เกษตรผสมผสานตามแนวทฤษฎใี หม่
ระบบเกษตรกรรมที่จะนำไปสกู่ ำรเกษตรย่ังยนื โดยมรี ปู แบบทด่ี ำเนินกำรมี ระบบไรน่ าสวนผสม (Mixed/Diversefied/Polyculture Farming System) เป็นระบบกำรเกษตรท่ีมี ลักษณะใกล้เคียงกนั และทำให้ ผ้ปู ฏิบตั ิมีควำมสบั สนในกำรใหค้ วำมหมำยและวิธปี ฏิบัติ กิจกรรมกำรผลติ หลำย ๆ กจิ กรรมเพ่ือตอบสนองต่อกำรบริโภคหรอื ลดควำมเสย่ี งจำกรำคำ ผลติ ผลทีม่ ีควำมไม่ ทีถ่ ูกต้อง ได้แกร่ ะบบเกษตรผสมผสำนและระบบ ไรน่ ำสวนผสม แน่นอนเท่ำนนั้ โดยมไิ ดม้ ีกำรจดั กำรใหก้ จิ กรรมกำรผลติ เหลำ่ นัน้ มกี ำรผสมผสำนเกือ้ กลู กนั เพ่อื ลดต้นทนุ กำรผลิต และคำนงึ ถงึ สภำพแวดลอ้ มเหมอื นเกษตรผสมผสำนกำรทำไรน่ ำสวนผสมอำจมกี ำรเก้ือกลู กันจำก กจิ กรรมกำรผลิต ระบบเกษตรผสมผสาน (Integrated Farming System) เป็นระบบกำรเกษตรทม่ี ีกำรเพำะปลกู พชื บำ้ ง แตก่ ลไกกำรเกดิ ขึน้ น้ันเป็นแบบ “เปน็ ไปเอง” มใิ ช่เกิดจำก “ความรู้ ความเขา้ ใจ” อย่ำงไร กต็ ำมไรน่ ำสวนผสม หรือกำรเลี้ยงสตั ว์ต่ำง ๆ ชนิดอย่ใู นพ้ืนท่ีเดียวกนั ภำยใต้กำรเกื้อกลู ประโยชน์ต่อกันและกนั อยำ่ งมปี ระสทิ ธภิ ำพ สำมำรถพัฒนำควำมรู้ควำมสำมำรถของเกษตรกรผู้ดำเนินกำรใหเ้ ปน็ กำรดำเนนิ กำรในลักษณะ ของระบบเกษตร สูงสดุ โดยอำศยั หลกั กำรอยูร่ วมกนั ระหว่ำงพืช สัตว์ และส่ิงแวดล้อมกำรอย่รู วมกนั อำจจะอยู่ในรปู ควำมสมั พนั ธ์ ผสมผสำนได้ ระหว่ำงพชื กับพชื พชื กบั สตั ว ์ หรือสตั ว์กับสัตวก์ ไ็ ด้ ระบบ เกษตรผสมผสำนจะประสบผลสำเรจ็ ได้ จะตอ้ งมีกำร วำงรูปแบบ และดำเนนิ กำร โดยให้ควำมสำคัญต่อกิจกรรม แตล่ ะชนดิ อย่ำงเหมำะสมกบั สภำพแวดล้อมทำงกำยภำพ เศรษฐกิจ สังคม มกี ำรใชแ้ รงงำน เงินทนุ ท่ีดิน ปจั จยั กำรผลิตและทรพั ยำกรธรรมชำติอยำ่ งมปี ระสิทธภิ ำพ ตลอดจนรูจ้ กั นำวสั ดุเหลอื ใช้จำกกำรผลิตชนดิ หน่ึงมำหมนุ เวียนใชป้ ระโยชน์กบั กำรผลิตอกี ชนดิ หน่งึ กับกำรผลติ อีก ชนดิ หนง่ึ หรอื หลำยชนิด ภำยในไรน่ ำแบบครบวงจร ตัวอย่ำงกิจกรรมดังกล่ำว เชน่ กำรเลีย้ งไก่ หรอื สุกรบนบอ่ ปลำ กำรเลย้ี งปลำในนำข้ำว กำรเลีย้ งผง้ึ ในสวนผลไม้ เปน็ ต้น
ระบบเกษตรผสมผสาน (Integrated Farming System) เปน็ ระบบกำรเกษตรท่ีมกี ำร 2. แบ่งตามวธิ ีการดาเนนิ การ เพำะปลกู พืชหรอื กำรเลี้ยงสัตวต์ ำ่ ง ๆ ชนิดอย่ใู นพ้นื ท่เี ดยี วกันภำยใต้กำรเกื้อกูล ประโยชนต์ อ่ กนั 2.1 ระบบเกษตรผสมผสำนท่มี ีกำรใชส้ ำรเคมี ในระบบกำรผลติ จะมีกำรใชส้ ำรเคมีในกิจกรรมตำ่ ง ๆ เพือ่ และกันอยำ่ งมีประสิทธภิ ำพสงู สุด โดยอำศยั หลกั กำรอยู่รวมกนั ระหวำ่ งพืช สัตว์ และสง่ิ แวดลอ้ มกำร อยรู่ วมกนั อำจจะอยูใ่ นรูปควำมสมั พันธร์ ะหวำ่ งพชื กบั พืช พืชกบั สตั ว ์ หรือสัตว์กบั สตั ว์กไ็ ด้ ระบบ จุดประสงค์ ใหไ้ ด้ผลผลิตและรำยได้สูงสดุ เกษตรผสมผสำนจะประสบผลสำเรจ็ ได้ จะตอ้ งมกี ำรวำงรูปแบบ และดำเนินกำร โดยให้ควำมสำคญั 2.2 ระบบกำรเกษตรอนิ ทรยี ์หลกี เล่ียงกำรใช้สำรเคมที กุ ชนิด เชน่ ปยุ๋ เคมี ยำปรำบศัตรพู ชื ฮอร์โมน สำรเคมีใน ต่อกจิ กรรม แตล่ ะชนดิ อย่ำงเหมำะสมกับสภำพแวดลอ้ มทำงกำยภำพ เศรษฐกิจ สงั คม มกี ำรใช้ แรงงำน เงนิ ทุน ท่ีดนิ ปจั จยั กำรผลติ และทรพั ยำกรธรรมชำติอย่ำงมีประสิทธภิ ำพ ตลอดจนรู้จักนำ อำหำร สตั ว์ คำนงึ ถงึ กำรสงวนรักษำอนิ ทรยี ว์ ตั ถุในดินดว้ ยกำรปลกู พืชหมนุ เวยี นกำรปลกู พืชคลมุ ดิน ใชป้ ยุ๋ คอกป๋ยุ วัสดเุ หลอื ใช้จำกกำรผลติ ชนิดหน่ึงมำหมนุ เวียนใช้ประโยชน์กับกำรผลิตอีกชนดิ หนงึ่ กับกำรผลิตอีก หมัก ใช้ เศษอินทรยี ว์ ตั ถุจำกไร่นำ มงุ่ สรำ้ งควำมแข็งแกรง่ ใหแ้ ก่พชื ด้วยกำรบำรงุ ดนิ ให้อุดมสมบูรณ์ ผลผลิตทไ่ี ด้ก็จะ ชนิดหนึง่ หรอื หลำยชนิด ภำยในไรน่ ำแบบครบวงจร ตัวอย่ำงกิจกรรมดงั กล่ำว เชน่ กำรเลยี้ งไก่ หรอื อยใู่ นรปู ปลอดสำรพิษ สุกรบนบ่อปลำ กำรเลยี้ งปลำในนำขำ้ ว กำรเล้ยี งผึ้งในสวนผลไม้ เปน็ ต้น 2.3 ระบบกำรเกษตรธรรมชำติ เปน็ ระบบกำรเกษตรท่ีใช้หลกั กำรจดั ระบบกำรปลูกพืชและเลย้ี งสัตวท์ ่ีประสำน 1. แบง่ ตามกิจกรรมท่ีดาเนินการอยูเ่ ปน็ หลัก ควำม รว่ มมือกบั ธรรมชำตอิ ย่ำงสอดคล้องและเกื้อกูลซ่งึ กนั และกนั งดเว้นกจิ กรรมทไี่ ม่จำเป็นหลกั ใหญ่ ๆ ได้แก่ ไมม่ ี 1.1 ระบบเกษตรผสมผสำนทยี่ ดึ กิจกรรมพืชเปน็ หลกั ซึ่งกจิ กรรมท่ีดำเนินกำรนจี้ ะมพี ชื เปน็ รำยได้หลัก กำร พรวนดนิ ไม่ใช้ป๋ยุ เคมี ไมก่ ำจัดวัชพชื ไมใ่ ช้สำรเคมีกำจดั ศตั รูพืช ทงั้ นจ้ี ะมีกำรปลกู พชื ตระกลู ถ่วั คลุมดิน ใชว้ ัสดุ 1.2 ระบบเกษตรผสมผสำนท่ยี ึดกิจกรรมเลี้ยงสตั ว์เปน็ หลกั ซง่ึ กำรดำเนนิ กำรเลยี้ งสตั ว์จะเปน็ รำยไดห้ ลกั เศษ พชื คลมุ ดิน อำศยั กำรควบคุมโรคแมลงศัตรดู ว้ ยกลไกกำรควบคมุ กันเองของสิง่ มชี ีวติ ตำมธรรมชำติ กำรปลูกพืช 1.3 ระบบเกษตรผสมผสำนทีย่ ดึ กจิ กรรมประมงเป็นหลกั ซง่ึ จะมีกิจกรรมเลย้ี งสตั ว์น้ำเปน็ รำยไดห้ ลกั ใน ในสภำพแวดลอ้ มทีม่ คี วำมสมดุลย์ทำงนิเวศวิทยำ 1.4 ระบบเกษตรผสมผสำนแบบไรน่ ำปำ่ ผสมหรอื วนเกษตรเป็นระบบทมี่ ีกำรจัดกำรปำ่ ไมเ้ ปน็ หลักร่วมกบั 3. แบง่ ตามประเภทของพืชสาคัญเป็นหลกั กำรเกษตร ทกุ แขนง อำจประกอบดว้ ยกำรปลกู พชื เกษตรในสวนปำ่ 3.1 ระบบเกษตรผสมผสำนทม่ี ีขำ้ วเปน็ พชื หลกั พ้ืนท่ีส่วนใหญ่จะเปน็ ทนี่ ำทำกำรปลูกขำ้ วนำปเี ป็นพชื หลกั กำร กำรปลูกพชื เกษตรร่วมกับกำรเลย้ี งสตั วใ์ นสวนปำ่ ระบบนีม้ งุ่ หวังทจี่ ะใหเ้ ป็นตัวกลำงเพอ่ื ผอ่ นคลำยควำม ผสม ผสำนกิจกรรมเขำ้ ไปใหเ้ กอ้ื กูลอำจทำได้ท้งั ในรปู แบบของพืช-พชื เชน่ กำรปลูกพชื ตระกูลถัว่ พืชผกั พืชเศรษฐกจิ ตอ้ งกำรที่ดนิ เพื่อกำรเกษตรกรรมกับควำมตอ้ งกำรป่ำไม้ เพ่อื ควบคุมส่งิ แวดลอ้ มให้สำมำรถดำเนนิ ควบค่กู ันไปโดย อ่ืน ๆ กอ่ นหรือหลงั ฤดกู ำลทำนำ อีกระบบหน่ึงท่นี บั ได้วำ่ มคี วำมสำคัญเชน่ กัน แต่ยังไมไ่ ดม้ ีกำรกล่ำวถึงมำกนกั ในแง่ คำนึงถึงสภำพทำงสงั คมเศรษฐกจิ และวัฒนธรรมประเพณี รวมทง้ั ช่วย พัฒนำควำมเป็นอยขู่ องรำษฎรทเี่ กย่ี วขอ้ ง ของกำร เกษตรผสมผสำน แต่จะมีควำมสมั พันธก์ บั วถิ ชี วี ติ ของเกษตรกรในช่วงเวลำท่ีผำ่ นมำอยคู่ อ่ นขำ้ งมำกและมใี ห้ ระบบวนเกษตรท่ดี ีควรสำมำรถเพ่ิมกำรซมึ ซบั น้ำ รกั ษำนำ้ ใตด้ นิ ลดกำรสญู เสียดนิ ลกั ษณะพนั ธ์ุพชื ท่ีใชค้ วรเป็นทรง เหน็ อยทู่ ั่ว ๆ ไปในพืน้ ทน่ี ำดอนอำศัยนำ้ ฝนในภำคตะวนั ออกเฉียงเหนือ ไดแ้ ก่ ระบบตน้ ไมใ้ นนำขำ้ ว ตน้ ไมเ้ หลำ่ นีม้ ีทง้ั พุม่ เพอ่ื ลดควำมรนุ แรงของเม็ดฝนทีต่ กกระทบผวิ ดนิ สำมำรถรกั ษำสภำพดลุ ย์ ของสภำวะแวดลอ้ มใหเ้ หมำะสมกบั พชื เปน็ ป่ำดงั้ เดมิ และเป็นป่ำไม้ทช่ี ำวบ้ำนปลูกขนึ้ ใหมห่ รอื เกดิ จำกกำรแพรพ่ ันธุต์ ำมธรรมชำติ ภำยหลังต้นไมเ้ หลำ่ น้จี ะ ท่ีปลกู รว่ ม เชน่ บังร่มเงำ พำยุ ฝน อกี ทั้งควบคุมสภำพควำมชมุ่ ชนื้ และอุณหภมู ิ ให้ดี พันธ์ไุ ม้ทีป่ ลกู ควรมีรำกลกึ พอท่ี อย่ทู งั้ ในนำ บนคันนำ ที่สงู เชน่ จอมปลวก หรอื บรเิ วณเถียงนำ เปน็ ต้น ท่พี บเหน็ โดยทั่ว ๆ ไป ได้แก่ ยำงนำ สำมำรถหมุนเวยี นธำตอุ ำหำรในระดับท่ีลกึ ข้ึนมำส่บู ริเวณผวิ ดนิ เป็นประโยชน์ต่อ พชื รำกตืน้ ทีป่ ลกู ร่วม โดยรวมทง้ั ตะเคยี นทอง กะบำก สะแบง ไมร้ งั จำมจุรี มะขำม มะม่วง เป็นต้น นับได้ว่ำเป็นทรพั ยำกรเอนกประสงคใ์ ช้เปน็ อำหำร ระบบควรให้ผลตอบแทนแกเ่ กษตรกรหลำยด้ำน เชน่ ผลผลิตในรปู อำหำร ยำรักษำ โรค ไม้ฟืน ไมส้ รำ้ งบ้ำนและ และยำแก่มนษุ ย์ อำหำรสตั ว์ เชอื้ เพลงิ ไม้ก่อสร้ำง ไม้ใชส้ อยขนำดเล็ก ผลติ ภณั ฑจ์ ำกต้นไมน้ ำไปใช้ประโยชน์ เชน่ น้ำ รำยได้ สง่ิ สำคัญทส่ี ดุ ควรเป็นระบบทอ่ี นุรักษด์ นิ และนำ้ ไดด้ ปี ลูกได้หลำยสภำพแวดล้อม และงำ่ ยต่อกำรปฏิบัตใิ น ยำง ทำคบไต้ ครัง่ เครือ่ งจดุ ไฟ ใหร้ ่มเงำ นอกจำกนีย้ งั ชว่ ยรักษำคันนำใหค้ งรูป สำมรถเก็บกกั น้ำ ทัง้ นีเ้ นือ่ งด้วยดิน สภำพของเกษตรกรวนเกษตรท่พี อประยกุ ต์ใชใ้ นประเทศไทยมีอยู่ 3 ระบบใหญ่ คือ ระบบป่ำ ไม้-ไรน่ ำ, ระบบป่ำไม้- โดยท่วั ไปมีเนอื้ ดินเป็น ทรำย มีโครงสร้ำงออ่ นแอ ไมส่ ำมำรถสร้ำงคันนำให้ทนทำน เวน้ เสยี แต่จะมีสิ่งมำเสริมหรือยึด เลี้ยงสตั ว์ และระบบเลยี้ งสตั ว์-ป่ำไม้-ไร่นำ ซ่งึ วิธกี ำรนำแตล่ ะระบบไปประยกุ ต์ใชย้ ่อมขึน้ อยกู่ บั สภำพแวดล้อมตำ่ ง ๆ ไว้ ต้นไม้ยังใช้เป็นหลกั ที่เกบ็ ฟำงข้ำวมำสมุ ไว้ สำหรบั เอำไว้เลีย้ งสัตวใ์ นฤดแู ล้ง ระบบพืชในนำขำ้ วทน่ี ับวำ่ เป็นคู่ ของพืน้ ท่เี ป็นเกณฑ์ สมพงษ์และมีควำมยง่ั ยนื มำ ชำ้ นำน ไดแ้ ก่กำรปลูกตำลร่วมกับระบบกำรปลกู ขำ้ ว ทพี่ บเหน็ กนั ในพ้ืนที่บำงส่วนของ ภำคกลำง ภำคเหนอื ตอนล่ำงและ ภำคใต้ เปน็ ต้น เปน็ ลักษณะกำรปลกู ตน้ ตำลบนคันนำเป็นส่วนใหญ่ และมีบำงส่วน ท่ตี น้ ตำลขึ้นอยูใ่ นกระทงนำ เกษตรกร ไดท้ ั้งผลผลติ ขำ้ วและผลิตภัณฑ์จำกตำล ซง่ึ อำจอยู่ในรูปของนำ้ หวำนน้ำมำ เคยี่ วเปน็ นำ้ ตำล ผลตำลออ่ น ผลตำลแก่นำมำ ทำขนมตำ่ ง ๆ ได้ ตน้ ตำลที่มีอำยมุ ำก ผลผลติ ลดลง สำมำรถแปร สภำพเนอื้ ไมม้ ำใชใ้ นอตุ สำหกรรมกอ่ สรำ้ งได้ดว้ ย เช่น ทำเฟอรน์ เิ จอรต์ ำ่ ง ๆ อีกรปู แบบหนึ่งท่ปี ัจจบุ ันมกี ำรดำเนินกำร กนั มำกขึน้ ในพ้นื ท่ีภำคตะวันออกเฉยี งเหนอื ไดแ้ ก่ กำรนำ ปลำเขำ้ มำรว่ มระบบ ซ่งึ ทำไดท้ ้ังในลักษณะกำรเล้ยี งปลำใน
นำขำ้ ว กำรผสมผสำน พชื -สัตว์-ปลำ เชน่ กำรแปรเปลีย่ น พ้นื ทีน่ ำบำงสว่ นเปน็ ร่องสวนปลกู ไมผ้ ลเลย้ี งปลำในร่อง 4.2 ระบบเกษตรผสมผสำนในพื้นท่ีรำบเชิงเขำ พื้นท่ีส่วนใหญจ่ ะเปน็ ทด่ี อนอำศัยนำ้ ฝน มีกำรปลกู พืชไร่ชนดิ ต่ำง สวน เล้ียงสัตวป์ กี โค โดยใชเ้ ศษอำหำรจำกพชื ต่ำง ๆ ในฟำรม์ ให้เปน็ อำหำรสัตวไ์ ด้ดว้ ย ๆ เป็นหลัก รองลงมำจะเป็นไมผ้ ลยืนตน้ ขำ้ วไร่ กำรจัดกำรในรูปผสมผสำน ได้แก่ กำรปลูกไม้ผลไม้ยืนต้น ตลอดจน ไม้ ้ใช้สอยร่วมกนั เพือ่ ให้เกดิ ประโยชนท์ ง้ั ในดำ้ นผลผลิต รำยได้ ตลอดจนสภำพแวดลอ้ มทำงธรรมชำติดีขึ้นได้ กำร 3.2 ระบบเกษตรผสมผสำนท่ีมีพชื ไรเ่ ป็นพชื หลกั กำรผสมผสำนกจิ กรรม พชื -พืช เช่น ลักษณะกำรปลกู พชื ปลกู พชื เศรษฐกจิ แซมด้วยพืชอำหำรสตั ว์ ซงึ่ มีรำยงำนผลกำรดำเนนิ กำรปลูกขำ้ วไรแ่ ซมดว้ ยพชื อำหำรสตั ว์พวกเซ็น ตระกูลถัว่ แซมในแถวพืชหลัก เช่น ขำ้ วโพด มันสำปะหลัง ฝำ้ ย เป็นต้น สำหรับรปู แบบของกิจกรรม พืช-สตั ว์ เช่น โตรซมี ำ และแกรมสไตโล จะทำให้ทั้งผลผลติ ข้ำวและถั่วต่ำง ๆ ซึ่งใช้เปน็ อำหำรสตั ว์ได้ต่อไป กำรปรับเปลยี่ นพ้นื ท่ี ปลูกพชื อำหำร สัตว์ต่ำง ๆ ควบคู่กับกำรเล้ยี งโค กำรปลูกหม่อนเลีย้ งไหม เปน็ ต้น ปลูกพืชไร่ เ่ ศรษฐกิจอำยุสน้ั หรอื ขำ้ วไรบ่ ำงสว่ น มำทำกจิ กรรมกำรเล้ียงสตั ว์และปลูกพชื อำหำรสตั ว์ประเภทตำ่ ง ๆ ควบคู่กนั ไป จะเปน็ กำรสรำ้ งควำมหลำกหลำยของระบบได้มำกขึ้นและชว่ ยลดควำมเส่ียง 3.3 ระบบเกษตรผสมผสำนทีม่ ไี มผ้ ล ไม้ยืนต้น เป็นพชื หลกั กำรผสมผสำนกจิ กรรม พชื -พืช เชน่ กำรใช้ไม้ผลต่ำง ชนดิ ปลกู แซม เช่น ในกรณโี กโกแ้ ซมในสวนมะพรำ้ ว กำรปลกู พืชตระกลู ถ่วั ในแถวไม้ผลยนื ต้น กำรปลูกพืชตำ่ งระดบั 4.3 ระบบเกษตรผสมผสำนในพ้นื ทดี่ อน โดยทัว่ ไปในพื้นทด่ี อนจะมกี ำรปลูกพืชไร่เศรษฐกจิ ต่ำง ๆ เชงิ เดี่ยวเปน็ เปน็ ตน้ รูปแบบกจิ กรรม พืช-สัตว์ โดยกำรเลยี้ งสตั ว์ เชน่ โคในสวนไมผ้ ล สวนยำงพำรำ กำรปลูกพืชอำหำรสตั ว์ใน หลัก ลกั ษณะของกำรทำกำรเกษตรผสมผสำนอำจทำได้หลำยรูปแบบ เชน่ ลักษณะกำรปลูกพืชแซม โดยใช้พืชตระกูล แถวไม้ผล ไม้ยืนต้น แลว้ เล้ยี งโคควบคู่จะมกี ำรเกือ้ กลู ซึ่งกันและกนั ถ่ัวแซม ในแถวพืชหลักตำ่ ง ๆ เช่น ขำ้ วโพด ฝ้ำย มันสำปะหลัง ฯลฯ กำรเปลีย่ นพน้ื ทเ่ี ปน็ ไมผ้ ล ไม้ยนื ต้น ไม้ใช้สอย ผสมผสำน และอำจจะมพี ชื ตระกูลถ่ัวแซมในแถวพชื หลักในระยะแรก ๆ อีกแนวทำงหนึง่ ได้แก่ กำรใชพ้ น้ื ที่มำ 4. แบ่งตามลักษณะของสภาพพนื้ ทีเ่ ป็นตวั กาหนด ดำเนินกำรเล้ยี ง ปศุสตั ว์ เชน่ โค และปลกู พืชอำหำรสัตวค์ วบคู่กันไป เป็นตน้ 4.1 ระบบเกษตรผสมผสำนในพ้นื ที่สูง ลกั ษณะของพ้นื ท่จี ะอยใู่ นท่ขี องภเู ขำซึ่งเดมิ เปน็ พ้นื ที่ปำ่ แต่ได้ถูกหกั ลำ้ ง 4.4 ระบบเกษตรผสมผสำนในพน้ื ทรี่ ำบล่มุ พ้นื ท่ีส่วนใหญจ่ ะเป็นนำขำ้ วแบบแผนกำรปลูกพืชส่วนใหญจ่ ะเปน็ ขำ้ ว ถำงพง มำทำพชื เศรษฐกจิ และพชื ยงั ชพี ต่ำง ๆ ส่วนใหญ่พืน้ ท่มี คี วำมลำดชันระหวำ่ ง 10-50% ดง้ั เดิมเกษตรกรจะปลกู อยำ่ งเดยี ว ข้ำว-ขำ้ ว, ข้ำว-พชื ไร่เศรษฐกจิ , ขำ้ ว-พชื ผักเศรษฐกจิ , พืชผกั -ข้ำว-พชื ไร,่ พชื ไร-่ ขำ้ ว-พืชไร่ เปน็ ต้น กำรจะ พชื ใน ลักษณะเชิงเด่ยี วอำยสุ ั้น เช่น ข้ำว ขำ้ วโพด พชื ตระกลู ถ่ัว ผักต่ำง ๆ ซง่ึ มักจะเกดิ ปญั หำของกำรทำลำย ปลกู พืชได้มำกครงั้ ในรอบปีข้ึนอยกู่ ับระบบกำรชลประทำนเปน็ หลัก กำรเกษตรแบบผสมผสำนในพ้นื ที่นจี้ ะมี ีรูปแบบ ทรพั ยำกรธรรม ชำติและสิง่ แวดลอ้ ม มีกำรชะลำ้ งหน้ำดินสงู ควำมอุดมสมบรู ณข์ องดนิ ลดลงรวดเร็ว มผี ลกระทบต่อ และกจิ กรรมทีด่ ำเนินกำรเชน่ เดียวกับท่ีกล่ำวไวแ้ ลว้ ในขอ้ 3.1 (ระบบเกษตรผสมผสำนท่ีมีข้ำวเปน็ พืชหลัก) สำหรบั ใน ผลผลติ พชื ใน ระยะยำว ฉะนั้น รูปแบบของกำรทำกำรเกษตรผสมผสำนจะช่วยรักษำหรอื ชะลอควำมสญู เสียลงได้ พ้ืนทท่ี ่ีมีระดับน้ำสูง นอกจำกจะทำกำรปลูกขำ้ วขน้ึ น้ำแลว้ ยงั มลี ู่ทำงพฒั นำและปรับเปลีย่ นพ้นื ทเ่ี พ่ือทำ กจิ กรรมกำร ระดับหนง่ึ กำร ดำเนนิ กำรอำจทำในรูปของวนเกษตร กำรปลูกไม้ผลไมเ้ มอื งหนำวชนดิ ตำ่ ง ๆ ผสมผสำน เชน่ ได้มี เล้ยี งปลำในบอ่ ได้ด้วยรปู แบบกำรเกษตรผสมผสำนหลกั ๆ ตำมท่กี ลำ่ วมำแลว้ นีย้ งั อำจแบง่ ย่อยออกไปได้ อ้ กี หลำย กำรศึกษำระบบพชื แซมของไมผ้ ลเมอื งหนำว ได้แก่ บ๊วยแซมดว้ ยทอ้ บ๊วยแซมดว้ ยพลับ พลับแซมดว้ ยท้อ และพลบั รปู แบบ ท้ังนขี้ นึ้ อยู่กบั วำ่ จะใชห้ ลกั กำรอะไรมำเป็นตัวกำหนด ซงึ่ จะมีควำมคดิ หลำกหลำยแตกต่ำงกนั ไป เช่น กำรใช้ แซมดว้ ยพลับ ทง้ั น้ี กำรจัดกำรดนิ โดยทำขน้ั บันได เพ่อื ลดกำรพังทะลำยของดนิ พรอ้ มทัง้ ทำกำรปลูกหญ้ำแฝกตำม ลักษณะของทรพั ยำกรนำ้ เปน็ ตัวกำหนดก็จะมรี ปู แบบเกษตรผสมผสำนแบง่ เปน็ 2 ลักษณะ คือ เกษตรผสมผสำน ใน ขอบบนั ได ผลกำรศึกษำ ในระยะแรกขณะทีไ่ มผ้ ลยังไมใ่ หผ้ ลผลติ ได้นำพชื อำยสุ ั้นปลกู ในแถวไม้ผล ไดแ้ ก่ ถ่วั แดง พื้นทเี่ ขตใช้น้ำฝนและเกษตรผสมผสำนในพนื้ ทีเ่ ขตชลประทำน นอกจำกน้ีในเขตชลประทำนกส็ ำมำรถแบ่งเปน็ กลมุ่ และข้ำวไร่ ซง่ึ ได้ผลผลติ ถั่ว แดง 82 กก./ไร่ ข้ำวไรเ่ จำ้ ฮอ่ และขำ้ วเจ้ำอำขำ่ ให้ผลผลิต 302 และ 319 กก./ไร่ ยอ่ ยไดอ้ กี ตำมระบบของชลประทำน คือ ชลประทำนท่ีมเี ข่อื นกกั เกบ็ นำ้ และมคี ลองสง่ น้ำไปในไร่-นำชลประทำนโดย ตำมลำดับ นอกจำกน้ีกำรเจริญ เติบโตของแฝกคอ่ นขำ้ งดี มีใบแฝกปรมิ ำณมำก ซง่ึ จะทำกำรเกย่ี วใบแฝกแล้วนำมำ กำรสูบน้ำดว้ ยไฟฟ้ำจำกแหลง่ น้ำ ระบบบอ่ บำดำลนำ้ ต้นื น้ำลึก ตลอดจนระบบกำรใช้นำ้ หยด เปน็ ตน้ นอกจำกนี้ กำร กองเป็นระยะในระหวำ่ งขน้ั บันได และใหส้ ลำยตวั ใช้เป็นปยุ๋ หมักและเพม่ิ อินทรีย์วตั ถุ เกดิ ประโยชน์ตอ่ ไม้ผลหลกั มี ใช้ คณุ สมบัตขิ องดินเป็นตวั กำหนด กจ็ ะสำมำรถกำหนดรูปแบบของกำรเกษตรผสมผสำนไดด้ งั นี้ คอื เกษตร กำรศกึ ษำในรูปแบบอนื่ ๆ ที่เหมำะสม ได้แก่ กำรผสมผสำนระบบปลูกพชื รว่ มกบั แถบไมพ้ มุ่ (Alley Cropping) หรือ ผสมผสำนใน พน้ื ท่ดี ินเปร้ยี ว พ้นื ที่ดินเคม็ พ้ืนที่ดนิ ด่ำง และพ้นื ท่ีดนิ พรุ เปน็ ตน้ ถงึ แมจ้ ะมกี ำรแบง่ รูปแบบกำรเกษตร แถบหญ้ำ (Grass Strip Cropping) ตำมแนวระดับในพ้นื ทคี่ วำมลำดชัน 10-50% ตวั อยำ่ งของไมแ้ ถบ เช่น กระถิน ผสมผสำนได้ ห้ ลำยอย่ำง แต่กำรดำเนนิ กำรตำมกิจกรรมตำ่ ง ๆ ซง่ึ ประกอบดว้ ย พชื -พืช พชื -สตั ว พืช-ปลำ สัตว์- แคฝรง่ั แคบำ้ น ถว่ั มะแฮะ ครำมปำ่ ตน้ เสียว เปน็ ต้น สำหรบั พชื แซมในแถวไมพ้ มุ่ ไดแ้ ก่ พืชตระกลู ถั่ว พืชอำหำร ปลำและพชื -สตั ว์- ปลำ จะมลี กั ษณะเป็นไปในทำนองเดยี วกนั แล้วแตว่ ำ่ ในรปู แบบต่ำง ๆ จะมศี ักยภำพในกำร สตั ว์ เชน่ ถั่วดำ ถ่วั เลบ็ มือนำง ถ่วั แปบ ถ่ัวนวิ้ นำงแดง ถ่วั เหลือง ถวั่ ลสิ ง หญ้ำรซู ่ี เนเปยี ร์ กินี บำเฮีย แฝกหอม เป็น ดำเนนิ กำรมำกนอ้ ยแตกตำ่ ง กันออกไปตำมลักษณะพ้นื ที่ ทรพั ยำกร และสภำพเศรษฐกจิ สงั คม อยำ่ งไรกต็ ำมกำรที่ ตน้ จะนำองค์ประกอบด้ำน พชื สัตว์ ประมง มำดำเนินกำรผสมผสำนเข้ำด้วยกนั ในระบบกำรเกษตรนัน้ ยอ่ มที่จะมที ง้ั ปฏสิ มั พันธเ์ ชิงเกือ้ กลู และเชงิ แข่งขนั ทำลำยกนั ซึ่งพอทีจ่ ะกล่ำวไดด้ ังน้ี
เกษตรผสมผสานทม่ี ีปฏสิ มั พันธเ์ ชิงเกอ้ื กลู เกษตรผสมผสานทีม่ ีปฏิสมั พันธ์เชงิ เกื้อกลู กันระหว่างพืชกับพืช 1. เก้อื กลู กันระหว่างพืชกบั พชื เกษตรผสมผสานทมี่ ีปฏสิ มั พันธเ์ ชงิ เกอื้ กูลกนั ระหว่างพชื สตั ว์ ประมง 1.1 พืชตระกูลถัว่ ชว่ ยตรงึ ธำตไุ นโตรเจนให้กบั พืชชนดิ อื่น 1.2 พืชยนื ตน้ ให้ร่มเงำกบั พชื ท่ีต้องกำรแสงแดดน้อย เช่น กำแฟ โกโก้ ชำ สมนุ ไพร ฯลฯ 1.3 พืชเปน็ อำหำรและทอี่ ยอู่ ำศัยใหก้ บั แมลงศตั รธู รรมชำติ เพ่ือชว่ ยกำจดั ศตั รูพืชไม่ให้เกดิ ระบำดกับพชื ชนิดอื่น ๆ เช่น กำรปลูกถั่วลิสงระหวำ่ งแถวในแปลงขำ้ วโพด จะช่วยใหแ้ มลงศัตรูธรรมชำตไิ ดม้ ำอำศยั อยู่ในถัว่ ลิสงมำก และ จะชว่ ยกำจดั แมลงศัตรูของขำ้ วโพด 1.4 พชื ยืนต้นเปน็ ทีอ่ ยอู่ ำศัยและอำหำรแก่พชื ประเภทเถำและกำฝำก เช่น พริกไทย พลู ดีปลี กล้วยไม้ ฯลฯ 1.5 พืชท่ีปลูกแซมระหวำ่ งแถวพชื หลัก จะช่วยปอ้ งกันไม่ใหว้ ชั พืชขน้ึ แย่งอำหำรกบั พืชหลกั ที่ปลูก เช่น กำรปลกู พชื ตระกูลถ่ัวเศรษฐกิจในแถวข้ำวโพด มนั สำปะหลัง ฝ้ำย เปน็ ต้น 1.6 พชื แซมระหวำ่ งแถวไมย้ นื ต้นในระยะเริม่ ปลกู จะชว่ ยบงั ลมบงั แดด และเกบ็ ควำมชื้นในดนิ ให้กบั พืชยนื ตน้ เช่น กำรปลกู กลว้ ยแซมในแถวไมผ้ ลต่ำง ๆ ในแถวยำงพำรำ เป็นต้น 1.7 พืชช่วยไล่และทำลำยแมลงศัตรูพชื ไมใ่ หเ้ ขำ้ มำทำลำยพชื ทต่ี อ้ งกำรอำรักขำ เช่น ตะไครห้ อม ถั่วลสิ ง ดำวเรือง แมงลัก โหระพำ หมอ้ ขำ้ วหมอ้ แกงลงิ ฯลฯ 2. เก้อื กูลกนั ระหวา่ งพืช สตั ว์ ประมง 2.1 เศษเหลอื ของพืชจำกกำรบรโิ ภคของมนษุ ย์ใชเ้ ป็นอำหำรสัตวแ์ ละปลำ 2.2 พืชยนื ตน้ ช่วยบงั ลม บงั แดด บังฝน ใหก้ ับสตั ว์ 2.3 พืชสมุนไพรเป็นยำรกั ษำโรคใหก้ ับสัตว์ 2.4 ปลำชว่ ยกนิ แมลงศตั รูพชื วชั พืช ให้กับพชื ท่ปี ลูกในสภำพนำ้ ท่วมขงั เช่น ข้ำว 2.5 ปลำชว่ ยใหอ้ ินทรียว์ ตั ถุกับพืช จำกกำรถำ่ ยมูลตกตะกอนในบอ่ เลีย้ งปลำ ซึ่งสำมำรถนำมำใชเ้ ปน็ ปยุ๋ กบั พืชได้ 2.6 หำ่ น เป็ด แพะ ววั ควำย ฯลฯ ช่วยกำจัดวัชพืชในสวนไมผ้ ล ไม้ยนื ต้น 2.7 มลู สตั วท์ กุ ชนดิ ใช้เป็นปยุ๋ กับพืช 2.8 ผง้ึ ช่วยผสมเกสรในกำรติดผลของพชื 2.9 แมลงท่เี ป็นประโยชน์หลำยชนดิ ได้อำศัยพืชเป็นอำหำรและทอี่ ยอู่ ำศัย 2.10 จลุ ินทรียช์ ่วยย่อยสลำยซำกพชื และสตั ว์ใหก้ ลับกลำยเป็นป๋ยุ 2.11 แมลงศตั รูธรรมชำติหลำยชนิด ชว่ ยควบคมุ ประชำกรแมลงศัตรพู ืชไมใ่ ห้ขยำยพนั ธมุ์ ำกจนเกดิ กำรแพร่ ระบำด ตอ่ พืชทปี่ ลูก
เกษตรผสมผสานท่ีมปี ฏิสมั พันธ์เชงิ แข่งขันทาลาย ประการท่ี 3 สำหรับบทบำทของเจ้ำหนำ้ ท่ี กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ จะเน้นใหค้ วำมรแู้ ละทำงเลือก 1. แข่งขันทาลายระหวา่ งพชื กับพืช ในกำร และทำงเลือกในกำรประกอบอำชพี เพ่อื ใหเ้ กษตรกรตัดสนิ ใจ ปรกึ ษำหำรือคดิ ร่วมกบั เกษตรกรและใหก้ ำร สนับสนุน ตำมทจี่ ำเปน็ 1.1 พืชแยง่ อำหำร น้ำและแสงแดด กับพืชอน่ื เชน่ กำรปลูกยคู ำลิปตสั ร่วมกับพืชไรแ่ ละข้ำว ซ่งึ มีกำรศกึ ษำพบว่ำ ยูคำลิปตสั แยง่ น้ำธำตุอำหำรจำกตน้ ปอและขำ้ ว เป็นตน้ มผี ลทำให้พืชเหลำ่ น้นั ไดผ้ ลผลิตลดลง กำรดำเนนิ งำนตำมนโยบำยของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ดังกลำ่ ว มีเกษตรกรเข้ำร่วมโครงกำรในปี 2535-2537 รวมพ้ืนท่ี 42 จงั หวัด และเพิ่มครบทุกจงั หวดั ในปี 2539 ผลของกำรดำเนนิ งำนปรำกฎวำ่ มเี กษตรกร 1.2 พชื เป็นอำหำรและท่อี ยอู่ ำศัยอยำ่ งตอ่ เนื่องของศัตรูพืชและพืชในนิเวศนเ์ ดียวกัน เชน่ ขำ้ วโพดเปน็ พืชอำศยั จำนวนหน่งึ ประสบผลสำเร็จ และมเี กษตรกรอกี จำนวนหนง่ึ ไมป่ ระสบควำมสำเรจ็ ในดำ้ นระบบเกษตรผสมผสำน ของ หนอนเจำะสมออเมรกิ ันและเพลี้ยออ่ นของฝ้ำย ทง้ั นีเ้ พรำะระบบเกษตรผสมผสำนเปน็ ระบบทีต่ อ้ งมีกำรวำงแผน มกี ำรจัดกำรทรพั ยำกรกำรผลติ ในระดับไรน่ ำและ กำรจดั กำรในดำ้ นเทคโนโลยกี ำรผลติ ทเี่ หมำะสมกับสภำพพื้นท่ี ทุน แรงงำน และกำรตลำด ซ่ึงปจั จัยและควำมสำเรจ็ 2. แขง่ ขันทาลายระหว่างพชื สัตว์ ประมง ของระบบเกษตรผสมผสำน โดยกำรสรุปผลจำกผลกำรดำเนนิ งำนของเกษตรกรในพน้ื ท่ตี ่ำง ๆ ทวั่ ประเทศสำมำรถ 2.1 กำรเลย้ี งสัตวจ์ ำนวนมำกเกนิ ไป จะใหป้ รมิ ำณพืชท้ังในสภำพท่ีปลูกไวแ้ ละในสภำพธรรมชำตไิ ม่เพยี งพอ เกิด สรปุ ได้ดังน้ี ควำมไมส่ มดลุ ย์ ซ่งึ จะมีผลต่อสภำพแวดลอ้ มเส่ือมลงได้ 1. ด้านการวางแผนการผลติ 2.2 มลู สัตว์จำกกำรเล้ยี งสตั วม์ ีจำนวนมำกเกินไป เช่น กำรเลย้ี งหมูมำกเกินไปมกี ำรจดั กำรไมด่ พี อ จะเกิดมลพิษ เกษตรกรต้องสำมำรถวำงแผนกำรผลิต ภำยในฟำร์มของตัวเองได้อยำ่ งถกู ตอ้ งในทำนองท่เี รยี กวำ่ ตอ้ งมี ต่อ ทรัพยำกรธรรมชำตริ อบด้ำนทงั้ ในเรอ่ื งของนำ้ เสีย อำกำศเป็นพษิ หรอื กำรเลีย้ งกงุ้ กลุ ำดำในหลำยท้องท่ีกป็ ระสบ ภำย ในฟำรม์ ของตวั เองไดอ้ ย่ำงถูกตอ้ งในทำนองท่เี รียกวำ่ ตอ้ งมีควำมรู้ เู้ ขำรู้เรำจงึ จะสำมำรถทำใหัมกี ำรวำงแผนได้ ปญั หำเกดิ ภำวะน้ำเนำ่ เสีย เป็นตน้ อย่ำง ถูกต้อง โดยองคป์ ระกอบควำมร้เู ขำและรเู้ รำทส่ี ำคัญในกำรวำงแผน ไดแ้ ก่ 2.3 กำรใช้สำรเคมกี ำจัดศัตรพู ชื จะเกดิ พิษตกค้ำงในนำ้ และผลิตผลทเ่ี ป็นพษิ ต่อสัตว์และปลำ 1.1 ต้องมีพ้นื ทถ่ี ือครองของตนเอง กำรเชำ่ ท่ดี ินจำกผ้อู ื่นมำดำเนนิ กำร เกษตรกรจะได้กลำ้ ทีจ่ ะวำงแผนลงทนุ 2.4 กำรปลกู พืชเพ่ือให้ผลผลิตอย่ำงใดอย่ำงหนึง่ สงู สดุ กำไรสูงสดุ โดยมกี ำรใชป้ จั จยั กำรผลิตหลำยด้ำนรวมท้ัง อยำ่ ง ถำวร เพรำะเกรงว่ำเมอื่ ดำเนินกำรไประยะหนง่ึ แลว้ อำจจะถกู บอกเลิกเชำ่ ได้ สำรเคมีตำ่ ง ๆ จะมีผลทำให้สภำพแวดล้อมของสัตวท์ เี่ ป็นประโยชน์ เชน่ แมลงศตั รธู รรมชำติลดจำนวนลง เปดิ โอกำสใหศ้ ัตรพู ืชเพิ่มปรมิ ำณขึ้นและจะทำควำมเสียหำยให้แกพ่ ชื ปลูก 1.2 ต้องทรำบขอ้ มลู พื้นฐำนภำยในฟำรม์ ของตวั เองเป็นอยำ่ งดี ขอ้ มูลดงั กล่ำว ได้แก่ ขอ้ มลู ทำงด้ำนลกั ษณะพนื้ ที่ ดนิ แหลง่ น้ำ ซึ่งนบั วำ่ มคี วำมสำคัญ จะสำมำรถช่วยในกำรวำงแผนภำยในฟำรม์ ไดอ้ ยำ่ งถกู ต้อง ปจั จยั และความสาเรจ็ ของระบบเกษตรผสมผสาน 1.3 ตอ้ งมคี วำมรแู้ ละประสบกำรณใ์ นดำ้ นเทคโนโลยีกำรผลิตพืชหลำยชนิด เช่น ข้ำว พืชไร่ ไมผ้ ล ไม้ยนื ต้น กำรดำเนนิ งำนวจิ ัยและพัฒนำระบบกำรเกษตรผสมผสำนมีหลำยหนว่ ยงำนภำยใต้สงั กัดกระทรวงเกษตร พชื ผกั กำรเพำะเห็ดเศรษฐกจิ กำรปศสุ ตั ว์ และกำรประมง ถำ้ ขำดควำมรใู้ นกจิ กรรมใดกิจกรรมหน่ึง จำเปน็ ต้องไป และสหกรณ์ ได้พฒั นำงำนวิจัยและส่งเสรมิ ให้เกษตรกรดำเนินกำร หนว่ ยงำนดงั กล่ำวไดแ้ ก่ กรมวิชำกำรเกษตร ซง่ึ มี ขวนขวำย หำควำมรู้ โดยกำรไปศึกษำดูงำน รวมทัง้ เขำ้ รบั กำรฝึกอบรมจำกหน่วยงำนทส่ี ำมำรถใหค้ วำมรู้นั้นได้ สำนกั วจิ ยั และพัฒนำกำรเกษตรเขตท่ี 1-8 เปน็ ผดู้ ำเนินกำรในส่วนภมู ภิ ำค กรมส่งเสริมกำรเกษตร โดยมีสำนกั งำน เกษตรจงั หวดั ทกุ จงั หวัดเปน็ ผดู้ ำเนนิ กำรสำหรับนโยบำยของรัฐบำลในขณะนยี้ งั ได้เลง็ เห็นควำมสำคญั ของระบบ กำร 1.4 ตอ้ งมที นุ เริ่มต้นและทุนหมุนเวยี นภำยในฟำร์มพอสมควร ซึง่ กำรมีทุนสำรองไว้จะสำมำรถให้กำรวำงแผน ผสมผสำนวำ่ เป็นระบบที่สำมำรถจะแกป้ ญั หำกำรว่ำงงำนของประชำกรและลดควำมเสี่ยงจำกกำรประกอบอำชพี ดำเนนิ กจิ กรรมทผ่ี สมผสำนกนั เป็นไปอย่ำงเหมำะสม ทำงกำรเกษตรของเกษตรกรได้ จงึ มีนโยบำยกำรพัฒนำกำรเกษตรตำมระบบแผนกำรผลติ ของเกษตรกรโดยเริ่มโครง กำรต้ังแตป่ ี 2535 เป็นตน้ มำ และไดย้ ดึ หลกั กำรท่ีสำคญั 3 ประกำรคอื 1.5 ตอ้ งเป็นผ้มู คี วำมมำนะอดทน ขยนั ขันแข็ง และมีแรงงำนท่พี อเพยี ง เหมำะสมกบั กิจกรรมภำยในฟำร์ม ทั้งน้ี เพรำะ กำรทำกำรเกษตรจะเห็นผลสำเร็จไดต้ อ้ งใชเ้ วลำและประสบกำรณ์ในกำรแกป้ ญั หำ ซึ่งจะมีอยู่ตลอดเวลำ และ ประการที่ 1 จะเนน้ กำรพัฒนำทต่ี วั เกษตรกรใหเ้ ปน็ ผู้ริเรมิ่ คดิ เอง ทำเองจนในที่สุดสำมำรถพัฒนำไปใน สำมำรถ ปรับเปล่ียนแผนได้ตลอดเวลำ เพ่ือใหแ้ ก้ปัญหำได้ทนั เหตกุ ำรณ์ ทศิ ทำงท่ี ีพ่ ึง่ ตนเองได้ และจะเป็นผูก้ ำหนดแผนกำรผลิตของตนเอง ประการท่ี 2 แผนกำรผลิตของเกษตรกรจะปรบั เปล่ียนจำกกำรผลติ พืชเด่ยี ว เชน่ ขำ้ ว หรือพชื ไร่ชนดิ ใดชนิด หนึ่ง มำทำกำรเกษตรแบบผสมผสำน ซ่งึ รวมถึงกำรผลติ ไม้ผล ไม้ยนื ตน้ ไมด้ อก ไม้ประดับ กำรเลี้ยงสัตว์และกำร ประมง โดยคำนึงถึงควำมต้องกำรของตลำดภำยในประเทศและควำมสอดคล้องกับทรัพยำกรของพ้นื ที่นั้นเป็นหลกั
2. ด้านการจัดการ เกษตรกรผทู้ ่ดี ำเนินกำรระบบเกษตรผสมผสำนจะประสบควำมสำเร็จได้ ควรจะต้องมีกำรจดั กำรที่เหมำะสมใน ดำ้ นตำ่ ง ๆ ดงั น้ี 2.1 เป็นผมู้ คี วำมสำมำรถจดั กำรวำงแผนกำรใช้แหลง่ น้ำทม่ี อี ยใู่ นกำรผลิตพชื ชนิดตำ่ ง ๆ กำรเพำะเลี้ยงเห็ด เศรษฐกจิ กำรปศุสตั ว์ และกำรประมง ไดเ้ หมำะสมสอดคล้องกับสภำพพนื้ ที่ ดิน ทนุ แรงงำน รวมทงั้ กำรตลำด ซ่ึงจะ ทำให้ เ้ กษตรกรมรี ำยไดอ้ ย่ำงเพียงพอ อนั ประกอบดว้ ยรำยได้ประจำวนั ประจำสัปดำห์ ประจำเดอื น และรำยได้ ประจำฤดูกำล ในกำรน้ีเกษตรกรควรจะมีกำรจดั กำรทำบญั ชฟี ำรม์ เพ่อื แสดงรำยรับ-รำยจำ่ ยภำยในฟำรม์ 2.2 เปน็ ผู้มีควำมรู้ ควำมสำมำรถ จัดกำรเทคโนโลยสี ำหรับกำรผลติ พชื ชนิดต่ำง ๆ กำรเพำะเลี้ยงเห็ดเศรษฐกิจ กำร ปศุสัตว์ และกำรประมงได้เหมำะสม มีกำรหมุนเวยี นนำสิง่ เหลอื ใช้ภำยในฟำรม์ มำใชป้ ระโยชนท์ กี่ อ่ ให้เกดิ กำร สนบั สนุนเก้ือกูลประโยชน์ซ่ึงกนั และกนั โดยจะส่งผลใหต้ ้นทนุ กำรผลติ ลดลง ลดกำรใช้สำรเคมใี นกำรป้องกันกำจัด ศัตรูพืช อนุรกั ษท์ รพั ยำกรธรรมชำตแิ ละสงิ่ แวดล้อม ได้ผลติ ผลที่ปลอดภัยจำกสำรพษิ ซงึ่ จะนำไปส่รู ะบบกำรเกษตรท่ี ยง่ั ยืน ประโยชนท์ ่ไี ด้รบั ของระบบเกษตรผสมผสาน กำรแปรเปลีย่ นพน้ื ท่ีนำ 1 ใน 4 ของพนื้ ทน่ี ำท้ังหมดเปน็ รอ่ งสวนปลูกไมผ้ ลร่วมกับพชื แซมของเกษตรกรตำบลบ้ำน แหลม อำเภอบำงปลำมำ้ จงั หวดั สุพรรณบรุ ี สำมำรถลดควำมเสี่ยงจำกรำคำผลผลิตข้ำวที่ไมแ่ น่นอนและชว่ ยให้ ระบบเกษตรผสมผสำนเป็นรูปแบบหนงึ่ ของระบบเกษตรกรรมทมี่ กี จิ กรรมต้ังแต่ 2 กิจกรรมขนึ้ ไปใน เกษตร กรมีรำยได้เพ่มิ ข้ึนรอ้ ยละ 58 เช่นเดียวกับรำยงำนของ โกวิทย์ นวลวัฒน์ และคณะ (2533) ทพี่ บวำ่ เกษตรกร พืน้ ที่ เ่ ดยี วกนั และกจิ กรรมเหล่ำน้จี ะมีกำรเกอ้ื กลู ประโยชนซ์ ่งึ กันและกนั ไมท่ ำงใดกท็ ำงหน่งึ ดงั น้นั จึงเปน็ ระบบที่ ที่ดำเนนิ กำรระบบเกษตรผสมผสำนในพน้ื ท่ีจงั หวดั ลพบรุ ี สมทุ รปรำกำร สกลนคร และจังหวัดชมุ พร จะมรี ำยได้ นำไปสู่ กำรเกษตร แบบยงั่ ยนื (Sustainable Agriculture) จึงกอ่ ให้เกิดผลดีและประโยชน์ในดำ้ นต่ำง ๆ ดงั ตอ่ ไปนี้ เพ่ิมขน้ึ ร้อยละ 1,281, 217, 75 และ 334 ตำมลำดบั 1. ลดความเสย่ี งจากความแปรปรวนของสภาพลม ฟา้ อากาศ จำกปรำกฏกำรณท์ ำงธรรมชำตทิ ่ีมคี วำม แปรปรวนในแต่ละปี ซึ่งมแี นวโนม้ จะรุนแรงมำกขน้ึ เชน่ เกิดภำวะฝนแลง้ ฝนทงิ้ ช่วง นำ้ ทว่ มฉับพลัน เป็นตน้ จึงเป็น ปัญหำท่ีกอ่ ให้เกดิ ควำมเสยี หำยตอ่ เกษตรกรที่มีกิจกรรมกำรเกษตรเพียง อย่ำงเดียว เช่น ขำ้ ว หรอื พืชไร่ ดงั นน้ั หนว่ ย งำนวจิ ยั และพัฒนำของกรมวิชำกำรเกษตร รวมทง้ั เกษตรกรบำงสว่ นจึงได้ ้พยำยำมศึกษำและพฒั นำกำรแปรเปล่ยี น พื้นทน่ี ำหรอื ไรน่ ำบำงส่วนมำดำเนินกำรระบบเกษตรผสมผสำนที่มหี ลำย ๆ ปลกู พชื สวน (ไมผ้ ล พชื ผกั ) กำรเลี้ยงสัตว์ หรือกำรเลยี้ งปลำทดแทนรำยไดจ้ ำกกำรปลูกขำ้ วหรือพชื ไรท่ ีอ่ ำจเสยี หำย จำกสภำวะฝนแลง้ หรอื นำ้ ทว่ ม 2. ลดความเส่ยี งจากความผันแปรของราคาผลผลติ ในกำรดำเนินระบบกำรเกษตรท่ีมีเพยี งกิจกรรมเดยี ว ทม่ี ี ี กำรผลติ เป็นจำนวนมำก ผลผลิตท่ไี ด้เมื่อออกสตู่ ลำดพร้อมกนั ไมว่ ่ำจะเปน็ ข้ำว พืชไร่ ไม้ผล หรอื พืชผกั เม่อื มีปรมิ ำณ เกินควำมตอ้ งกำรของตลำดยอ่ มทำให้รำคำของผลผลติ ต่ำลง กำรแปรเปลยี่ นพื้นทนี่ ำหรือไรบ่ ำงส่วนมำดำเนนิ กำร ระบบเกษตรผสมผสำนจะสำมำรถชว่ ยลดควำมเสี่ยงจำกควำมผันแปรของรำคำผลผลิตในตลำดลงได้ เน่ืองจำกเกษตร กรสำมำรถจะเลือกชนดิ พืชปลูกและเลือกกิจกรรมให้สอดคลอ้ งกบั ควำมตอ้ งกำรของตลำดได้เปน็ อยำ่ งดี ตวั อยำ่ งกำร แก้ ป้ ญั หำดังกลำ่ ว ไดแ้ ก่ ผลกำรวิจยั และพัฒนำระบบเกษตรผสมผสำนของ ไพรชั ด้วยพิบูลย์ (2531) พบว่ำกำรแปร
3. ลดความเสยี่ งจากการระบาดของศัตรูพืช ในกำรดำเนนิ กจิ กรรมกำรปลูกขำ้ ว หรือพืชไรเ่ พียงอย่ำงเดยี ว เกษตรกรจะมคี วำมเสย่ี งอยำ่ งมำกเมอ่ื เกดิ กำรระบำดของศตั รพู ืชขนึ้ เช่น กรณีกำรระบำดของเพลีย้ กระโดดสนี ้ำตำล และโรคใบหงกิ อยำ่ งรนุ แรงในปี 2532-2533 ทำให้พน้ื ที่ปลูกขำ้ วท่ัวประเทศ โดยเฉพำะในเขตภำคกลำงไดร้ ับควำม เสยี หำยอย่ำงมำก เกษตรกรต้องประสบควำมสูญเสียครง้ั ยิ่งใหญ่ โดยไมม่ รี ำยได้จำกกิจกรรมอน่ื มำเจอื จนุ ครอบครวั ได้ ดงั น้ัน กำรแกป้ ญั หำหลงั จำกเกดิ เหตุกำรณ์ดงั กล่ำวจงึ ไดม้ กี ำรวิจยั และพัฒนำระบบเกษตรผสมผสำนท่เี หมำะสม กับ สภำพพ้นื ทน่ี ำ ที่มีกำรระบำดของเพลีย้ กระโดดสนี ้ำตำลและโรคใบหงกิ และจำกผลกำรดำเนนิ งำนวิจยั ของ ประสงค์ วงศ์ชนะภัย และคณะ (2540 ก.) ในพนื้ ทตี่ ำบลสิงโตทอง อำเภอบำงน้ำเปร้ียว จงั หวัดฉะเชิงเทรำ พบว่ำ ระบบเกษตร ผสมผสำนท่ีเหมำะสมกับสภำพทำงกำยภำพ ชวี ภำพ เศรษฐกิจ สงั คมของเกษตรกร มีอย่ดู ้วยกัน 3 รูปแบบ คอื รูปแบบที่ 1 ข้ำว + ไมผ้ ลบนร่องสวน + บ่อปลำ รปู แบบที่ 2 ข้ำว + ไมผ้ ลบนร่องสวน + ไมด้ อกไมป้ ระดบั รปู แบบที่ 3 ขำ้ ว + บอ่ ปลำ + ไมผ้ ลรอบบ่อปลำ + ไกบ่ นบ่อปลำ โดยทัง้ 3 รปู แบบช่วยใหเ้ กษตรกรมรี ำยไดเ้ พ่ิมขนึ้ ร้อยละ 115, 156 และ 299 ตำมลำดบั เช่นเดียวกับรำยงำน ของ Calora (1974, Hoppe (1976), IRRI (1983) ทวี่ ำ่ กำรจัดระบบกำรปลกู พืชและระบบเกษตรผสมผสำนเพอื่ ลด กิจกรรมกำรปลกู ข้ำว ซงึ่ เป็นพชื อำหำรของเพล้ยี กระโดดสีน้ำตำล จะช่วยยบั ย้งั ชพี จกั ร (life cycle) ขอเพลยี้ กระโดดสนี ้ำตำลได้ 4. ชว่ ยเพมิ่ รายไดแ้ ละกระจายรายไดต้ ลอดปี กำรดำเนินระบบเกษตรผสมผสำนซ่งึ มีกจิ กรรมหลำยกิจกรรม ใน พ้ืนท่ีเดยี วกัน จะก่อประโยชนใ์ นด้ำนทำใหเ้ กษตรกรมีรำยได้เพม่ิ ข้นึ และมรี ำยได้อยำ่ งต่อเนอื่ ง ซงึ่ อำจจะเปน็ รำยได้ รำยวนั รำยสัปดำห์ รำยเดอื น และรำยไดป้ ระจำฤดูกำล จำกกำรดำเนนิ งำนวจิ ยั และพฒั นำของสำนกั วจิ ยั และ พฒั นำกำร เกษตรเขตท่ี 6 ท่ีบำ้ นโคกกรำด (หมู่ 8) ตำบลทัพรำช อำเภอตำพระยำ จงั หวัดสระแก้ว เกษตรกรที่เคยมี รำยได้จำก กำรปลกู ข้ำวเพยี งอยำ่ งเดยี วเมอื่ แปรเปลย่ี นพ้นื ทน่ี ำบำงส่วนเปน็ ระบบเกษตรผสมผสำน จะมีรำยได้ ประจำวันจำกกำร ขำยพชื ผัก รำยได้ประจำสปั ดำหจ์ ำกำรเพำะเห็ดฟำงในชว่ งฤดแู ลง้ (ม.ค.-เม.ย.) รำยได้ ประจำเดอื นจำกไมผ้ ลอำยุส้นั ไดแ้ ก่ กลว้ ย ฝรง่ั ละมุด และรำยไดป้ ระจำฤดูกำลจำกขำ้ ว ข้ำวโพดหวำน ถัว่ ลสิ ง ถวั่ เขียว ท่ีปลกู หลงั นำ ตวั อย่ำงกำร ดำเนนิ กิจกรรมระบบเกษตรผสมผสำนของนำยจวน หอมม่ิง เกษตรกรบ้ำนโคก กรำด ทไี่ ด้รว่ มดำเนนิ กำรระบบเกษตร ผสมผสำน ตง้ั แตป่ ี 2537 พบวำ่ ในปี 2540 จะมีรำยได้ประจำวนั จำกกำรขำย พชื ผัก (ถ่ัว แตงกวำ ผกั บ้งุ คะนำ้ ผกั ชี ตน้ หอม ผักกะเฉด) เฉล่ียวันละ 30.42 บำท รำยได้ประจำสัปดำห์จำกกำร ขำยเหด็ ฟำง 47.5 บำท/สัปดำห์ รำยได้ ้ประจำเดือนจำกฝรัง่ กลว้ ย ละมุด มะละกอ 896.25 บำท รำยไดป้ ระจำ ฤดกู ำลจำกกำรขำยขำ้ ว 7,399 บำท ข้ำวโพด หวำน 1,545 บำท ถ่วั ลสิ ง 1,009 บำท
5. ช่วยก่อให้เกิดความหลากหลายทางชวี พันธ์ุ (Species Diversity) กำรดำเนนิ ระบบเกษตรผสมผสำน ซ่ึง สำมำรถลดต้นทนุ กำรผลิตข้ำวลงได้ ในทำนองเดียวกัน ประสงค์ วงศช์ นะภยั และคณะ (2540 ข.) รำยงำนไวว้ ่ำ จะมีกิจกรรมหลำกหลำยในพน้ื ทเ่ี ดยี วกัน พบวำ่ ทำใหเ้ กดิ ควำมหลำกหลำยทำง ชีวพนั ธ์ุ (Species Diversity) เกิดขน้ึ ระบบเกษตรผสมผสำน ตำมแนวพระรำชดำรทิ ฤษฎีใหม่ ทบ่ี ำ้ นโคกกรำด ตำบลทัพรำช อำเภอตำพระยำ จังหวัด ในพ้ืนท่ี จำกกำรศึกษำระบบเกษตรผสมผสำนตำมแนวพระรำชดำริทฤษฎี ใหม่ ท่ีบำ้ นโคกกรำด ตำบลทพั รำช อำเภอ สระแก้วช่วยทำใหเ้ กดิ กำร หมนุ เวยี นของกจิ กรรมต่ำง ๆ ในแปลงของเกษตรกร จำก 0 เปน็ 4 ประเภท ได้แก่ ตำพระยำ จงั หวดั สระแก้ว ของประสงค์ วงศช์ นะภัย และคณะ (2540 ข.) พบวำ่ มคี วำมหลำกหลำยทำงชวี พนั ธ์ุ กิจกรรมพืชกบั พืช โดยเศษซำก ถัว่ ลสิ ง ถัว่ เขียว ที่ปลกู หลังขำ้ ว และถ่ัวพรำ้ ท่ีปลกู แซมระหวำ่ งแถวของไม้ผล จะเป็น เพ่มิ ขนึ้ จำก 12 ชนิด เป็น 25 ชนิดซึง่ จะช่วยทำให้ระบบนิเวศน์วทิ ยำในพนื้ ที่ดขี ้นึ ปยุ๋ ใหก้ ับขำ้ วและไมผ้ ล กจิ กรรม พชื กับไก่ เศษซำกพชื และขำ้ วเปลือกจะเปน็ อำหำรของไก่ มลู ไก่จะเป็นปยุ๋ ของพชื กจิ กรรมพชื กบั ปลา เศษซำกพชื จะเปน็ อำหำรของปลำ นำ้ จำกบอ่ ปลำใชใ้ นกำรปลูกพืชผัก พชื ไรแ่ ละไมผ้ ล กจิ กรรม 6. ชว่ ยกระจายการใชแ้ รงงาน ทำใหม้ งี ำนทำตลอดปี เป็นกำรลดปญั หำกำรเคลื่อนยำ้ ยแรงงำนออกนอกภำค สัตวก์ บั ปลา มูลไก่จะช่วยเพิม่ ธำตุอำหำรให้กับพชื อำหำรของปลำในบ่อ เปน็ ต้น นอกจำกนใี้ นกำรดำเนนิ กจิ กรรม กำร เกษตร และในสภำวะเศรษฐกจิ ตกตำ่ ของประเทศขณะน้ี ทำใหเ้ กดิ ปัญหำคนว่ำงงำนจำนวนมำก ระบบเกษตร ระบบเกษตรผสมผสำนยงั ชว่ ย อนรุ ักษท์ รัพยำกรธรรมชำตไิ มใ่ หถ้ กู ทำลำย ดงั ตัวอยำ่ งทีเ่ ดมิ เกษตรกรจะปลกู ข้ำว ผสม ผสำนจะรองรบั แรงงำนเหล่ำนไ้ี ด้ ท้งั นี้เนือ่ งมำจำกระบบเกษตรผสมผสำน มีกจิ กรรมหลำยกจิ กรรมแตล่ ะ ในชว่ งฤดูฝน ส่วนฤดูแลง้ จะหำของ ป่ำและเผำถำ่ นขำย เพื่อหำรำยไดม้ ำจนุ เจอื ครอบครวั แตภ่ ำยหลังจำกกำร กจิ กรรมมีกำร ใช้แรงงำนแตกตำ่ งกนั ไป เมื่อรวมกิจกรรมต่ำง ๆ เหล่ำนไ้ี ว้ด้วยกันในระบบเกษตรผสมผสำนจงึ มีกำรใช้ ดำเนินกำรระบบเกษตรผสมผสำน เกษตรกร สำมำรถมีรำยได้จำกกำรขำยผลผลติ ขำ้ ว พชื ไร่ ไม้ผล พืชผัก ไข่ไก่ ปลำ แรงงำนมำกขน้ึ มีกำรกระจำยแรงงำนไปตำมกจิ กรรมต่ำง ๆ ตลอดปี เมือ่ เปรยี บเทียบกบั ระบบเกษตรทีม่ กี จิ กรรม จึงสำมำรถเลกิ หำของปำ่ และเผำถ่ำนขำยอนั เป็นกำรลดปญั หำกำรทำลำยป่ำในระดบั หนงึ่ พลู สวัสด์ิ อำจละกะ และ เดียว เชน่ ขำ้ วหรอื พืช ไร่ ผำสกุ ทองพลู และคณะ (2540) ไดส้ รปุ ผลกำรวจิ ัยและพฒั นำระบบเกษตรผสมผสำนใน คณะ (2536) และประทีป วีระพฒั นนริ นั ดร์ (2536) รำยงำนวำ่ ระบบเกษตรผสมผสำนทีม่ ีกำรปลกู พชื ทีม่ ีควำม พน้ื ท่ีสภำพไร่อำศยั นำ้ ฝน ตำบลหนองหว้ำ อำเภอเขำฉกรรจ์ จงั หวดั สระแก้ว พบว่ำระบบเกษตรผสมผสำนจะมีกำร หลำกหลำยผสมผสำนกนั และมกี ำรเกอื้ กลู ซง่ึ กนั และ กนั ในลักษณะของกำรปลกู ต่ำงระดบั (Multistorey) โดย ใช้แรงงำนตลอดท้งั ปี 265 วันงำน เมื่อเทียบกบั กำรปลูกข้ำวโพดเหลอื่ มดว้ ยถ่วั เหลือง ซ่ึงพบว่ำมกี ำรใช้แรงงำนเพยี ง เลียนแบบลกั ษณะปำ่ ธรรมชำติ จะทำใหค้ วำมสมดลุ ยข์ อง ระบบนิเวศนว์ ทิ ยำเป็นไปอยำ่ งเหมำะสม เชน่ กำร 19 วนั งำนเทำ่ นน้ั ในทำนอง เดยี วกนั ประสงค์ วงศ์ชนะภยั และคณะ (2540 ข.) พบวำ่ เกษตรกรบ้ำนโคกกรำด ตำบล หมนุ เวียนของธำตุอำหำรในระบบกำรควบคุมโรคและแมลงเปน็ ไป ตำมธรรมชำติ ลดกำรใชส้ ำรเคมี เพิม่ ควำมยง่ั ยนื ทัพรำช อำเภอตำพระยำ จังหวัดสระแก้ว ทดี่ ำเนนิ ระบบเกษตรผสมผสำน จะมกี ำรใช้แรงงำนตลอดท้งั ปี (ม.ค.-ธ.ค.) ในกำรใหผ้ ลผลติ เปน็ ตน้ 267 วนั งำนเมื่อเทยี บกบั กำรปลกู ข้ำวในพน้ื ที่ 5 ไร่ เท่ำกัน จะมีกำรใช้แรงงำนเพยี ง 61 วันงำน และสำมำรถลด ปญั หำกำรเคล่ือนย้ำยแรงงำน ออกจำกพ้นื ทไ่ี ด้ถงึ ร้อยละ 87 8. ช่วยใหเ้ กษตรกรมอี าหารเพียงพอตอ่ การบริโภคภายในครวั เรือน ในกำรดำเนนิ ระบบเกษตรผสมผสำนทีม่ ี หลำยกิจกรรมช่วยทำใหเ้ กษตรกรสำมำรถมอี ำหำรไว้บริโภคในครอบครัวครบ ทุกหมู่ โดยอำหำรประเภท 7. ชว่ ยกอ่ ใหเ้ กิดการหมนุ เวยี น (Recycling) ของกจิ กรรมต่าง ๆ ในระดบั ไร่นา เป็นกำรชว่ ยอนุรกั ษ์ทรัพยำกรใน คำรโ์ บไฮเดรตจะไดจ้ ำกขำ้ ว ขำ้ วโพด อำหำรประเภทโปรตนี จะไดจ้ ำกไก่ ปลำ พืชตระกลู ถัว่ อำหำรประเภทวติ ำมนิ ระดบั ไร่นำ ไมใ่ ห้เสอ่ื มสลำยหรือถูกใช้ใหห้ มดไปอยำ่ งรวดเร็ว ท้ังนเี้ นื่องจำกระบบ เกษตรผสมผสำนจะมีกำรเกอื้ กลู เส้นใยจำกพชื ผักผลไม้และเห็ดฟำง ชว่ ยทำใหเ้ กษตรกรสำมำรถลดคำ่ ใช้จำ่ ยคำ่ อำหำรและมกี ำร ปรับปรงุ คณุ ภำพ ประโยชน์ตอ่ กันสอดคลอ้ งกับรำยงำนของ Manwan (1995), Yuan และคณะ (1995) พฒั น์ วิบลู ยเ์ จริญผล (2539) โภชนำกำรและสขุ ภำพของเกษตรกรในท้องถ่ินใหด้ ีข้ึน ซ่ึงสอดคลอ้ งกบั รำยงำนของ ชนวน รัตนวรำหะ และชนวน รตั นวรำหะ (2540) จำกตวั อยำ่ งกรณศี กึ ษำระบบเกษตรผสมผสำน ท่เี หมำะสมกบั สภำพพน้ื ทน่ี ำเขต (2540)นอกจำกนี้ กนก ผลำรักษ์ และสุจินต์ สิมำรักษ์ (2533) ได้รำยงำนไว้วำ่ ระบบเกษตรผสมผสำนทมี่ ี ีกำรเล้ยี ง ชลประทำน ตำบลสงิ โตทอง อำเภอบำงน้ำเปรีย้ ว จงั หวดั ฉะเชงิ เทรำ ของประสงค์ วงศ์ชนะภัย และคณะ (2540 ก.) ปลำหรอื ทำประมงหลังบำ้ น ชว่ ยทำให้เกษตรกรตำบลบำ้ นค้อ อำเภอเมอื ง จงั หวดั ขอนแก่น มอี ำหำรโปรตีน จำกปลำ โดยกำรแปรเปลีย่ นพืน้ ท่ีนำบำงส่วนประมำณ 2 ไร่ เป็นบ่อปลำ ปลูกไม้ผลรอบบอ่ ปลำ และเล้ียงไก่เน้ือบนบ่อปลำ ( ไวบ้ รโิ ภคในครวั เรอื น ประมำณ 39-46 กก./ครัวเรือน/ปี โดยทยอยจบั กินได้ตลอดปี หมายเหตุ ไก่เนือ้ หรอื ไกก่ ระทงจะเลี้ยงประมำณ 3,000 ตวั ตอ่ รุ่น และใน 1 ปี จะเลย้ี งประ มำณ 4 รุ่น) จำก กำรศกึ ษำพบว่ำนอกจำกจะช่วยใหเ้ กษตรกรมีรำยได้เพ่ิมข้นึ รอ้ ยละ 299 แล้วพบวำ่ มลู และอำหำรของไก่ ่ทต่ี กลงไปใน 9. ช่วยทาให้คุณภาพชวี ติ ของเกษตรกรดขี น้ึ กำรดำเนินกิจกรรมในระบบเกษตรผสมผสำนชว่ ยทำให้มกี ำร กระจำย บอ่ ปลำ จะชว่ ยเพมิ่ ธำตุอำหำรให้แก่พชื อำหำรของปลำ ทำใหป้ ลำมีอำหำรอุดมสมบูรณ์ แต่เม่ือมมี ำกเกินไป จะแย่ง กำรใช้แรงงำนทำให้มีงำนทำตลอดทั้งปี และมกี ำรกระจำยรำยไดจ้ ำกกจิ กรรมต่ำง ๆ เปน็ กำรลดปัญหำกำร อำกำศในน้ำกบั ปลำ (น้ำจะมสี ีเขยี วเขม้ ) ทำให้ปลำขำดอำกำศ จงึ จำเป็นต้องมีกำรระบำยนำ้ ออกจำกบอ่ ปลำโดย เคลอื่ นยำ้ ยแรงงำนออกจำกภำคกำรเกษตรไปสภู่ ำคอ่นื ๆ เชน่ ภำคอุตสำหกรรม ภำคกำรขำยบรกิ ำรตำ่ ง ๆ ซง่ึ มักกอ่ ปลอ่ ยลงนำขำ้ ว จำกผลกำรดำเนินงำนตัง้ แต่ปี 2537-2539 พบวำ่ เกษตรกรสำมำรถลดปรมิ ำณกำรใชป้ ุย๋ ในนำขำ้ ว ให้ เกิดปัญหำตำมมำ เชน่ ปัญหำอำชญำกร ในเมอื งและต่ำงประเทศ ปญั หำโรคไหลตำยที่ประเทศสงิ คโปร์ ปญั หำยำ จำก เดมิ เคยใช้อัตรำ 50 กก./ไร่ เหลอื เพียง 21.4 กก./ไร่ หรอื พนื้ ท่ี 7 ไร่ ใช้ปยุ๋ 3 กระสอบ จำกผลกำรสมุ่ ตวั อยำ่ ง เสพย์ ตดิ ปัญหำโรคเอดส์ เป็นต้น เมือ่ ไมม่ กี ำรอพยพแรงงำนออกจำกท้องถนิ่ ทำใหค้ รอบครัวไดอ้ ย่กู ันพร้อมหนำ้ ทัง้ ผลผลติ พบวำ่ แปลงของเกษตรกรทมี่ กี ำรใสป่ ุย๋ อตั รำ 50 กก./ไร่ จะไดผ้ ลผลติ 764 กก./ไร่ แต่แปลงท่ใี่ ส่นำ้ จำกบอ่ พ่อ แม่ ลกู ชว่ ยทำใหส้ ภำพจิตใจดขี ้ึน สภำพทำงสังคมในทอ้ งถน่ิ ดขี น้ึ ช่วยทำใหค้ ุณภำพชวี ติ ของเกษตรกรดีข้ึน เลี้ยงปลำ รว่ มกับกำรใช้ป๋ยุ 21.4 กก./ไร่ จะได้ผลผลติ 759 กก./ไร่ ซงึ่ แตกตำ่ งกันไมม่ ำกนัก ช่วยให้เกษตรกร อำภำภรณ์ แสงพรรค (2537) ไดท้ ำกำรศกึ ษำผลกำรดำเนินงำนทำงด้ำนระบบเกษตรผสมผสำนโดยทำกำรสำรวจ
ครัวเรอื นเกษตร กร จำนวน 35 ครวั เรอื น ในพนื้ ที่อำเภอปทุมรตั น์ จงั หวดั รอ้ ยเอด็ พบวำ่ คณุ ภำพชวี ติ ของครวั เรือน เกษตรกรท่ีทะระบบ เกษตรผสมผสำนดีกว่ำครวั เรอื นทไี่ ม่ได้ทำ กลำ่ วคอื มีกำรเจบ็ ปว่ ยรนุ แรง และเสียคำ่ รกั ษำพยำบำลนอ้ ยกวำ่ นอกจำกนี้ ผลกำรดำเนินงำนระบบเกษตรผสมผสำนท่บี ำ้ นโคกกรำด ตำบลทพั รำช อำเภอตำ พระยำ จังหวดั สระแกว้ ของประสงค์ วงศ์ชนะภัย และคณะ (2539) สำมำรถช่วยทำให้เกษตรกรท่ีช่อื นำยแกะ เจียว รัมย์ สมำชกิ คนหน่ึงของโครงกำรฯ ไดเ้ ปล่ียนแปลงจำกชำยข้ีเหล้ำเมำยำประจำหม่บู ำ้ น มำเปน็ ครอบครวั ทีม่ ีรำยได้ ประจำวนั มำกทีส่ ุดในหมบู่ ำ้ นจำกกำร ขำยผกั ทีป่ ลกู แซมในรอ่ งสวน โดยมรี ำยไดเ้ ฉลี่ยประมำณ 50 บำท/วัน และ สำมำรถยกบำ้ นหลงั ใหม่แทนกระต๊อบ หลงั เก่ำ คุณภำพชีวติ ดีขึน้ เช่นเดยี วกับเกษตรกรรำยอน่ื ๆ ที่รว่ มดำเนินงำน สรปุ กำรดำเนินกำรระบบเกษตรผสมผสำนจะเป็นระบบกำรเกษตรท่ใี หผ้ ลผลิตกับเกษตรกรท้งั ในดำ้ นกำรมี อำหำรเพยี งพอ แก่กำรบรโิ ภค กำรเพมิ่ กำรมีงำนทำ กำรมีรำยไดอ้ ยำ่ งตอ่ เนอ่ื ง ลดควำมเส่ียงจำกกำรดำเนนิ กจิ กรรม กระแสหลกั ลดกำร เคลือ่ นยำ้ ยแรงงำน สำมำรถใช้ทรัพยำกรภำยในฟำร์มได้อยำ่ งมปี ระสทิ ธภิ ำพและสำมำรถ ปรบั ปรุงสภำพแวดลอ้ มไมใ่ ห้ เสอ่ื มโทรม รกั ษำสมดุลยข์ องธรรมชำติไว้ แต่อย่ำงไรกด็ ีระบบกำรทำฟำร์มผสมผสำนใน แต่ละสภำพของท้องถนิ่ จะมี ควำมแตกต่ำงกันในด้ำนกิจกรรมทีจ่ ะมำดำเนินกำร ท้ังน้ีจะข้ึนอยู่กบั กำรวำงแผนกำร จดั กำรท่ีจะให้ประสบควำมสำเร็จ ซ่ึงจะตอ้ งสอดคล้องกับสภำพ เงือ่ นไขทำงด้ำนกำยภำพ ชวี ภำพ เศรษฐกิจ สงั คม ของเกษตรกรแตล่ ะรำยซ่งึ จะมคี วำม แตกตำ่ งกัน การดาเนินการระบบเกษตรผสมผสานจะมขี อ้ ไดเ้ ปรยี บและขอ้ จากัด ดงั ต่อไปน้ี 1. ข้อไดเ้ ปรียบของการทาระบบเกษตรผสมผสาน คือ 1.1 ลดควำมเส่ียงเนือ่ งจำกควำมแปรปรวนของสภำพลมฟำ้ อำกำศ รำคำผลผลติ ทไ่ี มแ่ น่นอนและกำรระบำดของ ศตั รู พืช 1.2 ลดต้นทุนกำรผลิต เพม่ิ ประสทิ ธภิ ำพกำรใชท้ รพั ยำกรภำยในฟำรม์ ได้แก่ ท่ดี นิ แรงงำนและเงนิ ทุน 1.3 มอี ำหำรเพียงพอแก่กำรบริโภคภำยในครวั เรอื น และมีรำยไดอ้ ย่ำงต่อเนืองตลอดปี 1.4 กำรใช้แรงงำนสมำ่ เสมอตลอดปี จึงทำให้ลดปัญหำกำรเคลอ่ื นยำ้ ยแรงงำนจำกภำคกำรเกษตรไปส่ภู ำคอื่น ๆ 1.5 เกษตรกรจะมีเศรษฐกจิ ที่พอเพยี ง จงึ เปน็ ผลใหม้ สี ภำพควำมเปน็ อยแู่ ละมคี ณุ ภำพชวี ติ ที่ดีขน้ึ 1.6 เปน็ ระบบกำรเกษตรที่เหมำะสมกับเกษตรกรรำยยอ่ ย 2. ข้อจากัดของการทาระบบเกษตรผสมผสาน คอื 2.1 เกษตรกรจะตอ้ งมที ด่ี ิน ทนุ แรงงำน ทเ่ี หมำะสม 2.2 เกษตรกรจะต้องมคี วำมมำนะ อดทน และขยันขนั แขง็ 2.3 ต้องมีกำรวำงแผนและกำรจดั กำรทรพั ยำกรภำยในฟำรม์ ตลอดจนเทคโนโลยใี นกำรผลติ ทเ่ี หมำะสม สอดคล้อง สอดคล้องกบั ระบบกำรตลำดในท้องถ่ินและในระดบั ภมู ภิ ำค
Search
Read the Text Version
- 1 - 11
Pages: