满族 กลุ่มชาตพิ นั ธ์ุแมนจู
กลุ่มชาตพิ นั ธ์ุแมนจู กลุม่ ชาติพนั ธุ์แมนจูเป็นชนกลุม่ นอ้ ยเผา่ หน่ึงในประเทศจีนที่มีประวตั ิอนั ยาวนานกลุ่มหน่ึง ซ่ึงถือเป็ นชนกลุ่มนอ้ ยที่ใหญท่ ี่สุดเป็นอนั ดบั 4 ของประเทศจีน ชาวแมนจูเป็ นกลุ่มสาขาที่ใหญ่ท่ีสุดของกลุ่มชาวตุงกูซิกท่ีใช้ภาษากลุม่ ตงุ กซู ิก มีประชากรประมาณ 10,700,000 คน สืบยอ้ นหลงั ไปไดถ้ ึง 2000 กว่าปี ก่อนบรรพบุรุษของชนชาติแมนจูดารงชีวิตอยใู่ นพ้ืนที่กวา้ งใหญ่ลุ่มบริเวณตอนกลางและตอนตน้ ของแม่น้าเฮยหลุงเจียงและลุ่มแม่น้าอซู ูหล่ีเจียง ซ่ึงต้งั อยทู่ างเหนือของภูเขาฉางไป๋ ซานในภมู ิภาคตะวนั ออกเฉียงเหนือของจีน เหลียวหนิงถือไดว้ ่าเป็นดินแดนท่ีมีประชากรแมนจูเยอะที่สุด ส่วนเหอเป่ ย เฮยหลงเจียง จ๋ีหลิน มองโกเลียในและปักก่ิง มีประชากรแมนจู100,000 คนอาศยั อยู่ ประมาณคร่ึงของประชากรอาศยั อยใู่ นเหลียวหนิงและ 1 ใน 5 อย่ทู ่ีเหอเป่ ย นอกจากน้ียงั มีชาวแมนจูอาศยั อยูใ่ นประเทศรัสเซีย อนั ไดแ้ ก่ ดินแดนปรีมอร์สกี บางส่วนของดินแดนฮาบารอฟสค์และแควน้อามรู ์ แผนทขี่ องกลุ่มชาตพิ นั ธ์ุแมนจู
ศตวรรษท่ี 12 กลุ่มชาติพนั ธุ์แมนจูในสมยั น้นั ยงั เรียกว่าชนชาติ “หนว่ีเจิน” ไดส้ ถาปนาราชวงศ์จ้ินข้ึนในปีค.ศ.1583 หนูเอ่อร์ฮาช่ือไดร้ วมชนเผา่ ต่างๆเป็นเอกภาพ จดั ต้งั ระบบ “8ธง” และสร้างภาษาแมนจูข้ึน เม่ือปี ค.ศ. 1635ต้งั ชื่อของชนชาติตนวา่ เป็น “แมนจู” เม่ือค.ศ.1636 หวงไท่จี๋ซ่ึงเป็นบุตรชายของนูเออ่ ร์ฮาช่ือข้ึนครองราชย์ เปล่ียนชื่อประเทศเป็น “ชิง” ในปี ค.ศ.1644 ทหารราชวงศ์ชิงบุกเขา้ กาแพงเมืองจีน ราชวงศช์ ิงกลายเป็ นราชวงศศ์ กั ดินาที่เป็ นเอกภาพและมีรัฐบาลกลางครองอานาจราชวงศ์สุดทา้ ยของจีน ภายหลงั การปฏิวตั ิซิงไห่ ในปี ค.ศ.1911 จึงไดต้ ้งั ชื่อของชนชาติแมนจูเป็ น “หมนั จู๋” อยา่ งเป็ นทางการ ชนชาติแมนจูไดส้ ร้างคุณูปการอนั ใหญ่หลวงในการรวมจีนเป็ นเอกภาพ ขยายอาณาเขตดินแดนของจีนให้กวา้ งขวางออกไปและการพฒั นาเศรษฐกิจและวฒั นธรรม กลุ่มชาติพนั ธุ์แมนจูนบั ถือศาสนาส่าหมนั ท่ีมีเทพเจา้ หลายองค์วฒั นธรรม ภาษาแมนจู เป็นภาษากลมุ่ ตงั กูสิตใกลส้ ูญพนั ธุ์ซ่ึงมีผพู้ ูดอยใู่ นทางภาคเหนือของประเทศจีนและเป็ นภาษาแม่ของชาวแมนจู แต่ปัจจุบนั ชาวแมนจูส่วนมากพูดภาษาจีนกลาง และมีผพู้ ดู เป็นภาษาแม่และพูดไดบ้ า้ งนอ้ ยกว่า 70 คนจากผมู้ ีเช้ือสายแมนจูรวมเกือบ 10 ลา้ นคน แมภ้ าษาซิเบที่มีผพู้ ูด 40,000 คน แทบเหมือนกบั ภาษาแมนจูในทุกดา้ น แต่ผพู้ ดู ภาษาซิเบอาศยั อยใู่ นมณฑลซินเจียงทางตะวนั ตกและมีเช้ือสายแตกตา่ งจากชาวแมนจู ภาษาแมนจูเป็ นภาษารูปคาติดต่อ เขียนจากบนลงล่าง คาดว่าพฒั นามาจากภาษาจูร์เชน มีคายืมจากภาษามองโกเลียและภาษาจีนจานวนมาก มีอกั ษรเป็ นของตนเองเรียกว่าอกั ษรแมนจู ซ่ึงมีลกั ษณะใกล้เคียงกบั อกั ษรมองโกเลีย โครงสร้างประโยคเป็นแบบ ประธาน-กรรม-กริยา ระบบการเขียน ภาษาแมนจูเขียนดว้ ยอกั ษรแมนจูท่ีพฒั นามาจากอกั ษรมองโกล ซ่ึงเป็ นรูปแบบการเขียนในแนวต้งั ของอกั ษรอุยกูร์ในยุคก่อนได้รับอิทธิพลจากศาสนาอิสลาม ภาษาแมนจูมีการเขียนดว้ ยอกั ษรโรมนั ไม่มีความสมั พนั ธ์ระหวา่ งอกั ษรแมนจูกบั อกั ษรจูร์เชน เคร่ื องแบบการแต่งกายเป็ นเครื่องแบบสมยั ราชวงศ์ชิงท่ีได้รับการตกทอดมาจากสมยั ราชวงศ์หมิง ในขณะเดียวกนั กร็ ับเอาจุดเดน่ ของแบบเส้ือสมยั ราชวงศ์ฮน่ั เขา้ มาประยุกตด์ ว้ ย เส้ือผา้ ผูช้ ายยงั คงเนน้ เส้ือคลุมยาว เส้ือแจ๊คเก็ตแบบจีน(马褂) เส้ือช้นั ในแบบยืดลกั ษณะเป็ นเส้ือกลา้ ม (马甲) เส้ือแจ๊คเก็ตแบบจีนจะสวมทบั ไวด้ า้ นนอกของชุดเส้ือคลุมที่หลวมยาว ชุดลกั ษณะดงั กล่าวจดั ไดว้ า่ เป็นชุดพิธีการ ชุดแต่งกายที่เป็นเส้ือ
และกระโปรงของผหู้ ญิงสมยั น้นั เป็ นลกั ษณะผสมผสานระหว่างชาวฮนั่ กบั ชาวแมนจู โดยเฉพาะก่ีเพา้ เป็ นลกั ษณะของชาวแมนจูอย่างเห็นไดช้ ดั นอกเหนือจากน้ียงั มีเส้ือกกั๊ กระโปรง ผา้ คลุมไหล่ สายรัดเอว เครื่องแต่งกายต่างๆเรียกไดว้ า่ ถอดมาจากสมยั ราชวงศห์ มิงหรือแมนจูเลยกว็ ่าได้ ประเพณีการรัดเทา้ ยงั คงสืบทอดมาถึงสมยั ราชวงศช์ ิง การแต่งกายของกลุ่มชาตพิ นั ธ์แุ มนจู ทรงผมตามประเพณีของชาวแมนจู คือ โกนคร่ึงหวั ดา้ นหนา้ และไวผ้ มแบบหางเปี ยขา้ งหลงั รวบเป็นเส้นเดียวและยาว เรียกวา่ \"เป้ี ยนซือ\" (辮子; biànzi) หรือ \"ซอนโกโฮ\" ในภาษาแมนจู ตน้ กาเนิดของทรงผมน้ีคาดว่าน่าจะมาจากขอ้ สนั นิษฐานวา่ ชาวแมนจูนิยมใชม้ า้ เยอะ ทรงผมน้ีชว่ ยในการเคลื่อนไหวบนมา้ และเวลายิงธนู เส้นผมจะไม่ปกหนา้ ถกั เปี ยพนั คอเอาไวใ้ หค้ วามอบอนุ่ กบั ลาคอ ส่วนโกนดา้ นหนา้ มีสองทฤษฎี คือไม่ให้มาปลิวปิ ดตา หรือทาให้ใส่หมวกเหลก็ สะดวก (แบบทรงผมซามูไร) ทรงผมผู้ชายของกล่มุ ชาตพิ นั ธ์ุแมนจู
ส่วนสตรีชาวแมนจูจะไวท้ รงผมที่แตกตา่ งออกไปท่ีเรียกว่า \"เหลียง ปาโตว\" สตรีชาวแมนจูนิยมผมทรงสูงๆใหญ่ๆ ใส่ดอกไมด้ อกโต ทรงผมของหญิงชาวแมนจูแบ่งเป็ น 2 แบบ คือ 1. ทรงสองแกละ 2. ทรงหมวกปี กกวา้ งทรงสองแกละน้นั เริ่มจากการหวีผมไปไวด้ า้ นหลงั จากน้นั แบง่ เป็นสองส่วน ส่วนล่างถึงลาคอ แลว้ แบ่งผมออกเป็ นสองช่อยกสูง ตอนท่ีพบั น้นั ชโลมน้ายาจดั ทรงผมพร้อมกบั จดั ใหเ้ รียบ ยกสูงข้ึนเลก็ นอ้ ย แลว้ พบั จากน้นั รวมกนั เป็ นชอ่ เดียว แลว้ ยอ้ นกลบั ไปดา้ นหนา้ ใชเ้ ชือกมดั ใหแ้ น่นจากโคนผมจากน้นั สอดแถบเหลก็ สาหรับจดั ทรง แลว้ นาเส้นผมพนั รอบแถบเหลก็ น้นั ไว้ ให้เป็ นรูปตวั T แลว้ ค่อยประดบั ดว้ ยดอกไม้ ลูกปัด และพู่ห้อยหรือตุง้ ติ้ง ภายหลงั ในสมยั เสียนเฟิ งฮ่องเต้ (ก่อนสมยั ซูสีไทเฮา) ผมทรงน้ีก็ค่อยๆมีขนาดใหญข่ ้ึน แกละท้งั สองขา้ งก็มีขนาดใหญข่ ้ึนเร่ือยๆจึงนาแถบรูปพดั สีดามาประดบั ให้ปี กผมท้งั สองขา้ งกวา้ งข้ึน แลว้ เรียกวา่ “ฉีโถว” หรือ “กวนจวง” ซ่ึงเรารู้จกั กนั ในนาม “ตา้ ลาเชอ่ ”ทรงสองแกละ ทรงหมวกปี กกว้าง
วนั หยดุ ทางประเพณี ชาวแมนจูมีวนั หยดุ ทางประเพณีหลายวนั บางวนั ไดร้ ับอิทธิพลจากชาวฮนั่ เช่น ตรุษจีน และ เทศกาลไหวบ้ ๊ะจ่าง บางวันก็เป็ นวันหยุดของแมนจูแท้ๆ เช่น เทศกาลปานจิน (頒金節, Banjin Inenggi, แม่แบบ:ManchuSibeUnicode) ซ่ึงจดั ทุกวนั ที่ 13 ของเดือนสิบในปฏิทินจันทรคติ เป็ นวนั ฉลองครบรอบการต้งั ชื่อคาว่า\"หมา่ นจู๋\" (แมนจู) โดยในปี ค.ศ. 1635 จกั รพรรดิหวงั ไถจี๋ ไดท้ รงเปลี่ยนช่ือชาวแมนจูจาก \"หนวี่เจิน\" (女真) เป็ น\"หม่านจู๋\" (滿族) วนั เจว๋เหลียง (絕糧日) หรือ วนั กาจดั อาหาร ซ่ึงจดั ทุกวนั ท่ี 26 ของเดือนแปดของในปฏิทินจนั ทรคติ เป็นอีกวนั หยดุ หน่ึง ซ่ึงไดร้ ับอิทธิพลมาจากเร่ืองเล่าของจกั รพรรดินู่เอ๋อร์ฮาช่ือและกองทพั ของพระองค์ ซ่ึงกาลงั ทาศึกกบั ศตั รูกระทงั่ เกือบไม่มีอาหารเหลือ ชาวบา้ นท่ีอาศยั อยใู่ กลส้ นามรบ ไดย้ ินว่าเสบียงอาหารใกลห้ มด จึงมาช่วยจกั รพรรดิและกองทพั ขณะน้นั สนามรบไม่มีภาชนะที่ใชใ้ นการรับประทานอาหาร จึงตอ้ งใชใ้ บจี่ซู (紫蘇)ห่อขา้ ว จากน้นั กองทพั ก็ไดช้ ยั ชนะ คนรุ่นหลงั จึงระลึกถึงความลาบากน้ี โดยจกั รพรรดินู่เอ๋อร์ฮาช่ือ ทรงสถาปนาวนั น้ีให้เป็นวนั เจว๋เหลียง ตามประเพณีแลว้ ชาวแมนจูมกั กินใบจ่ีซูหรือใบผกั กาดห่อดว้ ยขา้ วสวย ไข่คน เน้ือววั หรือเน้ือหมูเทศกาลปานจนิ อาหารวนั เจว๋เหนียง
Search
Read the Text Version
- 1 - 7
Pages: