“วถิ ีถน่ิ วถิ ีภษู า ผนื ผา้ และเครื่องเงินสกลุ ชา่ งลาปาง” อตั ลักษณผ์ า้ ลาปาง ยุคสมัยแห่งการเปล่ียนแปลง จังหวัดลาปางกับการเปลี่ยนแปลงของยุคสมัย ส่ือสะท้อน พระราชชายา เจา้ ดารารัศมี ทางด้านความนิยมในการแต่งกายของสตรีในราชสานัก ต้ังแต่ช่วง รัชกาลที่ ๕ เป็นต้นมา ซ่ึงวัฒนธรรมการแต่งกายของสตรีทั้งในราช สานักและสตรีชาวบา้ นมกี ารเปลี่ยนแปลงไปจากการนุ่งผ้าแถบและโจง กระเบน ไปสู่การนุ่งเส้ือแบบเสื้อแพรไหม ลูกไม้ตัดแบบตะวันตก จนกระทั่งในช่วงรัชกาลท่ี ๖ การแต่งกายเปลี่ยนแปลงไป สตรีในราช สานักสยามนิยมการแต่งกายด้วยการนุ่งผ้าซิ่น สวมเส้ือแพรโปร่งบาง ซ่ึงเป็นรูปแบบท่ีเป็นพระราชนิยม โดยในช่วงน้ันการนุ่งผ้าซิ่นของสตรี ในราชสานักสยามมักนิยมนุ่งผ้าซ่ินลายเชิงเป็นหลัก จะเห็นได้ว่าผ้าซ่ิน ล้านนากย็ งั คงแฝงอย่ใู นวฒั นธรรมของราชสานักสยามนับตั้งแต่ยุคสมัย ของพระราชชายา เจ้าดารารัศมี เรอ่ื ยมา ทงั้ ยงั มกี ารผสมผสานรูปแบบ การแต่งกายที่หลากหลายมากขึ้น เช่น มีการสวมชุดกิโมโนตามแบบ ญี่ปุ่นแต่นุ่งผ้าซ่ินตาแบบล้านนา หรือใช้ผ้าซิ่นแทนกระโปรงแบบ ตะวนั ตก เปน็ ต้น การเปล่ียนแปลงที่สาคัญที่ส่งผลต่อการเปล่ียนแปลง การนุ่งผ้าตีนจกของชาวล้านนา โดยเฉพาะในเขตพื้นท่ีจังหวัดลาบาง นัน้ กค็ ือ ความนิยมในการนงุ่ ซ่นิ ตามากกว่าการนุง่ ผ้าซน่ิ ตนี จก นอกจากน้ีการเปลี่ยนแปลงของสังคมและเศรษฐกิจ ยังส่งผลให้วัฒนธรรมการแต่งกายมีการเคลื่อนตัว เปลี่ยนแปลงตามไปด้วย จากเดิมที่มีการทอผ้าเพื่อใช้ในครัวเรือน เม่ือมีเทคโนโลยีจากต่างประเทศเข้ามาอานวย ความสะดวกในเรื่องของการทอให้ง่ายมากยิ่งขึ้น รวม ไปถึงการค้าขายท่ีจากเดิมใช้เส้นทางการค้าแบบวัว ตา่ งมา้ ตา่ งและการล่องเรือ สยู่ ุคของการใช้รถไฟเข้ามา อานวยสะดวกในการขนส่งมากย่ิงขึ้น ในช่วงปี ๒๔๖๓ - ๒๔๖๕ เส้นทางรถไฟสายเหนือได้เดินทางมาถึงนคร ล า ป า ง ท า ใ ห้ ผ ลิ ต ภั ณ ฑ์ ท่ี ห ล า ก ห ล า ย จ า ก กรุงเทพมหานครเข้ามาสู่ท้องถ่ินมากย่ิงข้ึน กระแส ความนิยมของสินคา้ และเคร่อื งใชต้ ่าง ๆ ที่มาพร้อมกับ รถไฟ ส่งผลการลดบทบาทและความนิยมต่างๆ อาคารสถานรี ถไฟนครลาปาง มมุ มองจากถนนสเุ รนทร์ (ทีม่ า : หอจดหมายเหตุแหง่ ชาติ)
“วถิ ถี ่นิ วิถีภูษา ผืนผ้าและเครื่องเงินสกลุ ช่างลาปาง” เปลี่ยนแปลงตามไปดว้ ย การทจี่ ะนุง่ ตีนจกแบบด้งั เดิมเปน็ เรื่องท่ยี งุ่ ยากทาใหเ้ สื่อมถอยความนิยมไป สง่ ผลใหค้ นหนั มานยิ มซิน่ ตามากขน้ึ จากเดิมที่เป็นแค่สีพื้น ๆ ที่ใส่ในชีวิตประจาวันกลายเป็นซ่ินท่ีสามารถ ใส่ออกงานได้ทุกโอกาสปรับเปลี่ยนเพียงวัสดุท่ีใช้เท่าน้ัน เช่น หากอยู่ในบ้านอาจเป็นเพียงการนุ่งซ่ินผ้าฝ้ายท่ัวไป แต่หากไปร่วมกิจกรรมสาคัญอาจเปลี่ยนเป็นชิ้นไหมแทน ความนิยมในการนุ่งซิ่นตีนจกจึงลดลง ผู้ทอหันมาทอ ผา้ ซ่ินตามากย่งิ ขน้ึ ทาให้การถ่ายทอดในเรื่องของเทคนิคการจกถูกเลือนหายไปขาดการถ่ายทอดองค์ความรู้ให้กับ รนุ่ ต่อไป อตั ลกั ษณแ์ ห่งผา้ ของจงั หวัดลาปาง อตั ลักษณ์แหง่ ผ้าของจงั หวัดลาปางทโ่ี ดดเด่นประการหน่ึง คือ ซ่ินตีนจก ลาปาง ท้ังนี้หลายคนคงนึกภาพไม่ออกว่าเป็นแบบไหน ซ่ินตีนจกลาปางน้ันแบ่ง ออกเปน็ สองกลมุ่ คอื ๑. ซน่ิ ตีนจกท่ีใชใ้ นราชสานัก จะมีลกั ษณะคล้ายคลงึ กบั ซิ่นตีนจกในราช สานักเชียงใหม่ เพราะลาปางและเชียงใหม่น้ันมีความสัมพันธ์ทางเช้ือสาย ราชวงศ์เจ้าเจ็ดตน ซ่ินทีใ่ ชใ้ นราชสานกั ของลาปางจงึ นิยมสงั่ ทาจากเชียงใหม่เป็น หลกั ส่วน ๒. ซ่ินตนี จกท่ใี ช้ในกลมุ่ ชาวบ้านแถบชานเมืองของลาปางนัน้ จะมีความ แตกต่างจากซ่นิ ในราชสานัก คอื ลวดลายบนดีนจกจะไมม่ ีแบบแผนชดั เจน ข้ึนอยู่ กบั ความชอบของผทู้ อ เน้นสีฉดู ฉาด แตอ่ ยา่ งไรกต็ ามลวดลายก็ยังมีเอกลักษณ์ของชาวไทยยวนต้ังเดิมท่ีมีจุด กาเนิดร่วมกันท่ีเมืองเชยี งแสน ปัจจุบันซิ่นตีนจกของลาปางนับได้ว่าเป็นซ่ินตีนจกที่หาได้ยากท่ีสุด ผ้าซ่ินตีนจกท่ีเป็นผืนดั้งเดิมพบได้น้อยกว่าเมืองอื่น ๆ ในภาคเหนือ ผ้าซ่ินตีน จกลาปางนับได้ว่าเป็นผ้าซ่ินท่ีมีเอกลักษณ์และมีความสวยงามเน่ืองจากเป็น กลุ่มซ่ินที่ได้รับอิทธิพลทั้งจากเชียงแสนและจากราชสานักเชียงใหม่ โดย ลวดลายส่วนใหญ่ของผ้าซ่ินรุ่นแรกน้ันจะอยู่ในกลุ่มซ่ินตระกูลเชียงแสน โดย จะเน้นการจกลวดลายที่ไม่ค่อยถ่ีมากนักและจกบนผ้าพื้นสีแดงเป็นหลักและ ลดทอนในสว่ นของเล็บซ่ินออกไป แตกต่างจากผ้าตีนจกของทางเชียงใหม่ท่ีจะ จกลายให้ถีจ่ นเต็มเนอื้ ผ้า นอกจากน้ีเอกลักษณ์อีกประการหน่ึงของซิ่นตีนจก ลาปางนั้นก็คือการจกลายที่เรียกว่าลายเครือกาบหมากหรือค๊ัวะดอกเอ้ือง ซ่ึงเป็นกลุ่มลายท่ีพบในเขตพื้นท่ีเมืองลาปางและเมืองลองเท่าน้ัน เนื่องจาก เมืองลองเป็นเมืองหนึ่งที่เคยข้ึนตรงต่อนครลาปางทาให้กลายเป็นแหล่งทอตีน จกทสี่ าคัญให้กบั เมอื งลาปางตง้ั แตอ่ ดตี และได้มีการพฒั นาต่อยอดมาเรอื่ ย ๆ
“วิถีถ่ิน วิถภี ูษา ผืนผ้าและเครือ่ งเงนิ สกลุ ช่างลาปาง” เนื่องด้วยเป็นซ่ินท่ีไม่ได้ใชส้ วมใสใ่ นชีวติ ประจาวนั แต่จะใช้ในโอกาสพเิ ศษสาคัญเท่านั้นทาให้ไม่ได้มีการทอ ขนึ้ บ่อย ๆ ขาดการสืบทอดและคอ่ ย ๆ สญู หายไป “ซ่นิ ตนี จกของลาปางนับได้ว่าเปน็ ตนี จกที่หายาก ทีส่ ุด ของเกา่ พบไดน้ อ้ ยมากกว่าเมืองอนื่ มคี วามเปน็ เอกลกั ษณแ์ ละสวยงาม รุ่นแรกๆจะเป็นตนี จกตระกลู เชยี งแสน และพัฒนามาเป็นร่นุ ตอ่ ๆมา เอกลักษณ์สาคัญของตีนลาปาง คอื ลายเครือกาบหมาก หรือคั๊วะดอกเอือ้ งเมอื งลองเป็นเมอื ง หนง่ึ ทข่ี น้ึ ต่อนครลาปาง เปน็ แหลง่ ทอตนี จกใหก้ บั ลาปางใน อดีตจนถึงปจั จุบนั ” ทม่ี า : ซิ่นตีนจกละกอน (ลาปาง) โดยบวั ต๊บิ ผ้าซ่ินตนี จกเมืองลอง รูปแบบของซนิ่ ตนี จกนครลาปาง รู ป แ บ บ ข อ ง ซ่ิ น ตี น จ ก เ มื อ ง ล า ป า ง แ ม้ จ ะ มี ลักษณะท่ีคล้ายกับเชียงใหม่ ลาพูน แต่ก็มีอัตลักษณ์ที่ แตกต่างออกไป เช่น การใช้สีซึ่งหากเป็นจกของเจ้านาย จะใช้สีท่ีเหมือนกับแบบราชสานักเชียงใหม่ แต่หากเป็น จกของชาวบ้านโดยท่ัวไปจะมีการใช้ไหมล้วนและไหม ผสมท่ีมีลักษณะโดดเด่น คือ การเล่นสีในการจก ซ่ึง ข้นึ อยูก่ บั ความพอใจของผูท้ อ สามารถปรับเปลี่ยนสีได้ ตามความชอบหรอื ความตอ้ งการของผู้ทอเองโดยไม่ได้ คานึงถึงรูปแบบสีว่าจะต้องเหมือนกันตั้งแต่ต้นจนจบ ซึ่ ง จ ะ ไ ม่ พ บ เ ท ค นิ ค ก า ร ท อ ใ น ลั ก ษ ณ ะ น้ี ใ น ก ลุ่ ม วัฒนธรรมอน่ื นอกจากน้ียงั มี สที ่ีมักนิยมนามาจกในผ้า ของกลุ่มผ้าซิ่นลาปางมักจะเป็นสีน้าเงิน คราม และสี เขียว(เขียวมะกอก) ซึ่งทาให้ลวดลายมีส่ีสันที่ หลากหลายมากย่ิงขึ้น ถือได้ว่าเป็นเอกลักษณ์ที่ชัดเจน ของซิ่นตีนจกลาปางอีกประการหน่ึง โครงสร้างของ ซ่นิ ตนี จกลาปาง จัดแสดงทีพ่ พิ ิธภัณฑโ์ กมลผา้ โบราณ อ.ลอง จ.แพร่
“วถิ ถี นิ่ วถิ ีภษู า ผนื ผ้าและเครือ่ งเงนิ สกลุ ช่างลาปาง” รปู แบบการจกส่วนใหญจ่ ะเน้นการจกลายโคม ลายขัน และลายนกหรือลายหงส์กนิ นา้ รว่ มต้น ลวดลายมีขนาดใหญ่ เนอื่ งจากลดทอนลายเครือใหม้ ีขนาดลดลงเพ่ือเพ่ิมเน้อื ทใี่ ห้กับลายหลัก ซึ่งถือเป็นโครงสร้างหลักในการจกลายของ ผ้าซิ่นตีนจกลาปาง พัฒนาให้ลวดลายมีความหลากลายมากยิ่งขึ้นเช่น ลายโคมหงส์ดา ลายเครือกาบหมาก ลาย เชียงแสนหงส์คู่ ลายโคมขอหัก (ขอผักกูด) เอกลักษณ์ที่โดดเด่นอีกประการหน่ึงของซิ่นตีนจกลาปางท่ีไม่เหมือนที่ อ่นื คอื ตวั ซิน่ ซ่ึงโดยปกตจิ ะเปน็ ซ่ินเหลืองละกอน ยงั มีการใชส้ ที ่ีเปน็ คสู่ ีพิเศษกว่าเมอื งอื่นโดยจะใช้สีเขียวและสีแดง โดยใหส้ ีแดงเปน็ สีพน้ื และทอขวางด้วยสเี ขยี ว ซ่งึ เป็นความนิยมในกลุ่มผ้าซิน่ ลาปาง อาจกล่าวได้ว่ารูปแบบเอกลักษณ์ของผ้าซิ่นลุ่มแม่น้าปิงและวัง มีลักษณะร่วมกันอยู่หลายประการภายใต้วัฒนธรรมไทยวน อีกท้ังมี ความสัมพันธ์ของสังคมและเศรษฐกิจที่เก่ียวเน่ืองกัน หากแต่ในแต่ละ ท้องถิ่นยังสามารถสร้างความโดดเด่นในรายละเอียดของสีสัน ลวดลาย ตลอดจนเทคนิคการทอท่ีสลับซับซ้อนแตกต่างกันไป นอกจากนี้ยังมี พัฒนาการของรูปแบบทไี่ ด้รับความนิยมในแตล่ ะยคุ สมัยแตกต่างกัน อัน เป็นสาเหตุหนง่ึ ท่ีเกิดการเปล่ียนแปลงของกระบวนการผลิตท่ีได้ถดถอย ในบางรูปแบบจนเลิกผลิตไปในท่ีสุด อีกทางหน่ึงก็ได้กลายเป็นวัตถุท่ีสูง ค่าในความเป็นโบราณวัตถุประเภทส่ิงทอที่มีความต้องการของผู้สนใจ และสะสมของเก่า ถึงกระนั้น สาเหตุดังกล่าวยังจะได้ผลักดันให้เกิดการ ผลิตซ้าในงานสิ่งทอที่อิงอยู่กับรูปแบบดั้งเดิมที่เคยมีการสร้างง านใน ท้องถิ่น ต่าง ๆ ขึ้นมาอีกวาระหนึ่งจึงนับได้ว่าในรอบสามทศวรรษที่ ผ่านมานี้การสืบสานงานสิ่งทอแพรพรรณในล้านนาได้มีการฟ้ืนฟูและ ลายจกลาปาง เผยแพร่กลับคืนข้ึนมาโดยกลุ่มช่างผู้ผลิต กลุ่มผู้บริโภคหน้าใหม่ ๆ จาก ทมี่ า : อ.วถิ ี พานิชพันธ์ ผลงานของการสนับสนุนท้ังภาครัฐและเอกชน อีกท้ังคุณูปการของส่ือ แขนงและประเภทตา่ ง ๆ รวมถึงการสื่อสารท่ีก้าวลา้ ทัน สมัยในโลกดจิ ิตอลในเวลาน้ี ลายตนี จกนครลาปาง ทมี่ า : อาจารย์วิถี พานิชพันธ์ และ พพิ ธิ ภัณฑ์โกมลผา้ โบราณ อ.ลอง จ.แพร่
“วถิ ีถ่นิ วิถภี ษู า ผืนผา้ และเคร่อื งเงินสกลุ ชา่ งลาปาง” เน้อื หานทิ รรศการอา้ งองิ จาก : หนงั สือ “วถิ ีถิ่น วิถีภูษา ผืนผ้าลา้ นนาตะวันตก” โครงการพัฒนาและยกระดบั การท่องเทย่ี วพ้ืนท่กี ลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนบน ๑ กจิ กรรมตามรอยอารยธรรมล้านนาตะวันตก เพอ่ื การท่องเที่ยวเชงิ วัฒนธรรม ปีงบประมาณ ๒๕๖๐ โดย สานกั งานวฒั นธรรมจงั หวดั ลาปาง
Search
Read the Text Version
- 1 - 5
Pages: