เขตการค้าเสรี ไทย-อนิ เดีย Thailand-India Free Trade Agreement : TIFTA FACT BOOK
1. บทนำ อินเดียเป็นประเทศที่มีประชากรกว่า 1,130 ล้านคน มากเป็นอันดับ ท่ีสองของโลกรองจากจีน ซึ่งหากพจิ ารณาเฉพาะกลุ่มประชากรที่ร่ำรวยท่ีสุดใน อินเดียร้อยละ 10 อันดับแรก ซึ่งมีรายได้เฉลี่ยต่อหัว (GDP per capital) ประมาณ 3,400 เหรยี ญสหรฐั ฯ ตอ่ ปี กจ็ ะมจี ำนวนมากถงึ 100 ลา้ นคน มากกวา่ จำนวนคนไทยทั้งประเทศถึง 1.7 เท่า ยังไม่นับรวมประชากรรายได้กลางและ ต่ำของอินเดียอีกกว่า 900 ล้านคน ดังน้ัน ด้วยขนาดของตลาดที่ใหญ่กว่า TIFTA ประชากรท้ังหมดของอาเซียนรวมกัน ประกอบกับแนวโน้มการค้าระหว่างกันท่ี ขยายอยา่ งตอ่ เนอ่ื ง อินเดียจึงเป็นตลาดใหม่ที่มีศักยภาพสูงในการรองรับสินค้า ส่งออกท่ไี ทยไม่อาจจะละเลยไดเ้ ลย แนวคดิ ในการขยายความรว่ มมอื ดา้ นเศรษฐกจิ การคา้ และการลงทนุ ในรปู ของการจดั ทำขอ้ ตกลงเขตการคา้ เสรหี รอื Free Trade Agreement (FTA) ระหวา่ งไทย-อนิ เดยี เรม่ิ ขน้ึ เมอ่ื นายกรฐั มนตรขี องไทย (พ.ต.ท.ดร.ทกั ษณิ ชนิ วตั ร) และผู้นำอินเดีย (นายอาตัล พิหารีวัชเปยี) มีความเห็นร่วมกันในหลักการของ FTA และกำหนดให้มีการจัดต้ังคณะทำงานร่วม 2 ประเทศ เพ่ือศึกษาความ เป็นไปได้ในการจัดตั้งเขตการค้าเสรีไทย-อินเดีย ซึ่งผลของการศึกษาสรุปได้ว่า การจดั ทำเขตการคา้ เสรไี ทย-อนิ เดยี มคี วามเปน็ ไปไดแ้ ละจะกอ่ ใหเ้ กดิ ประโยชน์ ร่วมกันโดยจะช่วยขยายการค้าของทั้งสองประเทศ ทำให้มีการค้ากันในสินค้า หลากหลายมากยง่ิ ขน้ึ กวา่ ในปจั จบุ นั รวมทง้ั กอ่ ใหเ้ กดิ ความรว่ มมอื ทางเศรษฐกจิ ในสาขาต่างๆ ท่ีสำคัญ เช่น การท่องเท่ียว การศึกษา การเงินการธนาคาร การสาธารณสุข การบิน และการขนส่งระหว่างประเทศ เป็นต้น นอกจากผล ประโยชนร์ ว่ มกนั ของทง้ั สองฝา่ ยแลว้ ความสำคญั อกี ประการหนง่ึ ของเขตการคา้ เสรีไทย-อินเดีย เป็นความสำคัญในเชิงกลยุทธ์เพ่ือรักษาสถานภาพของไทยใน ฐานะค่คู ้าสำคัญของอินเดีย ช่วยให้ไทยได้เปรียบค่แู ข่งจากประเทศอ่นื ในด้าน ราคา
ทง้ั น้ี ผลการศกึ ษารว่ มกนั ดงั กลา่ วไดน้ ำไปสกู่ ารจดั ทำกรอบความตกลง ว่าด้วยการจัดตั้งเขตการค้าเสรี (FTA) ไทย-อินเดีย ซึ่งได้มีการลงนามไปเม่ือ วันที่ 9 ตุลาคม พ.ศ. 2546 โดยรัฐมนตรีพาณิชย์ของท้ังสองประเทศ ซ่ึงกรอบ ความตกลงดงั กล่าวจะถกู ใช้เปน็ แนวทางในการเจรจาจัดทำ FTA ซ่งึ จะกำหนด หวั ขอ้ การหารอื ขอบเขตของการเปดิ เสรกี ารคา้ เปา้ หมายของ FTA และกำหนด ระยะเวลาการเปิดเสรกี ารค้าลงทุน เป็นตน้ กรอบความตกลง FTA ไทย-อนิ เดยี ไทยและอินเดียได้กำหนดหัวข้อการเจรจา FTA ไว้ 5 หัวข้อ ภายใต้ กรอบความตกลงดังกล่าว ซึ่งคณะเจรจาของท้ังสองฝ่ายจะได้หารือเจรจา แลกเปลีย่ นการเปดิ เสรีใหเ้ ปน็ ไปตามกรอบทีไ่ ด้วางไว้ ดังน ้ี ก ารค้าสินค้า โย(พดก.ยเศลก.ิก2ำ5มห5าน3ตด)ร เกปา้ารหภมาษายีแเลปะ็นมเาขตตรกกาารรคท้าี่มเิใสชร่ภีใานษปี ี(2N0T1B0) การค้าบรกิ าร กำหนดให้ทยอยเปิดเสรใี นสาขาท่มี ีความพร้อมก่อน TIFTA ก ารลงทุน กำหนดกฎเกณฑท์ ก่ี ระตนุ้ การคา้ และการลงทนุ ระหวา่ งกนั ความรว่ มมอื ทาง แสวงหาความรว่ มมอื ใหมๆ่ และสรา้ งกลไกในการสง่ เสรมิ เศรษฐกจิ อื่นๆ ความรว่ มมอื ทางเศรษฐกจิ ทใ่ี กลช้ ดิ ยง่ิ ขน้ึ เชน่ การประมง เทคโนโลยสี ารสนเทศ เทคโนโลยชี วี ภาพ การทอ่ งเทย่ี ว และการสาธารณสขุ เปน็ ต้น คม วาตามรสกะาดรวอกำนทวางย การอำนวยความสะดวกดา้ นพธิ กี ารศลุ กากร และจดั ทำ ขอ้ ตกลงยอมรบั รว่ มมอื ในดา้ นมาตรฐานและการตรวจสอบ การคา้ และการลงทุน มาตรฐาน (Mutual Recognition Arrangement : MRA) ปจั จบุ นั ทง้ั สองฝา่ ยยงั อยใู่ นระหวา่ งการเจรจาเพอ่ื จดั ทำ FTA ตามกรอบ ความตกลงข้างตน้ โดยเรว็
2. ข้อมลู ทว่ั ไป TIFTA อนิ เดยี ไดร้ บั เอกราชจากองั กฤษเมอ่ื วนั ท่ี 15 สงิ หาคม 1947 (พ.ศ.2490) โดยการนำของมหาตมะ คานธี และนายเยาฮาลาล เนรู (ซ่ึงภายหลังได้รับการ เลือกตั้งเป็นนายกรัฐมนตรีคนแรกของอินเดีย) หลังจากน้ัน สงครามภายใน ประเทศอนั เกดิ จากความแตกตา่ งในดา้ นศาสนา (ฮนิ ดแู ละอสิ ลาม) ไดแ้ บง่ แยก ปากสี ถานและบงั กลาเทศออกจากอนิ เดยี ปจั จบุ นั อนิ เดยี เปน็ ประเทศประชาธปิ ไตย ท่ีใหญ่ท่ีสุดในโลก เมื่อวัดจากจำนวนประชากรซ่ึงมากเป็นอันดับสองของโลก (กว่า 1,130 ล้านคน) และอัตราการเพ่ิมประชากรถึงร้อยละ 1.6 ต่อปี ซ่ึงอัตรา น้อี นิ เดยี จะกลายเป็นประเทศท่มี ีจำนวนประชากรมากท่สี ุดในโลก โดยแซงหน้า จนี ภายในอกี 20 ปขี า้ งหนา้ หรอื ใน ค.ศ. 2028 (พ.ศ. 2571) ข้อมลู ทัว่ ไป แห ลง่ ทตี่ ั้ง ตั้งอยู่ในภมู ภิ าคเอเชยี ใต้ ทศิ เหนอื : ปากสี ถาน จนี เนปาล และภูฏาน ทศิ ตะวันตก : ปากสี ถาน และทะเลอาระเบีย ทิศตะวันออก : พมา่ บังกลาเทศ และอา่ วเบงกอล ทศิ ใต้ : ศรลี งั กา และมหาสมทุ รอนิ เดยี พื้นที ่ 3,287,590 ตารางกโิ ลเมตร ใหญเ่ ปน็ อนั ดบั 7 ของโลก เมืองหลวง กรุงนิวเดลี (New Delhi) เมืองสำคัญ มุมไบ (ช่ือเดิม บอมเบย์) เป็นศูนย์กลางทางการค้า การเงิน และการคมนาคม เป็นเมืองท่าสำคัญและ เปน็ แหลง่ ผลิตภาพยนตรฮ์ ินดีทใ่ี หญท่ ่สี ุด
บังกาลอร์ เป็นเมืองศูนย์กลางของอุตสาหกรรมท่ีใช้ เทคโนโลยีชน้ั สูง โดยเฉพาะดา้ นเทคโนโลยีสารสนเทศ อิเล็กทรอนิกส์ การบิน และอวกาศ ถือเป็น Silicon Valley ของอนิ เดีย เชนไน เป็นศูนย์กลางธุรกิจทางภาคใต้ของอินเดีย มีอตุ สาหกรรมรถยนต์เปน็ อุตสาหกรรมหลัก กลั กตั ตา เปน็ เมอื งหลวงเกา่ ของอนิ เดยี และเปน็ เมอื ง ใหญอ่ นั ดบั 2 ของประเทศ ภมู ิอากาศ ภมู อิ ากาศแตกตา่ งกนั อยา่ งมาก เนอ่ื งจากมพี น้ื ทก่ี วา้ งใหญ่ ตอนเหนอื อยใู่ นเขตหนาว ขณะทต่ี อนใตอ้ ยใู่ นเขตรอ้ นชน้ื ทางเหนือมีแม่นำ้ สายใหญ่ไหลผ่านคือแม่น้ำสินธุและ คงคา จึงอุดมสมบูรณ์กว่าตอนใต้ซ่ึงมีแม่น้ำสายส้ันๆ อณุ หภมู เิ ฉลย่ี ในชว่ งฤดรู อ้ นประมาณ 35 องศาเซลเซยี ส และประมาณ 10 องศาเซลเซียส ในช่วงฤดูหนาว ทรพั ยากรธรรมชาต ิ ถ่านหิน แร่เหล็ก แมงกานีส ไมกาบ็อกไซด์ ไทเทเนียม TIFTA โครไมท์ กา๊ ซธรรมชาติ เพชร ปโิ ตรเลียม หินปูน ประชากร 1.13 พนั ล้านคน (2550) มากเปน็ อันดับ 2 ของโลก อัตราการขยายตัว รอ้ ยละ 1.4 (2550) ของประชากร เช้ือชาต ิ อนิ โด-อารยันรอ้ ยละ 72 ดราวเิ ดียนรอ้ ยละ 25 มองโกลอยดร์ อ้ ยละ 2 และอืน่ ๆ รอ้ ยละ 1 ภาษา ภาษาฮินดี เป็นภาษาท่ีใช้โดยประชาชนส่วนใหญ่ และเป็นภาษาประจำชาติ ภาษาอังกฤษเป็นภาษา ในวงราชการและธุรกิจ นอกจากนั้นยังมีภาษาท้องถ่ิน ทถ่ี อื เปน็ ภาษาทางการอกี 14 ภาษา เชน่ ภาษาเบงกาลี เตลกู ู และทมิฬ เปน็ ต้น
ศ า สนา ฮนิ ดรู ้อยละ 81.3 มุสลมิ ร้อยละ 12 ครสิ ตร์ อ้ ยละ 2.3 ซกิ ข์รอ้ ยละ 1.9 และศาสนาอน่ื ๆ ร้อยละ 2.5 ระบอบการเมือง ประชาธปิ ไตยแบบรฐั สภา (Parliamentary Democracy) ระบบการปกครอง สาธารณรัฐ (Federal Republic) แบ่งอำนาจการ ปกครองเปน็ 28 รฐั และสหภาพอาณาเขตของรฐั บาล กลาง (UnionTerritories) อกี 7 เขต TIFTA ประมุขของรฐั ประธานาธบิ ดี หน่วยเงินตรา Indian Rupee (INR) อตั ราแลกเปลยี่ น Indian Rupee / US Dollar / 43.32 (2551), 41.48 เงินตรา (2550), 45.3 (2549), 44.1 (2548), 45.31 (2547) จำนวนสายโทรศพั ท์ 38.76 ล้านเลขหมาย (พ.ศ.2551) ทใี่ ช้งานอยู่ จำนวนโทรศัพท์ 296.08 ล้านเลขหมาย (พ.ศ.2551) มือถอื จำนวนผูใ้ ช้ 80 ลา้ นคน (พ.ศ.2550) อินเตอรเ์ นต็
ภาพรวมเศรษฐกจิ ประเทศอนิ เดยี การเจรญิ เตบิ โตทางเศรษฐกจิ ขยายตวั อยา่ งตอ่ เนอ่ื ง เฉลย่ี รอ้ ยละ 8.2 ตอ่ ปี โดยเฉพาะในปี 2550 อตั ราการขยายตวั ทางเศรษฐกจิ สงู ถงึ รอ้ ยละ 9 อนิ เดยี TIFTA เป็นประเทศท่ีคนมีการศึกษาสูงและเป็นคนท่ีมีความสามารถทางด้านภาษา องั กฤษ และมคี วามกา้ วหนา้ ดา้ นวทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี ทำใหอ้ นิ เดยี กลาย เป็นประเทศหลักที่ทำการส่งออกบริการทางด้านซอฟท์แวร์ และบุคลากรทาง ดา้ นซอฟทแ์ วร์ ถงึ แมว้ า่ การเจรญิ เตบิ โตทางเศรษฐกจิ จะสงู มากแตธ่ นาคารโลก ยังคงกังวลเกี่ยวกับเรื่องการรวมรัฐ และการขาดดุลงบประมาณรัฐอยู่ที่ร้อยละ 5.6 ของ GDP การเจริญเติบโตและปริมาณประชากรที่มีสูงมากนั้นเป็นสาเหตุ หลกั ของปัญหาสงั คม เศรษฐกิจ และส่งิ แวดลอ้ ม สมาคมผผู้ ลติ สนิ คา้ เทคโนโลยสี ารสนเทศของอนิ เดยี (MAIT) ไดว้ เิ คราะห์ ว่า อุปสงค์ขนาดใหญ่ของอินเดียเป็นแรงหนุนให้อุตสาหกรรมการผลิตเติบโต โดยอินเดียขณะนี้เปรียบเหมือนจีนเม่ือสิบปีท่ีแล้ว ที่มีผู้บริโภคขนาดใหญ่รอ อยู่ แต่อินเดียมีข้อได้เปรียบจีนในเรื่อง “การเปิดกว้าง” ท่ีมากกว่า อย่างไรก็ดี อินเดียมีจุดอ่อนในเรื่องระบบสาธารณูปโภคค่อนข้างสูง อีกทั้งอินเดียต้องเร่ง ปรบั ปรงุ ระบบคมนาคม โครงสรา้ งพน้ื ฐานและการลงทนุ ดา้ นพลงั งานเพอ่ื สง่ เสรมิ การขยายตัวของธุรกิจในประเทศ ในขณะเดียวกันอินเดียจะต้องส่งเสริมและ เพิ่มอัตราการออมให้มีระดับสูงข้ึน พร้อมกับต้องพัฒนาและแก้ไขปัญหาความ แตกตา่ งในสังคม เพิม่ ระบบการศกึ ษาใหป้ ระชากรได้รับอยา่ งทั่วถงึ นอกจากนี้อินเดียยังได้รับการคาดหมายว่าจะกลายเป็นมหาอำนาจ ทางเศรษฐกจิ เชน่ เดยี วกบั จนี เนอ่ื งจากมศี กั ยภาพในแงก่ ารเปน็ ตลาดขนาดใหญ่ แรงงานราคาถูก ทรัพยากรธรรมชาติอุดมสมบูรณ์ และมีบุคลากรท่ีมีคุณภาพ จำนวนมาก
TIFTA ข้อมูลเศรษฐกจิ และการค้าระหวา่ งประเทศ อินเดียหันมาใช้ระบบเศรษฐกิจแบบตลาดแทนระบบเศรษฐกิจแบบ สังคมนิยมภายใต้นโยบายทางเศรษฐกิจต้ังแต่ปี 1991 (พ.ศ.2534) เป็นต้นมา โดยมีวัตถุประสงค์หลักเพื่อแก้ไขภาวะเศรษฐกิจท่ีตกต่ำ และลดการขาดดุล การชำระเงินอย่างรุนแรงในขณะนั้น มีการใช้มาตรการเพื่อควบคุมการนำเข้า อย่างเข้มงวดเพื่อประหยัดเงินตราต่างประเทศ (ในช่วงต้นของการปฏิรูป) ในขณะท่ีภาครัฐได้พยายามส่งเสริมการส่งออกเพ่ือนำรายได้เข้าประเทศส่งผล ให้เกิดการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างทางเศรษฐกิจของอินเดียอย่างมาก ปัจจุบัน อินเดียเป็นประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจเม่ือวัดจาก GDP ใหญ่เป็นอันดับที่ 12 ของโลกและเป็นอันดับท่ี 3 ของเอเชียรองจากญี่ปุ่นและจีน มีอัตราการเติบโต ทางเศรษฐกิจเฉลี่ยประมาณร้อยละ 8.2 ต่อปี และยังมีศักยภาพท่ีจะพัฒนา ตอ่ ไปอกี มากโดยเฉพาะในธรุ กจิ บรกิ ารทางดา้ น IT ซง่ึ ถอื เปน็ จดุ แขง็ ของอนิ เดยี อย่างไรก็ดี ถึงแม้การปฏิรูประบบเศรษฐกิจเม่ือปี 1991 (พ.ศ.2534) ทำให้อินเดียเปิดตลาดเสรีมากยิ่งขึ้น แต่อัตราภาษีนำเข้าของอินเดียก็ยังอยู่ใน ระดับที่สูงโดยเฉพาะในกลุ่มสินค้าเกษตร อาหาร ส่ิงทอ สินค้าปิโตรเคมี รถยนต์ และผลิตภัณฑ์เหล็กสำเร็จรูป ซึ่งถือเป็นอุปสรรคสำคัญต่อการส่งออก สินค้าของไทย คาดว่า FTA ระหว่างไทย-อินเดีย จะช่วยเร่งกระบวนการเปิด เสรีการคา้ ของอินเดียใหเ้ รว็ ยิ่งข้นึ
ขอ้ มลู เศรษฐกจิ G DP 1,171 พนั ล้านเหรียญสหรัฐฯ (พ.ศ.2550) รายไดเ้ ฉลย่ี ต่อหวั 880 เหรียญสหรัฐฯ (มกราคม พ.ศ.2550) อัตราการเติบโตทาง รอ้ ยละ 8.2 (พ.ศ.2547-2549) เศรษฐกิจ Real GDP Growth ร้อยละ 9 (พ.ศ.2550) ทุนสำรองเงนิ ตรา 161.7 พนั ลา้ นเหรียญสหรฐั ฯ (พ.ศ.2549) ต่างประเทศ อัตราเงินเฟ้อ ร้อยละ 5.3 (พ.ศ.2550) ดลุ การค้า ไทยเกนิ ดลุ 715.36 ลา้ นเหรยี ญสหรฐั ฯ (พ.ศ.2551) การสง่ ออกของ สินค้าส่งออก อัญมณีและเครื่องประดับ นำ้ มัน TIFTA อินเดยี เช้ือเพลิง ส่ิงทอเคร่ืองนุ่งห่ม เหล็กและผลิตภัณฑ์ เคมีภณั ฑ์ และเวชภัณฑ ์ ตลาดส่งออก สหรัฐฯ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ จีน สิงคโปร์ ฮอ่ งกง การนำเขา้ ของอินเดีย สินค้านำเขา้ น้ำมันดิบ เครอ่ื งจกั รกล ทองคำ เพชร เครอ่ื งจกั ร เคมภี ณั ฑ์ นำ้ มนั เชอ้ื เพลงิ แร่ และทองแดง แหล่งนำเข้า จีน ซาอุดิอาระเบีย สหรัฐอาหรับ เอมิเรตส์ สหรัฐฯ อหิ รา่ น คา่ ธรรมเนยี มศลุ กากร ร้อยละ 10 อากร CVD ร้อยละ 4, 8, 16 (Countervailing Duty)
TIFTA 3. โอกาสสง่ ออกของสินค้าไทย ปจั จบุ นั ผปู้ ระกอบการไทยสามารถใชป้ ระโยชนจ์ าก FTA ไทย-อนิ เดยี ได้แล้วภายใต้ข้อตกลงการเร่งลดภาษีสินค้าบางส่วนทันที หรือท่ีเรียกว่า Early Harvest Scheme (EHS) ซ่ึงเป็นกลุ่มสินค้ากลุ่มแรกท่ีท้ัง 2 ประเทศตกลงให้มี การลดภาษีกันก่อนที่จะมีการลดภาษีสินค้าอ่ืนๆ สินค้าในกลุ่ม EHS มีจำนวน ทั้งส้นิ 82 รายการไดย้ กเลกิ ภาษีไปตงั้ แต่วนั ท่ี 1 กนั ยายน 2549 รายการสินคา้ เร่งลดภาษี (EHS) สินค้า EHS 82 รายการ ครอบคลุมสินค้าสำคัญ เช่น เงาะ ลำไย มังคุด ทุเรียน องุ่น ข้าวสาลี อาหารทะเลกระป๋อง (ปลาซาร์ดีน ปลาแซลมอน ปลาแมคเคอเรล และปู) และสินค้าอุตสาหกรรมที่ไทยมีศกั ยภาพในการส่งออก เช่น อัญมณีและเคร่ืองประดับ (พลอยสี) เม็ดพลาสติก เครื่องปรับอากาศและ สว่ นประกอบ พดั ลม ตเู้ ยน็ เครอ่ื งรบั วทิ ยโุ ทรทศั น์ และสว่ นประกอบ เครอ่ื งสขี า้ ว หมอ้ แปลงไฟฟา้ เครอ่ื งประมวลผลขอ้ มลู วงจรพมิ พ์ สว่ นประกอบของเฟอรน์ เิ จอร์ ลกู ปืน (บอล แบริง) และสว่ นประกอบเครอื่ งยนต์ เป็นต้น นบั ตง้ั แต่มีการลดภาษสี นิ คา้ EHS ในปี 2547 การค้ารวมสนิ คา้ EHS 82 รายการ ขยายตวั เพม่ิ ขน้ึ โดยตลอด ในปี 2551 การคา้ รวมสนิ คา้ EHS มมี ลู คา่ 666.80 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ไทยส่งออกไปอินเดีย 498.15 ล้านเหรียญสหรัฐฯ และนำเขา้ จากอินเดยี 168.65 ล้านเหรยี ญสหรัฐฯ สินค้าท่ีไทยสามารถขยายการส่งออกไปอินเดีย ได้แก่ เม็ดพลาสติก เคร่ืองปรับอากาศและส่วนประกอบ หลอดภาพโทรทัศน์ เคร่ืองรับโทรทัศน์สี และเครื่องเพชรพลอย นอกจากน้ี ผู้ประกอบการไทยอาจพิจารณานำเข้าสินค้า ที่ใช้เป็นวัตถุดิบในการผลิตจากอินเดีย เพื่อลดต้นทุนและเพิ่มขีดความสามารถ 10 ในการแข่งขันในตลาดโลก โดยสินค้าวัตถุดิบสำคัญที่มีการลดภาษีใน EHS ไดแ้ ก่ วัตถดุ ิบด้านการประมง เครอื่ งเพชรพลอย เหลก็ และเหลก็ กลา้
สินคา้ ท่ไี ทยมศี กั ยภาพในการส่งออก 11 สินค้านอกเหนือจาก EHS 82 รายการ ที่กำลังอยู่ระหว่างเจรจา ลดภาษีน้ันมีหลายสินค้าที่ไทยมีศักยภาพในการส่งออก ได้แก่ เครื่องรับวิทยุ TIFTA โทรทัศน์และส่วนประกอบ เครื่องใช้ไฟฟ้าและส่วนประกอบอ่ืนๆ ส่ิงทอและ เส้ือผ้าสำเร็จรูป ด้าย ผ้าผืน เครื่องคอมเพรสเซอร์ทำความเย็น ผลิตภัณฑ์จาก พลาสติก ทองแดงและของทำด้วยทองแดง เคร่ืองสำอาง สบู่และผลิตภัณฑ์ รกั ษาผิว และผลติ ภัณฑ์ทำจากยาง เปน็ ตน้ ปญั หาและอุปสรรคการสง่ ออก ปัจจุบันอินเดียยังมีการใช้มาตรการกีดกันทางการค้าท่ีไม่ใช่ภาษี (Non-Tariff Measures : NTMs) อยู่หลายประเภท เช่น การกำหนดใบอนุญาต นำเข้า (Import Licensing) สำหรับสินค้าบางประเภท เช่น พืชน้ำมันและเมล็ด ธัญพืช เครื่องจักรมือสองสินค้าบางชนิดตัวแทนของรัฐเป็นผู้นำเข้าได้แต่เพียง ผู้เดยี ว เชน่ สนิ คา้ ข้าว ขา้ วสาลี เนอ้ื มะพร้าวแห้ง ผลติ ภัณฑ์ปโิ ตรเลยี ม และปุ๋ย เป็นต้น และปัญหาสำคัญอีกประการคือ การประเมินราคาศุลกากรของอินเดีย ซง่ึ มกั จะปฏเิ สธมลู คา่ สนิ คา้ ทผ่ี นู้ ำเขา้ แจง้ และทำการประเมนิ ราคาใหม่ สง่ ผลให้ ผู้นำเข้าต้องเสียภาษีมากขึน้ ท้งั น้ี ปญั หาท้งั สองกำลังจะถูกแกไ้ ขในเวที WTO ปัญหาในเร่ืองมาตรฐานและการทดสอบมาตรฐาน ถือเป็นอุปสรรค สำคัญอีกประการของการส่งออกไปยังอินเดีย รัฐบาลอินเดียกำหนดให้สินค้า 73 ชนิด จะต้องได้รับการรับรองจากสำนักงานมาตรฐานของอินเดียก่อนจึงจะ สามารถนำเข้ามาได้ ตัวอย่างสินค้า เช่น นมและผลิตภัณฑ์ ขวดพลาสติก ปนู ซเี มนตบ์ างประเภท ทอ่ /แผน่ ทำดว้ ยเหลก็ กลา้ แบตเตอรช่ี นดิ เซลลแ์ หง้ เปน็ ตน้ นอกจากน้ี อินเดียยังมีการกำหนดมาตรฐานไอเสียของรถยนต์ท่ีไม่โปร่งใส และเปน็ ประโยชนต์ อ่ ผผู้ ลติ อนิ เดยี มากกวา่ ผผู้ ลติ จากตา่ งประเทศ สำหรบั สนิ คา้ ส่ิงทออินเดียยังห้ามนำเข้าส่ิงทอที่ใช้ azo-dye ในกระบวนการผลิต สำหรับ ผลิตภัณฑ์เกษตรและอาหารน้ัน หลายมาตรฐานสินค้าท่ีอินเดียกำหนดน้ัน
TIFTA ยังไม่สอดคล้องกับมาตรฐานสากล ซ่ึงส่งผลกระทบต่อสินค้าประเภทสัตว์ปีก อาหารสัตว์ ที่อินเดียนำเข้าจากต่างประเทศ รวมท้ังมาตรการกำกับการนำเข้า พืชของอินเดีย (Plant Quarantine) ได้ส่งผลกระทบต่อการส่งออกผักและ ผลไมส้ ดจากไทย ซง่ึ ในการเจรจาความตกลงเขตการคา้ เสรไี ทย-อนิ เดยี ฝา่ ยไทย ก็ได้หยิบยกขึ้นหารือกับอินเดียและมีการแก้ปัญหาดังกล่าวแล้ว นอกจากนี้ จะมีการจัดต้ัง SPS Cooperation และกำหนดให้มี Focal Point ของแต่ละ ฝ่ายเพ่ือประสานงานระหว่างกันในอนาคตต่อไป นอกจากน้ีสินค้าเกษตรท่ีได้ รบั การดดั แปลงพันธุกรรมกจ็ ะถูกอินเดยี จบั ตาเป็นพิเศษด้วย ปญั หาการใชม้ าตรการ NTMs ดงั กลา่ วขา้ งตน้ ฝา่ ยไทยไดย้ กขน้ึ หารอื กบั อนิ เดยี เพอ่ื ลดอปุ สรรคทผ่ี สู้ ง่ ออกไทยตอ้ งประสบในชว่ งทผ่ี า่ นมา โดยหนว่ ยงาน มาตรฐานของอินเดีย (Bureau of Indian Standards : BIS) และสำนักงาน มาตรฐานผลติ ภณั ฑอ์ ตุ สาหกรรม (สมอ.) ของไทย ไดล้ งนามบนั ทกึ ความเขา้ ใจ (MOU) ระหว่างกัน เม่ือวันที่ 11 เมษายน 2550 ณ กรุงนิวเดลี ประเทศอินเดีย ซ่ึงมีวัตถุประสงค์เพ่ือความร่วมมือที่ใกล้ชิดย่ิงข้ึนระหว่างสองฝ่าย ท่ีจะส่งเสริม กิจกรรมด้านมาตรฐาน การรับรอง การวัด การทดสอบ การแลกเปล่ยี นข้อมูล และการฝึกอบรมระหว่างกัน 4. กฎแหลง่ กำเนิดสนิ ค้า กฎแหลง่ กำเนดิ สนิ คา้ เปน็ กฎเกณฑท์ ป่ี ระเทศคเู่ จรจา FTA กำหนดขน้ึ ระหว่างกันเพื่อตรวจสัญชาติของสินค้า ซ่ึงสินค้าแต่ละชนิดก็จะมีกฎแหล่ง กำเนิดแตกต่างกันไป และแตกต่างกันไปอีกในแต่ละ FTA สินค้าที่อยู่ในกลุ่ม เดยี วกนั กอ็ าจจะมกี ฎเกณฑท์ ใ่ี กลเ้ คยี งกนั หรอื อาจแตกตา่ งกนั กไ็ ด้ สนิ คา้ สง่ ออก ของไทยท่ีจะได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษีศุลกากรภายใต้ FTA ไทย-อินเดีย 12
จะต้องเป็นสินค้าท่ีผลิตในประเทศไทย และมีคุณสมบัติถูกต้องตามกฎว่าด้วย 13 แหล่งกำเนิดสินค้าท่ีไทยและอินเดียกำหนดร่วมกัน ซึ่งกฎเกณฑ์ดังกล่าวกำลัง อยรู่ ะหว่างการเจรจาในขณะน้ี สำหรบั สินคา้ ในกลุ่มเร่งลดภาษี Early Harvest TIFTA Scheme 82 รายการ ทั้งสองฝ่ายได้กำหนดให้ใช้กฎแหล่งกำเนิดสินค้า ช่ัวคราวไปก่อน จนกว่ากฎเกณฑ์ถาวรจะเจรจาเสร็จ ซ่ึงจะมีหลักเกณฑ์สำคัญ ดังนี ้ (1) หลักเกณฑ์ Wholly Obtained (WO) คือ สินค้าท่ีผลิตโดยใช้ วัตถุดิบภายในประเทศท้ังหมด จะได้รับสิทธิพิเศษทางภาษีภายใต้ FTA เช่น สนิ ค้าเกษตร และสินแร่ตา่ งๆ รวม 10 รายการ (2) หลักเกณฑ์ Percentage Criterion หรือหลัก Local Content (LC) คือสินค้าที่ผลิตโดยใช้สัดส่วนวัตถุดิบและต้นทุนภายในประเทศต่อราคา ส่งออก (Local Value Added Content) ไม่น้อยกว่าร้อยละตามท่ีกำหนดใน แต่ละสินค้า (ซ่ึงส่วนใหญ่อยู่ที่ร้อยละ 40 ของมูลค่า F.O.B.) จึงจะได้รับสิทธิ พเิ ศษทางภาษี สินค้าทีใ่ ช้หลกั เกณฑ์ขอ้ นี้ เช่น อาหารทะเลปรงุ แตง่ เปน็ ต้น (3) หลักเกณฑ์ Substantial Transformation (ST) คือ สินค้ามีการ ผลติ ตามหลกั การเปลย่ี นพกิ ดั ทางศลุ กากรในระดบั 4 หลกั หรอื 6 หลกั ซง่ึ หลกั น้ี มักจะใช้ร่วมกับหลักเกณฑ์ Percentage Criterion คือสินค้าจะได้รับสิทธิ พเิ ศษทางภาษเี มอ่ื ผา่ นหลกั เกณฑท์ ง้ั สองน้ี สนิ คา้ ทอ่ี ยใู่ นกลมุ่ ตอ้ งใชห้ ลกั ในข้อนี้ ไดแ้ ก่ เครอ่ื งรบั โทรทศั นส์ ี นาฬกิ า เครอ่ื งจกั รทใ่ี ชใ้ นอตุ สาหกรรม ผลติ ภณั ฑเ์ หลก็ แผน่ รดี สารเคมีตา่ งๆ สว่ นประกอบ และเคร่อื งเพชรพลอย รวม 68 รายการ อย่างไรก็ดี สำหรับสินค้าท่ีผ่านกระบวนการผลิตอย่างง่าย เช่น การ เปล่ียนบรรจุภัณฑ์ การแยกส่วนประกอบ การประทับตรา จะไม่ถือว่าสินค้าน้ัน มีแหล่งกำเนิดในประเทศไทย
TIFTA 5. การค้าบริการในตลาดอินเดยี อนิ เดยี กำลงั จะเปน็ ประเทศผสู้ ง่ ออกบรกิ ารรายใหญข่ องโลก โดยเฉพาะ ธรุ กจิ Call Center และซอฟตแ์ วรค์ อมพวิ เตอร์ อยา่ งไรกด็ ี ในธรุ กจิ บรกิ ารทส่ี ำคญั ภาครัฐเองยังคงเป็นผู้ดำเนินการเอง ส่วนธุรกิจท่ีภาคเอกชนและผู้ประกอบการ ตา่ งประเทศมบี ทบาทสำคญั ไดแ้ ก่ ธรุ กจิ โฆษณา บญั ชี รถยนตใ์ หเ้ ชา่ และธรุ กจิ ทป่ี รกึ ษา สำหรบั ธรุ กจิ บรกิ ารดา้ นการสอ่ื สาร ธรุ กจิ บรกิ ารวชิ าชพี (Professional Services) หรอื การเงินนน้ั อินเดยี ยังคงไม่ผ่อนคลายกฎระเบียบมากนกั สำหรับการเจรจาเปิดเสรีภาคบริการของอินเดียภายใต้ FTA ไทย- อินเดียนั้นยังอยู่ในขั้นตอนของการเจรจา สำหรับภาคธุรกิจบริการที่ไทยให้ ความสำคัญและได้พยายามผลักดันให้อินเดียเปิดเสรี ได้แก่ ธุรกิจบริการด้าน การทอ่ งเทย่ี ว สขุ ภาพ การขนสง่ โทรคมนาคม บรกิ ารดา้ นคอมพวิ เตอร์ การเงนิ ธุรกิจการวิชาชีพ และการก่อสร้าง เป็นต้น ขอให้ผู้ประกอบการท่ีสนใจขยาย การค้าบริการไปยังอินเดียติดตามความคืบหน้าของการเจรจาในเร่ืองน้ีอย่าง ใกลช้ ิด 6. โอกาสการลงทนุ ในอนิ เดีย ไทยและอินเดียมีข้อตกลงร่วมกันว่าด้วยการส่งเสริมและคุ้มครอง การลงทุน (Bilateral Investment Protection and Promotion Agreement : BIPA) ซ่ึงได้มีการลงนามไปต้ังแต่ปี 2543 และยังคงมีผลบังคับใช้ถึงปัจจุบัน ดังน้ัน ความตกลงเปิดเสรีการลงทุนใน FTA ไทย-อินเดีย ฉบับที่กำลังเจรจากัน 14 อยู่น้ันจึงครอบคลุมกว้างขวางกว่า BIPA ซึ่งท้ังสองฝ่ายกำลังอยู่ระหว่างการ หารือกับหน่วยงานด้านการลงทุนและภาคเอกชนของแต่ละประเทศ เพื่อให้ได้
ข้อตกลงที่เป็นประโยชน์ต่อนักลงทุนท้ังสองประเทศอย่างสูงสุด ปัจจุบันได้เริ่ม 15 มีนักลงทุนจากอินเดียเข้ามาลงทุนในอุตสาหกรรมต่างๆ ของไทยบ้างแล้ว เช่น อุตสาหกรรมรถยนต์และชิ้นส่วน จึงคาดว่า FTA ไทย-อินเดีย จะส่งผลดึงดูด TIFTA นกั ลงทนุ ชาวอนิ เดยี ใหเ้ ขา้ มาลงทนุ ในไทยมากยง่ิ ขน้ึ ในขณะทน่ี กั ลงทนุ ชาวไทย ก็จะมีโอกาสขยายการลงทนุ ไปในอนิ เดียมากข้นึ เช่นกัน ชอ่ งทางการลงทุนในอินเดยี การลงทุนในอินเดยี สามารถทำได้ 2 ชอ่ งทางคือ (1) การลงทุนโดยผ่านช่องทางอัตโนมัติ (Automatic Route) อยู่ใน ความรับผิดชอบโดยตรงของธนาคารกลางหรือ Reserve Bank of India (RBI) ด้วยวิธีการท่ีนักลงทุนต่างชาติจะแจ้งให้ RBI ทราบถึงการลงทุนภายใน 30 วัน นบั แต่วนั ที่นำเงินมาลงทนุ และวันที่ออกหุน้ ของบรษิ ัท (2) การลงทุนโดยขออนุมัติจาก Foreign Investment Promotion Board (FIPB) และรัฐบาล เป็นการลงทุนในอุตสาหกรรมและบริการบางอย่าง ทก่ี ฎหมายกำหนดไว ้ นอกจากน้ี เพ่อื ส่งเสรมิ การลงทนุ รฐั บาลอินเดยี ไดเ้ สนอสง่ิ จูงใจพเิ ศษ ให้นักลงทุนจัดตั้งโรงงานผลิตสินค้าสำหรับการส่งออกในเขตเศรษฐกิจพิเศษ (EPZ) หรือ (EOU/SEZ) ซ่ึงอนุญาตให้ชาวต่างชาติลงทุนได้ 100% (ภายใต้ข้อ จำกัดบางประการ) โดยเขต EPZ ตั้งขึ้นเพื่อเป็นเขตผลิตสินค้าเพื่อส่งออก ภายใต้สภาพท่ีปลอดภาษีและต้นทุนการผลิตตำ่ ในแต่ละเขตมีระบบอำนวย ความสะดวกขั้นพื้นฐาน เช่น ที่ดินท่ีพัฒนาแล้ว โรงงานที่ออกแบบได้มาตรฐาน ถนน ระบบไฟฟ้า นำ้ และระบบศุลกากร ในขณะที่ EOU อยู่ภายใต้กฎเกณฑ์ คล้ายๆ กับ EPZ แต่โครงการนี้ให้ทางเลือกที่กว้างกว่าในแง่ของสถานที่ตั้ง โรงงานทเ่ี หมาะกบั แหลง่ วตั ถดุ บิ ทา่ เรอื สง่ ออก แรงงานทม่ี ที กั ษะตามทต่ี อ้ งการ และขนาดทด่ี นิ ทก่ี ว้างกว่าสำหรับการดำเนนิ โครงการ
TIFTA 7. ความท้าทายและการปรับตัวรองรับ FTA ประโยชน์จาก FTA จะเกิดข้ึนสูงสุดเม่ือทุกฝ่ายท่ีเก่ียวข้องร่วมมือ และเตรียมพร้อมรับการเปล่ียนแปลงท่ีจะเกิดข้ึนร่วมกัน ความร่วมมือทั้งใน ด้านข้อมูล ข่าวสาร ข้อคิดเห็นระหว่างหน่วยงานท่ีทำหน้าที่เจรจาของภาครัฐ เชน่ กระทรวงพาณชิ ย์ กระทรวงการคลงั กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวง อตุ สาหกรรม และกระทรวงการตา่ งประเทศ เปน็ ตน้ ภาคเอกชน ตวั แทนภาคธรุ กจิ สมาคมผ้ปู ระกอบการนักวิชาการ รวมท้งั องค์กรอิสระต่างๆ ท่เี ก่ยี วข้อง โดยมี ความสำคัญอย่างยิ่งต่อผลของการเจรจา ดังนั้น ทุกฝ่ายจึงต้องร่วมมือกันเพื่อ ให้การเจรจาเกิดประโยชนส์ งู สุดต่อสว่ นรวม ภายหลงั การจดั ทำ FTA ไทย-อนิ เดยี แลว้ แนน่ อนวา่ ระดบั การแขง่ ขนั จะตอ้ งสงู ขน้ึ แต่ FTA กจ็ ะชว่ ยเปดิ โอกาสทางการคา้ ใหมๆ่ ใหแ้ กผ่ ปู้ ระกอบการ ดังน้ัน ผู้ประกอบการจึงต้องมีการปรับตัวเพื่อรองรับการแข่งขันที่เพิ่มข้ึน และใช้ประโยชน์จากโอกาสที่เปิดกว้างน้ี สำหรับแนวทางที่ผู้ประกอบการอาจ นำไปปรบั ใช้กบั ธุรกจิ เช่น 1) เพม่ิ ประสทิ ธภิ าพในการผลติ การจดั การ การบรหิ ารตน้ ทนุ ปรบั ใช้ เทคนิคการบรหิ ารสมยั ใหม่ และใชป้ ระโยชนจ์ ากเทคโนโลยีทที่ นั สมยั 2) พัฒนารูปแบบและคุณภาพสินค้า โดยยกระดับคุณภาพและ มาตรฐานให้สูงขึ้น เพ่ือเข้าสู่ตลาดระดับบน ซึ่งจะช่วยลดการแข่งขันในสินค้า ระดับลา่ ง และการสรา้ ง Brand Name สินคา้ ของไทยให้เป็นทรี่ ้จู ักในอนิ เดยี 3) ลงทุนด้านการวิจัยและพัฒนา (Research and Development) เพ่อื พฒั นาเทคโนโลยีท่ีใชใ้ นการผลิตใหส้ ูงขึน้ 4) พฒั นาบคุ ลากร โดยเฉพาะแรงงานฝมี อื และชา่ งเทคนคิ ใหส้ อดคลอ้ ง กับความตอ้ งการของภาคธรุ กจิ และระดบั เทคโนโลยที ี่เปล่ยี นแปลงไป 16 5) พัฒนาและขยายตลาดเชิงรุก โดยใช้ตลาดเป็นตัวนำ ผลิตสินค้า ให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาด ขยายช่องทางการค้าในการเข้าถึง ผู้บริโภคโดยตรงมากขึน้ มกี ระบวนการผลติ และส่งมอบสินค้าอยา่ งรวดเรว็
6) พัฒนาความสัมพันธ์ระหว่างภาคเอกชนไทยกับภาคเอกชนของ 17 ประเทศทรี่ ่วมจดั ทำเขตการคา้ เสรี เชน่ การจัดตั้งสภาธรุ กจิ เป็นตน้ 7) ติดต่อคู่ค้าชาวอินเดียอย่างสมำ่ เสมอ เพ่ือรักษาความสัมพันธ์ TIFTA ทางการค้าในระยะยาว นอกจากน้ี ประชาชนทว่ั ไปสามารถเขา้ มามสี ว่ นรว่ มในการเจรจา FTA ไทย-อินเดียได้โดยผ่านสมาคมต่างๆ เช่น สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย สมาคมธนาคารไทย และสภาวิชาชีพต่างๆ เป็นต้น หรือถ้าเป็นผู้ประกอบการเกษตรกร หรือประชาชนท่ีไม่ได้สังกัดสมาคม ใดๆ ก็สามารถร่วมแสดงความคิดเห็น หรือส่งข้อเสนอแนะโดยตรงมาได้ที่ กรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ ซ่ึงจะรวบรวมความ คิดเหน็ ของกลุม่ ตา่ งๆ แลว้ นำมาประมวลเพอ่ื หาท่าทใี นการเจรจาต่อไป 8. หน่วยงานทีเ่ ก่ยี วขอ้ งกับ FTA ไทย-อนิ เดีย กระทรวงพาณชิ ย ์ กรมเจรจาการคา้ ระหว่างประเทศ 44/100 ถนนนนทบุรี 1 ตำบลบางกระสอ อำเภอเมือง จงั หวัดนนทบรุ ี 11000 โทรศัพท์ : 02-507-7444 โทรสาร : 02-547-5630-1 Website : http://www.dtn.go.th http://www.thaifta.com FTA Call Center : 02-507-7555 FTA One Stop Service : 02-512-0123 ตอ่ 823
กรมการค้าต่างประเทศ สำนักสทิ ธิประโยชนท์ างการค้า 44/100 ถนนนนทบรุ ี 1 ตำบลบางกระสอ อำเภอเมือง จังหวดั นนทบรุ ี 11000 โทรศัพท์ : 02-547-4817 สายด่วน : 1385 โทรสาร : 02-547-4816 Website : http://www.dft.go.th E-mail : [email protected] สำนักงานการค้าตา่ งประเทศ เขต 1 (เชยี งใหม่) โทรศพั ท์ : 053-274-671-2 TIFTA โทรสาร : 053-277-901 สำนกั งานการคา้ ตา่ งประเทศ เขต 2 (หาดใหญ่) โทรศัพท์ : 074-252-500 โทรสาร : 074-252-501-2 ตอ่ 20 สำนกั งานการคา้ ต่างประเทศ เขต 3 (ชลบรุ ี) โทรศพั ท์ : 038-342-500 โทรสาร : 038-341-173-4 สำนกั งานการคา้ ตา่ งประเทศ เขต 4 (สระแก้ว) โทรศพั ท์ : 037-425-062 โทรสาร : 037-425-063 สำนักงานการค้าตา่ งประเทศ เขต 5 (หนองคาย) โทรศพั ท์ : 042-413-337 โทรสาร : 042-413-376 สำนักงานการค้าตา่ งประเทศ เขต 6 (เชียงราย) โทรศัพท์ : 053-719-612-4 โทรสาร : 053-719-615 18
กรมส่งเสรมิ การส่งออก สำนักพฒั นาการตลาดตา่ งประเทศ 27/77 ถนนรัชดาภิเษก แขวงลาดยาว เขตจตุจักร กรุงเทพฯ 10900 19 โทรศัพท์ : 02-513-1909-15 โทรสาร : 02-512-1079, 02-512-2235 Website : http://www.depthai.go.th E-mail : [email protected] สำนักงานสง่ เสรมิ การค้าในต่างประเทศ ณ กรุงนวิ เดลี Thai Trade Center, New Delhi 10 Bd., Ground Floor, Munirka Marg, Vasant Vihar, New Delhi 110057, India TIFTA โทรศัพท์ : 91-11 46010409, 91-11 46010408 โทรสาร : 91-11 46010405, 91-11 26156862 E-mail : [email protected], [email protected] กระทรวงการคลัง สำนกั งานเศรษฐกิจการคลัง ถนนพระราม 6 กรงุ เทพฯ 10400 โทรศพั ท์ : 02-273-9020 โทรสาร : 02-273-9059 Website : http://www.mof.go.th
TIFTA กรมศลุ กากร ถนนสุนทรโกษา เขตคลองเตย กรงุ เทพฯ 10110 โทรศพั ท์ : 02-249-0431-40 โทรสาร : 02-249-2874 Website : http://www.customs.go.th กระทรวงการต่างประเทศ กรมเศรษฐกจิ ระหวา่ งประเทศ ถนนศรอี ยธุ ยา กรงุ เทพฯ 10400 โทรศัพท์ : 02-643-5248-9 โทรสาร : 02-643-5247 Website : http://www.mfa.go.th E-mail : [email protected] กรมสนธสิ ัญญาและกฎหมาย ถนนศรีอยธุ ยา กรงุ เทพฯ 10400 โทรศัพท์ : 02-643-5040 โทรสาร : 02-643-5041 Website : http://www.mfa.go.th กรมเอเชยี ใต้ ตะวนั ออกกลางและแอฟรกิ า ถนนศรอี ยธุ ยา กรุงเทพฯ 10400 20 โทรศัพท์ : 02-643-5043-44 โทรสาร : 02-643-5045 Website : http://www.mfa.go.th E-mail : [email protected]
กระทรวงเกษตรและสหกรณ ์ 21 สำนกั งานเศรษฐกิจการเกษตร ถนนพหลโยธนิ เขตจตุจักร กรงุ เทพฯ 10900 TIFTA โทรศัพท์ : 02-940-5550-1 โทรสาร : 02-940-7210 Website : http://www.oae.go.th กรมวิชาการเกษตร ถนนพหลโยธิน เขตจตุจกั ร กรุงเทพฯ 10900 โทรศพั ท์ : 02-579-0151-7 โทรสาร : 02-579-5248 Website : http://www.doa.go.th กรมปศุสัตว์ ถนนพญาไท กรุงเทพฯ 10400 โทรศัพท์ : 02-653-4444 โทรสาร : 02-653-4905 Website : http://www.moac.go.th สำนักงานมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหารแหง่ ชาติ (มกอช.) ถนนราชดำเนินนอก เขตพระนคร กรงุ เทพฯ 10200 โทรศพั ท์ : 02-280-3906-7 โทรสาร : 02-280-3885 Website : http://www.acfs.go.th
กระทรวงอตุ สาหกรรม สำนกั งานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม ถนนพระราม 6 เขตราชเทวี กรงุ เทพฯ 10400 โทรศพั ท์ : 02-202-4336 โทรสาร : 02-202-4308 Website : http://www.oie.go.th สำนักงานมาตรฐานผลติ ภัณฑอ์ ุตสาหกรรม ถนนพระราม 6 เขตราชเทวี กรงุ เทพฯ 10400 TIFTA โทรศัพท์ : 02-202-3301-4 โทรสาร : 02-202-3415 Website : http://www.tisi.go.th สถานเอกอคั รราชทูต สถานเอกอัครราชทูตอนิ เดีย ประจำประเทศไทย 46 ซอยประสานมติ ร สุขมุ วทิ กรุงเทพฯ 10110 โทรศพั ท์ : 02-258-0300-5 โทรสาร : 02-258-4627 Website : http://www.indiaemb.or.th E-mail : [email protected] 22
สถานเอกอคั รราชทตู ไทย ณ กรุงนิวเดลี Royal Thai Embassy; 56-N Nyaya Marg, 23 Chanakyapuri, New Delhi, India 110021 โทรศพั ท์ : 91-112-611-5678 โทรสาร : 91-112-687-2029 Website : http://www.thaiemb.org.in E-mail : [email protected] TIFTA
Search
Read the Text Version
- 1 - 26
Pages: