ที่มา : เอกสารคําแนะนํา กรมสง เสรมิ การเกษตร ก า ร ป ลู ก กุ ห ล า บ เรียบเรียง บุญภพ สนิ สอน กองสง เสรมิ พชื สวน จดั ทํา อัญชลี พัดมีเทศ กองเกษตรสมั พนั ธ • คํานํา • พันธุ • การเตรยี มดนิ และการปลกู • การขยายพนั ธุ • การใหน ้ํากุหลาบ • การใสป ยุ • การปอ งกนั กําจัดวัชพืชในแปลงปลกู • การคลมุ ดนิ แปลงปลกู • การตดั แตง กง่ิ • การตดั ดอกกหุ ลาบ • โรคและแมลงศัตรูกุหลาบ • หนอนและแมลงชนิดตางๆ • สรปุ • เอกสารอา งองิ
2 คํานํา กหุ ลาบ เปนไมด อกทม่ี คี วามสวยงามยากทจ่ี ะหาดอก ไมชนดิ อน่ื มาเปรยี บเทยี บ ไดจนกระทั่งมีผูใหฉายาวา\"ราชินีแหง ดอกไม\" ดังนั้นกหุ ลาบจึงเปนดอกไมท ่ี นยิ มปลกู และใชก นั อยา ง แพรหลายทั้งใน และตา งประเทศ นอกจากนก้ี หุ ลาบยงั มคี ณุ สมบัติที่ดีเดนอีกหลายประการ สามารถใชป ระโยชนไ ดก วา งขวาง เชน ใช เปน ไมก ระถาง ไมต ดั ดอก ตกแตง สถานท่ี ตลอดจนใช เปน วตั ถดุ บิ สําหรับทําเปน น้าํ มนั หอมระเหยและดอกไมแ หง ใน การปลูกเปน การคา กย็ งั ไดเ ปรยี บดอกไมอ กี หลายชนดิ เปน ตน วา สามารถควบคมุ การออกดอกไดง า ยซง่ึ ทําใหกําหนดการออกดอก ใหตรงกับเทศกาลทําใหส ามารถจําหนา ยได ราคาดี และเนอ่ื งจากกหุ ลาบเปน ดอกไม ทน่ี ยิ มของคนทว่ั ไป ดงั นน้ั จงึ สามารถหาตลาดจําหนายไดงายกวา ดอกไมอ่ืน ๆ นอกจากน้ีกุหลาบทีป่ ลกู ในประเทศไทยยงั เจรญิ เตบิ โตไดด ใี นฤดหู นาวซึง่ ตา งกบั ประเทศใน แถบยุโรปที่ตองการหลาบมาก การจะปลกู กหุ ลาบในฤดหู นาวตอ ง ปลกู ในเรอื นกระจก ทําใหเสียคาใชจายสูง จึงสงผลใหดอกกุหลาบมีราคาแพง ดงั นน้ั ประเทศทป่ี ลกู กหุ ลาบไดด ใี นฤดหู นาวจงึ สามารถตดั ดอกสง ไปขาย ในตลาดตา งประเทศไดร าคาดี พันธุ กุหลาบที่ปลูกในประเทศไทยปจจุบันนี้มีอยูดวยกันหลายประเภท ซง่ึ ถา แบง ออกโดยสงั เขป จะไดด งั น้ี 1. กหุ ลาบตดั ดอกหรอื ไฮบรดิ ที (Hybrid Tea หรือ HT) ปกตมิ กั ออก ดอกเปนดอกเดี่ยว มขี นาดโต กลบี ดอกซอ น พมุ ตน ตง้ั ตรงสงู ประมาณ 1-2 เมตร กุหลาบที่มีขายท่ัวไป ตามทองตลาดขณะน้ีมักจะเปนกุหลาบประเภทน้ี อยา งไรกต็ าม พนั ธไุ ฮบรดิ ที น้ันมไิ ดใ ชป ลกู เปน ไมต ดั ดอกไดด ที กุ พนั ธุ ดงั นน้ั จํา เปนตองคัดเลือกพันธุใหเหมาะสมสําหรับแตละทองที่ ลักษณะที่เหมาะสม สาํ หรับจะใช เปน พนั ธสุ ําหรบั ตดั ดอก คอื 1. แข็งแรง ตน โต เลย้ี งงา ยและเจรญิ เตบิ โตไดด ี 2. ออกดอกสม่ําเสมอไมโ ทรมไวเมอ่ื ถกู ตดั ดอกไปมาก 3. ทนตอโรคและแมลงไดด พี อสมควร 4. ลําตน ตง้ั ตรง ซึ่งจะทําใหป ลกู ไดช ดิ กนั เปน การประหยดั เนอ้ื ท่ี 5. ใหกิ่งกานยาวตรง มหี นามนอ ย ใบงามสมดลุ กบั กง่ิ 6. ฟอรมดอกดี ทรงดอกยาวแบบแจกันหรือปลายกลีบดอกแหลม 7. กลีบดอกไมซ อ นหนาเกนิ ไปจนดอกบานไมอ อก 8. กลีบดอกหนา ทนตอ การบรรจหุ บี หอ และขนสง
3 9. ดอกมีสีสะดดุ ตาและไมเ ปลย่ี นสเี มอ่ื ดอกโรย 10.ไมเ ห่ยี วเฉางายหลังจากตดั แลว 11.ดอกมีกลน่ิ หอม (ถา เปน ไปได) พันธเรดมาสเตอรพืช พนั ธแุ กรนดม าสเตอรพ ชื พนั ธนุ วิ เดย พันธมุ สิ ออลอเมรกิ ันบิวตี้ ปจจุบันกหุ ลาบทน่ี ยิ มปลกู เปน ไมต ดั ดอกในประเทศไทย มอี ยมู ากมายหลายพนั ธุ แตพันธุที่กรม สง เสรมิ การเกษตรแนะนําใหป ลกู มดี งั น้ี - พันธดุ อกสแี ดง ไดแก พันธุบราโว. เรดมาสเตอรพ ชี , คริสเตยี นดอิ อร, โอลิมเปยด, นอรคิ า , แกรนดม าสเตอรพ ชี , ปาปามิลแลนด, เวกา - พันธุดอกสเี หลอื ง ไดแก พนั ธคุ งิ สแ รนซมั ,ซันคิงส, เฮสมดุ สมดิ ท, นิวเดย โอรโี กลด และเมลลิ อน - พันธดุ อกสสี ม ไดแก พนั ธซุ นั ดาวนเ นอร, แซนดรา, ซปุ เปอรส ตารหรือทรอพปคานา - พันธดุ อกสชี มพู ไดแก พนั ธมุ สิ ออลอเมรกิ าบิวต้ี หรอื มาเรยี , คาสลาส, ไอเฟลทาวเวอร,สวาทมอร, เฟรนดช พิ , เพอรฟูมดีไลท, จูวังแซล, เฟรสทไพรซ, อเควเรยี ส, ซูซานแฮมเชียร พนั ธเุ พอรฟ มู ดไิ ลด - พันธดุ อกสขี าว ไดแก พนั ธไุ วทค รสิ ตม าส เอทนี า - พันธดุ อกสอี น่ื ๆ ไดแก พันธุแยงกี้ดูเดิ้ล, ดบั เบ้ิลดีไลท, เบลแอนจ นอกจากนย้ี งั มกี หุ ลาบสําหรบั เดด็ ดอกรอ ยพวงมาลยั เชน กุหลาบพันธุฟูซิเลียร ซง่ึ มดี อกสสี ม 2. กหุ ลาบพวง หรอื ฟลอรบิ นั ดา ( Foribunda หรอื F.) กุหลาบพวงมคี วามแขง็ แรงทนทานกวา กุหลาบตัดดอก ออกดอกดกแตดอกไมใหญเทากับกุหลาบตัดดอกแตมีครบทุกสี และออกดอกเปน ชอ ทลี ะ หลาย ๆ ดอก จึงนิยมเรียกวากุหลาบพวง และมกั บานพรอ มกนั ดอกมขี นาดเลก็ พมุ ตน ตง้ั ตรงสงู ประมาณ ครึ่งเมตรถึง 1 เมตร เหมาะสมทจ่ี ะปลกู ในแปลงประดบั และในกระถางเชน พันธุฟูซีเลียร, พนั ธแุ องเจลเฟส 3. ประเภทแกรนดฟิ ลอรา (Grandiflora หรอื Gr. ) กุหลาบประเภทนี้เปนกุหลาบลูกผสมระหวาง กุหลาบตัดดอก และกุหลาบพวง มลี กั ษณะเปน ดอกเดย่ี ว แตด อกเลก็ กวา กหุ ลาบตดั ดอก มกี า นยาว ตน โต สูง และแข็งแรง เชน พนั ธคุ าเมลอ็ ท, พันธุคาเสทไนท
4 4. กหุ ลาบ หรอื มินิเอเจอร (Miniature หรอื Min.) เปนกหุ ลาบทม่ี ขี นาดพมุ ตน เลก็ สงู 1- 2 ฟุต ออกดอกเปนพวงและดอกมีขนาดเล็ก นยิ มปลกู ประดบั แปลง และใชเ ปน ไมก ระถาง เชน พนั ธเุ บบี้ มาสเคอร เหรด 5. กุหลาบเลอ้ื ย หรอื ไคลมเบอร (Climher หรอื Cl.) กุหลาบชนดิ นล้ี ําตน สงู ตรง นําไปเลอ้ื ยพนั กบั สิ่งตาง ๆ ไดด อกมที ง้ั เปน ดอกขนาดใหญ และดอกเปน พวง เชน พนั ธดุ อนจวน, พันธุค็อกเทล 6. ประเภทโพลแี อนทา (Polyantha หรอื Pol.) เปนกหุ ลาบลูกผสมระหวา งพนั ธโุ รซา มัลตฟิ อรา กับ โรซา ไชเนนซิสมีขนาดพมุ ตน เตย้ี แข็งแรงและทนทานมาก ออกดอกเปน พวงคลา ยกหุ ลาบพวง ลกั ษณะ ดอกและตนคลายกุหลาบหนูแตจะแตกตางกับกุหลาบหนูตรงท่ีกุหลาบโพลีแอนทาจะมีหูใบที่มีลักษณะของ พันธุโรซา มัลติฟลอรา กุหลาบประเภทนี้ เชน พันธวุ ายวอน ราเบยี 7. ประเภทแรมเบลอร (Rambler หรอื R) มีลําตนยาวและออ นโคง ออกดอกเปน พวง และดอกมี ขนาดเลก็ เชน พันธไดโรที เปอรก นิ 8. กหุ ลาบพมุ หรือซรับโรส (Shrub หรอื S.) ไดแกกหุ ลาบพนั ธปุ า หรอื ลกู ผสมของพนั ธปุ า ซง่ึ มี ทรงตนเปนพมุ ออกดอกเปน ชอ ดอกมขี นาดเลก็ สว นมากมกี ลบี ชน้ั เดยี ว เชน พันธโรซา นติ ดิ า , โรซา มัลตฟิ ลอรา , โรซา รูโกซา การเตรยี มดนิ และการปลกู ถึงแมกุหลาบจะปลูกไดในดินเกือบทุกชนิด แตด นิ ทต่ี า งกนั กย็ อ มทําให การเจรญิ เตบิ โตดเี ลวตา งกนั ออกไป ดังนน้ั กอ นปลกู ควรเตรยี มดนิ ดงั น้ี ในภาคกลางซึ่งมีสภาพดินคอนขางเหนียว และคอนขางเปนกรดจดั ระดบั น้ําใตด นิ สงู เกษตรกร ผูปลูกกุหลาบจะนิยมปลกู แบบรองสวน ซง่ึ มคี นู ้ําคน่ั กลาง โดยเรม่ิ เตรยี มดนิ ในฤดแู ลง คอื จะตอ งฟน ดนิ และ ตากดินใหแหงเพ่อื กําจัดวัชพืช กอ นในขณะทต่ี ากดนิ นอ้ี าจโรยปนู ขาวลงไปดว ยกไ็ ด เมอ่ื ดนิ แหง ดแี ลว จงึ กลบั หนาดิน และชักดินในแตล ะแปลงใหม ขี อบสงู ตรงกลางเปน แอง เลก็ นอ ย ขนาด ของแปลงกวา งและยาวตาม พื้นที่เดิมที่เคยปลูกผักมาแลว การวางระยะหา งของ ตนที่จะปลูกอาจใชระยะ 50 x 50 เซนตเิ มตร จํานวน แถวในแตละแปลงไมค วร เกิน 3 แถว เพอ่ื ความสะดวกในการตดั ดอกและตดั แตง กง่ิ ตรงแถวกลาง สําหรับใน ภาคอ่ืนท่ีมีสภาพดนิ คอ นขา งรว นหรอื ดนิ รว นปนทราย อาจ ปลูกแบบเจาะหลุมปลูกหรือแยกแปลงปลูกก็ได โดยวัดขนาดแปลงปลูกกวาง 1 .20 เมตร เวน ทางเดนิ 1 เมตร ความยาวของแปลงปลกู ตามขนาดของพน้ื ที่ และใช ระยะปลูก 60 x60 เซนตเิ มตร ซึ่งจะไดจํานวนตน ประมาณ 2,000 ตน ตอ ไร (หรือ ทําแปลงปลกู กวาง 1เมตร เวน ทางเดนิ 1 เมตร และใชระยะปลูก 50 x 50 เซนตเิ มตร สําหรบั พนั ธกุ หุ ลาบทข่ี นาดของ ทรงพุมไมแผกวางมากนัก) กอ นปลกู ควรหวา นปนู ขาวและไถพรวนตากดินไวใ หแหง กุหลาบสามารถปลูกไดท ง้ั ในดนิ ทเ่ี ปน กรดหรอื ดา ง แตเ จรญิ ไดด ใี นดนิ ทค่ี อ นขา งเปน กรดเลก็ นอ ย คือมี pH ประมาณ 4.5-6.5 ถา ดนิ เปน กรดมากใหเ ตมิ ปนู ขาว 60-100 กโิ ลกรมั ตอ 100 ตารางวา แตถา
5 ดินเปนดางก็ใสกํามะถนั ผง 20-50 กโิ ลกรมั ตอ 100 ตารางวา เมอ่ื เตรยี มแปลงปลกู เรยี บรอ ยแลว ใหข ดุ หลุม ปลูกกวา งและลกึ 30 x 30 เซนตเิ มตร (ถา เตรยี มหลมุ ปลกู กวา งและลกึ กวา น้ี จะ เปน การดยี ง่ิ ขน้ึ ) จาก นั้นก็จะใสปุยคอก เชน ขเ้ี ปด ขี้ไก ขว้ี วั ฯลฯ ประมาณหลมุ ละ 1 บงุ ก๋ี ใสปุยซุปเปอรฟอสเฟต หรือกระดูกปน เปนปุยรองกน หลมุ ๆ ละ 1 กํามอื คลกุ เคลา ใหเ ขา กนั แลว จงึ นํากง่ิ พนั ธกุ หุ ลาบซง่ึ อาจจะเปน กง่ิ ตอนหรอื ตน ติดตา ลงไปปลกู กลบดนิ ทโ่ี คนตน ใหก ระชบั และรดน้ําใหชุม กิ่งพันธุที่นิยมนํามาปลกู เพอ่ื ตดั ดอกเปน การคา ในปจ จบุ นั ไดแก กง่ิ ตดั ชํา และกง่ิ ตอนจะมเี กษตรกร บางรายที่ปลูกโดยใชตนติดตา แตม นี อ ยราย การขยายพนั ธุ การขยายพนั ธกุ หุ ลาบทน่ี ยิ มใชม ี 3 วธิ ี คอื 1. การตัดชํา วิธีการตัดชําที่นิยมทําอยูทั่วไป คอื เลอื กกง่ิ กหุ ลาบทไ่ี มแ กแ ละไมอ อ น จนเกินไปนํามาตดั เปน ทอ น ประมาณ 12-15 เซนตเิ มตร หรือ 1 คบื รอยตดั ตอ ง อยใู ตข อ พอดแี ลว ตดั ใบตรงโคนกง่ิ ออก จากนน้ั เฉอื น โคนทิ้ง แลว จมุ โคนกง่ิ ตดั ชําน้ี ในฮอรโ มนเรง ราก เซน เซอราดิกส เบอร 2 (เพอ่ื ชว ยเรง ใหอ อกรากเรว็ ขน้ึ ) แลวผึ่งใหแหงนําไปปกชําในแปลงพน หมอกกลางแจง ถา ไมม แี ปลงพน หมอกกใ็ ชเ ครอ่ื งพน น้ํารดสนามหญา ก็ ไดแลวใหนํ้าเปนระยะๆ ตามความจําเปนโดยมีหลักวาอยาใหใบกุหลาบแหง กิ่งกุหลาบจะออกรากใน 12-15 วัน แลวแตพันธุ การชํากง่ิ น้ี นยิ มทํากนั มากในปจ จบุ นั เพราะไดจ ํานวนตน มากในระยะเวลาสน้ั เสยี คาใชจ า ยนอ ย แตกิ่งชํานเ้ี มอ่ื นําไปปลูกตนจะโทรมเรว็ ภายใน 3- 4 ป ซง่ึ กหุ ลาบพนั ธสุ เี หลอื ง และสขี าวมกั จะออกรากยาก ตดั ก่ิงกหุ ลาบเปนทอนประมาณ 12-15 ซม. เฉอื นโคนกง่ิ ทิ้ง จมุ โคนกง่ิ ตดั ชําในฮอรโมนเรงราก 2. การตอน ก่ิงท่ีใชตอนมกั มาจากกง่ิ ทม่ี สี ภาพแตกตา งกนั ทง้ั กง่ิ ออ นและกง่ิ แก คละกันไปทําใหการเจริญเติบโต ของตนกุหลาบหลังลงแปลงปลกู ในแปลงไมส ม่ําเสมอ ซง่ึ การตอนนจ้ี ะใชเ วลาในการเกดิ ราก นานประมาณ 4-7 สัปดาห ทั้งนี้แลวแตพันธุที่จะใชตอน 3. การตดิ ตา วิธีการทําตน กหุ ลาบตดิ ตานค้ี อ นขา งยงุ ยากและตอ งใชเ วลาในการทํา นานกวา 2 วิธีแรก คอื ตง้ั แต
6 เร่ิมตัดชําตน ตอปา จนถงึ พนั ธดุ ที นี ําไปตดิ นน้ั ออก ดอกแรกจะใชเ วลาประมาณ 5-6 เดอื น โดยในขน้ั แรกจะ ตองตัดชําตน ตอปา (ของกหุ ลาบปา ) ใหอ อกราก และเลย้ี งตน ตอปา นน้ั ใหแ ตกยอดใหมย าวเกนิ 1 ฟตุ ขน้ึ ไป ซ่ึงจะใชเ วลาประมาณ 3 เดอื น (หลงั ตดั ชําและออกราก) จากนั้นจึงนําตาพนั ธดุ ที ต่ี อ งการไปตดิ ตาทบ่ี รเิ วณ โคนของตนตอปา การตดิ ตานจ้ี ะตอ งอาศยั ฝม อื และความชํานาญพอสมควร โดยจะใชวิการติดตาแบบใดก็ได เชน แบบตัวที เปน ตน วิธตี ดิ ตา วิธีติดตากหุ ลาบที่ไดผ ลดคี ือการติดตาแบบทเี่ รยี กวารปู ตัวที หรอื แบบโล มีวิธีทําดงั น้ี คอื 1. เลอื กบรเิ วณทจ่ี ะตดิ ตา ซึ่งโดยทั่วไปแลวจะพยายามติดตาใหตํ่าที่สุดเทาที่จะทําได คอื ประมาณไม เกิน 3 น้ิว นบั จากผวิ ดนิ แลว ใชก รรไกรหรอื มดี ตดั หนามตรงบรเิ วณทจ่ี ะตดิ ตาออกโดยรอบกิ่ง 2. ใชปลายมดี กรดี ทเ่ี ปลอื กเปน รปู ตวั ที แลว เผยอเปลอื กตรงรอยกรดี ดานบนใหเ ปด ออกเลก็ นอ ย 3. เฉอื นตาเปน รปู โล ใหไดแผนตํายาวประมาณ 1 นว้ิ และใหแ ผน ตานน้ั มเี นอ้ื ไมต ดิ มาดว ยเพยี ง บางๆ ไมตองแกะเนอ้ื ไมต ดิ มามาก ใหล อกเนอ้ื ไมอ อกอยา งระมดั ระวงั อยา ใหแ ผน ตาโคง งอหรอื บอบช้ํา 4. นําแผน ตาไปเสยี บลงทร่ี อยกรดี ของตน ตออยา งระมดั ระวงั อยา ใหแ ผน ตาชํ้า โดยใชมือซายจับแผน ตา (ตรงกานใบ) คอ ยๆ กดลงไปขณะเดยี วกนั มอื ขวา กค็ อ ยเปด เปลอื กชว ยแลว พันดวยพลาสติก เพื่อใหตา เจริญเติบโตเรว็ ขน้ึ ควรปลอยใหกิ่งใหมเจริญเติบโตจนกระทั่ง กง่ิ ใหมย าวพอสมควรแลว จงึ ตดั ตน ตอทอ่ี ยู เหนือก่ิงใหมอ อกทง้ั หมด สําหรบั พลาสติกทต่ี ดิ ตาอยนู นั้ อาจจะปลอยใหผุ หรือหลุดไปเองก็ไดถ า เห็นวา แผน พลาสติกน้ันรัดตน เดมิ แนน เกนิ ไป หรอื ไปขดั ขวางการเจรญิ เตบิ โตของกง่ิ ใหมก ใ็ หแ กะออก สาํ หรับกิ่งที่แตก ออกมาใหมนี้ ควรมีไมผูกพยุงกง่ิ ไวเ สมอ เพราะอาจจะเกดิ การฉกี ขาดตรงรอยตอ ไดง า ย เนอ่ื งจากรอย ประสานยังไมแ ข็งแรงนัก ในกรณที ก่ี ารตดิ ตานน้ั ไมไ ดผ ล คอื แผน ตาทน่ี ําไปตดิ ตานน้ั เปลย่ี นเปน สนี ้ําตาล หรอื สดี ําใหรีบแกะ แผนพลาสติกและแผนตานน้ั ออกแลว ตดิ ตาใหมใ นดา น ตรงขา มกบั ของเดมิ หากไมไ ดผ ลอกี ตอ งเลย้ี งดตู น ตอ น้ันจนกวา รอยแผลจะเชอ่ื มกน ดแี ลว จงึ นํามาตดิ ตาใหมไ ด สําหรบั การตดิ ตาในกหุ ลาบแบบทรงตน สงู (Standard) นั้นก็ทาํ เชน เดียวกัน เพยี งแตต ําแหนงที่ติด ตาอยูในระดับสูงกวา เทา นัน้ เอง การตดิ ตาจะตดิ ทต่ี น ตอหรอื กง่ิ ขนาดใหญท แ่ี ตกออกมากไ็ ด การใหน้ํากุหลาบ กุหลาบเปนพชื ทตี่ องการความชนื้ สูง ปรมิ าณน้ําทร่ี ดลงไปในดนิ ปลกู ควร กะใหนํ้าซมึ ไดล กึ ประมาณ 16-18 นว้ิ และอาจเวน ระยะการรดน้ําไดค อื ไมจําเปน ตอ งรดน้ําทุกวัน (ทง้ั นข้ี น้ึ อยกู บั สภาพดนิ ปลกู ) มขี อ ควรจําอยางย่ิงในการรดน้ํา กุหลาบคือ อยา รดน้ําใหโ ดนใบเนอ่ื งจากโรคบางโรคทอ่ี ยตู ามใบหรอื กง่ิ จะแพร ระบาด กระจายไปไดโดยงาย การใหน ้ํากไ็ มค วรใหน ้ํากระแทกดนิ ปลกู แรงๆ เพราะเมด็ ดนิ จะกระเดน็ ขน้ึ ไป จับใบกุหลาบ ทําใหเ ชอ้ื โรคบางชนดิ ทอ่ี าศยั อยใู นดนิ ระบาดกลบั ขนึ้ ไปทีต่ นโดยงา ยและถา จําเปน จะตอ งรด น้าํ ใหเ ปยกใบควรจะรดน้ําในตอนเชา
7 การใสป ยุ ในระยะแรกของการปลกู จะเปน ระยะทต่ี น กหุ ลาบเจรญิ เตบิ โตสรา งใบ และกิ่ง ควรใสป ยุ เคมที ม่ี สี ตู ร ตัวแรกคอื ไนโตรเจนสงู โดยใสทุก 15 หรือ 30 วัน อตั ราการใส 1 กํามอื ตอ ตน กอ นใสป ยุ ควรมกี ารพรวน ดินตื้นๆ อยา ใหก ระทบรากมากนัก แลวโรยปุยใหรอบๆ ตน หา งจากโคนตน 4-6 นว้ิ แลว แตข นาดของทรง พุม จากนน้ั กร็ ดน้ําตามใหซ มุ (แตอ ยา รดน้ําจนโชก) เมอ่ื กหุ ลาบเรม่ิ ใหด อก ควรใชป ยุ เคมที ม่ี ฟี อสฟอรสั และ โปแตสเซ่ียมสูงควบคูกันไป เพื่อเรงการออกดอกและทําใหก า นดอกแขง็ แรง นอกจากนอ้ี าจจะใหปุย ทางใบ เพิ่มเติมก็จะเปนการดี ขอ ควรระวงั ในการใสป ยุ หลังจากปลูกแลว คอื ควรโรยปุยใหกระจายรอบๆ ตน อยา ง สม่ําเสมออยา ใสเ ปน กระจกุ ๆ ที่จุดใดจุดหนึ่ง เพราะอาจทําใหเ กดิ ความเสยี หายตอ ตน กหุ ลาบได เนอ่ื งจากมี ความเขม ขน ของปยุ ตรงจดุ ทใ่ี สม ากเกนิ ไป การปอ งกนั กําจดั วัชพชื ในแปลงปลกู อาจจะใชแรงงานคนเก็บถอนหรือใชสารเคมกี ําจัดวัชพืชซึ่งมีทั้งชนิดคุม กําเนิดและชนิดที่ถูกทําลาย ตนตาย (อัตราการใชจ ะระบอุ ยทู ฉ่ี ลากของขวด) ขอ ควรระวงั ในการใชส ารเคมเี พอ่ื กําจัดวัชพืชนี้ คอื พยายาม หลีกเล่ียงที่จะฉีดพนสาร ใหถ กู ตน หรอื ใบกหุ ลาบและไมใ ชถ งั ฉดี พน ปะปนกบั ถงั ทใ่ี ชพ น สารเคมปี อ งกนั กําจัด โรคและแมลง การคลกุ ดนิ แปลงปลกู เน่ืองจากกุหลาบเปน พชื ทต่ี อ งการแสงแดดจดั อยา งนอ ยวนั ละ 6 ชั่วโมง ดงั นน้ั สถานทป่ี ลกู กหุ ลาบ จึงตองเปนที่โลงแจงและจะตองมีความชื้นสูงดวย การคลมุ แปลงปลกู จงึ เปน สง่ิ จําเปน สา หรบั การปลกู กหุ ลาบ โดยใชวัสดทุ ห่ี าไดง า ยในทอ งถน่ิ นน้ั ๆ เซน หญาแหง ฟาง เปลอื กถว่ั ลสิ ง ซังขาวโพด ชานออ ย ขุยมะพาว แกลบ และขเ้ี ลอ่ื ย เปน ตน ควรจําไววาวัสดุที่จะนํามาคลมุ แปลงปลกู น้ี ควรเปน วสั ดทุ เ่ี กา คอื เรม่ิ สลายตวั แลวมิฉะน้ันจะทําใหเ กดิ การขาดไนโตรเจนกบั ตน กหุ ลาบ ดงั นน้ั ถา ไซว สั ดทุ ค่ี ลมุ แปลงคอ นขา งใหมค วรเตมิ ปุยไนโตรเจนลงไปดวย การคลมุ แปลงนน้ี อกจากจะชว ยรกั ษาความชน้ื และอณุ หภมู ิ รวมทง้ั เพม่ิ ความโปรง ของดิน และเพม่ิ อนิ ทรยี วตั ถใุ หก บั ดนิ ในแปลงปลกู แลว ยงั ชว ยปอ งกนั วชั พชื ใหข น้ึ ชา อกี ดว ย การตดั แตง กง่ิ การตดั แตง กง่ิ เปน สง่ิ จําเปน สําหรับการปลกู กุหลาบ ถาผูปลูกกหุ ลาบไมม ีการตัดแตง กิง่ เลยกจ็ ะทํา ใหตนกุหลาบเจรญิ เตบิ โตอยางอิสระ แตกกง่ิ กา นมาก เกินไป ทําใหด อกมขี นาดเลก็ ไมเ ปน ทต่ี อ งการของ ตลาด ดังน้ัน เกษตรกรจงึ ควรมกี ารตดั แตง กง่ิ เพอ่ื ใหต น ไดร ปู ทรง พมุ ตน และโคนตน โปรง ไดร บั แสงแดด มากขึ้น ดอกที่ไดจะมีขนาดใหญและมีคุณภาพดี นอกจากนก้ี ารตดั แตง กง่ิ ยงั ชว ยกําจัดโรคและแมลงที่แอบแฝง อยูในพุมตนไดด อี กี ดว ย รวมทง้ั สามารถแตง ดนิ ในแปลงปลกู ไดส ะดวก ทําใหก หุ ลาบทไ่ี ดม กี ารตดั แตง กง่ิ แลว เจรญิ เตบิ โตดขี น้ึ
8 การตัดแตง กง่ิ กหุ ลาบสามารถทําได 2 แบบ คอื 1. การตดั แตง กง่ิ แบบใหเ หลอื กง่ิ ไวก บั ตน ยาว คอื ตดั แตง กง่ิ ออกเพียงเล็กนอย โดยใหเ หลอื กง่ิ ทม่ี ใี บสมบรู ณไ วม าก เพอ่ื ใหม อี าหาร เลี้ยงตนมาก การตดั แตง กง่ิ มหี ลกั ในการพจิ ารณาเลอื กกง่ิ ทจ่ี ะตอ งตดั ออก คอื กิ่งที่แหงตาย กง่ิ ทเ่ี ปน โรค หรือถูกแมลงทําลายกิ่งไขวที่เจริญเขาหา ทรงพุมก่ิงทล่ี ม เอนไมเ ปน ระเบยี บ ควรจะตอ งใหต าทอ่ี ยบู นสดุ ของกง่ิ หนั ออกนอกพุมตน เพ่ือใหก ่งิ ทีแ่ ตกใหมหันออกนอกทรงพมุ ดวยและตัดกงิ่ ให การตดั แตง กง่ิ แบบใหเ หลอื กง่ิ ไว เฉียง 45 องศา สาํ หรบั การตดั แตง กง่ิ แบบใหเ หลอื กง่ิ ไวก บั ตน ยาวน้ี ใชไ ด กบั ตน ยาว กับกุหลาบที่ปลูกจากกิ่งตัดชําและกง่ิ ตอน 2. การตดั แตง กง่ิ แบบใหเ ลอื กกง่ิ ไวก บั ตน สน้ั คือ ตดั แตงกง่ิ จน เหลือก่ิงบนตน สงู จากพน้ื ดนิ ประมาณ 30-45 เซนตเิ มตร แลว เหลอื กง่ิ ไว 3-4 กง่ิ เทา นน้ั การตดั แตง กง่ิ แบบนจ้ี ะตัดแตงไดเ ฉพาะตน กหุ ลาบทป่ี ลกู จากตนตดิ ตาเพยี งอยา งเดยี วเทา นน้ั ถาตน ตดิ ตานน้ั มอี ายนุ อ ยกวา 2 ป ใหตัดแตง กง่ิ แบบแรกแตต อ งตดั เพม่ิ เตมิ อกี คอื กง่ิ แกทไ่ี มต องการและกิง่ ชกั เกอร (กง่ิ ของตน ตอซง่ึ เปน กหุ ลาบพนั ธปุ า ) สาํ หรับระยะเวลาที่เหมาะสม ตอการตัดแตงก่งิ คอื ตน ฤดฝู น เมอ่ื ตดั แตง กง่ิ ใหน อ ยลงตามความตอ งการ แลวควรใชปนู แดงผสมกบั ยากนั รา หรอื ใชส นี ้ํามนั ทาบนรอยแผลทต่ี ดั เพอ่ื การตดั แตง แบบใหเ หลอื กง่ิ ไวก บั ตน สน้ั ปองกันการเนา ลกุ ลามของเชอ้ื ราจากรอบแผลทต่ี ดั นอกจากน้ี ควรเก็บกิ่ง และใบท่ีตัดออก ทําความสะอาดแปลงใหเ รยี บรอ ยดว ยแลว จงึ แตง ดนิ ในแปลงปลกู คอื ไถพรวนหนา ดนิ ใสป ยุ คอก ปุย เคมี รวมทง้ั ใชว สั ดคุ ลมุ แปลงปลกู พรอ มทง้ั รดน้ําใหชุม ดวย จะทําใหกหุ ลาบแตกตาไดเ ร็วและไดต นท่ี สมบรู ณ การตดั ดอกกหุ ลาบ การตัดดอกกุหลาบเพือ่ จําหนา ยนน้ั ควรใหมกี ง่ิ เหลอื อยอู ยา งนอ ย 2 กิ่ง เสมอ (กง่ิ ทม่ี ใี บยอ ยครบ 5 ใบ) ไมควรตดั ชดิ โคนกง่ิ และเมอ่ื ตดั ดอกออกจาก ตนแลวใหรีบแชกาน ดอกในน้ําทนั ทเี พอ่ื ปอ งกนั การสญู เสยี น้ําจากกิ่ง โดยทั่วไป เกษตรกร นิยมตัดดอกในตอนบา ยและเยน็ หรอื อาจตดั ในตอนเชา กไ็ ด (เพื่อจะ ไดสงตลาดทนั เวลา) แตเ นอ่ื งจากดอกกหุ ลาบมอี ายกุ ารใชง านสน้ั และ กลีบดอกก็ชํ้าไดง า ย ฉะนน้ั การตดั ดอกกหุ ลาบในชว งทย่ี งั ไมเ หมาะสม จะทําใหเกิดปญหาได เชน ถา ตดั ดอกตมู เกนิ ไป ดอกกจ็ ะไมบ านและ คอดอกจะโคง งองา ย แตถ า ตดั ดอกทบ่ี านเกนิ ไป ดอกกุหลาบจะบาน จมุ โคนกง่ิ ทต่ี ดั ชําในฮอรโมนเรงราก เรว็ และมีอายุการปกแจกันสั้น
9 โรคและแมลงศัตรูกุหลาบ 1. โรคใบจดุ เกิดจากเช้อื รา มลี กั ษณะอาการเปน จดุ ดํากลมบนใบ สวนใหญจะเปนกับใบแกจะทําให ใบเหลืองและรวงในเวลาตอ มา บางครง้ั ถา เปน มากอาจ ลกุ ลามมาทก่ี ง่ิ ดว ย ระบาดมากในฤดฝู น ควรปอ งกนั โดยฉดี พน ดว ยสารเคมี เชน ดปู ราวทิ ไดเทนเอม็ -45 แคปแทน เบนเสทและเบนโนมลิ 2. โรคราแปง เกิดจากเชอ้ื รา โรคนจ้ี ะเปน กบั ยอดออ นและ ดอกออ น มลี กั ษณะเปน ปยุ ขาวคลา ย แปงทําใหส ว นของพชื ทเ่ี ปน โรคนเ้ี กดิ อาการหงกิ งอไมเ จรญิ เตบิ โตตอ ไป ระบาดมากในฤดหู นาว ควรปอ งกนั โดยฉีดพน ดว ยสารเคมี เชน เบนเสท ดาโคนลิ และคาราแทน 3. โรคหนามดํา เกิดจากเชอ้ื ราโดยเชือ้ ราน้ีจะเขาทําลายแผล ทเ่ี กดิ จากรอยตดั หรอื เดด็ หนามของ ก่ิงออนแลว ลกุ ลามไปเรอ่ื ยๆ ตามกง่ิ กา น ทําใหกิ่งกานเหี่ยวแหงตายไปในที่สุด ควรปอ งกนั โดยทาแผลจาก รอยตดั ดว ยปนู แดง 4. โรคใบจดุ สนี ้ําตาลหรอื โรคตากบ เกิดจากเชอ้ื รา มลี กั ษณะอาการเปน จดุ กลมสนี ้ําตาลขนาด 1/4 น้ิว แลวจะเปลย่ี นเปน วงกลมสเี ทามขี อบสมี ว ง-แดง ระบาดมากในฤดฝู น ควรปอ งกนั โดยใชส ารเคมเี บน เสทไดเทนหรือแบนแซดดี 5. โรคไวรัส เกิดจากเชื้อไวรัส ลักษณะอาการจะปรากฎใหเห็นที่ใบ โดยใบจะดา งเหลือ เมอ่ื พบวา ตนกหุ ลาบเปน โรคนใ้ี หถ อนและเผาทําลายเสยี หนอนและแมลงชนิดตางๆ 1. หนอนเจาะดอก เปนหนอนผีเส้ือกลางคนื ขนาดเลก็ ซง่ึ จะวางไขอ ยทู ก่ี ลบี ดอกดา นนอก เมอ่ื ไขฟ ก ออกเปนตัวจะกดั กนิ ดอกและอาศยั อยใู นดอก ระบาดมากชว งทก่ี หุ ลาบใหด อกดก หรอื ในชว งฤดหู นาว ควร ปองกนั โดยใชส ารเคมี ประเภทดูดซึม เชน ดิลดรนิ ฟอสดรนิ 2. หนอนกินใบ เปนหนอนของผเี สอ้ื กลางคนื มกั วางไขอ ยใู ตใ บ เมอ่ื ไขฟ ก เปน ตวั หนอนกจ็ ะทําลาย ใบที่อาศัย บางชนดิ ทําลายเฉพาะผวิ เนอ้ื ใตใ บทําใหใ บมลี กั ษณะโปรง ใสมองเหน็ ไดช ดั เจน สารเคมที ใ่ี ชไ ดผ ลดี เชน เอนดรนิ 3. หนอนเจาะตน เปนหนอนของผ้ึงบางชนดิ และหนอนของแมลงวนั บางชนดิ อาจจะเปน หนอนของ พวกตอแตนดว ย หนอนชนดิ นจ้ี ะเจาะกนิ ไสก ลาง และบรเิ วณทอ น้ําของกง่ิ หรอื ตน ทําใหก ง่ิ และตน แหง ตาย ควรปอ งกนั กําจัด โดยการตรวจดบู รเิ วณรอยตอ ระหวา งกง่ิ แหง และกง่ิ ดี หากพบตัวหนอนก็ทําลายเสยี หรือ ปองกนั โดยการตดั แตง กง่ิ ตามกําหนด 4. แมลงปกแข็ง บางทีเรียกดวงปกแข็ง มที ง้ั ชนดิ ตวั สดี ําและสนี ้ําตาล ขนาดประมาณ 1.5-2 เซนติเมตร ออกหากนิ ในเวลากลางคนื ระหวา ง 1-3 ทุม โดยการกัดกนิ ใบกหุ ลาบ สว นในเวลากลางวนั จะ ซอนตัวอยตู ามกอหญา ปอ งกนั โดยใชส ารเคมี เชน คลอเดน หรือ เซพวิน 5. ผึ้งกัดใบ จะกัดกินใบกหุ ลาบในชว งเวลากลางวนั สงั เกตไดท ร่ี อยแผลมกั จะเปน รอยเหมอื นถกู เฉือนดวยมดี คมๆ เปน รปู โคง ปอ งกนั ไดเ ชน เดยี วกบั แมลงปก แขง็ 6. เพลย้ี ไฟ เปน แมลงปากดดู มสี นี ้าํ ตาลดํา ตวั ออ นสขี าวนวลจะดดู กนิ น้ําเลย้ี งจากใบและดอก ทําใหดอกที่ถูกทําลายไมบ าน ระบาดมากในฤดรู อ น ปอ งกนั โดยการฉดี พน ดว ยสารเคมี เชน โตกไุ ทออน
10 คลอเดนหรอื นโิ คตินซลั เฟต 7. เพลย้ี แปง เปนแมลงปากดดู มกั เกาะกนิ ตามใบออ นหรอื งา มใบ ทาํ ใหใบหงิกงอ ควรปอ งกนั กําจัด โดยใชสารเคมกี ําจดั แตต อ งผสมสารเคลอื บใบลงไป ดว ยเพราะบนตวั เพลย้ี แปง จะมขี นปยุ สขี าวปกคลมุ ซง่ึ มี ลกั ษณะเปน มนั จบั น้ําไดย าก 8. เพลย้ี หอย เปน แมลงปากดดู มักเกาะทําลายโดยดดู น้ําเลย้ี งจากลําตน จะสงั เกตเปน เปน จดุ สนี ้ํา ตาลอยูบนกิ่งของกุหลาบ เพลี้ยหอยนี้มีลักษณะพิเศษ คอื ตวั ของมนั จะมเี ปลอื กหมุ หนาทําใหแ มลงซมึ เขา ถงึ ตัวไดย าก ฉะนน้ั วธิ กี ําจัดที่ไดผลดีก็คือ ใชน ้ํามนั ทาหรอื ฉดี พน เคลอื บตวั มนั ไว ทําใหเพลี้ยไมมีทางหายใจ และ ตายในท่สี ดุ แตเ มื่อเพล้ยี ตายแลว จะไมห ลุดจากลําตน จะยงั ตดิ อยทู เ่ี ดมิ 9. เพลย้ี ออ น เปนแมลงปากดูด ทําลายพชื ตรงบรเิ วณสว นทเ่ี ปน ยอดออ นและใบออ น ทําใหใ บเหลอื ง และรว งหลน ควรปอ งกนั กําจดั โดยใชส ารเคมี เชน ฟอสดรนิ เอนดรนิ และพาราไธออน เปน ตน 10. แมงมุมแดง เปนแมงชนิดหน่ึงทีไ่ มใ ชแ มลง ตวั มขี นาดเลก็ มากเหน็ เพยี งจดุ สแี ดงอยตู ามใตใ บ โดยจะเกาะและดดู น้ําเลี้ยงจากใบที่ถูกทําลายนน้ั ปรากฏเปน จดุ สเี หลอื งซง่ึ มองเหน็ ไดบ นหลงั ใบ สาํ หรบั สาร เคมีที่ใชกําจดั ไดผ ลคอื เคลเทน สรปุ กุหลาบเปน ไมต ดั ดอกชนดิ หนง่ึ ทน่ี า สนใจจะทําการปลกู เนอ่ื งจากใชป ระโยชน ไดหลายอยางไมวาจะ ปลูกเพื่อตัดดอกบูชาพระหรือปกแจกันประดับโตะใหสวยงาม แมก ระทง่ั ปลกู ตดั ดอกขายกย็ งั มรี ายไดด ไี มแ พ พืชชนิดอ่ืนๆ และตลาดกหุ ลาบกก็ วา งขวางเปน ทน่ี ยิ มของคนทว่ั ไป ขายไดง า ย นอกจากนน้ั แลว ผปู ลกู กหุ ลาบ ยังสามารถหารายไดจากการขยายพันธุกิ่งตอน กง่ิ ตดิ ตา และตน ลา งรากอกี ดว ย จะเห็นไดวากุหลาบเปนพืชที่ นาปลูกเปนไดอยางยิ่ง เน่ืองจากสามารถทํารายไดไดห ลายทางหรอื จะกลา ววา เกือบทกุ สวนของกุหลาบเปน เงินเปนทองทั้งสิ้นและสิ่งสําคัญที่สุด อนั เปน คณุ ลกั ษณะเดน ของกหุ ลาบคอื เปน พชื ทม่ี ตี ลาดกวา งขวางและถา ผูปลูกไดมีการปรับปรุงคุณภาพใหดีมีดอกใหญกานยาวก็จะเปนที่ตองการของตลาด ทั้งภายในและตาง ประเทศเปนแนแท
11 เอกสารอา งองิ 1. กรมสง เสรมิ การเกษตร. 2533. ขอมลู การผลติ ไมต ดั ดอกทส่ี ําคญั . งานไมด อกไมป ระดบั กลมุ พืชสวน กองสง เสรมิ พชื พนั ธุ. 2. กรมสง เสรมิ การเกษตร. 2533. คมู อื การผลติ ไมต ดั ดอก. งานไมด อกไมป ระดบั กลุมพืชสวน กองสง เสรมิ พชื พนั ธุ. 3. กรมสง เสรมิ การเกษตร. 2530. คูมือการผลติ ไมต ดั ดอกเพอ่ื การสง ออก. งานไมด อกไมป ระดบั กลุมพืชสวน กองสง เสรมิ พชื พนั ธุ. 4. กรมสง เสรมิ การเกษตร. 2531. รายงานการสัมมนา เรอ่ื ง การผลติ กหุ ลาบ เพอ่ื การสง ออก. งานไมดอกไมประดับ กลุมพืชสวน กองสง เสรมิ พชื พนั ธุ. 5. คณะกรรมการบรหิ ารกลมุ ผปู ลกู กหุ ลาบเชยี งใหม. 2534. คูมือสมาชกิ กลมุ ผปู ลกู กหุ ลาบ เชียงใหม. 6. ณัฐยา สามพระยา. ม.ม.ป. คุยกันเรอ่ื งกหุ ลาบ. สาขาไมด อกไมป ระดบั กองพืชสวน กรมวชิ าการ เกษตร. 7. สมเพียร เกษมทรัพย. 2528. การปลกู ไมต ดั ดอก. ฟนนี่พับบลิชชิง กรุงเทพฯ. 8. สมเพียร เกษมทรัพย. 2532. เทคโนโลยีการผลิตและธุรกจิ ไมต ดั ดอก. กรุงเทพฯ. 9. สายชล เกตุอุษา. 2531. เทคโนโลยหี ลงั การเกบ็ เกย่ี วของดอกไม.ภาควิชาพืชสวน คณะเกษตร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร. จดั ทาํ เอกสารอิเล็กทรอนิกสโดย : สาํ นกั สง เสรมิ และฝก อบรม มหาวทิ ยาลยั เกษตรศาสตร
Search
Read the Text Version
- 1 - 11
Pages: