Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore รายงานการวิจัยแบบผสมผสาร 3

รายงานการวิจัยแบบผสมผสาร 3

Description: รายงานการวิจัยแบบผสมผสาร 3

Search

Read the Text Version

รายงาน การวิจัยแบบผสมผสาน นาเสนอ อาจารยพ์ ลู ศกั ด์ิ หอมสมบตั ิ จดั ทาโดย ๑ พระกฤษณะ โสมนาค ๒ สามเณร สนุ นั ท์ จันทร์เพง็ ๓ สามเณร ธนกฤติ ประโยงตัง ๔ นาย อรรถพล ศรแี สง ๕ นาสาว พชั รี บุญยา ๖ นางสาว ดวงมณี คำศรี ๗ นางสาว ขจาริน โพธิราช ๘ พระเพชร สุขมี ๙ พระรฐั นพล จารุธมโฺ ม กลุ่มที่ ๓ นิสิตคณะครศุ าสตร์ ชนั้ ปี ท่ี ๒ รายงานนี้เป็นส่วนหนึ่งของการศึกษา วิชาสถิติเบอื้ งต้นและการวิจยั ภาคเรียนท่ี ๑ ปี การศึกษา ๒๕๖๕ มหาวิทยาลยั มหาจฬุ าลงกรณราชวิทยาลยั วิทยาเขตอบุ ลราชธานี

ก คำนำ การวิจัยแบบผสมผสาน (Mixed Methods Research) หมายถึง การวิจัยเรื่องใดเรื่อง หนึ่งที่ใช้เทคนิคการเก็บรวบรวมข้อมูล วิเคราะห์ข้อมูลทั้งเชิงปริมาณและคุณภาพ โดยการดำเนินการ อาจจะต่อเนื่องกันเป็นระยะ ๆ หรือดำเนินการไปพร้อมกัน เพื่อให้ได้รับข้อมูลการวิจัยที่ถูกต้องและ สมบรู ณ์ ขั้นตอนการวิจัยแบบผสมผสาน มี ๘ ขั้นตอน ได้แก่ ขั้นตอนที่ 1 การกำหนดคำถามการวิจัย ขนั้ ตอนท่ี 2 การกำหนดวัตถุประสงค์ของการวจิ ยั ข้ันตอนท่ี 3 การเลอื กระเบยี บวิธีในการวิจยั ขั้นตอนที่ 4 การเก็บรวบรวมข้อมูล ขั้นตอนที่ 5 การวิเคราะห์ข้อมูล ขั้นตอนที่ 6 การตีความหรือแปล ผลข้อมูล ขั้นตอนที่ 7 การกระทำข้อมูลให้ถูกต้อง ขั้นตอนที่ 8 การสรุปผลและการจัดทำรายงานการ วิจัย รายงานเรื่องการวิจัยแบบผสมผสาน จัดทำขึ้นเพื่อนำเสนอ ความหมาย ความสำคัญ ปัจจัย ทฤษฏีแนวคิดของการวิจัยเชิงปริมาณและการวิจัยเชิงคุณภาพและบทบาทของนิสิตฯ กับการวิจัยแบบ ผสมผสาน โดยคณะผู้จัดทำหวังเป็นอย่างยิ่งว่า รายงานฉบับนี้จะเป็นประโยชน์ต่อการศึกษา วิชาสถิติ เบื้องต้นและการวิจยั เพ่อื นำไปใช้เป็นแนวทางในการจดั การเรียนการสอน สบื ต่อไป คณะผ้จู ดั ทาฯ ๑๑ สิงหาคม ๒๕๖๕

ข สารบญั เร่ือง หนา้ คำนำ ......................................................................................................................................................... ก สารบญั ...................................................................................................................................................... ข การวิจยั แบบผสมผสาน ................................................................................................................................๑ (Mixed Methods Research).............................................................................................................................๑ ความหมาย.............................................................................................................................................๑ ความสำคัญของการวจิ ยั แบบผสมผสาน ( Mixed Methods Research)................................................................. ๓ แบบแผนของการวิจยั แบบผสมผสาน (Mixed Methods Research) ..................................................................... ๔ ขั้นตอนการวิจัยแบบผสมผสาน (Mixed Methods Research Process ) ............................................................... ๕ วตั ถุประสงค์ .......................................................................................................................................... ๘ ความแตกต่างระหว่างการวิจยั เชิงปรมิ าณและการวิจัยเชิงคณุ ภาพ................................................................ ๑๓ สรุป ................................................................................................................................................... ๑๙ ตัวอยา่ งงานวิจยั แบบผสมผสาน .............................................................................................................. ๒๐ (Mixed Methods Research) ....................................................................................................................... ๒๐ บรรณานกุ รม ........................................................................................................................................... ๒๖

๑ การวจิ ยั แบบผสมผสาน (Mixed Methods Research) ความหมาย Creswell, Plano, Clark, Gutman and Hanson (2003 p.212) ให้ความหมายของการวิจัย แบบผสมผสาน (Mixed Methods Research) หมายถึง การวิจัยที่มีการเก็บข้อมูลหรือวิเคราะห์ข้อมูล ทั้งที่เป็นชิงปริมาณและเชิงคุณภาพ ซึ่งอาจเกิดขึ้นในเวลาเดยี วกันหรือเป็นลำดับกอ่ นหลังก็ได้ โดยผู้วิจัย ให้ความสำคัญกับข้อมูลเป็นอันดับแรกและเกี่ยวข้องกับการบูรณาการข้อมูล ณ จุดหนึ่งจุดใดใน กระบวนการวิจยั R.Burke Johnson and Anthony Onwuegbuzie (2004 p.17) ให้ความหมายของการวิจัย แบบผสมผสาน (Mixed Methods Research) หมายถึง วิธีการวิจัยที่ผู้วิจัยใช้เทคนิค แนวทาง วิธีการ ความคิดรวบยอด หรือภาษา ผสมผสานร่วมกันระหว่างการวิจัยเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพ ในการวิจัย เรือ่ งเดยี วกนั จติ ราภา กุณฑลบุตร กล่าววา่ การวจิ ัยแบบผสมผสาน (Mixed Methods Research) หมายถึง การวิจยั ท่ใี ช้เทคนิคการวิจยั เชงิ ปรมิ าณและเทคนคิ การวจิ ยั เชงิ คณุ ภาพมาผสมผสานกนั ในการทำวจิ ัยเร่ือง เดียวกันเพื่อที่จะสามารถตอบคำถามการวิจัยได้สมบูรณ์ขึ้น โดยมีพื้นฐานแนวคิดจากการหลอมรวม ปรัชญาของกลุ่มปฏฐิ านนยิ มและกลุ่มปรากฏการณ์นิยมเข้าด้วยกนั

๒ โดยสรปุ แล้ว การวจิ ัยแบบผสมผสาน (Mixed Methods Research) หมายถงึ การวิจยั เร่อื งใด เรอื่ งหนง่ึ ทีใ่ ชเ้ ทคนิคการเกบ็ รวบรวมข้อมูล วเิ คราะห์ข้อมลู ท้งั เชิงปรมิ าณและคณุ ภาพ โดยการดำเนินการ อาจจะต่อเนื่องกันเป็นระยะ ๆ หรือดำเนินการไปพร้อมกัน เพื่อให้ได้รับข้อมูลการวิจัยที่ถูกต้องและ สมบูรณ์

๓ ความสำคญั ของการวิจยั แบบผสมผสาน ( Mixed Methods Research) การวิจัยแบบผสมผสาน( Mixed Methods Research) มีความสำคัญตามแนวคิดของ Greene and others (1989) ; Trocim (2002) ; Creswell (2003) ; Punch (2003) ; Viedero (2005) มี ดงั น้ี 1. ผลการวิจยั จากวธิ ีการวจิ ัยแบบผสมผสานสามารถเสริมตอ่ กนั โดยใชผ้ ลการวิจยั จากวิธหี นง่ึ อธิบายขายความผลการวิจัยอีกวิธีหนึ่ง ช่วยให้การตอบคำถามการวิจัยได้ละเอียดชัดเจนมากกว่าการใช้ รปู แบบการวิจัยเชงิ ปรมิ าณหรือเชงิ คณุ ภาพเพยี งรปู แบบเดยี ว 2. การใช้ผลการวจิ ยั จากวิธีหนง่ึ ไปชว่ ยพัฒนาการวิจัยอกี วธิ ีหนึ่งหรอื การใช้ผลการวิจัยวิธีหน่งึ ไปตงั้ คำถามการวจิ ัยอีกวธิ หี นึ่ง 3. การวิจยั เชงิ ปริมาณและการวจิ ัยเชิงคุณภาพต่างก็มจี ุดเดน่ ในตนเอง สามารถนำจุดเด่นมาใช้ ในการแสวงหาความรู้ความจรงิ ไดถ้ กู ต้องแม่นยำยง่ิ ข้นึ 4. การวิจัยเชิงปริมาณและการวิจัยเชงิ คุณภาพต่างกม็ ีจุดด้อยในตนเอง ผูว้ จิ ัยสามารถนำจดุ เดน่ ของการวิจัยเชิงปริมาณมาแก้ไขจุดด้อยของการวิจัยเชิงคูณภาพ ขณะเดียวกันอาจใช้จดุ เดน่ ของการวิจัย เชิงคุณภาพมาใชแ้ กไ้ ขจดุ ดอ้ ยของการวิจยั เชิงปรมิ าณ 5. สามารถนำผลผลติ จากการวิจยั แบบผสมผสานมาสร้างความรู้ความจรงิ ที่สมบูรณ์สำหรับใช้ ในการปรับเปล่ยี นทฤษฎหี รือการปฏิบตั งิ าน

๔ แบบแผนของการวิจยั แบบผสมผสาน (Mixed Methods Research) การวิจัยแบบผสมผสาน (Mixed Methods Research) ในปัจจุบันมีแบบแผนการวิจัย 2 แบบ แผน ดังนี้ 1. แบบแผนที่ 1 การออกแบบการวิจัยเป็นลำดับ (Sequential Designs) แบ่งออกเป็น 3 รูปแบบ ดงั นี้ 1.1 รปู แบบเชิงอธบิ ายเปน็ ลำดบั (Sequential Explanatory) การวิจัยรูปแบบนี้ผู้วิจัยจะแบ่งการวิจัยออกเป็นระยะ ๆ (Phases) ดำเนินการเก็บรวบรวมข้อมูลและ วิเคราะห์ข้อมลู เชิงปรมิ าณกอ่ นในระยะทหี่ นงึ่ แลว้ ดำเนินการเก็บรวบรวมขอ้ มูลและวเิ คราะหเ์ ชงิ คณุ ภาพ ในระยะที่สอง ผู้วิจัยจะให้ความสำคัญกบั ข้อมลู เชิงปริมาณมากกวา่ เชิงคณุ ภาพ ซึง่ ขอ้ มูลเชิงคุณภาพจะใช้ เสริมหรือสนับสนุนข้อมูลเชิงปริมาณ การบูรณาการจะเกิดขึ้นในขั้นตอนของการตคี วามและการอภปิ ราย ผล 1.2 รปู แบบเชงิ สำรวจเปน็ ลำดบั (Sequential Exploratory) การวิจัยรูปแบบนี้ผู้วิจัยจะแบ่งการวิจัยออกเป็นระยะ ๆ (Phases) ดำเนินการเก็บรวบรวมข้อมูลและ วิเคราะห์ข้อมลู เชิงคุณภาพก่อนในระยะที่หนึง่ แล้วดำเนินการเกบ็ รวบรวมข้อมลู และวเิ คราะหเ์ ชิงปริมาณ ในระยะทีส่ อง ผวู้ จิ ัยจะใหค้ วามสำคญั กับข้อมูลเชงิ คุณภาพมากกวา่ เชิงปรมิ าณ ซ่ึงขอ้ มลู เชงิ ปริมาณจะใช้ เสริมหรือสนับสนุนขอ้ มูลเชิงคณุ ภาพ การบูรณาการจะเกิดขึ้นในข้ันตอนของการตีความและการอภิปราย ผล 1.3 รูปแบบเชงิ ปรวิ รรตเป็นลำดับ (Sequential Transformative) การวิจัยรูปแบบนี้ผู้วิจัยจะ ดำเนินการเก็บรวบรวมข้อมูลและวิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพหรือเชิงปริมาณ ก่อนในระยะทีห่ นึ่ง แล้วดำเนินการเก็บรวบรวมข้อมลู และวเิ คราะห์เชิงปริมาณหรือเชงิ คุณภาพในระยะท่ี สอง ผวู้ จิ ัยอาจจะให้ความสำคัญกับข้อมลู เชิงคุณภาพมากกวา่ เชงิ ปริมาณ หรือข้อมูลเชิงปริมาณมากกว่า ข้อมูลเชิงคุณภาพ หรือให้ความสำคัญเทา่ ๆ กัน ซึ่งข้อมูลจะใช้เสริมหรือสนับสนุนซึง่ กันและกัน การบูร ณาการจะเกดิ ขึน้ ในขั้นตอนของการตีความและการอภปิ รายผล 2. แบบแผนท่ี 2 การออกแบบการวจิ ัยแบบเกดิ พร้อมกนั (Concurrent Designs) แบ่งเป็น 3 รปู แบบ ดังนี้ 2.1 รปู แบบเชิงสามเส้าแบบเกดิ พรอ้ มกัน (Concurrent Triangulation) การวิจัยรูปแบน้ี ผู้วิจยั เกบ็ ข้อมลู และวเิ คราะห์ข้อมลู ทั้งเชิงปริมาณและเชงิ คุณภาพพร้อมกัน ผวู้ จิ ยั ใหค้ วามสำคัญกับข้อมูล ทั้งสองประเภทเท่ากัน การวิเคราะห์ข้อมูลอาจจะแยกกันและการบูรณาการจะเกิดขึ้นในขั้นตอนของการ ตีความข้อมูล การตีความเป็นการอภิปรายว่าข้อมูลมาบรรจบกันมากน้อยเพียงใด การวิจัยประเภทนี้ เหมาะทใี่ ชเ้ พือ่ ยืนยันความถกู ตอ้ งหรอื ตรวจสอบผลการวิจัยที่ได้จากแต่ละวธิ ี 2.2 รูปแบบเชงิ ฝงั ตวั แบบเกดิ พร้อมกนั (Concurrent Embedded)

๕ การวิจัยรูปแบบนผ้ี ู้วจิ ัยเกบ็ ข้อมูลและวิเคราะหข์ ้อมูลท้ังเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพพร้อมกัน แต่ผู้วิจัยให้ ความสำคัญกับข้อมูลทั้งสองประเภทไม่เท่ากัน ขอ้ มลู ท่ีฝังตัวอยู่ขา้ งในจะมีความสำคัญน้อยกว่า ซ่ึงข้อมูล ทฝ่ี งั ตัวจะใช้เพื่อตอบคำถามการวิจัยท่ตี า่ งออกไป การวิเคราะหข์ ้อมลู มักเป็นการแปรรูปข้อมลู การบูรณา การจะเกิดขึ้นในขั้นตอนของการวิเคราะห์ข้อมูล การวิจัยประเภทนี้เหมาะที่ใช้เพื่อศึกษาหัวเรื่องใดหัว เรื่องหน่งึ ในมุมกว้าง ๆ และในการศึกษากลุ่มหลายกล่มุ ในงานวจิ ยั เร่อื งหนง่ึ ๆ 2.3 รปู แบบเชงิ ปรวิ รรตแบบเกิดพร้อมกนั (concurrent Transformative) การวิจัยรูปแบบนี้ผู้วิจัยเก็บข้อมูลและวิเคราะห์ข้อมูลทั้งเชิงปริมาณและเชงิ คุณภาพพร้อมกัน ทั้งนี้ผู้วิจยั อาจให้ความสำคัญกับข้อมูลทั้งสองประเภทเท่ากันหรือไม่เท่ากันก็ได้ การวิเคราะห์ข้อมูลมักเกิดแยกกัน การบูรณาการจะเกดิ ขึ้นในขัน้ ตอนของการตีความขอ้ มลู ข้นั ตอนการวจิ ยั แบบผสมผสาน (Mixed Methods Research Process ) การวิจยั แบบผสมผสาน (Mixed Methods Research) ประกอบดว้ ยขนั้ ตอน ดงั นี้ ขั้นตอนที่ 1 การกำหนดคำถามการวิจัย ผู้วิจัยอาจจะตั้งคำถามการวิจัยเพียงหนึ่งคำถามซึ่งมี ลักษณะที่เป็นทั้งเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพ หรือจะตั้งคำถามการวิจัยหลายคำถามซึ่งอาจจะแยกเป็น คำถามเชงิ ปรมิ าณและคำถามเชงิ คุณภาพ ขน้ั ตอนท่ี 2 การกำหนดวตั ถุประสงค์ของการวิจยั ผู้วจิ ัยสามารถต้ังวัตถุประสงค์ของการศึกษาไว้ ขอ้ เดียวหรือหลายขอ้ ท้ังนีข้ ึ้นอย่กู ับคำถามการวิจยั ขั้นตอนท่ี 3 การเลือกระเบียบวิธีในการวจิ ัย ผู้วิจัยต้องพิจารณาเลือกรปู แบบการวจิ ยั ทีเ่ หมาะสม ที่สุดสำหรับการตอบคำถามการวิจัย ให้ถูกต้อง แม่นยำ น่าเชื่อถือ และมีความเป็นไปได้ในการปฏิบัติ งานวิจัย โดยคำนึงถึงองค์ประกอบที่สำคัญ ได้แก่ เวลาที่เหมาะสม การให้ค่าน้ำหนักของข้อมูลเชิง ปรมิ าณหรือคณุ ภาพ การผสมผสานวธิ กี าร ความลกึ ซึ้งในทฤษฎหี รอื วิธีการเปลี่ยนแปลงไป ขั้นตอนท่ี 4 การเก็บรวบรวมข้อมลู ขั้นตอนที่ 5 การวิเคราะหข์ ้อมลู ข้ันตอนที่ 6 การตคี วามหรือแปลผลขอ้ มลู ข้ันตอนท่ี 7 การกระทำข้อมูลให้ถูกต้อง ขัน้ ตอนที่ 8 การสรุปผลและการจัดทำรายงานการวจิ ัย ขอ้ จำกัดของการวิจัยแบบผสมผสาน (Mixed Methods Research) 1. มีความยุ่งยากในการดำเนินการสำหรับนักวิจัยเพียงคนเดียวที่จะตอ้ งดำเนนิ การวจิ ัยทง้ั เชงิ ปริมาณและเชิงคุณภาพ โดยเฉพาะหากจะต้องดำเนินการในลักษณะของการเกิดพร้อมกนั ของการวิจัยทั้ง สองประเภทในเวลาเดียวกัน อาจจำเป็นตอ้ งมที ีมวิจยั 2. ผู้วจิ ยั ต้องเรียนรูก้ ารวิจยั ท้งั เชิงปริมาณและเชิงคุณภาพ แล้วต้องรจู้ ักการผสมผสานวธิ ใี ห้

๖ เหมาะสม 3. เสยี คา่ ใชจ้ า่ ยสูง 4. ใช้ระยะเวลายาวนาน วธิ วี ิจยั แบบผสมผสาน เป็นการวิจัยในแนวทางแบบผสมผสานวิธี ซึ่งเป็นการผสานวิธีคิดและระเบียบวิธีเชิงปริมาณ และคุณภาพ ใช้การสังเกตกิจกรรม การร่วมกิจกรรมในพื้นที่ การเก็บรวบรวมข้อมูลเป็นระยะ ๆ จาก นักวิจัยและภาคีที่เกี่ยวข้อง ผู้บริหารโครงการและผู้ให้ข้อมูลสำคัญ รวมทั้งการแลกเปลี่ยนเรียนรู้กับผุ้ กำหนดนโยบาย ผรู้ ับผิดชอบและภาคที ี่ดำเนินงานโครงการน้ีในพน้ื ทปี่ ฏิบตั กิ ารด้วย(เนาวรตั น์ พลายน้อย. 2549 : 3) วิธีวิจยั แบบผสมผสาน (Mixed Methodology) เป็นการออกแบบแผนการวิจยั ท่ีมีจดุ มุง่ หมาย อย่างใดอย่างหนงึ่ หรือหลายประการดงั น้ี (วิโรจน์ สารรตั นะ. 2545 : 13) 1. เพื่อเปน็ การตรวจสอบสามเส้า เพ่ือเพ่ิมความเช่ือมนั่ ในผลของการวจิ ัย เปน็ การตรวจสอบความถูกต้องของขอ้ มูลในการวิจยั เชิงคุณภาพ โดยแบง่ ออกเป็น 3 ประเภท ไดแ้ ก่ (1) การตรวจสอบสามเส้าด้านข้อมูล (data triangulation) จะเนน้ การตรวจสอบ ข้อมูลที่ไดม้ าจากแหล่งต่างๆ นั้นมคี วามเหมอื นกันหรือไม่ ซงึ่ ถา้ ทุกแหลง่ ข้อมลู พบว่าไดข้ อ้ คน้ พบมา เหมือนกนั แสดงวา่ ข้อมลู ท่ีผู้วิจยั ไดม้ ามีความถูกตอ้ ง (2) การตรวจสอบสามเสา้ ดา้ นผู้วจิ ยั (investigator triangulation) จะเน้นการ ตรวจสอบจากผวู้ ิจัยหรอื ผเู้ ก็บข้อมลู ต่างคนกันวา่ ไดค้ น้ พบทเ่ี หมือนกันหรือแตกต่างกันอย่างไร ซึง่ ถา้ ผวู้ ิจัย หรอื ผู้เก็บข้อมูลทุกคนพบว่าขอ้ คน้ พบท่ไี ด้มามคี วามเหมือนกัน แสดงวา่ ข้อมูลทผ่ี ู้วจิ ัยได้มามีความ ถูกตอ้ ง (3) การตรวจสอบสามเส้าด้านทฤษฎี (theory triangulation) จะเนน้ การตรวจสอบ ว่าถา้ มีการใช้ทฤษฎที ่หี ลากหลายแลว้ ข้อมูลที่ได้มาเปน็ ไปในทิศทางเดียวกนั หรือไม่ ถ้าผู้วจิ ัยพบว่าไม่ว่า จะนำทฤษฎใี ดมาใช้ ไดข้ ้อค้นพบท่เี หมือนกนั แสดงวา่ ข้อมลู ท่ผี ู้วจิ ัยได้มามีความถูกตอ้ ง 2. เพอื่ เปน็ การเสริมให้สมบรู ณห์ รือเติมให้เต็ม เช่น ตรวจสอบประเด็นทซี่ ้ำซ้อนหรือประเด็น ท่ีแตกต่างของปรากฏการณ์ท่ีศกึ ษา เป็นตน้ 3. เพอ่ื เปน็ การรเิ ริม่ เช่น คน้ หาประเด็นท่ผี ิดปกติ ประเดน็ ทีผ่ ดิ ธรรมดา ประเดน็ ท่ขี ัดแยง้ หรอื ทศั นะใหม่ ๆ เปน็ ตน้ 4. เพ่ือเป็นการพัฒนา เช่น นำเอาผลจากการศกึ ษาในขนั้ ตอนหนง่ึ ไปใช้ให้เปน็ ประโยชน์ กับในอกี ข้นั ตอนหน่ึง เป็นต้น 5. เพ่ือเปน็ การขยาย ให้งานวจิ ัยมีขอบข่ายท่ีกว้างขวางมากขน้ึ

๗ วิธีวิจัยแบบผสมผสาน (Mixed Methodology) จำแนกเป็นสองลักษณะ คือ การประยุกต์ ลักษณะเดี่ยว (single application) และการประยุกต์ลักษณะพหุ (multiple application) โดยการ ผสมนั้นเกิดขึ้นภายในขั้นตอนของการวิจัย ซึ่งกระบวนทัศน์การวิจัยที่ใช้อาจเป็นเชิงปริมาณ แต่การ รวบรวมข้อมูลอาจเป็นเชิงคุณภาพ หรือในทางกลับกันหรือข้อมูลที่รวบรวมมาอาจเป็นข้อมูลเชิง คุณภาพ แต่อาจวิเคราะห์ให้เป็นเชิงปริมาณ ด้วยการปรับข้อมูลเชิงคุณภาพเป็นเชิงปริมาณ หรือข้อมูล เชิงปรมิ าณ แต่วเิ คราะหใ์ ห้เป็นข้อมลู เชิงคณุ ภาพ ด้วยการปรบั ข้อมูลเชิงปรมิ าณใหเ้ ปน็ ข้อมลู เชิงคุณภาพ

๘ การวจิ ัยเชิงปรมิ าณและการวจิ ยั เชิงคณุ ภาพ (Quantitative Research and Qualitative Research) การวิจัยเชงิ ปริมาณ (Quantitative Research) การวิจัยเชิงปริมาณ (Quantitative Research) เป็นวิธีค้นหาความรู้และความจริง โดยเน้นท่ี ข้อมูลเชิงตัวเลข การวิจัยเชิงปริมาณจะพยายามออกแบบวิธีการวิจยั ให้มีการควบคุมตัวแปรที่ศึกษาต้อง จัดเตรียมเครื่องมือรวบรวมข้อมูลให้มีคุณภาพ จัดกระทำสถานการณ์ที่เกี่ยวข้องให้เปน็ มาตรฐาน และใช้ วิธีการทางสถิติช่วยวิเคราะห์และประมวลข้อสรุปเพื่อให้เกิดความคลาดเคลื่อน (Error) น้อยท่ีสุด (ศาสตราจารย์เกยี รตคิ ุณบญุ ธรรม กิจปรดี าบริสุทธิ์ : ๒๕๔๙) วตั ถปุ ระสงค์ การวิจัยเชิงปริมาณ (Quantitative research) มีวัตถุประสงค์ที่จะพยายามให้คำอธิบาย ปรากฏการณ์ทางวิทยาศาสตร์ โดยพยายามใช้แนวที่เรียกว่า ปฎิฐานนิยม (Positivism) การอธิบาย ปรากฎการณจ์ ึงเป็นการนำเสนอเชงิ ตวั เลข ทางสถิติ เช่น รอ้ ยละของประชากรท่ีอาศยั อยใู่ นเมือง คา่ เฉลี่ย และส่วนเบีย่ งเบนมาตรฐานของความพึงพอใจ เปน็ ตน้ ลักษณะของข้อมลู การวิจัยเชิงปริมาณ (Quantitative research) เป็นการศึกษาสภาพทั่วไปของสังคมโดย กำหนดตัวแปรต่างๆเพื่อเกบ็ ข้อมูลสถิติตัวเลข อาจเป็นข้อมูลปฐมภูมิหรือทุติยภมู ิ การเสนอภาพรวมจะมี ข้อมูลเชิงปรมิ าณประกอบดว้ ย

๙ วธิ กี ารเกบ็ ข้อมูล การวิจัยเชิงปริมาณ (Quantitative research) จะเก็บข้อมูลด้วยวิธีการสำรวจ เน้นการเก็บ ขอ้ มลู จากคนจำนวนมาก เพือ่ ทำการวิเคราะหแ์ ละทดสอบทฤษฎีหรือสร้างทฤษฎแี ละให้ความหมายในเชิง วิชาการมากกวา่ การศึกษาแงม่ มุ ของชาวบา้ น การตั้งสมมติฐานและการทดสอบสมมตฐิ าน การวิจัยเชิงปรมิ าณ (Quantitative research) ข้อมูลจากการวิจยั เชิงปริมาณจะเหมาะสมกับ การทดสอบทฤษฎดี ว้ ยวิธีการแบบอปุ นยั (Deductive) แนวปฎิฐานนยิ มเปน็ หลัก การทดสอบความแม่นตรงของขอ้ มลู (Validity) ความเชอื่ ถือไดข้ องขอ้ มูล (Reliability) การวิจัยเชิงปริมาณ (Quantitative research) ใช้การเก็บข้อมูลจากคนจำนวนมากด้วย แบบสอบถาม คำถามในแบบสอบถามจึงจำเปน็ ต้องมีความชัดเจน ระยะเวลา การวจิ ัยเชงิ ปรมิ าณ (Quantitative research) ขั้นตอนการวิเคราะหข์ อ้ มูลสามารถแยกออกจาก การเก็บข้อมูลโดยเด็ดขาดได้ การวิเคราะห์ข้อมูลอาจให้เจ้าหน้าที่วิเคราะห์เชิงสถิติดำเนินการได้โดยไม่ จำเป็นตอ้ งมคี วามร้เู ก่ียวกบั ชมุ ชนทีไ่ ปศึกษา ข้ันตอนการวจิ ัยเชงิ ปริมาณ ประกอบดว้ ย 1. การเลือกหัวข้อเรื่องที่จะทำการวิจัย (Research a Topic) ในขั้นตอนแรกผู้วิจัยจะต้อง ตัดสนิ ใจให้แนช่ ัดเสยี ก่อนวา่ จะวิจัยเรื่องอะไร แลว้ กำหนดเป็นหัวเร่ืองทจ่ี ะวจิ ัย 2. การกำหนดปัญหาในการวิจัย (Formulating the Research Problem) เป็นการตั้งปัญหา ในเรื่องที่ต้องการวิจัยเพื่อหาคำตอบ หรือเป็นการแจกแจงวัตถุประสงค์ของการศึกษา โดยต้องกำหนด ขอบเขตของปัญหาให้ชดั เจน และเป็นปญั หาที่สามารถหาคำตอบได้ 3. การสำรวจวรรณกรรม (Extensive Literature Survey) เป็นการทบทวนเอกสารต่างๆ แนวคิดทางทฤษฎี และผลงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับหัวเรื่องที่ต้องการศึกษา เพื่อหาแนวคิดทางทฤษฎีท่ี เกี่ยวข้องกับการวิจัย และสำรวจให้แน่ใจว่าไม่วิจัยซ้ำกับผู้อื่น ทั้งนี้การวิจัยควรเน้นการเสริมสร้างใหเ้ กิด ความรใู้ หม่ 4. การตัง้ สมมตฐิ านการวิจัย (Formulating Hypothesis) เป็นการคาดคะเนคำตอบของปัญหา ในการวจิ ัย หรือคาดคะเนความสมั พนั ธ์ของตวั แปรต่างๆ ที่จะศึกษาไวล้ ว่ งหน้าแล้วจึงหาขอ้ มลู มาพิสูจน์ 5. การออกแบบการวิจัย (Research Design) เป็นการวางแผนกำหนดวิธีการในการดำเนินการ ในขั้นตอนต่าง ๆ เพื่อให้ได้มาซึ่งคำตอบของปัญหาในการวิจัย เช่นการเก็บข้อมูล การเลือกเครื่องมือใน การวเิ คราะหข์ ้อมลู ระยะเวลาท่ีตอ้ งใช้ในการวจิ ยั บุคลากรและงบประมาณท่จี ะใช้

๑๐ 6. การเก็บรวบรวมข้อมูล (Data Collection) เป็นการวางแผนว่าจะเก็บรวบรวมขอ้ มูลอย่างไร จะใช้ข้อมูลปฐมภูมิ หรือทุติยภูมิ และถ้าเป็นข้อมูลทุตยิ ภมู ิควรจะเก็บอย่างไร การสร้างเคร่ืองมือรวบรวม ขอ้ มูล ถา้ เป็นข้อมูลทตุ ยิ ภูมิจะใช้ข้อมูลจากแหลง่ ใด 7. การวิเคราะห์ข้อมูล (Data Analysis) ข้อมูลที่เก็บรวบรวมได้จะนำมาบรรณาธิการความ ถูกต้อง (การตรวจสอบความถูกต้อง) และความน่าเชื่อถือของข้อมูลก่อน จึงทำการประเมินผลและ วเิ คราะหผ์ ลทไี่ ด้และพสิ ูจน์กับสมมตบิ านท่ีตั้งไว้ 8. การเขียนรายงานผลการวิจัยและจัดพิมพ์เผยแพร่ (Research Report) เป็นขั้นตอนสุดท้าย ของการวิจัย ผู้วิจัยจะต้องเขียนรายงาน เพื่อให้ผู้อื่นทราบถึงกิจกรรมที่ดำเนินในขั้นตอนต่างๆ และสิ่งท่ี ค้นพบจากการวิจัย ซึ่งผู้วิจัยจะต้องเขียนรายงานตามรูปแบบของการเขียนรายงานการวิจัย และเขียน ดว้ ยความซ่อื สัตย์ในส่งิ ที่ค้นพบ

๑๑ การวิจยั เชิงคณุ ภาพ (Qualitative Research) การวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative Research) เป็นวิธีค้นหาความจริงจากเหตุการณ์ และ สภาพแวดล้อมที่มีอยู่ตามความเป็นจริง โดยพยายามวิเคราะห์ความสัมพันธ์ของเหตุการณ์กับ สภาพแวดล้อม เพ่ือให้เกดิ ความเขา้ ใจอย่างถ่องแท้ (Insight) จากภาพรวมของหลายมิติ ความหมายน้ีจึง ตรงกับความหมายของการวจิ ัยเชิงธรรมชาติ (Naturalistic Research) ซึ่งปล่อยให้สภาพทุกอยา่ งอยู่ใน ธรรมชาติ ไม่มกี ารจัดกระทำ (Manipulate) ส่ิงท่เี กีย่ วข้องใดๆเลย วัตถุประสงค์ การวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative research) มีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นการอธิบายปรากฏการณ์ ตา่ งๆทางสังคม (Contextual) ซ่งึ ปรากฏการณ์ทางสังคมบางประการ ทไี่ ม่สามารถอธิบายได้ด้วยเหตุผล ธรรมดาทั่วไปได้ จึงต้องพยายามทำความเข้าใจเกี่ยวกับขนบธรรมเนียมประเพณี วัฒนธรรมและ สภาพแวดลอ้ มต่างๆ เพือ่ นำมาอธิบายปรากฎการณท์ างสังคมท่ีนักวิจัยต้องการศึกษา ลักษณะของข้อมูล การวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative research) มีความต้องการข้อมูลที่รอบด้าน (Holistic) เพื่อเข้าใจบรบิ ทของสังคม ซ่งึ เปน็ แนวคิดพ้ืนฐานของงานวิจัย ที่ตอ้ งการศกึ ษาชุมชนหรือสังคมอย่างรอบ ด้าน มีการเก็บรายละเอียดเกี่ยวกับสภาพสิ่งแวดล้อม สังคม เศรษฐกิจ การเมือง การปกครอง ความเชื่อ พิธีกรรมอย่างละเอียด มีการวิเคราะห์ข้อมูลวัฒนธรรมและสังคมเพื่อทำความเข้าใจเกี่ยวกับปัญหาสังคม และวฒั นธรรมท้ังหมด วธิ กี ารเก็บขอ้ มลู การวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative research) เก็บข้อมูลจากแหล่งข้อมูลขนาดเล็ก ไม่เน้นการ สำรวจจากคนจำนวนมาก เทคนิคการวิจัยไม่แยกขั้นตอนของการเก็บข้อมูลกับการวิเคราะห์ข้อมูลออก จากกัน การเก็บข้อมูลใช้วิธีการสังเกตและการสัมภาษณ์ นอกจากนี้การเข้าไปอยู่ในชุมชนจะช่วยให้ได้ ขอ้ มลู หลายดา้ นมากขน้ึ การต้ังสมมตฐิ านและการทดสอบสมมติฐาน ไม่เน้นการตงั้ สมมติฐาน แต่ถ้ามีสมมติฐานนน้ั กอ็ าจปรับไดต้ ลอดเวลา ถ้าขอ้ มูลทีไ่ ด้มาน้ันช้ใี ห้เห็น ว่าสมมตฐิ านทีต่ ัง้ ไวไ้ ม่สอดคล้องกับสภาพข้อเท็จจรงิ การทดสอบความแมน่ ตรงของขอ้ มลู (Validity) ความเชือ่ ถือได้ของขอ้ มลู (Reliability) การวิจัยเชิงคุณภาพ จะไม่เน้นการใช้แบบสอบถาม การทดสอบความเชื่อถือได้และความถูกต้อง ของข้อมูลจะทำโดยนักวิจัยในขณะที่ทำการสัมภาษณ์ โดยดูว่าคำตอบที่ได้มาสอดคล้องกับบริบทของ ชมุ ชนและสังคมนนั้ ๆหรอื ไม่

๑๒ ระยะเวลา ใชเ้ วลาในการศกึ ษานานมากทำใหด้ เู หมือนได้งานน้อย แต่มคี วามลกึ ซึ้ง เพราะต้องใช้ผู้เช่ียวชาญ เฉพาะในการเกบ็ ขอ้ มูลการวิจยั เชงิ คุณภาพ ตอ้ งวิเคราะหข์ ้อมูลในขณะทเี่ กบ็ ข้อมูลในสนาม เพื่อ ตรวจสอบวา่ ข้อมูลถูกตอ้ งครบถ้วนหรอื ไม่ ข้ันตอนการวจิ ัยเชิงคณุ ภาพ ประกอบดว้ ย 1. การกำหนดปัญหาในการวจิ ัย ปัญหาท่ีใชก้ ารวิจัยเชงิ คณุ ภาพมี 2 ประเภท ไดแ้ ก่ การวิจัย ลักษณะทว่ั ไปของปรากฏการณ์ และการวจิ ยั ลักษณะเฉพาะเจาะจง เชน่ การวิจัยเพ่ือหาสาเหตุ ปัจจัย กำหนด กระบวนการ และผลกระทบ เป็นต้น ทั้งน้ีการศกึ ษาปรากฏการณ์เหล่านี้จะต้องเป็นการศึกษาท่ี มองรอบด้านและคำนึงถงึ บริบท (Context) ของปรากฏการณน์ น้ั ๆ 2. การสำรวจวรรณกรรม ผู้วิจัยต้องสำรวจวรรณกรรมเพื่อทบทวนว่ามีผู้ใดทำวิจัยในหัวข้อที่ ศึกษาหรือยัง และสรุปแนวคิดทางทฤษฎีที่เกี่ยวข้อง และที่เคยมีผู้ใช้มาก่อน เพื่อนำมาเป็นเครื่องมื อนำ ทางในการกำหนดกรอบแนวคดิ กวา้ ง ๆ 3. การเก็บรวบรวมข้อมูล เป็นการวิจัยเพื่อหาข้อสรุป หรือตั้งสมมติฐานจากข้อเท็จจริงที่พบ จากการวิจยั ผวู้ จิ ัยมีบทบาทสำคัญในการเก็บข้อมลู ท่ีจะไดม้ าจากการสังเกต จดบนั ทึก สมั ภาษณ์ และ ข้อมูลเอกสาร ดังนั้นผู้วิจัยต้องกำหนดตัวอย่าง และสนาม(หรือพื้นท่ี)ของการวิจัยให้ชัดเจน และต้อง รวบรวมข้อมูลทเ่ี ปน็ บรบิ ทของข้อมูล การเก็บรวบรวมข้อมูลเป็นขั้นตอนที่สำคัญของการวิจัยเชิงคุณภาพ เพราะผู้วิจัยจะต้องเก็บ รวบรวมข้อมูลด้วยตนเองโดยเข้าไปมีส่วนร่วมในเหตุการณ์ และใช้เทคนิคการสังเกตการณ์ การ สมั ภาษณ์ เพอ่ื ให้ได้ข้อมูลท่ีมคี วามละเอยี ดเกีย่ วกับโลกทัศน์ ความรู้สกึ ค่านิยม ประวัติ คุณลกั ษณะ 4. การวิเคราะห์ข้อมูลและเสนอรายงานผลการวิจัย การวิเคราะห์ข้อมูลในการวิจัยเชิงคุณภาพ จะใช้วธิ ีการจำแนกและจัดระบบข้อมูลเพื่อตอบคำถามวา่ คืออะไร เป็นอยา่ งไร และหาความสัมพันธ์ของ ข้อมูล แยกแยะเงื่อนไข เพื่อดูสาเหตุ ความสัมพันธ์ กระบวนการเปลี่ยนแปลงโดยไม่จำเป็นต้องใช้ เครอื่ งมือทางสถิติ หรือใช้เพ่ือรวบรวมจัดหมวดหมู่ กล่าวโดยสรุปคือ การวิจัยเชิงปริมาณ(Quantitative Research) เป็นการวิจัยที่มุ่งหา ข้อเท็จจริงและข้อสรุปเชิงปริมาณ เน้นการใช้ข้อมูลที่เป็นตัวเลขเป็นหลักฐานยืนยันความถูกต้องของข้อ ค้นพบ และสรุปต่างๆ มีการใช้เครื่องมือที่มีความเป็นปรนัยในการเก็บรวบรวมข้อมูลเช่น แบบสอบถาม แบบทดสอบ การสังเกต การสัมภาษณ์ การทดลอง เปน็ ตน้ ในทางตรงกนั ข้าม การวิจัยเชิงคุณภาพ(Qualitative Research) เป็นการวิจัยที่นักวิจัยจะต้องลงไปศึกษาสังเกต และกล่มุ บคุ คลทตี่ อ้ งการศึกษาโดยละเอยี ดทกุ ดา้ นในลกั ษณะเจาะลึก ใช้วธิ ีการสงั เกตแบบมสี ว่ นร่วม และ

๑๓ การสมั ภาษณแ์ บบไม่เป็นทางการเป็นหลักในการเกบ็ รวบรวมข้อมูลการวิเคราะห์ข้อมูลจะใช้การวิเคราะห์ เชงิ เหตผุ ลไมไ่ ด้มุง่ เกบ็ เปน็ ตัวเลขมาทำการ ความแตกต่างระหวา่ งการวิจยั เชงิ ปริมาณและการวิจยั เชงิ คุณภาพ ความแตกตา่ งระหว่างการวจิ ัยเชิงปริมาณและเชิงคณุ ภาพ โดยรวมๆแลว้ หมายถึง คุณลักษณะ ของข้อมูลที่นักวิจัยรวบรวมมาใช้ในการศึกษาวิจัย มีข้อสังเกตว่า เราสามารถตั้งสมมติฐานต่างๆ กัน ใน เรื่องธรรมชาติของความรู้ สมมติฐานที่แตกต่างกันนี้ได้ถูกแปลงไปเป็นการใช้ประเภทข้อมูลที่ต่างกัน นักวิจัยกลุ่มปฏิฐานนิยมตั้งสมมติฐานว่าเราสามารถสังเกตพฤติกรรมต่างๆ ได้ ทั้งยังสามารถวัดและ วิเคราะห์เป็นตัวเลขและในเชิงวัตถุวิสัยได้การใช้การวัดและวิเคราะห์เป็นตัวเลข เรียกกันว่าเป็นแนวทาง ศึกษาเชิงปริมาณ ซึ่งได้แก่การวิจัยที่เกี่ยวกับปริมาณที่สามารถวัดได้ ฉะนั้น เราอาจจะสนใจใน ความสัมพันธ์ระหว่างการลงทุนทางเศรษฐกิจในการกีฬา กับความสำเร็จในเวลาต่อมา เราอาจจะศึกษา เรื่องนี้โดยการวัดว่า เราได้ใช้จ่ายเงินลงทุนไปมากน้อยเท่าใดในกีฬาชนิดหนึ่ง (เช่น กีฬาฟุตบอล) และ วัดผลการแข่งขันในกีฬาประเภทน้ันได้แง่ของการนับเหรียญรางวัลในการแข่งขันครั้งสำคัญๆ เช่น กีฬาโอ ลิกปิก เป็นต้น วิธีนี้จะทำให้เราได้ข้อมูลเป็นตัวเลขมาจำนวนหนึ่ง ซึ่งจากนั้นจะนำมาวิเคราะห์ทางสถิติ เพื่อที่จะกำหนดว่า ระหว่างตัวแปรทั้งสองนั้น มีความสัมพันธ์กันหรือไม่ วิธีนี้ คือการวิจัยเชิงปริมาณ ตัว แปรนัน้ สามารถวดั ไดโ้ ดยตรงและแปลงไปใช้ในรูปของตัวเลขได้งา่ ย ซ่งึ จากน้นั กท็ ำการวเิ คราะห์ด้วยสถิติ (ฉะนน้ั จึงเกยี่ วขอ้ งอย่างใกลช้ ิดกบั กระบวนทัศนแ์ บบปฏฐิ านนยิ ม) ส่วนการวิจัยเชิงคุณภาพ มีเป้าหมายท่ีจะศึกษาในเชิงคุณภาพซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่สามารถจะวัดได้ คือ ไม่สามารถลดทอนลงเป็นตัวเลขได้ เชน่ ความร้สู ึก ความคิด ประสบการณ์ เป็นต้น ซ่ึงได้แก่ มโนทัศน์

๑๔ ท้ังหลายทเ่ี ก่ยี วขอ้ งกบั แนวทางศึกษาความรแู้ บบนัยนิยม การวจิ ัยเชิงคุณภาพใช้ข้อมูลและการวเิ คราะห์ที่ ไม่ใช่ตัวเลข เพื่อที่จะบรรยายและเข้าใจมโนทัศน์เหล่านั้น เพราะฉะนั้น นักวิจัยอาจจะใช้แนวทางศึกษา ทางเลือก เพื่อให้เข้าใจเจตนาของผู้ที่เข้าไปชมการแข่งขันต่างๆ โดยถามพวกเขาให้บอกเหตุผลว่าเพราะ เหตุใดพวกเขาจะไม่เข้าชมการแข่งขันในอนาคต ความคิดดังกล่าวเป็นสิ่งที่ยากจะแปลงเป็นตัวเลขได้ อย่างมีความหมาย และด้วยเหตุนั้นข้อมูลในรูปของถ้อยคำที่นักวิจัยนำมาใช้แปลเป็นตัวเลขได้อย่างมี ความหมาย และด้วยเหตุน้ันข้อมูลในรูปของถ้อยคำทีน่ กั วิจัยนำมาใช้แผลความหมายมีความเหมาะสมใน การวิจัยเชิงคุณภาพ ซึ่งไม่เหมือนกับเชิงปริมาณ ประเด็นเรื่อง “จำนวนเท่าไหร่” อาจจะไม่ใช่ประเด็นท่ี เกีย่ วขอ้ ง ขอ้ มูลเชงิ ปริมาณหรอื เชิงคุณภาพ การตัดสินใจที่จะเก็บรวบรวมข้อมูลเชิงปริมาณ (Quantitative data) หรือเชิงคุณภาพ (Quantitative data) ขึ้นอยู่กับธรรมชาติหรือลักษณะของคำถามการวิจัยและวัตถุประสงค์ของการวิจัย ของแต่ละคน เห็นได้ชัดว่าถ้าเราสนใจในการวัดปรากฏการณ์บางอย่าง ถ้าอย่างนั้นเราจำเป็นต้องเก็บ ข้อมูลเชิงปริมาณ ถ้าเราสนใจในความคิดหรือความรู้สึกของคนมากกว่า ถ้าอย่างนั้นสิ่งเหล่านี้ก็ยากที่จะ ทำให้เป็นเชงิ ปริมาณและข้อมูลเชงิ คุณภาพจะมีความเหมาะสมมากกว่า ไมม่ ีแนวทางศกึ ษาใดดีกว่าวิธีอ่ืน แต่ว่าแนวทางการศึกษาควรถูกกำหนดโดยคำถามการวิจัยมากกว่า ตัวอย่างเช่น อย่าตัดสินใจที่จะเก็บ ข้อมูล เชิงคุณภาพเพียงเพราะว่าเราไม่สบายใจกับการวิเคราะห์ด้วยวิธีการทางสถิติ จงแน่ในเสมอว่า แนวทางการศกึ ษาของเรามีความเหมาะสมกบั คำถามวิจัย มากกวา่ ทักษะหรือความพอใจสว่ นตัว การผสมผสานข้อมลู เชงิ ปรมิ าณและเชิงคณุ ภาพ เราอาจตัดสนิ ใจทจี่ ะใช้ข้อมูลผสมกันระหว่างข้อมูลเชิงปริมาณกับข้อมูลเชิงคณุ ภาพ แต่ในเร่ืองนี้ มีความเห็นแตกต่างกัน นักวิชาการบางคนกล่าวว่าทั้งสองแบบเข้ากันไม่ได้เนื่องจากมันใช้สมมติฐานทาง ญาณวิทยาที่แตกต่างกัน นักวิชาการท่านอื่นกล่าวว่าเนื่องจากปัญหาข้อจำกัดด้านเวลาความจำเป็นที่จะ จำกัดขอบเขตของการศึกษาและความยุ่งยากของการตีพิมพ์ผลการศึกษาเหล่านั้นนับเป็นปัจจัยที่เป็น อุปสรรคต่อการวิจัยที่ใช้ข้อมูลผสมผสานกันทั้งข้อมูลเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพ การผสานกันระห ว่าง วิธีการวิจัยเชิงคุณภาพและเชิงปริมาณอาจทำให้ได้ผลผลิตสุดท้ายที่สามารถแสดงให้เห็นคุณประโยชน์ อย่างสำคัญของวธิ กี ารวจิ ยั ทง้ั สองแบบอยา่ งเดน่ ชัด อย่างไรก็ดี สิ่งสำคัญก็คือว่า แนวทางศึกษาของเราจะต้องเหมาะสมกับคำถามการวิจัยมากกว่า ความพอใจส่วนตัวของเราเอง เราสามารถใช้วิธีผสมระหว่างการวิจัยเชิงประมาณกับเชิงคุณภาพได้ใน ลกั ษณะตอ่ ไปน้ี 1. วิธีการหนึ่งช่วยสนบั สนุนอีกวิธีการหนึ่ง ฉะนั้น งานวิจัยเชิงปริมาณส่วนหนึ่งอาจชี้ให้เห็นว่ามี เหตุการณบ์ างอยา่ งเกดิ ข้ึน ซึง่ จากนนั้ จะสามารถอธบิ ายได้โดยการเกบ็ ข้อมูลเชิงคุณภาพ

๑๕ 2. วิธีทั้งสองศึกษาปัญหาเดียวกัน เราอาจใช้วิธีการเชิงปริมาณเก็บรวบรวมข้อมูลค่อนข้างไม่ ซับซ้อน (Simple) หรือข้อมูลตัวเลขจากกลุ่มตัวอย่างขนาดใหญ่ ในขณะที่วิธีการเชิงคุณภาพอาจจะเกบ็ รวบรวมขอ้ มูลทล่ี ะเอยี ดลกึ จากกลุ่มตัวอยา่ งขนาดทเ่ี ล็กกวา่ สิ่งหนึ่งที่ควรจะต้องพิจารณาตั้งแต่เริ่มแรกก็คือว่า เรามีเวลาและทรัพยากรที่จะดำเนินการวิจัย แบบพหุวิธี (MultiMethods) คือ การใช้วิธีวิจัยต่างๆ เพื่อศึกษาคำถามการวิจัยต่างๆ ที่เกี่ยวกับ ปรากฏการณ์อย่างเดยี วกนั ) หรือแบบวิธผี สม (Mixed Methods) คือ ซึ่งใชส้ องวิธีวิจัยศกึ ษา คำถามการ วจิ ยั อย่างเดียวกัน) บอ่ ยครัง้ ทีว่ ิธีการศกึ ษาเช่นนั้นต้องใชเ้ วลาและเงนิ มากกวา่ และเรื่องน้ีเป็นส่ิงท่ีจะต้อง พจิ ารณาอยา่ งสำคัญ โดยเฉพาะอยา่ งยิ่งถ้าเรามขี ้อจำกดั เกย่ี วกบั เวลาและทรพั ยากร การวิจัยเชิงปริมาณ กบั การวจิ ัยเชิงคุณภาพ Leedy และ Ormrod (2005:104) ได้อธิบายเกี่ยวกับลักษณะของการวิจัยเชิงปริมาณ และการ วิจัยเชิงคุณภาพ ในเชิงเปรียบเทียบสรุปสาระสำคัญได้ว่า โดยทั่วไป งานวิจัยเชิงปริมาณใช้เพื่อตอบ คำถามที่เป็นความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปร โดยมีเป้าหมายที่จะ อธิบาย ทำนาย และควบคุม สถานการณ์ ต่าง ๆ(ที่สนใจ) วิธีการนี้บางครั้งเรียกว่า traditional, experimental หรือ positivist approach ใน ด้านงานวิจัยเชิงคุณภาพนั้น ใช้เพื่อตอบคำถามเกี่ยวกับปรากฏการณ์ทางธรรมชาติที่ซับซ้อน มักใช้เพ่ือ เป้าหมายในการสร้างความเข้าใจหรือบรรยายปรากฏการณ์จากทัศนะของผู้อยู่ในเหตุการณ์ วิธีเชิง คุณภาพนอ้ี าจเรยี กวา่ เป็น interpretive, constructive หรือ post positivist approach การวจิ ยั เชงิ ปริมาณ มกั จะเริม่ ต้นด้วยการมสี มมตุ ิฐานที่ตอ้ งทดสอบ มีตวั แปรท่ีสนใจศกึ ษา ชดั เจน มีการควบคุมตัวแปรภายนอกไม่ให้มาเก่ียวข้องกบั ผลวจิ ัยทีก่ ำลังศึกษา ใช้วธิ ีการมาตรฐานใน การรวบรวมขอ้ มลู เชิง-ปรมิ าณในรปู แบบต่าง ๆ ใช้วิธีการทางสถติ ิในการวเิ คราะห์ และหาขอ้ สรุปจาก ข้อมูล ส่วนการวิจัยเชิงคุณภาพ มักเริ่มต้นด้วยคำถามวิจัยทั่ว ๆไปมากกว่าจะเป็นสมมุติฐานที่เฉพาะ เจาะจง ทำการรวบรวมข้อมูลที่เป็นคำพูดบรรยายจากผู้ร่วมเหตุการณ์ซึ่งเป็นกลุ่มขนาดเล็ก จัดการกับ ข้อมูลในลกั ษณะหาความสอดคล้อง ตีความ เพ่ือหาคำอธบิ ายสถานการณท์ ี่ศึกษา การวิจัยเชิงปริมาณมัก จบลงด้วยการสนับสนุนหรือไม่สนับสนุนสมมุติฐานที่ทดสอบ ขณะที่การวิจัยเชิงคุณภาพ ซึ่งมักจบลงดว้ ย คำตอบที่เป็นแนวโน้ม หรือข้อเสนอสมมุติฐานที่ต้องการทดสอบต่อไปด้วย การทำวิจัยเชิงปริมาณ ใน แนวทางดังกล่าววิธเี ชิงปริมาณ และเชงิ คณุ ภาพ จึงมีลักษณะของการเสริมเติมเต็มในกระบวนการวิจัยซึ่ง กันและกนั Leedy (1993 : 139-140) รายงานว่า ในชว่ งปลาย ค.ศ. 1950 การวิจยั ทางจิตวทิ ยาใชว้ ิธเี ชงิ คุณภาพมากอ่ นเปน็ สว่ นใหญ่ เพราะในช่วงนั้นการวัดเชงิ ปรมิ าณของตวั แปรตา่ ง ๆยงั ไมเ่ จรญิ จนหลงั ค.ศ. 1960 วธิ ีการวัดเจรญิ มากข้ึน การวจิ ยั เชิงปริมาณจงึ เป็นที่นยิ มมากจนปจั จบุ นั จงึ อาจกลา่ วได้วา่ การวิจัยเชิงปริมาณเกดิ ข้นึ ในชว่ ง ค.ศ. 1960 นั้นเอง ตง้ั แตน่ ั้นมา วิธีการวจิ ัยเชิงคุณภาพ กับวธิ กี ารวจิ ัย เชงิ ประมาณจงึ ปรากฏควบคกู่ ัน การวิจยั เชงิ คณุ ภาพได้รับความสนใจมากขึน้ กเ็ พราะนักวิจยั เร่ิมตระหนักวา่ มใิ ชท่ ุกปัญหาวิจัย

๑๖ จะหาคำตอบได้ดว้ ยวิธเี ชงิ ปรมิ าณ บางปัญหาวธิ ีการวจิ ัยเชิงคณุ ภาพอาจหาคำตอบไดด้ กี วา่ การวจิ ยั เชงิ คุณภาพมจี ดุ เด่นอย่างนอ้ ย 5 ประการ ตามท่ี Kerlinger และ Lee (2000 : 589) ระบไุ ว้ไดแ้ ก่ “ ประการแรก ใช้การสังเกตโดยตรง หรือการสัมภาษณ์แบบกึ่งมีโครงสร้าง ในการศึกษากับ สภาพการณจ์ ริง ประการที่สอง นักวิจัยค้นหาความเชื่อมโยงทางสังคม และปฏิสัมพันธ์ระหว่างบุคคลและ เหตกุ ารณ์ ประการที่สาม กระบวนการเก็บรวบรวมข้อมูลมีโครงสร้างน้อยกว่าการวิจัยเชิงปริมาณ จึง สามารถยดื หยุ่นไดม้ ากกว่า ประการทสี่ ี่ นกั วิจยั เชิงคุณภาพอาจทำการปรบั วิธีการไดต้ ลอดช่วงของการเก็บรวบรวมข้อมลู ประการทหี่ า้ นักวจิ ยั ยงั อาจพัฒนาสมมุตฐิ านขน้ึ ได้ระหว่างกระบวนการวิจัย” การวิจัยเชิงคุณภาพนั้นมีความเป็นธรรมชาติ เน้นการมีส่วนร่วม และให้ความสำคัญกับการ ตีความตามแนวความคิดของนักวิจัยที่มีประสบการณ์ (Creswell, 1998; Glesne & Peshkin, 1992) เห็นว่า การออกแบบการวิจัยเชิงปริมาณ และการวิจัยเชิงคุณภาพ มีความเหมาะสมสำหรับการตอบ คำถามทีต่ ่างกนั ในแง่ของการแสวงหาคำตอบ เราได้ความรู้ทกี่ วา้ งขวางขน้ึ เม่ือเราใช้ 2 วธิ กี าร คอื ทง้ั เชงิ ปรมิ าณและเชิงคณุ ภาพในงานวิจัยหนึ่งๆ มากกว่าทเ่ี ราจะจำกดั ตวั เองอยเู่ พยี งวิธกี ารใดวิธกี ารหน่งึ เพียงวิธเี ดยี ว ฉะนน้ั ถ้านำวธิ กี ารของการวิจยั เชงิ คุณภาพมาเสรมิ กบั วิธกี ารวจิ ัยเชงิ ปรมิ าณ ก็น่าจะทำให้ งานวจิ ัย มพี ลังในการแสวงหาคำตอบไดม้ ากย่ิงข้นึ เพราะเหตุใดจงึ ต้องมีการเสริมกันระหว่างวธิ ีการเชิงปริมาณและวธิ กี ารเชิงคุณภาพ เหตุผลประการแรก กเ็ พราะทั้งสองวธิ กี ารต่างมีความสำคัญ ซ่ึง Datta (1994) เห็นว่ามอี ยา่ ง นอ้ ย 5 ประการคือ 1) ได้มกี ารใช้ท้ังวธิ กี ารเชิงปริมาณ และวิธีการเชงิ คุณภาพมานานแล้ว 2) นักวิจัย และนักประเมินจำนวนมากใช้ท้ังสองวธิ ีดังกลา่ ว 3) แหล่งทนุ ไดใ้ ห้การสนบั สนนุ ท้งั สองวธิ ี 4) ทง้ั สอง วธิ ตี ่างมีอิทธิพลในเชิงนโยบาย และ 5) มกี ารสอนกนั มากทั้งสองวธิ ีในสถาบนั ต่าง ๆเหตุผลประการที่สอง เพราะทั้งสองวิธี ต่างก็มีข้อจำกัดในตัวเอง (Tashakkori & Teddlie,1998: 97) กล่าวคือ จุดอ่อนของ การวิจัยเชงิ ปริมาณก็คือบางครั้งดำเนินการในหอ้ งทดลอง หรือสถานการณท์ ีส่ รา้ งข้ึน แม้จะมีการควบคุม อย่างดีแต่บางครัง้ ผลไม่อาจสรปุ อ้างอิงไปยังสภาพที่เป็นธรรมชาติได้ ในทางตรงข้ามการวิจัยเชิงคณุ ภาพ ศึกษาในสภาพธรรมชาติ ซึ่งผลของการวิจัยอาจเป็นลักษณะเฉพาะเจาะจงเสียจนไม่สามารถสรุปอ้างอิง ไปส่บู รบิ ทอืน่ ได้ ดว้ ยข้อแตกต่างระหว่างการวิจัยเชิงปรมิ าณกบั การวจิ ัยเชิงคุณภาพดังกล่าว ทำใหไ้ มม่ เี หตุผล ท่ี จะทำให้นักวิจัยต้องเลอื กวีธีใดวิธีหนึ่งเพื่อการศึกษาในแต่ละคร้ัง นักวิจัยอาจเลือกทั้งสองวิธีการประกอบ กัน ซ่งึ อาจเรียกวา่ เป็น a mixed method design กลา่ วไดว้ า่ ทงั้ วธิ ีการวจิ ัยเชงิ ปริมาณ และวิธีการวิจยั เชงิ คุณภาพตา่ งมคี วามสำคัญ ต่างมจี ุดเดน่

๑๗ และมขี อ้ จำกัดของตนเอง ถา้ ได้นำมาเสรมิ กันจะช่วยเพม่ิ จุดเดน่ และลดจดุ ออ่ น เพ่มิ ความน่าเช่อื ถือ ของการวิจัย และความครอบคลุมชดั เจนของผลการวิจัยย่งิ ข้นึ ขณะที่ Padgett (1998 อ้างถึงใน Kerlinger & Lee, 2000 : 592) ได้ออกแบบการวิจัยที่ ผสมผสานระหว่าง 2 วิธี เป็น 3 แบบ การผสม 2 วิธีที่เป็นเชงิ ปรมิ าณกับเชิงคุณภาพ เข้าด้วยกันเรียกวา่ วิจัยแบบพหุวธิ (ี multimethods) โดยสาระสำคญั คอื วธิ ที ่ี 1 เรม่ิ ต้นด้วยวธิ เี ชงิ คณุ ภาพแลว้ ดำเนินการด้วยวิธีการเชิงปริมาณ แลว้ กลับไปใช้เชงิ คุณภาพอกี วิธีเชงิ คุณภาพใช้เพ่ือสำรวจ กำหนดความคิด สมมตุ ิฐาน และตัวแปร ที่อยู่ในกรอบความคิด ของนักวิจัย ซึ่งทำได้โดยใช้การสังเกต สัมภาษณ์ หรือ focus group จากความคิดรวบยอดที่ได้จาก การศึกษาสว่ นของเชิงคณุ ภาพนี้ สามารถศึกษาต่อได้ด้วยวิธีการเชิงปริมาณและทำการทดสอบสมมุติฐาน จากนนั้ อาจเชือ่ มโยงผลขน้ั สุดท้ายกับสภาพทเ่ี ปน็ จรงิ ดว้ ยวธิ กี ารเชิงคุณภาพ วิธีที่ 2 ใช้วิธีเชิงปริมาณในขั้นแรก และตามด้วยวิธีการเชิงคุณภาพ ผลจากส่วนการศึกษาเชิง ปริมาณ ใช้เป็นจุดเริ่มต้นสำหรับส่วนที่เป็นเชิงคุณภาพต่อไป Padgett (1998 อ้างถึงใน Kerlinger &Lee, 2000 : 592) เห็นว่าการศึกษาเชิงปริมาณจำนวนมากสามารถใช้ประโยชน์จากการวิเคราะห์เชิง คุณภาพ วธิ ีการเชิงคุณภาพสามารถตอบคำถามบางคำถามท่ไี มอ่ าจตอบได้โดยการศึกษาเชงิ ปริมาณ จากที่กล่าวมาจะเห็นว่า พัฒนาการของการใช้วิธีการวิจัยนั้น เริ่มตั้งแต่ monomethod study ส่mู ixed method study จนถงึ mixed model study ซึ่งมคี วามซับซ้อนและใชร้ ะเบียบวิธขี ั้นสงู ย่ิงขึ้น ตง้ั แตก่ ่อน คศ. 2000 เป็นตน้ มาจนถงึ ปัจจัน (ค.ศ. 2009) ซึง่ กส็ บิ กว่าปีแลว้ วิธีการวิจัยได้ เจรญิ กา้ วหน้าไปมากจนกลา่ วได้ว่า ในขณะนี้รูปแบบหลักของการวิจยั มี 3 รปู แบบ คือ การวิจัยเชงิ ปรมิ าณ การวจิ ัยเชงิ คุณภาพ และการวจิ ยั แบบผสม (mixed methods research) ส่งิ ทมี่ าผสมกนั ในรูป ท่สี ามนี้ คือ การวจิ ัย 2 รูปแบบแรกนั่นเอง การผสมของสองรูปแบบแรกนี้ อาจเปน็ การผสมครงึ่ ต่อคร่ึง หรือการผสมแบบมีรปู แบบหลักรว่ มกบั รปู แบบรอง

๑๘

๑๙ สรุป การวิจัยแบบผสมผสาน(Mixed Methods Research) เทคนิควิธีวิจัยแบบนี้เป็นการนำเทคนิค วิธีการวิจัยเชิงปริมาณและ เทคนิควิธีการวิจัยเชิงคุณภาพมาผสมผสานกันในการทำวิจัยเรื่องเดียวกัน เพื่อที่จะตอบคำถามการวิจัยได้สมบูรณ์ขึ้นกว่าในอดีต มีพื้นฐานแนวคิด จากการหลอมรวม ปรัชญาของ กลมุ่ ปฏิฐานนยิ ม และกลมุ่ ปรากฎการณน์ ยิ มเขา้ ด้วยกนั อาจเรียกว่า เป็นกลมุ่ แนวคิด ของกลุ่มปฏบิ ตั ินิยม (Pragmatist) ซึ่งมีความเชื่อว่าการยอมรับธรรมชาติของความจริงนั้นมีทั้งสองแบบตามแนวคิด ของนัก ปรัชญาทั้งสองกลุ่ม

๒๐ ตวั อย่างงานวิจัยแบบผสมผสาน (Mixed Methods Research) ช่อื เร่ืองงานวจิ ยั ยุทธศาสตรก์ ารพัฒนาการจัดการเรยี นการสอนทเี่ นน้ ผเู้ รยี นเป็นสำคัญ ผู้วิจัย ที่ปรกึ ษา : กรณีศึกษาของโรงเรยี นบดินทรเดชา(สิงห์ สงิ หเสนี)๒กรุงเทพมหานคร The Development of Strategy for Child-Centered Education : A Case Study Of Bodindeacha (Sing Singhaseni) 2 School Methodology บุญสม เลศิ พเิ ชฐ ปรชั ญาดุษฎบี ัณฑติ สาขายุทธศาสตร์การพัฒนา มหาวิทยาลัยราชภฎั พระนคร 2551 ดร.ทรงพล สุขกิจบำรุง ประธานกรรมการ ดร.สพุ จน์ พนั ธนียะ กรรมการ

๒๑ บทนำ จากกระแสโลกาภิวฒั นท์ ่ีเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว ในปัจจุบนั ความก้าวหน้าของเทคโนโลยี สารสนเทศและการส่อื สาร การเปลี่ยนแปลงทางด้านเศรษฐกจิ สงั คม และการเมืองการปกครอง ก่อใหเ้ กิดปัญหาหลายด้านตามมา อาทิ การกระจายรายได้ ปญั หาสังคมและปญั หาสิ่งแวดล้อม เป็นตน้ ดงั นั้น เพอ่ื ให้ประเทศมีศกั ยภาพในการแข่งขันกบั นานาประเทศ แนวทางในการพัฒนาประเทศจึงตอ้ งให้ ความสำคัญกบั การพัฒนาคน ควบคูก่ บั การพัฒนาดา้ นอื่นๆ ด้วยการใชก้ ารศกึ ษา พัฒนาความรู้เป็น รากฐานในการพัฒนาคน เพราะการศกึ ษาเปน็ กระบวนการท่ชี ่วยให้คนไดพ้ ฒั นาในด้านตา่ ง ๆ ตลอด ชว่ งชวี ติ การจัดกิจกรรมการเรียนการสอนในโรงเรยี นจงึ เป็นสง่ิ สำคัญยิง่ ท่ีจะสง่ ผลตอ่ อนาคตของผ้เู รยี น ในภายภาคหน้า การจัดการเรยี นการสอนต้องมงุ่ พฒั นาผู้เรยี นทง้ั ภาพรวม หมายถงึ การพฒั นาให้ผู้เรียน เติบโตและมีความพร้อมในทุกๆ ดา้ น ทัง้ ทางด้านร่างกาย อารมณ์ จติ ใจ สงั คม และสติปัญญา (สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาแหง่ ชาติ. 2542 ข : 6 ) แตใ่ นสภาพปัจจุบนั การจัดกจิ กรรมการเรยี น การสอนในโรงเรียนเนน้ การใหค้ วามรู้ด้านทฤษฎีมากเกินไป ไมไ่ ด้ให้ความรูด้ า้ นทกั ษะตลอดจนการมี ปฏสิ มั พันธก์ ับผเู้ รียน อกี ท้ังการสอนยงั คงเน้นการเล่าบอกตามตำรา โดยยงั ขาดเรือ่ งการเสรมิ สร้างพฒั นา บุคลิกภาพและการปลูกฝงั ลักษณะนิสยั ทดี่ ใี ห้แก่ผู้เรยี น จึงมีความจำเป็นที่หน่วยงานทเ่ี กี่ยวข้องจะตอ้ งเรง่ พัฒนาคณุ ภาพการศึกษาเพ่อื สรา้ งสงั คมไทยใหเ้ ป็นสงั คมแห่งการเรียนรู้ ในการพัฒนาคณุ ภาพการศกึ ษา ให้เกดิ ประสิทธิภาพ และประสิทธผิ ล มปี จั จัยสำคัญหลายประการ ประกอบด้วยหลักสูตร กระบวนการ เรยี นการสอน ครูและบุคลากรทางการศกึ ษา และกระบวนการบรหิ ารจดั การ ผู้วิจัยได้นำยุทธศาสตร์การพัฒนาการจัดการเรียนการสอนที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ และท่ี สังเคราะห์จากงานวิจัยต่างๆที่เกี่ยวข้องจำนวน 8 ยุทธศาสตร์มาประยุกต์ใช้ อันประกอบด้วย ยุทธศาสตร์ที่ 1 การเรียนรู้ตามสภาพที่เป็นจริง ยุทธศาสตร์ที่ 2 การเรียนรู้ที่สมดุล ยุทธศาสตร์ที่ 3 การ เรียนรู้ที่แสวงหาความรู้ ยุทธศาสตร์ที่ 4 การเรียนรู้ที่ทำและอยู่ร่วมกัน ยุทธศาสตร์ที่ 5 การเรียนรู้ที่มี บุคลิกภาพส่วนตัว ยุทธศาสตร์ที่ 6 การเรียนรู้ที่ผู้เรียนสร้างความรู้ ยุทธศาสตร์ที่ 7 การสอนเพื่อการคิด และยุทธศาสตร์ท่ี 8 การเรยี นรู้ดว้ ยตนเอง

๒๒ วัตถุประสงค์ของการวจิ ัย 1. เพอ่ื ศกึ ษาบริบทของโรงเรียนบดินทรเดชา (สิงห์ สิงหเสน)ี 2 ทเ่ี กี่ยวข้องกบั การจัดการเรยี น การสอนทีเ่ นน้ ผูเ้ รียนเป็นสำคัญ 2. เพอื่ พัฒนาและกำหนดยุทธศาสตรก์ ารจัดการเรยี นการสอนที่เนน้ ผู้เรียนเปน็ สำคัญ ให้ สอดคล้องกบั บริบทของโรงเรยี นบดินทรเดชา (สิงห์ สิงหเสน)ี 2 ขอบเขตการวจิ ยั ประชากรและกลุ่มตวั อย่าง ได้แก่ ครูและบคุ ลากรทางการศกึ ษาของโรงเรยี นบดินทรเดชา (สงิ ห์ สิงหเสนี ) 2 เครื่องมือทใ่ี ช้ในการวิจยั เป็นแบบสอบถามปลายเปิดและแบบสอบถามปลายปิด วธิ วี ิจัย แบบของการวจิ ัย เป็นการวิจยั แบบผสมผสานเชงิ ปริมาณและเชิงคุณภาพ โดยใชก้ ารวิเคราะห์ จดุ อ่อน จุดแขง็ โอกาส และอปุ สรรค สร้างตัวชี้วดั และความสมดลุ ของกระบวนการปฏิบัติงาน ไดแ้ ก่ ด้านการเงนิ ดา้ นผูเ้ รียน ดา้ นการบรหิ ารภายใน ด้านการเรยี นร้แู ละพฒั นาเติบโต จนไดป้ ัจจยั สู่ ความสำเรจ็ ด้วยเทคนคิ เดลฟาย ประชากร ไดแ้ ก่ ครูและบคุ ลากรทางการศกึ ษาของโรงเรียนฯ ทง้ั หมดจำนวน 150 คน กล่มุ ตัวอย่าง ได้แก่ ประชากรท้ังหมด เครือ่ งมอื ท่ใี ช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบสอบถามที่ผ้วู ิจัยสร้างขนึ้ เป็นแบบสอบถามปลายเปิดและ ปลายปิดเป็นข้อมูลภาคสนาม มีแนวทางในการดำเนนิ การวิจยั การเกบ็ รวบรวมข้อมูล ผูว้ ิจัยเปน็ ผู้ดำเนินการเก็บข้อมลู ด้วยตนเอง การวิเคราะหข์ ้อมูล ใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์สำเรจ็ รปู SPSS for Windows ยุทธศาสตร์การพัฒนาการจดั การเรยี นการสอนทีเ่ น้นผเู้ รยี นเปน็ สำคญั (Development Strategy Management of Child-centered Education) หมายถึง ยุทธวิธกี ารพฒั นาเพอ่ื การ จัดการเรียนรูข้ องผู้เรียน ได้เรยี นรตู้ ามศักยภาพแหง่ ตนและมีการปฏิบตั ใิ ห้ดีทส่ี ดุ จากสภาวการณ์ ต่างๆ เพอ่ื นำสู่เปา้ หมายทีต่ ้องการโดยมียทุ ธศาสตร์การพฒั นา 8 ยุทธศาสตร์ ดังต่อไปนี้ ยุทธศาสตร์ที่ 1 การเรียนร้ตู ามสภาพจรงิ (Authentic Learning ) หมายถงึ การเรยี นรดู้ ้วย วิธกี ารเรียนของผ้เู รียนจากประสบการณ์จรงิ โดยใชก้ ระบวนการคดิ ของตนแล้วบนั ทึกผลจากการปฏิบัติ จรงิ เชอ่ื มโยงจากความเปน็ จรงิ ตามความพร้อมและความสามารถของตน ยทุ ธศาสตรท์ ่ี 2 การเรยี นรทู้ ีส่ มดุล(Equilibrium Learning) หมายถงึ การเรียนรูเ้ พอื่ รูว้ ธิ ี

๒๓ เรียนด้วยตนเอง เกีย่ วกับความดี ความงาม มคี วามพร้อมทั้งทางร่างกาย อารมณ์ สงั คมและ จิตใจ กล้าแสดงออกอยา่ งเหมาะสมและสรา้ งสรรค์ ยุทธศาสตร์ท3ี่ การเรยี นรู้ท่ีแสวงหาความรู้(Learning to Knowledge Management) หมายถึง การเรยี นรทู้ ผี่ เู้ รยี นใฝส่ นใจเรยี นรขู้ ้อมลู ท่ีต้องการและเพม่ิ เติมจากส่ิงท่ีมีอยเู่ ดิม ด้วยวธิ ีการสืบ เสาะหาความรู้ สืบค้นขอ้ มูลทตี่ ้องการและรจู้ ักการแกป้ ัญหาอยา่ งมรี ะบบ ยทุ ธศาสตร์ที่ 4 การเรยี นร้ทู ีท่ ำและอยูร่ ่วมกนั (Cooperative Learning) หมายถงึ ผ้เู รียนมี วธิ กี ารเรียนรใู้ ห้เข้าใจความรสู้ ึกของผอู้ นื่ เม่ือทำงานอยรู่ ่วมกนั กำหนดบทบาทหน้าทใ่ี นการทำงานอย่าง ชัดเจน มกี ารระดมสมองใช้กระบวนการกลุ่มในการแก้ปญั หา โดยมุ่งผลสำเร็จของงาน ยุทธศาสตร์ที่ 5 การเรียนรู้ทม่ี ีบุคลกิ ภาพส่วนตัว (Learning to good personality) หมายถึง การเรยี นรู้ท่ีผูเ้ รียนได้รบั การพัฒนาตนเองอยา่ งตอ่ เนอ่ื งตามลำดบั ขั้นตอนท่เี ปน็ ระบบจนเสริมสร้างเปน็ บุคลิกภาพส่วนตวั สามารถแสดงออกท่ีสรา้ งสรรค์และอิสระอยา่ งเหมาะสมตรงไปตรงมา โดยไม่ลว่ งเกนิ สิทธขิ องผอู้ ื่น ยทุ ธศาสตร์ท่ี 6 การเรียนรทู้ ีผ่ เู้ รียนสรา้ งความรู้ (Constructivist Learning) หมายถึง การ เรยี นรูท้ ่ผี ู้เรียนพบความรู้ด้วยตนเอง มีการแลกเปลีย่ นเรียนรู้ แลว้ สร้างส่ิงใหม่ดว้ ยตนเองภายใตค้ วามรู้ พืน้ ฐานที่มีอย่กู ับผเู้ รยี น และนำความรทู้ ี่ได้ไปใช้แกป้ ญั หาในชีวติ จริง ยทุ ธศาสตร์ท่ี 7 การสอนเพ่ือการคิด (Teaching for Thinking) หมายถงึ การกระตนุ้ ให้ผเู้ รยี น เกดิ ทักษะการคิดดา้ นปญั ญา ด้วยการต้ังคำถาม ให้บันทกึ ข้อสงสัยในเร่อื งการเรยี นรู้ของตน โดยการ ฝกึ วิเคราะห์และประเมนิ ดว้ ยตนเอง ยทุ ธศาสตร์ท่ี 8 การเรยี นรู้ด้วยตนอง (Self study) หมายถึง ผเู้ รียนรู้จกั ใฝแ่ สวงหาความรู้ ด้วยตนเอง ยดึ หลกั ความรบั ผิดชอบและหน้าที่ของตนเปน็ สำคญั และต้องมคี วามพรอ้ มในส่วนตน ผลการวจิ ัย ครูมกี ารจัดการเรียนการสอนตามยุทธศาสตร์ที่ 5 การเรยี นรู้ทีม่ ีบคุ ลิกภาพส่วนตวั มากที่สดุ และ ตามยทุ ธศาสตรท์ ่ี 1การเรียนร้ตู ามสภาพที่เปน็ จริง นอ้ ยที่สดุ เคร่ืองมือแบบสอบถามทค่ี รูและบุคลากรทางการศกึ ษามีการปฏบิ ตั มิ ากทสี่ ุดคือ การเรยี นรู้ทมี่ ี บคุ ลกิ ภาพสว่ นตัว (ยุทธศาสตร์ท่ี 5 มคี า่ เฉลยี่ = 4.16 และ S.D = 0.50 และน้อยท่ีสุด คอื การเรียนรู้ ตามสภาพจรงิ (ยุทธศาสตร์ที่ 1 = 3.73, S.D = 0.55) เมื่อนำมาเปรยี บเทียบ พบว่า มคี วามแตกต่าง อย่างมีนัยสำคัญทางสถติ ิ = 0.31 นนั่ คือ ไมพ่ บความแตกต่าง ส่วนเพศ ระดับการศึกษา มีความแตกตา่ ง กนั อยา่ งมีนยั สำคัญทางสถิติทร่ี ะดับ 3.7 น่นั คือ ไม่พบความแตกตา่ งกัน การปฏบิ ัตใิ นการจดั การเรยี นการสอนท่เี น้นผู้เรียนเปน็ สำคัญในแนวคดิ Balanced Scorecard ดา้ นการบริหารภายใน มีการปฏบิ ัติอยใู่ นระดบั มากที่สดุ ( = 4.39, S.D 0.50) พบว่าครู เพศชาย มกี ารปฏบิ ตั ิด้านการเงินและดา้ นการบริหารภายในอยู่ในระดบั มากท่สี ุด ( = 4.27 และ 4.46) ตามลำดบั

๒๔ อภปิ รายผล ครมู ีการจัดการเรียนการสอนตามยทุ ธศาสตร์ที่ 5 การเรียนรทู้ ี่มีบคุ ลกิ ภาพส่วนตวั มากท่ีสดุ การ พฒั นาการจดั การเรียนการสอนท่ีเนน้ ผเู้ รยี นเป็นสำคญั อยู่ในระดับมาก เมื่อพจิ ารณารายยทุ ธศาสตร์ พบวา่ ครมู ีการปฏิบัตริ องลงมา คอื ยทุ ธศาสตร์ท่ี 4 และการเรยี นรู้ท่ีแสวงหาความรู้ คอื ยุทธศาสตร์ท่ี 3 ตามลำดับ หากแต่การจัดการเรียนการสอนการเรียนรตู้ ามสภาพที่เป็นจริง (ยทุ ธศาสตร์ท่ี 1) มี ค่าเฉล่ียต่ำกว่ารายยทุ ธศาสตร์อืน่ ๆ การสอนในแนวคิด Balanced Scorecard โดยครมู ีการปฏิบัตดิ ้าน การบริหารภายในมากที่สุดของแต่ละดา้ น เม่ือศกึ ษาความสัมพนั ธ์ระหวา่ งข้อมลู พ้ืนฐานกบั ยทุ ธศาสตร์ การพฒั นาการจดั การเรียนการสอนทเ่ี นน้ ผู้เรียนเปน็ สำคญั ของโรงเรยี นบดนิ ทรเดชา (สิงห์ สงิ หเสน)ี ๒ พบว่า เพศ กบั ยทุ ธศาสตรก์ ารพฒั นาการจัดการเรียนการสอนท่เี นน้ ผเู้ รยี นเปน็ สำคญั เกือบทกุ ยุทธศาสตร์ มีความสัมพนั ธก์ ันอยา่ งไม่มีนัยสำคัญ ระดบั การศกึ ษา ยทุ ธศาสตรท์ ี่ 1,2,6 และ 7 มีความสัมพันธก์ นั อยา่ งมีนัยสำคญั ประสบการณท์ ำงานกบั ยทุ ธศาสตร์การพัฒนาการจดั การเรยี นการสอนทีเ่ นน้ ผเู้ รียนเป็น สำคญั ทกุ ยทุ ธศาสตรม์ คี วามสมั พันธ์กันอย่างไม่มีนัยสำคญั สว่ นเพศ ระดับการศึกษาและประสบการณ์ ทำงาน ความสัมพนั ธ์ระหวา่ งขอ้ มลู พนื้ ฐานกับยุทธศาสตร์การพฒั นาการจดั การเรยี นการสอนในแนวคดิ Balanced Scorecard ทุกด้านมีความสัมพันธก์ ันอย่างไมม่ ีนยั สำคญั

๒๕ ขอ้ เสนอแนะ ข้อเสนอแนะในการวิจยั คร้ังนี้ 1. ควรมีการทดสอบยทุ ธศาสตร์การพฒั นาการจดั การเรยี นการสอนที่เนน้ ผู้เรียนเปน็ สำคัญทกุ ภาคเรียน เพื่อจะไดพ้ ฒั นาผเู้ รยี นได้ดแี ละสม่ำเสมอ 2. ควรมีการสร้างสอ่ื ร่วมเกย่ี วกบั ยุทธศาสตร์การพฒั นาการจัดการเรียนการสอนท่เี นน้ ผเู้ รียนเป็น สำคญั ให้ผ้เู รยี นร่วมกันคดิ ร่วมกันทำ จะได้ส่ือใชใ้ นการเรียนการสอนที่เนน้ ผ้เู รียนมากขนึ้ สร้างความ ภูมใิ จและมีความสขุ ในตัวผ้เู รียน

๒๖ บรรณานุกรม https://www.gotoknow.org › posts Translate this page บุญสม เลศิ พเิ ชฐ ปรัชญาดุษฎบี ณั ฑิต สาขายุทธศาสตรก์ ารพัฒนา มหาวิทยาลัยราชภฎั พระนคร กรณีศึกษาของโรงเรยี นบดนิ ทรเดชา(สงิ ห์ สิงหเสนี)๒กรุงเทพมหานคร


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook