Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore e-book หน่วยที่ 3

e-book หน่วยที่ 3

Published by apichatpasert, 2018-03-15 04:31:34

Description: e-book -ตรวจสอบอุปกรณ์ระบบปรับอากาศ

Search

Read the Text Version

โครงการใบงานประกอบสอื่ การเรียนการสอนระบบปรับอากาศรถยนต์ สมาชิกกลุ่ม ปนิ ใจกุลนายวรมั พงษ์ หลชี ัยกุลนายอาทติ ย์ เรียนก่ิงนายพลวฒั น์รายงานเล่มน้เี ป็นส่วนหนง่ึ ของวชิ าโครงการตามหลกั สตู รประกาศนียบตั รวิชาชพี สาขา ช่างยนต์ คณะ ชา่ งอุตสาหกรรม โรงเรยี นพายัพเทคโนโลยแี ละบรหิ ารธุรกิจ ปีการศึกษา 2553

แบบอนุมัติเค้าโครงการศึกษาโครงการ คณะ ชา่ งอตุ สาหกรรม สาขา ช่างยนต์ หลกั สูตรประกาศนยี บตั รวิชาชพี โรงเรยี นพายัพเทคโนโลยแี ละบริหารธรุ กิจ ปกี ารศึกษา 25531.ชื่อโครงการ 1.1 ชดุ ส่ือการเรยี นการสอนระบบปรับอากาศรถยนต์2.ผู้เสนอโครงการ ปนิ ใจกุล นายวรมั พงษ์ หลีชยั กลุ นายอาทติ ย์ เรยี นก่ิง นายพลวัฒน์3.อาจารย์ท่ีปรึกษา 3.1 สาขาวชิ า ชา่ งยนต์ คณะ ชา่ งอุตสาหกรรม อนุมตั ิให้นบั โครงการน้ี เป็นส่วนหน่ึงของการศึกษาตามหลกั สตู รประกาศนยี บตั รวชิ าชพีหัวขอ้ โครงการ : ชุดสื่อการเรียนการสอนระบบปรบั อากาศรถยนต์ชอ่ื นักศึกษา : นายวรัมพงษ์ ปนิ ใจกลุอาจารยท์ ปี่ รกึ ษาสาขาวิชา นายอาทติ ย์ หลชี ยั กุล นายพลวัฒน์ เรียนกิง่ : อ. : ช่างยนต์

ปีการศึกษา : 2553 กิตติกรรมประกาศ โครงการ เร่อื ง พัฒนาชดุ สื่อการเรยี นการสอนงานปรับอากาศรถยนต์ ซึง่ คณะผดั้ ทาขอขอบคณุอาจารย์ท่ีปรกึ ษา ครู และบคุ ลากรตอ่ ไปน้ที ช่ี ่วยใหโ้ ครงการนส้ี าเร็จลุล่วงได้ด้วยดี คณาจารย์คณะช่างอุตสาหกรรมทุกท่าน ทไ่ี ดป้ ระสิทธ์ประสาทวชิ าความรู้จนสามารถทาให้โครงการนี้ไดผ้ ลเปน็ ทสี่ าเร็จ บิดา มารดาท่ีเคารพ ทีค่ อยเปน็ กาลงั ใจและสนบั สนนุ การศกึ ษาของคณะผจู้ ดั ทา ทางคณะผ้จู ัดทาหวงั เปน็ อย่างย่งิ วา่ ฌครงเร เรือ่ ง พัฒนาชดุ สอื่ การเรียนการสอนงานปรับอากาศรถยนต์ ท่ไี ดท้ าข้นึ มาจะเป็นประโยชนต์ อ่ ผู้ใหค้ วามสนใจทางดา้ นการศึกษา ซึง่ เปน็ แนวทางในการพฒั นาตอ่ ไปในอนาคต สุดท้ายขอพรอันประเสรฐิ ท้งั หลายจงเกิดกบั ผ้มู พี ระคุณทุกทา่ นดังกลา่ ว คณะผ้จู ดั ทาโครงการ

สารบัญ หน้าเรอ่ื ง กแบบอนมุ ตั ิเค้าโครงของการศึกษาโครงการ ขบทคัดยอ่สารบัญ

บทท่ี 1 บทนา1.1ความเปน็ มาและความสาคญั ของปัญหา การจดั การเรียนการสอนด้านอาชีวศกึ ษา มุง่ เน้นให้นกั ศกึ ษาเกิดการเรียนรู้และมที กั ษะในการปฏบิ ั ติงานในสาขาอาชพี นั้น ๆ ปัจจบุ ันมีผู้สนใจเขา้ ศกึ ษาทางด้านอาชวี ศึกษาเพ่มิ มากขนึ้ผ้เู รียนทมี่ คี วามแตกต่างระหว่างบุคคลประกอบกบั วทิ ยากรความกา้ วหน้าทางวิชาชพี ชา่ งยนต์ท่ีเกดิ ขน้ึ อย่างรวดเร็วทาใหภ้ าระหนา้ ทขี่ องอาจารยผ์ สู้ อนตอ้ งทาอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อช่วยให้นกั ศกึ ษาเกิดการเรยี นรู้ คิดหาเหตผุ ล คดิ สรา้ งสรรค์ และสามารถแกไ้ ขปญั หาได้ การท่ีจะสอนให้มปี ระสิทธภิ าพนัน้ อาจารยผ์ ู้สอนต้องจัดการเรยี นการสอนให้มคี วามก้าวหนา้ และมีอปุ กรณ์ที่ทนั สมยั ส่งผลประโยชน์ใหก้ ับนกั ศึกษาโดยคน้ หาแนวทางในการสอนทใี่ ช้เทคนิควิธกี ารใหม่ ๆหรอื นาเอาเทคโนโลยที ี่เหมาะสมกับนกั ศึกษามาใช้ เน่อื งจากในปัจจุบัน มีความพัฒนาทางดา้ นการเรยี นการสอนทท่ี นั สมัยและสะดวกสบายมากย่งิ ขนึ้ เป็นการเรยี นผา่ นอินเทอร์เนต็ หรือการเรยี นผ่านจานดาวเทียม เป็นตน้ แต่ก็ยงั มีในบางส่วนท่ยี งั ขาดการบูรณาการหรอื พฒั นาใหส้ ะดวกในการเรียนการสอน ทาใหผ้ ูส้ อนและผู้เรยี นไมส่ ามารถท่จี ะสอนและเรียนร้ไู ดอ้ ย่างเต็มประสิทธิภาพ ดังนนั้ คณะผจู้ ัดทาจงึ ได้ช่วยกันคิดค้นหาสื่อการเรียนการสอนท่มี คี วามสะดวกต่อการเรียนและการสอนให้มากย่งิ ขึ้น คือ ชุดสอื่ การเรียนการสอนระบบปรบั อากาศรถยนต์ ซ่ึงชดุ ส่ือการเรียนการสอนดงั กลา่ วนจี้ ะมีเฉพาะอปุ กรณข์ องระบบปรับอากาศรถยนต์เท่านั้น โดยแยกออกมาจากเครอื่ งยนต์ ซ่งึ ทาให้สะดวกต่อการเรียนและการสอนมากย่งิ ขนึ้1.2 วัตถุประสงค์ของโครงการ 1.2.1 เพอื่ ใช้ในการเรยี นการสอนในวิชางานปรบั อากาศรถยนต์ 1.2.2 เพ่อื ใหส้ ่ือการเรียนการสอนมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น 1.2.3 เพอื่ ให้เกิดความสะดวกในการเรยี นงานปรบั อากาศมากยิ่งข้ึน

1.2 ขอบเขตของโครงการ 1.2.1ใชใ้ นการเรีบนการสอนวชิ างานปรบั อากาศรถยนตเ์ ทา่ น้ัน 1.2.1ใช้สารความเยน็ เฉพาะ R-134a เท่านั้น1.3 สถานทที่ าโครงการ โรงเรยี นพายัพเทคโนโลยแี ละบรหิ ารธุรกจิ กม.ท่ี4 ถ.เชยี งใหม่-แม่โจ้ 262 ม.6 ต.หนองจ๊อม อ.สันทราย จ.เชยี งใหม่ 502101.4 ประโยชน์ทไี่ ด้รบั จากโครงการนี้ 1.4.1 เพอื่ จะได้ใช้สมรรถนะทไ่ี ดเ้ รียนรมู้ าใหเ้ ป็นประโยชน์สูงสุด 1.4.2 เพ่ือจะให้มีส่อื การเรียนการสอนโดยแฉพาะของรายวิชานน้ั ๆ 1.4.3 เพื่อจะได้ใหผ้ เู้ รยี นเรยี นรู้เกย่ี วกบั อปุ กรณร์ ะบบปรับอากาศรถยนต์

บทท่ี 2 ทฤษฎีทเี่ ก่ียวขอ้ ง2.1 คอมเพรสเซอร์ คอมเพรสเซอรเ์ ป็นอุปกรณ์ที่ทาหน้าที่ดดู สารความเย็นสถานะแก๊สจากอีวาพอเรเตอร์แลว้อดั ใหม้ คี วามดันสูงขน้ึ เพื่อสง่ ต่อไปยงั คอนเดนเซอร์ ซง่ึ การดดู และอดั สารความเยน็ ของคอมเพรสเซอรข์ องคอมเพรสเซอรน์ ที้ าให้สารความเย็นสามารถหมนุ เวยี นในระบบได้เปรยี บเสมอื นหวั ใจของคนเราท่ที าใหโ้ ลหิตสามารถไหลเวยี นในร่างกายได้ รปู ท่ี2.1 คอมเพรสเซอร์ 2.1.1 แบบของคอมเพรสเซอร์  แบบลูกสูบ ( Reciprocating Compressor )  แบบสวอชเพลท ( Swash plate Compressor )  แบบแวนโรตารี ( Van Rotary Compressor )

2.2 คอนเดนเซอร์ คอนเดนเซอรเ์ ปน็ อุปกรณท์ ่ีทาหน้าทร่ี ะบายความรอ้ นออกจากสารความเย็น เพอื่ ให้สารความเยน็ กลน่ั ตัวหรือเปล่ยี นสถานะเปน็ ของเหลว โดยจะรบั สารความเยน็ สถานะแก๊สทม่ี คี วามดนัสูงและอุณหภูมิสงู จากคอมเพรสเซอร์ แล้วระบายความรอ้ นออกจากสารความเยน็ สารความเย็นที่มคี วามดันสงู จะมีจดุ เดอื ดสงู เม่ือได้รบั การระบายความร้อนออกจงึ เปล่ยี นสถานะเป็นของเหลวแตย่ งั คงความดนั สูงอยู่ ดังนน้ั สารความเย็นทอ่ี อกจากคอนเดนเซอร์ ซึง่ จะไหลตอ่ ไปยงั รซี ฟี เวอร์-ไดรเออร์ จงึ เปน็ สารความเยน็ สถานะของเหลวทม่ี ีความดันสูง รูปท่ี2.2 คอนเดนเซอร์2.3 รีซีฟเวอร์-ไดรเออร์ รีซฟี เวอร์-ไดรเออรเ์ ปน็ อุปกรณท์ ่ีทาหนา้ ที่หลัก 3 ประการ คอื  แยกสารความเย็นท่ีเป็นแก๊สออกจากสารความเยน็ ที่เป็นของเหลว  กรองสิ่งสกปรกออกจากสารความเย็นท่ีจะไหลตอ่ ไปยงั เอ็กซ์แพนช่ันวาลว์  ดดู รับความช้นื ออกจากสารความเย็นในกรณีท่ีมีความชืน้ เข้ามาภายในระบบแลว้ ไหลเวียนไปกับสารความเยน็

2.3.1 การทางานของรีซฟี เวอร์-ไดรเออร์ เมอ่ื สารความเยน็ จากคอนเดนเซอร์ ซ่งึ มที งั้ สารความเยน็ ที่เปน็ ของเหลว และสาร ความเย็นท่ีเปน็ แก๊สเขา้ มายงั รีซีฟเวอร์-ไดรเออร์ สารความเย็นทเ่ี ป็นของเหลว จะไหลผา่ น ฟิลเตอรแ์ ละสารดูดความช้ืนลงไปสะสมอยู่ดา้ นลา่ งของตวั รซี ฟี เวอร์-ไดรเออร์ ส่วนสาร ความเยน็ ทเ่ี ป็นแก๊สกจ็ ะลอยอยู่ส่วนบนของรีซีฟเวอร์-ไดรเออร์ ซ่ึงเปน็ การแยกตวั ออก จากกัน ระหวา่ งสารความเยน็ ทเี่ ป็นแกส๊ และสารความเย็นทเ่ี ปน็ ของเหลว รูปที่2.3 รีซฟี เวอร์-ไดรเออร์2.4 เอ็กซ์แพนชนั่ วาลว์ หนา้ ทท่ี สี่ าคัญของเอ็กซ์แพนชั่นวาลว์ คอื  ทาหน้าทีล่ ดความดนั ของสารความเยน็ เหลวทไี่ หลมาจากรีซฟี เวอร์-ไดรเออรล์ ง  ควบคมุ ปรมิ าณสารความเยน็ เหลวที่จะไหลเข้าไปยังอีวาพอเรเตอร์ ใหม้ ปี รมิ าณ พอเหมาะกับปรมิ าณความรอ้ นในหอ้ งโดยสารท่ีจะต้องถ่ายเทให้กับอีวาพอเรเตอร์ หรือท่ีเรยี กว่า “โหลดความรอ้ น” รปู ที่2.4 เอ็กซแ์ พนชั่นวาล์ว

2.5 ชุดอีวาพอเรเตอร์ หนา้ ท่ขี องอีวาพอเรเตอร์  เป็นทีส่ าหรบั ให้สารความเย็นเปลี่ยนสถานากของเหลวเปน็ แก๊ส  ดูดรบั ปริมาณความร้อนจากหอ้ งโดยสาร เพอ่ื ใชใ้ นการเปลี่ยนสถานะของสาร ความเยน็ ทีอ่ ยใู่ นอวี าพอเรเตอร์ รูปท่ี2.5 อีวาพอเรเตอร์2.6 การเปล่ยี นสถานะของสาร สารต่างๆ อาจอยใู่ นสถานะก๊าซ ของเหลว หรือของแขง็ กไ็ ด้ ขึ้นอยกู่ บั ชนดิ ของสาร สารแตล่ ะชนิดจะมจี ดุ เดือดและจดุ หลอมเหลวตา่ งกนั ซึ่งเปน็ คุณสมบตั ิเฉพาะตัวของสาร การเปลย่ี นแปลงอณุ หภมู จิ ะมีผลตอ่ การเปลีย่ นแปลงสถานะของสาร โดยทพ่ี จิ ารณาตามหลักการดงัภาพ - การเปล่ยี นแปลงของสารจากสถานะของแขง็ เป็นของเหลว เรียกวา่ การหลอมเหลวอุณหภูมขิ ณะนนั้ จะคงทีเ่ รยี นกว่า จดุ หลอมเหลว

- การเปลีย่ นสถานนะของสารจากของเหลวกลายเป็นไอ เรียกว่าการเดือด อณุ หภมู ิขณะนั้นจะคงทเ่ี รียกว่า จดุ เดอื ด2.7 พลงั งานกบั การเปลย่ี นแปลงของระบบ การเปลี่ยนแปลงของสารมี 3 ลักษณะ คือ การเปล่ยี นสถานะ , การละลาย และการเกิดปฏกิ ิริยาเคมี โดยการเปลีย่ นแปลงของสารจะ เกี่ยวข้องกบั พลังงานดงั ตอ่ ไปนี้ 2.7.1 พลงั งานกับการเปล่ยี นสถานะ สารมี 3 ลกั ษณะ คอื ของแขง็ , ของเหลว และก๊าซ เมื่อสารเปลี่ยนสถานะจากของแขง็ เป็นของเหลวหรือของเหลวเปน็ กา๊ ซ หรือของแขง็ เป็นกา๊ ซจะต้องดูดความรอ้ นจากสง่ิ แวดลอ้ ม ถา้ สารเปลยี่ นสถานะจากกา๊ ซเป็นของเหลว หรือของเหลวเป็นของแขง็ หรอื กา๊ ซเป็นของแข็งจะตอ้ งคายความรอ้ นให้กับสง่ิ แวดลอ้ มขณะที่สาร เปลีย่ นสถานะ อุณหภมู ขิ องสารจะไมเ่ ปล่ียนแปลงแมว้ ่าจะดูดความรอ้ นตลอดเวลาเพราะความรอ้ นถูกใชใ้ นการเปลีย่ นสถานะ ปริมาณความ รอ้ นที่ใชใ้ นการเปลย่ี นสถานะเรยี กว่า \" ความร้อนแฝง \" ความร้อนแฝงจะมีหลายชนดิ ข้ึนอยู่กับสถานะของสารความร้อนแฝงของการหลอมเหลว ความร้อนแฝงของการหลอมเหลว คือ พลงั งานท่ีต้องใชใ้ นการเปล่ยี นสารชนดิ หนงึ่ 1 กรัมใหเ้ ปล่ียนสถานะจากของแขง็ กลายเปน็ ของเหลว โดยสารน้ันตอ้ งมอี ุณหภมู เิ ท่ากับจุดหลอมเหลวของสารชนิดน้ันๆ โดยทัว่ ไป หากใหพ้ ลงั งานแกส่ ารจะเป็นการเพ่ิมอณุ หภูมขิ องสารนนั้ และถา้ ดึงพลงั งานออกจากสาร สารจะมีอณุ หภูมิลดลง แต่หากสารนน้ั มีอุณหภมู ิถึงจุดๆ หน่ึง ซึ่งก็คือจดุ หลอมเหลวจะมีพลงั งานจานวนหนึ่งทถ่ี กู ใช้ไป แตไ่ มไ่ ด้ใช้เพ่ือการเปล่ียนอุณหภูมขิ องสาร แต่เปน็ การใช้หรอื คายพลังงานเพอื่ เปลย่ี นสถานะ พลังงานนน้ั ก็คือ ความรอ้ นแฝงของการหลอมเหลว

ในการเปลยี่ นสถานะของสารท่ีอุณหภูมิเทา่ กับจดุ หลอมเหลว หากจะเปลย่ี นสถานะจาก ของแขง็ เปน็ ของเหลว ตอ้ งใช้พลงั งานเท่ากบั ความร้อนแฝงของการหลอมเหลว ในขณะท่กี าร เปลี่ยนสถานะของของเหลวเป็นของแขง็ ต้องคายพลังงานในจานวนทเี่ ทา่ กนั ความรอ้ นแฝงของการหลอมเหลวสามารถสงั เกตได้งา่ ยๆ เชน่ หากนาน้าใสต่ ู้แช่เขง็ ทม่ี ี อณุ หภูมิตา่ มากๆ แลว้ วัดอณุ หภูมขิ องนา้ จะพบวา่ ในช่วงแรก นา้ จะมีอณุ หภมู ลิ ดลงอยา่ งรวดเร็ว จนถงึ ชว่ งหนงึ่ ซึง่ นา้ มีอุณหภูมิ 0 องศาเซลเซยี ส อณุ หภูมิจะคงที่ ในขณะทนี่ า้ เริม่ กลายเปน็ น้าแข็ง ทีละนอ้ ย หลงั จากทนี่ า้ แขง็ ตวั หมดแลว้ อณุ หภมู ิของน้า (ท่เี ปน็ นา้ แข็ง) กจ็ ะลดลงอยา่ งรวดเรว็ อกี ครั้ง เหตุทอี่ ุณหภูมิของน้าคงทีใ่ นชว่ งทน่ี า้ อยู่ที่จุดหลอมเหลวน้นั เพราะมกี ารคายพลงั งานซง่ึ เท่ากับความร้อนแฝงของการหลอมเหลวของนา้ ออกมา เพ่ือทาใหน้ า้ กลายเปน็ น้าแขง็ ได้ กอ่ นทจี่ ะ กลายเปน็ นา้ แข็งท้ังหมด อณุ หภูมิจงึ ไม่ลดลงในชว่ งน้นั หลังจากนั้นกจ็ ะไมม่ กี ารคายพลังงานใน สว่ นน้ี อณุ หภูมจิ ึงลดลงอีกครง้ั หน่วยของความร้อนแฝงของการหลอมเหลวมดี งั นี้ จลู ต่อโมล ในระบบเอสไอ แคลอรีตอ่ กรมั บที ียูตอ่ ปอนด์ หมายเหตุ : แคลอรีในทน่ี ีน้ ไี้ ม่ใชแ่ คลอรีในเรอื่ งอาหาร แคลอรีในเรือ่ งอาหาร(ตวั ยอ่ Cal) มีค่า เท่ากับ 1000 แคลอรี (ตวั ย่อ cal) 2.7.2 พลงั งานกบั การละลายในการละลายเกดิ จากสารต้งั แต่ 2 ชนดิ ข้ึนไปมาผสมเปน็ เนเ้ื ดยี วกัน โดยไมเ่ กิดปฏิกริ ยิ า เมือ่ สารเกดิ การละลายจะเกย่ี วข้องกับพลงั งานทกุ ขนั้ การละลายมี2 ขั้นตอน ดงั น้ี ก. อนุภาคของแขง็ แยกตัวออกเป็นอนุภาคเล็ก ๆ ของแข็งมีจานวนมากมายอยรู่ วมกนั โดยมีแรง ยึดเหนี่ยวระหว่างกัน การแยกอนุภาคของแข็งออกจากเป็นอนุภาคเล็ก ๆ ตอ้ งใชพ้ ลังงาน(ดูด พลังงานจากสง่ิ แวดล้อม) พลงั งานนเ้ี รียกว่า \" พลงั งานแลตทิซ \" (Lattice Energy) ข. อนุภาคเลก็ ๆ ของของแข็งรวมตวั กับอนภุ าคของเหลว เม่ือของแขง็ แยกตัวออกเปน็ อนภุ าค

เลก็ ๆ แล้ว อนุภาคเล็ก ๆ เหล่าน้จี ะกระจาย แทรกตวั อยู่ระหวา่ งอนุภาคของเหลว ทาให้อนภุ าค เล็ก ๆ สรา้ งแรงยึดเหนี่ยวกบั อนุภาคของเหลว การสร้างแรงยดึ เหนีย่ วจะเกิดการคายพลังงานซ่ึง พลังงานน้เี รยี กว่า \" พลงั งานโซลเวชัน \" Solvation Energ ) ถา้ ของเหลวที่เปน็ ตัวทาละลายคือ นา้ พลังงานนีเ้ รียกว่า \" พลังงานไฮเดรชนั \" ผลการละลายนา้ ของสารมกี ารเปลีย่ นแปลงพลังงานแบบใดจะต้องพจิ ารณาจากพลังงานแลตทซิและพลงั งานไฮเดรชนั ดงั น้ี 1. การเปล่ียนแปลงแบบดดู ความร้อน เม่อื พลงั งานแลตทซิ มากกวา่ พลงั งานไฮเดรชัน เช่น การ ละลายนา้ ของโพแทสเซยี มไนเตรต 2. การเปลย่ี นแปลงแบบคายความร้อน เมื่อพลงั งานไฮเดรชันมากกว่าพลงั งานแลตทซิ เชน่ การ ละลายน้าของโซเดยี มไฮดรอกไซด์ 2.8 พลังงานกบั การเปลี่ยนแปลงสถานะ การเปล่ยี นสถานะของสารเปน็ การเปลย่ี นแปลงทางกายภาพการเปล่ยี นสถานะของสารอาจ เป็นการเปลย่ี นแปลงประเภทดูดพลงั งานหรอื คายพลงั งาน ดังภาพ

เม่อื สารได้รับความรอ้ นขณะท่ีมีการเปล่ียนสถานะอุณหภูมขิ องสารจะไมม่ ีการเปลี่ยนแปลง โดยจะนา ความร้อนท่ีไดร้ บั ไปใชเ้ ปล่ยี นสถานะซ่งึ เรียกค่าพลังงานท่ีนาไปใช้ในการเปล่ียนแปลงของสารวา่ ความรอ้ นแฝงจาเพาะของสาร สารแตล่ ะชนดิ จะมีค่าความรอ้ นแฝงจาเพาะ 2 ค่าดว้ ยกนั คอื1. ค่าความรอ้ นแฝงจาเพาะของการหลอมเหลว เปน็ คา่ พลังงานความร้อนท่นี ามาใช้เปลย่ี นสถานะจากของแข็งเปน็ ของเหลว2. ค่าความรอ้ นแฝงจาเพาะของการกลายเป็นไอ เปน็ ค่าพลังงานความร้อนท่นี าไปใชใ้ นการเปลี่ยนสถานะจากของเหลวเป็นไอพลงั งานกบั การเกิดปฏกิ ริ ยิ าเคมี เมื่อสารเกดิ ปฏิกิรยิ าเคมจี ะต้องมีสารใหม่เกิดข้ึนทกุ ครัง้ วิธพี จิ ารณาสารใหม่ให้สงั เกตการเปลยี่ นสี กล่ิน และส่งิ ใหมท่ ่เี กดิ ข้นึ เช่น ฟองก๊าซ , ตะกอน หรอื ควนั เปน็ ตน้ การเกดิ ปฏิกริ ยิ าเคมีจะต้องเกดิ 2 ข้นั ตอนเหมอื นกับการละลายคือ ข้นั ที่ 1 ตอ้ งสลายแรงยดึ เหน่ียวของสารตั้งต้น ( สารเดมิ ) ซ่งึ จะตอ้ งใชพ้ ลงั งาน ( ดดู พลังงาน )แยกอนุภาคของสารออกจากกัน ขนั้ ท่ี 2 อนภุ าคท่แี ยกตัวออกมาจะสร้างแรงยึดเหน่ยี วใหมก่ บั อนภุ าคอน่ื ซึ่งตอ้ งคายพลังงานออกมาด้วย ซ่งึ ปฏิกิริยาเคมีท่พี ลงั งานขั้นที่ 1 มากกวา่ ข้นั ที่ 2 จะเปน็ การเปล่ียนแปลงแบบดูดความรอ้ น เชน่ ปฏิกริ ยิ าระหวา่ งแอมโมเนยี มคลอไรด์ ( NH4Cl ) กบั แคลเซียมไฮดรอกไซด์ ( Ca ( OH)2 ) แต่ถา้ ปฏกิ ิรยิ าเคมีท่ีพลงั งานข้นั ท่ี 1 นอ้ ยกว่าข้นั ท่ี 2 จะเปน็ การเปลี่ยนแปลง แบบคายความรอ้ น เช่น ปฏกิ ิรยิ าระหวา่ งด่างทับทิม ( KMnO4 ) , น้าตาลทราย และนา้ ปฏิกิริยาการเผาไหม้เชื้อเพลิง เป็นตน้

บทท3่ี การดาเนินโครงการ ตามท่คี ณะผูจ้ ดั ทาโครงการน้ี ได้ทาการศกึ ษาและคน้ ควา้ ข้อมลู ต่างๆ จากเอกสาร ตาราผูเ้ ช่ียวชาญและ ประสบการณท์ เี่ กีย่ วขอ้ งกับ ระบบปรบั อากาศรถยนต์ ซง่ึ ประกอบไปดว้ ย การออกแบบโครงสรา้ งฐานระบบ ปรับอากาศรถยนต์ การวางตาแหนง่ ของระบบปรับอากาศรถยนต์ การตอ่ ระบบไฟในระบบปรับอากาศรถยนต์ ใบงานที่ 11. เคร่อื งมือ วัสดุ อุปกรณ์ 1. ป๊ัมสุญญากาศ 2. แมนโิ ฟลด์เกจ 3. ชดุ ฝกึ ระบบปรบั อากาศรถยนต์2. ลาดบั ขั้นตอนการปฏบิ ตั ิ 1. ต่อสายแมนิโฟลด์เกจเข้ากบั ระบบโดยปฏิบัตติ ามข้นั ตอนการต่อสายแมนโิ ฟลด์เกจเขา้ กบั ระบบ 2. ตอ่ สายเส้นกลางของแมนโิ ฟลด์เกจเข้ากบั ปั๊มสุญญากาศ ( Vacuum Pump ) 3. เปิดวาลว์ ทงั้ สองขา้ งของแมนโิ ฟลดเ์ กจ 4. เปิดสวิตช์ปม๊ั สุญญากาศ เพอ่ื ให้ปมั๊ สุญญากาศทางาน 5. สงั เกตเข็มด้าน Low ซ่งึ จะพบว่าเริมลดลงตา่ กว่า 0 Psi ซง่ึ หมายถึงว่าคา่ ท่อี ่านไดจ้ ะเป็นค่าสุญญากาศซงึ่อาจมีหน่วยเปน็ นิ้วปรอท ( in.Hg ) หรือมิลลิเมตรปรอท ( mm.Hg ) ซึ่งข้ึนอยกู่ บั แมนิโฟลด์เกจทใี่ ช้วา่ ระบบการวดัเปน็ ระบบใด 6. เมือ่ เข็มของแมนิโฟลดเ์ กจดา้ น Low ลดลงจนถงึ 30 in.Hg ใหท้ าสุญญากาศไปอกี ประมาณ 30 นาท่ีปรือหากมีเวลา้ มากกอ๊ าจใช้เวลามากกว่าน้กี ็ได้ เพราะยง่ิ ใชเ้ วลานานเทา่ ใด ความช้นื ก็มโี อกาสถกู ดูดออกจากระบบจนหมดมากเท่านั้น 7. เม่ือครบตามเวลาทก่ี าหนดใหป้ ดิ วาลว์ ท้ังสองด้านของแมนโิ ฟลด์เกจ แล้วจงึ ปดิ สวติ ช์ปัม๊ สญุ ญากาศ ข้อควรระวงั หา้ มปดิ สวติ ช์ป๊มั สุญญากาศก่อนปดิ วาลว์ ท้งั สองด้านของแมนิโฟลด์เกจ 8. ทง้ิ ไวป้ ระมาณ 5 นาท่ี แล้วสังเกตเข็มของแมนิโฟลด์เกจดา้ น Low ว่าอย่ตู าแหน่งเดิมปรือเลอ่ื นหลับไปท่ีเลข 0 ถา้ เขม็ ไม่อยูต่ าแหน่งเดมิ โดยมกี ารเลอ่ื นกลบั มาในทศิ ทางเข้ากาเลขศูนย์ แมเ้ พียงเลก็ น้อยกต็ าม แสดงวา่ ระบบเกิดการรว่ั ขนึ้ ใหท้ าการตรวจสอบตามขอ้ ต่อต่าง ๆ ว่าขนั แน่นหรือยงับนั ทกึ ผลการปฏิบัติงาน 1.การเปล่ียนแปลงของเข็มแมนโิ ฟลด์เกจในขน้ั ตอนที่ 8 เขม็ แมนิโฟลดเ์ กจอยตู่ าแหนง่ เดมิ

เข็มแมนิโฟลด์เกจเลือ่ นกลบั มาในทศิ ทางเข้ากาเลขศนู ย์ 2. สรุปผลการทาสญุ ญากาศ ทาสุญญากาศได้ตามขั้นตอน และระบบไม่มกี ารร่ัว ทาสุญญากาศไดต้ ามขน้ั ตอน แต่ระบบเกดิ การร่ัว ไมส่ ามารถทาสุญญากาศได้เน่ืองจาก...................................................................................................................................................................................................................................... ใบงานที่ 21. เคร่อื งมอื วสั ดุ อุปกรณ์ 1. ปั๊มสุญญากาศ 2. แมนิโฟลดเ์ กจ 3. ชดุ ฝกึ ระบบปรบั อากาศรถยนต์ 4. สารความเย็น2. ลาดับขน้ั ตอนการปฏิบัติ 1.กลงั จากเสรจ็ สิ้นขน้ั ตอนการทาสุญญากาศแลว้ ให้ถอดสายกลางของแมนิโฟลดเ์ กจออกจากปม๊ั สญุ ญากาศแล้วานาไปต่อเข้ากบั วาลว์ ท่ถี ังบรรจุสารความเย็น โดยถังบรรจุสาราความเย็นต้องวางอยใู่ นลักษณะตง้ั ข้นั 2. เปดิ วาล์วทีถ่ ังบรรจุสารความเยน็ 3. ไลอ่ ากาศออกจากสายเสน้ กลางของแมนโิ ฟลดเกจ โดยการคลายสายเสน้ กลางดา้ นทตี่ ่อกบั แมนโิ ฟลด์เกจออกเลก็ นอ้ ย ซง่ึ จะได้ยนิ เสยี งอากาศและสารความเยน็ ไหลพุง่ ออกมา ปลอ่ ยให้สารความเยน็ ไล่อากาศออกจากสายประมาณ 3-5 วอนาที แล้วจึงชนั กลบั ท่เี ดมิ ใหแ้ น่น 4. เปิดวาล์วด้าน HI ของแมนโิ ฟลดเกจอย่างช้า ๆ และสงั เกตเข็มของเกจทง้ั สองดา้ นจะข้ึนอย่างช้า ๆ จะกระทั่งเข็มหยุด ซ่งึ โดยทัว่ ไปจะอ่านคา่ ความดนั ได้ประมาณ 70-90 psi การท่ีเข็มหยดุ แสดงวา่ ค่าความดันในระบบมีคา่ เทา่ กบั ความดันในถงึ บรรจุสารความเย็นและสารความเยน็ ไม่สามารถไหลเข้าระบบได้อีก 5. ปิดวาลว์ ด้าน HI ของแมนิโฟลด์เกจ 6. สตารต์ เครอื่ งยนต์ แลว้ เรง่ ความเรว็ รอบใหอ้ ย่รู ะหว่าง 1,200-1,500 รอบ/นาที 7. เปิดสวิตช์ AIR ไปยังตาแหน่งความเรว็ สงู สุด และปรบั สวติ ช์ TEWP ไปยงั ต่าแหน่งเยน็ มากทส่ี ดุ 8. เปดิ วาล์วด้าน Low ของแมนโิ ฟลดเ์ กจอย่างช้า ๆ ขอ้ ควรระวงั ห้ามเปิดวาลว์ ดา้ น HI เปน็ อนั ขาด เพราะอาจทาใหถ้ งั บรรจุสารความเย็นระเบดิ ได้ 9. ปลอ่ ยให้สารความเยน็ ไหลเช้าระบบไปเรอ่ื ย ๆ ขณะเดยี วกันให้สงั เกตที่ Sigh Glass ว่ายงั มีฟองอากาศอยู่หรือไม่

10. ถ้าท่ี Sigh Glass มฟี องอากาศนอ้ ยลง หรือนาน ๆ มคี รั้งหนง่ึ แสดงวา่ สารความเยน็ ไหลเข้าบรรจใุ นระบบจะเตม็ แล้ว ให้ปิดวาล์วดา้ น Low แลว้ อา่ นคา่ คววมดัน ซงึ่ จะต้องอา่ นคา่ ความดันดา้ น Low ได้ประมาณ 30-40 psi และดา้ น HI ประมาณ 200-250 psi ( โดยที่อณุ หภูมอิ ากาศภายนอกประมาณ 30-35 องศา ) 11. สงั เกตลมทอี่ อกจากอวี าพอเรเตอร์ ซงึ่ จะต้องเปน็ ลมเย็น และหากปรับสวติ ช์ TEMP มายงั ตาแหนง่ เยน็น้อยสุด คลตั ช์แมเ่ หลก็ จะตอ้ งตดั การทางานของคอมเพรสเซอร์ 12. ปิดวาลว์ ทีถ่ ังบรรจสุ ารความเย็น 13. ปิดสวิตชเ์ คร่ืองปรับอากาศ ดับเครอื่ งยนต์บนั ทึกผลการปฏิบัติงาน1. ความดันในถงึ บรรจสุ ารความเย็น ( ตามลาดับข้นั การปฏิบัติตอนที่ 4 )=..................................................... psi2. หลังจากชารจ์ น้ายาแอรเ์ สร็จแล้ว- ความดันด้าน Low =……………………….. psi- ความกันกา้ น HI =……………………….. psi- ฟองอากาศท่ี Sigh Glassไมม่ เี ลย นาน ๆ มคี ร้ัง มฟี องกากาศมาก- ลมทอ่ี อกจากอวี าพอเรเตอร์เย็น ไม่เยน็ ใบงานที่ 31. เครอ่ื งมือ วัสดุ อุปกรณ์ 1. แมนิโฟลด์เกจ 2. ชดุ ฝกึ ระบบปรบั อากาศรถยนต์ 3. กระบวงตวง2. ลาดบั ขั้นตอนการปฏิบตั ิ 1.ต่อสายแมนิโฟลด์เกจเชา้ กับระบบโดยปฏบิ ัตติ ามขน้ั ตอนการตอ่ สายแมนิโฟลด์เกจเขา้ กบั ระบบ 2. ใชก้ ระบอกตวงรองรับท่ปี ลายสายเส้นกลางของแมนิโฟลด์เกจ เพื่อตวงนา้ มนั หล่อล่ืนคอมเพรสเซอร์ท่ีอาจจะปนออกมาพร้อมกบั สารความเยน็

3. ค่อย ๆ เปิดวาล์วดา้ น HI ของแมนโิ ฟลดเ์ กจ เพอื่ ให้สารความเย็นไหลออกทางสายเสน้ กลางของแมนิโฟลดเ์ กจอย่างช้า ๆ ระวงั อยา่ ให้สารความเย็นไหบออกมาอยา่ งรวดเร็วเพราะจะทาใหน้ ้ามนั หลอ่ ล่ืนคอมเพรสเซอร์ไหลออกมามาก4. สังเกตเข็มด้าน Low ของแมนิโฟลดเ์ กจ เม่ืออา่ นคา่ ได้ต่ากว่า 50 psi ใหเ้ ปิดวาลว์ ดา้ น Low เพอื่ ให้สารความเย็นไหลออกทางด้าน Low อีกทางหนึ่ง5. เมอื่ สารความเยน็ ไหลออกจากระบบจนหมดแลว้ ความดนั ทีเ่ กจทง้ั สองด้านจะมีคา่ เป็นศนู ย์ และหากลองใชน้ ้วิ ปิดปลายสายเสน้ กลางจะพบวา่ ไมม่ คี วามดันเลย6. ถอดสายแมนโิ ฟลด์เกจออกจากระบบบันทึกผลการปฏบิ ัติงาน1. ความดันในระบบกอ่ นถา่ ยน้ายาออก- ด้าน Low =……………………………………. psi- ด้าน HI =……………………………………. psi2. น้ามันหลอ่ ล่ืนทไ่ี หลปนออกมากับนา้ ยา ไมม่ ี มี.................. ccใบงานที่ 41. เครื่องมือ วัสดุ อุปกรณ์1. แมนิโฟลด์เกจ 4. น้ามนั หลอ่ ล่นื2. ปม๊ั สญุ ญากาศ 5. ชุดฝึกระบบปรบั อากาศรถยนต์3. เครอ่ื งมือประจาตัว2. ลาดับข้นั ตอนการปฏิบัติงานการเตมิ ทางช่องเติมนา้ มันหล่อลื่นท่ตี ัวคอมเพรสเซอร์วิธนี ้ีเหมาะสาหรบั คอมเพรสเซอรท์ ่มี ปี ลั๊กเติมหรอื ปล๊กั ถ่ายน้ามันหล่อลนื่1. ตวงนา้ มันหลอ่ ลื่นคอมเพรสเซอรใ์ ห้ไดป้ รมิ าณตามกาหนด2. ถอดปลั๊กเตมิ น้ามนั หลอ่ ล่นื คอมเพรสเซอรอ์ อกจากคอมเพรสเซอร์3. ค่อย ๆ เทนา้ มนั หล่อลื่นที่ตวงไว้ลงไป4. ใสป่ ล๊กั เตมิ น้ามนั หล่อลื่นกลับเขา้ ที่เดมิ แลว้ ขนั ให้แนน่หมายเหตุ กรณีที่คอมเพรสเซอร์ไมม่ ีปลัก๊ สาหรับเติมนา้ มนั หลอ่ ล่ืนอาจใช้วธิ ีถอดชุดลน้ิ บริการออกแล้วจึงเติมน้ามนั หล่อลนื่ ลงไปตามปรมิ าณทกี่ าหนดการเตมิ โดยใชป้ ั๊มสญุ ญากาศวธิ ีนเี้ ปน็ วิธที ีส่ ะดวก รวดเร็ว เหมาะสาหนับการเตมิ น้ามนั หล่อลน่ื ในปรมิ าณท่ีไม่มากนกั แต่ไม่ควรใชว้ ธิ นี ้ีบอ่ ย ๆ เพราะอาจทาให้หรดี วาลว์ ของคอมเพรสเซอร์เสียหายได้

1. ตวงนา้ มนั หล่อลื่นคอมเพรสเซอรใ์ ห้ได้ปรมิ าณตามกาหนดลงในภาชนะท่ีสะอาด 2. ตอ่ สายแมนโิ ฟลดเ์ กจเข้ากบั ระบบ เช่นเดียวกบั การทาสญุ ญากาศ 3. ถอดสายแมนิโฟลดเ์ กจด้าน Low ทีต่ ดิ กับแมนโิ ฟลดเ์ กจออก 4. นาปลายสายท่ีถอดออกจุ่มลงในนา้ มนั หล่อลน่ื คอมเพรสทีจ่ ดั เตรียมไว้ หมายเหตุ อยา่ ต่อสายกลับด้านดัน หรอื ผดิ จากที่กลา่ วมา เพราะจะทาใหไ้ ม่สามาระเตมิ น้ามันหล่อลนื่ ได้ 5. เปดิ วาล์วดา้ น HI ของแมนิโฟลดเ์ กน ( ห้ามเปิดวาลว์ ดา้ น Low ) 6. เปิดสวิตชป์ ัม๊ สุญญากาศ 7. สงั เกตนา้ มนั หล่อล่นื ในภาชนะบรรจุ ซึง่ จะภกู ดูดเขา้ ไปในระบบ 8. เม่อื น้ามันหล่อลน่ื ถูกดูดเข้าไปในระบบจนครบตามปรมิ าณทตี่ อ้ งการแล้วให้ปดิ วาล์วดา้ น HI ของแมนิโฟลดเ์ กจ 9. ปดิ สวติ ชป์ ัม๊ สญุ ญากาศ 10. ถอดสายแมนโิ ฟลด์เกจออก ทาความสะอาดและจดั เก็บใหเ้ รยี บร้อยบันทึกผลการปฏิบตั ิงาน 1. ปริมาณน้ามันหล่อลนื่ คอมเพรสเซอร์ท่เี ติม....................................... cc 2. วิธีการเติม เตมิ ทางชอ่ งเติมน้ามนั หล่อลื่นที่ตัวคอมเพรสเซอร์ เตมิ โดยใชป้ ัม๊ สญุ ญากาศ 3. ผลการเตมิ น้ามนั หล่อลนื่ เติมไดค้ รบปริมาณทก่ี าหนด ไม่สามารถเตมิ ไดเ้ นือ่ งจาก............................................................................................. .........................................................................................................................................................

บทท่ี 4 ผลการทดสอบและวิจารณผ์ ล จากการประดิษฐช์ ุดสส่อื การเรียนการสอนระบบปรบั อากาศในรถยนต์ เพ่อื ทดสอบการทางานของชดุสอื่ การเรียนการสอนระบบปรบั อากาศรถยนต์4.1 ระบบการร่วั ของสารความเยน็ รปู ท่ี 40 ระบบการรั่วสารความเยน็ จากรูปท่ี 40 เป็นผลการทดสอบ ระบบรั่วของสารความเยน็ ปรากฏวา่ ขอ้ ตอ่ ระหวา่ งคอนเดนเซอรแ์ ละสายแรงดนั สงู สกึ หรอเป็นผลมาจากไม่มีการบารุงรกั ษามาเป็นเวลานาน4.2 ระบบหล่อล่ืนคอมเพรสเซอร์

รูปท่ี 41 ระบบหลอ่ ล่นื คอมเพรสเซอร์ ปรากฏวา่ นา้ มนั หล่อล่ืน จากรปู ที่ 41 เปน็ ผลการทดสอบระบบหล่อลื่นคอมเพรสเซอร์คอมเพรสเซอรแ์ หง้ หรอื หมดเปน็ ผลมาจากไมไ่ ด้ใชง้ านมาเปน็ เวลานาน4.3 ระบบระบายความรอ้ น รูปท่ี 42 ระบบระบายความรอ้ น จากรูปท่ี 42 เป็นการทดสอบระบบระบายความร้อน ปรากฏว่า การระบายความรอ้ นไม่เตม็ ทเี่ ปน็ผลมาจากมเี ศษฝนุ่ เกาะหนา4.4 ระบบระบายความเยน็ รปู ที่ 43 ระบบระบายความเยน็ จากรูปที่ 42 เปน็ การทดสอบระบบระบายความเยน็ ปรากฏวา่ แปรงถ่านของมอเตอรห์ มดเปน็ ผลมาจากระยะเวลาการใช้งานนานเกินไป

4.5 ระบบไฟฟา้ รูปท่ี 44 ระบบไฟฟา้ จากรปู ที่ 44 เป็นผลการทดสอบระบบไฟ ปรากฏว่า สายไฟเลก็ เกินไป และขาดชารดุ เป็นผลมาจากระยะเวลาการใช้งานนานเกนิ ไป4.6 การทดสอบความเยน็ระดบั พัดลม เวลาในการทดสอบ (นาท)ี อุณหภมู ิ (องศาเซลเซยี ส) 1 1 9 2 2 1 3 0 3 1 20 2 15 3 14 1 18 2 15 3 14

บทที่ 5 สรุปผลการทดสอบและข้อเสนอแนะ5.1 สรุปผลการทดสอบ จาการทดลอง ชดุ สอื่ การเรียนการสอนระบบปรบั อากาศ จากคณะผูจ้ ดั ทาพบวา่ ไม่ส้นิ เปลอื งน้ามันเชื้อเพลิง และลดสภาวะทางเสยี งเละมลภาวะทางอากาศ ชดุ ส่อื การเรยี นการสอนระบบปรับอากาศ สามารถแสดงให้เห็นถงึ หลกั การทางานของชนิ้ สว่ นภายในได้อยา่ งไม่มกี ารขัดขอ้ งใด ๆ และไมส่ ิ้นเปลืองพลังงานเชอ้ื เพลิง ขอ้ ควรระวัง 1. กอ่ นทจี่ ะใชช้ ดุ สอ่ื การเรยี นการสอนระบบปรบั อากาศ ควรทาการตรวจเชค็ นา้ ยาแอรอ์ ยู่เสมอก่อนใช้งาน 2. ห้ามใช้งานนานกวา่ 1 ชัว่ โมง เพราะทางคณะผจู้ ัดทาไดท้ ดลองมาแค่ภายในเวลา 1 ชั่วโมงเท่านน้ั5.2 ปญั หาและอปุ สรรคในการทดลอง จากการทดสอบสามารถพิสจู นไ์ ดว้ ่าการจ่ายกระแสไ่ ฟฟา้ ของเพาเวอร์ซับพายแบ่งระดับมาไม่เทา่ กันทาใหพ้ ดั ลมระบายความรอ้ นมีการหมุนในแตล่ ะระดบั ไม่เท่ากนั5.3 ข้อเสนอแนะและแนวทางในการพฒั นา ในการพฒั นาครัง้ ต่อไปควรเลือกใช้เพาเวอรซ์ ับพายหรือควรเลือกทาให้เ พาเวอร์ซบั พายทีม่ กี ารแบ่งไฟที่ดกี วา่ นี้

บรรณานกุ รมหนงั สอื อนกุ รมวิชาชีพชา่ งยนต์ งานปรบั อากาศรถยนต์ รหสั 2101-2105http://www.siamtech.ac.th/Learning/anucha/Framecompressor.htmlhttp://www.phithan-toyota.com/th74/article/detail/157/7http://board.eg3d-club.com/index.php?topic=25850.0http://www.ntc.ac.th/welding/162x/html/Metal%20safty.htmlhttp://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%AA%E0%B9%80%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%A2%E0%B9%8C%E0%B8%A5%E0%B8%B0%E0%B8%AD%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%A5%E0%B8%AD%E0%B8%A2


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook