คู่มือการผลิตไมต้ ดั ดอก : กรมส่งเสริมการเกษตร คณะผจู้ ดั ทาํ : นายสมชาย สุคนธสิงห์ ที่ปรึกษา : นายโอฬาร พทิ กั ษ์ เรียบเรียง : นางภาวนา อศั วะประภา \" : นายทวพี งศ์ สุวรรณโร \" : นายเศรษฐพงศ์ เลขะวฒั นะ \" : นายอภิชาติ สุวรรณ \"
อุตสาหกรรมกลว้ ยไมข้ องประเทศไดเ้ จริญกา้ วหนา้ อยา่ งมาก และทาํ รายไดเ้ ขา้ สู่ประเทศเป็นอบั ดบั หน่ึงใน จาํ นวนไมด้ อกไมป้ ระดบั ท้งั หมดที่มีการส่งออก ซ่ึงการส่งออกดอกกลว้ ยไม้ และตน้ กลว้ ยไมม้ ีปริมาณและมลู ค่าเพมิ่ ข้ึน โดยตลอด ในปี 2535 กรมเศรษฐกิจการพาณิชยร์ ายงานปริมาณการส่งดอกกลว้ ยไม้ 11,142 ตนั เป็นมลู ค่า 701.3 ลา้ นบาท และส่งออกตน้ กลว้ ยไมป้ ริมาณ 939 ตนั มลู คา่ 86.5 ลา้ นบาท สาํ หรับพ้ืนท่ีปลูกกลว้ ยไมท้ วั่ ประเทศต้งั แต่ปี 2530-31 จนถึง ปัจจุบนั คอ่ นขา้ งคงที่โดยมีพ้นื ท่ีปลูกประมาณ 12,000 ไร่ ส่วนใหญ่อยใู่ นเขตกรุงเทพฯ และจงั หวดั ใกลเ้ คียง ไดแ้ ก่ นครปฐม, สมุทรสาคร, ราชบุรี ปทุมธานี และพระนครศรีอยธุ ยา เน่ืองจากสภาพภมู ิอากาศเหมาะกบั การเจริญเติบโตของกลว้ ยไม้ ใกลแ้ หล่งน้าํ ตลาด และมีการคมนาคมขนส่งที่สะดวก และปัจจุบนั พ้นื ท่ีปลูกกลว้ ยไมม้ ีแนวโนม้ ท่ีจะยา้ ยจากกรุงเทพฯ ไปจงั หวดั ใกลเ้ คียงมากข้ึน เนื่องจาก ท่ีดินมีราคาสูงและมีปัญหามลภาวะของน้าํ และอากาศ ซ่ึงมีผลต่อการเจริญเติบโต และคุณภาพของกลว้ ยไม้ กลว้ ยไมเ้ ป็นพชื ท่ีมีรากก่ึงอากาศ ลาํ ตน้ ท่ีเห็นโผล่พน้ จากเครื่องปลูกแยกไดเ้ ป็น 2 ประเภท คือ ลาํ ตน้ แทจ้ ริง มีขอ้ ปลอ้ ง เหมือนพืชทวั่ ๆ ไป ที่ขอ้ มีตาซ่ึง สามารถเจริญเป็นหน่อใหม่หรือช่อดอก กลว้ ยไมป้ ระเภทน้ีไดแ้ ก่ สกลุ แวนดา้ แมลงปอ อีกประเภทหน่ึงเป็นลาํ ตน้ เทียม เรียกวา่ ลาํ ลกู กลว้ ย (pseudobulbs) ทาํ หนา้ ท่ีสะสมอาหาร ตาที่อยตู่ ามขอ้ บน ๆ ของลาํ ลกู กลว้ ยสามารถแตกเป็นหน่อหรือช่อดอกได้ ลาํ ตน้ ท่ีแทจ้ ริงของกลว้ ยไมป้ ระเภทน้ี คือ เหงา้ (rhizome) ซ่ึงเจริญ ในแนวนอนไปตามผวิ ของเคร่ืองปลูก ลกั ษณะของเหงา้ มีขอ้ และปลอ้ งถี่ กลว้ ยไมใ้ นกลุ่มน้ีไดแ้ ก่ สกลุ หวาย ใบกลว้ ยไมม้ ี หลายลกั ษณะ ไดแ้ ก่ ใบ แบน, ใบกลม และใบร่อง สาํ หรับดอกกลว้ ยไมป้ ระกอบดว้ ย กลีบดอก 6 กลีบ โดยเป็นกลีบดอก ช้นั นอก 3 กลีบ และกลีบดอกช้นั ใน 3 กลีบ กลีบช้นั นอก 2 กลีบที่อยดู่ า้ นขา้ งหรือดา้ นล่าง มีลกั ษณะเหมือนกนั อีก 1 กลีบ อยดู่ า้ นบน อาจมีลกั ษณะแตกต่างออกไป ส่วนกลีบช้นั ในที่อยดู่ า้ นขา้ ง 2 กลีบ มีลกั ษณะ เหมือนกนั อีก 1 กลีบ ท่ีอยู่ ดา้ นล่างมีลกั ษณะแตกต่างไปเรียกวา่ ปากหรือกระเป๋ า (lip) ซ่ึงมีประโยชน์สาํ หรับล่อเมลงเพอื่ ช่วยผสมพนั ธุ์ ดอก กลว้ ยไม้ เป็นดอก สมบรู ณ์เพศ มีส่วนของกา้ นเกสรตวั ผู้ กา้ นและยอดเกสรตวั เมียรวมเป็นอวยั วะเดียวกนั เรียกวา่ เสา้ เกสร โดยอบั เกสรตวั ผอู้ ยทู่ ่ีส่วนปลายเสา้ เกสรและยอด เกสรตวั เมียอยใู่ ตอ้ บั เรณู ลกั ษณะเป็นแอ่งต้ืน ๆ ภายในมีเมือกเหนียวเพอ่ื ช่วยใน การผสมพนั ธุ์ สาํ หรับรังไข่ของดอกกลว้ ยไมอ้ ยตู่ รงส่วนของกา้ นดอก
1. กลีบช้นั นอกกลีบบน - dosal sepa 2. กลีบช้นั นอกคูล่ ่าง - lateral sepal 3. กลีบช้นั ใน - petal 4. ปาก - labelum 5. เสา้ เกสร - column 6. หูกระเป๋ า - side lobe 7. ปลายปาก - midlobe 8. ฐานเสา้ เกสร - column foot 9. เดือยดอก - mentum 10. รังไข่ - ovary 11. ไขอ่ ่อน - ovule 12. กา้ นดอก - pedicel 13. กอ้ นเรณู - pollinia แบ่งตามลกั ษณะการเจริญเติบโตได้ 2 ประเภทคือ 1. ประเภทแตกกอ (Sympodial) ไดแ้ ก่ กลว้ ยไมใ้ นสกลุ หวาย แคทลียา และรองเทา้ นารี กลว้ ยไมป้ ระเภทน้ีมีส่วนของเหงา้ เจริญ ไปตามแนวนอนของ เคร่ืองปลูก และท่ีโคนลาํ ลกู กลว้ ยติดกบั เหงา้ จะมีตาที่สมบูรณ์ 2 ตา เม่ือลาํ ลูกกลว้ ยเจริญจนสุด ลาํ ตาที่โคนตาหน่ึงจะแตกออกมาเป็น ลาํ ใหม่ ส่วนตาอีกขา้ งหน่ึงพกั ตวั ลาํ ท่ีเกิดก่อนซ่ึงเป็นลาํ ท่ีมีอายมุ ากเรียกวา่ ลาํ หลงั ส่วนลาํ ท่ีแตกใหม่มีอายนุ อ้ ยกวา่ เรียกวา่ ลาํ หนา้ สาํ หรับตาที่อยบู่ นลาํ ที่เจริญเตม็ ที่กจ็ ะเปล่ียนเป็นตาดอก
2. ประเภทแวนด้า (Monopodial) เป็นกลว้ ยไมท้ ่ีมีการเจริญเติบโตข้ึนไปทางส่วนยอด คือ ตาที่ยอดจะแตกใบใหม่เจริญข้ึน เรื่อย ๆ ส่วนโคนตน้ จะออก รากไล่ตามยอดข้ึนไป ไดแ้ ก่ กลว้ ยไมส้ กลุ แวนดา้ ชา้ ง กหุ ลาบ เขม็ และแมลงปอ กลว้ ยไมท้ ่ีเหมาะสาํ หรับปลกู เป็นไมต้ ดั ดอกควรมีจุดเด่นท้งั ในดา้ นดอกและการเจริญเติบโต คือ เป็นตน้ ท่ีปลกู เล้ียงง่าย ตา้ นทานโรค เจริญเติบโตเร็ว รูปทรง ตน้ แขง็ แรง ใหด้ อกดก ดอกขนาดใหญ่ สีสด กลีบดอกหนา รูปทรงดอกสมบรู ณ์ กา้ นช่อแขง็ แรง กา้ นยาวตรง ดอกเรียงบนช่อไดร้ ะเบียบสวยงามและบานไดท้ น
พนั ธุ์กลว้ ยไมท้ ี่นิยมปลูกเป็นการคา้ ไดแ้ ก่ สกลุ หวาย (Dendrobium sp.) : สีม่วง - พนั ธุม์ าดามปอมปาดวั ร์ สีขาว - พนั ธุว์ อลเตอร์โอมาย, แจกเกอลีนโทมสั สีชมพู - พนั ธุอ์ ินทุวงศ,์ แพนดา้ , ซีซาร์ และซอนเนีย สีเหลือง - พนั ธ์ิเกษมโกลด์ สกลุ อะแรนดา้ (Aranda sp.) : พนั ธุค์ ริสติน สกลุ อะแรนเธอรา (Aranthera sp.) : พนั ธุเ์ จมส์สตอริไอ สกลุ อะแรคนิส (Arachnis sp.) : พนั ธุ์แมก็ ก้ีอุย สกลุ ออนซิเดียม (Oncidium sp.) : พนั ธุ์โกลเดน้ โชวเ์ วอร์, โกรเวอร์แรมเซย์ สกลุ แวนดา้ (Vanda sp.) :พนั ธุร์ อทไซลเ์ ดียนา, แซนเดอรานา, วิรัตน์ สกลุ มอ็ คคาร่า (Mokara sp.) : พนั ธุจ์ กั ก๊วน, พรรณี สกลุ ซิมบิเดียม (Cymbidium sp.) : พนั ธุ์ Valley Knight “Vanessa”, Floripink ‘Feline’ ก. การขยายพนั ธุ์กลว้ ยไมป้ ระเภทแตกกอ (Sympodial) ทาํ ไดห้ ลายวิธี คือ 1. การตดั แยกลาํ หลงั กลว้ ยไมท้ ่ีจะตดั แยกควรมีลาํ ลูกกลว้ ยอยา่ งนอ้ ย 4 ลาํ ใชม้ ีดหรือกรรไกรตดั กิ่งชนิดใบบางสอดเขา้ ไป ระหวา่ งลาํ ลูกกลว้ ยตดั ให้ ขาด และใชป้ นู แดงทาแผนใหท้ ว่ั ลาํ หลงั ที่ถูกตดั ขาดจะแตกหน่อเป็นลาํ ใหม่ข้ึน เม่ือลาํ ใหม่น้ี เริ่มมีรากโผล่กย็ กออกปลกู ได้ 2. การตดั ชาํ ใชก้ บั กลว้ ยไมส้ กลุ หวายที่ตาท่ีโคนลาํ แหง้ ตายไปแลว้ โดยนาํ ลาํ หลงั ของหวายที่ตดั ใบ ตดั รากออกหมดมาปัก ชาํ ใหโ้ คนลาํ ฝังไปในทรายหยาบประมาณ 2-3 ซม. ห่างกนั 4-5 ซม. เกบ็ ในท่ีมีแสงแดดค่อนขา้ งจดั รดน้าํ ใหโ้ ชก ตาที่อยู่ ใกลป้ ลายลาํ จะแตกเป็นลาํ ใหม่ เรียกวา่ ตะเกียง เม่ือลาํ ตะเกียงเร่ิมเกิดรากกต็ ดั เอาไปปลูกได้ 3. การตดั แยกลาํ หนา้ ใชม้ ีดหรือกรรไกรตดั แยกลาํ หนา้ 2 ลาํ ติดกนั แลว้ นาํ ไปปลกู ไดเ้ ลย ซ่ึงต่างจากการตดั แยกลาํ หลงั ที่ ตอ้ งปล่อยทิ้งไวใ้ หแ้ ตกหน่อใหม่ จึงจะนาํ ไปปลูกได้ ระยะเวลาท่ีเหมาะสาํ หรับตดั แยกลาํ หนา้ คือ เม่ือลาํ หนา้ สุดเริ่มมีราก และรากยาวไม่เกิน 1 ซม. ข. การขยายพนั ธุก์ ลว้ ยไมป้ ระเภทแวนดา้ (Monopodial) 1. การตดั ยอด ถา้ เป็นพวกปลอ้ งถ่ี เช่น แอสโคเซนดา้ , แวนดา้ ใบแบนยอดที่ตดั ตอ้ งมีรากติดมาอยา่ งนอ้ ย 1 ราก ส่วนพวก ขอ้ ห่าง เช่น แมลงปอ อะแรนดา ควรใหร้ ากติดมา 2 ราก และตอท่ีเหลือตอ้ งมีใบติดอยเู่ พ่ือใหส้ ามารถแตกยอดใหม่ได้
2. การตดั แยกแขนง กลว้ ยไมป้ ระเภทน้ีสามารถแตกหน่อหรือแขนงที่กลางตน้ ได้ จะตดั แยกเม่ือหน่อหรือแขนงมีใบ 2-3 คู่ และมีรากโดยตดั ใหช้ ิดตน้ แม่ นอกจากน้ีแลว้ ชาวสวนยงั นิยมใชต้ น้ กลว้ ยไมท้ ่ีขยายพนั ธุโ์ ดยวิธีเพาะเล้ียงเน้ือเยอ่ื เพราะการขยายพนั ธุว์ ธิ ีน้ี ทาํ ใหไ้ ดต้ น้ ท่ี มีลกั ษณะเหมือนตน้ แม่ ในปริมาณมากโดยใชร้ ะยะเวลาท่ีส้นั และเป็นตน้ ท่ีปลอดโรค การเลือกทาํ เลปลกู เล้ียงกลว้ ยไมเ้ พ่อื ตดั ดอกขายน้นั ควรใกลแ้ หล่งน้าํ ท่ีสะอาด pH ของน้าํ ประมาณ 5.2 มีสภาพอากาศดี การคมนาคมสะดวกเพือ่ ความรวดเร็วในการขนส่งดอกกลว้ ยไม้ ซ่ึงเสียหายไดง้ ่าย การปลกู เล้ียงกลว้ ยไมใ้ หไ้ ดด้ อกที่มี คุณภาพดีน้นั นอกจากตอ้ งมี การดูแลที่ดีมีการใหป้ ๋ ยุ ฉีดยาป้ องกนั โรค และแมลงในระยะท่ีเหมาะสมแลว้ ยงั จาํ เป็นตอ้ งมี โรงเรือน การสร้างโรงเรือนมีจุดประสงคเ์ พอื่ ปรับสภาพแวดลอ้ มใหเ้ หมาะกบั การเจริญเติบโตและการออกดอกของกลว้ ยไม้ และ เพือ่ จดั วาง ตน้ กลว้ ยไมใ้ หเ้ ป็นระเบียบ สะดวกแก่การทาํ งาน โดยสร้างหลงั คาโรงเรือนเพ่ือพรางแสงใหเ้ หลือ 50-70% ตาม ความตอ้ งการของกลว้ ยไมแ้ ต่ละชนิด (ตารางที่ 1) โครงสร้างของโรงเรือนควรแขง็ แรง มีอายกุ ารใชง้ านมากกวา่ 3 ปี ข้ึนไป
ในปัจจุบนั นิยมสร้างโรงเรือน 2 แบบคือ 1. สร้างโรงเรือนหลงั ใหญแ่ ลว้ สร้างโตะ๊ วางกลว้ ยไมห้ รือราวแขวนไวภ้ ายใน 2. สร้างโตะ๊ วางกลว้ ยไม้ และใชไ้ มต้ ่อจากโตะ๊ ข้ึนไปเพ่ือทาํ หลงั คา โครงสร้างของโรงเรือนควรเป็นเสาคอนกรีตหรือแป๊ บน้าํ ฝังลึกในดิน 50 ซม. โรงเรือนสูง 2-3 เมตร ใชต้ าข่ายไนล่อน หรือซาแรนคลุมหลงั คา เน่ืองจากมีน้าํ หนกั เบาใชไ้ ดง้ ่าย และมีราคาถูกโดยขึงใหต้ ึงและยดึ ติดกบั ลวดใหเ้ รียบร้อย ตารางท่ี 1 ลกั ษณะโรงเรือนของกลว้ ยไมช้ นิดต่าง ๆ สกลุ แวนดา้ หวาย ออนซีเดียม แคทลียา อะแรนดา้ ความสูงของโรงเรือน(เมตร) 3.5-4 2.5-3.5 2.5-3.5 3.5-4 2.5 %แสง 50-60 50-60 50 50 50-70 การวางตน้ ในเรือน แขวน วางบนโตะ๊ วางบนโตะ๊ แขวนหรือ วางบนโตะ๊ วางบนโตะ๊ หรือลงแปลง พ้นื ที่โรงเรือนควรปทู รายและใชแ้ ผน่ ซีเมนตป์ ูทางเดินเพอ่ื ไม่ใหน้ ้าํ ขงั และสะดวกต่อการปฏิบตั ิงาน ส่วนโตะ๊ วาง กลว้ ยไม้ ควรมีขนาดกวา้ ง 1 เมตร ยาว 15-20 เมตร แลว้ แต่ขนาดของโรงเรือนและเวน้ ทางเดินกวา้ ง 1-1.2 เมตร ราวแขวน ซ่ึงใชก้ บั กลว้ ยไมป้ ระเภทรากอากาศ เช่น แวนดา้ อยใู่ นระดบั สูงจากพ้นื ประมาณ 2.5 เมตร แต่ละราวห่างกนั 40-50 ซม. และทุก ๆ 4 ราวควรเวน้ ทางเดินกวา้ งประมาณ 1 เมตร วสั ดุปลูกกลว้ ยไมท้ ่ีมีระบบรากก่ึงอากาศ เช่น หวาย ออนซีเดียม และ Cattleya ตอ้ งใชเ้ ครื่องปลกู ที่ระบายน้าํ ไดด้ ีและไม่อุม้ น้าํ จนแฉะ หาไดง้ ่าย ราคาถกู และมีอายใุ ชง้ านไดไ้ ม่นอ้ ยกวา่ 3 ปี เช่น กาบมะพร้าว หรือ แท่งอดั กาบมะพร้าว โดยนาํ ตน้ กลว้ ยไมผ้ กู ติดกบั ไมไ้ ผป่ ักบนเคร่ืองปลูก หรืออาจใชว้ ธิ ีขึงลวด ตามความยาวโตะ๊ ๆ ละ 4 ราว แลว้ ผกู ตน้ ติดกบั ราว เพอ่ื ยดึ ไมใ่ หต้ น้ ลม้ และใหร้ ากเกาะติดเคร่ืองปลกู ไดเ้ ร็ว ไม่ควรปลูกอดั กนั แน่นไปและทาํ ใหช้ ่อดอก กลว้ ยไมท้ ่ีไดม้ ีดอกลดลงดว้ ย ตลอดจนเป็นแหลง่ สะสมโรคแมลง
สาํ หรับกลว้ ยไมป้ ระเภทรากอากาศ เช่น แวนดา้ ชา้ ง กหุ ลาบ เครื่องปลูกที่ใชค้ วรมีความทนทานไมผ่ เุ ร็ว เป็นวสั ดุที่หาง่าย มีราคาถกู และมีสภาพเหมาะกบั การเจริญและแผข่ ยายของระบบราก วสั ดุท่ีนิยมใชไ้ ดแ้ ก่ อิฐ กระถางแตก และถ่าน แลว้ ปลูกในกระเชา้ ไมส้ กั หรือกระถางดินเผาเจาะรูดา้ นขา้ งขนาด 5-6 นิ้ว โดยวางตน้ กลว้ ยไมล้ งก่ึงกลางของภาชนะปลูกให้ โคนตน้ อยเู่ หนือกระถาง 2-3 ซม. ใส่วสั ดุปลูกจนเตม็ ภาชนะปลกู ใชล้ วดเกี่ยวภาชนะแขวนในโรงเรือน การยา้ ยตน้ กลว้ ยไมท้ ี่ไดจ้ ากการเพาะเล้ียงเน้ือเยอ่ื ลงปลูกในภาชนะ เมื่อกลว้ ยไมใ้ นขวดมีรากและใบสมบรู ณ์จึงนาํ ออกจากขวดลา้ งวนุ้ ออกดว้ ยน้าํ สะอาด แลว้ ปลูกลงในกระถางขนาด ปากกวา้ ง 3.5-4.5 นิ้ว กระถางละ 25-40 ตน้ เรียกวา่ กระถางหมู่ โดยใชถ้ ่านและออสมนั ดา้ เป็นเครื่องปลูก เน่ืองจากขณะลกู กลว้ ยไมอ้ ยใู่ นขวดจะไดร้ ับสภาพที่มีความช้ืนสูงมาก เมื่อนาํ ออกจากขวดในระยะแรกจึงตอ้ งปลกู เล้ียงในสภาพท่ีมี ความช้ืนสูงและอบั ลม เช่น ตทู้ ่ีคลุมดว้ ยพลาสติกใส รดน้าํ ใหช้ ุ่มปิ ดไว้ 2 วนั หลงั จากน้นั จึงปิ ดฝาเฉพาะกลางวนั เปิ ด กลางคืนอีก 2 วนั แลว้ เปิ ดฝาออกเลย 3 วนั จึงนาํ ออกจากตพู้ ลาสติก วางไวใ้ นเรือนกลว้ ยไมจ้ นเจริญเติบโตไดข้ นาด คือ ถา้ เป็นกลว้ ยไมป้ ระเภทแวนดา้ ควรมีใบยาว 5-7 ซม. ส่วนกลว้ ยไมป้ ระเภทแตกกอควรมีลาํ ลกู กลว้ ยสูง 5-7 ซม. จึงยา้ ยลง สู่ภาชนะที่มีขนาดใหญ่ข้ึน การให้นํา้ น้าํ ท่ีใชร้ ดกลว้ ยไมต้ อ้ งเป็นน้าํ ท่ีมีคุณภาพดี มีปริมาณเกลือแร่ไม่สูงเกินไป เพราะจะเป็นพษิ ต่อระบบรากทาํ ให้ ตน้ ชะงกั การเจริญเติบโต ควรรดใน เวลาเชา้ หรือบ่าย โดยใชส้ ายยางต่อกบั หวั ฉีดแบบฝอยละเอียด ลดการกระแทกที่ทาํ ให้ ดอก ใบช้าํ แตใ่ นช่วงท่ีฝนตกหนกั ควรงดการให้ น้าํ 2-3 วนั รอจนกระทง่ั เครื่องปลกู เร่ิมแหง้ จึงใหน้ ้าํ ใหม่ ถา้ เป็นฤดูร้อน หรือฤดูหนาวควรรดน้าํ ใหบ้ ่อยข้ึน การให้ป๋ ุย ใหป้ ๋ ุยทุก ๆ 7 วนั โดยใชป้ ๋ ยุ ละลายน้าํ สูตรสูง เช่น สูตร 20-20-20 ในระยะเร่ิมปลกู ควรใหป้ ๋ ุยท่ีมีไนโตรเจนสูง เพื่อช่วยการเจริญเติบโตทางลาํ ตน้ และใบเมื่อตน้ กลว้ ยไมเ้ จริญถึงระยะใหด้ อกหรือตอ้ งการเร่งใหอ้ อกดอก ควรใชป้ ๋ ุยสูตร ที่มีธาตุฟอสฟอรัสสูงไม่ควรฉีดพน่ ป๋ ุยในช่วงท่ีมีแดดจดั เพราะจะทาํ ใหน้ ้าํ ท่ีละลายป๋ ุยระเหยไปอยา่ งรวดเร็วทาํ ให กลว้ ยไมไ้ ม่สามารถดูดป๋ ุยไปใชไ้ ด้ และยงั ทาํ ใหค้ วามเขม้ ขน้ ของป๋ ุยสูงข้ึน อาจทาํ ใหใ้ บไหมห้ ลงั จากใหป้ ๋ ุยแลว้ ใน วนั รุ่งข้ึนตอ้ งรดน้าํ ใหม้ ากกวา่ ปกติ เพ่ือชะลา้ งเกลือแร่ของป๋ ุยท่ีตกคา้ งอยบู่ นเครื่องปลูกและรากออก นอกจากการใหป้ ๋ ุยแลว้ ผปู้ ลูกเล้ียงตอ้ งฉีดพน่ ยาฆ่าแมลงและยาป้ องกนั โรคอยา่ งสม่าํ เสมออาจใหพ้ ร้อม ๆ กบั การรดน้ํ หรือใหป้ ๋ ุย หากมีการระบาดของโรค และแมลงกต็ อ้ งเลือกใชย้ าที่เหมาะสมกบั โรคและแมลงชนิดน้นั ๆ การเกบ็ เกย่ี ว เพ่อื ใหไ้ ดด้ อกท่ีมีคุณภาพดี ผปู้ ลกู ตอ้ งกาํ หนดวนั ตดั ดอกใหแ้ น่นอน แลว้ จดั ตารางใส่ป๋ ุย -ยาฆ่าแมลงให้ เหมาะสม หากใหป้ ๋ ยุ ก่อนตดั ดอก 1-2 วนั จะทาํ ใหค้ ุณภาพดอกและอายกุ ารปักแจกนั ลดลง ช่วงเวลาตดั ดอกควรตดั ในช่วง เขา้ มืดโดยใชม้ ือหกั กดลงที่โคนกา้ นช่อหรือตดั ดว้ ยกรรไกร โดยตอ้ งทาํ ความสะอาดกรรไกรทุกคร้ัง เพอ่ื ป้ องกนั การ
ระบาดของโรคโดยเฉพาะจากเช้ือไวรัส ลกั ษณะของช่อดอกท่ีสามารถตดั ไดใ้ นกลว้ ยไมส้ กลุ หวาย ดอกตอ้ งบาน 3/4 ของ ช่อดอก, ออนซิเดียมตดั ในระยะเหลือดอกตูมที่ปลายช่อ 1-2 ดอก แวนดา้ และแอสโคเซนดา้ ตดั ดอกเมื่อดอกบานหมดช่อ ส่วนอะแรนดา้ , มอ๊ คคาร่า ตดั ดอกเม่ือดอกบานเกือบหมดช่อหรือหมดช่อ 1. โรคเน่าดําหรือโรคยอดเน่าหรือโรคเน่าเข้าไส้ เกิดจากเช้ือรา Phytophthora palmivora สามารถเขา้ ทาํ ลายกลว้ ยไมไ้ ดท้ กุ ส่วน เขา้ ทาํ ลายรากทาํ ใหร้ ากแหง้ มีผลทาํ ให้ ใบเหลืองและร่วง ถา้ เป็นท่ียอด ยอดจะเน่าเป็นสีน้าํ ตาลหากเป็นรุนแรงเช้ือจะลามเขา้ ไปในลาํ ตน้ ซ่ึงเม่ือผา่ ดูจะเห็นในลาํ ตน้ มี สีดาํ เป็นแนวยาว ส่วนอาการที่ดอกบริเวณปากดอกและกา้ นดอก เห่ียวสีน้าํ ตาล ถา้ เป็นรุนแรงดอกจะหลุดร่วงจากช่อ โรคน้ีมกั แพร่ระบาดมากในฤดูฝนหรือในสภาพอากาศมีความช้ืนสูง การป้ องกนั กาํ จดั ไม่ควรปลกู กลว้ ยไมแ้ น่นเกิน เม่ือพบตน้ ที่เป็นโรคใหแ้ ยกออกไปเผาทาํ ลายทิ้งถา้ เป็นกบั กลว้ ยไมท้ ี่โต ควรตดั ส่วนท่ีเป็นโรคออกแลว้ ใชส้ าร เคมีป้ าย เช่น ริโดมิลสลบั กบั ไดเทน เอม็ 45 2. โรคดอกสนิมหรือจุดสนิม โรคน้ีเป็นปัญหามากเพราะกลว้ ยไมอ้ าจแสดงอาการระหวา่ งการขนส่งได้ เกิดจากเช้ือรา Curvularia eragrostidis พบที่กลีบ ดอกกลว้ ยไม้ โดยเร่ิมแรกเป็นจุด ขนาดเลก็ สีน้าํ ตาลอมเหลือง จุดขยายใหญ่มีสีเขียวเขม้ คลา้ ยสนิม โรคน้ีระบาดไดด้ ี ในช่วงฤดูฝนหรือสภาพท่ีมีน้าํ คา้ งลงจดั การป้ องกนั กาํ จดั รักษาความสะอาดแปลง อยา่ ปล่อยใหด้ อกกลว้ ยไมบ้ านโรยคาตน้ เกบ็ ดอกที่เป็นโรคน้ีออกใหห้ มดและ เผาทาํ ลายเพื่อไม่ใหเ้ ป็นแหล่งสะสมโรคและฉีดพน่ ดว้ ยสารเคมีประเภทไดเทน เอม็ 45 ไดเทน เอล เอฟ หรือ มาเนกซ์ โดย ในช่วงฤดูฝนควรฉีดพน่ ใหถ้ ี่ข้ึน 3. โรคใบปื้ นเหลอื ง เกิดจากเช้ือ Pseudocercospora dendrobii มกั เกิดกบั ใบท่ีอยโู่ คนตน้ โดยใบจะมีจุดกลมสีเหลือง เมื่อเป็นมาก ๆ จะขยาย ติดต่อกนั เป็นป้ื นเหลืองตามแนว ยาวของใบ เม่ือพลิกดูใตใ้ บจะเห็นกลุม่ ผงสีดาํ และใบจะเป็นสีน้าํ ตาลหลุดร่วงจากตน้ โรคน้ีระบาดมากในช่วงฤดูฝน-ฤดูหนาว การป้ องกนั กาํ จดั เกบ็ รวบรวมใบท่ีเป็นโรคเผาทาํ ลาย และฉีดพน่ ดว้ ยยาประเภทคาร์เบนดาซิม เช่น มยั ซิน ไดเทน เอม็ 45 หรือ เบนเลท ทุก 7-10 วนั ข้ึนอยกู่ บั ความรุนแรงของโรค
4. โรคใบจุด เกิดจากเช้ือรา Phyllostictina pyriformis เกิดไดต้ ลอดปี ลกั ษณะอาการจะแตกต่างกนั ไป เช่น แวนดา้ แผลจะมีลกั ษณะเป็น รูปยาวรีคลา้ ยกระสวยตรงกลาง แผลจะมีตุ่มนูนสีน้าํ ตาล เกษตรกรมกั เรียกวา่ โรคข้ีกลาก ในสกลุ หวายแผลจะมีจุดกลมสี น้าํ ตาลเขม้ หรือสีดาํ ขอบแผลมีสีน้าํ ตาลอ่อน เกิดไดท้ ้งั ใบบนและใบล่าง การป้ องกนั กาํ จดั รวบรวมใบท่ีเป็นโรคเผาทาํ ลาย และฉีดพน่ ดว้ ยยาประเภทคาร์เบนดาซิม เช่นมยั ซิน,ไดเทน เอม็ 45 หรือ ไดเทน แอล เอฟ 5. โรคแอนแทรกโนสหรือโรคใบไหม้ เกิดจากเช้ือรา Colletotrichum sp. พบไดท้ ่ีปลายใบและกลางใบ ลกั ษณะเป็นแผลสีน้าํ ตาลเป็นวงเรียงซอ้ นกนั หลาย ๆ ช้นั และมีกลุ่มของเช้ือราเป็นสีดาํ เกิดข้ึนบนวง การป้ องกนั กาํ จดั รวบรวมใบท่ีเป็นโรคทิ้ง และฉีดพน่ ดว้ ยไดเทน เอม็ 45 แคบเทน เดอโรซาล 6. โรคต้นเน่าแห้ง เกิดจากเช้ือรา Sclerotium rolfsii พบมากบริเวณรากหรือโคนตน้ ซ่ึงจะผเุ ป่ื อย ถา้ อากาศช้ืนมาก ๆ จะมีเสน้ ใยสีขาว และมี เมด็ กลม ๆ คลา้ ยเมลด็ ผกั กาดเกาะอยตู่ ามโคนตน้ บางคร้ังจะแสดงอาการท่ีใบทาํ ใหใ้ บเน่าเป็นสีน้าํ ตาล เม่ืออากาศแหง้ จะ เห่ียวและร่วงตาย ไปในท่ีสุด มกั ระบาดในฤดูฝน การป้ องกนั กาํ จดั เกบ็ รวบรวมใบกลว้ ยไมท้ ี่เป็นโรคเผาทาํ ลายทิ้ง และราดทบั หรือฉีดพน่ ดว้ ย เทอราโซล หรือ ไวตาแวกซ์
7. โรคเน่าเละ เกิดจากเช้ือแบคทีเรีย Pseudomonas gladioli อาการเริ่มแรกจะเป็นจุดฉ่าํ น้าํ ขนาดเลก็ บนใบหรือหน่ออ่อน ลกั ษณะเหมือน ถกู น้าํ ร้อนลวก ใบจะพองเป็นสี น้าํ ตาลและฉ่าํ น้าํ และตน้ กลว้ ยไมจ้ ะเน่าตายท้งั ตน้ การป้ องกนั กาํ จดั ตดั หรือแยกส่วนท่ีเป็นโรคออกนาํ ไปเผาทาํ ลาย ไม่ควรปลูกตน้ กลว้ ยไมใ้ หแ้ น่นเกินไป จะทาํ ใหอ้ ากาศ ระหวา่ งตน้ กลว้ ยไมไ้ ม่ถ่ายเทเกิดความช้ืนสูงซ่ึงง่ายต่อการเกิดโรคและควรป้ องกนั โดยฉีดพน่ ดว้ ยยาปฏิชีวนะเช่นแอกริมยั ซิน 8. โรคกล้วยไม้ทเ่ี กดิ จากเชื้อไวรัส พบระบาดทว่ั ไปในแหล่งปลูกกลว้ ยไมใ้ นปัจจุบนั เกิดจากเช้ือไวรัส Tobacco Mosaic Virus Orchid Strain (TMV-O), Cymbidium Mosaic Virus (CyMV) ลกั ษณะอาการที่ปรากฎแตกต่างตามชนิดของเช้ือไวรัสและชนิดของกลว้ ยไม้ โดยมี ลกั ษณะท่ีสงั เกตได้ เช่น ใบด่างสีเขียวอ่อนสลบั สีเขียวเขม้ ยอดบิด ยอดจะมว้ นงอ ช่วงขอ้ จะถี่ส้นั การเจริญเติบโตลดลง แคระแกรนช่อดอกส้นั แขง็ กระดา้ งขนาดดอกเลก็ ถา้ เป็นมากกลีบดอกจะมีสีซีดบริเวณส่วนดอกด่างและดอกมีขนาดเลก็ การป้ องกนั กาํ จดั เช้ือไวรัสแพร่ระบาดไดง้ ่ายโดยติดไปกบั เครื่องใชต้ ่าง ๆ เช่น มีด กรรไกร ดงั น้นั ตอ้ งทาํ ความสะอาด เคร่ืองมือใหส้ ะดวก หมนั่ ตรวจ กลว้ ยไมถ้ า้ พบอาการผดิ ปกติใหแ้ ยกออกแลว้ นาํ ไปเผาทาํ ลายเพอ่ื กาํ จดั เช้ือ และในปัจจุบนั การขยายพนั ธุโ์ ดยวิธีการเพาะเล้ียงเน้ือเยอื่ ทาํ ใหไ้ ดก้ ลว้ ยไมท้ ่ี สมบรู ณ์ แขง็ แรง และปลอดไวรัส จึงช่วยลดปัญหาน้ีได้ 1. เพล้ียไฟ เป็นแมลงขนาดเลก็ มีลาํ ตวั ยาวประมาณ0.5-2มิลลิเมตรรูปร่างเรียวยาวมกั อยบู่ ริเวณปากของดอกกลว้ ยไม้ระบาดมากในฤดูแลง้ หรือช่วงที่ ฝนทิ้งช่วงเพล้ียไฟทาํ ลายไดท้ ้งั ในดอกตูมและดอกบานโดยถา้ ทาํ ลายดอกตมู ต้งั แต่เร่ิมแทงช่อดอกจะทาํ ใหด้ อกตมู ชะงกั การเจริญเติบโต เปล่ียนเป็นสีน้าํ ตาลและแหง้ คากา้ นช่อดอกถา้ เขา้ ทาํ ลายในช่วงดอกบานระยะแรกจะเกิดลกั ษณะสีซีดขาวเป็นทางท่ีบริเวณกลีบดอกถา้ มี การระบาดคอ่ นขา้ งรุนแรงบริเวณปากจะเป็นแผลสีน้าํ ตาลและมีอาการเห่ียวแหง้ จึงเรียกกนั วา่ ดอกไหมห้ รือปากไหม้
การป้ องกนั กาํ จดั ควรฉีดพน่ ดว้ ยสารฆ่าแมลง เช่น คาร์โบซลั แฟน และโมโนโครโตฟอส โดยฉีดพน่ ในช่วงเชา้ ระหวา่ ง 8.00-10.00 น. ซ่ึง เป็นช่วงเวลาที่พบเพล้ียไฟมาก ถา้ มี การระบาดมากควรฉีดพน่ สารเคมี 4-5 วนั ต่อคร้ัง และฉีดติดต่อกนั 2-3 คร้ัง หรือ จนกวา่ การระบาดจะลดลง 2. แมลงวนั ดอกกลว้ ยไมห้ รือไอฮ้ วบ เป็นหนอนสีเหลืองลาํ ตวั ยาวประมาณ 0.8-3.0 ม.ม. อาศยั อยทู่ ี่บริเวณเสา้ เกสรโดยเฉพาะที่บริเวณใกลก้ บั ยอด เกสรตวั เมีย มกั ระบาดในช่วงฤดูฝน หนอนจะเขา้ ทาํ ลายดอกกลว้ ยไมเ้ ฉพาะดอกตูมขนาดเลก็ ซ่ึงกลีบดอกยงั ปิ ดหรือเริ่มแทงช่อดอก ทาํ ใหด้ อกตูม ชะงกั การเจริญเติบโตหงิกงอ บิดเบ้ียว และต่อมาจะมีอาการเน่าเหลืองฉ่าํ น้าํ และหลุดร่วงจากช่อดอก ถา้ เขา้ ทาํ ลายดอกตมู ขนาดใหญ่ ทาํ ใหด้ อกตูมมี อาการบิดเบ้ียว บริเวณโคนดอกจะมีรอยเน่าช้าํ สีน้าํ ตาลดาํ บริเวณแผลท่ีช้าํ มกั จ มีราฟสู ีขาวทาํ ใหอ้ าจเขา้ ใจผดิ วา่ มีเช้ือราเป็นสาเหตุ การป้ องกนั กาํ จดั ควรเกบ็ ดอกตมู ที่มีอาการเน่าฉ่าํ น้าํ หรือที่มีอาการบิด เบ้ียวมาทาํ ลายใหห้ มด และใชส้ ารฆ่าแมลงประเภทดูดซึม เช่น สาร โมโนโครโตฟอส สารคาร์โบซลั แฟน และเมทโธมิล ฉีดพน่ ทุก ๆ 5-7 วนั ติดต่อกนั จนกวา่ การระบาดจะลดลง ฉีดพน่ ที่ บริเวณช่อ และเคร่ืองปลูกดว้ ยเพ่อื จะไดท้ าํ ลายท้งั หนอนและดกั แด้ 3. ไรกลว้ ยไม้ ทาํ ลายกลว้ ยไมโ้ ดยดูดกินน้าํ เล้ียง จากส่วนต่าง ๆ ของกลว้ ยไม้ เช่น ใบขอ้ หรือลาํ ตน้ และดอกระบาดมากในสถานที่มี อากาศร้อนและแหง้ แลง้ ท่ีใบมกั พบท่ีหลงั ใบ ใบจะมีจุดด่างขาวเลก็ ๆ และมีคราบสีขาวของไรจบั หากระบาดรุนแรง บริเวณผวิ ใบจุดยบุ ลงหากเขา้ ทาํ ลายที่ขอ้ หรือลาํ ตน้ จะเห็นไรเกาะกลุ่มแน่นเป็นกระจุก ลาํ ตน้ เป็นสีน้าํ ตาลหรือดาํ จึง มกั เรียกวา่ โรคขอ้ ดาํ จึงทาํ ใหต้ น้ ชะงกั การเจริญเติบโต ถา้ ทาํ ลายช่อ ไรจุดูดกินน้าํ เล้ียงท่ีดา้ นหลงั ของกลีบดอกโดยเฉพา บริเวณโคน ทาํ ใหก้ ลีบดอกเป็นรอยช้าํ บุ๋มเป็นจุดสีม่วงเขม้ ถา้ ทาํ ลายต้งั แต่ระยะดอกตมู เม่ือดอกบานแผลจากการทาํ ลาย จะเห็นท่ีบริเวณกลีบล่าง และกา้ นดอก เรียกวา่ ดอกหลงั ลาย การป้ องกนั กาํ จดั เกบ็ ตน้ กลว้ ยไมท้ ี่ไม่ตอ้ งการทิ้ง เพ่อื ไม่ใหเ้ ป็นแหล่งอาศยั ของไร หากระบาดไม่มากใหฉ้ ีดดว้ ยกาํ มะถนั ทุก 4-5 วนั แต่ถา้ ระบาดมากควรใช้ ไดโคทอล พน่ ทุก 3-4 วนั 4. หนอนกระทหู อม มีลาํ ตวั สีเขียวหนอนจะทาํ ลายกดั กินดอกและใบใหเ้ วา้ แหวง่ ไดท้ าํ ใหด้ อกและใบเสียหาย การป้ องกนั กาํ จดั ใชส้ ารฆ่าแมลงประเภทไพรีทรอยดส์ งั เคราะห์ เช่น เฟนวาลีเรท หรือ เดลตา้ เมทริน ถา้ ระบาดมากและหนอนด้ือยาใชส้ าร ประเภทไดฟลเู บนซูรอน
5. หนอนกระทผู้ กั ตวั อ่อนของหนอนจะกดั กินใบอ่อนและดอกทาํ ใหผ้ ล ผลิตเสียหาย การป้ องกนั กาํ จดั ถา้ ยงั ระบาดไม่มากใชว้ ิธีเดด็ ดอกหรือตดั ใบทิ้งและเผาทาํ ลายแต่ถา้ มีการระบาดมากอาจใชส้ ารฆ่าแมลงพวกเมทโธมิลฉีดพน่ 6. เพล้ียหอยและเพล้ียแป้ ง ซ่ึงอาศยั รวมเป็นกลุ่มตามใตใ้ บ จะดูดกินน้าํ เล้ียงทาํ ใหด้ า้ นบนของใบมีจุดสีเหลืองเน่าใบจะเหลืองและเห่ียว ถา้ มีเป็น จาํ นวน มากจะทาํ ใหก้ ลว้ ยไมช้ ะงกั การเจริญเติบโต อาการต่อมาจะมีราดาํ เกิดข้ึนกบั ใบล่างของลาํ ตน้ เพราะเพล้ียจะถ่ายมลู ออกมาเป็นอาหารของมด และ เป็นอาหารของเช้ือราดาํ การป้ องกนั กาํ จดั การฉีดพน่ ดว้ ยสารคาร์บาริลหรือราดที่เคร่ืองปลกู ถา้ ระบาดมาก ๆ ใชส้ ารฆ่าแมลงพวกโมโนโครโตฟอส ฉีดพน่
Search
Read the Text Version
- 1 - 13
Pages: