ปรมิ าณสารสัมพนั ธ (Stoichiometry)2.1 พื้นฐานเกย่ี วกับปรมิ าณสารสมั พันธ ปฏิกิรยิ าเคมีเปน การเปลยี่ นแปลงจากสารต้ังตน (reactant) เปลี่ยนเปน สารผลติ ภัณฑ (product)ดังนนั้ สารต้ังตนจงึ มคี วามสัมพันธโดยตรงกับสารผลิตภณั ฑท่ีเกดิ ขึน้ ความสัมพนั ธดังกลาวจะบอกใหทราบถงึ ปริมาณท่เี ปลย่ี นแปลงไปของสารต้ังตนและปริมาณทีเ่ กิดขนึ้ ใหมของสารผลติ ภัณฑไ ด นอกจากน้ียงั รวมถึงพลังงานทีเ่ ปลี่ยนแปลงในการเกดิ ปฏิกริ ยิ าเคมี ในป ค.ศ.1792 ริชชเทอร (Jeremias Benjamin Richter) นักเคมีชาวเยอรมันไดเสนอคําวาปริมาณสารสัมพันธ (stoichiometry) โดยใหความหมายวาเปน “ศิลปะของการวัดทางเคมี” (art ofchemical measurement) คําวา stoichiometry เปนคําผสมจากภาษากรีกคือ stoicheion แปลวา“ธาตุ” และ metron แปลวา “การวัด” ดังน้ัน ปรมิ าณสัมพนั ธจึงมีความหมายคือ การศกึ ษาและการวัดปริมาณของสารโดยอาศัยความสมั พนั ธของสารตา งๆ ทเ่ี ก่ียวของในปฏิกริ ยิ าเคมี2.1.1 อะตอม โมเลกลุ ไอออน และสตู รเคมีอะตอมอะตอม (atom) คืออนภุ าคท่เี ล็กที่สดุ ของธาตทุ ่ียังคงรกั ษาสมบตั ิของธาตุชนดิ นั้นๆ ไวได อนภุ าคมูลฐานของอะตอมมีนิวเคลียสเปนแกนกลางและอิเล็กตรอนหอหุมอะตอม นิวเคลียสประกอบดวยอนุภาคโปรตอนและนิวตรอนอยูรวมกันดวยแรงยึดเหน่ียวทางนิวเคลียร สว นอิเล็กตรอนโคจรอยูรอบๆนิวเคลียสเปนสวนทก่ี ําหนดขอบเขตและขนาดของอะตอม โดยทั่วไปอะตอมของธาตุสว นใหญจะไมอยูเปนอสิ ระอะตอมเด่ียว แตจ ะรวมกบั อะตอมชนิดเดียวกันหรอื อะตอมตางชนิดกันดว ยสัดสวนทเ่ี หมาะสมโดยยึดเหนยี่ วกนั เปนโมเลกุลสญั ลกั ษณนวิ เคลยี รของธาตุ เชน 12 C และ 16 O จะระบถุ ึงเลขอะตอม (atomic number, Z) ซึ่งคอื 6 8จาํ นวนโปรตอนในนวิ เคลียส และเลขมวล (mass number, A) หรือเรียกวามวลอะตอม (atomic mass)หรอื นํา้ หนกั อะตอม (atomic weight) ซึง่ คือปรมิ าณรวมของโปรตอนและนิวตรอน โมเลกลุ โมเลกุล (molecule) คือการรวมตัวของอะตอมอยางนอยสองอะตอมดวยแรงดึงดูดทางเคมีโดยทว่ั ไปโมเลกลุ อาจเปนการรวมตัวของอะตอมของธาตชุ นิดเดยี วกัน หรอื อะตอมของธาตุตางชนดิ กันมารวมกนั ดวยอัตราสว นทีแ่ นน อนตามกฎสดั สว นคงตวั โมเลกุลแบง ตามการรวมตัวกนั ของอะตอม ดังนี้ 1) โมเลกุลอะตอมเด่ียว (monoatomic molecule) หมายถึง สารประกอบท่ี 1 โมเลกุลประกอบดวย 1 อะตอมเทานั้น ซ่งึ มแี ตแ กส มสี กุล (noble gas) เทาน้ัน เชน He, Ne, Ar, Kr, Xe และRn 2) โมเลกลุ อะตอมคู (diatomic molecule) หมายถึง โมเลกุลที่ประกอบดวยสองอะตอม โมเลกลุอะตอมคูแ บงออกได 2 ชนิดคือ
2.1) โมเลกลุ แบบโฮโมนวิ เคลยี ร (homonuclear molecule) เปนโมเลกลุ อะตอมคูที่ทง้ั สองอะตอมเปน อะตอมของธาตุชนดิ เดียวกนั เชน H2, O2, N2, Cl2 และ Br2 2.2) โมเลกุลแบบเฮทเทอโรนิวเคลียร (heteronuclear molecule) เปนโมเลกุลอะตอมคูที่ทัง้ สองอะตอมเปน อะตอมของธาตุตางชนิดกัน เชน HCl, HBr, HF และ CO 3) โมเลกลุ หลายอะตอม (polyatomic molecule) หมายถึงโมเลกุลทปี่ ระกอบดวยอะตอมตัง้ แต 3อะตอมขึ้นไป ซ่งึ อาจเปนอะตอมชนิดเดยี วกนั หรือตา งชนิดกนั เชน O3, H2O, CH4, CO2 และ C6H12O6 ไอออน ไอออน (ion) คืออะตอมหรือกลุมของอะตอมที่มีประจุซ่ึงเกิดจากการเคลื่อนยายอิเล็กตรอน(electron transfer) โดยการให (electron donor) หรือการรับอิเล็กตรอน (electron acceptor) แบงไอออนเปน 2 ชนิด คอื 1) แคตไอออน (cation) เกิดจากอะตอมสูญเสียเวเลนซอิเลก็ ตรอนไป ทาํ ใหจ าํ นวนอเิ ล็กตรอนท่ีเหลืออยูมีจํานวนนอยกวาจาํ นวนโปรตอน อะตอมจึงแสดงอํานาจไฟฟาประจบุ วก (positive charge)ตามจาํ นวนของโปรตอนท่ีมีมากกวา เชน อะตอมโซเดียม (Na) เม่ือถกู ดึงอิเล็กตรอนออกจากระดับพลังงานสุดทา ย 1 อิเล็กตรอนทําใหเ กิดเปน โซเดียมไอออน (Na+) ดังภาพที่ 2.1 Na Na+ ภาพที่ 2.1 เวเลนซอ ิเล็กตรอนของอะตอมโซเดียมและโซเดียมไอออน 2) แอนไอออน (anion) เกดิ จากอะตอมรบั อเิ ลก็ ตรอนเขา มา ทาํ ใหม จี าํ นวนอิเล็กตรอนมากกวาจาํ นวนโปรตอน อะตอมจึงแสดงอํานาจไฟฟาประจลุ บ (negative charge) ตามจาํ นวนของอิเลก็ ตรอนที่มมี ากกวา เชน อะตอมฟลูออรีน (F) รับอเิ ล็กตรอนเขามา 1 อิเล็กตรอนทําใหเ กิดเปน ฟลูออไรดไอออน(F-) ดงั ภาพท่ี 2.2 F F- ภาพที่ 2.2 เวเลนซอ ิเล็กตรอนของอะตอมฟลอู อรีนและฟลอู อไรดไ อออน สูตรเคมี สตู รเคมี (chemical formula) เปนสญั ลักษณแสดงองคป ระกอบของสารนัน้ ๆ โดยจะระบุชนดิ และจํานวนอะตอมของธาตุทเี่ ปน องคป ระกอบเปน ตวั เลขที่อยูมุมลางดานขวาไวท ี่ทา ยสัญลักษณข องธาตุที่เปน องคป ระกอบนนั้ เชน
ปรมิ าณสารสมั พันธ | 43 สูตรเคมขี องนาํ้ (H2O) ประกอบดว ย H 2 อะตอม และ O 1 อะตอม สตู รเคมขี องคารบอนไดออกไซด (CO2) ประกอบดว ย C 1 อะตอม และ O 2 อะตอม สตู รเคมขี องมเี ทน (CH4) ประกอบดวย C 1 อะตอม และ H 4 อะตอม สตู รเคมีที่ใชแสดงจาํ นวนอะตอมของธาตุที่เปน องคป ระกอบในโมเลกุลหรือสารประกอบ สามารถเขยี นไดหลายแบบ ดังนี้ 1) สตู รเอมพิรคิ ลั (empirical formula) หรือ สตู รอยางงา ย เปน สูตรทแี่ สดงอัตราสวนอยางตาํ่ ของธาตุท่เี ปนองคประกอบ ถารูสตู รโมเลกุลจะสามารถเขยี นสตู รเอมพิริคัล ไดโดยลดจํานวนตัวเลขลงตามสดั สวน แตใ นทางตรงกันขามจะไมส ามารถเขยี นสตู รโมเลกุลไดแมว า จะรูส ูตรเอมพริ คิ ัล เชน สตู รโมเลกุลของไฮโดรเจนเปอรออกไซด คือ H2O2 อัตราสว นอยา งต่ําของจาํ นวนอะตอมH:O เทา กับ 1:1 ดังนน้ั สูตรเอมพริ คิ ลั จงึ เขยี นไดเปน HO สูตรโมเลกุลกลูโคสคือ C6H12O6 อัตราสวนอยางต่ําของจํานวนอะตอม C:H:O เทากับ1:2:1 ดงั นั้น สตู รเอมพิริคัลจงึ เขียนไดเปน CH2O การคํานวณหาสูตรเอมพิริคัลของธาตุองคประกอบทําไดโดยเทียบจํานวนโมลของธาตุท่ีเปนองคประกอบดว ยกัน แลว ทําใหเ ปน อตั ราสว นอยางตา่ํ จาํ นวนโมลของธาตุ A = นาํ้ หนกั ของธาตุ A มวลอะตอมของธาตุ Aตัวอยา ง 2.1 สูตรเอมพริ ิคลั ของสารทีป่ ระกอบดว ย Na 29.1%, S 40.5% และ O 30.4% โดยนํ้าหนกัวธิ คี ิด จาํ นวนโมลของ Na = 29.1 = 1.26 23.0 40.5 จาํ นวนโมลของ S = 32.0 = 1.26 จาํ นวนโมลของ O = 30.4 = 1.99 16.0 เทยี บจาํ นวนโมลของธาตทุ ่เี ปน องคป ระกอบดวยกนั Na : S : O 1.26 : 1.26 : 1.99 ทาํ ใหเ ปนอัตราสว นอยา งตํา่ (หารตลอดดวย 1.26) 1 : 1 : 1.58 ทาํ ใหเปนเลขจาํ นวนเตม็ (คณู 2 ตลอด) 2 :2:3 อตั ราสวนจาํ นวนโมลของ Na : S : O เปน 2 : 2 : 3 ดงั นัน้ สตู รเอมพริ ิคัลของสารประกอบนี้คอื Na2S2O3 2) สูตรโมเลกุล (molecular formula) เปนสูตรเคมีท่ีแสดงจํานวนอะตอมที่แนนอนของธาตุองคประกอบทมี่ ีอยูใน 1 โมเลกลุ ของสารนั้น เชน แกสไฮโดรเจนมีสตู รโมเลกุลเปน H2 แสดงวาแกส H21 โมเลกลุ ประกอบดวย H 2 อะตอม หรอื ไฮโดรเจนเปอรออกไซดมสี ูตรโมเลกลุ เปน H2O2 แสดงวา 1โมเลกุลประกอบดว ย H 2 อะตอม และ O 2 อะตอม
44 | เคมีสําหรับวิศวกร (02-411-103) 3) สูตรแบบโครงสราง (structural formula) เปน สูตรเคมีที่แสดงการเกาะกันของอะตอมตางๆ ในโมเลกุล สูตรโมเลกลุ จะบอกขอมูลเฉพาะองคประกอบของสารเทานั้น แตไมไดบอกรูปรางของโมเลกุลการเขียนสูตรเคมีแบบโครงสรางจะใชสญั ลกั ษณธาตุและใชเ คร่ืองหมายขีด () แทนพันธะท่ยี ึดอะตอมแตละคูไวด ว ยกนั สูตรแบบโครงสรา งโดยท่ัวไปจะไมแ สดงโครงสรา งของรูปโมเลกลุ หรือมุมท่ีอะตอมจบั กนัจริง ตัวอยางโมเลกลุ CH4 ดงั ภาพที่ 2.3(ก) อยา งไรก็ตาม มสี ูตรโครงสรา งทเ่ี ขยี นเพ่อื แสดงใหเหน็ รปู ทรงของโมเลกลุ ใน 3 มติ ิ ดังภาพท่ี 2.3(ข) และแบบจําลองโมเลกุลทรงกลมและกาน (ball-stick model) ดงัภาพที่ 2.3(ค) และแบบจําลองสเปซฟลลิง (ball filling model) ภาพที่ 2.3(ง)(ก) (ข) (ค) (ง)ภาพท่ี 2.3 สตู รโครงสรา งเคมีของโมเลกุล CH4 (ก) สตู รโครงสรา งแบบเสน (ข) รูปทรงของโมเลกลุ ใน 3 มติ ิ และ (ค)แบบจาํ ลองโมเลกุลทรงกลมและกา น (ง) แบบจาํ ลองสเปซฟลลงิ2.1.2 มวลอะตอม มวลโมเลกุล และน้ําหนกั สตู ร มวลอะตอม เน่ืองจากอะตอมของแตละธาตุมีนํ้าหนักนอ ยมาก เชนอะตอม H มีน้ําหนักเบาท่ีสุดคอื ประมาณ1.66x10-24 กรัม ทาํ ใหไมสามารถชั่งนํ้าหนักของธาตุหน่ึงอะตอมไดโ ดยตรง จึงไมนิยมใชมวลทแี่ ทจริง(absolute mass) แตนิยมใชมวลเปรียบเทยี บ (relative mass) เร่มิ แรกดอลตัน (John Dalton) เสนอใหใชอะตอม H เปน ธาตุมาตรฐานในการเปรียบเทียบเพื่อหามวลอะตอมของธาตุอืน่ ๆ เพราะ H เปนธาตทุ ่ีมีน้ําหนักนอ ยท่ีสดุ ในเวลาตอ มาพบวามวลอะตอมของธาตุตา งๆ ท่ีใช H เปน ธาตุมาตรฐานเปรยี บเทียบ มีคาตัวเลขไมใกลเคยี งกับจํานวนเต็ม ธาตุบางชนิดตองหามวลอะตอมโดยวิธีออม เพราะธาตุเหลาน้ันไมส ามารถรวมตัวกบั H ไดโ ดยตรง สตาส (Jean Servais Stas) นักเคมีวิเคราะหชาวเบลเยียมไดเสนอใช O เปนมาตรฐานในการเปรียบเทียบ ดวยเหตุผลท่ีวา O มมี ากและมีอยูเปนอิสระในบรรยากาศ ทั้งยงั เปนธาตุทท่ี าํ ปฏิกิริยากบัธาตอุ ่ืนไดเ กอื บท้ังหมด แตเนื่องจาก O ในธรรมชาตมิ ี 3 ไอโซโทป คอื 16O,17O และ 18O จงึ ทําใหเกดิความสับสนในการเปรยี บเทยี บกนั ระหวา งนักฟส ิกสแ ละนกั เคมี ในป ค.ศ.1961 เปนตนมา นักวิทยาศาสตรไดรวมตกลงในท่ีประชมุ นานาชาติใหใ ช 12C ซง่ึ เปนไอโซโทปทม่ี ีปริมาณมากทส่ี ุดในธรรมชาตเิ ปนธาตุมาตรฐานในการเปรียบเทียบ มวลอะตอมของธาตุ = 1/12น(้าํ นห้ํานหกั นขกั อขงอธงาต1ุ21Cอ1ะอตะอตมอม) มวลอะตอมจึงเปนเพยี งตวั เลข (ไมมีหนวย) ที่บอกใหทราบวา ธาตุใดๆ 1 อะตอม มีนํ้าหนักเปนก่ีเทา ของ 1/12 เทา ของนํา้ หนัก 12C จาํ นวน 1 อะตอม เนือ่ งจากพบวา 1/12 เทา ของน้ําหนัก 12C จาํ นวน 1 อะตอม (1 amu) เทา กับ 1.66x10-24 กรัม
ปริมาณสารสมั พันธ | 45 มวลอะตอมของธาตุ = นา้ํ หนัก1ข.อ6ง6ธxา1ต0ุ 1-24อะตอมดังนัน้ นํา้ หนักของธาตุ 1 อะตอม = มวลอะตอมของธาตุ x (1.66x10-24) มวลอะตอมเฉล่ยี มวลอะตอมของธาตุที่ปรากฏในตารางธาตุ เชน มวลอะตอม Na เทา กับ 23.00 จะเหน็ ไดวา มวลอะตอมของธาตุไมเ ปนเลขจํานวนเตม็ จะเปน ทศนิยม เน่ืองจากธาตใุ นธรรมชาติสว นมากมีหลายไอโซโทปมวลอะตอมของธาตจุ ึงเปน มวลอะตอมเฉลยี่ ของไอโซโทปท้ังหมดท่พี บในธรรมชาติของธาตนุ นั้ ธาตสุ วนใหญใ นธรรมชาติมหี ลายไอโซโทปและแตละไอโซโทปมปี รมิ าณมากนอยตางกัน (ตารางท่ี 2.1) ปจจุบันนักวิทยาศาสตรหามวลอะตอมและปริมาณของไอโซโทปของแตละธาตุโดยใชเคร่ืองแมสสเปกโทรมิเตอร (mass spectrometer) ทําใหไดคาท่ีแนนอนและมีความถกู ตองสูง มวลอะตอมเฉล่ยี ของธาตุหาไดจากสมการ (2.1) A = (%X1)(A X1) + (%X2)(A X 2) +(%X 3)(A X3) ……(2.1) 100เมอื่ A = มวลอะตอมเฉล่ยี ของธาตุแตล ะไอโซโทป %X1, %X2 และ %X3, = รอ ยละของแตละไอโซโทปในธรรมชาตขิ องธาตุ X1, X2 และ X3 ตามลําดบั AX1, AX2 และ AX3 = มวลอะตอมของแตล ะไอโซโทปของธาตุ X1, X2 และ X3 ตามลําดบัตวั อยาง 2.2 จงคาํ นวณมวลอะตอมเฉลย่ี ของคารบอน (C) ท่ีมีในธรรมชาติ 2 ไอโซโทปคือ 12C และ 13Cดังตาราง ไอโซโทป ปริมาณทีม่ ใี นธรรมชาติ (%) มวลอะตอม 12C 98.89 12.000 13C 1.11 13.003วธิ คี ิด มวลอะตอมเฉล่ีย = (98.89%)(12.00) + (1.11%)(13.003) 100 = 12.01113ตัวอยาง 2.3 แกส Ar ประกอบดวย 3 ไอโซโทปคือ 36Ar, 38Ar และ 40Ar ปริมาณของไอโซโทปมี0.10%, 0.30% และ 99.6% ตามลําดบั จงหามวลอะตอมเฉลย่ีวิธีคิด มวลอะตอมเฉล่ยี = (0.10%)(36) + (0.30%)(38) +(99.6%)(40) 100 = 39.99
46 | เคมีสาํ หรับวศิ วกร (02-411-103)ตารางที่ 2.1 มวลอะตอมเฉลี่ยและปริมาณไอโซโทปในธรรมชาติธาตุ ไอโซโทป มวลอะตอมของ ปรมิ าณ มวลอะตอมเฉล่ยี ไอโซโทป ไอโซโทป (%) (amu)คารบ อน 12C 12.000 98.9 12.001 13C 13.003 1.1ออกซิเจน 16O 15.999 15.995 99.76 17O 16.999 0.04 20.183 18O 17.999 0.20 35.453นีออน 20Ne 19.992 90.92 21Ne 20.993 0.26 24.31 22Ne 21.991 8.82คลอรีน 35Cl 34.967 75.5 39.947 37Cl 36.966 24.5 10.811แมกนเี ซียม 24Mg 23.99 78.10 14.007 25Mg 24.99 10.13 26Mg 25.98 11.17อารก อน 36Ar 35.968 0.337 38Ar 37.963 0.063 40Ar 39.962 99.600โบรอน 10.0130 19.9 10B 11B 11.0093 80.1 14Nไนโตรเจน 15N 14.003 99.625 15.000 0.375หมายเหตุ มวลอะตอมเฉล่ียของธาตุบางชนิดท่ีแสดงในตารางท่ี 2.1 ปรากฏเปนเลขทศนิยม ไมเปนจาํ นวนเต็ม แตเ พอื่ ใหส ะดวกในการคํานวณ มวลอะตอมเฉลี่ยของธาตุบางธาตุนยิ มใชเปนตัวเลขจํานวนเต็ม มวลโมเลกุล มวลโมเลกุล (molecular mass) หรือนํ้าหนักโมเลกุล (molecular weight) คือมวลของธาตุองคป ระกอบของโมเลกุล มวลโมเลกลุ ของสารหาไดสองวธิ ี ดังน้ี 1) ใชการเปรียบเทยี บกับ 12C (เชน เดียวกบั การหามวลอะตอม) มวลโมเลกุลของสาร = 1/1น2ํา้ นหาํ้ นหักนขกั อขงอสงาร121Cโ1มเอละกตลุ อม มวลโมเลกลุ ของสาร =นาํ้ หนัก1ขอ.6ง6สxา1ร01-24โมเลกลุ ดังนนั้ น้ําหนกั ของสาร 1 โมเลกุล = มวลโมเลกุลของสาร x (1.66x10-24)
ปริมาณสารสัมพันธ | 47 2) คาํ นวณจากผลบวกของมวลอะตอมของธาตุทีเ่ ปนองคป ระกอบโมเลกุล มวลโมเลกุลของสารใดๆ จะเทา กับผลบวกของมวลอะตอมคณู ดวยจาํ นวนอะตอมในสูตรเคมี ในการคํานวณมวลโมเลกลุ ของสารสามารถทําไดงายโดยใชมวลอะตอมของธาตุองคประกอบมารวมกัน แตบางครั้งตองมีความระมัดระวัง เนื่องจากในบางโมเลกุลอาจมีนํ้ารวมอยูดวย เรียกวาไฮเดรต เชน CuSO45H2O และMnSO42H2O ตวั อยา งการคํานวณมวลโมเลกลุ (โดยมวลอะตอมดจู ากตารางธาต)ุ H2O = (1.00x2) + (16.0x1) = 18.0 S8 = (32.0x8) = 256 CuSO45H2O = (63.5x1) + (32.0x1) + (16.0x4) + (18.0x5) = 249.5 CH3COOH = (12.0x2) + (1.00x4) + (16.0x2) = 60 K3(Fe(CN)6) = (39.1x3)+(55.8x1)+(12.0x6)+(14.0x6) = 329.1 น้ําหนกั สูตร น้ําหนักสูตร (formula weight) หรือมวลสูตร (formula mass) คือตัวเลขที่แสดงวาอนุภาคตามสตู รเคมี 1 อนุภาค มนี ํา้ หนักเปนก่เี ทา ของ 1/12 ของนาํ้ หนกั 12C จํานวน 1 อะตอม น้ําหนักสูตรของสาร = 1/1น2 ํา้ นหํ้านหักนขักอขงอสงาร121Cอ1นอุภะาตคอมดังนั้น นา้ํ หนักสูตรจํานวน 1 อนุภาค (ตามสูตร) = นํ้าหนกั สูตร x1.66x10-24 เชน NaCl มีนาํ้ หนักสูตรเทากับ 58.5 หมายความวา 1 อนุภาคมีน้ําหนักเปน 58.5 เทาของ 1/12ของน้ําหนักของ 12C จาํ นวน 1 อะตอม ดงั นั้น นาํ้ หนกั NaCl 1 อนุภาค = 58.5x1.66x10-24 กรมั เน่ืองจากสารไอออนิกไมมีสูตรโมเลกุล เพราะอนภุ าคประจบุ วกและลบเรยี งตวั สลับกนั ท้ังสามมิติดังน้ัน นํ้าหนักสตู รจะเทา กบั ผลรวมของมวลอะตอมในสูตรโมเลกลุ เชน K4Fe(CN)6 = (39.1x4)+(55.8x1)+(12.0x6)+(14.0x6) = 368.3องคป ระกอบรอยละของธาตุ สูตรเคมีบอกใหทราบถึงจํานวนอะตอมของแตละธาตุที่เปนองคประกอบในโมเลกุลและสารประกอบอยางแนนอน การบอกองคประกอบของธาตุใดๆ ในโมเลกุลหน่ึงๆ นิยมบอกเปนองคป ระกอบรอ ยละ รอยละของธาตุ A ในสารประกอบ = มวลโมมวเลลกอุละขตอองมสขาอรงปรAะกอบ x 100
48 | เคมสี าํ หรับวศิ วกร (02-411-103)ตัวอยาง 2.4 การหารอ ยละโดยนํา้ หนกั ของ N, C, H และ O ในยูเรีย (NH2CONH2)วิธคี ดิ มวลโมเลกุลของ NH2CONH2 = 60.0 g/molรอ ยละของธาตุ N ใน NH2CONH2 = 2 x 14.0g N x100 = 46.7% 60.0 g NH2CONH2รอยละของธาตุ C ใน NH2CONH2 = 1 x 12.0 g C x100 = 20.0% 60.0 g NH2CONH2รอยละของธาตุ H ใน NH2CONH2 = 4 x 1.00 g H x100 = 6.67% 60.0 g NH2CONH2รอ ยละของธาตุ O ใน NH2CONH2 = 1 x 16.0 g O x100 = 26.7% 60.0 g NH2CONH2ตัวอยา ง 2.5 การหานํา้ หนักเปนรอยละของ Cu ใน Cu(NO3)2 จาํ นวน 10.0 กรัมวิธีคดิ หามวลโมเลกลุ ของ Cu(NO3)2 = 187.5 g/molCu(NO3)2 187.5 g มี Cu อยู 63.5 gถามี Cu(NO3)2 10.0 g มี Cu = (63.5 g/mol)(10.0 g) = 3.39 g 187.5 g/molดงั นน้ั Cu(NO3)2 10.0 g จะมี Cu อยู 3.39 gรอ ยละของ Cu คาํ นวณไดจ าก Cu(NO3)2 10.0 g จะมี Cu อยู 3.39 gดังนัน้ Cu(NO3)2 100 g จะมี Cu 3.39 g Cu x 100 = 33.9% 10.0 g Cu(NO3)22.1.3 โมล เน่อื งจากอะตอมมีนา้ํ หนักเบามาก (1 amu เทา กบั 1.66x10-24 กรมั ) ซึ่งยากในทางปฏิบัติ ในปค.ศ.1896 ออสทว าลด (Friedrich Wilhelm Ostwald) นักเคมชี าวเยอรมัน (ไดรับรางวัลโนเบล สาขาเคมีในป ค.ศ.1909) ไดเ สนอคําวา โมล (mole) ซึ่งมรี ากศัพทม าจากภาษาละตินแปลวา “กอง” หนว ยระบบSI หนวยโมล (mol) เปนหนวยการบอกปริมาณสาร โดยใหคําจาํ กดั ความคือ “ปริมาณสารทม่ี ีจาํ นวนอนุภาคเทากบั จาํ นวนอะตอม 12C ท่ีหนัก 12.0 กรัม” จากคําจํากดั ความดังกลาวถา รูวา 12C ที่หนัก12.0 กรัมมีจํานวนอะตอม 12C เทา ใดแลว สสารใดๆ ก็ตามท่ีมจี ํานวนอะตอมเทากบั 12C ที่หนกั 12.0กรมั จะมปี ริมาณเทากบั 1 โมล เม่ือ 12C 1 อะตอม มนี ้ําหนกั เทากับ 12.0x1.66x10-24 กรัม ซงึ่ สามารถคํานวณจํานวนอะตอมของ 12C ทีห่ นกั 12.0 กรัมได โดยสมมตใิ ห 12C หนัก 12.0 กรมั มีจํานวนอะตอมเทา กับ y อะตอม เมอ่ืเขียนในรปู อตั ราสว นระหวา งจํานวนอะตอมกบั นํา้ หนกั เปน กรัม จะได
ปรมิ าณสารสมั พันธ | 49 C 1 atom g= C y atoms12.0x1.66x10-24 12.0 gC y atoms = C 1 atom x 12.0 g 12.0x1.66x10-24 g = 6.02x1023 atomsดังนั้น 12C หนัก 12.0 กรมั มีจาํ นวนอะตอมเทา กับ 6.02x1023 อะตอมหรือในทาํ นองเดยี วกนั 16O ทีห่ นกั เทากับ 16.0 กรมัO y atoms = O 1 atom x 16.0 g 16.0x1.66x10-24 g = 6.02x1023 atomsดังนนั้ 16O หนกั 16.0 กรมั มจี ํานวนอะตอมเทา กบั 6.02x1023 อะตอม ดงั นั้น แสดงวา 12C ที่หนกั 12.0 กรัม จะประกอบดว ยอะตอมเทา กับ 6.02x1023 อะตอม หรือ16O ทหี่ นัก 16.0 กรัม จะประกอบดว ยอะตอมเทากับ 6.02x1023 อะตอมเชนกนั เม่ือพจิ ารณาอะตอมของธาตุชนดิ อน่ื ๆ จะมีลกั ษณะเชนเดยี วกนั สรุปไดวา ธาตุใดๆ ที่มีน้ําหนักเทากับมวลอะตอมของธาตุน้ัน จะมีจํานวนอะตอมเทากับ6.02x1023 อะตอม ดังนั้นจงึ ไดกําหนดนยิ ามของโมลท่ีเก่ียวของกบั จาํ นวนอะตอมคือ “1 โมลของธาตุใดๆ ประกอบดวยปริมาณของธาตนุ ัน้ จาํ นวน 6.02x1023 อะตอม” แตเพอ่ื ใหใ ชไ ดอยางกวางขวางกบั อนภุ าคทัง้ หมดของสสาร จึงใชจํานวนอนุภาคแทนจาํ นวนอะตอมดังนนั้ นยิ ามของโมลโดยรวมจะใหคาํ จํากัดความไดเปน “สารใดๆ 1 โมลประกอบดวยปริมาณของสารท่ีมจี าํ นวนอนภุ าคเทากบั 6.02x1023 อนภุ าค” ตัวเลข 6.02x1023 เรียกวา “เลขอาโวกาโดร” (Avogadro’s number) เพื่อเปนเกียรติแกนักวิทยาศาสตรชาวอติ าเลยี นท่ีชอื่ อาโวกาโดร (Amedeo Avogadro, ค.ศ.1776-1856) เลขอาโวกาโดรทถ่ี กู ตอ งและยอมรับกันในปจจุบนั คือ 6.0221367x1023 แตอ นุโลมใหใ ช 6.02x1023 แทนไดความสัมพนั ธระหวา งจาํ นวนโมลกบั นํ้าหนักสาร จากนิยามโมลจะพบวา สารใดๆ 1 โมลประกอบดวยปริมาณของสารที่มีจํานวนอนุภาคเทากับ6.02x1023 อนุภาค (อะตอม โมเลกลุ หรือไอออน) ดังนัน้ ในการบอกปรมิ าณของสารเปน โมลจงึ ตอ งระบุชนดิ ของอนภุ าคดวย เชน ถาอนุภาค คอื อะตอม เรียกวา โมลอะตอม เชน C 1 โมลอะตอม มีจํานวนอะตอม C เทากับ6.02x1023 อะตอม ถาอนุภาค คอื โมเลกลุ เรียกวา โมลโมเลกลุ เชน O2 1 โมลโมเลกุล มีจาํ นวนโมเลกลุ O2 เทา กบั6.02x1023 โมเลกลุ
50 | เคมีสาํ หรบั วศิ วกร (02-411-103) ถาอนุภาค คือ ไอออน เรียกวา โมลไอออน เชน Ca2+ 1 โมลไอออน มีจํานวนไอออน Ca2+เทา กบั 6.02x1023 ไอออน แตโดยทั่วไปการบอกหนวยปริมาณสารเปนโมล มักไมไดบอกถึงชนิดอนุภาคสารน้ัน ดังน้ันจําเปนตองรูว า สารนน้ั เปนอะตอม โมเลกุล หรือไอออน เชน ถาเปน สารประกอบหรือโมเลกลุ จะหมายถงึโมลโมเลกุล แตถ าเปน ธาตอุ ิสระจะหมายถึงโมลอะตอม เปนตน อยางไรกต็ าม การเรียกหนวยปริมาณสารจะเรียก โมล เทา นั้น ความสมั พันธร ะหวางจํานวนโมลกับน้ําหนักของอนุภาคสารที่เปน อะตอม โมเลกุล หรือไอออนแสดงในตารางที่ 2.2, 2.3 และ 2.4 ตามลําดบั ซงึ่ พบวา น้ําหนกั ของอนภุ าคจํานวน 1 โมลจะเทากบั มวลอะตอม มวลโมเลกุล หรอื มวลไอออน แลว แตกรณีตารางท่ี 2.2 นํ้าหนักของธาตจุ าํ นวน 1 โมลธาตุ มวลอะตอม น้ําหนักของธาตุ 1 นาํ้ หนักของธาตุ จํานวน 1 โมล (กรมั ) อะตอม (กรมั )Na 23.0 23.0x1.66x10-24 (6.02x1023)x(23.0x1.66x10-24) = 23.0 (6.02x1023)x(4.00x1.66x10-24) = 4.00He 4.00 4.00x1.66x10-24 (6.02x1023)x(14.0x1.66x10-24) = 14.0N 14.0 14.0x1.66x10-24 (6.02x1023)x(55.8x1.66x10-24) = 55.8Fe 55.8 55.8x1.66x10-24 (6.02x1023)x(32.0x1.66x10-24) = 32.0S 32.0 32.0x1.66x10-24 (6.02x1023)x(31.0x1.66x10-24) = 31.0P 31.0 31.0x1.66x10-24ตารางท่ี 2.3 นาํ้ หนกั ของสารประกอบหรอื โมเลกุลจาํ นวน 1 โมลโมเลกลุ มวลโมเลกุล น้าํ หนักของสาร 1 นํา้ หนักของโมเลกุลสาร จาํ นวน 1 โมล โมเลกุล (กรมั ) (กรมั )N2 28.0 28.0x1.66x10-24 (6.02x1023)x(28.0x1.66x10-24) = 28.0CO2 44.0 44.0x1.66x10-24 (6.02x1023)x(44.0x1.66x10-24) = 44.0SO2 64.0 64.0x1.66x10-24 (6.02x1023)x(64.0x1.66x10-24) = 64.0H2O 18.0 18.0x1.66x10-24 (6.02x1023)x(18.0x1.66x10-24) = 18.0HNO3 63.0 63.0x1.66x10-24 (6.02x1023)x(63.0x1.66x10-24) = 63.0ตารางท่ี 2.4 น้าํ หนกั ของไอออนจาํ นวน 1 โมลไอออน มวลไอออน น้ําหนักของไอออน น้ําหนักของไอออน จํานวน 1 โมล (กรัม) 1 ไอออน (กรมั ) (6.02x1023)x(23.0x1.66x10-24) = 23.0Na+ 23.0 23.0x1.66x10-24 (6.02x1023)x(55.8x1.66x10-24) = 55.8Fe3+ 55.8 55.8x1.66x10-24 (6.02x1023)x(19.0x1.66x10-24) = 19.0F- 19.0 19.0x1.66x10-24 (6.02x1023)x(96.0x1.66x10-24) = 96.0SO42- 96.0 96x1.66x10-24 (6.02x1023)x(97.0x1.66x10-24) = 97.0H2PO4- 97.0 97x1.66x10-24
ปริมาณสารสมั พนั ธ | 51 ความสมั พนั ธระหวา งจํานวนโมลกบั น้ําหนักอนุภาคสาร (อะตอม โมเลกลุ หรือไอออน) สรุปไดดังนี้ 1) ธาตุใดๆ จํานวน 1 โมล มนี ํา้ หนักเปน กรมั เทา กบั มวลอะตอมของธาตุนัน้ เชน ธาตแุ มกนเี ซยี ม (Mg) 1 โมล (หรือ 6.02x1023 อะตอม) มีนาํ้ หนักเทา กับ 24.3 กรมั ธาตอุ อกซิเจน (O) 1 โมล (หรอื 6.02x1023 อะตอม) มนี ้ําหนักเทากบั 16.0 กรัม 2) สารประกอบใดๆ จาํ นวน 1 โมล มนี ้ําหนกั เปนกรัมเทากบั มวลโมเลกลุ ของสารประกอบน้ันเชน แกส คลอรีน (Cl2) 1 โมล (หรอื 6.02x1023 อะตอม) มนี า้ํ หนักเทา กับ 71.0 กรัม แกสคารบอนไดออกไซด (CO2) 1 โมล (หรือ 6.02x1023 อะตอม) มีน้ําหนักเทากับ44.0 กรมั นา้ํ (H2O) 1 โมล (หรือ 6.02x1023 อะตอม) จะมนี าํ้ หนกั เทากบั 18.0 กรัม 3) ไอออนใดๆ จํานวน 1 โมล จะมีนาํ้ หนักเปนกรัมเทากบั มวลไอออนของไอออนนนั้ ๆ เชน ซัลเฟตไอออน (SO42-) 1 โมล (หรอื 6.02x1023 อะตอม) มีนํ้าหนักเทากับ 96.0 กรัม คลอไรดไอออน (Cl-) 1 โมล (หรือ 6.02x1023 อะตอม) มีน้ําหนักเทากับ 35.5 กรัมการคาํ นวณหาจาํ นวนโมลของสารใดๆ จากนาํ้ หนักสาร หาไดโดยใชส ตู รทวั่ ไปดงั น้ี n = g …..(2.2) MMเม่อื n = จาํ นวนโมล (mol) g = นํา้ หนกั ของสาร (g) MM = มวลโมลาร (g/mol)หมายเหตุ มวลโมลาร (molar mass) หมายถึง มวลอะตอม กรณอี นภุ าคเปน อะตอม มวลโมเลกลุ กรณอี นภุ าคเปน โมเลกุล มวลไอออน กรณอี นุภาคเปน ไอออนตัวอยาง 2.6 จงคาํ นวณจํานวนโมลของปริมาณสารตอไปน้ีก) สังกะสี (Zn) หนัก 22.5 กรมัn ของ Zn = 22.5g Zn = 0.344 mol 65.4 g/mol Znข) แกส ไฮโดรเจนคลอไรด (HCl) หนัก 10.0 กรัมn ของ HCl = 10.0g HCl = 0.274mol 36.5g/mol HClค) ซลั เฟตไอออน (SO42-) หนกั 40.2 กรมัn ของ SO24-= 40.2g SO24- = 0.42mol 96.0g/mol SO24-
52 | เคมสี าํ หรบั วิศวกร (02-411-103)ตัวอยา ง 2.7 จงคาํ นวณจาํ นวนอนุภาคของปรมิ าณสารตอ ไปนี้ก) สังกะสี (Zn) หนัก 22.5 กรมัคาํ นวณจาํ นวนโมล = 0.344 โมล (จากตวั อยาง 2.6 ก)จาก Zn 1 โมล จะมี Zn = 6.02x1023 อะตอมถา Zn 0.344 โมล จะมี Zn = (0.344 )(6.02x1023) = 2.07x1023 อะตอม 1ข) แกส ไฮโดรเจนคลอไรด (HCl) หนกั 10.0 กรมัคาํ นวณจาํ นวนโมล = 0.274 โมล (จากตัวอยาง 2.6 ข)จาก HCl 1 โมล จะมี HCl = 6.02x1023 โมเลกลุถา HCl 0.274 โมล จะมี HCl = (0.274 )(6.02x1023) = 1.65x1023 โมเลกลุ 1ค) ซัลเฟตไอออน (SO42-) หนัก 40.2 กรัมคาํ นวณจํานวนโมล = 0.42 โมล (จากตวั อยา ง 2.6 ค)จาก SO42- 1 โมล จะมี SO42- = 6.02x1023 ไอออนถา SO42- 0.42 โมล จะมี SO42- = (0.42 )(6.02x1023) = 2.53x1023 ไอออน 1ความสมั พนั ธร ะหวา งจาํ นวนโมลกบั ปริมาตรของแกส ความสมั พนั ธระหวางโมลกบั ปริมาตรจะคิดเฉพาะสารทีม่ ีสถานะแกสเทา น้ัน ปรมิ าตรของแกสจะเปล่ียนแปลงตามอุณหภูมิและความดัน ดังนั้นเม่ือเปรียบเทียบปริมาตรของแกสตางๆ จึงตองมีการกาํ หนดอณุ หภมู ิและความดันเพอ่ื เปน มาตรฐาน นกั วทิ ยาศาสตรไดก ําหนดอุณหภมู ิที่ 0C และความดัน1 บรรยากาศ (atm) เปนสภาวะมาตรฐาน (Standard Temperature and Pressure) เรยี กยอวา STP จากสมมติฐานของอาโวกาโดรที่วา “ภายใตอ ุณหภมู ิและความดนั เดียวกัน แกส ท่ีมีจํานวนโมเลกุลเทากนั จะมีปริมาตรเทากัน” ซงึ่ จากความสัมพันธของโมลกับจํานวนโมเลกลุ ท่ีวา “สารประกอบใดๆจาํ นวน 1 โมล จะประกอบดว ยจาํ นวนโมเลกลุ ของสารนัน้ เทากับ 6.02x1023 โมเลกลุ ” ดงั น้ัน ปรมิ าตรของแกสจึงควรจะมคี วามสัมพันธกบั จํานวนโมลดวย นักวิทยาศาสตรไดทดลองหาความสัมพันธระหวา งปรมิ าตรของแกสกับจาํ นวนโมลของแกสท่ี STP ไดผลดังขอ มลู ในตารางที่ 2.5ตารางที่ 2.5 การทดลองหาปริมาตรของแกส ตอจํานวนโมลของแกสบางชนิดท่ี STPแกส นาํ้ หนักของแกสทีใ่ ช นํ้าหนักของแกส ปริมาตรตอโมล (กรัม/ลติ ร) จํานวน 1 โมล (กรมั ) ของแกส (ลิตร)O2 1.43 32.0 22.4N2 1.25 28.0 22.4CO 1.24 28.0 22.5CO2 1.97 44.0 22.3 เฉลยี่ 22.4
ปรมิ าณสารสมั พนั ธ | 53 จากผลการทดลองสรปุ เปนความสัมพนั ธระหวา งจํานวนโมลและปริมาตรของแกส คือ “แกส ใดๆจํานวน 1 โมล จะมีปริมาตร 22.4 ลติ ร ที่ STP” ดังนั้น สารใดๆ ในสถานะแกส ไมวาโมเลกุลขนาดใหญ (มวลโมเลกุลมาก) หรอื ขนาดเล็ก (มวลโมเลกุลนอย) เม่อื มจี าํ นวนเทากับ1 โมล จะมปี ริมาตรเทา กบั 22.4 ลิตร ที่ STP เสมอ เชน แกส O2 1 โมล (มีนา้ํ หนกั 32.0 กรมั ) จะมีปริมาตรเทากับ 22.4 ลิตร ที่ STP แกส CO2 1 โมล (มีน้ําหนกั 44.0 กรัม) จะมีปริมาตรเทา กับ 22.4 ลิตร ที่ STP ไอนํ้า (H2O) 1 โมล (มนี ้ําหนกั 18.0 กรมั ) จะมปี รมิ าตรเทา กบั 22.4 ลติ ร ที่ STPการคํานวณหาจาํ นวนโมลของแกส จากปรมิ าตรของแกสท่ี STP โดยใชสมการทว่ั ไปดังน้ี n = V …..(2.3) 22.4เมอ่ื n = จํานวนโมล (mol) V = ปริมาตรของแกส ท่ี STP (L)ตวั อยาง 2.8 การคาํ นวณจาํ นวนโมลของแกสตอ ไปน้ที ี่ STPก) แกส O2 100 ลิตร n ของ O2 = 100 L = 4.46mol 22.4 L ดังน้นั แกส O2 ปริมาตร 100 ลิตร เทา กับ 4.46 โมลข) แกส NO2 1 ลิตร n ของ NO2 = 1L L = 0.045mol 22.4 ดังนัน้ แกส NO2 ปริมาตร 1 ลิตร เทากับ 0.045 โมลตวั อยา ง 2.9 แกส O2 100 กรัม มปี รมิ าตรก่ีลิตรที่ STPวธิ ีคิด คาํ นวณจํานวนโมลของ O2 โดยอาศยั สมการ (2.2) แลว จึงหาปริมาตรจากจํานวนโมลโดยอาศยัสมการ (2.3) n ของ O2 = 100g O2 = 3.12mol 32.0g/mol O2ดังน้ัน แกส O2 100 g คดิ เปน 3.12 molจาก O2 1 mol มปี ริมาตร = 22.4 L ที่ STPถามี O2 3.125 mol จะมปี ริมาตร = (3.125 mol)(22.4 L) = 69.9 L 1 mol
54 | เคมีสาํ หรบั วิศวกร (02-411-103) จากความสัมพันธระหวางจํานวนโมลกับน้ําหนกั อนภุ าคสาร (อะตอม โมเลกลุ หรอื ไอออน) และปรมิ าตรของแกส สรุปไดวา 1 โมลของสารใดๆ จะมีจํานวนอนุภาค เทากับ 6.02x1023 อนุภาค (อะตอม โมเลกุล หรือไอออน) 1 โมลของสารใดๆ จะมนี ํ้าหนกั (เปนกรัม) เทา กับ มวลโมลาร (มวลอะตอม มวลโมเลกุล หรือมวลไอออน) 1 โมลของแกส ใดๆ จะมีปรมิ าตรเทา กบั 22.4 ลติ ร ท่ี STPตัวอยา งเชน โมเลกลุ ของ H2O 1 โมลในสถานะแกส ที่ STPจํานวนอนุภาค (โมเลกุล) ของ H2O = 6.02x1023 โมเลกุลน้าํ หนักของ H2O = 18.0 กรัมปริมาตรของไอน้าํ = 22.4 ลิตรจากความสัมพันธดงั กลาวนี้ จะพบวา H2O 6.02x1023 โมเลกลุ จะหนัก 18.0 กรัม และถาวัดปริมาตรของไอนาํ้ จะได 22.4 ลติ ร ที่ STPตารางที่ 2.6 จํานวนอนภุ าค น้ําหนัก และปรมิ าตรของสารบางชนดิ จาํ นวน 1 โมลสาร สถานะ จํานวนอนภุ าค น้าํ หนัก (กรมั ) ปริมาตร (ท่ี STP)O2 แกส 6.02x1023 32.0 22.4 LCO แกส 6.02x1023 28.0 22.4 L 6.02x1023C2H2 แกส 6.02x1023 28.0 22.4 LCH3OH ของเหลว 6.02x1023 32.0 -H2O ของเหลว 6.02x1023 18.0 -Hg ของเหลว 6.02x1023 200.6 - 6.02x1023C6H12O6 ของแข็ง 180.0 -Na ของแขง็ 23.0 -C10H8 ของแขง็ 6.02x1023 128.0 - จากตารางที่ 2.6 สรปุ ไดว าสารตา งชนิดกันเมื่อจาํ นวนโมลเทา กันจะมจี าํ นวนอนุภาคเทา กนั และมีปริมาตรในกรณีแกส แตจะมนี ้าํ หนกั ไมเทา กัน (ยกเวน กรณีที่สารเหลา นน้ั มีมวลโมเลกุลเทา กัน เชน O2กบั CH3OH หรอื CO กับ C2H2 จะมนี าํ้ หนกั เทา กนั ดว ย) การคํานวณปริมาณสมั พันธของสาร ระหวางจํานวนโมลกับนาํ้ หนัก จํานวนอนุภาค และปรมิ าตรของแกส สามารถเขียนเปน ความสัมพนั ธท เ่ี รยี กวา สามเหลีย่ มโมล (triangle mole) ดงั ภาพท่ี 2.4
ปริมาณสารสมั พนั ธ | 55ภาพท่ี 2.4 สามเหลี่ยมโมลแสดงความสมั พนั ธระหวา งจาํ นวนโมลกับน้ําหนัก จาํ นวนอนุภาค และปรมิ าตรของแกส ความสัมพันธระหวางจํานวนโมลกับนํ้าหนัก จํานวนอนุภาค และปริมาตรของแกส สามารถคํานวณการเปลย่ี นความสมั พันธจากความสมั พนั ธหนึ่งไปอีกความสัมพนั ธหนง่ึ ดงั ตารางท่ี 2.7ตารางที่ 2.7 การเปลยี่ นความสมั พันธร ะหวา งจํานวนโมลกับน้าํ หนกั อนภุ าคและปริมาตรของแกสความสมั พันธ การเปลยี่ นความสัมพันธ วิธกี ารเปล่ยี นความสมั พนั ธโมลกบั นาํ้ หนัก โมล นา้ํ หนัก โมล x มวลโมลาร นํ้าหนัก โมล นํา้ หนกั มวลโมลารโมลกบั อนภุ าค โมล อนุภาค โมล x 6.02x1023 อนุภาค โมล อนภุ าค 6.02x1023โมลกับปรมิ าตร โมล ปริมาตร โมล x 22.4 ปริมาตร โมล ปรมิ าตร 22.4จากรูป 2.4 จะเห็นวา จาํ นวนโมลเปน ศนู ยก ลาง ดงั น้ัน การคาํ นวณหานํ้าหนกั จาํ นวนอนภุ าค และปริมาตรของแกส จะตอ งคํานวณผานจํานวนโมลกอ น เพราะในปฏกิ ิริยาเคมจี ํานวนโมลเปน สมั ประสทิ ธท์ิ ่ีใชในการเปรียบเทยี บอตั ราสว นในการเกดิ ปฏิกิริยาของทั้งสารต้ังตนและสารผลิตภณั ฑ เนอ่ื งจากจาํ นวนโมลสัมพันธก ับน้ําหนกั จาํ นวนอนภุ าค และปรมิ าตรของแกส จึงเขียนเปนสมการไดดังน้ีn = g (g) = V (L) = N ……(2.4) MM (g/mol) 22.4 (L) 6.02x1023เมอื่ n = จาํ นวนโมล (mol)g = น้าํ หนกั ของสาร (g)MM = มวลโมลาร (g/mol)V = ปรมิ าตรของแกส ท่ี STP (L)N = จํานวนอนภุ าค (อะตอม โมเลกลุ หรอื ไอออน)
56 | เคมีสาํ หรับวิศวกร (02-411-103)สมการ (2.4) มีประโยชนม ากในการคํานวณ เพราะชวยลดเวลาในการเทยี บจํานวนโมลของการคาํ นวณแตละขั้น สามารถคํานวณโดยอาศัยความสัมพันธเปนคูๆ จากสมการ เชนถาตองการคํานวณระหวางโมลกบั ปริมาตร ใหใชค วามสัมพันธ กบั หรือคํานวณระหวางน้ําหนักกับปริมาตรใหใ ชความสมั พันธ กับ โมล นํา้ หนัก ปริมาตร อนุภาค n= g (g) = V (L) = N MM (g/mol) 22.4 (L) 6.02x1023ตวั อยา ง 2.10 การคํานวณปริมาณสารตอไปน้ีก) สงั กะสี (Zn) หนกั 22.5 กรมั มีจํานวนอะตอมเทา ไร วธิ ีคดิ สมการ (2.4) โดยใชความสัมพนั ธร ะหวา งนํ้าหนัก กบั อนุภาค จะไดส มการ g = N MM 6.02x1023 g)(6.02x1023 N = (22.5 65.4 g/mol atoms) = 2.07x1023 atomsข) แกส ไฮโดรเจนคลอไรด (HCl) หนัก 10 กรัม มปี ริมาตรกี่ลติ ร (ที่ STP) วิธีคิด สมการ (2.4) โดยใชความสัมพนั ธร ะหวา งน้ําหนัก กบั ปรมิ าตร จะไดสมการ g = V (L/mol) MM 22.4 (L) V = (10 g)(22.4 L/mol) = 6.14 L 36.5 g/molค) ซัลเฟตไอออน (SO42-) จํานวน 4.26x1025 ไอออน มีนา้ํ หนกั กก่ี รมั วธิ คี ิด สมการ (2.4) โดยใชความสัมพันธระหวา งน้ําหนกั กบั อนุภาค จะไดสมการ g = N MM 6.02x1023 (96 g)(4.26x1025 ions) g = 6.02x1023 ions = 6,793.3 gตัวอยา ง 2.11 จงคาํ นวณนํา้ หนกั เปนกรมั ของ O2 ทใี่ ชทําปฏิกริ ิยาพอดกี ับ C3H8 จาํ นวน 100 กรัม จากปฏกิ ิริยา C3H8(g) + 5O2(g) 3CO2(g) + 4H2O(g)วิธีคดิ การคํานวณไมอาจใชส มการ (2.4) ไดเ หมอื นตัวอยางที่ผานมา เน่อื งจากโจทยถ ามจาํ นวนกรมั ของO2 เมอื่ กําหนดจํานวนกรมั ของ C3H8ดังน้ัน สมการ (2.4) ใชค ํานวนจํานวนโมลของ C3H8 ระหวา ง กับ
ปรมิ าณสารสัมพันธ | 57 n = g MM 100 gn ของ C3H8 = 44.0 g/mol = 2.27 molจากปฏกิ ริ ยิ าพบวา C3H8 1 mol ทําปฏิกริ ิยาพอดกี บั O2 5 molดงั นัน้ เมื่อมี C3H8 2.27 mol จะตอ งใช O2 เทา กบั (2.27 mol)x5 = 11.3 mol ข้นั ตอนตอไป คอื คํานวณจํานวนโมลของ O2 เปนน้าํ หนัก (กรัม) ของ O2 โดยใชค วามสัมพนั ธ กบั (หรือสมการ 2.2) n = g MM g O2 = n x MM g O2 = (11.3 mol)(32.0 g/mol) = 361.6 gการคํานวณอาจแสดงเปนความสมั พันธร ะหวา ง O2 กบั C3H8 ไดด ังนี้ 100 g C3H8 mol C3H8 mol O2 g O2g O2= 100 g C3H8x 1 mol C3H8 5 mol O2 32.0 g O2 = 361.6 g 44.0 g C3H8 1 mol C3H8 1 mol O2การคาํ นวณปรมิ าณสมั พันธ สมการเคมที ่ดี ลุ แลว แสดงใหทราบความสัมพันธระหวางปริมาณของสารตา งๆ ในปฏกิ ริ ยิ าเคมี โดยจะพิจารณาความสมั พนั ธของจาํ นวนโมลของสารเปนสําคัญ สวนจะมีนา้ํ หนกั เปน เทา ใด มจี ํานวนโมเลกลุเปนเทาใด หรือมีปรมิ าตรกล่ี ิตรที่ STP นั้น สามารถคาํ นวณโดยอาศัยจํานวนโมลของสารในสมการเคมีที่ดุลแลวตามหลกั สามเหลย่ี มโมล การคํานวณปริมาณสารสัมพันธใ นสมการเคมีทําไดหลายวิธี ข้ึนอยกู ับความถนัดของแตละคน บางวิธีอาจมหี ลายข้ันตอน บางวิธที ําไดโ ดยขนั้ ตอนเดยี ว อาจสรปุ หลักในการคาํ นวณแตล ะวิธี ดังน้ี 1) วิธโี มลสมั พนั ธ วธิ ีโมลสัมพันธ (mol correlation) เปนวิธีพื้นฐานในการคํานวณปริมาณสัมพันธในสมการเคมี ซึ่งเปน การคํานวณทีละขน้ั โดยอาศยั การเปรียบเทียบอตั ราสวนจํานวนโมลของสารทีเ่ กย่ี วของกนั เปนสําคัญ โดยเริ่มตนคํานวณหาจํานวนโมลของสารที่โจทยกําหนดน้ําหนัก หรือปริมาตร หรืออนุภาค(แลว แตกรณี) ตามหลักความสัมพันธจํานวนโมลกบั นํ้าหนัก จาํ นวนอนภุ าคและปรมิ าตร เม่ือสามารถหาจํานวนโมลของสารท่ีโจทยกําหนดไดแลว จึงเทียบเปนจํานวนโมลของสารท่ีตอ งการตามความสัมพันธระหวางอัตราสวนจาํ นวนโมล (mol ratio) ของสารน้ันๆ เมื่อทราบจํานวนโมลของสารที่ตองการ จึงคํานวณเปน น้าํ หนกั หรือเปนอนภุ าค หรือเปนปรมิ าตร (แลวแตกรณ)ี โดยอาศยั สามเหลยี่ มโมล แนวคิดการคาํ นวณวิธีโมลสัมพนั ธ แสดงในภาพที่ 2.5 โดยสมมติ โจทยกาํ หนดนํา้ หนักของ A มาจะตอ งเปลี่ยนน้าํ หนักใหเปน จํานวนโมล A โดยอาศัยสามเหลี่ยมโมล และเม่อื ไดจํานวนโมล A แลวจะ
58 | เคมีสําหรับวิศวกร (02-411-103)เห็นวาจํานวนโมล A สัมพันธกับจํานวนโมล B ตามอัตราสวนจํานวนโมล เม่ือทราบจํานวนโมล Bสามารถคํานวณหาน้ําหนัก หรือเปนอนุภาค หรือเปนปริมาตร (แลวแตกรณี) ของสาร B โดยอาศัยสามเหลี่ยมโมลสมมตสิ มการเคมี aA bB นาํ้ หนัก A อนุภาค A mol A ปริมาตร A อนภุ าค B mol ratio ของ B ตอ A คอื b a mol B ปรมิ าตร B น้ําหนกั B ภาพที่ 2.5 แนวคิดการคํานวณวิธีโมลสัมพนั ธตวั อยาง 2.12 ถา ตอ งการเผาไหมแ กส CH4 ปริมาตร 900 ลิตรใหสมบูรณ ท่ี STP ปฏกิ ิรยิ าทเ่ี กดิ ข้นึ CH4(g) + 2O2(g) CO2(g) + 2H2O(g) ก) จะตองใชแ กส O2 อยางนอ ยกีก่ รมั ข) ถาใช O2 มากเกินพอจะเกดิ แกส CO2 ก่ีกรมั และกี่โมเลกุลวธิ คี ดิ การแกปญ หาโจทยโดยวิธีโมลสมั พนั ธ ซึง่ เปน การคาํ นวณทลี ะขน้ั โดยเริ่มท่ีหาจํานวนโมลของ CH4 ก) คาํ นวณนํ้าหนกั ของ O2แนวคดิ x 32.0 g/mol 22.4 L 900 L CH4 mol CH4 mol O2 g O2 mol ratio = 2/1 ข้นั ท่ี 1 คํานวณจาํ นวนโมลของ CH4 ท่ีมีปริมาตร 900 L จากสมการ (2.3) n ของ CH4= 900 L = 40.2 mol 22.4 L ขนั้ ที่ 2 เทียบจํานวนโมลในปฏิกริ ยิ า พบวา CH4 1 mol ทาํ ปฏิกิริยาพอดีกบั O2 2 mol ดังนน้ั จาํ นวนโมลของ O2 ที่ตองใช = 2 x 40.2 = 80.4 mol 1 ขนั้ ท่ี 3 คาํ นวณกรมั ของ O2 (มวลโมเลกลุ O2=32.0 g/mol) กรมั ของ O2 = (80.4 mol)(32.0 g/mol) = 2,571.5 g
ปรมิ าณสารสัมพันธ | 59 ดังนั้น ตองใช O2 อยางนอย 2,571.5 กรัมจึงจะเผาไหม CH4 ปริมาตร 900 ลิตร ไดอยางสมบรู ณ ข) ถา ใช O2 มากเกินพอ จะเกิด CO2 ก่ีกรัม x 44.0 g/molแนวคิด 22.4 g CO2 900 L CH4 mol CH4 mol CO2 mol ratio = 1/1 molecules CO2จากปฏิกริ ยิ า x 6.02x1023ขนั้ ท่ี 1 คาํ นวณจาํ นวนโมลของ CH4 ที่มปี ริมาตร 900 L จากสมการ (2.3) n ของ CH4 = 900 L = 40.2 mol 22.4 Lขั้นท่ี 2 ถา ใช CH4 1 mol จะเกดิ CO2 1 mol (เน่ืองจากอตั ราสวนจาํ นวนโมลระหวาง CH4 และCO2 เปน 1:1) ดังนั้น เมอ่ื มี CH4 40.2 mol จะเกิด CO2 = 40.2 molขัน้ ท่ี 3 คาํ นวณน้าํ หนกั ของ CO2 ทเี่ กดิ ข้นึ (มวลโมเลกลุ CO2=44.0 g/mol) g CO2 = (40.2 mol)(44 g/mol) = 1,767.9 gดงั นน้ั ถา เผา CH4 ปริมาตร 900 L จะเกดิ CO2 เทากับ 1,767.9 g ขั้นที่ 4 จํานวนโมเลกุลของ CO2 ที่เกิดข้ึน คาํ นวณไดจาก N = (40.2 mol)(6.02x1023 molecules) = 2.42x1025 molecules ดังนัน้ ถาเผา CH4 ปริมาตร 900 L จะเกดิ CO2 เทากับ 2.42x1025 molecules 2) วธิ แี ฟกเตอรเ ปลี่ยนหนว ย วิธีแฟกเตอรเปลี่ยนหนวย (conversion factor) ในการคํานวณปริมาณสารสัมพันธเปนการคาํ นวณโดยอาศัยแฟกเตอรเปลีย่ นหนวยของความสัมพันธระหวางจํานวนโมลกับน้ําหนัก จาํ นวนอนุภาคและปริมาตรของแกส ดงั ตารางที่ 2.8ตารางที่ 2.8 แฟกเตอรเ ปล่ยี นหนว ยเกย่ี วกบั การคาํ นวณทส่ี มั พันธก ับจาํ นวนโมลความสมั พนั ธ แฟกเตอรเ ปลี่ยนหนวยโมลกับนา้ํ หนกั 1 mol หรอื MMโมลกับจาํ นวนอนุภาค MM 1 mol 6.02x1023 1 mol หรือ 1 mol 6.02x1023
60 | เคมีสาํ หรับวิศวกร (02-411-103) โมลกับปรมิ าตรของแกส (ท่ี STP) 1 mol หรอื 22.4 L 22.4 L 1 mol วิธีการเทียบหนวยจะอาศัยแฟกเตอรเปล่ียนหนวยของแตละความสมั พนั ธเทียบหนว ยท่ตี องการหา เชน ถาตองการทราบวา เหลก็ (Fe) 10 กรัมมีกโ่ี มล แฟกเตอรเปลยี่ นหนว ยคอื โมลกับน้ําหนกั จากตารางที่ 2.8 จะมีแฟกเตอรเ ปลี่ยนหนวยอยู 2 ตัวคือ 1 mol และ MM ดังนัน้ การเลอื กแฟกเตอร MM 1 molเปลี่ยนหนวยในการคํานวณจะตอ งเลือกแฟกเตอรเปล่ียนหนวยทีม่ ีตวั สวนเหมือนกับหนว ยของตัวแปรที่โจทยใหมา กรณนี กี้ ารคาํ นวณจะได n ของ Fe = 10 g Fe x 1 mol Fe = 0.18 mol 55.8 g Fe แตถาตองการทราบวา เหล็ก (Fe) 10 กรัมมีกี่อะตอม จากตารางท่ี 2.8 จะไมมีแฟกเตอรเปลี่ยนหนวยระหวางนํ้าหนักกับอนุภาค (อะตอม) โดยตรง ดังนั้นจึงตองใชแ ฟกเตอรเปล่ียนหนวย 2สว นคือแฟกเตอรเ ปล่ยี นหนวยโมลกบั นาํ้ หนักและโมลกบั จํานวนอนภุ าคตอเนื่องกัน คอื atom Fe = 10 g Fe x 1 mol Fe 6.02x1023 atoms Fe = 3.34x1024 atoms 55.8 g Fe 1 mol Fe ตวั อยา ง 2.12 (คาํ นวณโดยวิธแี ฟกเตอรเ ปลี่ยนหนวย)วธิ ีคดิ ก) คาํ นวณน้ําหนกั ของ O2 g O2= 900 L CH4x 1 mol CH4 2 mol O2 32.0 g O2 = 2,571.5 g O2 22.4L CH4 1 mol CH4 1 mol O2 ข) คํานวณน้าํ หนกั ของ CO2 g CO2= 900 L CH4x 1 mol CH4 1 mol CO2 44.0 g CO2 = 1,767.9 g CO2 22.4 L CH4 1 mol CH4 1 mol CO2 คาํ นวณจาํ นวนโมเลกุลของ CO2 molecule CO2 = 900 L CH4x 1 mol CH4 1 mol CO2 6.02x1023 molecules CO 2 22.4 L CH4 1 mol CH4 1 mol CO2 = 2.42x1025 molecules 3) วิธีเทียบบัญญตั ไิ ตรยางค วธิ ีเทียบบญั ญัติไตรยางค (rule of three) เปนการจับคูความสัมพันธสามตัวแปรแลวหาตวัแปรที่สี่โดยการเทียบบัญญัติไตรยางค โดยวิธีนี้ตองเขียนความสัมพันธระหวางจํานวนโมลกับน้ําหนักจาํ นวนอนุภาค และปริมาตรของแกส เปนตัวเลข 4 บรรทัด ตัวเลขในแตละบรรทัดของสารทั้งหมดมีความสมั พันธก นั ดังนี้
ปรมิ าณสารสัมพันธ | 61 AB CD สมการทีด่ ลุ แลว Zn(s) + 2HCl(aq) ZnCl2(aq) + H2(g) จาํ นวนโมล (mol) 12 11 นา้ํ หนกั (g) จํานวนอนุภาค 65.4 2x36.5 136.0 2.00 ปรมิ าตรที่ STP (L) 6.02x1023 2x6.02x1023 6.02x1023 6.02x1023 -- - 22.4หลกั การเขียนตวั เลข 4 บรรทดั ประกอบดว ย จํานวนโมล () เขียนตามเลขสมั ประสทิ ธ์จิ าํ นวนโมล น้าํ หนกั () คาํ นวณจากความสมั พันธระหวางจาํ นวนโมลกบั น้ําหนกั โดยอาศยั สามเหล่ียมโมล จํานวนอนภุ าค () คาํ นวณจากความสมั พนั ธร ะหวา งจํานวนโมลกับจํานวนอนภุ าค ปรมิ าตรที่ STP () คํานวณจากความสมั พันธร ะหวางจํานวนโมลกบั ปรมิ าตรของแกส ในการคํานวณปริมาณสารในสมการเคมีจะอาศัยความสัมพันธทั้ง 4 บรรทัด มาเทียบบญั ญตั ิไตรยางค โดยจะพจิ ารณาจับเปน คูตามตัวแปรท่โี จทยก ําหนดและท่ีตอ งการถามตวั อยา ง ถา ใช Zn 10.0 กรมั จะเกิดแกส H2 กลี่ ติ รแนวคดิ ใหจ บั ครู ะหวา ง A ----------------- Dจะไดค วามสัมพนั ธคือ Zn 65.4 g จะเกิด H2 22.4 L ถา ใช Zn 10.0 g จะเกิด H2 = (22.4 L)(10 g) = 3.42 L 65.4 g/molตัวอยาง 2.12 (คํานวณโดยวิธีเทยี บบญั ญตั ไิ ตรยางค)วธิ ีคดิ เขียนความสมั พนั ธท ง้ั 4 บรรทดั ดงั นี้ ABC D ปฏกิ ริ ยิ าที่ดลุ แลว CH4(g) + 2O2(g) CO2(g) + 2H2O(g) จาํ นวนโมล 1 2 1 2 น้ําหนัก (g) 16.0 2x32.0 44.0 2x18.0 จาํ นวนอนภุ าค 6.02x1023 2x6.02x1023 6.02x1023 2x6.02x1023 ปรมิ าตรที่ STP (L) 22.4 2x22.4 22.4 2x22.4ก) คํานวณน้าํ หนกั O2 เมอ่ื โจทยก าํ หนดปรมิ าตรของ CH4 ดังนนั้ ใหจ ับครู ะหวา ง A กบั Bโดยจากความสมั พนั ธในตาราง CH4 ปรมิ าตร 22.4 Lจะตองใช O2 = 64.0 g
62 | เคมีสําหรบั วศิ วกร (02-411-103)ถามี CH4 900 L จะตอ งใช O2 = (900 L)(64.0 g) = 2,571.5 g 22.4 Lข) คํานวณน้าํ หนัก CO2 เมอื่ โจทยก ําหนดปริมาตรของ CH4 ดังน้นั ใหจ ับคูระหวา ง A กบั CโดยจากความสัมพันธในตารางCH4 ปรมิ าตร 22.4 L จะเกิด CO2 = 44.0 gถามี CH4 900 L จะเกิด CO2 = (900 L)(44.0 g) = 1,767.9 g 22.4 Lคาํ นวณจํานวนโมเลกลุ CO2 เมอ่ื โจทยกาํ หนดปรมิ าตรของ CH4 ใหจ ับครู ะหวาง A กับ Cโดยจากความสมั พนั ธในตารางCH4 ปรมิ าตร 22.4 L จะเกิด CO2 = 6.02x1023 moleculesถา มี CH4 900 L จะเกิด CO2 = (900 L)(6.02x1023) = 2.42x1025 molecules 22.4 Lตัวอยาง 2.13 ปฏิกิริยา CaC2(s) + 2H2O(l) Ca(OH)2(aq) + C2H2(g) ถา ใช CaC2 250 กรัม ทําปฏิกริ ยิ ากับน้ําทม่ี ปี ริมาณมากเกนิ พอ จงคํานวณหา ก) C2H2 เกดิ ขน้ึ กีโ่ มลและคดิ เปน กี่กรมั x มวลโมเลกุล C2H2 ข) C2H2 เกดิ ขน้ึ กี่ลติ รที่ STP ค) H2O ทําปฏิกิริยาไปกโ่ี มลและกี่กรมั เกดิ mol C2H2 g C2H2วิธีคิด มวลโมเลกุล CaC2CaC2 250 g mol CaC2 L C2H2 x 22.4 L x มวลโมเลกุล H2O mol H2O (ใช 2 เทาของ mol CaC2) g H2Oการคาํ นวณวิธีท่ี 1 วิธโี มลสมั พันธคาํ นวณจํานวนโมลของ CaC2 จากสมการ (2.2)n ของ CaC2 = 250 g = 3.90 mol 64.1 g/molก) จากสมการจาํ นวนโมลระหวาง CaC2 และ C2H2 เปน 1:1ดงั นั้น เมอ่ื ใช CaC2 3.90 mol จะเกิด C2H2 3.90 mol เชนกนัคดิ เปนกรัม C2H2 = (3.90 mol)(26.0 g/mol) = 101.4 gข) ปริมาตร C2H2 ทเ่ี กิดข้ึน คาํ นวณจากจํานวนโมลคดิ เปนปริมาตร C2H2 = (3.90 mol)(22.4 L) = 87.4 Lค) จากสมการจํานวนโมลระหวาง CaC2 และ H2O เปน 1:2ดงั นั้น ถามี CaC2 3.90 mol จะตอ งทําปฏิกิริยาพอดกี บั H2O = 3.90x2 = 7.80 molคดิ เปนกรัม H2O = (7.80 mol)(18.0 g/mol) = 140.4 g
ปรมิ าณสารสมั พันธ | 63การคํานวณวธิ ีท่ี 2 วธิ ีแฟกเตอรเ ปลยี่ นหนวยก) คํานวนจํานวนโมล C2H2n ของ C2H2 = 250 g CaC2x 1 mol CaC2 = 3.90 mol 64.1 g CaC2คาํ นวนกรัม C2H2g C2H2 = 250 g CaC2x 1 mol CaC2 26.0 g C2H2 = 101.4 g 64.1g CaC2 1 mol C2H2ข) คํานวณปรมิ าตร C2H2L C2H2 = 250 g CaC2x 1 mol CaC2 22.4 L C2H2 = 87.4 L 64.1g CaC2 1 mol C2H2ค) คาํ นวณจํานวนโมล H2On ของ H2O = 250 g CaC2x 1 mol CaC2 2 mol H2O = 7.80 mol 64.1g CaC2 1 mol CaC2คาํ นวณจาํ นวนกรมั H2Og H2O = 250 g CaC2x 1 mol CaC2 2 mol H2O 18.0 g H2O = 140.4 g 64.1g CaC2 1 mol CaC2 1 mol H2Oการคาํ นวณวิธีท่ี 3 วธิ เี ทียบบัญญตั ไิ ตรยางคจากสมการเคมที ่ดี ุลแลว สรปุ ความสมั พนั ธไ ดดงั นี้ AB C Dปฏิกริ ยิ าที่ดลุ แลว CaC2(s) + 2H2O(l) Ca(OH)2(aq) + C2H2(g) จาํ นวนโมล (mol) 1 2 1 1 นํา้ หนกั (g) 64.1 2x18.0 74.1 26.0 จํานวนอนุภาค 6.02x1023 2x6.02x1023 6.02x1023 6.02x1023 ปรมิ าตรที่ STP (L) - - - 22.4โจทยกาํ หนด น้ําหนกั ของ CaC2 ท่ีใชในการเกดิ ปฏกิ ิริยาเทากบั 250 กรัมก) C2H2 เกิดขึน้ กโี่ มลและคดิ เปน กกี่ รัมคาํ นวณจํานวนโมลของ CaC2 จากสมการ (2.2) n ของ CaC2= 250 g CaC 2 = 3.90 mol 64.1 gโมล C2H2 เกิดข้ึนเทากบั โมล CaC2 ที่ใช เนื่องจากอัตราจํานวนโมลระหวาง CaC2 กับ C2H2เปน 1:1 ดงั น้นั จํานวนโมลของ C2H2 ที่เกดิ ข้ึน = 3.90 mol
64 | เคมสี ําหรบั วศิ วกร (02-411-103) นํา้ หนักเปน กรัมของ C2H2 ทีเ่ กดิ ขน้ึ คิดจับคูเทียบบญั ญัติไตรยางคระหวา งบรรทัด A กับD จะไดดังน้ี จากปฏกิ ิริยาใช CaC2 64.1 g จะเกดิ C2H2 26.0 g ถา ใช CaC2 250 g จะเกิด C2H2 = (250 g)(26.0 g) = 101.4 g 64.1 gข) C2H2 เกดิ ขึ้นกีล่ ติ รที่ STP ปริมาตร C2H2 เกิดข้ึน คดิ โดยเทียบระหวา ง CaC2 บรรทัดที่ A กบั D ไดด ังน้ี จากปฏิกิริยาใช CaC2 64.1 g เกิด C2H2 22.4 L ถา ใช CaC2 250 g เกดิ C2H2 = (250 g)(22.4 L) = 87.4 L 64.1gค) H2O ทําปฏิกริ ิยาไปกี่โมลและกกี่ รมั คาํ นวณเทียบจากจาํ นวนโมลของ H2O ในบรรทัดที่ B ดงั นนั้ ถามี CaC2 3.90 mol จะตอ งทาํ ปฏกิ ริ ยิ าพอดกี บั H2O 3.90x2 = 7.80 mol คาํ นวณน้าํ หนักเปนกรัมของ H2O = (7.80 mol)(18.0 g/mol) = 140.4 gตัวอยา ง 2.14 พื้นผวิ โลหะ Al ทาํ ปฏิกิรยิ ากับ O2 เกิดโลหะออกไซดป องกนั การผุกรอน ปฏกิ ิรยิ าท่ีเกดิ ขึน้คอื 4Al(s) + 3O2(g) 2Al2O3(s) ก) จงหาวาตองใช O2 ก่ีกรมั ในการทําปฏกิ ริ ยิ ากับ Al 0.30 โมล ข) เกดิ Al2O3 ขึน้ กกี่ รัม ถาใช O2 12.5 กรมัวธิ คี ดิ การคาํ นวณวธิ แี ฟกเตอรเปลีย่ นหนวยก) g O2= 0.30 mol Al x 3 mol O2 32.0 g O2 = 7.2 g 4 mol Al 1 mol O2ข) g Al2O3= 12.5 g O2x 1 mol O2 2 mol Al2O3 102.0 g Al2O3 = 26.6 g 32.0 g O2 3 mol O2 1 mol Al2O32.2 สมการเคมี สมการเคมี (chemical equation) คอื กลุมสัญลักษณท ี่เขียนแทนการเกิดปฏิกิริยาเคมี ซึง่ บอกใหทราบชนิดของสารท่ีเขาทําปฏิกิริยากัน เรียกวา สารต้ังตน และชนิดของสารที่เกิดขึ้นเรียกวา สารผลิตภัณฑ สมการเคมีเขียนสารตั้งตนไวทางซายมือและสารผลิตภัณฑไวทางขวามือของลูกศรที่แสดงทศิ ทางของการเกิดปฏกิ ิริยา สมการเคมีที่สมบูรณจะตอ งมีจํานวนอะตอมของธาตุชนิดเดยี วกันท้ังสองขางสมการเทากัน โดยผานขน้ั ตอนทเี่ รียกวา การดลุ สมการเคมี สมการเคมีโดยท่วั ไปมสี ว นประกอบคือ - สารตั้งตน (reactant) คอื สารท่เี ขาทาํ ปฏิกิรยิ าเคมีกนั ซงึ่ อาจมีหนงึ่ สารหรอื มากกวา กไ็ ด - สารผลติ ภัณฑ (product) คือสารทีเ่ กดิ จากปฏิกริ ยิ าเคมีของสารตั้งตน ซ่งึ อาจเกิดข้ึนหนง่ึสารหรอื มากกวาก็ได
ปริมาณสารสัมพันธ | 65- เงื่อนไข (condition) ซ่ึงเปนสภาวะตา งๆ ทกี่ ําหนดในปฏิกริ ิยาเคมีใดปฏิกริ ยิ าหนึ่ง เชนตัวเรง ปฏกิ ริ ิยา อณุ หภูมิ ความดัน โดยเง่ือนไขเหลาน้ี เขยี นบอกไวข างบนหรอื ขางลา งลกู ศรโดยทั่วไปการเขยี นสมการเคมี คือ สารตัง้ ตน สารผลิตภณั ฑสมมติ A(s) + B(l) C(g) + D(aq) X(aq) + Y(aq) Z(g)การเขียนสมการแสดงปฏิกิริยาเคมีท่สี มบรู ณอ าจจะมีสัญลักษณอนื่ ๆ ที่เกี่ยวของทอี่ ธิบายสมการเคมี ดังตอ ไปน้ี แสดงทศิ ทางการเกดิ ปฏกิ ริ ิยาไปขางหนา แสดงปฏิกิริยาผันกลบั ได (ปฏิกิรยิ าดําเนนิ ไปขา งหนา และยอ นกลบั )+ ทําปฏกิ ิริยากัน(s) สถานะของสารเปน ของแข็ง (solid)(l) สถานะของสารเปนของเหลว (liquid) เขียนทา ยสูตรเคมเี พือ่ บอกสถานะของสาร(g) สถานะของสารเปน แกส (gases) กอนและหลงั ทําปฏิกริ ิยา(aq) สถานะของสารเปนละลาย (aqueous) การแปลความหมายของสมการเคมีจะบอกถึงความสัมพันธที่เรียกวา ปริมาณสัมพันธระหวางจาํ นวนโมลของสารต้ังตน ท่ีเขา ทาํ ปฏิกริ ิยาและสารผลิตภัณฑท่เี กดิ ขนึ้ ได นําไปสูก ารคาํ นวณหาปริมาณของสารผลิตภัณฑท่ีเกดิ ข้นึ หรอื ปรมิ าณสารตัง้ ตนท่ใี ชไ ปหรอื ท่ีเหลือหลงั จากทาํ ปฏิกิรยิ า ตวั อยางปฏกิ ริ ิยาการเผาไหมเชือ้ เพลิง CH4(g) + 2O2(g) CO2(g) + 2H2O(g) จากปฏิกิริยานแ้ี ปลความหมายไดดังน้ี “แกสมเี ทน (CH4) 1 โมลทําปฏิกิรยิ าพอดกี ับแกส ออกซเิ จน(O2) 2 โมล เกดิ ผลิตภณั ฑเ ปนแกสคารบอนไดออกไซด (CO2) จาํ นวน 1 โมล และเกดิ เปน ไอน้าํ จํานวน2 โมล” การแปลความหมายนอกจากจะดคู วามพันธจ ํานวนโมลของสารในสมการเคมแี ลว ยงั สามารถแปลเปนปรมิ าณสาร คือนํ้าหนกั อนุภาค หรือปรมิ าตรของแกส ทสี่ ัมพันธก ับจํานวนโมลไดดวยตวั อยา ง 2.15 การแปลความหมายของสมการเคมขี องความสัมพันธเ ชงิ โมลและแสดงความสัมพนั ธของจํานวนโมลกบั นํ้าหนกั จาํ นวนอนภุ าคlและปริมาตรของสารวิธคี ดิ อาศัยการเขยี นความสมั พันธ 4 บรรทัด ดังน้ี Al(s) + 6HCl(aq) 2AlCl(aq) + 3H2(g)จํานวนโมล (mol) 1 6 2 3นํา้ หนัก(g) 27 6x36.5 2x62.5 3x2 6.02x1023 6x6.02x1023 2x6.02x1023 3x6.02x1023จาํ นวนอนุภาคปรมิ าตร (L) ท่ี STP - - - 3x22.4
66 | เคมีสําหรับวิศวกร (02-411-103) Al จาํ นวน 1 โมลทําปฏกิ ิริยาพอดีกับ HCl จาํ นวน 2 โมล เกิดผลิตภณั ฑเ ปน AlCl จํานวน 1 โมลและเกดิ เปน แกส H2 จาํ นวน 3 โมล2.2.1 ประเภทสมการเคมี ปฏิกิรยิ าเคมีเกดิ ขน้ึ โดยการเปลี่ยนแปลงสารต้งั ตน เปนสารผลิตภณั ฑ ซงึ่ อาจเกิดกลไกท่แี ตกตา งกนั โดยสว นใหญก ารแบงชนิดของปฏิกริ ยิ าเคมี โดยอาศยั หลกั 2 ประการคือ 1) ปฏกิ ิริยาเคมีทม่ี กี ารเปลีย่ นแปลงสตู รเคมขี องสารตงั้ ตนหรือสารผลติ ภัณฑ แบงออกเปน 1.1) ปฏิกริ ิยาการรวมตัว (combination reaction) เปนปฏิกริ ิยาเคมีท่ีเกดิ จากสารต้ังตนสองชนดิ มารวมตัวกนั ไดเปน สารผลิตภัณฑช นิดเดยี ว รปู แบบท่วั ไปของสมการเคมี คอื A + B ABตัวอยางเชน 2H2(g) + O2(g) 2H2O(l) C(s) + O2(g) CO2(g) 1.2) ปฏกิ ริ ยิ าการสลายตัว (decomposition reaction) เปนปฏกิ ิริยาที่สารตง้ั ตน ชนิดเดียวสลายตัวเปนสารผลติ ภัณฑส องชนดิ ขน้ึ ไป รปู แบบทัว่ ไปของสมการเคมี คือ AB A + Bตวั อยางเชน CaCO3(s) CaO(s) + CO2(g) 2KClO3(s) 2KCl(s) + 3O2(g) (NH4)2CO3(s) 2NH3(g) + CO2(g) + H2O(g) 1.3) ปฏิกิริยาการแทนท่ี (substitution reaction หรือ replacement reaction) เปนปฏกิ ิรยิ าทีธ่ าตชุ นิดหน่ึงเขา ไปแทนทีธ่ าตุหนึ่งในสารประกอบ ทําใหเปล่ียนเปนสารประกอบใหมขึ้น แบงออกเปน 2 ประเภท คือ 1.3.1) ปฏิกิริยาการแทนท่ีครั้งเดียว (single replacement reaction) รปู แบบท่ัวไปของสมการเคมี คอื AB + Y AY + Bตวั อยางเชน Zn(s) + 2HCl(aq) ZnCl2(aq) + H2(g) 2K(s) + Pb(NO3)2 2KNO3(aq) + Pb(s) Sn(s) + 2AgNO3(aq) Sn(NO3)2(aq) + 2Ag(s) 1.3.2) ปฏิกิริยาการแทนทส่ี องคร้ัง (double replacement reaction) หรือปฏิกิริยาแลกเปลี่ยน (exchange reaction) เปนปฏิกิรยิ าที่เกิดจากสารประกอบสองชนิดมาทาํ ปฏิกิริยากนั แลวเกดิ การแลกเปล่ียนอะตอมหรอื กลมุ อะตอมซ่งึ กันและกัน ไดเ ปนสารประกอบใหมเ กิดขึ้น รปู ท่ัวไปแบบของสมการเคมีคอื AX + BY AY + BX ปฏกิ ริ ยิ าการแทนทีส่ องครัง้ ท่เี กดิ ตะกอน เรยี กวา ปฏิกริ ิยาการตกตะกอน (precipitation reaction)เมอ่ื เกดิ การแทนทีแ่ ลว ทําใหเกิดสารทีไ่ มละลายนาํ้ตัวอยา งเชน AgNO3(aq) + NaCl(aq) AgCl(s) + NaNO3(aq) Na2CO3(aq) + CaCl2(aq) 2NaCl(aq) + CaCO3(s)
ปรมิ าณสารสมั พนั ธ | 67K2S(aq) + MgSO4(aq) K2SO4(aq) + MgS(s)1.4) ปฏิกริ ิยาสันดาปหรือการเผาไหม (combustion reaction) เปนปฏกิ ิรยิ าการเผาไหมระหวางสารประกอบกับออกซิเจน (O2) โดยจะการคายความรอนหรือใหแสงสวาง รปู แบบทั่วไปของสมการเคมที ว่ั ไปคอื CnH2n+2 + (3n+1) O2(g) nCO2(g) + (n+1)H2O(g) 2ตัวอยา งเชน CH4(g) + 2O2(g) CO2(g) + 2H2O(g) 1.5) ปฏกิ ริ ยิ าสะเทิน (neutralization reaction) เปน ปฏกิ ิรยิ าทเ่ี กิดจากทก่ี รดทาํ ปฏิกริ ยิ ากบัเบสแลวไดเ ปน เกลอื กับนํ้า เชน กรด HCI ทาํ ปฏิกิรยิ ากบั NaOH ไดเ กลอื NaCl กับ H2O รูปแบบทั่วไปของสมการเคมี คือ กรด + เบส เกลือ + นํา้ตัวอยางเชน HCl(aq) + NaOH(aq) NaCl(aq) + H2O(aq) 2) ปฏกิ ริ ยิ าเคมีท่ีพิจารณาจากเลขออกซเิ ดชนั ของสาร แบงออกเปน 2 ประเภทใหญๆ 2.1) ปฏิกิริยาเคมีทไ่ี มมกี ารถา ยโอนอเิ ล็กตรอน (non-redox reaction) คอื ปฏิกิรยิ าเคมีทีม่ ีการสลับเปล่ยี นไอออนแตไ มมีการเปลี่ยนแปลงเลขออกซเิ ดชันของธาตุ ไดแ ก 2.1.1) ปฏกิ ิริยาของสารละลายกรดกบั เบส เกิดเปน เกลอื กับนาํ้ ดงั สมการ Ca(OH)2(aq) + H2SO4(aq) CaSO4(aq) + 2H2O(l) H2CO3(aq) + 2NaOH(aq) Na2CO3(aq) + 2H2O(l) 2.1.2) ปฏิกริ ิยาการเกดิ ตะกอน เชน AgNO3(aq) + KCl(aq) KNO3(aq) + AgCl(s) 2.2) ปฏิกิริยาเคมีท่ีมีการถายโอนอิเล็กตรอน หรือเรียกวา ปฏิกิริยารีดอกซ (redoxreaction) คอื ปฏกิ ิรยิ าเคมีทเี่ กิดขึน้ โดยมีอเิ ลก็ ตรอนจากสารหน่ึงถา ยโอนไปยังอกี สารหนง่ึ มผี ลทาํ ใหเ ลขออกซิเดชันของอะตอมในสารเหลา นนั้ มคี าเปล่ยี นไป ปฏิกิริยารดี อกซ ประกอบดวย 2 ปฏิกริ ิยายอยคอื ปฏิกริ ิยาออกซิเดชนั (oxidation reaction) คอื ปฏิกิริยาท่ีมีการใหอ ิเล็กตรอน สารที่เกิดปฏกิ ิริยาออกซเิ ดชนั จะมเี ลขออกซิเดชันเพิ่มขึ้น เรียกสารที่เกดิ ปฏิกิริยาออกซิเดชันวา สารถกู ออกซิไดซ (oxidizedagent) เชน Cu(s) Cu2+(aq) + 2e- เลขออกซิเดชัน 0 +2 ปฏิกิริยารีดักชัน (reduction reaction) คือปฏิกิริยาท่ีมีการรับอิเล็กตรอน สารท่ีเกิดปฏิกิริยารีดกั ชัน จะมีเลขออกซเิ ดชนั ลดลง เรยี กสารท่ีเกดิ ปฏกิ ริ ิยารีดักชันวา สารถูกรดี วิ ซ (reduced agent) เชนเลขออกซเิ ดชัน Ag+(aq) + e- Ag(s) +1 0
68 | เคมสี ําหรับวิศวกร (02-411-103) สมการเคมีทีเ่ ขียนในปฏิกิริยาออกซิเดชนั หรือปฏิกริ ิยารีดักชัน เรียกวาคร่ึงปฏิกิริยา ซง่ึ ปฏิกิริยาถายเทอิเล็กตรอนจะเกิดข้ึนไดสมบูรณตอเม่ือตองนําครึ่งปฏิกิริยาทั้งสองมารวมกัน โดยจํานวนอิเล็กตรอนทเี่ กดิ การถายเทของทงั้ สองปฏกิ ิรยิ าตองเทา กนั ดังนัน้ 2Ag+(aq) + 2e- 2Ag(s) เมือ่ เขยี นเปน ปฏิกริ ยิ ารีดอกซ ไดดงั สมการ Cu(s) + Ag+(aq) Cu2+(aq) + 2Ag(s) สรปุ ไดด ังน้ี Cu เปน สารถกู ออกซไิ ดซ เน่อื งจากการปฏกิ ริ ยิ าออกซิเดชัน (เลขออกซิเดชนั เพ่ิมขนึ้ ) Ag+ เปนตัวออกซไิ ดซ (oxidizing agent) คอื สารที่ใหอิเลก็ ตรอนอีกฝา ยหน่งึ (จะเปนตัวเพม่ิ เลขออกซิเดชันใหก ับอกี ฝา ยหนง่ึ ) Ag+ เปนสารถกู รดี ิวซ เนื่องจากการปฏิกริ ิยารดี กั ชนั (เลขออกซเิ ดชันลดลง) Cu เปนตัวรีดิวซ (reducing agent) คือสารรับอิเล็กตรอนจากอีกฝายหนึ่ง (จะเปนตัวลดเลขออกซิเดชันของอกี ฝา ยหนึ่ง)การเขียนสมการเคมี การเขียนสมการเคมสี ามารถเขียนได 2 แบบ คือ 1) สมการแบบโมเลกลุ (molecular equation) คอื สมการเคมีทแี่ สดงสูตรเคมีของสารท่ีเก่ียวของในปฏิกิริยาเคมเี ปน สตู รโมเลกุล โดยตอ งเขียนทุกธาตทุ ี่อยูในสตู รเคมไี วใ นสมการเคมี เชน N2(g) + 3H2(g) 2NH3(g) Pb(NO3)2(aq) + 2KI(aq) PbI2(s) + 2KNO3(aq) 2C4H10(g) + 13O2(g) 8CO2(g) + 10H2O(g) สมการแบบโมเลกุลทสี่ มบูรณจะตอ งดุลใหจ ํานวนอะตอมทางซายและทางขวาเทา กนั 2) สมการแบบไอออนิก (ionic equation) คือสมการเคมีท่ีแสดงเปน ไอออน (แคตไอออนและแอนไอออน) เฉพาะทเี่ กยี่ วของหรือท่เี กิดปฏิกริ ยิ าเคมีเทานัน้ แตถา เขียนไอออนทงั้ หมดทเี่ ก่ียวขอ งในปฏิกริ ิยาเคมี เรียกวา สมการไอออนกิ รวม (total ionic equation) แตถาเขียนเฉพาะไอออนทเี่ กิดการเปล่ียนแปลงเรียกวา สมการไอออนกิ สทุ ธิ (net ionic equation) เชน ปฏิกริ ิยาระหวาง AgNO3 และ BaCl2 จะได AgCl กับ Ba(NO3)2 เขียนสมการแบบไอออนกิ ดงั น้ี สมการไอออนกิ รวม : (2Ag+ + 2NO3-) + (Ba2+ + 2Cl-) 2AgCl(s) + Ba2+ + 2NO3- สมการไอออนกิ สทุ ธิ : Ag+(aq) + Cl-(aq) AgCl(s) การเขียนสมการแบบไอออนิกท่ีสมบูรณจะตอ งดุลท้ังจํานวนอะตอมและประจุไอออนใหเทากนั ทั้งสองขา งดวย หลกั ในการเขียนสมการแบบไอออนิกท่ีพอสรุปเปนแนวทางพืน้ ฐานไดคอื
ปรมิ าณสารสมั พนั ธ | 69 - สารทเ่ี ปน อิเลก็ โทรไลตแก (strong electrolyte) แตกตัวไดม าก ใหเขียนเปนไอออน (แคตไอออนและแอนไอออน) เชน NaOH เขยี นไดเ ปน Na+ และ OH- - สารที่เปน อิเล็กโทรไลตออน (weak electrolyte) แตกตัวไดน อย ใหเขียนเปนโมเลกลุ เชนCH3COOH - สารที่ไมเ ปนสารอเิ ล็กโทรไลต (non-electrolyte) ใหเขียนเปนโมเลกุล - สารท่ีไมล ะลายนํ้า (สถานะของแข็ง) และสารในสถานะแกส ใหเขียนเปน โมเลกุล - สมการไอออนิกสุทธิ ใหเขียนเฉพาะสารท่ีเกี่ยวของกบั การเปล่ียนแปลงทางเคมีเทาน้ันโดยละเวน ไอออนท่อี ยใู นรูปเดยี วกนั ทง้ั ทางซายและทางขวาของสมการ - สมการทส่ี มบูรณจะตอ งดลุ ท้ังจาํ นวนอะตอมและประจไุ ฟฟาตวั อยา งสมการแบบไอออนิก เปรยี บเทยี บกบั สมการแบบโมเลกลุ สมการแบบโมเลกลุ : Na2CO3(aq)+ H2SO4(aq) Na2SO4(aq) + H2O(aq) + CO2(g) สมการแบบไอออนิกรวม : (2Na++ CO32-) + (2H++ SO42-) (2Na+ + SO42-) + H2O + CO2 สมการแบบไอออนิกสทุ ธิ : CO32-(aq) + 2H+(aq) H2O(aq) + CO2(g)หรือ สมการแบบโมเลกุล : CH3COOH(aq) + NaOH(aq) CH3COONa(aq) + H2O(l) สมการแบบไอออนกิ รวม : CH3COOH(aq) + (Na+ + OH-) (CH3COO- + Na+) + H2O สมการแบบไอออนิกสุทธิ : CH3COOH(aq) + OH-(aq) CH3COO- (aq) + H2O(l)2.2.2 การดลุ สมการเคมี สมการเคมีนอกจากจะบอกชนิดของสารต้งั ตน และสารผลิตภณั ฑแ ลว สวนท่ีสาํ คัญของสมการเคมีคือเลขสัมประสิทธ์ิจํานวนโมล (mole coefficient) ท่ีแสดงหนาสูตรเคมีเพื่อบอกความสัมพันธเชิงโมลระหวางสารตัง้ ตนและสารผลติ ภณั ฑ เชน N2(g) + 3H2(g) 2NH3(g) Pb(NO3)2(aq) + 2KI(aq) PbI2(s) + 2KNO3(aq) 2C4H10(g) + 13O2(g) 8CO2(g) + 10H2O(g) เลขสัมประสิทธิ์จํานวนโมลของแตละปฏิกิริยาจะเปน ตัวเลขจํานวนเต็มที่ไดมาจากการดลุ สมการเคมี มีความหมายเปน จาํ นวนเทาของสารนนั้ การดุลสมการเคมี (chemical balance) คือการเติมตัวเลขสมั ประสิทธ์ิจาํ นวนโมลหนาสูตรเคมีเพื่อทาํ ใหจาํ นวนอะตอมของธาตุชนดิ เดียวกันทง้ั สองขางสมการเทากัน ข้ันตอนการดลุ สมการเคมีไมมกี ฎเกณฑทแ่ี นน อนตายตวั สวนใหญตอ งอาศยั การสังเกตและทดลองเติมตวั เลขสัมประสิทธ์ิจํานวนโมล อยา งไรก็ตาม แนวทางในการดุลสมการเคมี พอสรปุ ดงั นี้ 1) เขยี นปฏิกิริยา (เขยี นสูตรเคมีทถ่ี ูกตอ ง) โดยระบุสารตัง้ ตนท้งั หมดไวดา นซา ยและสารผลิตภณั ฑทงั้ หมดไวทางขวาของลูกศร 2) ดุลสมการเคมีโดยลองเติมตวั เลขสัมประสทิ ธ์หิ นาสตู รเคมที ี่จะทาํ ใหจ ํานวนอะตอมของธาตชุ นิดเดียวกนั ท้ังสองขา งของสมการเทากนั โดยเริม่ จาก
70 | เคมีสาํ หรับวศิ วกร (02-411-103) - ดุลอะตอมท่ีไมใ ช H หรอื O กอ น - ดลุ อะตอมธาตุท่เี ปนโลหะแลวตามดว ยอะตอมธาตุที่เปน อโลหะ - ดุลอะตอมธาตุ H หรือ O 3) ตรวจดูสมการเคมที ่ีไดด ลุ แลว จาํ นวนของอะตอมชนดิ เดยี วกันเทา กนั ทั้งสองขา งของสมการตวั อยา ง 2.16 การดลุ สมการเคมี Fe(s) + O2(g) Fe2O3(s)วิธคี ดิ ดลุ ท่อี ะตอมทีไ่ มใ ช H และ O กอน คอื Fe ซง่ึ ดา นซายมี 1 อะตอม ดา นขวามี 2 อะตอม ดังนน้ัตอ งใสเ ลขสมั ประสทิ ธด์ิ า นซายเปน 2 2Fe(s) + O2(g) Fe2O3(s) ดุล O ซงึ่ ดานซายมี 2 สวนดานขวามี 3 ใหเตมิ 3/2 หนา O2 2Fe(s) + 3/2 O2(g) Fe2O3(s) คณู ตลอดสมการดวย 2 เพื่อกําจัดเลขสัมประสิทธทิ์ เ่ี ปน เศษสวน 4Fe(s) + 3O2(g) 2Fe2O3(s)ตวั อยา ง 2.17 การดลุ สมการเคมี Na2O2 + H2O NaOH + O2วธิ ีคดิ ดุลทีอ่ ะตอมท่ไี มใ ช H และ O กอ น น่ันคือ Na โดยการเติม 2 หนา NaOH Na2O2 + H2O 2NaOH + O2 ดลุ อะตอม O ซงึ่ ดานซา ยมี 3 อะตอม สว นดา นขวามี 4 อะตอม ใหเ ตมิ 2 หนา H2O Na2O2 + 2H2O 2NaOH + O2 ดลุ อะตอม H ซึง่ ดานซา ยมี 4 อะตอม สว นดา นขวามี 2 อะตอม ใหเ ติม 4/2 หนา 2NaOH Na2O2 + 2H2O (4/2) 2NaOH + O2 Na2O2 + 2H2O 4NaOH + O2 อะตอม Na ไมเ ทา กัน ตอ งทําการดุลใหม โดยการเติม 2 หนา Na2O2 2Na2O2 + 2H2O 4NaOH + O2ตัวอยา ง 2.18 การดลุ สมการ Al4C3 + F2 AlF3 + CF4วธิ คี ิด ดุลทอ่ี ะตอม Al ซึ่งดา นซา ยมี 4 อะตอม สว นดานขวามี 1 อะตอม ใหเติม 4 หนา Al4C3 Al4C3 + F2 4AlF3 + CF4 ดลุ ท่ีอะตอม C ซ่งึ ดานซายมี 3 อะตอม สว นดานขวามี 1 อะตอม ใหเ ติม 3 หนา CF4 Al4C3 + F2 4AlF3 + 3CF4 ดลุ ทีอ่ ะตอม F ซงึ่ ดานซายมี 2 อะตอม สวนดา นขวามี 24 อะตอม ใหเติม 12 หนา F2 Al4C3 + 12F2 4AlF3 + 3CF4
ปรมิ าณสารสัมพันธ | 712.2.3 สารกําหนดปรมิ าณ การเกิดปฏิกริ ยิ าเคมีที่มีสารต้ังตนตั้งแต 2 ชนดิ ข้ึนไป ถาสารต้ังตนแตละชนดิ มปี รมิ าณเทากันจะทําปฏิกิรยิ ากันหมดพอดี การคํานวณหาปริมาณสารผลติ ภัณฑท ่ีเกดิ ข้ึนจะสามารถคาํ นวณจากสารต้งั ตนตวั ใดก็ได แตถาสารตั้งตนท่ีใชทําปฏิกริ ิยากนั มปี ริมาณไมเทากัน สารที่มีปริมาณนอ ยกวา จะถูกใชหมดกอนในการทําปฏิกิริยา สารผลิตภัณฑจะเกิดข้ึนไดมากทีส่ ุดเทากบั ปริมาณสารตงั้ ตนท่ีถูกใชหมดกอนเรียกสารตงั้ ตน ท่ีถกู ใชหมดกอ น ซง่ึ จะเปน ตัวกาํ หนดปริมาณสารผลิตภัณฑท่ีจะเกิดข้ึนตามสมการเคมีวาสารกาํ หนดปรมิ าณ (limiting agent) แนวคิดเกีย่ วกับสารกาํ หนดปรมิ าณแสดงดังภาพท่ี 2.5 เมื่อสัญลักษณร ูปวงกลมกลวง และวงกลมทึบ เปนสารต้งั ตนท่ีมีปริมาณไมเทากนั โดยใหเกดิ ผลิตภัณฑ (อัตราสวนโดยโมลเปน1:1) จะเห็นวาในระบบมีวงกลมกลวงนอ ยกวา และผลติ ภณั ฑท ี่เกิดข้ึนมากที่สุดเทากับปรมิ าณวงกลมกลวงท่ีอยใู นระบบ สว นวงกลมทบึ จะเหลือในระบบหลงั เกิดปฏกิ ิรยิ า ปริมาณสารของสารต้ังตนที่ใชในการเปรียบเทียบหาสารกําหนดปริมาณจะตองพิจารณาจากจํานวนโมลของสารต้งั ตนเทา นนั้ ภาพที่ 2.6 แสดงแนวคิดของสารกําหนดปรมิ าณในการพิจารณาวา สารตั้งตน ใดเปน สารกาํ หนดปรมิ าณในสมการเคมี อาจจําแนกเปน 2 แบบคือ 1) อัตราสว นจาํ นวนโมลของสารตั้งตน เทากัน ในกรณที ี่อัตราสวนจํานวนโมลของสารตั้งตนเทา กัน เชน 1:1, 2:2 หรือ 3:3 เปนตน เมื่อคํานวณหาจํานวนโมลของสารต้งั ตนแตละตัวไดแลว (คํานวณจํานวนโมลจากนํ้าหนัก จํานวนอนภุ าคหรือปรมิ าตรของแกสทกี่ ําหนดมาใหตามหลักสามเหลี่ยมโมล) แลว เทยี บจากจํานวนโมลระหวางสารตง้ัตน ดวยกนั ทั้งหมด สารต้ังตนตัวใดมีจาํ นวนโมลนอ ยกวา สารนน้ั เปนสารกําหนดปรมิ าณตวั อยาง 2.19 สงั กะสี (Zn) และกาํ มะถนั (S) ทําปฏกิ ริ ยิ ากนั เกดิ เปน สงั กะสีซัลไฟด (ZnS) ซ่งึ เปน สารเรอื งแสงในการเคลือบผิวดานในของหลอดโทรทัศน ปฏกิ ิรยิ าทเ่ี กิดขึน้ คอื Zn(aq) + S(aq) ZnS(s)ถาใช Zn 20.0 กรัมและ S 10.0 กรมั จงหาวา ก) สารใดเปน สารกาํ หนดปรมิ าณ ข) สารใดเหลือ เหลอื เทาใดกีก่ รัม ค) เกดิ ZnS หนักกก่ี รัม
72 | เคมีสาํ หรับวิศวกร (02-411-103)วธิ คี ิด คํานวณจํานวนโมลของ Zn 20.0 กรัม n ของ Zn = 20.0 g = 0.306 mol 65.4 g/mol คาํ นวณจํานวนโมลของ S 10.0 กรัม n ของ S = 10.0 g = 0.311 mol 32.0 g/mol ก) จากสมการ Zn 1 โมล ทําปฏิกริ ิยากบั S 1 โมล (อัตราสวนจาํ นวนโมลของสารตง้ั ตน เทากันคือ 1:1) ดงั นั้น Zn มจี าํ นวนโมลนอยกวา จงึ เปน สารกําหนดปริมาณ ข) สารทีเ่ หลอื คือ S เนอ่ื งจากมปี ริมาณจํานวนโมลมากกวา จํานวนโมลของ S ทีเ่ หลอื = 0.311 – 0.306 = 0.005 mol คํานวณนํา้ หนกั เปนกรัมของ S ท่ีเหลือ = (0.005 mol)(32.0 g/mol) = 0.160 g ค) เกดิ ผลิตภัณฑ ZnS = 0.306 mol เนื่องจากอัตราสวนจํานวนโมลระหวาง Zn กบั ZnS เปน1:1 คํานวณนาํ้ หนกั เปนกรมั ของ ZnS = (0.306 mol)(97.4 g/mol) = 29.8 g 2) อตั ราสว นจาํ นวนโมลของสารตั้งตนไมเ ทา กัน กรณีทอ่ี ตั ราสว นจาํ นวนโมลระหวา งสารตั้งตน ไมเ ทา กัน การคาํ นวณหาจํานวนโมลอยางเดียวไมสามารถบอกสารกําหนดปริมาณได วิธีการอยางงาย เม่ือคํานวณจํานวนโมลแลวใหหาอัตราสวนจํานวนโมลตอเลขสัมประสิทธิ์ของสารต้ังตนแตละตัว คํานวณโดยนําจํานวนโมลหารดวยตัวเลขสัมประสิทธิ์ (ตัวเลขหนาสูตรเคมีในสมการที่ดุลแลว) สารตั้งตนที่มีอัตราสวนจํานวนโมลตอเลขสมั ประสทิ ธน์ิ อยกวา สารนัน้ เปน สารกาํ หนดปรมิ าณ แนวคดิ ดังภาพที่ 2.7 อตั ราสวนจาํ นวนโมลตอเลขสมั ประสทิ ธิ์ นํา้ หนกั A ปริมาตร A โมล A สโมปลส.AA อนุภาค A นาํ้ หนกั B สโมปลส.BB ปรมิ าตร B โมล B อนภุ าค B ภาพที่ 2.7 แนวคดิ การหาสารกาํ หนดปริมาณในกรณีท่ีสารตงั้ ตนมสี มั ประสทิ ธิจ์ าํ นวนโมลไมเ ทากัน
ปรมิ าณสารสัมพนั ธ | 73ตวั อยาง 2.20 ปฏกิ ริ ิยาระหวาง Al 6.0 mol กับแกส Cl2 6.0 mol ดังสมการ 2Al(s) + 3Cl2(g) 2AlCl3(s)จงหา ก) สารใดเปนสารกาํ หนดปรมิ าณข) เกิด AlCl3 ขึน้ กีก่ รัมเมือ่ ปฏิกิรยิ าสมบรู ณวธิ คี ิด ก) หาสารกําหนดปริมาณขั้นที่ 1 ไมตอ งหาจํานวนโมลของ Al และ Cl2 เนอ่ื งจากโจทยก าํ หนดเปน จาํ นวนโมลมาใหแลวขนั้ ที่ 2 คาํ นวณอัตราสวนจาํ นวนโมลตอ เลขสัมประสทิ ธิ์ เน่ืองจากอัตราสว นจํานวนโมลระหวา ง Alกับ Cl2 ไมเ ปน 1:1 Al = 6.0 mol = 3.0 mol และ Cl2= 6.0 mol = 2.0 mol 2 3ดังน้ัน Cl2 เปนสารกาํ หนดปริมาณ ข) จาํ นวนโมลของ AlCl3 ทเี่ กิดข้ึน พจิ ารณาจากสมการเคมี คือ อัตราสวนจาํ นวนโมลของ Cl2 กบัAlCl3 เปน 3:2 หมายความวา Cl2 3 mol เกิดผลติ ภัณฑ AlCl3 2 molดงั น้ัน ถา ใช Cl2 6 mol จะเกิด AlCl3 = (2mol x 6 mol) = 4 mol 3molคํานวณน้ําหนกั เปน กรัมของ AlCl3 = (4 mol)(133.5 g/mol) = 534 gตวั อยา ง 2.21 ปุยยูเรีย [(NH2)2CO] สามารถเตรียมไดจากปฏิกริ ยิ าระหวางแกส NH3 กบั แกส CO2 ดังสมการ 2 NH3(g) + CO2(g) (NH2)2CO(aq) + H2O(l)ถาในกระบวนการผลิตยเู รยี ใช NH3 700 กรมั ผสมกบั CO2 1,000 กรมั จงหา ก) สารใดเปน สารกาํ หนดปรมิ าณข) (NH2)2CO เกิดข้นึ มากท่สี ุดกก่ี รัมค) หลังจากปฏิกิรยิ าสนิ้ สุดลง สารท่เี หลอื จะเหลอื กกี่ รมัวิธีคดิ ขน้ั ที่ 1 คาํ นวณจํานวนโมลของ NH3 และ CO2 n ของ NH3= 700 g = 41.2 17.0 g/mol n ของ CO2= 1,000 g = 22.7 44.0 g/molขั้นท่ี 2 พิจารณาสารกําหนดปริมาณ ซ่ึงจะเห็นวาสัมประสิทธิ์จํานวนโมลของแตละสารไมเทากนั ดงั นัน้ ตองเทยี บจาํ นวนโมลตอ เลขสัมประสิทธ์ิ จะได อตั ราสวนจํานวนโมลตอ เลขสมั ประสิทธข์ิ อง NH3 = 41.18 = 20.6 2 22.73 อัตราสว นจํานวนโมลตอ เลขสมั ประสทิ ธข์ิ อง CO2 = 1 = 22.7ก) ดังน้นั NH3 เปนสารกําหนดปริมาณ เนอ่ื งจากมจี ํานวนโมลตอ เลขสัมประสทิ ธนิ์ อยกวา
74 | เคมีสําหรบั วิศวกร (02-411-103)ข้ันท่ี 3 จากปฏิกริ ิยา NH3 2 mol เกดิ (NH2)2CO 1 molNH3 41.18 mol เกดิ (NH2)2CO = 1x41.18 = 20.6 mol 2คํานวณ mol (NH2)2CO ใหเ ปนกรัม เมอ่ื มวลโมเลกลุ ของ (NH2)2CO เทา กับ 60.0 g/molg(NH2)2CO = (20.6 mol)(60.0 g/mol) = 1,235.4 gข) ดังน้นั น้ําหนกั ของ (NH2)2CO ท่เี กดิ ข้นึ เทา กบั 1,235.4 กรัมค) สารที่เหลือคอื CO2จํานวนโมลของ CO2 ท่ีเหลอื = 22.7 - 20.6 = 2.1 molคาํ นวณนาํ้ หนกั เปนกรมั ของ CO2 ทเ่ี หลือ = (2.1 mol)(44.0 g/mol) = 92.4 g2.2.4 ผลผลิตรอยละ การคํานวณหาผลผลิตที่เกดิ ขึน้ ตามสมการเคมีโดยกําหนดใหป ฏกิ ิรยิ าเกิดขนึ้ อยางสมบรู ณ ไมมกี ารสูญหายใดๆ เกดิ ข้ึน เรียกวา ผลผลิตตามทฤษฎี (theoretical yield) สวนผลผลิตท่ีไดจากการทดลองเรียกวา ผลผลติ จริง (actual yield) โดยทว่ั ไปการรายงานผลผลิตจริงจะเปรียบเทียบคาท่ีไดตามทฤษฎีในรูปรอ ยละ เรียกวา ผลผลิตรอยละ (%yield) ดงั น้ีผลผลิตรอยละ = ผลผผลลติ ผตลาิตมจทรฤิงษฎี x 100 ……(2.5)ตัวอยาง 2.22 จงหาปริมาณผลผลิตตามทฤษฎีของ Cu ที่ไดจากการแยก Cu2S จาํ นวน 1,000 กรัมปฏิกิริยาท่ีเกิดข้นึ คือ Cu2S(s) + O2(g)excess 2Cu(s) + SO2(g)ถาผลการทดลองไดทองแดง (Cu) 712.5 กรมั จงคํานวณหาผลผลติ รอยละวธิ ีคดิ แนวคิดการคาํ นวณหาผลผลิตตามทฤษฎี MM Cu2S 1:2 x MM CugCu2S mol Cu2S mol Cu g Cu %yield Cuคาํ นวณผลผลิตตามทฤษฎี = 2 mol Cu2Sn ของ Cu2S =115,900g0/mgol = 6.29 molอตั ราสวนจาํ นวนโมลระหวาง Cu กับ Cu2S เปน 2:1ดังน้นั จาํ นวนโมลของ Cu ท่เี กดิ ข้นึ = 2x6.29 = 12.6 molคํานวณน้ําหนักเปนกรมั ของ Cu = (12.6 mol)(63.5 g/mol) = 800.1 gดงั นนั้ ผลผลิตตามทฤษฎที ่ีควรเตรยี ม Cu ไดเทากบั 800.1 กรมั แตผ ลผลติ จรงิ ได 712.5 กรมัคํานวณผลผลิตรอ ยละ ไดด งั นี้ผลผลติ รอยละ = 712.5 g x100 = 89.1% 800.1 g
ปรมิ าณสารสัมพันธ | 75ตัวอยาง 2.23 จากสมการ 4NH3(aq) + 5O2(g) 4NO(g) + 6H2O(l) เม่ือ NH3 80 กรัม ทําปฏิกิรยิ ากับ O2 200 กรัม ได NO เกิดขน้ึ 84 กรัม จงคํานวณหาผลผลิตรอยละวธิ ีคดิ หาวา สารใดเปน สารกําหนดปริมาณ โดยคาํ นวณจาํ นวนโมลของ NH3 และ O2 n ของ NH3= 80 g = 4.7 17.0 g/mol n ของ O2= 200 g = 6.25 32.0 g/molเนอ่ื งจากสัมประสิทธิ์สารต้ังตนไมเ ทากัน ตองหาอตั ราสว นจํานวนโมลตอ เลขสัมประสทิ ธ์ิ จะได NH3 = 4.7 =1.18 และ O2 = 6.25 =1.25 4 5ดงั นน้ั NH3 มอี ตั ราสว นจํานวนโมลตอเลขสัมประสทิ ธ์ินอ ยกวา จึงเปนสารกาํ หนดปริมาณในปฏิกริ ิยาน้ีมีผลติ ภัณฑ 2 ชนิด แตโจทยบอกผลผลิตจรงิ ของ NO มาเทากับ 84 กรัม ดังนั้นตองหาผลผลติ ทางทฤษฎีของ NOจากปฏิกิรยิ าพบวาอตั ราสวนจํานวนโมลของ NH3 และ NO เปน 4:4 (คือ 1:1)ดังนน้ั จะเกดิ NO เทากับ NH3 ที่ใชไ ป = 4.7 molคาํ นวณนํ้าหนกั เปนกรมั NO = (4.7 mol)(30 g/mol) = 141 g ซ่งึ คอื ผลผลิตตามทฤษฎีดังนน้ั ผลผลติ รอ ยละของ NO = 84 x100 = 59.6% 141การคํานวณสมการเคมีทเี่ กี่ยวขอ งมากกวาหนึ่งสมการสมการเคมีหลายสมการอาจมีความเก่ยี วของกนั ตวั อยางเชน 2C(s) + O2(g) 2CO(g) (ก) Fe2O3(s) + 3CO(g) 2Fe(s) + 3CO2(g) (ข)จะเห็นวาสมการ (ก) และ (ข) มีความเก่ียวของกนั จากความสัมพันธของสองสมการดังกลาว ถาทราบปรมิ าณฃองสารใดสารหนึ่งในสมการหน่ึงจะสามารถหาปรมิ าณของสารในอกี สมการหนง่ึ ได แตการคาํ นวณทเ่ี กย่ี วขอ งกบั สมการท่ีมากกวาหนง่ึ สมการจะตอ งทาํ ใหสารทพ่ี จิ ารณามคี วามสัมพนั ธตอ เนื่องกนัวธิ ีการอยา งงายคือการทําใหจํานวนโมลของสารน้นั เทา กนั ในสมการตอ เน่อื งกันตัวอยาง 2.24 ธาตุโมลิบดีนัม (Mo) เตรียมไดจากแรโมลิบไนต (MoS2) โดยการเผาเพื่อใหเกิดเปนออกไซดแลว รดี ิวซออกไซดที่ไดด วยแกส ไฮโดรเจนดังสมการ 2MoS2(s) + 7O2(g) 2MoO3(s) + 4SO2(g) (1) MoO3(s)+ 3H2(g) Mo(s) + 3H2O(g) (2)ถามแี กสออกซเิ จนอยู 560 g แกส ไฮโดรเจน 120 g และ MoS2 1,600 gจงคาํ นวณหานํา้ หนกั Mo ทจ่ี ะเตรียมได (Mo=96, S=32, O=16, H=1)วธิ ีคิด ทําสมการใหม คี วามสมั พันธของ MoO3 ตอ เนือ่ งกัน โดยการคูณ 2 ตลอดสมการ (2) จะไดดงั น้ี2x(2) 2MoO3(s) + 6H2(g) 2Mo(s) + 6H2O(g) (3)
76 | เคมสี าํ หรบั วิศวกร (02-411-103)จากปฏิกริ ิยาตอเน่อื งจะเห็นไดวา Mo เกิดขน้ึ 2 mol และ H2 6 mol (สมการ 3) เมอ่ื ใช MoS22 molทําปฏกิ ริ ิยากับ O2 7 mol (สมการ 1)ขั้นที่ 1 คํานวณจาํ นวนโมลของ O2, H2และ MoS2 จากนา้ํ หนกั ทโ่ี จทยใ หมาn ของ O2= 560 g =17.5mol 32 g/moln ของ H2= 120 g = 60 mol 2 g/moln ของ MoS2= 1600 g = 10 mol 160 g/molข้ันที่ 2 พิจารณาสารกําหนดปริมาณ ซึ่งจะเห็นวาสัมประสิทธิ์จํานวนโมลของแตละสารไมเทา กนั ดงั นัน้ ตอ งเทียบจํานวนโมลตอ เลขสัมประสทิ ธิ์ จะไดO2= 17.5 mol = 2.5 mol 7 60 molH2= 6 = 10 molMoS2= 10 mol = 5 mol 2ดังนั้น O2 เปน สารกําหนดปริมาณขั้นที่ 3 จากปฏิกิรยิ า O2 7 mol เตรียม Mo ได 2 mol = 2× 96 g O217.5 mol เตรียม Mo = 2x17.5 = 5 mol 7คาํ นวณนํา้ หนกั เปนกรมั ของ Mo จากจํานวนโมล 5 mol gMo = 5mol x 96g/mol = 480g
ปรมิ าณสารสมั พันธ | 77 แบบฝกหดั1. Al 1 อะตอม มนี า้ํ หนกั เทา กับ 27x1.66x10-24 กรัม จงหาวา Al มีมวลอะตอมเทาไร2. จงคํานวณหานํ้าหนัก (กรมั ) ของ Ag 1 อะตอม3. H2SO4 10.0 กรัม ประกอบดวย O ก่กี รัม4. จงคาํ นวณสูตรเอมพิริคัลของสารที่มอี งคประกอบคือ C 60%, H 13.3% และ O 26.7%5. ธาตุ Cl ที่พบในธรรมชาติมี 2 ไอโซโทป คือ 35Cl และ 37Cl โดยพบในปริมาณ 75.53% และ 24.47% และมมี วลอะตอม 34.969 และ 36.966 amu ตามลาํ ดับ จงหามวลอะตอมเฉลีย่6. Cu มี 2 ไอโซโทป คอื 63Cu และ 65Cu ซง่ึ มีมวลอะตอมเทากับ 63 และ 65 amu ตามลําดับ จะมี 63Cu และ 65Cu ในธรรมชาตริ อ ยละเทาใด ถา มวลอะตอมเฉลีย่ ของ Cu เทา กบั 63.5467. จงหามวลโมเลกุลของสารตอ ไปน้ี 1) KMnO4 2) CaSO4H2O 3) C6H12O6 4) Ca3(PO4)2 5) CaCO38. จงคาํ นวณหารอยละโดยน้ําหนักของ Cu จากแรท องแดงตอไปน้ี 1) Cu2O 2) Cu5FeS4 3) Cu(NH3)4SO4 4) CuSO49. จงหาจาํ นวนโมลของแกส CO2 หนัก 12.0 กรัม10. จงหาจํานวนโมลของแกส CH4 จาํ นวน 9.03x1025 อะตอม11. Ag2SO4 หนัก 31.2 กรัม คดิ เปนกีโ่ มลและกี่โมเลกลุ12. แกส NH3 5.6 ลติ ร ที่ STP มีจํานวนโมเลกุลเปน เทา ใด13. แกส CO2 หนัก 12.0 กรัม มีปริมาตรกี่ลติ รที่ STP14. จากปฏกิ ริ ิยา Cl2(g) + SO2(g) + 2H2O(l) 2HCl(aq) + H2SO4(aq) 1) ถาตองการ H2SO4 16.8 กรัมจะตอ งให SO2 ก่โี มล 2) ถา ใชน ํา้ 12.5 กรมั จะเกิด HCl กี่โมเลกลุ15. จงแปลความหมายของสมการเคมเี พื่อแสดงความสมั พันธของจาํ นวนโมลกับนํ้าหนัก จํานวนอนภุ าค และปรมิ าตรของสารในปฏกิ ิริยา C2H5OH(l) + 3O2(g) 2CO2(g) + 3H2O(g)16. จงบอกชนิดของปฏกิ ริ ยิ าตอ ไปนี้ 1) 2NH3(g) 3H2(g) + N2(g) 2) 2Pb(NO3)2(aq) 2PbO(s) + 4NO2(g) + O2(g) 3) Zn(s) + CuSO4(aq) ZnSO4(aq) + Cu(s) 4) C3H8(g) + 5O2(g) 3CO2(g) + 4H2O(g) 5) 2Mg(s) + O2(g) 2MgO(s)
78 | เคมสี ําหรบั วศิ วกร (02-411-103) 6) CaO(s) + 2HCl(aq) CaCl2(aq) + H2O(aq) 7) C6H12O6(s) + 6O2(g) 6CO2(g) + 6H2O(g) 8) Cu(s) + 2Ag+(aq) Cu2+(aq) + 2Ag(s)17. จงเขยี นสมการแบบไอออนิกรวมและไอออนสุทธิจากสมการตอ ไปนี้ 1) H2SO4(aq) + Ba(OH)2(aq) BaSO4(s) + H2O(aq) 2) CH3COOH(aq) + NaOH(aq) CH3COONa(aq) + H2O(aq)18. จงดลุ สมการเคมี 1) Fe(s) + H2O(aq) Fe3O4(s) + H2(g) 2) CS2(s) + O2(g) CO2(g) + SO2(g) 3) CaH2(s) + H2O(g) Ca(OH)2(s) + H2(g) 4) PbS(s) + PbSO4(aq) Pb(s) + SO2(g) 5) Cu(s) + H2SO4(aq) CuSO4(aq) + H2O(l) + SO2(g)19. จากปฏกิ ริ ิยาทก่ี ําหนดให สมมติสารต้งั ตน ทุกตวั มีปริมาณ 20 กรัมเทา กันและปฏิกริ ยิ าเกิดไดอ ยาง สมบูรณจ งแสดงวา สารใดเปน สารกาํ หนดปริมาณ 1) 3KOH(aq) + (NH4)3PO4(aq) K3PO4(aq) + 3H2O(l) + 3NH3(g) 2) 3BaCl2(aq) + Al2(SO4)3(aq) 3BaSO4(s) + 2AlCl3(aq) 3) Sb2S3(s) + 12HCl(aq) 2H3SbCl6(aq) + 3H2S(g) 4) 12HClO4(aq) + P4O10(aq) 4H3PO4(aq) + 6Cl2O720. ปฏกิ ริ ิยาการเผาไหมข องโพรเพน (C3H6) ในแกส ออกซเิ จนเปนดังนี้ C3H6(g) + 5O2(g) 3CO2(g) + 4H2O(l) ถา ทําการเผา C3H6 25.0 กรมั ในออกซิเจน 20.0 กรัม สารใดจะเปนสารกาํ หนดปริมาณและจง คํานวณปรมิ าณมากทสี่ ุดของ CO2 เปน กรัม21. อะทซิ ิลนี (C2H4) หนัก 1.90 กรมั เผาไหมกบั แกส O2 หนัก 5.90 กรมั ดงั สมการ C2H4(g) + 3O2(g) 2CO2(g) + 2H2O(g) 1) เกิด CO2 มากท่สี ดุ กี่กรมั 2) ถาเกดิ CO2 3.48 กรมั จงคาํ นวณผลผลิตรอยละของ CO222. เอทิลนี (C2H2) ทาํ ปฏิกิรยิ ากับ Br2 2 โมเลกลุ เกิด C2H2Br4 โดยเกิดปฏกิ ิรยิ า 2 ขน้ั ตอนดงั นี้ ขน้ั ที่ 1 C2H2(g) + Br2(g) C2H2Br2 ข้ันที่ 2 C2H2Br2 + Br2(g) C2H2Br4 ถา ผสม C2H2 5.00 g เขา กับ Br2 40.0 กรัม จะเกดิ C2H2Br2 และ C2H2Br4 กก่ี รมั เมื่อปฏิกิริยา เกดิ อยางสมบูรณ
Search
Read the Text Version
- 1 - 38
Pages: