�ำการบ้าน และมีความทะเยอทะยานท่ีจะเป็นผู้ “บนโลกใบน้ี ยิ่งใหญ่ของโลก” น่ีคือแนวคิดเชิงบวกที่ อาจารย์เฉลิมชัย โฆษิตพิพัฒน์ ไมม่ ใี ครพบความสำ� เรจ็ ศิลปินแห่งชาติ สาขาทัศนศิลป์ (จิตรกรรม) ปี พ.ศ. 2554 ใช้เป็นแรง แบบฟลคุ ๆ จะตอ้ งแลกมา ดว้ ยหยาดเหงอ่ื และความ ขับเคล่ือนไปสู่เป้าหมาย และส�ำหรับเป้าหมายต่อไปท่ีต้องการเป็นผู้ยิ่งใหญ่ ของโลกดว้ ยการสรา้ งสรรคว์ ัดร่องขุ่น หรอื White Temple ให้เป็นดัง ทมุ่ เทแทบทง้ั สนิ้ ” “ทัชมาฮาล”เมืองไทย ท่ีนักเดินทางจากท่ัวโลก “ต้องมาชื่นชมสักครั้ง กอ่ นตาย” ดเู หมือนใกล้สำ� เรจ็ เขา้ มาทุกทแี ลว้ “ฅนคดิ บวก” พาไปหาค�ำตอบ ถึงเบ้อื งหลังความส�ำเร็จในเร่ืองน้ี สรา้ งงานเพือ่ แผ่นดิน จนจิตบริสุทธ์ เกิดสมาธิสรา้ งงานพุทธศิลป์ได้ จนในเวลาต่อ มาท่านคิดการณ์ใหญ่ดว้ ยการออกแบบก่อสรา้ ง “วดั ร่องขุ่น” ก่อน อ.เฉลิมชยั จะสรา้ งสรรค์วดั ร่องขุ่นใหง้ ดงาม ข้นึ ท่ีบา้ นเกิดในจงั หวดั เชียงรายเม่อื ปี พ.ศ. 2540 โดยม่งุ หวงั เหนือคำ� บรรยายได้ ยอ้ นกลบั ไปเม่ือ 3 ทศวรรษท่ีแลว้ ในยุค ใหเ้ ป็นดงั “เมืองสวรรคท์ ่ีมนุษยส์ มั ผสั ได”้ จากแรงบนั ดาลใจ ท่ีวงการศิลปะเมืองไทยเฟ่ื องฟูถึงขีดสุด ท่านเป็ นหน่ึงใน 3 ประการดว้ ยกนั คือ ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ศิลปินระดบั แนวหนา้ ท่ีผลงานจิตรกรรมไทย ประเพณีของ ท่านมีความโดดเด่นมาก จากพ้ืนฐานท่ีท่านไดอ้ ุทิศตนให้ “ชาติ” เพ่ือใหเ้ ป็นสมบตั ิแผ่นดิน “ศาสนา” เพ่ือดำ� รง พระพุทธศาสนามาตงั้ แต่เยาวว์ ยั โดยปฏิบตั ิธรรมอย่างลกึ ซ้ึง พระพุทธศาสนาไว ้ และ “พระมหากษตั ริย”์ เพ่ือถวายเป็น งานศิลปะประจำ� รชั กาลท่ี 9 ซ่ึงแมว้ ่าจะเกิดภยั พิบตั ิแผ่นดิน
16 ไหวจนวดั ไดร้ บั ความเสียหายเม่ือไม่นานมาน้ี แต่ก�ำลงั ไดร้ บั ประเทศไทยเผยแพร่เกียรติยศไปทัว่ โลก ดว้ ยแนวคิด การบูรณะเพ่ือใหก้ ลบั มางดงามดงั เดิมบนเน้ือท่ี 12 ไร่ โดยมี เช่นน้ีก็ทำ� ใหม้ นุษยเ์ ราเป็นคนท่ีย่ิงใหญ่ได้ “อย่าบอกว่าทำ� ไม่ พุทธศาสนชนร่วมแรงร่วมใจดว้ ยพลงั ศรทั ธาอย่างลน้ หลาม ได้ ในโลกน้ีทำ� ไดท้ ุกอย่าง เพียงแต่ไม่กลา้ ทำ� กนั เอง จึงไม่พบ ความสำ� เร็จ คนทีพ่ บความสำ� เร็จระดบั โลกได้ ตอ้ งมีความคิด มนษุ ยจ์ ะยงิ่ ใหญไ่ ดต้ อ้ งบรหิ ารจดั การเปน็ ทีก่ ลา้ หาญเกินกว่ามนุษยท์ วั่ ไป” ตามแนวคิดของ อ.เฉลมิ ชยั ท่านคิดว่ามนุษยเ์ ราจะย่ิง จุดเร่ิมตน้ นน้ั อยู่ท่ี “ความคิด” ซ่ึงตอ้ งคิดว่าไม่ยาก ใหญ่ไดต้ อ้ งบริหารจดั การชีวิตตวั เองไดด้ ี รูจ้ กั การดำ� รงไวซ้ ่ึง และตอ้ งเตรียมพรอ้ มรบั ความลำ� บาก ตอ้ งมีความอุตสาหะ เกียรติยศ และตง้ั เป้ าหมายความสำ� เร็จท่ีย่ิงใหญ่ โดยเร่ิม และเสียสละ สำ� หรบั อ.เฉลิมชยั นน้ั ตอ้ งเลิกสนใจส่ิงรอบตวั จากวางแผนเป็นขน้ั ตอน มุ่งมนั่ จริงจงั และใชช้ ีวิตตวั เองเป็น ทุกอย่าง และมีความมุ่งมนั่ ในงานศิลปะเพียงส่ิงเดียว แมแ้ ต่ เดิมพนั “บนโลกใบน้ีไม่มีใครพบความสำ� เร็จแบบฟลุคๆ จะ เวลาใหค้ รอบครวั ก็แทบไม่มี “ต่อใหเ้ ราจนตรอกอย่างสุนขั ตอ้ งแลกมาดว้ ยหยาดเหงือ่ และความทุ่มเทแทบทงั้ ส้ิน” และ เราก็ไม่เคยคิดเป็นอย่างอืน่ ไม่เคยอิจฉาใคร แมแ้ ต่ความจน เม่ือสามารถทำ� ไดแ้ ลว้ จะตอ้ งไม่ลุ่มหลงในลาภยศสรรเสริญ ก็ไม่ทำ� ใหอ้ ิจฉา เพราะเรามุ่งมนั่ ในพลงั บวก และทุ่มเทดว้ ย ไม่เช่นนนั้ จะเกิดความผยอง และมอี ตั ตาจนกลายเป็นบา้ หรือ อาจคิดว่าตวั เหนือกว่าคนอ่ืน “เราตอ้ งสรา้ งคุณค่าที่แทจ้ ริง “ตอ่ ใหเ้ ราจนตรอกอยา่ งสนุ ขั ข้ึนมาดว้ ยตวั ของเราเอง ไม่ใช่รอใหใ้ ครมาประกาศคุณค่า เราก็ไม่เคยคิดเป็นอย่างอื่น ไม่เคย สำ� หรบั เราตอ้ งเสียสละชีวิตเพือ่ สรา้ งสรรคง์ านศิลปะใหช้ าติ อจิ ฉาใคร แมแ้ ตค่ วามจนกไ็ มท่ ำ� ใหอ้ จิ ฉา บา้ นเมือง และเพือ่ สู่ความเป็นสากลในเวลาต่อไป” เพราะเรามุ่งมั่นในพลังบวก และทุ่มเท อ.เฉลิมชยั ไม่ปฏิเสธว่ามีความปรารถนาจะเป็นคนท่ี ด้วยความรักต่อสิง่ ท่ีท�ำ” ย่ิงใหญ่ของโลก ซ่ึงไม่ไดท้ ำ� เพ่ือตนเอง แต่เพ่ือเป็นตวั แทน
17 ความรกั ต่อสิง่ ทีท่ ำ� เราเห็นแสงสว่างรออยู่ขา้ งหนา้ มนั อาจ ความจริงแลว้ ความอดทนอดกลนั้ ของคนเราสูงกว่าการอด จะไกล แต่ถา้ มีความเพียร เราจะไปหาแสงสว่างตรงจุดนนั้ ได้ ขา้ วเสียอีก ความยโสทรนง และความมุ่งมนั่ ทุ่มเท ในโลก แมต้ อ้ งใชเ้ วลานานกว่าคนอืน่ สกั หน่อยก็ตาม แต่ในทีส่ ุดจะ น้ีมีแต่คนอ่อนแอ และหวนั่ ไหวเท่านนั้ ทีไ่ ม่สามารถเดินไปสู่ เกิดผลดีในระยะยาว” เป้ าหมายได”้ ความสูญเสีย คือส่งิ งดงามของนักสู้ ความรักนำ� ทาง ในระหว่างเสน้ ทางความสำ� เร็จ อ.เฉลมิ ชยั นำ� “ธรรมะ” “ความรกั คือพลงั ยิง่ ใหญ่ หากรกั ไม่เพียงพอ ก็ทำ� ให้ เขา้ มาปรบั ใชด้ ว้ ย โดยเฉพาะแนวคิดท่ีว่าโลกน้ีมีอยู่ 2 อย่าง นอกใจได”้ น่ีคือตรรกะง่ายๆ ของอ.เฉลิมชยั ซ่ึงท่านบอก คือทุกข์ และสุข คนเราจะทุกขแ์ ค่ไหน อดอยากแค่ไหน และ ว่าหากตอ้ งการพบความสำ� เร็จ จึงตอ้ งรกั เดียวใจเดียว และ ลม้ เหลวแค่ไหนก็ไม่ถงึ ตาย เพราะท่ีสุดแลว้ ต่อใหล้ ำ� บาก หรือ ย่ิงตอ้ งการเป็นมหาบุรุษ เป็นมนุษยส์ ุดยอดในอาชีพ ตอ้ งมี สูญเสียแค่ไหนก็ยงั กินได้ “เราว่าการสูญเสียเป็นสิง่ งดงาม พลงั แห่งความรกั แบบเกินรอ้ ย หากนบั พนั ก็ตอ้ งเกินพนั นบั ของนกั สู ้ มนุษยท์ ีไ่ ม่ฉลาดมกั กลวั ความลม้ เหลว ผิดพลาด หม่ืนนบั แสนนบั ลา้ นก็ตอ้ งเกินกว่านน้ั เพราะหากมีความรกั และมนุษยท์ ีไ่ ม่ฉลาดยงั เหน็ดเหนื่อยเมือ่ ยลา้ ไม่ อดทน อ่อนแอ และ หวาดกลวั จึงประคองอาชีพ ของตนเองไม่ได้ เมื่อทนทุกขไ์ ม่ไดจ้ ึงแสวงหา ความสุขก่อน ท�ำใหเ้ ป้ าหมายคลาดเคลือ่ น และ ล่าชา้ เทียบกบั คนทีเ่ ดินทางดว้ ยความทุกข์ ความ ยากลำ� บาก แมเ้ ลือดโทรมกายแต่ยงั มีมานะ ก็ สามารถพุ่งทะลุไปสู่ความสุขได้ พบกบั ความโล่ง สบาย และแสงสว่างที่พรอ้ มที่จะรักษาบาดแผล ของตน” อ.เฉลิมชยั เล่าว่าตวั ท่านไดผ้ ่านทางวิบาก แสนสาหสั มาแลว้ ซ่ึงใครก็ตามท่ีเป็ นเช่นน้ี จะ ไม่เจอวิบากกรรมอีกเลยในชีวิตจวบจนวนั ตาย เพราะความทุกข์ยากไดส้ ัง่ สอนและบีบค้ันจน เอาชนะได้ ดงั นน้ั ในวยั ท่ียงั หนุ่มสาว แข็งแรง จงสู ้ และจะไม่มีวนั ตาย “ไม่มีวนั จะไม่สำ� เร็จหากเราสู ้ ต่อใหเ้ ลือดโทรมกายเท่าไหร่ก็ตาม ต่อใหก้ �ำลงั จะตาย จงฟ้ื นข้ึนมาดว้ ยพลงั ขา้ งในตวั เรา เพราะ
18 “ความยง่ิ ใหญข่ องคนเรา ขาดอะไรไม่ไดเ้ ลย ตอ้ งเก่งทุกดา้ น และรูจ้ กั จงั หวะ เมือ่ เกิด ตอ้ งอาศยั องคป์ ระกอบหลายอยา่ ง วิกฤตก็ท�ำใหเ้ ป็นโอกาส มีความเฉลียวฉลาด โดยเฉพาะ และต้องมีความพร้อมอย่างท่ีสุด ความฉลาดทางอารมณ์ที่ตอ้ งเรียนรู ้ และฝึ กฝนตงั้ แต่เด็ก ขาดอะไรไมไ่ ดเ้ ลย ตอ้ งเกง่ ทกุ ดา้ น และ ซ่ึงหมายถึงการยบั ยงั้ ชงั่ ใจตนเอง และการรูจ้ กั หาจงั หวะ เวลาในการผลกั ดนั ผลงานไปสู่แต่ละขนั้ จึงจะไดช้ ือ่ ว่าเป็น รจู้ กั จงั หวะ เมอื่ เกดิ วกิ ฤตกท็ ำ� ให้ ความสูงสุดของมนุษย”์ เปน็ โอกาส” ความฉลาดในความหมายของอ.เฉลิมชยั ประกอบ ลน้ เหลือ ย่อมไดท้ ุกอย่างอยู่แลว้ “ไม่มีหรอกอาชีพไหนที่ คุณสมบตั ิท่ีว่าดว้ ยการเป็นผูเ้ ปิดโลกกวา้ ง มวี สิ ยั ทศั นย์ อมรบั ไสแ้ หง้ มีแต่เราทุ่มเทไม่มากพอ คนจะยิง่ ใหญ่ในอาชีพของ ทุกอย่าง และไม่นินทาผูอ้ ่ืน ซ่ึงหากมีคุณสมบตั ิเหล่าน้ีก็ ตวั เองได้ ตอ้ งทุ่มเท ตอ้ งรกั มากกว่าคนอืน่ แค่นนั้ เอง เพราะ เท่ากับมีพ้ืนฐานท่ีดีสู่การเป็ นผูย้ ่ิงใหญ่ได้ “สงั คมไทยเรา ในโลกน้ีไม่มีสิง่ ใดมีค่าเท่ากบั สิง่ ทีเ่ ราท�ำ ลมหายใจเขา้ ออก อ่อนแอ ดังนัน้ เราตอ้ งเรียนรูส้ งั คม เราจะสูก้ บั สงั คมโลก ของเราที่มีแต่จะคิดฝึ กฝนเรียนรู ้ ส�ำหรับเราแลว้ เราตัง้ ได้ เราตอ้ งปรบั พ้ืนฐานของเราดว้ ยการเป็นคนดีมีคุณธรรม เป้ าหมายไวเ้ ลยว่าอีกกีป่ ีเราจะตอ้ งประสบความสำ� เร็จ และ ติดดิน และทุ่มเทชีวิตใหช้ าติ และศาสนา ตอ้ งเป็นบุคคลดี มีชือ่ เสียงได”้ งามทีส่ ุดเท่านนั้ จึงจะไดร้ บั การยอมรบั สรรเสริญ นีเ่ ป็นสิง่ ง่าย ทีส่ ุด เพราะสงั คมไทยกระหายคนดีมาก เราจึงโหยหาคนดี” เส้นทางแผนชวี ิต ตอ้ ง “เอาชนะ” คนท่ีตอ้ งการเป็นท่ีสุดในอาชีพนนั้ ๆ จำ� เป็นตอ้ งเรียนรู ้ องค์ประกอบทุกอย่างท่ีน�ำไปสู่ความย่ิงใหญ่ ไม่ใช่ส่ิงท่ีเรียน อ.เฉลิมชยั เกิดวนั ท่ี 15 กุมภาพนั ธ์ พ.ศ. 2498 เป็น เพียงอย่างเดียว ตอ้ งอยู่ท่ีการบริหารจดั การชีวิตตวั เอง และ บุตรคนท่ี 3 ของคุณพ่อฮวั่ ชิว แซ่โคว้ (ต่อมาเปล่ียนช่ือเป็น บริหารจัดการผลงานออกไปสู่สาธารณชน รวมทงั้ ตอ้ งมี ไพศาล) และคุณแม่พรศรี อยู่สุข พ้ืนเพเ ป็นชาวเชียงราย วิสยั ทศั น์ และรสนิยม “ความยิง่ ใหญ่ของคนเราตอ้ งอาศยั ทำ� คลอดโดยหมอต�ำแยช่ือ “ยายตุ่น” ชีวิตวัยเด็กนนั้ เกเร องคป์ ระกอบหลายอย่าง และตอ้ งมีความพรอ้ มอย่างที่สุด
19 ไม่ชอบเรียนหนงั สือ แต่ชอบวาดรูปมาก “เตีย่ บอกใหว้ าดรูป จะไม่มีสิง่ ใดมาขวางความคิดเราไดเ้ ลย จากนนั้ ก็ตอ้ งอาศยั ฅนเก่งคิดบวก เดี๋ยวใหเ้ งินหน่ึงสลึง” ซ่ึงแทจ้ ริงแลว้ เป็ นกุศโลบายท่ีเต่ีย ความขยนั หมนั่ เพียร” ตอ้ งการใหล้ ูกชายอยู่เฝ้ าบา้ น “พีช่ ายเราก็ชอบวาดรูป พีเ่ ราวาด ไดห้ น่ึงบาท เราเลยเอาอย่างบา้ ง พอวาดแลว้ ชอบ และไดร้ บั ต้อง “คิดเปน็ ” ค�ำชมจากเตี่ย เราเหมือนมีตัวตนข้ึนมา และตอ้ งการจะ เอาชนะพี่ชายใหไ้ ด้ จึงมุ่งมนั่ ตงั้ ใจฝึ กฝนเขียนภาพทุกวนั เม่ือฝึ กเขียนภาพแลว้ อ.เฉลิมชยั ก็ตงั้ เป้ าหมายจะ ไม่ถึง 20 วนั เราก็เอาชนะไดจ้ ริงๆ เพราะพีช่ ายเรานานๆ จะ ตอ้ งเขา้ กรุงเทพฯ เพ่ือเรียนต่อท่ีโรงเรียนเพาะช่าง และ เขียนภาพสกั ครงั้ ” มหาวิทยาลยั ศิลปากรใหไ้ ด้ โดยความมุ่งมนั่ เดียวคือ “ตอ้ ง ชนะทุกอย่าง” ซ่ึงแรงบนั ดาลใจของอ.เฉลิมชยั คือ “อากง” รู ป แ ร ก ท่ี อ . เ ฉ ลิม ช ัย ว า ด คื อ รู ป ล า ย ไ ท ย บ น ก ล่ อ ง ของท่านนัน่ เอง อากงเป็ นชาวจีนหอบเส่ือผืนหมอนใบเขา้ ไมข้ ีดไฟ ทง้ั ราชรถ พญานาค และหนุมาน จนไดเ้ พ่ิมรางวลั มารับจา้ งแบกขา้ วสารในเมืองไทย และสรา้ งเน้ือสรา้ งตวั จากหน่ึงสลึงเป็ นหน่ึงบาท ต่อมาเห็นอากงแปะรูปท่ีเขียน ข้ึนมาได้ “เรามาจากครอบครวั ทีพ่ ่อแม่แยกทางกนั แต่ไม่มี ดว้ ยสีถ่านบนฝาบา้ น จึงไปน�ำถ่านหุงขา้ วมาต�ำ แลว้ ใชส้ ำ� ลี สิง่ ใดเปลีย่ นแปลงเราไดเ้ ลย ต่อใหล้ �ำบากถึงขนั้ ไม่มีกิน แทนพู่กนั เร่ิมฝึกแบบน้ีมาตงั้ แต่อายุ 11 ขวบ จากนนั้ เม่ือ ก็เปลีย่ นแปลงเราไม่ได”้ อากงพาเขา้ ไปในตวั เมืองเชียงราย ไปเห็นภาพคทั เอาทห์ นา้ โรงภาพยนตร์ ก็เกิดแรงกระตุน้ จึง “ครูพกั ลกั จำ� ” ดว้ ยการ เป้ าหมายของอ.เฉลิมชยั เด็ดเด่ียวมาก เม่ือสอบเขา้ ขอเขา้ ไปทำ� งานเล็กๆ นอ้ ยๆ ช่วยลา้ งผา้ ใบบา้ ง ว่ิงซ้ือโอเล้ยี ง เพาะช่างไดแ้ ลว้ ท่านตอ้ งเดินเทา้ จากบา้ นแถวบางย่ีเรือมา ซ้ือขา้ วมนั ไก่บา้ ง เพ่ือจะไดค้ ลุกคลีอยู่กบั ช่างวาดเหล่านนั้ เรียนหนังสือ เพราะเสียดายค่ารถ ซ่ึงในยุคน้ันค่ารถเมล์ 50 สตางค์ ซ้ือกลว้ ยรบั ประทานไดแ้ ลว้ โดยซ้ือวนั ละ 3 ผล “ครอบครวั เราไม่สนบั สนุนนะ เพราะทีบ่ า้ นทำ� คา้ ขาย เป็นเงนิ หน่ึงบาท รบั ประทาน 3 ม้ือ “เราไม่สนใจอะไรเลย เตีย่ ตอ้ งการใหท้ ำ� บญั ชี แต่เราด้ือเอง เราชอบวาดรูป” ไม่เคยขอเพือ่ น เราอาจหาญทรนงมาก แค่ตอ้ งดื่มน�ำ้ เยอะๆ และมุ่งมนั่ ว่าวนั ขา้ งหนา้ สกั วนั เราจะเป็นคนทีย่ ิง่ ใหญ่ หาก ความคิดในวยั เด็กของอ.เฉลมิ ชยั คือการไม่คิดเหมอื น เราเอาชนะใจตวั เองไม่ได้ แลว้ จะยิง่ ใหญ่ในต่อไปไดอ้ ย่างไร คนอ่ืน เพราะขณะท่ีหลายคนคิดว่าความสำ� เร็จของคนเราได้ ดงั นนั้ ตอ้ งอดทนต่อความยากลำ� บาก เพราะไม่มีความสำ� เร็จ มาเพราะมีโชค มีบุญวาสนา แต่อ.เฉลิมชยั คิดว่าตอ้ งอาศยั เกิดข้ึนไดห้ ากไม่ทุกข์ ไม่ลำ� บาก” องค์ประกอบใดบา้ ง และถา้ ตอ้ งการเป็นอย่างเขา เราตอ้ งทำ� อย่างไร “นี่คือจุดเริม่ ตน้ ของค�ำว่า คิดเป็น ถา้ คิดเป็นแลว้
20 สู้กับความยากลำ� บาก ใหไ้ ด้ มีรถเบนซข์ บั ใหไ้ ด้ “เวลาเราพูดอะไรแบบน้ีกบั เพือ่ น เพือ่ นมนั จะบอกว่าเราโม ้ หรือตอนทีเ่ ราอายุ 25 อาจารยเ์ ฟ้ื อ ตอนเรียนเพาะช่าง อ.เฉลิมชยั เคยโดนอาจารยท์ ่าน หริพิทกั ษ์ ท่านอายุ 70 ปี ท่านไดเ้ ป็นศิลปินแห่งชาติ เราก็ หน่ึงดูถูกว่า “มีฝีมือแต่ไม่มีสมอง” ทำ� ใหท้ ่านตงั้ เป้ าหมายว่า บอกเพือ่ นว่าเราจะเป็นศิลปินแห่งชาติก่อนอายุ 60 ปีใหไ้ ด้ จะส่งผลงานประกวดแข่งกบั อาจารย์ จนในท่ีสุดก็สามารถ เพือ่ นบอกว่าเพอ้ เจอ้ แต่วนั น้ีเพือ่ นบอกว่าตอนโนน้ ไม่เคย ควา้ รางวลั ท่ี 1 ได้ และเม่ือสอบเขา้ มหาวิทยาลยั ศิลปากรได้ เชือ่ ค�ำพูดเราเลย แต่สิง่ ทีเ่ ราพูดกลบั เป็นความจริงทงั้ หมด” ตอ้ งเช่าหอ้ งอยู่ และวาดรูปขาย ทำ� ใหเ้ กิดแรงขบั เคล่ือนใน การตง้ั เป้ าหมายเพ่ือใหช้ ีวิตดีข้ึน เช่น อีกก่ีปีจะสรา้ งเน้ือสรา้ ง เสน้ ทางศิลปะของอ.เฉลมิ ชยั อยู่ในแวดวงการประกวด มาโดยตลอด ซ่ึงรางวลั ใหญ่ในยุคนนั้ คือ “จิตรกรรมบวั หลวง” ของธนาคารกรุงเทพ โดยไดร้ บั รางวลั ท่ี 1 ในปี พ.ศ. 2519 “เราชนะทุกครงั้ ตงั้ แต่เด็กมาแลว้ ไม่เคยพ่ายแพเ้ ลยแมแ้ ต่ ครงั้ เดียว เพราะหากวางแผนดีแลว้ จะไม่ชนะไดอ้ ย่างไร แมว้ ่า เราจะวางแผนยอมรบั ความพ่ายแพไ้ วด้ ว้ ยก็ตาม” อ.เฉลมิ ชยั มีความศรทั ธาว่าคนท่ีย่ิงใหญ่ไดม้ กั มีความ เป็นนกั สู ้ และไม่หวนั่ ไหวต่อส่ิงใดง่ายๆ แมแ้ ต่ความหิว ท่าน เปรียบตวั เองเป็นหมาป่ าผูย้ โส หรือสิงโตท่ีสรา้ งตวั ใหแ้ ข็งแรง เพ่ือรอตะครุบเหย่ืออย่างควายป่ า “นี่แหละคือตวั เรา คนที่ ยิง่ ใหญ่มกั คิดแบบน้ีหมด ไม่มีค�ำว่าบงั เอิญ เราคิดแบบน้ีมา ตงั้ แต่เด็กเลย คนทีม่ ีความพิเศษในตวั เองอยู่ทีก่ ารคิด ไม่ได้ อยู่ทีด่ ีเอ็นเอ” อ.เฉลิมชยั ตงั้ ขอ้ สงั เกตว่าระบบการศึกษาเมืองไทย ควรบรรจุหลกั สูตรวิสยั ทศั น์เขา้ ไปใหเ้ ด็กไดศ้ ึกษาเรียนรู ้
21 รวมทงั้ การยกตัวอย่างคนท่ีประสบความ ฅนเก่งคิดบวก สำ� เร็จดว้ ยวิธีคิดต่างๆ เพ่ือใหเ้ ด็ก “คิดเป็น” และสามารถบริหารจัดการชีวิตไดต้ ้ังแต่ “ เ ป ้ า ห ม า ย สู ง สุ ด ข อ ง เ ร า วยั เด็ก วางแผนชีวิตเป็น และเลือกท�ำส่ิง คือการไม่ปรารถนาสิ่งใดในชีวิต ท่ีรักได้ ซ่ึงจะผลกั ดันใหเ้ ด็กเติบโตเป็ น ทุกอย่างที่ท�ำ และทดลอง เพ่ือฝึกฝน ผูย้ ่ิงใหญ่จากพ้ืนฐานของการรกั ในส่ิงท่ีท�ำ ใจตนเอง ฝึกธรรมะเพ่ือก้าวไปสู่การ “ความรกั เป็นสิง่ ยิง่ ใหญ่ทีส่ ุดของมนุษยชาติ ก่อใหเ้ กิดทุกสิง่ ทุกอย่างบนโลกใบน้ี และ ไม่กลับมาเกดิ ใหม่ หรือนพิ พาน” สามารถใหเ้ ราท�ำอะไรที่ทรงพลงั มีอ�ำนาจ สูงสุดได้ แต่ในทางธรรม ความรักเป็นสิง่ แนวคิดเช่นน้ีก็เป็นมาจากการท่ที ่านฝึกฝนธรรมะนนั่ เอง เลวรา้ ยทีส่ ุดในพุทธศาสนา ตอ้ งตดั ความรกั จึงเรียนรูก้ ารปล่อยวาง หรือความแตกดับ และการไม่ ใหพ้ น้ เพือ่ ใหเ้ ป็น “สูญญากาศ” ซ่ึงหมายถึง เกิดใหม่ จิตวิญญาณเป็นความว่าง เป็นสุญญตา ไม่มีกิเลส ความว่างเปล่า หรือนิพพาน หรือการตดั รกั ซ่ึงในท่ีสุดแลว้ คือหนทางท่ีชนะทางโลกดว้ ยทางธรรม หรือใช้ โลภ โกรธ หลง ใหไ้ ดน้ นั่ เอง แต่ความรกั ธรรมะของพระพุทธเจา้ ท่ีรำ�่ เรียนมาตง้ั แต่อายุยงั นอ้ ย “ธรรมะ ทางโลกเป็นสิง่ ถูกตอ้ งดีงาม” นนั้ มาจากธรรมชาติจริงๆ ไม่มีใครสอนเราได้ ถา้ เราหยุดใจ ตวั เองได้ เราก็ชนะผูอ้ ืน่ ได”้ “คู่มือมนุษย์” ปฐมบทเขา้ ส่ธู รรมะ อ.เฉลมิ ชยั ยกตวั อย่างว่าครง้ั หน่ึงในวยั เยาวเ์ คยมเี ร่ือง ตามท่ีเล่าในตอนตน้ ว่า อ.เฉลิมชยั ศึกษาธรรมะมา ชกต่อยกบั เด็ก โดยขดี เสน้ กน้ั แบ่งแลว้ ยืนจอ้ งหนา้ กนั ถา้ ใคร ต้ังแต่วยั เยาว์ โดยหนังสือท่ีเป็ นแรงบนั ดาลใจส�ำคัญคือ กา้ วขา้ มเสน้ มาก่อน ก็ค่อยชกกนั “นี่แหละคือธรรมะโดย “คู่มือมนุษย”์ ของท่านพุทธทาสภิกขุ ซ่ึงมีแก่นแทอ้ ยู่ท่ี ธรรมชาติที่สอนใหเ้ กิดการยบั ยงั้ ชงั่ ใจว่าเราควรต่อยคู่ต่อสู ้ “ธรรมะคือธรรมชาติ” และธรรมชาติคือการเรียนรู ้ การหกั เมือ่ ไหร่ และจะไม่ใชอ้ ารมณ์เขา้ ไปต่อ ธรรมะสอนใหร้ ูว้ ่า หา้ มใจตนเองดว้ ยการเอาชนะใจตนเอง “มนุษยม์ กั พ่ายแพ้ เมือ่ ไหร่ทีเ่ รามีสติมากกว่า เราจะชนะอีกฝ่ าย เราตอ้ งหา้ มใจ เพราะลม้ เลิก นนั่ คือการแพใ้ จ แต่ใจของเราเขม้ แข็งเขา้ ไว ้ ของเราโดยไม่น�ำความโกรธไปท�ำรา้ ยเขา แต่กว่าจะเรียนรู ้ สำ� หรบั เราเราฝึกใจของตวั เองมาตลอดมา ดงั นนั้ เด็กไทยจึง สิง่ น้ีได้ เราก็อายุปาเขา้ ไป 30 กว่าแลว้ ” ควรฝึ กใจใหเ้ ขม้ แข็ง และเรียนรูท้ ี่จะต่อสูก้ บั ใจของตวั เอง รกั ต่อสิง่ ทีเ่ รียน ทีท่ ำ� มีเป้ าหมาย อดทน และมีความเพียร” อ.เฉลิมชยั โฆษิตพิพฒั น์ ปิดทา้ ยดว้ ยขอ้ คิดท่ีดีๆ ว่า “เราไม่ไดเ้ หนือกว่าผูอ้ ืน่ เรามองค่าของใจมากกว่าวตั ถุ ไม่มอง “ท�ำทุกอย่างเพ่อื ไม่มีทกุ อย่าง” วตั ถุเหนือใจ ใจของเราที่ต่อสูม้ า ที่ฝึ กฝนมานนั้ สำ� คญั กว่า วตั ถุเดี๋ยวน้ีผุพงั ไปตามกาลเวลา ไม่คงทน ไม่ไดง้ ดงามอย่าง “เป้ าหมายสูงสุดของเราคือการไม่ปรารถนาสิง่ ใด น้ีไปตลอด สุดทา้ ยก็เป็นอนิจจงั ทุกขงั อนตั ตา เป็นของ ในชีวิต ทุกอย่างที่ท�ำ และทดลอง เพื่อฝึ กฝนใจตนเอง ไม่เทีย่ ง สิง่ สำ� คญั คือใจของเรา และความไม่ทุกขน์ นั่ เอง” ฝึกธรรมะเพือ่ กา้ วไปสู่การไม่กลบั มาเกิดใหม่ หรือนิพพาน” การ “ทำ� ทุกอย่างเพือ่ การไม่มีทุกอย่าง” ของอ.เฉลมิ ชยั หมาย ถงึ เม่อื ทำ� ส่ิงใดจนเกิดความสำ� เร็จแลว้ ท่านจะไม่ยึดมนั่ ถอื มนั่ เพราะหากยึดมนั่ ถือมนั่ จะเกิดเป็นความผยอง กิเลส และ มีความอยากจนสุดทา้ ยจะไม่ไดอ้ ะไรเลย “เมือ่ เราสำ� เร็จในสิง่ ใด เราจะพาตวั เองตกลงไปทีศ่ ูนย์ เพราะนี่คือธรรมชาติ เมือ่ คนเราข้ึนไปสูงสุดแลว้ ก็ตอ้ งตกลง มา ไม่มีใครทีไ่ ม่ตก แต่สำ� หรบั เราเมือ่ ข้ึนไปแลว้ และเราท้ิงไป การท้ิงนี่เองคือความไม่มี จึงกลายเป็นว่าเรามีทุกอย่าง แต่ เหมือนไม่มี คนที่จะประคองความส�ำเร็จไปจนวนั ตายได้ มกั คิดแบบน้ีคือ “มีอย่างไม่มี” หมายถึงความไม่ยึดมนั่ ถือมนั่ เหมือนจบเป็นเรื่องๆ ไป”
Search
Read the Text Version
- 1 - 8
Pages: