simplifying IT
ความรเู้ บ้ืองต้นเกีย่ วกับคอมพวิ เตอร์วัตถปุ ระสงคเ์ ชิงพฤติกรรม 1. อธิบายลกั ษณะเด่นของคอมพิวเตอร์ได้ 2. อธบิ ายววิ ฒั นาการตา่ งๆ ของคอมพิวเตอร์ในแตล่ ะรนุ่ ได้ 3. บอกความแตกต่างของคอมพิวเตอร์ในแต่ละยคุ ได้ 4. บอกประโยชน์ของคอมพวิ เตอรใ์ นการใชง้ านท่ัวไปได้ 5. จาแนกประเภทของคอมพวิ เตอร์ได้ 6. อธบิ ายลกั ษณะทวั่ ไปเก่ยี วกับคอมพวิ เตอรย์ ุคใหม่ได้ 7. อธิบายปญั หาและข้อจากดั ของการใช้งานดว้ ยคอมพิวเตอร์ได้ ปัจจบุ ันจะเห็นได้ว่าคอมพิวเตอร์เข้ามามีบทบาทกบั ชวี ิตประจาวันอยา่ งมากมาย โดยเฉพาะการนาไปประยุกต์ใช้ในงานด้านต่างๆ เช่น การสารองท่ีนั่งของสายการบิน การประมวลผลข้อมูลการเลือกต้ัง หรือการนาเอาคอมพิวเตอร์ไปใช้กับระบบตรวจสอบผลการเรียนผ่านเครือข่าย เป็นต้น กิจกรรมต่างๆ เหล่าน้ีแสดงให้เห็นว่าการใช้งานเทคโนโลยดี ้านคอมพิวเตอร์นนั้ มแี นวโน้มท่ีเพิ่มมากขึ้นและเปล่ียนแปลงอย่างรวดเร็ว
การใช้งานคอมพิวเตอร์ไม่ได้จากัดอยู่แค่เพียงสถานท่ีใดที่หน่ึงอีกต่อไป เราสามารถใช้งานได้ทุกแห่ง(Anywhere) ไม่ว่าจะเป็นห้องทางาน ห้องนอน ห้องนั่งเล่น หรือแม้แต่ตามสถานท่ีสาธารณะต่างๆ เน่ืองด้วยการพัฒนาขดี ความสามารถในการทางานท่งี ่ายและสะดวกมากยิ่งขึน้ นนั่ เอง รูปท่ี 1.1 การใช้งานคอมพิวเตอรท์ ี่ไมจ่ ากัดสถานท่ีลักษณะเดน่ ของคอมพวิ เตอร์คอมพวิ เตอร์โดยทวั่ ไปทเ่ี ราพบเหน็ กนั ในปัจจบุ นั นัน้ มีคุณสมบตั พิ นื้ ฐานซึ่งพอจะแยกออกได้ดังนี้ ▪ ความเป็นอัตโนมัติ (Self Acting) คอมพิวเตอร์ประดิษฐ์ข้ึนด้วยอุปกรณ์ทางอิเล็กทรอนิกส์ มีการ จัดเก็บหรือแปลงข้อมูลให้อยู่ในรูปแบบของสัญญาณไฟฟ้าซ่ึงเป็นแบบท่ีคอมพิวเตอร์เข้าใจ โดยการ ประมวลผลของคอมพิวเตอร์จะทางานแบบอัตโนมัติภายใต้คาส่ังท่ีถูกกาหนดไว้ การทางานดังกล่าว จะเริ่มต้ังแต่การนาข้อมูลเข้าสู่ระบบ การประมวลผล และแปลงผลลัพธ์ออกมาให้อยู่ในรูปแบบที่ มนษุ ย์สามารถเข้าใจได้ ▪ ความเร็ว (Speed) คอมพิวเตอร์จะประมวลผลข้อมูลด้วยความเร็วสูง ต่างจากการประมวลผลใน อดีตที่อาศัยแรงงานของมนุษย์และได้ผลลัพธ์ที่ช้ากว่ามาก งานบางอย่างหากใช้แรงงานคนอาจ เสียเวลาหลายวัน หรือหลายสัปดาห์ในการคิดและประมวลผล แต่หากนาเอาคอมพิวเตอร์มาใช้ก็จะ ช่วยลดเวลาและให้ผลลัพธ์ได้ภายในไม่กี่นาที ความรวดเร็วในการประมวลผลดังกล่าวมีความจาเป็น อย่างมากต่อการดาเนินงานธุรกรรมในปัจจุบัน ผลลัพธ์ที่ได้จากการคานวณด้วยคอมพิวเตอร์น้ันจะ ช่วยใหผ้ ู้บริหารนาเอาไปใช้ประโยชนใ์ นการตัดสินใจหรือดาเนนิ งานไดอ้ ยา่ งรวดเรว็ ▪ ความถูกต้องและแม่นยา (Accuracy) คอมพิวเตอร์จะให้ผลลัพธ์ท่ีถูกต้อง แม่นยา และมีความ ผิดพลาดน้อยท่ีสุด การใช้แรงงานคนเพ่ือประมวลผลเป็นเวลานานๆ อาจเกิดความผิดพลาดได้ เนื่องมาจากความอ่อนล้า เช่น การลงรายการผิดหรือบันทึกข้อมูลผิดประเภท ตรงกันข้ามกับ คอมพิวเตอร์ท่ีสามารถทางานได้อย่างต่อเน่ือง และทางานซ้าๆแบบเดิมได้เป็นอย่างดี ท้ังนี้ข้ึนอยู่กับ การนาเข้าขอ้ มูลที่ถูกต้องด้วย เน่ืองจากคอมพิวเตอร์ไม่สามารถทราบได้ว่าข้อมูลที่ผู้ใช้ป้อนเข้ามานั้น
เป็นอย่างไร ผิดหรือถูก หากมีการป้อนข้อมูลที่ผิด โปรแกรมหรือชุดคาส่งั อาจประมวลผลตามท่ีได้รับ ข้อมูลมาเช่นน้ัน ผลลัพธ์ก็จะออกมาไม่ถูกต้อง ซึ่งไม่ใช่ความผิดพลาดของคอมพิวเตอร์ แต่เป็นความ ผดิ พลาดของผใู้ ชเ้ อง เป็นต้น ▪ ความน่าเช่ือถือ (Reliability) ข้อมูลท่ีได้จากการประมวลผลของคอมพิวเตอร์ จะมีความน่าเช่ือถือ และสามารถนาไปใช้ประโยชนอ์ ื่นๆ ตอ่ ไปได้ โดยเฉพาะในปจั จบุ นั ซึ่งมีฮาร์ดแวร์ท่ผี ลติ ข้ึนด้วยอปุ กรณ์ อิเล็กทรอนิกส์สมัยใหม่ มีการคิดค้นและพัฒนาให้ดีกว่ายุคสมัยก่อนที่มีการใช้เพียงแค่หลอด สุญญากาศ การประมวลผลด้วยคอมพิวเตอร์ในปัจจุบันจึงมีความผิดพลาดต่ามาก หรือแทบไม่เกดิ ข้ึน เลย น่ันคือการมคี วามนา่ เชอื่ ถอื สงู น่นั เอง ▪ การจัดเก็บข้อมูล (Storage Capability) คอมพิวเตอร์สามารถจัดเก็บข้อมูลได้หลากหลายรูปแบบ ทั้งข้อมูลที่เป็นข้อความธรรมดาหลายๆ ลา้ นตัวอักษร เพลง ภาพถ่าย วิดีโอ หรือไฟล์ขอ้ มูลขนาดใหญ่ จานวนมาก โดยมีหน่วยเก็บข้อมูลเฉพาะเป็นของตนเอง ช่วยให้การจัดเก็บและถ่ายเทข้อมูลทาได้ สะดวกมากยง่ิ ข้นึ ปัจจุบนั หนว่ ยเกบ็ ข้อมลู มีความจุมากขน้ึ และราคาถูกลงกว่าเดมิ มาก ▪ ทางานซ้าๆ ได้ (Repeatability) คอมพิวเตอร์สามารถทางานซ้าๆ กันได้หลายรอบ ช่วยลดปัญหา เร่ืองความอ่อนล้าจากการทางานของแรงงานคน นอกจากน้ันยังลดความผิดพลาดต่างๆ ไดด้ ีกว่าด้วย ข้อมูลที่ประมวลผลแม้จะยุ่งยากหรือซับซ้อนเพียงใด ก็สามารถคานวณและหาผลลัพธ์ได้อย่างรวดเร็ว การคิดหาผลลัพธ์ของงานที่มีลักษณะซ้าๆ แบบเดิม เช่นการบันทึกรายการบัญชีประจาวัน การลง รายการสินค้าเข้า-ออกในระบบสินค้าคงคลังท่ีเกิดข้ึนเป็นประจาจึงเหมาะอย่างย่ิงต่อการนาเอา คอมพิวเตอร์ไปใชง้ าน ▪ การติดต่อสื่อสาร (Communication) ด้วยเทคโนโลยีการส่ือสารที่ก้าวหน้าไปมาก เราจึงสามารถ เชอ่ื มต่อคอมพิวเตอร์หลายๆ เครื่องเข้าหากัน เป็นเครือข่ายได้ ไม่วา่ จะเปน็ เครือข่ายภายในบา้ น หรือ ระดับเครือข่ายใหญ่ๆ ขององค์กรต่างๆ ทาให้การประมวลผลมีประสิทธิภาพมากยิ่งข้ึน และไม่จากัด อยู่เพยี งแค่พน้ื ทีใ่ ดพืน้ ทีห่ นึ่งอีกตอ่ ไปววิ ัฒนาการกอ่ นจะมาเป็นคอมพิวเตอร์ ตัง้ แต่ยุคสมันดึกดาบรรพ์เป็นตน้ มา มนุษยเ์ รามีความพยายามท่ีจะคิดคน้ เครอ่ื งไม้เครอ่ื งมือต่างๆ เพ่ือนามาช่วยในการนับและคานวณ เร่ิมต้ังแต่การใช้นิ้วมือในการนับตัวเลขหนึ่งถึงสิบ แต่เมื่อค่าตัวเลขมีเพิ่มมาก
ข้ึนวิธีน้ีก็ทาได้อย่างจากัด มนุษย์จึงพยายามหาสิ่งใกล้ตัวมาช่วยนับเพ่ิม เช่น ก้อนกรวด หิน หรือแท่งไม้จากนั้นจึงได้คิดค้นวิธีการที่จะทาให้การนับน้ันง่ายข้ึนกว่าเดิม มีการพัฒนากลไกที่ใช้ในการคานวณ จนวิวัฒนาการมาเป็นคอมพิวเตอร์ในปัจจุบัน ซ่ึงสามารถสรุปเพื่อให้เห็นภาพท่ีชัดเจนข้ึนโดยแบ่งออกเป็น 4 ยุคดว้ ยกนั คอื ▪ ยุคกอ่ นเครอ่ื งจักรกล (Premechanical) ▪ ยคุ เคร่อื งจกั รกล (Mechanical) ▪ ยคุ เครอ่ื งจกั รกลระบบอเิ ลก็ ทรอนิกส์ (Electromechanical) ▪ ยุคเครอ่ื งอิเลก็ ทรอนกิ ส์ (Electronic)ยคุ กอ่ นเครือ่ งจักรกล (Premechanical) รปู ที่ 1.2 ววิ ัฒนาการของเคร่ืองมือช่วยนับและการคานวณในยคุ ก่อนเครื่องจกั รกล (Premechanical) เม่ือวิวัฒนาการทางสังคมของมนุษย์มีความเจริญมากขึ้น การใช้นิ้วมือหรือก้อนหินมาช่วยนับก็เริ่มมีข้อจากัด เน่ืองจากไม่สามารถนับหรือคานวณหาค่าตัวเลขจานวนมากๆ ได้ มนุษย์จึงพยายามคิดค้นเครื่องมือช่วยนบั ทด่ี กี ว่าเดมิ ด้วยการสร้างระบบตัวเลขขน้ึ มา ตัวอยา่ งเคร่อื งมือในยคุ นีไ้ ดแ้ ก่แผ่นหนิ ออ่ นซาลามสิ (Salamis Tablet)
ชาวบาบิลอน บนเกาะซาลามิส ได้สร้างขึ้นเม่ือประมาณ 300 ปีก่อนคริสตกาล เป็นแผ่นกระดานหินอ่อนขนาดใหญ่ (Counting Board) ประมาณความยาว 149 ซม. กวา้ ง 75 ซม. และหนา 4.5 ซม. ตัวแผ่นหินจะมีกลุ่มเส้นบรรทัดวางเรียงกันเป็นกลุ่มๆ แต่ละกลุ่มมีเส้นบรรทัดลากต้ังฉากแบ่งออกไป และมีกลุ่มของสัญลักษณ์ตัวเลขเขียนอยู่ตรงขอบแผ่นหินรอบๆ ท้ังด้านซ้าย ขวา และด้านล่าง เพ่ือเอาไว้ช่วยทาเครื่องหมายในการนับตวั เลข รปู ท่ี 1.3 แผ่นหินอ่อนซาลามิส (Salamis Tablet) เครือ่ งมือช่วยนับของมนษุ ย์ยคุ แรกๆลูกคดิ (Abacus) เคร่ืองมอื ชว่ ยนบั ทป่ี ะเทศจีนคดิ ค้นข้นึ ราวปี ค.ศ. 1200 เพ่ือใหน้ ับจานวนงา่ ยและรวดเร็วมากขึ้น ชาวจนี เรียกอุปกรณช์ นิดนีว้ ่า \"Suan-Pan\" (ชว่ น-ผาน) โดยนาไปใช้ในเชงิ การค้าและแพรห่ ลายไปยงั นานาประเทศเชน่ ญ่ปี ุ่น รัสเซยี และโซนยุโรปในเวลาตอ่ มา ลกู คดิ ทปี่ ระดษิ ฐข์ ึน้ มาในแต่ละแห่งอาจมีรปู แบบแตกต่างกันไปบา้ ง แต่กย็ ังคงใช้หลักการเดยี วกนั ดว้ ยขนาดท่ีกระทดั รัดและมีความเรยี บงา่ ย จึงเปน็ เครื่องมือช่วยในการนบัของมนุษย์ท่ีมีมายาวนานและนยิ มใช้กนั มาจนถงึ ปัจจบุ ัน รปู 1.4 \"Suan-Pan\" (ชว่ น-ผาน) ลูกคดิ ทีป่ ระดิษฐ์ขน้ึ โดยชาวจีนแทง่ คานวณของเนเปยี ร์ (Napier's Bone)
จอห์น เนเปียร์ (John Napier) นักคณิตศาสตร์ชาวสก๊อตได้สร้างขึ้นประมาณปี ค.ศ. 1612 ซึ่งเป็นเคร่ืองมือท่ีประกอบด้วยแท่งไม้ตีเส้นเป็นตารางคานวณหลายๆ แท่งเอาไว้ใช้สาหรับคานวณ แต่ละแท่งจะมีตัวเลขเขียนกากับไว้ เมื่อต้องการผลลัพธ์ก็จะหยบิ แทง่ ท่ใี ช้ระบุตัวเลขแต่ละหลักมาอ่านกับแท่งดรรชนี(Index)ทมี่ ตี ัวเลข 0-9 ก็จะได้คาตอบ รูป 1.5 John Napier กับเคร่ืองมือชว่ ยนับทเ่ี รียกวา่ Napier's Bone ภาพ : www.history.mcs.st-andrews.ac.uk/PicDisplay/Napier.htmlไมบ้ รรทดั คานวณ (Slide Rule) จอห์น วิลเลียม ออดเทรด (John William Oughtred) สร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1622 ซ่ึงนาเอาหลักการของเนเปียร์มาพัฒนา โดยนาค่าต่างๆ มาเขียนไว้บนแท่งไม้สองอัน เม่ือนามาเลื่อนต่อกันก็จะหาผลลัพธ์ท่ีต้องการได้ ตัวเลขหรือค่าที่เอามาเขียนนั้นจะกาหนดเป็นอัตราส่วนระยะทาง (Log Scale) ทาให้สามารถวัดหรือหาค่าได้โดยง่าย ไม้บรรทัดคานวณหรือ Slide Rule เป็นต้นแบบของการพัฒนาคอมพิวเตอร์แบบอนาล็อกที่อาศัยหลักการวัด ปัจจุบันยังมีให้เห็นและใช้งานกันอยู่บ้าง โดยเปล่ียนวัสดุท่ีใช้ผลิตจากแผ่นไม้ มาเปน็ แผน่ เหลก็ และพลาสตกิ มากขน้ึ มขี นาดท่ีเล็กลงและใช้งานได้งา่ ย
รปู ที่ 1.6 William Oughtred ผคู้ ิดค้นไม้บรรทัดคานวณ (Slide Rule) ท่ีมีใช้กนั มาจนถงึ ปัจจบุ นัยคุ เคร่อื งจักรกล (Mechanical) รูปท่ี 1.7 ววิ ฒั นาการของเครื่องมือคานวณในยคุ เครอ่ื งจักรกล (Mechanical) เมื่อมนุษย์มีวิวัฒนาการในการผลิตเครื่องไม้เคร่ืองมือต่างๆ ท่ีดีขึ้น จึงก่อให้เกิดแนวคิดการสร้างเครื่องจักรกลโดยอาศัยการทางานของฟันเฟืองเข้ามาช่วยอานวยความสะดวกมากข้ึน โดยเฉพาะอย่างย่ิงกับการคานวณทีย่ งุ่ ยากและซับซอ้ นมากๆ ตวั อย่างเคร่ืองทีอ่ ยู่ในยคุ สมัครเครือ่ งจักรกลได้แก่นาฬิกาคานวณ (Calculating Clock) วิลเฮล์ม ชิคการ์ด (Wilhelm Schickard) แห่งมหาวิทยาลัยเทอร์บิงเจน (University of Tubingen)ประเทศเยอรมันนี ได้สร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1623 โดยใช้แนวคิดของเนเปียร์มาประยุกต์ใช้ หลักการทางานของเครื่องจะอาศัยตวั เลขต่างๆ บรรจบุ นทรงกระบอกจานวน 6 ชดุ แลว้ ใช้ฟันเฟอื งเปน็ เคร่ืองหมนุ ทดเวลาคูณเลขซง่ึ ถือได้วา่ เขาเป็นผู้ที่ประดษิ ฐ์เครือ่ งกลไกสารบั คานวณได้เป็นคนแรก
รปู ที่ 1.8 Wilhelm Schickard กบั นาฬิกาคานวณทเี่ ขาประดิษฐ์ขน้ึ ภาพ : www.cs.wikipedia.org/wiki/Wilhelm_Schickardเครือ่ งคานวณของปาสคาล (Pascaline Calculator) เบลส์ ปาสคาส (Blaise Pascal) นักคณติ ศาสตร์ชาวฝรั่งเศส เป็นผู้คิดค้นขนึ้ มาในปี ค.ศ. 1642 โดยมีลักษณะเป็นกล่องสี่เหลี่ยม หลักการคานวณจะอาศัยการหมุนของฟันเฟืองหน่ึงอัน หากถูกหมุนครบ 1 รอบฟันเฟืองอีกอันหนึ่งทางด้านซ้ายจะถูกหมุนไปด้วยในเศษ 1 ส่วน 10 รอบ เช่นเดียวกันกับการทดเลข สาหรับผลการคานวณจะดูได้ท่ีช่องด้านบน เครื่องมือน้ีใช้ได้ดีในการคานวณบวกและลบเท่าน้ัน ส่วนการคูณและหารยังไมด่ เี ทา่ ไรนัก รปู ที่ 1.9 Blaise Pascal กับเครอื่ งบวกเลขทชี่ อ่ื วา่ Pascaline Calculator ภาพ : www.nl.wikipedia.org/wiki/Blaise_Pascal
เครอ่ื งคานวณของไลบ์นิช (Leibniz Wheel) ในปี ค.ศ. 1674 กอตต์ฟรีด วิลเฮล์ม ไลบ์นิช (Gottfried Wilhelm Leibniz) นักคณิตศาสตร์ชาวเยอรมันได้ปรบั ปรุงเคร่ืองคานวณของปาสคาลให้มปี ระสทิ ธิภาพดีขึ้นกวา่ เดมิ โดยปรับฟันเฟืองใหม่ให้สามารถคูณและหารได้ เคร่ืองคานวณนเี้ รยี กวา่ Leibniz Wheel หรอื เรียกอีกช่อื หนึ่งวา่ Stepped Reckoner รูปท่ี 1.10 Gottfried Wilhelm Leibniz กบั เครือ่ งมือช่วยคานวณทเี่ รยี กวา่ Leibniz Wheel ภาพ : www.lrz.de/wir/leibniz/เครอื่ งทอผ้าของแจคการด์ (Jacquard's loom) ในปี ค.ศ. 1801 โจเซฟ มารี แจคการ์ด (Joseph Marie Jacquard) นักประดิษฐ์ชาวฝรั่งเศส ได้พยายามพัฒนาเครื่องทอผ้าให้สามารถควบคุมลวดลายท่ีต้องการได้เองโดยอัตโนมัติ เพื่อให้ผู้ที่ไม่มีความชานาญในการทอผ้าสามารถใช้งานได้อย่างง่ายดาย โดยนาเอาตัวบัตรเจาะรูที่เป็นแม่แบบของลวดลายผ้าใส่เขา้ ไปในเครื่องตวั น้ีการทอหรอื ยกลายตามแม่แบบชุดคาสัง่ (รทู ีเ่ จาะไวด้ า้ นบนบัตร) ก็จะทาได้เองโดยอัตโนมัติซ่ึงเปน็ แนวคิดทกี่ อ่ ให้เกดิ การสรา้ งคอมพิวเตอรใ์ ห้ทางานได้ตามชดุ คาสัง่ ในเวลาต่อมา รปู ที่ 1.11 Joseph Marie Jacquard กับเครื่องทอผ้าที่ประยุกต์ใช้บตั รเจาะรูมาควบคุมลวดลายของผ้า ภาพ : www.computerhistory.org/tdih/July/7เครือ่ ง Difference Engine
ปี ค.ศ. 1822 ชาร์ลส แบบเบจ (Charles Babbage) นักวิทยาศาสตร์ชาวอังกฤษแห่งมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ (University of Cambridge) ได้พยายามเสนอแนวคิดให้เคร่ืองจักรกลสามารถคานวณงานที่ซับซ้อนมากๆ โดยให้ทางานได้ตามคาสั่งและเกิดข้อผิดพลาดน้อยท่ีสุด แต่การพัฒนาเครื่อง DifferenceEngine ยังมีข้อผิดพลาดของการทางานภายในตัวเคร่ืองอยู่มากเนื่องจากเทคโนโลยีของอุปกรณ์การผลิตในสมัยนั้นยงั ไม่ดีพอที่จะผลิตตามแบบที่เสนอไว้ได้ แนวคิดดังกล่าวจึงถูกพักไว้ และถูกยกเลิกไปในท่ีสุด เคร่ืองท่ีผลติ ออกมาจึงทางานไดแ้ ค่เพยี งบางส่วนเท่าน้ันรูปที่ 1.12 Charles Babbage กับเครื่อง Difference Engine ทีย่ งั สรา้ งไม่เสร็จและถูกพฒั นาตอ่ ในภายหลงั ภาพ : www.en.wikipedia.org/wiki/Charles_Babbageเครือ่ ง Analytical Engine เป็นเคร่ืองจักรกลอีกชนิดท่ีชาร์ลส แบบเบจ ได้พยายามเสนอแนวคิดข้ึนมาในปี ค.ศ. 1834 เพ่ือต้องการให้คานวณได้กับงานแทบทุกชนิดและต้องทางานตามคาสั่งได้ (Programmable) โดยอาศัยแนวคิดของแจคการ์ดที่นาบัตรเจาะรูมาใช้ควบคุมลวดลายการทอผ้า แบบร่างของเครื่อง Analytical Engine จะอาศยั องค์ประกอบในการทางานซงึ่ แบ่งเปน็ ส่วนๆ ดังน้ี ▪ Input Device อาศัยบตั รเจาะรูในการนาขอ้ มูลเข้าส่ตู ัวเคร่ือง ▪ Arithmetic Processor เปน็ สว่ นทีท่ าหน้าทค่ี านวณเพ่อื หาผลลัพธ์ ▪ Control Unit สาหรับคอยควบคุมและตรวจสอบงานท่จี ะนาออกวา่ ได้ผลลัพธ์ท่ีถูกต้องหรอื ไม่ ▪ Memory เปน็ สว่ นสาหรับการเก็บตัวเลขเพือ่ รอการประมวลผล แนวคิดดังกลา่ วเป็นเสมือนต้นแบบของเครอ่ื งคอมพิวเตอร์ในยุคปจั จุบัน ดงั น้ันเขาจึงได้รับสมญานามว่าเป็น \"บิดาแห่งคอมพิวเตอร\"์ สมัยใหม่ (เคร่อื ง Analytical Engine สร้างสาเรจ็ ในปี ค.ศ.1910 โดยเฮนร่ี ลูกชายของแบบเบจ)
รปู ท่ี 1.13 Analytical Engine ทถ่ี ูกนามาสร้างในภายหลังตามแนวคิดของ Charles Babbage ภาพ : www.ds.haverford.edu/bitbybit/bit-by-bit-contents/chapter-two/2-7-the-analytical-engine ถึงแม้คนอื่นในสมัยนั้นจะไม่เห็นด้วยกับแนวคิดนี้ แต่เลด้ี ออกุสต้า เอด้า ไบรอน (Augusta AdaByron) ซึ่งรู้จักและติดต่อกับแบบเบจมาตลอด มีความเช่ือว่าเครื่องมือชนิดนี้จะสามารถนามาทางานคานวณขน้ั สูงและพัฒนาให้งานในวงการวทิ ยาศาสตรก์ า้ วหนา้ ขึน้ ได้ รูปท่ี 1.14 Augusta Ada กับข้นั ตอนในการต้ังคาสงั่ ของเครอ่ื งและจดหมายที่เขยี นถึง Charles Babbage ภาพ : www.mate.uprh.edu/museo/mujeres/ada.htm ในปี ค.ศ. 1842 เพื่อช่วยเผยแพร่แนวคิดนี้ให้กว้างขวางมากย่ิงข้ึน เธอจึงได้เขียนขั้นตอนในการตั้งคาสั่งของเคร่ืองนี้ลงในหนังสือ Taylor's Scientific Memories ซ่ึงคล้ายกับการเขียนโปรแกรมในยุคปัจจุบันมากทสี่ ุด เธอจึงได้รบั การยกยอ่ งว่าเป็น \"โปรแกรมเมอร์คนแรกของโลก\"ยคุ เครื่องจักรกลระบบอเิ ล็กทรอนิกส์ (Electromechanical)
รปู ท่ี 1.15 วิวฒั นาการของเครอ่ื งมือในการคานวณยุคเครอื่ งจกั รกลระบบอเิ ล็กทรอนกิ ส์ (Electromechanical)ในยุคน้ีตัวเคร่อื งจะใช้เคร่ืองจักรกลร่วมกับระบบกระแสไฟฟ้าในการทางาน มีการประมวลผลโดยอาศัยวงจรที่ประกอบด้วยหลอดสุญญากาศ (Vacuum Tube) แต่ก็ทาให้เปลืองต้นทุนในการบารุงรักษามากพอสมควรเพราะหลอดสุญญากาศน้ีมอี ายุการใช้งานทสี่ น้ั และต้องเปลีย่ นหลอดอยบู่ ่อยๆ คอมพิวเตอร์ในยุคน้ีช่วงแรกๆ ได้นาเอาไปใช้ในการทางานของภาครัฐ รวมถึงภารกิจทางด้านการทหารนอกจากนนั้ กจ็ ะอย่ใู นแวดวงของการศึกษาในระดบั สงู ตัวอย่างของคอมพิวเตอร์ในยุคน้ี ไดแ้ ก่เครื่อง Tabulating Machine ในเดือนมิถุนายนปี ค.ศ. 1890 ดร.เฮอร์แมน ฮอลเลอริธ (Herman Hollerith) นักสถิติที่สานักงานสถิติแห่งชาติของสหรัฐอเมริกา ได้พัฒนาระบบเพื่อใช้ประมวลผลสาหรับการสามะโนประชากรของประเทศสหรัฐขึ้นโดยเก็บข้อมูลลงบนบัตรเจาะรู (Punch Card) ที่ทางานร่วมกับเครื่อง Tabulating Machine ซึ่งสามารถประมวลผลขอ้ มูลไดเ้ ร็วกว่าเดิมมาก ต่อมาเขาจึงได้ผันตัวเองมาเป็นนักธุรกิจอย่างเต็มตัวเพื่อต้ังบริษัทข้ึนในปี ค.ศ. 1896 และนาเอาเครือ่ งมือนี้ไปใช้ในการสามะโนประชากรในอกี หลายประเทศ เชน่ รัสเซีย ออสเตรีย แคนาดา ฝรัง่ เศส นอรเ์ วย์เป็นต้น จากน้ันขยายงานเพ่ือจัดต้ังบริษัทใหม่ข้ึนมาชื่อว่า CRT (Computing-Tabulating-RecordingCompany) ต่อมาได้ร่วมทุนจัดตั้งบริษัทใหม่ร่วมกับบุคคลอื่นและเปลี่ยนช่ือเป็น IBM (InternationalBusiness Machines) เมอื่ ปี ค.ศ. 1924
รูปที่ 1.16 Dr.Herman Hollerith กับเครือ่ ง Tabulating Machine ทีใ่ ชใ้ นการสามะโนประชากร ภาพ : www.computerhistory.org/revolution/punched-card/2/2/6เครอ่ื ง ABC (Atanasoff-Berry-Computer) ในปี ค.ศ. 1942 ดร.จอห์น วี อตานาซอฟฟ์ (John V. Atanasoff) อาจารย์สาขาฟิสิกส์แห่งมหาวิทยาลัยไอโอวา (Iowa State University) ได้รว่ มมือกับลูกศิษยข์ องเขา คือ คลิฟฟอรด์ เบอร์ร่ี (CliffordBerry) สร้างเครอ่ื งมือท่ีอาศยั การทางานของหลอดสุญญากาศเพื่อนามาช่วยในงานประมวลผลท่ัวไป โดยเรียกเคร่ืองคอมพิวเตอร์น้ีว่าเคร่ือง \"ABC\" (เป็นการตั้งช่ือโดยการนาเอาชื่อของท้ังสองมารวมกันคือ Atanasoffและ Berry) รปู ท่ี 1.17 Dr. John V. Atanasoff กบั ลูกศิษย์ชอื่ Clifford Berry กบั เครื่องคอมพวิ เตอร์ ABC ภาพ : www.history-computer.com/People/AtanasoffBio.htmlเครอ่ื ง Colossus คิดค้นโดยนักวิทยาศาสตร์ชาวองั กฤษ ชื่ออลัน ทัวร่ิง (Alan Turing) ร่วมกับทีมงานของทอมม่ี ฟลาวเวอร์ (Tommy Flowers) และ เอ็ม.เอช.เอ. นิวแมน (M.H.A. Newman) สร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1943 ซ่ึงอยู่ในช่วงสงครามโลกคร้ังท่ีสอง โดยมีจุดประสงค์หลักเพ่ือถอดรหัสลับของฝ่ายทหารเยอรมันที่ใช้ในการ
ติดต่อสื่อสารกัน เพื่อนาไปใช้ประโยชน์เพ่ือการวางแผนและทาสงครามนั่นเอง ซ่ึงต้นแบบการทางานของเครือ่ งกจ็ ะคลา้ ยกับเครื่อง Analytical Engine ของแบบเบจ รปู ท่ี 1.18 Turing, Flowers และ Newman กับเครื่องถอดรหสั ลบั Colossus ทใ่ี ช้ในสงครามโลกครงั้ ที่ 2 ภาพ : www.history-computer.com/ModernComputer/Electronic/Colossus.htmlเครือ่ ง Mark หรอื IBM Automatic Sequence Controlled Calculator ในปี ค.ศ. 1944 ศาสตราจารย์โฮวาร์ด ไอเคน (Howard Aiken) แห่งมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด(Harvard University) ได้สร้างเคร่ืองจักรกลระบบอิเล็กทรอนิกส์ตามหลักการของแบบเบจได้เป็นผลสาเร็จโดยใช้ชื่อว่า Mark I (ได้รับเงนิ อุดหนุนท้ังหมดสาหรบั การวจิ ัยเพอ่ื สร้างเคร่ืองมือนี้จากบริษัท IBM) ตัวเครื่องมีขนาดสูง 8 ฟุต และยาว 55 ฟุต ประกอบด้วยฟันเฟืองในการทางานและใช้บัตรเจาะรูเป็นสื่อนาข้อมูลเข้าสู่เคร่ืองเพื่อประมวลผล ซ่ึงถือได้ว่าเป็นเครื่องคานวณท่ีสามารถทางานแบบอัตโนมัติได้ดีมากในยุคนั้น แต่เมื่อต้องการทางานใหม่ทุกคร้ัง ผู้ใช้ก็ยังคงต้องป้อนข้อมูลคาส่ัง โดยผ่านบัตรเจาะรูอยู่ดี เพราะตัวเครื่องเองไม่สามารถเกบ็ ชุดคาส่งั ไวใ้ นเคร่ืองได้รูปท่ี 1.19 Howard Aiken กับเคร่ือง Mark I หรอื IBM Automatic Sequence Controlled Calculator ภาพ : www.computerhistory.org/revolution/birth-of-the-computer/4/86ยุคคอมพิวเตอร์อเิ ล็กทรอนิกส์ (Electronic Machine)
ยคุ เครื่องจกั รกล คอมพวิ เตอร์ยคุอเิ ลก็ ทรอนกิ ส์ Transistor รูปที่ 1.20 วิวฒั นาการของคอมพวิ เตอรใ์ นยุคอิเล็กทรอนิกส์ (Electronic Machine)คอมพิวเตอร์ในยุคนี้สามารถคานวณและหาผลลัพธ์ต่างๆ ได้รวดเร็วมากยิ่งขึ้น มีการนาไปใช้ประโยชน์ท้ังในแวดวงการทหารและการศึกษาระดับสูงทั่วไป จากนั้นจึงได้พัฒนาเข้าสู่การใช้งานในเชิงพาณิชย์ ตัวอย่างของเครอ่ื งคอมพิวเตอร์ในยคุ น้ีไดแ้ ก่เคร่ือง ENIAC (Electronics Numerical Integrator and Computer) ดร.จอห์น ดับบลิว มอชลี่ (John W. Mauchly) และจอห์น เพรสเปอร์ เอ็คเคิร์ท (John PresperEckert) แห่งมหาวิทยาลัยเพนซิลวาเนีย (University of Pennsylvania) ได้รับการสนับสนุนจากกองทัพสหรัฐอเมริกาให้ออกแบบสร้างคอมพิวเตอร์สาหรับช่วยคานวณวิถีกระสุนของปืนใหญ่ให้เร็วมากขึ้น (เคร่ืองอืน่ ๆ ใช้เวลาราว 12 ชวั่ โมง) สร้างเสร็จสมบูรณ์เมือ่ ปี ค.ศ. 1946 ENIAC ถือว่าเป็น \"คอมพิวเตอร์แบบดิจิตอลเครื่องแรกของโลก\" ซึ่งสร้างข้ึนด้วยระบบไฟฟ้า หรืออิเล็กทรอนิกส์ท่ีสามารถใช้งานได้อย่างสมบูรณ์ โดยมีแนวคิดมาจากเคร่ือง ABC การทางานจะอาศัยหลอดสุญญากาศมากถึง 18,000 หลอด ทาให้มีความร้อนสูงมากจึงต้องติดต้ังเคร่ืองไว้ในห้องปรับอากาศเพื่อช่วยระบายความร้อน รูปที่ 1.21 Mauchly และ Eckert กบั เครอ่ื งคอมพิวเตอร์แบบดจิ ติ อลเครื่องแรกของโลก ชือ่ ENIAC ภาพ : www.thocp.net/hardware/univac.htmเคร่ือง EDSAC หรอื (Electronics Delay Storage Automatic Calculator)
สร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1949 โดย มัวริช วิลค์ส (Maurice Wilkes) แห่งมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์(University of Cambridge) ประเทศอังกฤษ เป็นเคร่ืองคอมพิวเตอร์ที่สามารถเก็บชุดคาสั่งเพ่ือทางานไว้ภายในได้เอง (Stored Program) ตามแนวคิดของ ดร.จอห์น ฟอน นิวแมนน์ (John Von Neumann) นักคณิตศาสตรช์ าวฮังการี โดยมีการเขียนชุดคาส่ังการทางานแบ่งออกเป็นส่วนย่อยๆ เรียกว่า Subroutines เพื่อช่วยในการทางาน รปู ท่ี 1.22 Maurice Wilkes กบั เคร่อื ง EDSAC ภาพ : www.cl.cam.ac.uk/archive/mvw1/เคร่ือง EDVAC หรอื (Electronics Discrete Variable Automatic Computer) คอมพิวเตอร์เครื่องใหม่ที่ ดร.นิวแมนน์ ร่วมสร้างกับทีมของ มอชลี่และเอ็คเคิร์ท ซ่ึงได้ถูกพัฒนามาเรื่อยๆ ต้ังแต่ตอนที่กาลังพัฒนาเคร่ือง ENIAC จนกระทั่งเสร็จอย่างสมบูรณ์ในปี ค.ศ. 1952 โดยมีรูปแบบตรงตามการออกแบบของ ดร.นิวแมนน์ ทุกประการ จึงถือได้ว่าเป็นเครื่องคอมพิวเตอร์ที่สามารถเก็บชุดคาส่ังไว้ภาพในเคร่ืองได้และเป็น \"เครื่องคอมพิวเตอร์ตามแนวสถาปัตยกรรมของนิวแมนน์\" (John Von NeumannArchitecture) อยา่ งแทจ้ ริงเคร่อื งแรก รปู ท่ี 1.23 Dr. John Von Neumann และแบบร่างแนวความคดิ การสรา้ งเครอื่ ง EDVAC ภาพ : www.computerhistory.org/timeline/?year=1945เครอื่ ง UNIVAC หรอื (Universal Automatic Computer)
สร้างข้ึนในปี ค.ศ. 1951 โดยบริษัท Remington Rand (บริษัทของมอชล่ีและเอ็คเคิร์ทเดิม) เพ่ือใช้ในเชิงธุรกิจเป็นครั้งแรก โดยนามาใช้สาหรับทานายผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีคนท่ี 34 ของสหรัฐอเมริกาเครื่องนใ้ี ชห้ ลอกสุญญากาศ 5,000 หลอด แต่มคี วามเร็วสงู กว่าเคร่ืองคอมพิวเตอร์ที่ผลติ กันมาก่อนหน้านี้มากสามารถเกบ็ ตัวเลขหรือตวั อักษรไว้ในหน่วยความจาได้ถงึ 12,000 ตัว นับได้ว่าเป็น \"เคร่ืองคอมพิวเตอร์เคร่ืองแรกที่ใช้ในเชงิ ธรุ กิจ\" รูปท่ี 1.24 Mauchy และ Eckert กบั เคร่อื งคอมพวิ เตอร์ที่นามาใช้ในเชงิ ธรุ กิจเคร่ืองแรกช่ือวา่ UNIVAC ภาพ : www.whoguides.com/who-invented-the-computerเครอื่ งคอมพวิ เตอรย์ คุ ทรานซสิ เตอร์ (Transistor) เนื่องจากหลอดสุญญากาศมีอายุการใช้งานที่ค่อนข้างสั้นและมีขนาดใหญ่เกินไป จึงได้มีการพัฒนาอุปกรณ์ที่เรียกว่า ทรานซิสเตอร์ (Transistor) ขน้ึ เพ่อื มใชง้ านแทน โดยนักวิทยาศาสตรข์ องห้องปฏิบตั ิการเบล(Bell Laboratory) แห่งสหรัฐอเมริกา 3 คน ประกอบด้วย วิลเลียม ช็อคเลย์ (William Shockley) จอห์นบาร์ดีน (John Bardeen) และวอลเตอร์ แบรทเทน (Walter Brattain) ซ่ึงอุปกรณ์นี้มีขนาดเล็กกว่าหลอดสุญญากาศมาก นอกจากน้ียังใช้กระแสไฟฟ้าที่น้อยกว่า จึงทาให้เคร่ืองคอมพิวเตอร์ท่ีประดิษฐ์ขี้นในยุคนี้มีขนาดเล็กลงและมีอายุการใช้งานท่ียาวนานข้ึนกว่าเดิม แต่ช่วงแรกๆ การใช้งานยังไม่ค่อยแพร่หลายมากนักจนกระท้ัง 10 ปีให้หลังจึงได้มีการพัฒนาและเริ่มได้รับความนิยมเพิ่มมากขึ้น โดยมีการประดิษฐ์อุปกรณ์ประเภทอื่นๆ ตามมาอีก เช่น คีย์บอรด์ สาหรับป้อนข้อมูลเข้าเครื่องโดยตรงแทนบัตรเจาะรู หรือจานแม่เหล็ก(Magnetic Disk) สาหรับเก็บและบันทึกข้อมูล เคร่ืองคอมพิวเตอร์ท่ีพบเห็นในยุคน้ี ได้แก่ IBM 1401, CDC6600 และ NCR 315 เปน็ ต้น ในยุคนี้เองที่ได้มีการนาเอาเคร่ืองคอมพิวเตอร์เข้ามาใช้งานในประเทศไทยเป็นคร้ังแรก โดยภาควิชาสถิติ คณะพาณิชยศาสต์และการบัญชี จุฬาลงกรณ์มหาวทิ ยาลัย ได้รับมอบเคร่ืองคอมพิวเตอร์ขนาดใหญ่มากในยุคน้ันช่ือว่า IBM 1620 จากบริษัทผู้ผลิต มูลค่าประมาณ 2 ล้านบาทเศษ เม่ือปี ค.ศ. 1964 เพื่อนามาใช้ประโยชน์สาหรับงานด้านการศึกษา จึงถือได้ว่า \"IBM 1620\" เป็นคอมพิวเตอร์เครื่องแรกที่นาเข้ามาใช้ในประเทศไทย (ปจั จบุ ันหมดอายกุ ารใชง้ านไปนานแลว้ )
รูปท่ี 1.25 ทมี งานพัฒนาทรานซสิ เตอร์ (Transistor) แหง่ หอ้ งปฏบิ ัติการเบล ภาพ : www.computerhistory.org/semiconductor/timeline/1947-invention.html ตอ่ จากน้ันจึงได้มีการนาเอาเคร่ืองคอมพิวเตอรเ์ ข้ามาใช้เพื่อช่วยงานประมวลผลด้านต่างๆ มากย่ิงขึ้นเช่น สานักงานสถิติแห่งชาติได้ติดต้ังเคร่ืองคอมพิวเตอร์เพ่ือใช้งานอีกเป็นเครื่องท่ีสองทีชื่อว่า IBM 1401 ซ่ึงมีมูลค่าเกือบ 8 ล้านบาท เพื่อใช้งานด้านสามะโนประชากร และก็ได้แพร่ขยายการใช้งานไปยังหน่วยงานอื่นๆท้ังของรัฐบาลและเอกชนในเวลาต่อมาเครอื่ งคอมพวิ เตอรย์ คุ แผงวงจรรวม (IC) เคร่ืองคอมพิวเตอร์ในยุคต่อมาได้รับการพัฒนาให้มีขีดความสามารถที่ดีข้ึนเร่ือยๆ แต่การผลิตเครื่องโดยใชท้ รานซสิ เตอร์แยกเป็นตัวๆ ทาให้ตน้ ทุนในการผลิตสูงมาก ต่อมาในชว่ งปี ค.ศ. 1965 จึงได้มีการเปล่ียนมาใช้แผงวงจรรวมหรือทีเ่ รยี กว่า IC (Integrated circuit) ท่ปี ระกอบด้วยทรานซสิ เตอร์นบั พนั ตวั รวมกนั รปู ที่ 1.26 แผงวงจรรวมหรอื IC (Integrated Circuit) ภาพ : www.en.wikipedia.org/wiki/List_of_integrated_circuit_packaging_types#mediaviewer/File:Three_IC_circuit_chips.JPG
IC แต่ละตัวสามารถบรรจุทรานซิสเตอร์ได้มากกว่าถึง 1,000 ตัว ทาให้ลดต้นทุนในการผลิตเครื่องคอมพิวเตอร์ลงไปได้มาก อีกทั้งยังคานวณงานท่ีซับซอ้ นขน้ึ ได้เป็นอยา่ งดี ส่งผลใหม้ ีการผลิตเครื่องเพอื่ จาหนา่ ยอย่างแพร่หลาย โดยตัวเคร่ืองมีขนาดที่เล็กลง นิยมเรียกว่า มินิคอมพิวเตอร์ (Minicomputer) ซ่ึงใช้กระแสไฟฟ้านอ้ ยกว่าเดมิ และใชห้ น่วยความจาแบบใหม่ท่ีเรยี กว่า Thin Film Memory ซึง่ ทางานได้รวดเรว็ ขึน้ และมีความจุมากกว่าเดิม ตัวอย่างเครื่องคอมพิวเตอร์ในยุคน้ี ได้แก่ IBM 360,PDP1, CDC 3300 และ BURROUGH7500 เปน็ ต้นเคร่อื งคอมพวิ เตอร์ยคุ แผงวงจรรวมขนาดใหญ่ (LSI และ VLSI) ในยุคนี้คือปลายศตวรรษ 1970 มีการนาไมโครโปรเซสเซอร์ (Microprocessor) ซ่ึงเป็นวงจรรวมขนาดใหญ่ที่ผลิตโดยอาศัยเทคโนโลยีท่ีเรียกว่า LSI (Large Scale Integrated) และ VLSI (Very LargeScale Integrated) เข้ามาแทนแผงวงจรรวม หรือ IC แบบเดิม เน่ืองจากสามารถบรรจุทรานซิสเตอร์ได้มากกวา่ โดยบรรจวุ งจรทรานซสิ เตอรน์ ับหมื่น แสน หรือล้านตัวลงในช้นิ สารซิลกิ อน (Silicon) เล็กๆ ไมโครโปรเซสเซอร์น้ีคิดค้นขึ้นโดยบริษทั อินเทล (Intel) ซ่ึงยงั เป็นผ้ผู ลิตไมโครโปรเซสเซอรช์ ั้นนาในปัจจุบันและทาให้เกิดการผลิตคอมพิวเตอร์ขนาดเล็กสาหรับการใช้งานท่ัวไปที่เรียกว่า ไมโครคอมพิวเตอร์(Microcomputer) ซึง่ ได้รับความนิยมแพรห่ ลายไปท่วั โลกมาจนทกุ วนั นี้ รปู ที่ 1.27 VLSI (Very Large Scale Integrated) ภาพ : www.en.wikipedia.org/wiki/VLSI_technologyเคร่ืองคอมพิวเตอรย์ ุคเครอื ข่าย (Network) การใช้งานไมโครคอมพิวเตอร์ได้รบั ความนยิ มอย่างแพร่หลายไปทั่วโลก รวมถึงประเทศไทยด้วย มกี ารออกแบบและพัฒนาเคร่ืองคอมพิวเตอร์ให้มีขนาดเล็กลง พร้อมกับประสิทธิภาพในการใช้งานท่ีมุ่งเน้นให้เกิดการเช่ือมต่อเป็นเครือข่าย (Network) มากยิ่งข้ึน บริษัทหรือองค์กรธุรกิจได้นาเอาไมโครคอมพิวเตอร์หลายๆตัวมาเชื่อมต่อและแลกเปลี่ยนข้อมูลกันในบริเวณใกล้เคียงหรือในสานักงานเดียวกัน เรียกว่า \"เครือข่ายเฉพาะท่ี\" หรือ LAN (Local Area Network) จากนั้นก็ได้พัฒนาให้เช่ือมต่อเข้าหากันได้มากข้ึนโดยกระจาย
บริเวณออกไปในระยะที่กว้างกว่าเดิม เรียกว่า \"เครือข่ายระยะไกล\" หรือ WAN (Wide Area Network) และในที่สุดก็ได้พัฒนาไปสู่การเชื่อมต่อกันโดยไม่จากัดระยะทางไปยังผู้ใช้งานทั่วโลกที่เรียกว่า \"เครือข่ายอินเตอรเ์ นท็ \" (Internet) ในท่สี ดุ ในยคุ นี้การใช้งานคอมพิวเตอร์ไม่ได้จากัดอยู่เพียงสถานทีแ่ ห่งใดแห่งหน่ึงอีกตอ่ ไป เน้นการใช้งานเป็นแบบเครือข่ายมากข้ึน จึงเกิดเทคโนโลยีที่เรียกว่า เครือข่ายไร้สาย (Wireless Lan) หรือระบบ LAN แบบไร้สาย ทาให้สามารถเช่ือมต่อคอมพิวเตอร์เพื่อใช้บริการหรืออุปกรณ์ร่วมกันโดยไม่ต้องใช้สายได้ภายในบริเวณที่กาหนด เช่น ใช้งานเครื่องโน๊ตบุ๊คจากห้องนอนเพ่ือสั่งพิมพ์งานไปยังเครื่องพิมพ์ท่ีอยู่ในห้องทางาน หรือใช้อินเตอร์เน็ตร่วมกันได้จากทุกที่ภายในบ้าน สานักงาน ร้านกาแฟ ห้างสรรพสินค้า หรือมหาวิทยาลัย เป็นต้นโดยใช้เทคโนโลยี Wi-Fi (Wireless Fidelity) หรือ IEEE 802.11 ซ่ึงเป็นมาตรฐานที่ใชใ้ นการเชื่อมตอ่ เครือขา่ ยแบบไรส้ ายน่ันเอง การใช้งานอินเทอร์เน็ตได้รับความนิยมมากข้ึนเรื่อยๆ จึงนามาใช้กับอุปกรณ์ท่ีมีขนาดเล็กลงอย่างเช่น โทรศัพท์มือถือแบบสมาร์ทโฟน รวมถึงอุปกรณ์คอมพิวเตอร์พกพาแบบต่างๆ เพ่ือความสะดวกในการรับข้อมลู ข่าวสาร เช่น อ่านข่าว ซื้อขายหุ้น ติดตามผลการแข่งขันกีฬา รับชมรายการโทรทัศน์ รับสง่ อีเมล์และการส่ือสารบนสงั คมออนไลน์ เปน็ ต้น รูปที่ 1.28 การเชื่อมตอ่ คอมพวิ เตอร์เข้าเปน็ เครือข่ายเพื่อแลกเปล่ียนข้อมูลระหว่างกนัประเภทของคอมพิวเตอร์ คอมพิวเตอร์มีลกั ษณะ ขนาด และราคาทแ่ี ตกต่างกันไปตามลกั ษณะงานท่ีใช้ หากงานประมวลผลน้ันไม่ได้ซับซ้อนหรือเป็นงานเฉพาะทางมากนัก เราอาจหาซ้ือเครื่องคอมพิวเตอร์ที่มีราคาไม่แพงนักมาใช้งาน แต่บางหน่วยงาน เช่น องค์กรขนาดใหญ่ซึ่งต้องใช้การประมวลผลซับซ้อนมาก และมีการใช้งานกระจายอยู่ในวง
กว้างคือมีสาขาหรอื สานักงานขนาดใหญ่กระจายอย่ทู ั่วไปก็จาเป็นต้องใช้เครื่องคอมพิวเตอร์ที่เหมาะสมกับงานซง่ึ อาจจะราคาแพงขน้ึ แตม่ ีสมรรถนะในการประมวลผลท่ีสงู และรวดเร็วเพ่ือให้สามารถแข่งขนั ในเชิงธรุ กิจได้ การจาแนกประเภทของคอมพิวเตอร์สามารถทาได้หลายรูปแบบ ท้ังน้ีข้ึนอยู่กับเกณฑ์ที่ใช้แบ่งเป็นหลกั ซึ่งคอมพวิ เตอร์ทพ่ี บเห็นท่ัวไปอาจจาแนกออกได้ตามตารางด้านล่างน้ี เกณฑ์ทีใ่ ช้จาแนก ประเภทคอมพิวเตอร์ตามลกั ษณะการใช้งาน • แบบใชง้ านทวั่ ไป (Gerneral purpose computer)ตามขนาดและความสามารถ • แบบใช้งานเฉพาะ (Special purpose computer) • ซูเปอรค์ อมพวิ เตอร์ (Supercomputer) • เมนเฟรมคอมพวิ เตอร์ (Mainframe computer) • ไมโครคอมพวิ เตอร์ (Microcomputer) • คอมพิวเตอร์มอื ถือ (Handheld computer)จาแนกตามลกั ษณะการใช้งานคอมพิวเตอร์ทแ่ี บง่ กล่มุ ตามการใชง้ านนี้ สามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภทคือแบบใช้งานท่วั ไป แบบใช้งานเฉพาะเป็นคอมพิวเตอร์กลมุ่ ท่ีเราพบเห็นไดใ้ นการทางาน เปน็ คอมพวิ เตอรก์ ลมุ่ ที่ใช้งานแบบเฉพาะอย่างหรือทว่ั ไป เชน่ ตามบ้านหรอื สานักงาน อาคาร หา้ งร้าน เป็นกรณีไป ไมส่ ามารถนาไปใชก้ ับงานอยา่ งอนื่ ได้บรษิ ทั ทว่ั ไปรวมถึงคอมพิวเตอรพ์ กพา แท็บเล็ต ความยดื หยนุ่ ในการใชง้ านจึงมนี ้อยกวา่ แบบใชง้ านสมาร์ทโฟน ซึ่งเปน็ การใช้งานแบบเอนกประสงค์ ทั่วไป แต่มปี ระสทิ ธภิ าพในการทางานสูง โดยมากมกัผู้ใช้งานสามารถนาไปประยุกต์ใชก้ ับงานที่ค่อนขา้ ง เปน็ อุปกรณ์หรือเครื่องมอื อเิ ล็กทรอนิกสท์ ที่ างานหลากหลาย เชน่ ดา้ นสานักงาน การลงรายการบัญชี ทางด้านอุตสาหกรรมหรือโรงงาน เช่น ระบบควบคุมด้วยคอมพวิ เตอร์ พมิ พ์รายงาน ใชอ้ นิ เทอร์เนต็ ฟงั อตั โนมตั ิในโรงงานเครื่องจักรกลอตั โนมตั ิ หนุ่ ยนต์ขนเพลง หรือดหู นงั แบบสว่ นตัวได้ คอมพิวเตอร์กลุ่มนี้ ถ่ายสินค้า เครื่องตรวจวัดสภาพอากาศ ซ่ึงมีราคาแพงเป็นท่นี ยิ มใชก้ ันอย่างแพร่หลาย ราคาไม่แพงและหา และใช้งานเฉพาะบริษทั หรือหนว่ ยงานที่เกี่ยวข้องซ้ือได้ทว่ั ไป อีกท้ังยังมีค่าบารุงรกั ษาไม่มากนัก และไม่ เทา่ นั้น มคี ่าบารุงรักษาเคร่ืองมือค่อนข้างสงู เพราะจาเป็นตอ้ งมีผูเ้ ช่ียวชาญเฉพาะมาดแู ลโดยตรง ตอ้ งใช้ผเู้ ช่ียวชาญโดยเฉพาะจาแนกตามขนาดและความสามารถ เป็นการจาแนกประเภทของคอมพิวเตอร์ท่ีพบเห็นได้มากในปัจจุบัน ซ่ึงสามารถแบ่งออกได้เป็น 5ประเภทคือ
ซเู ปอรค์ อมพวิ เตอร์ (Supercomputer) เป็นคอมพิวเตอร์ท่มี ีความเร็วในการประมวลผลสูง บางครั้งก็เรียกว่า เครอื่ งคอมพิวเตอร์สมรรถนะสูง(High Performance Computer) ตอ้ งใช้ซพี ียสู าหรับประมวลผลขั้นสงู นบั หลายหมน่ื ตัว ประกอบอยใู่ นต้แู ร็ค(Rack) ขนาดใหญ่อีกหลายร้อยตู้ ทาให้ต้องใชพ้ ื้นที่หอ้ งหลายตารางเมตรในการติดตั้ง ซูเปอร์คอมพิวเตอร์สว่ นใหญ่นาไปใช้กับการทางานเฉพาะทางที่ต้องการความเร็วในการประมวลผลเป็นพิเศษ เช่น งานวิเคราะห์และพยากรณ์อากาศ การสารวจอวกาศ การวิจัยนิวเคลียร์ วิเคราะห์ภาพถ่ายจากดาวเทียม งานด้านการบินการทหาร หรืองานจาลองแบบ (Simulation) ท่ีซับซ้อนมากๆ ตัวอย่างเช่น เคร่ืองซุปเปอร์คอมพิวเตอร์TITAN ของบริษทั CRAY และเคร่ืองซุปเปอรค์ อมพวิ เตอร์ Tianhe-2 (เทียนเหอ) จากประเทศจนี เป็นต้น ซูเปอร์คอมพิวเตอร์จะใช้ CPU สมรรถนะสูงในการทางาน และยังเพิ่มความเร็วด้วยการนาหน่วยประมวลผลกราฟฟิก หรือ GPU (Graphics Processing Unit) มาใช้ในการประมวลผลร่วมด้วย โดยเบื้องต้นCPU จะรับคาสั่งงานมาประมวลผลก่อน จากนั้นจะเร่งการประมวลผลอย่างละเอียดด้วย GPU ซึ่งมีประสทิ ธิภาพในการทางานด้านกราฟฟิกไดด้ แี ละรวดเรว็ จงึ ชว่ ยลดภาระงานของ CPU ไดเ้ ป็นอย่างดี อกี ทง้ั ตัวการ์ด GPU ยังได้รับการพัฒนาให้มีขนาดเล็กลง ทาให้ซูเปอร์คอมพิวเตอร์รุ่นใหม่ๆมีขนาดเล็กลงกว่าเดิมไปดว้ ย ตวั อย่างเชน่ ▪ TITAN Cray XK-7 ใช้ระบบปฏิบัติการ Cray Linux Environment ความเร็วในการประมวลผล 17.59 petaFLOPS (เรง่ สมรรถนะได้สูงสุดถงึ 27 petaFLOPS) ตั้งอยู่ที่สหรัฐอเมริกา โดยนาไปใช้ใน งานวิจยั และวิเคราะหข์ ้อมลู ดา้ นพลงั งาน สภาพอากาศ และงานด้านวทิ ยาศาสตร์อ่ืนๆ ▪ Tianhe-2 หรือ Milky Way 2 ใช้ระบบ ปฏิ บัติการ Kylin Linux มี CPU Xeon 32,000 ตัว ความเร็วในการประมวลผล 33.86 petaFLOPS (เร่งสมรรถนะได้สูงสุดถึง 54.9 petaFLOPS) ซึ่งใช้ งานโดยมหาวิทยาลยั เทคโนโลยปี ้องกันประเทศของจีน รปู ท่ี 1.29 ซเู ปอร์คอมพวิ เตอรย์ ่ีหอ้ Cray ร่นุ TITAN Cray XK-7
นอกจากนี้ยังมีการใช้คอมพิวเตอร์ท่ีประกอบด้วยหน่วยประมวลผลราคาถูกจานวนมาก เช่น GPU(Graphics Processing Unit) ในการ์ดกราฟฟิกของเครื่องไมโครคอมพิวเตอร์ เช่น Nvidia มาทางานพร้อมๆกันในลักษณะของ Gridcomputing เพ่อื แก้ปญั หาทีเ่ น้นการคานวณพร้อมกันจานวนมากได้ โดยที่ราคาถูกกว่าSupercomputer มากเพราะเป็นหนว่ ยประมวลผลที่ผลติ ขายทวั่ ไปในจานวนมากรปู ที่ 1.30 ซเู ปอรค์ อมพวิ เตอรแ์ บบ Grid ทใ่ี ชห้ น่วยประมวลผลกราฟฟิก (GPU) ในกราฟฟิกการด์ จานวนมากทางานพร้อมกนัNoteFLOPS (Floating Point Operations Per Second)ฟลอ็ ปส์ เปน็ หนว่ ยวัดสมรรถนะการทางานของคอมพิวเตอร์ทีม่ สี มรรถนะสูง สาหรับนบั จานวนชดุ คาส่ังในการประมวลผลทางทศนยิ มที่สามารถทาไดใ้ น 1 วินาที โดยมหี น่วยนบั ดังน้ีkiloFLOPS (KFLOPS) = 103 FLOPS หรอื 1,000 (พนั คาสัง่ /วนิ าที)megaFLOPS (MFLOPS) = 106 FLOPS หรอื 1,000,000 (พันคาสง่ั /วนิ าที)gigaFLOPS (GFLOPS) = 109 FLOPS หรอื 1,000,000,000 (พนั คาสั่ง/วนิ าท)ีteraFLOPS (TFLOPS) = 1012 FLOPS หรือ 1,000,000,000,000 (พันคาสัง่ /วนิ าท)ีpetaFLOPS (PFLOPS) = 1015 FLOPS หรือ 1,000,000,000,000,000 (พนั คาส่งั /วนิ าท)ีเมนเฟรมคอมพวิ เตอร์ (Mainframe computer)
เป็นเครื่องท่ีมีสมรรถนะในการทางานสูงเช่นเดียวกัน แต่ไม่ได้เน้นความเร็วในการคานวณเป็นหลักอย่างซูเปอร์คอมพิวเตอร์ เครื่องเมนเฟรมส่วนใหญ่ผลิตมาจากบริษัทคอมพิวเตอร์ชั้นนา เช่น ไอบีเอ็ม(เมนเฟรมเครื่องแรกของไอบีเอ็มคือ IBM 701) เครื่องคอมพิวเตอร์ประเภทนี้สามารถเก็บข้อมูลได้มาก และทาได้หลายงานพร้อมๆ กัน เหมาะสาหรับองค์กรธุรกิจหรือหน่วยงานที่มีบริษัทสาขา และเก่ียวข้องกับการป ร ะ ม ว ล ผ ล ข้ อ มู ล ใน ปริมาณมาก เช่น ธนาคารห รือธุรกิจสายการบิ น เป็นต้น รปู ท่ี 1.31 เมนเฟรมคอมพวิ เตอร์Noteมนิ คิ อมพวิ เตอร์ (Minicomputer) เปน็ เคร่ืองคอมพวิ เตอรข์ นาดกลางที่มีสมรรถนะรองลง มาจากเครื่องเมนเฟรม สว่ นใหญ่นาไปใชก้ บับริษทั หรอื หนว่ ยงานขนาดกลางสาหรบั ให้บรกิ ารแกเ่ คร่ืองลูกข่าย (Client) ในองค์กรพร้อมกันหลายๆ เคร่ืองเชน่ การใหบ้ ริการแฟม้ ข้อมลู (File Server) เพอื่ ใช้งานรว่ มกนัภายในบริษัท โรงพยาบาล หรอื สถาบนั การศึกษา เป็นตน้ อย่างไรกต็ ามมนิ ิคอมพิวเตอร์ในปัจจุบนั จาแนกไดไ้ มช่ ัดเจนนัก เพราะมีตัง้ แต่รุ่นใหญท่ ่ีมคี วามเร็วเทียบ เท่าเครอ่ื งเมนเฟรม ซ่ึงสามารถทางานให้องค์กรขนาดใหญ่ได้ ลงมาจนถึงเคร่ืองไฟลเ์ ซริ ์ฟเวอร์ขนาเลก็ ทมี่ คี วาม เรว็ เทียบเท่ากับเคร่อื งพีซี รูปที่ 1.32 มนิ ิคอมพิวเตอร์/เซิร์ฟเวอร์
ไมโครคอมพวิ เตอร์ (Microcomputer) เปน็ เครอ่ื งคอมพวิ เตอรท์ ี่มีคนนยิ มใชม้ ากท่ีสุดเนื่องจากมรี าคาถูก และหาซื้อมาใช้ไดท้ ่วั ไป มชี ่อื เรียกอีกอยา่ งหน่ึงวา่ เครื่องคอมพิวเตอรส์ ่วนบคุ คล (PC หรือ Personal Computer) ปัจจบุ นั ได้รบั การพัฒนาขีดความสามารถให้สงู ข้นึ มาก มักพบเหน็ ในสานักงานหรือบา้ นพักอาศยั ท่วั ไป ไมโครคอมพิวเตอรย์ ังรวมไปถงึเครอื่ งคอมพวิ เตอรป์ ระเภทเคลอ่ื นยา้ ยสะดวก อยา่ งเช่นโนต้ บุ๊ค หรอื เน็ตบุ๊คดว้ ย c รูปที่ 1.33 ไมโครคอมพวิ เตอรท์ ้ังในรปู แบบของเครอื่ งพซี ีตั้งโต๊ะและคอมพวิ เตอร์โนต้ บุ๊คคอมพวิ เตอรม์ อื ถอื (Handheld computer) เป็นคอมพวิ เตอร์ที่มีขนาดเลก็ ที่สุดเม่อื เทียบกบั คอมพวิ เตอร์ประเภทอื่นๆ อีกทง้ั สามารถพกพาไปยงั ท่ีตา่ งๆ ไดง้ ่ายกว่า ประโยชน์ของการใช้คอมพิวเตอร์ประเภทน้ีเช่นจัดการข้อมูลประจาวัน สรา้ งปฏิทนิ นัดหมายเก็บบันทึกรายช่ือ ดูหนัง ฟังเพลง ท่องอินเทอร์เน็ท รวมถึงรับส่งอีเมล์และส่ือสารออนไลน์ บางรุ่นอาจมีความสามารถเทียบเคียงได้กับไมโครคอมพิวเตอร์ทเี ดียว คอมพิวเตอร์ในกลุ่มน้ีทร่ี ู้จักและเป็นที่นิยมกันอย่างดีเช่น แท็บเล็ต (Tablet) และสมารท์ โฟน (Smart Phone) เปน็ ตน้ (ดูหวั ข้อ คอมพวิ เตอรย์ คุ ใหม่) รูปที่ 1.34 คอมพวิ เตอรม์ ือถือในรปู แบบแท็บเล็ตและสมาร์ทโฟนคอมพิวเตอรย์ ุคใหม่
ปัจจบุ ันปริมาณผใู้ ช้คอมพิวเตอรม์ ีแนวโน้มสูงขึ้นเรอื่ ยๆ และคอมพิวเตอรถ์ ูกนามาใช้กบั งานท่ีซับซ้อนมากข้ึน อีกทง้ั ยงั พัฒนาให้สามารถเช่ือมต่อกันเป็นเครือข่ายได้อยา่ งทั่วถึง คอมพิวเตอร์แต่ละเคร่ืองจึงสามารถโอนถ่ายข้อมูลถึงกันได้อย่างรวดเร็วภายใต้ระบบการส่ือสารท่ีดีขึ้น โดยเฉพาะบทบาทของเทคโนโลยีทางด้านอินเทอร์เน็ตที่ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย ทาให้การติดต่อสื่อสารระหว่างเครื่องคอมพิวเตอร์ท่ีอยู่ต่างสถานท่กี นั สามารถทาได้อย่างง่ายดาย การออกแบบตัวเครื่องคอมพิวเตอร์รุ่นใหม่ๆ ได้มีการปรับปรุงให้ขนาดเล็กลงและมีรูปลักษณ์ท่ีทนั สมยั มากยิง่ ข้ึน บางเครื่องเน้นออกแบบให้สวยแปลกตาสามารถเป็นเครื่องประดับหรอื เฟอรน์ ิเจอรข์ องห้องทางานได้อีกด้วย นอกจากน้ันยังรองรับการเช่ือมต่อของอุปกรณ์สมัยใหม่ เช่น กล้องดิจิตอล โทรศัพท์มือถือรวมถึงสื่อเก็บบันทึกข้อมูลแบบพกพาท่ีตอบสนองความต้องการของผู้ใช้งานไว้อย่างพร้อมสรรพ รูปแบบของไมโครคอมพิวเตอรร์ วมถึง คอมพิวเตอรแ์ บบพกพาในปัจจุบนั พอจะจาแนกออกไดเ้ ป็นกลุ่มดงั น้ี รปู ท่ี 1.35 คอมพวิ เตอร์ในปจั จบุ นั มีรปู ลักษณ์น่าใชข้ ้นึ กว่าแตก่ อ่ นเดสก์ท็อป (Desktop) เคร่ืองเดสก์ท็อป หรือเครื่องพีซี เป็นคอมพิวเตอร์ขนาดตั้งโต๊ะท่ีใช้ในสานักงานหรือตามบ้านทั่วไปนิยมใช้สาหรับการประมวลผล เช่น พิมพ์รายงาน ดูหนัง ฟังเพลง ท่องอินเทอร์เน็ต หรือเล่นเกม เป็นต้นตวั เครื่องและจอภาพสามารถจัดวางเพ่ือทางานบนโต๊ะได้อยา่ งสบาย ปจั จบุ ันมรี าคาถูกลงมาก เนื่องจากผู้ใชใ้ นปัจจุบนั มีแนวโน้มหนั ไปใช้งานคอมพิวเตอรแ์ บบพกพากนั มากขน้ึ
รูปท่ี 1.36 คอมพิวเตอร์แบบเดสกท์ ็อปหรือพีซีโน้ตบุค๊ (Notebook) คอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊คนน้ั มคี ุณสมบัตใิ กลเ้ คียงกับเครอ่ื งพีซี แตจ่ ะมีขนาดเล็กและบางลง มนี ้าหนักเบาสามารถพกพาได้สะดวกมากขึ้น โนต้ บุค๊ รนุ่ ใหมๆ่ ได้รับการพฒั นาอยา่ งตอ่ เน่ือง สามารถทางานด้วยแบตเตอรี่ไดน้ านขนึ้ และมีประสทิ ธิภาพการทางานสงู ไมต่ า่ งจากเคร่ืองพีซี จึงเหมาะสาหรบั ผ้ทู ่ีตอ้ งการความสะดวกในการทางานนอกสถานทบ่ี ่อยๆ รปู ที่ 1.37 คอมพิวเตอร์แบบโนต้ บ๊คุอลั ตร้าบุ๊ค (Ultrabook) เป็นคอมพิวเตอร์พกพาท่ีพัฒนาให้บางและน้าหนักเบากว่าโน้ตบุ๊ค ในขณะที่ยังคงมีประสิทธิภาพในการทางานท่ีดี อัลตร้าบุ๊คยังเน้นเรื่องการประหยัดแบตเตอร่ีเพื่อให้ใช้งานได้ยาวนานอย่างน้อย 5 ชั่วโมงรวมถึงมีความเร็วในการทางานสูง บู๊ทเคร่ืองได้อย่างรวดเร็ว และใช้งานได้สะดวกด้วยหน้าจอสัมผัส (TouchScreen) โดยรวมแล้วเปน็ คอมพวิ เตอรแ์ บบพกพาทเ่ี หมาะจะนาไปใชง้ านนอกสถานท่ไี ด้เปน็ อย่างดี
รูปท่ี 1.38 คอมพิวเตอร์แบบอลั ตร้าบ๊คุเนต็ บคุ๊ (Netbook) เป็นเหมือนโน้ตบุ๊คขนาดเล็ก นา้ หนักเบา กินไฟนอ้ ย เพราะเปน็ ซพี ยี ูและวงจรตา่ งๆทม่ี ีสมรรถนะไม่สูงมากนักแต่ประหยัดไฟมากจึงมีความเร็วเพียงพอสาหรับการใช้งานทั่วไป เช่น พิมพ์เอกสาร เปิดดูรูปภาพ ฟังเพลง ท่องเว็บ รับส่งอีเมล์ โดยเน้นการใช้งานประเภทเรียกดูเน้ือหา (Content Viewer) เป็นหลัก รวมถึงเรยี กใช้แอพพลิเคช่ันบนเว็บผ่านทางอินเทอร์เนต็ ซึ่งเป็นที่มาของชื่อ Netbook คือเน้นการใช้งานอินเทอร์เน็ตเปน็ หลัก (ไมไ่ ด้มุ่งเนน้ ใช้งานหนกั ๆ เชน่ งานด้านกราฟฟกิ ตดั ต่อภาพยนตร์ หรือระบบฐานขอ้ มูล ฯลฯ) เน็ตบุ๊คเร่ิมหมดความนิยมลงไปเม่ือคอมพิวเตอร์พกพาอย่างอัลตร้าบุ๊ค แท็บเล็ต และ สมาร์ทโฟนไดร้ บั การพฒั นาใหม้ ปี ระสิทธภิ าพสูงขน้ึ ทางานได้สะดวกรวดเร็ว และตอบโจทย์การใชง้ านไดม้ ากกว่า รูปท่ี 1.39 คอมพิวเตอรแ์ บบเนต็ บุ๊คแท็บเล็ต (Tablet)
เป็นเครื่องคอมพิวเตอร์แบบพกพาประเภทหน่ึงท่ีใช้งานสะดวก ทางานด้วยระบบทัชสกรีน เพียงใช้ปลายนิ้วสัมผัสหรือปากกาสาหรับสั่งงานบนหน้าจอสัมผัส โดยไม่จาเป็นต้องใช้คีย์บอร์ดหรือเม้าส์ ทาให้ตัวเครื่องมีขนาดกะทัดรัด เหมาะกับงานที่ต้องการความคล่องตัว เช่น นาเสนอไฟล์งาน รับส่งอีเมล์ สื่อสารออนไลน์ ใช้งานระบบนาทาง อ่านหนังสือออนไลน์ ท่องอินเทอร์เน็ต ถ่ายภาพ ดูหนัง ฟังเพลง เป็นต้น โดยทางานผ่านแอพพลิเคช่ันท่ีติดตั้งไว้ในเครื่องแท็บเล็ต ซ่ึงปัจจุบันมีการพัฒนาแอพ (Apps) ออกมาให้ใช้งานหลากหลายประเภทมากขึ้น สามารถดาวน์โหลดแอพที่ระบบปฏิบัติการของเคร่ืองแท็บเล็ตน้ันรองรบั มาติดต้ังเพม่ิ ได้ตามตอ้ งการ รปู ท่ี 1.40 แทบ็ เล็ตแบบตา่ งๆ ตวั อยา่ งอุปกรณ์แทบ็ เลต็ เชน่ iPad Mini, ipad Air, Samsung Galaxy Tab, i-Mobile i-Tab,Asus Fonepad และ Huawei MediaPad เปน็ ตน้สมาร์ทโฟน (Smart Phone) เปน็ กลมุ่ ของโทรศัพท์มอื ถือที่พัฒนาขีดความสามารถให้มีการทางานแบบอรรถประโยชน์ เหมอื นคอมพิวเตอร์ขนาดย่อม ซ่งึ นอกจากจะใชเ้ ปน็ เครื่องโทรศัพท์ไดแ้ ลว้ ยังรวมความสามารถอื่นๆ เขา้ ไปอีกมากมาย เชน่ กล้องถ่ายรูป ใชง้ านอนิ เทอรเ์ นต็ ส่ือสารออนไลน์ บนั ทึกรายช่ือ เกบ็ ข้อมูลส่วนตัว การนดั หมายปฏทิ ิน ดหู นัง ฟังเพลง เปน็ ต้น คุณสมบัติต่างๆ เหลา่ นที้ างานผ่านแอพพลิเคชน่ั เช่นเดยี วกับแทบ็ เลต็ การดาวนโ์ หลดแอพจงึ ขึ้นอยู่กบั ระบบปฏบิ ตั กิ ารของโทรศัพท์เคร่อื งน้ันด้วย เช่น ระบบปฏบิ ัติการ iOS, Androidและ Windows Phone รูปท่ี 1.41 สมารท์ โฟนรุน่ ต่างๆ
ตัวอย่างของสมาร์ทโฟน เช่น iPhone 5S, Samsung Galaxy S5, LG G3, Nokia Lumia, Sony Xperia, i-Mobile IQX, HTC Butterfly และ Huawei Ascend เปน็ ตน้คอมพวิ เตอรใ์ นรูปลักษณอ์ น่ื ๆ (Embeded and Wearable Computer) เป็นกลุ่มของอุปกรณ์ในรูปแบบต่างๆ ซ่ึงทางานได้โดยอัตโนมัติ มีความทันสมัย ตอบโจทย์กับไลฟ์สไตล์ของคนรุ่นใหม่ ไม่ว่าจะเป็นคอมพิวเตอร์แบบสวมใส่ (Wearable) อย่างเช่น นาฬิกา แว่นตา หรือแหวนรวมถึงคอมพิวเตอร์ในรถยนต์ ในบ้านและในทีวี เป็นต้น อุปกรณ์เหล่าน้ีนอกจากจะใช้เป็นของประดับท่ัวไปแล้ว ยังมีชิปและตัวประมวลผลฝังอยู่ภายในแบบเดียวกับคอมพิวเตอร์เพื่อให้ทางานตามคาสั่งได้ ทั้งยังมีคุณสมบัติสามารถเชอื่ มตอ่ อนิ เทอร์เน็ต และทางานร่วมกับอปุ กรณอ์ ่นื ๆ ในเครอื ข่ายได้อีกด้วย ตวั อย่างเช่น ▪ Google Glass แว่นอัจฉริยะที่เมื่อสวมแล้วจะปรากฏภาพหน้าจอแสดงผลเล็กๆ บนเลนส์ของแว่น ซ่ึงสามารถส่ังงานและแสดงผลได้เหมือนคอมพิวเตอร์ มีระบบเช่ือมต่อข้อมูลแบบต่างๆ ทั้ง Bluetooth, WiFi รวมถึงเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต และ GPS เป็นต้น สามารถรับข่าวสาร แสดงแผนท่ี และการนาทาง (Map & Navigation) ถา่ ยรูปและวิดโี อ เป็นต้น ▪ Smart Watch สามารถใชง้ านแอพพลิเคช่นั ตา่ งๆ ได้ เช่น โทรทัศน์ ถ่ายภาพ ฟังเพลง แชท แชร์ ไฟล์ วัดระยาทางการเดนิ /ว่งิ มีระบบตรวจจบั การเต้นของหัวใจ เป็นตน้ ตวั อยา่ งของนาฬิกาอจั ฉริยะ เชน่ Samsung Gear และ Sony Smart Watch
▪ Smart TV สามารถเชือ่ มตอ่ กบั อุปกรณ์อ่ืนทงั้ แบบมสี ายและไร้สายเพื่อทางานรว่ มกนั ได้ เชน่ เชอ่ื มตอ่ กับสมาร์ทโฟนหรือโนต้ บุ๊คเพ่ือแชรไ์ ฟล์ หรือจะดูหนงั /ฟงั เพลงจากไฟลใ์ นส่ือบันทึกข้อมูล อน่ื ๆ นอกจากนย้ี ังสามารถใช้งานผ่านอนิ เทอรเ์ นต็ ไดเ้ ตม็ รูปแบบอีกด้วย เชน่ รับสง่ อีเมล์ สนทนา ออนไลน์ สัง่ ซ้อื สนิ ค้า ท่องเวบ็ ต่างๆ เป็นต้น▪ คอมพิวเตอร์ในรถยนต์ เช่น ระบบ Carplay ของ Apple หรอื Android Auto ของ Google ท่ที าได้ ทง้ั การนาทาง สอ่ื สาร บันเทิง และอ่นื ๆ▪ คอมพิวเตอร์ในบ้าน ควบคุมระบบภายในบา้ น เช่น ระบบปรบั อากาศ สญั ญาณเตอื นไฟไหม้ กล้อง วงจรปดิ แสงสว่าง ฯลฯ เช่นระบบของบริษัท Nest (ปัจจบุ ัน Google ซอื้ บรษิ ทั ไปแลว้ )
ทศิ ทางของคอมพิวเตอร์ยคุ ใหม่ การพัฒนาเทคโนโลยีของคอมพิวเตอร์ไม่ได้หยุดอยู่เพียงแค่การผลิตให้มีขนาดท่ีเล็กลง ราคาถูก หรือรูปลักษณ์ที่เปลี่ยนไปเพียงเท่าน้ัน หากแต่ยังต้องพยายามคิดค้นและพัฒนาขีดความสามารถให้ใกล้เคียงกับมนุษย์มากยิ่งขึ้น ศาสตร์ทางด้านปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI (Artificial Intelligence) ได้เข้ามามีบทบาทในการสร้างปัญญาเทียมเลียนแบบการคิด หรือสมองของมนุษย์ ซึ่งในงานหลายๆ ด้านก็มีการประยุกต์ เอาคอมพวิ เตอร์เข้าไปใช้เพ่อื คิดและตัดสนิ ใจแก้ปญั หาตา่ งๆ ได้เปน็ อย่างดี เช่นระบบผู้เชี่ยวชาญ (Expert System) เป็นศาสตร์แขนงหนึ่งของปัญญาประดิษฐ์ที่นาเอาคอมพิวเตอร์เข้ามาประยุกต์ใช้งาน เพอ่ื เกบ็ รวบรวมความร้ตู า่ งๆ ท่ีจาเป็นตอ้ งใชส้ าหรับงานใดงานหน่งึ ให้อยู่ตลอดไปในหนว่ ยงานโดยไม่ขึ้นกับบคุ คล และชว่ ยเพิ่มประสทิ ธภิ าพในการตรวจสอบ วนิ ิจฉัย หรอื ตัดสนิ ใจต่างๆ ไดอ้ ย่างแมน่ ยา อีกท้ังยังสามารถนาเอามาใช้ทดแทนในกรณีที่หน่วยงานขาดแคลนบุคลากรได้เป็นอย่างดี (อาจเน่ืองมาจากพนักงานลาออกหรือไม่สามารถทางานอีกต่อไปได้) การทางานของระบบจะอาศัยการสร้าง \"ฐานความรู้\"(Knowledge Base) ของผู้เช่ียวชาญในเรื่องน้ันๆ เก็บไว้ เพ่ือนาเอามาแทนการตัดสินใจของคนเสมือนเป็นผู้เชี่ยวชาญงานน้ันๆ ได้เลยทันที เช่น ระบบผู้เชี่ยวชาญในวงการแพทย์เพ่ือช่วยวินิจฉัยโรค ระบบผู้เช่ียวชาญในการอนมุ ัตวิ งเงินสนิ เช่ือของธนาคาร ระบบผู้เชย่ี วชาญเพ่ือวิเคราะห์และแกป้ ัญหาเครื่องยนตอ์ ตั โนมตั ิ ระบบเตอื ยภยั สึนามิ เปน็ ต้นระบบหุ่นยนต์ (Robotics) ได้มกี ารนาเอาคอมพิวเตอร์มาประยุกตใ์ ช้เพื่อใหท้ างานร่วมกันกบั เครื่องจักรและอุปกรณ์บังคบั บางชนิด เกดิ เป็น \"หนุ่ ยนต์\" (Robot) ซึง่ สามารถทางานทดแทนแรงงานคนไดเ้ ป็นอย่างดี โอยเฉพาะอยา่ งยิง่ กบั ลักษณะงานทีม่ คี วามเสย่ี งต่ออันตราย เช่น ในโรงงานอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ท่ีอาศยั หนุ่ ยนต์ชว่ ยยกของหรอื เคลอื่ นย้ายวตั ถุที่มีอนั ตรายแทนการใช้แรงงานคน การสารวจข้อมลู ทางอวกาศทใ่ี ชย้ านหุน่ ยนต์เพ่ือเขา้ ไปเกบ็ ขอ้ มลู ภาพถา่ ยของดาวอังคารแล้วสง่ ข้อมูลกลับมายังพนื้ ผิวโลก นอกจากน้ียงั มีการ
ออกแบบห่นุ ยนต์ท่ีอาศยั การทางานของโปรแกรมคอมพิวเตอร์เพื่อเลยี นแบบพฤติกรรมของสิ่งมชี ีวิต และสามารถนามาใชง้ านได้จริง เช่น หนุ่ ยนตต์ ้อนรับท่ที าหน้าที่ทักทายและใหบ้ ริการลกู ค้าเสมือนเป็นพนักงานต้อนรับคนหน่งึ หรือหุ่นยนต์สุนขั สาหรับเอาไวใ้ หค้ นเลีย้ งและดแู ลโดยไม่ต้องให้อาหารแต่สามารถมชี วี ติ และร้จู กั เจา้ ของไดเ้ หมือนสนุ ัขจริงๆ รูปท่ี 1.42 หนุ่ ยนตท์ อี่ าศยั การทางานของคอมพิวเตอร์ภาษาธรรมชาติ (Natural Language) การเข้าใจภาษาธรรมชาตขิ องมนุษย์ เป็นการนาเอาความสามารถของคอมพิวเตอรเ์ ขา้ มาชว่ ยในการสือ่ สารกับมนุษยใ์ ห้สะดวกขน้ึ ตวั อย่างท่ีพบเห็นมาก เช่น การใชร้ ะบบรบั รู้และจาเสียงพูดของมนุษย์หรอื ท่เี รียกว่า Speech Recognition ทค่ี อมพิวเตอร์สามารถแยกแยะเสยี งสงู ต่าการเนน้ เสยี งของคาหรือรปู แบบการพูดได้เองโดยอัตโนมัติ ผใู้ ชเ้ พียงแค่ป้อนข้อมูลดว้ ยคาสงั่ เสียงทไ่ี ด้รบั และทางานตามท่สี งั่ การได้เอง ซง่ึ ทาให้ลดระยะเวลาในการทางานของผใู้ ช้ลงไปได้มาก คอมพิวเตอร์ในปัจจุบันและอนาคตจึงไมใ่ ชเ่ ครื่องมือท่ีมหี น้าทแี่ ค่คานวณและให้ผลลพั ธต์ ามท่เี ราต้องการเพยี งอย่างเดยี ว แต่สามารถเอือ้ ประโยขน์และช่วยการทางานของมนษุ ย์ให้มคี วามสะดวกสบายมากยิ่งขน้ึ มกี ารคดิ และตัดสินใจได้เองผ่านระบบโปรแกรมทีส่ รา้ งข้นึ สามารถควบคมุ การเปิด/ปิดการทางานของอุปกรณ์ไฟฟ้าภายในบ้านไดโ้ ดยอัตโนมตั ิ รบั รแู้ ละเขา้ ใจภาษาของมนุษย์ได้หลายๆ ภาษา และพร้อมที่จะรบั
งานตามส่งั ไดท้ นั ที รวมถึงความสามารถท่มี อี ีกหลากหลาย และจะกลายเปน็ สว่ นหน่งึ ในชวี ิตประจาวนั ของมนษุ ยใ์ นทสี่ ุดน่ันเองNote นอกจากใช้ระบบจดจาเสยี งพูด (SpeechRecognition) เพ่อื สั่งใหค้ อมพิวเตอรท์ างานต่างๆ แลว้ยังมีการประยกุ ต์ใช้ในดา้ นอน่ื ๆ อีก เช่น การรับรแู้ ละจดจาเสยี งดนตรี (Music Recognition) ของ iTunesMatch ในการจบั คูเ่ พลงโดยจะสแกนเพลงท่มี ีอยูใ่ นเคร่อื งของเรา แล้วนาไปเปรียบเทียบกบั คลังเพลง(iTunes Store) บนเครื่องเซิร์ฟเวอร์ iCloud ของบรษิ ทั Apple หากเพลงของเราไมม่ ีอยบู่ นเซริ ์ฟเวอร์ไฟลเ์ พลงน้ันจะถกู อพั โหลดไปเก็บไวบ้ น iCloud เพอ่ื ให้เราสามารถเรยี กฟังเพลงน้นั จากอุปกรณ์อ่นื ๆ ได้ทุกเวลาผ่านทางอนิ เทอร์เนต็ เช่น iPhone, iPad, AppleTV หรือ Macbook เปน็ ตน้โปรแกรมทีท่ างานแบบ Music Recognition มีความสามารถในการจัดเกบ็ โครงสร้างข้อมลู ของไฟล์เสยี งคานวณความใกลเ้ คียงและคน้ หาผลลพั ธจ์ ากฐานข้อมลู ไดภ้ ายในไม่ก่วี ินาที เราก็จะทราบชอื่ เพลงหรอืรายละเอียดของไฟลน์ นั้ ได้อย่างงา่ ยดายจากเสียงเพลงทเี่ ปิดนั่นเอง สาหรบั แอพพลิเคช่ันอื่นๆ ท่ีใหบ้ ริการลกั ษณะน้ี เชน่ TrackID, Shazam และ SoundHound เปน็ ต้นจาก Client/Server สู่ Cloud และ Internet of Things แนวโน้มของคอมพวิ เตอรใ์ นอนาคตจะเนน้ การใช้งานผ่านเครอื ขา่ ยอนิ เทอร์เนต็ เพอื่ ก้าวขา้ มการทางานดว้ ยระบบบริการเคร่ืองแม่ข่าย/ลูกขา่ ย (Client/Server) แบบเดมิ ๆ ไปสู่ระบบเซิรฟ์ เวอร์ที่ประมวลผลแบบ Cloud Computing ท่ใี ห้บรกิ ารข้อมลู เป็นศนู ย์กลางและสามารถเรียกใชง้ านได้ผ่านอนิ เทอรเ์ น็ต โดยไม่จากดั วา่ จะใช้อุปกรณ์ชนดิ ใดหรอื เรยี กใช้ในเวลาใด และเนื่องจากมอี ปุ กรณห์ รือคอมพิวเตอรใ์ นลกั ษณะตา่ งๆมากมายทง้ั ทเี่ ป็นเคร่ืองคอมพิวเตอร์ สมาร์ทดไี วซ์ (Smart Phone/Tablet) รวมถึงคอมพวิ เตอร์แบบWearable และ Embeded มากมายทีม่ กี ารเช่ือมต่อกบั อินเทอร์เนต็ เพ่ือรับสง่ ข้อมูล จึงเกิดแนวโน้มท่ีเรยี กวา่ Internet of Things คอื อปุ กรณ์ทกุ อยา่ งเชื่อมต่อกับอินเทอรเ์ นต็ ไดห้ มด และทางานโดยเปน็ อิสระจากกนั เชน่ รถยนตว์ งิ่ เขา้ ใกล้บา้ นแล้วมีการส่ังให้ประตเู ปดิ รอ หรือต้เู ย็นตรวจพบว่าอาหารบางชนดิ หมด จงึ สงั่ผา่ นอนิ เทอรเ์ น็ตไปยังผขู้ ายให้มาสง่ เพิ่มเป็นต้นประโยชน์ของคอมพิวเตอร์
ระบบคอมพิวเตอร์หรือระบบการทางานแบบอิเล็กทรอนกิ สไ์ ดเ้ ข้ามาอยู่ในชีวติ ประจาวันของเราหลายอย่าง สงั เกตได้จากศัพทท์ ี่มีคาหน้าโดยใชอ้ กั ษรย่อ \"E\" (Electronic) มีเพม่ิ ขึน้ เรือ่ ยๆ เชน่ E-Banking, E-Service, E-Book, E-Learning ฯลฯ หนว่ ยงานหรอื บริษัทต่างๆ กจ็ าเป็นต้องใชค้ อมพวิ เตอร์เพื่อชว่ ยอานวยความสะดวกในการทางาน เช่น ควบคมุ และตรวจสอบสินค้าคงคลงั บนั ทึกข้อมลู และเรยี กดูประวตั ิพนกั งานดแู ลและให้บริการลกู ค้า รวมถงึ ใช้สาหรบั การจัดการสานักงาน เปน็ ตน้ สิ่งเหล่านี้ยอ่ มอธิบายไดว้ ่า คอมพิวเตอร์มบี ทบาทและความสาคญั เพยี งไรกบั ชวี ติ ประจาวันของเราเรียกได้วา่ แทบจะทุกสายงานตอ้ งนาเอาคอมพวิ เตอร์เขา้ ไปใช้งานดว้ ยเสมอ ในหวั ข้อนีจ้ ะขอยกตัวอยา่ งประโยชน์ของคอมพวิ เตอรท์ ี่นยิ มเอาไปใช้ในสายวานต่างๆ ดงั น้ีคอมพิวเตอร์กบั การใช้งานภาครฐั การนาคอมพิวเตอรเ์ ข้ามาใชง้ านในภาครัฐนั้นก็เพื่อชว่ ยบริการประชาชนได้สะดวกรวดเร็วข้ึน เช่นงานทะเบียนราษฎร์ของภาครัฐบาล ไม่ว่าจะเปน็ การแจ้งเกิด ตาย ย้ายทอ่ี ยู่ เปลยี่ นแปลงข้อมูลสว่ นตวั อน่ื ๆรวมถึงการจัดทาบัตรประชาชนอเนกประสงค์ หรือสมารท์ การ์ด (Smart Card) ซึง่ เป็นหนงึ่ ในการริเร่ิมโครงการรฐั บาลอิเล็กทรอนิกส์ หรือ E-Government มาต้งั แตป่ ี พ.ศ. 2544 โดยนาเอาคอมพิวเตอร์มาใชเ้ พ่ือปรบั ปรุงและปฏริ ูประบบราชการไทยให้มปี ระสทิ ธิภาพดีขึ้นกวา่ เดิม หน่วยงานของภาครัฐเองในหลายแห่งไดม้ ีการพัฒนารูปแบบการใหบ้ ริการทเ่ี รยี กว่า E-Service โดยนาเอาเทคโนโลยคี อมพิวเตอร์มาใชใ้ ห้เกิดประโยชน์ตวั อย่างเชน่ กรมสรรพากร ที่เปิดให้บรกิ ารย่นื แบบภาษีออนไลนส์ าหรบั ประชาชนทั่วไป (E-Revenue) ซึ่งแต่เดิมตอ้ งไปเขา้ คิวย่นื แบบเสียภาษีท่สี านกั งานใหบ้ รกิ ารของกรมสรรพากร แตป่ จั จบุ ันสามารถเขา้ อินเทอร์เนต็แล้วทารายการต่างๆ ได้ภายในก่ีนาที เปน็ ต้น รูปท่ี 1.43 บัตรประจาตวั ประชาชนต้ังแต่อดตี ถึงปัจจบุ นัคอมพิวเตอรก์ บั การใช้งานทางด้านธุรกจิ ท่ัวไป ธุรกิจต่างๆ จะนาเอาคอมพวิ เตอรเ์ ขา้ มาใชง้ านเพอื่ ประโยชนใ์ นแงข่ องการประมวลผลทีร่ วดเรว็ ตอบสนองต่อความต้องการของลกู คา้ ผ้รู บั บรกิ ารไดม้ ากยิง่ ขึ้น รวมถึงชว่ ยเพม่ิ ประสทิ ธิภาพในการทางานไดด้ ีกว่าการทางานดว้ ยมือแบบเดิมๆ เชน่ การนาระบบโปรแกรมบัญชีสาเร็จรูปมาใช้ในงานด้านบัญชี เพ่อื ทารายการ
ซอ้ื -ขายสนิ ค้า เช็คยอดคงเหลือของสนิ ค้า รวมถึงตรวจสอบรายการลงบญั ชี ซ่งึ แตเ่ ดิมการท่ีจะได้ข้อมลู ตา่ งๆเหลา่ นีต้ ้องใชพ้ นักงานและแรงงานจานวนมาก อีกทั้งกวา่ จะได้ขอ้ มูลท่ตี อ้ งการกเ็ สียเวลามาก นอกจากนี้ยังสามารถใชค้ อมพิวเตอรเ์ พอ่ื การจดั การในสานกั งานทว่ั ไปไดอ้ ีกดว้ ย เชน่ การเรียบเรียงเอกสาร การประมวลผลคา (Word Processing) หรือการนาเสนองาน (Presentation) ซึ่งนาเอาโปรแกรมคอมพิวเตอรม์ าใช้ เช่นโปรแกรม Microsoft office ที่เรารู้จักกันดนี ั่นเอง และนบั เป็นการพัฒนาระบบการทางานในสานักงานใหเ้ ขา้สู่ความเปน็ \"ระบบสานักงานอัตโนมตั ิ\" หรอื Office Automation ในเวลาต่อมาคอมพิวเตอร์กบั งานสายการบิน ธรุ กจิ สายการบินไดน้ าระบบคอมพิวเตอร์เข้ามาใช้ในหลายด้าน เช่น การพฒั นาระบบสารองทน่ี ่งัผโู้ ดยสาร โดยใหล้ กู คา้ สามารถทารายการจองได้ด้วยตนเองผา่ นเครอื ข่ายอนิ เทอรเ์ น็ต หรือทเี่ รยี กว่า E-Booking ทาให้ลกู ค้าไดร้ บั ความสะดวกสบายมากยิง่ ขน้ึ ไม่ว่าจะเปน็ การเชค็ ทนี่ ่ังวา่ ง การชาระเงนิ คา่ โดยสารการเปลย่ี นแปลงเทย่ี วบิน ตรวจสอบรายละเอียดการเดนิ ทาง เป็นตน้ สายการบนิ เองก็ได้ประโยชน์เชน่ เดียวกนั เนือ่ งจากตน้ ทุนในการดาเนนิ งานลดลงอยา่ งเห็นได้ชดัวิธีการดังกล่าวยงั ชว่ ยตัดคา่ นายหนา้ (Commission) ที่เคยตอ้ งจ่ายให้กบั ตัวแทนจาหน่ายทกุ ครั้ง และยังเป็นการลดงานเอกสาร (Paperwork) ให้น้อยลงไปด้วย นอกจากนยี้ งั ใชร้ ะบบตว๋ั อิเล็กทรอนิกส์ หรือ E-Ticket ซง่ึไม่ต้องออกต๋วั โดยสารเป็นใบๆ ใหก้ บั ลูกค้าในตอนจอง โดยผโู้ ดยสารสามารถเชค็ อนิ ออนไลน์ (Web Check-In) เพ่อื พมิ พ์บัตรผา่ นขึน้ เคร่ือง (Boarding) ได้ด้วยตนเอง คอมพวิ เตอร์กบั งานสายการบินยงั สามารถนามาประยุกตใ์ ช้กับงานควบคุมการบินต่างๆ ได้ดว้ ย เชน่ระบบจาลองการบนิ สาหรบั ฝึกทดสอบนักบนิ ดว้ ยโปรแกรมเสมือนจรงิ ระบบควบคุมการจราจรทางอิ ากาศท่ีชว่ ยอานวยความสะดวกในการจัดระเบยี บของเครื่องบินทีท่ าการบนิ ต่างเวลา ตา่ งความสูงหรือตา่ งทิศทางกันนอกจากน้นั ยงั ใช้ในการเตอื นภยั ต่างๆ ทีจ่ ะเป็นประโยชน์แก่นักบนิ ได้ดว้ ย
รูปท่ี 1.44 ภาพห้องจาลองการบิน (Flight Simulator) โดยฝึกบินในสถานการณ์จาลอง ภายใต้สภาพอากาศ และสนามบนิ เสมือนจริง ภาพ : rsu.ac.thคอมพิวเตอร์กับงานทางดา้ นการศกึ ษา ปจั จุบนั สถาบนั การศึกษาหรือหนว่ ยงานทเ่ี กีย่ วข้องกับการอบรมได้เน้นความสาคญั กบั การนาคอมพิวเตอร์มาช่วยในด้านการสอน หรอื ทเ่ี รยี กว่า E-Education นั่นเอง ไม่ว่าจะเปน็ การนาเอารูปแบบของส่ือคอมพวิ เตอรช์ ่วยสอน (CAI : Computer Assisted Instruction) เขา้ มาใช้กบั ระบบการเรียนการสอนในรูปแบบของมลั ตมิ ีเดีย ทีป่ ระกอบด้วยรปู ภาพ บทบรรยาย เสยี งพดู และเทคนิคการนาเสนอที่น่าสนใจนอกจากนั้นอาจมีแบบฝกึ หดั เพอ่ื ให้ผเู้ รียนสามารถทบทวนได้ด้วยตนเอง หรอื แม้กระทงั่ การประยกุ ต์ใช้ E-Learning เพ่ือสร้างบทเรียนออนไลนผ์ ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ตให้กับผเู้ รียนท่ีอยหู่ ่างไกล หรอื ไม่สะดวกในการเข้าหอ้ งเรยี น ให้สามารถศึกษาระบบดังกลา่ วได้ รปู ท่ี 1.45 ตัวอยา่ งการเรยี นการสอนออนไลน์หรอื E-Learning สิ่งเหลา่ น้ีทาใหแ้ วดวงการศกึ ษามีการพัฒนาไปในทางท่ีดีขึ้นมาก ผเู้ รยี นสามารถทาความเข้าใจกับบทเรยี นและโต้ตอบการเรียนการสอนไดด้ ้วยตนเอง ซ่ึงหลายสถาบนั การศึกษาท้งั ในประเทศไทย และต่างประเทศไดพ้ ยายามพัฒนาและปรับปรงุ ระบบตา่ งๆ เหล่านีใ้ ห้มีความทันสมัยและได้รบั การยอมรับมากขน้ึบางแหง่ มหี ลักสตู รท่ีเปดิ ระบบการเรยี นการสอนผา่ นเครือข่ายอนิ เทอรเ์ นต็ ถึงระดบั ปริญญาเอกดว้ ยคอมพิวเตอรก์ บั ธรุ กิจการนาเขา้ และสง่ ออกสินคา้ การนาเขา้ และส่งออกสินค้า (Import/Export) นาคอมพิวเตอร์เขา้ มาชว่ ยในการทางานหลายขั้นตอนเชน่ กรณขี องพธิ ีการศลุ กากร ไดใ้ ชร้ ะบบทเ่ี รยี กว่า EDI (Electronic Data Interchange) เพอื่ ทาใหข้ ้ันตอน
การออกเอกสารเปน็ ไปได้ง่ายยิ่งขึ้น ช่วยใหผ้ ปู้ ระกอบการประหยดั คา่ ใชจ้ ่ายและลดเวลาได้เปน็ อย่างมากตัวอยา่ งเช่น การบนั ทึกข้อมูลใบขนสินค้า (Invoice) เพื่อให้เจา้ หน้าที่ตรวจสอบเบือ้ งตน้ สามารถทาไดภ้ ายในก่นี าทีโดยกรอกขอ้ มลู ผา่ นสื่ออิเล็กทรอนกิ ส์ และยังลดโอกาสทีจ่ ะเกดิ ปญั หาการเรยี กรอ้ งผลประโยชนจ์ ากเจา้ หนา้ ท่ีทป่ี ระพฤตมิ ชิ อบได้อกี ด้วย เนอ่ื งจากกระบวนการดงั กล่าวผู้ส่งออกหรอื ผปู้ ระกอบการมีโอกาสพบเจา้ หน้าท่โี ดยตรงก็เพียงแค่ขั้นตอนของการตรวจสอบเอกสารตา่ งๆ ประกอบการทาธุรกรรมเท่านนั้ ส่วนท่ีเหลอื ระบบ EDI จะทาการผา่ นพธิ กี ารศลุ กากรเองทัง้ หมด นอกจากนน้ั ยังมีการนาคอมพวิ เตอร์มาใช้กบั การทาธุรกิจแบบ พาณชิ ย์อิเล็กทรอนกิ ส์ หรือ E-Commerce ทาใหล้ ูกค้าท่ีอยู่ตา่ งประเทศสามารถเข้ามาซื้อสินคา้ ผ่านจอคอมพวิ เตอร์ท่ตี ่อเชอื่ มกันได้ทนั ทีโดยเขา้ ไปเลอื กรายการและส่ังซื้อสนิ ค้าไดเ้ พยี งไม่กน่ี าที ช่วยลดเวลาในการเดนิ ทางมาซื้อสินคา้ ดว้ ยตนเอง อกีทั้งยังทาให้การซื้อขายสนิ ค้าสะดวกข้นึ กวา่ แต่ก่อนมาก สินคา้ หน่งึ ตาบลหนง่ึ ผลติ ภณั ฑ์ หรือ OTOP (OneTambon One Product) ทไ่ี ด้รับการสง่ เสรมิ จากภาครฐั ก็อาศยั E-Commerce นีเ้ ป็นอีกช่องทางหนึ่งในการจาหน่ายและส่งออกไปยังต่างประเทศด้วย รปู ที่ 1.46 การใช้ระบบ EDI ผ่านผูใ้ ห้บรกิ ารคอมพิวเตอรก์ บั ธุรกิจธนาคาร ธนาคารเปน็ อกี ธรุ กจิ หน่ึงทแี่ ข่งขนั กันในเร่ืองของการใหบ้ ริการ ซงึ่ ตอ้ งมที ง้ั ความรวดเร็วและสะดวกสบายในการใช้งาน จึงเกดิ รปู แบบบริการทีเ่ รียกกันว่า ธนาคารอเิ ล็กทรอนิกส์ หรือ E-Banking กนัอย่างแพร่หลาย ส่งผลให้การทาธุรกรรมดา้ นการเงนิ การธนาคารไม่ใช่เรือ่ งยงุ่ ยากอกี ต่อไป ลูกคา้ ของธนาคารสามารถทาธุรกรรมได้ในหลายๆ ช่องทางท่ีเปดิ ให้บริการ ไมว่ ่าจะเป็นการทาธุรกรรมผา่ นตเู้ อทเี อ็ม เวบ็ ไซต์ของธนาคาร รวมถึงการทาธรุ กรรมผา่ นสมารท์ โฟน (M-Banking) เชน่ โอนเงนิ เชค็ ยอดเงนิ ฝาก ชาระคา่ บัตรเครดิต ชาระคา่ สนิ ค้า/บริการ คา่ น้า ค่าไฟ คา่ โทรศัพท์ ฯลฯ โดยไม่จาเป็นต้องเดนิ ทางมาทาธุรกรรมด้วยตนเองท่ธี นาคาร ทาใหล้ ดเวลาและขน้ั ตอนได้อยา่ งมากทเี ดียว ลกู คา้ สามารถใชบ้ รกิ ารออนไลนห์ รอื จดุใหบ้ รกิ ารท่ีใดกไ็ ด้ท่ีสะดวก
รปู ท่ี 1.47 ตัวอยา่ งช่องทางการทาธรุ กรรมตา่ งๆ ของธนาคารคอมพิวเตอร์กบั งานทางดา้ นวทิ ยาศาสตรแ์ ละการแพทย์ รูปท่ี 1.48 การใช้คอมพวิ เตอรส์ าหรบั งานดา้ นวทิ ยาศาสตร์และการแพทย์ มีการนาคอมพิวเตอร์เข้ามาใช้ในการทางานทางด้านการแพทย์และสาธารณสุขอย่างแพร่หลายเคร่ืองมือและอุปกรณ์สมัยใหม่ถูกนามาทางานร่วมกันกับคอมพิวเตอร์เพ่ือช่วยวินิจฉัยโรค และตรวจสอบอาการของคนไข้ได้เป็นอย่างดี เช่น เครื่องตรวจวัดคล่ืนหัวใจ เครื่องตรวจวัดคล่ืนสมอง เคร่ื องเอ็กซเรย์คอมพิวเตอร์ที่สร้างภาพสามมิติของอวัยวะภายในซึ่งช่วยทาให้การรักษาของแพทย์เป็นไปได้ง่ายและถูกต้องแม่นยามากขึ้น หรือแม้แต่เครื่องมือง่ายๆ ท่ีให้คนไข้พกติดตัว เช่น วัดชีพจรและความดัน หรืออกกาลังกายแล้วส่งขอ้ มลู ผา่ นสมาร์ทโฟนไปเกบ็ ไวบ้ น Cloud เปน็ ต้น นอกจากนี้ ในโรงพยาบาลหรือสถานบริการสาธารณสุขที่มีผู้มาใช้บริการจานวนมาก จาเป็นต้องเก็บข้อมูลเก่ียวกับประวัติการรักษาของผู้ป่วยที่มาใช้บริการด้วยระบบคอมพิวเตอร์ เพื่อใช้ตรวจสอบประวัติเบ้ืองต้นของผู้ป่วย เช่น มีโรคประจาตัวอะไรมาบ้าง มีอาการแพ้ยาหรือมีกลุ่มเลือดอยู่ในกลุ่มใด ข้อมูลเวชระเบียนเหล่าน้ีจะถูกเก็บไว้และสามารถตรวจสอบอย่างง่ายดายด้วยคอมพิวเตอร์ ซึ่งจะทาให้แพทย์ทราบข้อมูลเบอื้ งตน้ และทาการวินิจฉยั ไดอ้ ยา่ งถกู ต้อง
สาหรับงานทางด้านวิทยาศาสตร์อ่ืนๆ ได้นาเอาคอมพิวเตอรเ์ ขา้ มาชว่ ยวิเคราะห์และตรวจสอบข้อมูลต่างๆ ให้มคี วามแม่นยาและถกู ต้องนา่ เช่ือถือ ช่วยในเร่ืองของการทดลองและวิจัยทางวิทยาศาสตรค์ านวณและจาลองแบบ (Simulation) เพื่อสร้างผลงานทางวิทยาศาสตร์ใหม่ๆ ทั้งด้านฟิสิกส์ นิวเคลียร์ เคมี ชีววิทยาโมเลกุล (การจาลองกลไกการทางานของระดับโมเลกุลของยาใหม่ๆ) โลหะวิทยาและวัสดุศาสตร์ การสารวจและขุดเจาะทรัพยากรธรณี รวมถึงการสารวจอวกาศขององค์กรนาซา่ เปน็ ตน้คอมพิวเตอรก์ บั ภมู สิ ารสนเทศ คอมพิวเตอร์นาไปใช้งานภูมิสารสนเทศได้หลากหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นระบบสารสนเทศทางภูมศิ าสตร์ (GIS : Geographic Information System) ซึง่ เก่ียวข้องกบั ขอ้ มูลเชิงพ้ืนที่ เพ่ือใชป้ ระโยชนใ์ นดา้ นต่างๆ เช่น การวิเคราะห์สภาพอากาศ การวางแผนจัดสรรทรัพยากรดิน/น้า หรือแจ้งเตือนเหตุภัยพิบัติทางธรรมชาติ เป็นต้น นอกจากนี้ยังเกี่ยวข้องกับระบบการช้ีตาแหน่งที่ตั้งบนผิวโลก (GPS : Global PositioningSystem) หรือ Location-based ที่สามารถนาไปเพิ่มประสิทธิภาพการทางานด้านอื่นๆ ได้อีกมากมาย เช่นงานวเิ คราะห์สภาพจราจรบนทอ้ งถนน งานสืบสวนติดตามผ้รู ้าย/ทรพั ยส์ ิน/บุคคลสูญหาย หรอื การติดตามของระบบขนสง่ วัดระยะทางการวิ่งของนักกีฬาเปน็ ต้น โดยระบบงานเหล่าน้สี ามารถใชผ้ ่านโปรแกรมคอมพวิ เตอร์และยังมีแอพพลิเคชั่นบนสมาร์โฟน/แท็บเล็ต ให้ใช้ได้อย่างสะดวกและทันต่อเหตุการณ์ ตัวอย่างการนา GPSไปประยกุ ต์ใช้งาน เชน่ ▪ Google Map บริการด้านแผนทข่ี องกูเกลิ ซ่ึงสามารถระบคุ าคน้ หรือพิกดั เพื่อใชค้ ้นหาตาแหนง่ ของ สถานทต่ี า่ งๆ เช่น บริษทั สถานทปี่ ระชมุ ตามนัดหมาย สถานที่ท่องเทย่ี ว โรงแรม หรอื รา้ นอาหาร เป็นตน้ แล้วแสดงผลลพั ธ์ในมุมมองแผนท่ี ภาพถ่ายจากดาวเทยี ม หรอื มุมมองแบบ Street View ที่ แสดงภาพถ่ายแบบสถานที่จริงแบบ 360 องศา ซ่ึงสามารถคลิกลากหรือเลือ่ นสญั ลักษณ์รปู คนไป บรเิ วณรอบๆ ได้ เสมือนวา่ เดินอย่ใู นบริเวณนนั้ จรงิ ๆ นอกจากน้ยี งั มีความสามารถอ่นื ๆ อีกมากมาย เชน่ การคานวณระยะทาง และเวลาท่ใี ช้จากตน้ ทางไปยงั ปลายทาง แสดงสภาพการจราจร หรอื ข้อมูล รถประจาทาง เป็นต้น
▪ โปรแกรมประเภทนาทาง (GPS Navigation) ซึ่งใช้ระบบ GPS เป็นตัวระบุตาแหน่งเพื่อนาทางจาก ต้นทางไปยังปลายทาง โดยโปรแกรมจะคานวณระยะทางและหาเสน้ ทางท่ีดีท่สี ุดตามเง่อื นไขที่กาหนด เชน่ เลอื กใชท้ างด่วน หรอื หลีกเล่ยี งถนนสายทร่ี ะบุไว้ แลว้ แสดงภาพกราฟฟกิ พรอ้ มท้งั นาทางดว้ ย เสยี งไปยงั จุดหมายทีละข้นั ตอน โดยแจ้งเตอื นให้เลี้ยวซา้ ย เลย้ี วขวา กลบั รถ หรอื เสียงแจ้งเตือนเม่ือ ขบั รถดว้ ยความเรว็ เกินกวา่ กาหนด เป็นต้น สาหรบั แอพพลิเคชัน่ บนสมาร์ทโฟนและแทบ็ เลต็ น้นั มี มากมาย เช่น iWay GPS Navigation, Garmin viago, HERE Maps เป็นต้น ซึง่ มใี ห้เลือกใชง้ านทั้ง แบบออนไลน์ (ผ่านอนิ เทอรเ์ นต็ ) และแบบออฟไลน์ (ใชร้ ะบบ GPS บนตวั เครอ่ื งสมาร์ทโฟนหรือแท็บ เลต็ โดยไม่ตอ้ งตอ่ อนิ เทอร์เนต็ ) หรือแมแ่ ต่ Map ของ Apple หรือ Google ทีม่ ีอยูใ่ นสมารท์ โฟนกม็ ี ความสามารถในการนาทางได้ในระดบั หน่งึ เชน่ เดยี วกนัปญั หาและขอ้ จากัดของการใช้งานคอมพวิ เตอร์ การนาเอาคอมพิวเตอร์ไปประยุกต์ใช้ในงานต่างๆ นั้น จะเห็นได้ว่าก่อให้เกิดประโยชน์มากมาย เช่นช่วยให้ทางานได้เร็วและสะดวกข้ึน การวินิจฉัยหรือให้ผลลัพธ์มีความแม่นยามากขึ้นกว่าเดิม สามารถแบ่งเบาภาระงานของมนุษย์ลงไปอย่างมาก ในทางตรงกันข้าม หากเราจะพิจารณาถึงข้อจากัดของการใช้งานคอมพิวเตอร์แล้วจะเห็นว่า คอมพิวเตอร์เป็นเพียงอุปกรณ์ ท่ีมนุษย์สร้างขึ้นมาสาหรับแก้ไขปัญหาในรูปแบบต่างๆ ตามท่ีมนุษย์สอนหรือกาหนดไว้เท่าน้ัน คอมพิวเตอร์ยังไม่สามารถเข้ามาแทนที่มนุษย์ได้ร้อยเปอร์เซ็นต์เพราะถงึ อย่างไรกต็ าม มนุษยก์ ย็ ังตอ้ งคอยเป็นผคู้ วบคุมและสรา้ งคาสง่ั ให้คอมพวิ เตอรท์ างานไดอ้ ยูด่ ี ระบบคอมพิวเตอร์ถึงแม้จะมีความสามารถในเรอื่ งของการคิดและตัดสินใจแทนมนษุ ย์ได้ แต่ก็เป็นแค่บางเรื่องหรือบางกรณีเท่านั้น ซ่ึงไม่ใช่ทั้งหมดทีเดียว การประมวลผลงานบางอย่างของคอมพิวเตอร์อาจไม่ฉลาดเท่ากับการคิดและการตดั สินใจของมนุษย์ได้เลย เพราะคอมพิวเตอร์จะทางานตามที่ได้รับคาส่ังหรือตามข้อมูลที่ได้รับมาเท่านั้น กล่าวง่ายๆ คือได้ข้อมูลมาอย่างไรก็ทาตามไปแบบน้ัน หากได้รับข้อมูลผิดพลาดหรือข้อมูลที่ไม่มีคุณค่าเข้าไปในระบบ ผลลัพธ์ที่ได้ออกมาก็จะเป็นข้อมูลที่ผิดพลาด และไม่เป็นประโยชน์ตามไปดว้ ย ดงั เชน่ สานวนท่พี ดู กนั วา่ ขยะเขา้ -ขยะออก หรือ GIGO (Garbage In Garbage Out) นน่ั เอง ปัญหาของผู้ใช้คอมพวิ เตอร์ที่พบมากท่ีสุดก็คือ \"ความรู้ไม่ทนั เทคโนโลยี\" ท่ีมีการเปล่ียนแปลงไปอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะเทคโลโลยีทางด้านคอมพิวเตอร์ ผู้ใช้งานจึงจาเป็นอย่างย่ิงที่จะต้องติดตามข่าวสารและปรับตัวให้ทันสมัยตลอดเวลา ยกตัวอย่างเช่น แต่เดิมเราใช้คอมพิวเตอร์กันเพียงแค่ในลักษณะคอมพิวเตอร์
ส่วนบุคคล (Personal Computer) เช่นใช้พิมพ์ข้อความหรือรายงานเอกสารธรรมดา ในยุคน้ันยังไม่มีใครสามารถคาดคิดว่าจะมีมีผู้ไม่ประสงค์ดีสร้างไวรัสเข้ามาก่อกวนระบบคอมพิวเตอร์ให้ทางานผิดพลาดหรือลดประสิทธิภาพลง แต่ต่อมาเม่ือเทคโนโลโลยีต่างๆ เปลี่ยนแปลงไป การเช่ือมต่อระหว่างเครื่องคอมพิวเตอร์มีมากขึ้น การแพร่กระจายของไวรัสก็มีเพิ่มข้ึนตามไปด้วย สิ่งที่ต้องทาก็คือ ควรติดตามข่าวสารต่างๆ เก่ียวกับไวรัสอยู่ตลอดเวลลา รวมถึงการรู้จักป้องกันไม่ให้ปัญหาแบบนี้เกิดขึ้นโดยศึกษาการใช้โปรแกรมป้องกันไวรัสเพอ่ื คอยระวงั ภยั ดังกล่าว เปน็ ต้น อีกปัญหาท่ีพบบ่อยก็คือ ปัญหาอาชญากรรมคอมพิวเตอร์ ซึ่งมักเกิดจากคนท่ีมีความรู้และความชานาญทางคอมพิวเตอร์เป็นพิเศษ แต่กลับนาเอาความรู้นั้นไปใช้ในทางที่ผิด และสร้างความเสียหายแก่ผู้อ่ืนเป็นอย่างมาก เช่น ขโมยข้อมูลที่มีความสาคัญโดยวธิ ีการท่ีแยบยลแล้วนาเอาไปใช้ประโยชน์สว่ นตน การโจมตีระบบคอมพิวเตอร์ด้วยวิธีการต่างๆ เพื่อไม่ให้สามารถทางานได้ต่อไป (เรียกว่าการโจมตีแบบ Danial of Serviceหรือ DoS) การบกุ รุกผา่ นเครือข่ายคอมพวิ เตอรเ์ พื่อเข้าไปใชง้ านโดยไม่ไดร้ ับอนุญาต (Intrusion) เป็นต้น ดังนั้นการที่คอมพิวเตอร์จะทางานได้ดีและมีประสิทธิภาพมากท่ีสุดจึงอยู่ที่ \"มนุษย์\" ซ่ึงจะต้องรู้จักเลือกใช้งานให้ถูกวิธี ติดตามข่าวสารเทคโนโลยีทางด้านคอมพิวเตอร์อย่างสม่าเสมอ และมีความตระหนักถึงจริยธรรมในการใช้งานโดยทั่วไปที่จะไม่สร้างความเสียหายแก่ผู้อ่ืน ซ่ึงจะทาให้เกิดปัญหาในการใช้งานตามมาน้อยท่สี ดุ น่ันเองสรุปทา้ ยบท คอมพวิ เตอร์ได้เข้ามาช่วยเหลือการทางานของมนุษย์อย่างมาก มคี ณุ สมบตั ิเด่นคอื ความเปน็ อัตโนมัติทางานด้วยความเร็ว มีความถูกต้องแม่นยา น่าเชื่อถือ จัดเก็บข้อมูล ทางานซ้าๆ กัน และใช้แลกเปลี่ยนข้อมูลเพ่ือติดต่อส่ือสารกันได้ คอมพิวเตอร์ในยุคแรกเน้นในการทาสงครามเป็นหลัก ต่อมามีการพัฒนาให้ดีข้ึน โดยปรับขนาดให้เล็กลงและมีประสิทธิภาพมากย่ิงขึ้น เราสามารถนาเอาคอมพิวเตอร์ไปใช้ประโยชน์ในสายงานตา่ งๆ ได้มากมาย เชน่ การใช้งานภาครฐั ธุรกจิ ท่ัวไป สายการบิน การศึกษา ธุรกิจนาเข้าและส่งออก ธนาคารวิทยาศาสตร์และการแพทย์ เปน็ ตน้ ปริมาณผู้ใช้คอมพิวเตอร์มีแนวโน้มเพิ่มสูงข้ึนเร่ือยๆ และคอมพิวเตอร์มีการเชื่อมโยงต่อกันเป็นเครือข่ายมากขึ้น การออกแบบตัวเคร่ืองในรุ่นใหม่ๆ มีการปรับรูปลักษณ์แปลกตามากกว่าเดิม นอกจากน้ันยังมีการพัฒนาขีดความสามารถให้ใกล้เคียงกับมนุษย์ โดยการนาเอาศาสตร์ทางด้านปัญญาประดิษฐ์เข้ามาใช้อย่างไรกต็ ามคอมพิวเตอร์จะทางานได้ตามคาสง่ั ที่ได้รับมาเท่านั้น หากได้รับข้อมูลที่ผิดพลาด การประมวลผลก็ย่อมผิดตามไปด้วย ผู้ใช้จาเป็นต้องเข้าใจภาพรวมในการใช้งานของคอมพิวเตอรว์ ่า มาสามารถเอามาใช้แทนมนุษยไ์ ดเ้ ตม็ ร้อยเปอร์เซ็นต์ มนุษย์ยังคงเป็นผ้คู วบคุมการทางานบางอย่างอยู่แบบฝกึ หัดบทที่ 1 1. ลักษณะเดน่ ของคอมพิวเตอร์โดยท่ัวไปประกอบด้วยอะไรบ้าง จงอธิบาย
2. อปุ กรณ์ Suan-Pan เก่ยี วข้องกบั ประวัตขิ องคอมพวิ เตอรอ์ ย่างไร จงอธบิ าย 3. ผทู้ ไ่ี ด้ชอ่ื ว่า \"บดิ าของคอมพวิ เตอร์\" คือใคร และเหตุใดจึงได้รบั การยกย่องเช่นนั้น 4. เครอ่ื งคอมพวิ เตอรแ์ บบดจิ ติ อลเครือ่ งแรกของโลกคือเคร่ืองใด และจงอธิบายวา่ สร้างข้ึนด้วยเหตุผลใด 5. John Von Neumann มีบทบาทอย่างไรเกยี่ วกับประวัติของคอมพิวเตอร์ 6. คอมพิวเตอร์เครื่องแรกทใ่ี ช้ในเชงิ ธรุ กจิ คอื เครื่องใด และนามาใช้กับงานด้านใด 7. ทรานซิสเตอร์กับแผงวงจรรวม มคี วามเหมือนหรือแตกต่างกันอย่างไรบ้าง จงอธบิ าย 8. E-Government คืออะไร จงอธบิ าย พร้อมทง้ั ยกตวั อยา่ งประกอบ 9. ลกั ษณะเดน่ ของส่ือคอมพวิ เตอร์ชว่ ยสอนคือ CAI คืออะไร แตกตา่ งอยา่ งไรกบั การสอนในอดีต 10. รปู แบบของ E-Banking สามารถทาไดโ้ ดยผ่านช่องทางอะไรบา้ ง จงอธิบาย พร้อมท้ังยกตวั อยา่ ง ประกอบอยา่ งนอ้ ย 3 ช่องทาง 11. คอมพิวเตอร์มอื ถอื (Handheld Computer) นาไปใชป้ ระโยชนใ์ นดา้ นใด และมีความแตกตา่ งกบั เครอื่ งไมโครคอมพิวเตอร์ (Microcomputer) อย่างไรบ้าง จงอธิบายประกอบ 12. ภาษาธรรมชาติ (Natural Language) คืออะไรสามารถนาไปใชป้ ระโยชนด์ า้ นใดบ้าง บรรณานุกรม สพุ รรษา ยวงทอง.ความรูเ้ บ้อื งตน้ เก่ยี วกับคอมพวิ เตอรแ์ ละเทคโนโลยีสารสนเทศ.กรุงเทพมหานคร:โปรวชิ ั่น,2557.
Search
Read the Text Version
- 1 - 44
Pages: