ระบบทําความเย็น บทที่ 8 : ระบบทาํ ความเยน็ (COOLING SYSTEM) ความเยน็ เปน สิ่งท่จี าํ เปน สาํ หรับงานในหอ งปฏิบตั กิ ารวทิ ยาศาสตรม าก เพราะชว ยรกั ษาเสถยี รภาพของชีววัตถุ เอนไซม สารเคมี แวคซีน จลุ ชพี ตลอดจนใชร ว มในการแยกสารชนดิ ตา ง ๆออกจากกนั ระบบทาํ ความเยน็ อาจตดิ ตั้งอยูในตูเย็น(refrigerator) ตแู ชแ ข็ง(freezer) ตูดูดความช้นื(dehumidfier) ตเู ก็บเลือดในธนาคารเลอื ด(blood bank refrigerator) เคร่อื งปรบั อากาศ เครื่องหมนุเหวยี่ งความเรว็ สงู ออสโมมเิ ตอร( osmometer) เครือ่ งทําใหแ หงท่ีอณุ หภูมิตา่ํ (freez dryer) ฯลฯ.ถึงแมว าระบบทําความเยน็ จะพบอยใู นเครอื่ งมอื ชนิดตาง ๆ มากมาย(รปู ท่ี 8.1)(ก) (ข)(ค) (ง) (จ)รูปที่ 8.1 ตวั อยางเครอ่ื งมอื ทใี่ ชร ะบบทําความเยน็ ตแู ชแ ขง็ (ก) ตเู ยน็ (ข) ตทู ํานาํ้ แขง็ (ค) ตแู ชแ ขง็ อณุ หภมู ติ า่ํ (ง) และอางควบคมุ ความเยน็ (จ)176
เครือ่ งมือวิทยาศาสตรแตห ลักการทําความเยน็ จะเหมอื นกัน จะแตกตางกนั บา งเฉพาะรูปรา ง วธิ ีการใชง าน และทีต่ ้งั ของอปุ กรณต าง ๆ ในระบบทําความเยน็ ในทน่ี จ้ี ะยกเอาตเู ยน็ เปนเครอ่ื งมอื ตนแบบในการศึกษาระบบทําความเยน็ เนือ่ งจากเปนเครื่องทําความเยน็ ทพ่ี บไดในหองปฏิบตั กิ ารเกอื บทุกแหงหลกั การทําความเยน็ การทาํ ความเยน็ ไมใชเ ปน การสรางความเยน็ ขนึ้ มาหักลางความรอนที่มอี ยู แตเปนการทําใหความรอ นท่มี อี ยูถกู ถายเทออกไป เปนผลใหเ กิดความเยน็ ขนึ้ มาแทนท่ี เคร่ืองอดั (compressor) ทาํหนา ท่ีอัดแกสของสารทาํ ความเย็น(refrigerant) ใหเ ปน ของเหลวในคอนเดนเซอร( condenser) หรอืคอยลร อน และสง ผานหลอดรเู ลก็ (capillary tube) ไปยงั ทอ ท่ีโตกวาในเครอ่ื งระเหย(evaporator) หรอืคอยลเ ยน็ ทาํ ใหค วามดันของของเหลวลดลงจนเปลยี่ นสถานะกลายเปน ไอ ซ่งึ ความรอนแฝงของการกลายเหน็ ไอ (latent heat of vaporization) ของสารทําความเย็นไดร บั มาจากวตั ถุตา ง ๆ ทอี่ ยใู กลเ ครอื่ งระเหย โดยวธิ กี ารนาํ ความรอน การพาความรอน หรอื การแผรังสคี วามรอ น หลงั จากนั้นแกส ความดนั ต่าํ ของสารทําความเยน็ จะถูกดดู โดยเครือ่ งอัดและอดั ออกไปยังเครอ่ื งควบแนน เพ่ือใหความรอนทีไ่ ดร บั มาถกู ถายเทออกไป หลังจากนนั้ สารทําความเยน็ จะเขา ไปรบั ความรอนที่เครอ่ื งระเหยใหมอีกเปนวงรอบการทาํ งานดังนเ้ี รอ่ื ย ๆ ไป (รปู ท่ี 8.2) ในกรณที ีท่ าํ ใหว ตั ถเุ ย็นตาํ่ กวาจุดเยือกแขง็ ของวตั ถุ ปริมาณความรอ นท่ตี อ งพาออกไปคอืความรอนจากผลรวมของความรอนเหนือจดุ เยือกแขง็ ของวัตถุ(sensible heat above freezing, Q1)ความรอนแฝงของการแข็งตัว(latent heat of freezing, Q2) และความรอ นตาํ่ กวา จุดเยอื กแข็ง(sensibleheat below freezing, Q3) (sensible heat หมายถึงความรอนทที่ ําใหว ตั ถเุ ปลยี่ นแปลงอณุ หภมู โิ ดยไมเปล่ียนสถานะ สวน latent heat หมายถงึ ความรอ นทที่ ําใหว ตั ถุเปล่ยี นสถานะโดยไมเ ปลย่ี นแปลงอณุ หภมู ิ) ความรอนเหลา น้ีสามารถคํานวณไดจากสตู ร Q1 = WC (T1-T2) Q 2 = Wh Q3 = WCi (T2-T3) โดย W = นาํ้ หนกั ของวัตถุ (ปอนด) C = ความรอ นจาํ เพาะเหนอื จดุ เยือกแข็ง (บที ียู/ปอนด/ 0ฟ.) Ci = ความรอ นจาํ เพาะใตจ ดุ เยอื กแขง็ (บที ียู/ปอนด/ 0ฟ.) h = ความรอนแฝงของการหลอมเหลว (บีทยี /ู ปอนด/ 0ฟ.) T1 = อุณหภมู เิ ร่ิมแรกของวตั ถุ (0ฟ.) T2 = จดุ เยือกแข็งของวัตถุ (0ฟ.) T3 = อณุ หภมู ติ ํา่ กวา จดุ เยอื กแข็งทตี่ องการ ( 0ฟ.) 177
ระบบทาํ ความเย็น ในกรณีท่ีทําใหวัตถุเยน็ ลงแตไ มถ งึ จดุ เยือกแขง็ ของวตั ถุ สามารถคาํ นวณคาของความรอนท่ีตอ งพาออกไปไดจ ากคา ของ Q1 ดว ยการแทนคา T2 ดว ยอณุ หภมู สิ ุดทายท่ีตอ งการทาํ ใหเยน็ ลงในทางปฏบิ ตั ยิ ังมคี วามรอนจากแหลงอ่ืน ๆ อกี ท่เี คร่ืองระเหยตอ งพาออกไป ตัวอยา งเชน ความรอ นจากหลอดไฟฟาภายในตเู ยน็ ความรอนจากคนซ่งึ เปดตูเยน็ ความรอนจากอากาศภายนอกทรี่ ว่ั ไหลเขาไป ฯลฯ. ซง่ึ ผผู ลติ และผใู ชควรใหค วามสาํ คญั ตอ ความรอนจากแหลง อ่นื ๆ เหลานด้ี ว ย รูปที่ 8.2 แผนผงั การทํางานของระบบทาํ ความเย็นองคป ระกอบและคณุ สมบตั ิ ตูเยน็ และตูแชแ ขง็ อาจแบงองคป ระกอบเปน สองสวนใหญ ๆ สว นแรกเปนตวั ต(ู body) ซง่ึ ใชเปนท่ีเก็บวตั ถแุ ละตดิ ตัง้ อุปกรณต า ง ๆ สว นท่ีสองเปนระบบทาํ ความเย็น ซ่งึ มรี ายละเอียดดงั นี้ (รูปท่ี8.3 และรปู ที่ 8.4) 1. สารทาํ ความเยน็ เปน สารที่สามารถเปลีย่ นสถานะไปมาระหวางของเหลวและแกสไดง า ยอาศัยการเปลี่ยนสถานะจากของเหลวไปเปน แกส เพือ่ ดูดความรอน และคายความรอ นเมอื่ เปลี่ยนสถานะจากแกส เปน ของเหลว สารทาํ ความเย็นท่ดี ีควรมคี ุณสมบัติดงั น้ี มีเสถยี รภาพดสี ามารถใชได 178
เคร่อื งมือวทิ ยาศาสตร รปู ท่ี 8.3 การเชอื่ มตอ ของทอ อุปกรณตา ง ๆ ของระบบทาํ ความเยน็นานโดยประสิทธิภาพไมล ดลง มีราคาถกู พาความรอนไดมาก ไมต ดิ ไฟ ไมระเบดิ ไมทําปฏกิ ริ ยิ ากับนํา้ มันหลอ ลื่น ไมท ําปฏิกริ ิยากับน้ํา มปี รมิ าตรของแกสตอหนว ยนาํ้ หนกั นอย(สามารถใชเครื่องอดั ขนาดเลก็ ได) ใชแ รงอัดใหเ ปน ของเหลวต่ํา(ชว ยประหยัดไฟฟาทีเ่ ลย้ี งเครือ่ งอดั ) ในอดตี นยิ มใช 179
ระบบทาํ ความเย็น รูปท่ี 8.4 แผนผงั การเดนิ ทอ ระบบทําความเยน็ ของตแู ชแ ขง็ แบบแนวตัง้ (ก) และแบบแนวนอน (ข) 180
เครื่องมอื วิทยาศาสตรแกส แอมโมเนยี (NH3) แกส คารบ อนไดออกไซด( CO2) และแกสซัลเฟอรไ ดออกไซด( SO2) แตเนอื่ งจากมพี ิษมาก จงึ หนั มาใชส ารประเภท ฮาโลคารบอน(halocarbon) และฟลูออโรคารบ อน(fluorocarbon) มาตง้ั แตป ค.ศ.1920 เพราะมคี วามปลอดภัย ไมร ะเบิด ไมตดิ ไฟ และมปี ระสทิ ธภิ าพในการพารอนไดด ี สารดังกลา วไดจ ากการแทนท่อี ะตอมไฮโดรเจนของมีเทน(CH4) อเี ทน(C2H6) ดวยอะตอมของ F, Cl หรอื Br ทําใหไ ดสารทาํ ความเยน็ ชนดิ ตา ง ๆ ดงั ตารางท่ี 8.1 สารฟลูออโรคารบ อนที่นยิ มใชก ันอยางแพรห ลายในปจจบุ นั ไดแ ก R 12 , R 22 และ R 502ตารางท่ี 8.1 คณุ สมบตั ขิ องสารทาํ ความเย็นชนดิ ตา ง ๆรหัสตามมาตรฐาน ชอ่ื ทางเคมี สูตรเคมี นาํ้ หนกั จุดเดือด โมเลกุล (0ฟ.)ASRE 153.8 170.2 137.4 74.8R 10 Carbontetrachloride CCl4 120.9 -21.6 104.5 -114.6R 11 Trichloromonofluoromethane CCl3F 119.4 142.0 102.9 48.1R 12 Dichlorodifluoromethane CCl2F2 86.5 -41.4 70.0 -119.9R 13 Monochlorotrifluoromethane CClF3 84.9 105.2 50.5 -10.8R 20 Chloroform CHCl3 34.0 -109.0 16.0 -259.0R 21 Dichloromonofluoromethane CHCl2F 236.8 365.0 187.4 117.6R 22 Monochlorodifluoromethane CHClF2 170.9 38.4 202.3 324.0R 23 Trifluoromethane CHF3 133.4 165.0 66.0 -12.4R 30 Methylenedichloride CH2Cl2 30.0 -127.5R 40 Methylenechloride CH3ClR 41 Methylfluoride CH3FR 50 Methane CH4R 110 Hexachloroethane CCl3CCl3R 113 Trichlorotrifluoroethane CCl2FCClF2R 114 Dichlorotetrafluoroethane CClF2CClF2R 120 Pentachloroethane CHCl2CCl3R 140a Trichloroethane CH3CCl3R 152a Difluoroethane CH3CHF2R 170 Ethane CH3CH3ASRE = The American Society of Refrigerating Engineers 181
ระบบทําความเย็น โดยทั่วไปสารฟลูออโรคารบอนมนี ้ําละลายปนอยูเล็กนอย (การละลายเพิม่ ขึน้ เมอ่ื อณุ หภูมิสูงข้นึ ) ซงึ่ ไมเ ปนอนั ตรายตอระบบทําความเยน็ แตถ า มนี าํ้ ปนอยใู นปรมิ าณมากขน้ึ สารฟลูออโรคารบ อนจะสลายตัวกลายเปน กรด(HCl, HF) กัดกรอนโลหะในสว นตา ง ๆ ของเคร่อื งอดั ตวั อยางเชนผนงั ลกู สบู ลน้ิ (valve) ลกู ปน ฯลฯ. กรดยงั ทาํ ใหนาํ้ มนั หลอ ลืน่ ภายในเครอื่ งอัดเสอ่ื มสภาพเรว็ ขน้ึ ในกรณีท่มี ีนาํ้ ปนอยใู นสารทาํ ความเยน็ มากขน้ึ ไปอีก น้ําอาจกอ ใหเกดิ สนมิ ในสว นตา ง ๆ ของเคร่อื งอัดโดยเฉพาะเมื่อไมไดใชงาน และเกดิ นํ้าแขง็ อุดตันทอ ของเครอ่ื งระเหยในขณะใชง าน ทําใหส ารทาํความเยน็ ไมส ามารถไหลได ขณะใชงานเคร่ืองอดั จะเกิดความรอ นมาก ทาํ ใหน าํ้ มันหลอล่ืนระเหยกลายเปนไอผสมกับแกส ทําความเยน็ ซ่ึงปกตจิ ะทาํ ปฏกิ ริ ิยาเคมกี ันไดเ ลก็ นอ ย ยกเวน ในกรณีทมี่ สี งิ่ สกปรก หรอื มีนาํ้ เจือปนการทําปฏกิ ริ ิยาเคมจี ะมมี ากขนึ้ นอกจากนคี้ ณุ สมบตั ใิ นการรวมตวั กับนาํ้ มนั (oil miscibility) ของสารทาํ ความเยน็ อาจพบไดในลักษณะตา ง ๆ กนั คือ ชนดิ ที่รวมกบั นาํ้ มนั ไดท ่ีทุกอณุ หภูมิ ชนดิ ทร่ี วมกบั นาํ้ มนั เฉพาะในเครือ่ งควบแนนแตแ ยกตัวในเคร่ืองระเหย และชนดิ ท่ไี มรวมตวั กับนา้ํ มันในทกุ ๆอุณหภมู ิ การรวมตวั ของแกส ทําความเย็นกับไอนา้ํ มนั หลอล่นื ทาํ ใหนาํ้ มนั หลอ ล่ืนถูกเจอื จางลง เปนผลใหค วามหนืดลดลง และทําใหน ํ้ามันหลอ ลนื่ ถกู พาไปเคลอื บท่ผี นงั ดา นในของทอ ในเคร่ืองระเหยและเครอ่ื งอดั ทาํ ใหประสทิ ธิภาพในการถา ยเทความรอนลดลง ซง่ึ แกไขไดโดยตดิ ตวั แยกนํา้ มนั (oilseparator) เพม่ิ เติม และเพ่มิ การระบายความรอ นใหกับเครื่องอัด สารฟลูออโรคารบ อนแตละชนดิ มคี ณุ สมบัตทิ ัว่ ๆ ไปเหมือนกนั กลา วคอื ไมมสี ี ไมสกี ล่ินไมติดไฟ แตอ าจเปน อันตรายตอ ชีวติ ซ่งึ ในระยะหลงั ไดเรมิ่ ใชส ารอ่นื แทนสารฟลูออโรคารบ อนตวั อยางเชน R-600 a หรอื isobutane ซงึ่ นอกจากจะมอี ันตรายนอยกวาแลว ยังชว ยลดมลภาวะไดอ ีกดว ย สาํ หรับสารฟลอู อโรคารบอนแตละชนิดมคี ณุ สมบตั แิ ละการใชง านแตกตา งกนั ดังนี้ 1.1 R 12 เปน สารทาํ ความเย็นท่นี ยิ มใชม ากท่ีสดุ สามารถใชท ําความเยน็ ต่ําจนถึงเยน็ จัด(-11 0ฟ.) เมื่อใชเ ครื่องอดั หลายตัว(multistage compressor) สามารถพาความรอนไดป ระมาณ 50 บีทีย/ู ปอนด เนื่องจากมปี ริมาตรจาํ เพาะ(specific volume) ต่ํา (1.46 ลบฟ./ปอนด) จงึ สามารถใชเ ครื่องอัดท่ีมีขนาดเลก็ ลง ทําใหประหยัดกระแสไฟฟา แตมขี อ เสยี ตรงที่รวมกับน้าํ มนั ไดด ใี นทกุ ๆ อณุ หภมู ิจึงอาจกอ ใหเ กดิ ปญหาการเจอื จางนํา้ มันหลอ ลน่ื และลดประสิทธิภาพการถายเทความรอ นของเคร่ืองระเหยและเครอ่ื งควบแนน 1.2 R 1 เปนสารทาํ ความเย็นท่ีเหมาะสาํ หรับการทําอณุ หภมู ติ าํ่ มาก(ultra low temperature)โดยใชร ว มกบั สารทําความเยน็ ชนิดอนื่ ในระบบทาํ ความเยน็ ทใี่ ชเ ครอ่ื งอดั หลายตวั สามารถทําความเยน็ ไดถึง –150 0ฟ. เนอ่ื งจากมคี วามดนั ใชง านทเ่ี ครอื่ งระเหยและเครื่องควบแนนปานกลาง จงึสามารถใชไดดีกับเครอื่ งอัดทกุ ชนิด R 13 ไมรวมตวั กบั นํา้ มนั จึงไมกอ ปญหาเร่ืองการเจอื จางนํ้ามนั หลอ ลนื่ ของเคร่ืองอดั 1.3 R 22 เปนสารทาํ ความเย็นที่ใชใ นตแู ชแข็งทีใ่ ชง านทวั่ ๆ ไป สามารถทําใหอณุ หภมู ิ 182
เครือ่ งมือวิทยาศาสตรตาํ่ ไดถ งึ –125 0ฟ. สามารถพาความรอ นไดประมาณ 70 บีทียู/ปอนด และเนือ่ งจากมปี รมิ าตรตอนํ้าหนกั นอ ย (1.24 ลบฟ./ปอนด) จงึ ถกู นําไปใชในเครื่องปรับอากาศท่ตี องใชเครอื่ งอัดขนาดเลก็ (เลก็กวา R 12 ประมาณรอ ยละ 60) ขณะใชงาน R 22 ตองใชค วามดนั ทีเ่ คร่ืองระเหย และเคร่ืองควบแนนสงู กวา R 12 ถึง 1.5-2 เทา ทาํ ใหค วามรอ นของแกส ทาํ ความเยน็ ที่ออกมาจากเครื่องอดั มีอุณหภมู สิ ูงถึง 128 0ฟ. (R 12 = 101 0ฟ.) ทําใหเครอื่ งอัดทใ่ี ช R 22 มีอุณหภูมิสงู มาก R 22 รวมกับนาํ้ มนั ไดดีแตแยกตวั ออกจากกนั ทีเ่ ครื่องระเหย ทําใหน า้ํ มันหลอ ลนื่ ไหลกบั สเู ครือ่ งอดั ไดย ากข้นึ ดังนัน้ จงึ ควรตดิ ตงั้ ตัวแยกนาํ้ มันเพิม่ ในระบบดวย 1.4 R 500 เปน สารทําความเยน็ ทเี่ กดิ จากการผสม R 12 รอยละ 73.8 กับ R 152a รอยละ26.2 โดยน้ําหนัก ไดสารผสม (azeotropic mixture) ทีม่ จี ดุ เดือด -28 0ฟ. สามารถพาความรอนได60.6 บที ยี ู/ปอนด ความดนั ในการใชงานท่ีเคร่อื งระเหยและเคร่อื งควบแนน มีคาประมาณ 16.4 และ112.9 ปอนด/ตารางนว้ิ ตามลําดับ นยิ มใชแทน R 12 ในเคร่อื งอัดทใ่ี ชก ระแสไฟฟา 60 เฮิรตซ แตนาํ ไปใชก ับกระแสไฟฟา สลบั 50 เฮริ ตซ จะสิน้ เปลอื งพลังงานและใหความเยน็ เทา เดิม เพราะการบรรจุ R 22 แทน R 12 ในเครอื่ งอัดอันเดิมทาํ ใหบรรจุ R 22 ไดเ พมิ่ ข้นึ ประมาณรอ ยละ 18 ทําใหชดเชยความเรว็ มอเตอรข องเครอ่ื งอดั ทล่ี ดลงประมาณรอยละ 18 เม่อื นาํ ไปใชกบั กระแสไฟฟา ทม่ี ีความถี่ตํา่ กวา 1.5 R 502 เปน สารทาํ ความเยน็ ท่ีไดจ ากการผสม R 22รอยละ 51.2 และ R 115 รอยละ48.8 โดยน้ําหนกั ไดสารผสมทม่ี จี ดุ เดอื ด –49.8 0ฟ. รวมตัวกบั นาํ้ มันหลอ ลน่ื ไดเ ล็กนอย นยิ มใชในตูแชแ ข็งอุณหภูมติ ํ่า มีขอ ดีกวา R 22 ตรงท่อี ุณหภมู ิของแกสทําความเยน็ ทีอ่ อกจากเครื่องอดั ตา่ํ กวา(99 0ฟ.) ทาํ ใหเครอ่ื งอดั ไมร อนจัดขณะใชงาน 1.6 R 503 เกิดขน้ึ โดยการผสม R 23 รอยละ 40.1 และ R 13 รอยละ 59.9 โดยนา้ํ หนกั มีจดุ เดือดที่ –127.6 0ฟ. โดยใชรว มกบั R12, R 22 หรอื R 502 เน่อื งจากสามารถใช R 503 นอ ยกวา R13 ประมาณรอ ยละ 36 ในการทาํ ใหเกดิ ความเยน็ เทา กนั จึงสามารถใชเ ครอ่ื งอดั ทม่ี ขี นาดเลก็ ลงได 2. เคร่อื งอดั มีหนา ทีห่ ลัก 2 ประการ คือทําหนา ทข่ี ับดนั สารทําความเย็นใหไหลเวยี นไปในทอ ตา ง ๆ ในระบบทําความเยน็ และสรางแรงดนั ตอ แกส ทําความเยน็ ท่อี อกมาจากเคร่ืองอดั ทาํ ใหม ีอณุ หภมู ิสงู ขนึ้ จนกลายเปน ของเหลว ในปจจบุ ันนยิ มใชเคร่ืองอดั แบบปด (hermetrically sealed type)มากกวา แบบเปดเพราะมขี นาดเลก็ กวา และสะดวกในการตดิ ตงั้ ใชงาน เครื่องอดั แบบปดแบง ออกไดเปน 2 ชนดิ คอื 2.1 แบบลูกสบู (reciprocating type) มีหลักการทาํ งานคลายเคร่ืองสบู น้ําทัว่ ๆ ไปกลาวคอื มมี อเตอรไ ฟฟา หมนุ แกนขอ เหวย่ี ง(crank shaft) ซ่ึงมีกานลกู สูบตดิ อยู เมอื่ แกนขอเหวยี่ งหมุนทําใหล กู สูบ(piston) เคล่ือนทีข่ ้นึ ลงในกระบอกสูบ ดานบนกระบอกสูบมลี ิน้ ไหลทางเดียว(oneway valve) อยู 2 ชนิด ชนิดแรกเปน ลนิ้ ไหลเขา (intake valve) สวนอีกชนดิ หนง่ึ เปน ลนิ้ ไหลออก(exhaust valve) เมอ่ื ลกู สูบเคลอ่ื นท่สี ูศนู ยต ายลา งลิ้นไหลเขา จะเปด สวนลนิ้ ไหลออกจะปด แตเมอ่ื 183
ระบบทาํ ความเย็นลูกสบู เคลอ่ื นท่ีข้นึ มาสศู นู ยต ายบนลิ้นไหลเขา จะปด สว นลิ้นไหลออกจะเปด (รูปที่ 8.5 ก) การทาํ งานเปนวงรอบนที้ าํ ใหสารทาํ ความเยน็ ถกู อัดไปในทอ อยางตอเนือ่ งตลอดเวลา การหลอ ล่นื ใชค วามดนัดนั น้ํามนั จากกนอา งเกบ็ นํ้ามันขึ้นไปหลอลนื่ สวนที่เคลื่อนไหวสว นตา ง ๆ รว มกับการวดิ สาดของเพลาลูกเบีย้ วเพอ่ื ใหนาํ้ มนั หลอลื่นผนงั กระบอกสูบ เครือ่ งอัดชนิดนมี้ ีองคประกอบมากทําใหม ขี นาดคอนขางใหญ นอกจากนยี้ งั มีความเสียดทานการเคล่ือนไหวมากทําใหส ญู เสียพลงั งานบางสว นไปเพอื่ เอาชนะความเสยี ดทานเหลาน้ี เปน ผลใหใชกระแสไฟฟาหรือพลังงานในการหมนุ มอเตอรม ากขน้ึ เครอ่ื งอดั แบบลกู สูบไมส ามารถใชค วามเรว็ รอบสงู มากได เพราะขดี จาํ กัดของโครงสรางที่เปนลูกสูบ จึงหมนุ ดวยความเรว็ ในชว ง 500-1,750 รอบตอนาที แตเครือ่ งอัดชนดิ น้ีมขี อ ดที ่สี ามารถบรรจุสารทําความเยน็ ไดมากกวา 2.2 แบบโรตารี(rotary type) ทาํ งานโดยการใหลกู กลงิ้ เหลก็ (roller) ซ่งึ ติดอยูบนแกนหมนุ ของมอเตอรแ บบเยอื้ งศนู ยกลาง(eccentric) หมุนชิดไปตามผนงั ของกระบอกสบู ซงึ่ เปน วงกลมเมื่อประกอบกบั การยดื หดของใบมดี (blade) จะทาํ ใหเ กดิ เปน วงรอบของการดูด การอัด และปลอยแกส ทาํ ความเยน็ (รปู ที่ 8.5 ข) เคร่ืองอัดชนดิ นม้ี ขี นาดเลก็ เน่ืองจากมอี งคป ระกอบงาย ๆ นอ ยช้ินประหยดั พลังงานในการหมนุ มอเตอรเพราะมแี รงเสียดทานนอ ยกวาแบบลูกสูบ และมีความเรว็ รอบในการหมนุ สงู สามารถสรา งแรงดดู ไดมากกวา เคร่ืองอดั แบบลกู สูบ การใชง านโดยทั่วไปทต่ี องการอุณหภมู ไิ มต าํ่ กวา –400 0ฟ. นยิ มใชเ ครอื่ งอดั เพยี งตัวเดยี ว(single stage system) ถาตอ งการอุณหภมู ติ ํ่ากวาน้ี ควรใชเครอื่ งอัดมากกวา 1 ตวั เพอื่ ปอ งกันแกสท่ีถูกอดั ออกจากเคร่ืองอัดมอี ณุ หภมู ิสงู เกนิ ซ่ึงจะทําใหป ระสทิ ธภิ าพของระบบทําความเยน็ ลดลง และกอใหเกิดความเสียหายแกเ ครื่องอัด ถา ตองการทําความเยน็ ต่าํ กวา –400 0ฟ. ควรใชระบบทาํ ความเยน็ 2 ระบบเชอ่ื มตอกัน (twostage system หรือ cascade system) ซ่ึงใชร ะบบทาํ ความเย็นทตุ ภิ ูม(ิ secondary system) มาชว ยดึงความรอนออกจากเคร่ืองควบแนน ของระบบทาํ ความเยน็ ปฐมภมู (ิ primary system) ทําใหอุณหภมู ิของสารทาํ ความเยน็ ทอ่ี อกมาจากเครอ่ื งอดั ลดลง และความรอ นถูกถายเทออกไปสูระบบทตุ ยิ ภมู ไิ ดอ ยา งรวดเรว็ สารทาํ ความเยน็ ทใ่ี ชในระบบทตุ ยิ ภมู นิ ยิ มใชส าร R 11 หรอื R 503 ซึง่ มีจดุ เดอื ดตาํ่ กวาสารทําความเยน็ ในระบบปฐมภมู ซิ ึ่งนยิ มใช R 12, R 22 หรอื R 500 3. เครือ่ งควบแนน มหี นา ท่ถี ายเทความรอนจากแกสทถี่ กู อดั ออกมาจากเครื่องอดั ใหก บัอากาศท่อี ยูภ ายนอกตเู ย็นหรอื ตูแชแขง็ แบงออกเปน 2 ชนดิ คือ ชนิดทีก่ ารถายเทความรอ นอาศัยการไหลเวยี นของอากาศท่ีมคี วามหนาแนนตางกนั (static condenser) มกั พบในลกั ษณะของทอยาวที่ขดไปมา ติดตง้ั อยดู านหลัง ดานใต หรอื ฝง อยใู นผนงั (warm wall condenser) ของตเู ยน็ สว นอกี ชนดิ หนงึ่ใชพ ดั ลมชว ยเปา ระบายความรอนออกจากแผงเครือ่ งควบแนน (forced draft condenser) ซึง่ มีลกั ษณะเปน แผงที่มที อ ขนาดเลก็ ขดไปมาซอ นกันหลายซ้นั ติดตงั้ อยใู กล ๆ เคร่ืองอัด พัดลมระบายความรอ นจะทาํ งานเฉพาะตอนท่เี คร่ืองอัดทํางาน 184
เครื่องมือวิทยาศาสตร รปู ท่ี 8.5 วงรอบการทํางานของเครื่องอัดแบบลูกสูบ (ก) และแบบโรตารี (ข) 4. สารดดู ความชื้น(drying agent หรือ dessicant) เปน silica gel (silicon dioxide), activatedalumina (aluminum oxide) หรอื drierite (anhydrous calcium sulfate) บรรจอุ ยใู นกระเปาะตวั ทาํ ใหแหง (drier) ซึ่งตดิ ตง้ั อยูระหวา งทอ ของเครือ่ งอัดกบั หลอดรูเล็ก มีหนา ท่ี 3 ประการ คอื เปนแหลง เกบ็สารทาํ ความเยน็ ในรปู ของเหลวกอ นถกู ดดู ไปยงั เครอ่ื งระเหย กรองสงิ่ สกปรกออกจากสารทําความเย็น และดูดความช้ืนออกจากสารทาํ ความเยน็ 5. หลอดรเู ลก็ เปน ทอเล็ก ๆ ท่เี ชอ่ื มตอ ระหวางเครอ่ื งควบแนน กับเคร่อื งระเหย มคี วามยาวตั้งแต 2-3 น้วิ จนถงึ หลายฟตุ ข้ึนอยูกบั สารทําความเย็นท่ีใช และอุณหภมู ิทีต่ อ งการ รขู นาดเลก็ ของ 185
ระบบทําความเย็นหลอดทาํ หนา ทีส่ รางความแตกตางของความดันทเ่ี ครอื่ งควบแนน และเครื่องระเหย และควบคมุ สารทําความเยน็ ใหไหลในระบบในปรมิ าณทเี่ หมาะสม 6. เครอ่ื งระเหย ใชส ําหรบั ดดู ความรอ นออกจากอากาศและวัตถุท่อี ยบู ริเวณรอบ ๆ นยิ มใชแบบขยายตวั โดยตรง(direct expansion type) โดยทาํ ใหท อของเครอ่ื งระเหยมีขนาดใหญกวาหลอดรูเล็กมาก ทาํ ใหความดนั ของสารทําความเยน็ ลดลงอยา งรวดเร็วเมอื่ ผา นมาท่ีทอของเคร่อื งระเหย การเปลีย่ นสถานะจากของเหลวเปน แกสทาํ ใหเกดิ การดดู ความรอ นเขาไปอยางรวดเรว็ เครอ่ื งระเหยแบบนผี้ ลิตไดง ายและมีราคาถูกจงึ นิยมใชก นั อยางแพรห ลายในตูเย็นและตแู ชแขง็ ทวั่ ๆ ไป 7. หมอ สะสม(accumulator) อาจพบในตูเ ยน็ หรอื ตแู ชแ ขง็ บางแบบ มลี กั ษณะเปน กระเปาะท่ีตอ อยูร ะหวางทอของเครอ่ื งระเหยท่กี ลบั สเู ครื่องอดั มีหนา ท่เี หมือนตวั ทาํ ใหแ หง กลา วคือชว ยกรองส่งิ สกปรกและดูดความชื้น และปอ งกันสารทาํ ความเย็นท่เี ปนของเหลวไหลกลบั สเู ครือ่ งอัด 8. ทอระบายความรอ น(heat exchanger tube) เปน ทอท่ีตอระหวางทอ ของเครอ่ื งระเหยกบั ทอดดู กลบั ของเครอื่ งอดั แตเ ดินทอใหต ดิ ขนานไปกบั หลอดรเู ล็กเพอื่ ชว ยลดความรอนของสารทาํ ความเย็นในหลอดรเู ล็กกอนไหลไปสูเคร่อื งระเหย 9. ทอลดอุณหภมู ิของน้ํามนั หลอล่ืน(oil cooler หรอื pre cooler) นยิ มใชก ับเครอ่ื งอัดชนิดโรตารี เพือ่ ลดอุณหภมู ิของน้ํามนั หลอล่ืน เพือ่ ปอ งกนั การระเหยของนา้ํ มันหลอ ล่ืนไปอดุ ตนั ในทอของระบบความเยน็ นาํ้ มนั จะถกู ดันออกมาจากเครือ่ งอัดไปตามทอลดอณุ หภูมนิ อกเคร่ืองอดั แลวไหลเวยี นกลบั สเู ครอื่ งอัดอีกดา นหนง่ึ เปนผลใหอณุ หภมู ขิ องน้าํ มันหลอ ล่นื ไมส งู มากเกินไป 10. ตัวแยกนาํ้ มนั นยิ มติดตั้งเพิม่ เตมิ เขาไปในระบบทาํ ความเยน็ ท่ีตอ งการอุณหภมู ติ า่ํ ใชสารทาํ ความเยน็ ทไ่ี มร วมตวั กบั นาํ้ และใชเ ครื่องระเหยแบบปองกันนา้ํ มนั ไหลกลับ (nonoil-returningevaporator) โดยตอตัวแยกนาํ้ มนั ท่ีทอ สงแกส ทําความเยน็ ความดันสงู ออกจากเคร่อื งอัดไปยงั เคร่อื งควบแนน การแยกนาํ้ มนั อาศัยหลักการท่ีนํ้ามันหนักมากกวา สารทาํ ความเยน็ จึงรวมตัวแยกเปน ชนั้ อยูดานลางของตวั แยกนํ้ามนั แลวไหลกลับสเู คร่ืองอัด 11. อุปกรณค วบคุมอุณหภมู ิ มหี นา ท่รี กั ษาอณุ หภูมขิ องตเู ยน็ หรือตแู ชแข็งใหไ ดต ามตองการโดยมีความสมาํ่ เสมอของอณุ หภมู ทิ ว่ั ทงั้ ตูทาํ ความเยน็ อปุ กรณเ หลานไ้ี ดแ ก 11.1 ตัวไวความรอ น(thermal sensor) มีหนา ทว่ี ดั อุณหภมู ภิ ายในตทู ําความเย็นแลว สงสญั ญาณไปควบคมุ การทาํ งานของเครอื่ งอัดเพอื่ ใหไ ดอณุ หภมู ิตามตอ งการ ตัวไวความรอนนยิ มตดิ ตัง้ ไวใ กล ๆ กบั เครื่องระเหย ตัวไวความรอนทใ่ี ชอาจเปนแบบทีอ่ าศัยการหดหรอื การขยายตวั ของแกส ปรอท หรอื โลหะ (รปู ที่ 8.6) 11.2 ปมุ ควบคุมอุณหภมู (ิ temperature control knob) ปกตจิ ะมสี เกลบอกอณุ หภมู แิ บบหยาบ ๆ บนตัวปุม หรอื รอบ ๆ ปุม การตรวจสอบความถูกตองของสเกลนี้จงึ ตองอาศัยการปรบั ใหถกู ตอง โดยการใชเ ทอรม อมิเตอรวดั อุณหภมู ทิ แ่ี ทจริงเมอื่ หมนุ ปมุ ควบคมุ อุณหภมู ไิ ปที่ตําแหนงตา งๆ 186
เคร่ืองมอื วิทยาศาสตร 11.3 เครือ่ งชอี้ ณุ หภมู ิ(temperature indicator) เปน อปุ กรณทต่ี ดิ ตัง้ อยูน อกตทู าํ ความเยน็ รปู ท่ี 8.6 ตวั ไวความรอนแบบกระเปาะแกส (ก) และแบบโลหะ 2 ชนิด (ข) มสี ายเช่อื มโยงไปยงั ตวั วดั อณุ หภูมิของตูทาํ ความเยน็ ซง่ึ อาจแตกตา งจากอณุ หภูมิของเครือ่ งระเหย 1-2 0ซ. 11.4 พดั ลมหมุนเวยี นอากาศ มกั ตดิ ตั้งอยหู ลังเคร่อื งระเหยทาํ หนา ทีด่ ดู อากาศท่มี คี วามรอนกวา มาเปา ใสเครอ่ื งระเหย ชว ยทาํ ใหม ีการถายเทความรอ นอยา งทั่วถึงทัง้ ตทู ําความเยน็ และชว ยลดการเกาะของน้าํ แข็งท่เี ครอื่ งระเหย พัดลมหมนุ เวยี นอากาศมกั พบในตูแ ชแข็งหรอื ตูเยน็ ขนาดใหญเพราะการถายเทความรอ นอยา งทว่ั ถงึ โดยธรรมชาติเกิดขึ้นชามาก และยงั นยิ มใชในตเู ย็นระบบไรน้าํ แขง็ (nofrost system) 11.5 ฉนวน(insulator) ใชบ ุผนงั และประตูตูทําความเยน็ และทอ บางสวนของระบบทําความเยน็ เพอ่ื ปอ งกนั ความรอ นจากภายนอกผา นเขา มาภายในตูท ําความเยน็ แตเ นอื่ งจากอัตราการถา ยเทความรอ นขึน้ อยูก บั สัมประสิทธกิ์ ารถายเทความรอ นของวตั ถทุ ่ีเปน ฉนวน พน้ื ทผ่ี ิวและความแตกตา งของอณุ หภมู ดิ งั สมการ Q = UA x (To-Ti) โดย Q = อัตราการถา ยเทความรอ น (บีทีอยู/ชวั่ โมง) U = สัมประสทิ ธ์ิการถายเทความรอนของฉนวน (บีทยี /ู ชัว่ โมง/0ฟ.) A = พน้ื ท่ผี วิ ของฉนวน (ตรฟ.) To = อุณหภมู ินอกตเู ย็น (0ฟ.) Ti = อณุ หภมู ภิ ายในตูเ ย็น (0ฟ.) 187
ระบบทําความเย็น ดงั น้นั จงึ ตองพยายามเลือกวตั ถทุ สี่ ามารถนาํ ความรอ นไดนอย ตวั อยา งเชน polyurethanefoam, polystyrene foam หรอื ไยแกว เปนตน แตเ พอื่ ความเหมาะสมในการใชง านตองคํานึงถึงนํ้าหนกั ราคา เสถยี รภาพ และความสามารถในการดดู นํา้ ของวตั ถทุ ีจ่ ะนํามาใชทาํ ฉนวนดว ย ในปจ จบุ ันนยิ มใช polyurethane foam มากที่สุด โดยใหม ีความหนาตงั้ แต 2.5 น้ิวขนึ้ ไป ข้นึ อยกู บัความแตกตางของอุณหภูมิระหวางภายในและภายนอกตทู าํ ความเยน็ 12. ระบบละลายน้ําแข็ง(defrost system) ในขณะทรี่ ะบบทาํ ความเย็นทํางาน นาํ้ หรือความชน้ื จากวตั ถุตาง ๆ ในตทู ําความเยน็ จะเกาะทเ่ี คร่ืองระเหย ทาํ ใหป ระสิทธิภาพในการถายเทความรอนลดลงจงึ จําเปน ตอ งมรี ะบบละลายน้ําแข็งทเี่ ครื่องระเหย ซ่งึ นิยมใชข ดลวดความรอ นทใ่ี ชพลังงานจากกระแสไฟฟา ลวดความรอ นอาจทํางานโดยการควบคุมดว ยมือเมื่อตองการ หรือทาํ งานโดยอตั โนมัติเม่ือมแี ขง็ เกาะเครือ่ งระเหยมากเกนิ (รูปที่ 8.7) โดยการรบั สญั ญาณมาจากตัวไวความรอนแตชนิดทน่ี ยิ มใชม ากในปจจบุ นั เปน ระบบท่ีใชน าฬกิ าต้งั เวลาควบคมุ การทาํ งานของลวดความรอ น 188
เครอ่ื งมอื วิทยาศาสตร รูปที่ 8.7 ตวั อยางวงจรไฟฟา ในตทู าํ ความเยน็ ชนดิ ละลายนํ้าแขง็ แบบอตั โนมัติโดยอัตโนมตั ิ นาฬกิ าตัง้ เวลาจะทาํ ใหเกดิ การละลายนํา้ แข็งทเี่ ครอ่ื งระเหยวนั ละ 1-4 คร้งั นานคร้งั ละประมาณ 20 นาที ขน้ึ อยกู ับตูทําความเยน็ แตละชนดิ ในชวงเวลาของการละลายนา้ํ แขง็ กระแสไฟฟาจะถูกตดั ออกจากเครือ่ งอัดโดยอัตโนมัติ และเรมิ่ ตอใหมเ ม่ือผา นชวงเวลาของการละลายนาํ้ แข็ง ตเู ย็นระบบไรนํา้ แขง็ มีการะลายนาํ้ แขง็ ในชว งเวลาส้ัน ๆ สามารถละลายน้าํ แขง็ ออกจากเคร่ืองระเหยไดโดยทาํ ใหอ ณุ หภมู ภิ ายในตทู าํ ความเยน็ เปลีย่ นแปลงนอ ย (2-6 0ซ.) จงึ ไมกอเกดิ ผลเสียกับวัตถทุ ีเ่ กบ็ ไวภายในตทู ําความเยน็ แตใ นบางกรณีนาฬกิ าตง้ั เวลาทํางานผดิ ปกติ ทาํ ใหม ีชวงเวลาการละลายน้ําแข็งนานเกนิ ไปจนอาจทาํ ใหว ตั ถทุ ี่เกบ็ อยภู ายในเสียหาย 13. อุปกรณค วบคุมมอเตอรของเครอ่ื งอัด มอเตอรท ใี่ ชใ นเครือ่ งอดั สวนใหญเปน แบบเหนย่ี วนาํ (induction type) เพราะมีโครงสรางงาย ๆ และมีราคาถกู มอเตอรป ระกอบดวยขดลวด 2ชดุ ชุดแรกเปน ขดลวดเร่มิ หมนุ (starting winding) ชุดทสี่ องเปน ขดลวดใชงาน(running winding) เมื่อเรม่ิ ทาํ งานขดลวดทงั้ สองไดร บั กระแสไฟฟา พรอม ๆ กนั แลว จงึ ถูกควบคมุ การทาํ งานโดยอปุ กรณดงั น้ี 13.1 รีเลย(relay) มีหนาตดั กระแสไฟฟา ออกจากขดลวดชุดแรกเม่ือมอเตอรเร่มิ หมุนจนมีความเร็วประมาณ 3 ใน 4 สวนของความเรว็ ปกติ เพื่อปองกนั มอเตอรไ ดรบั กระแสไฟฟามากเกินเปนเวลานาน รูปที่ 8.8 เปน รเี ลยแบบใชค วามลวดความรอ น(hot wire) ซึง่ นิยมใชในเครือ่ งอัดขนาด 189
ระบบทาํ ความเย็น รูปท่ี 8.8 แผนผังการตอวงจรของรเี ลยแ บบใชลวดความรอนเลก็ เมื่อมีกระแสไฟฟาไหลผา นในตอนเร่มิ แรกความรอ นจะเกดิ ขนึ้ อยา งรวดเร็วจนถึงระดบั ทท่ี ําใหลวดเสนท่ี 1 ขยายตวั งอตวั ลง ตัดกระแสไฟฟาออกจากขดลวดชดุ แรก (ลวดเสนท่ี 3) ขณะใชงานถามีความผดิ ปกตทิ ําใหม กี ารไหลของกระแสไฟฟาในขดลวดชุดท่ี 2 มากเกิน ลวดเสน ท่ี 1 จะงอตวั มากขึ้นอีกจนลวดเสนที่ 2 ถกู ตัดกระแสไฟฟาออก ดังนั้นรเี ลยช นดิ นจี้ งึ ทาํ หนาท่ีเปน อปุ กรณป อ งกนั การดงึ กระแสไฟฟามากเกนิ (overload protector) ดว ย 13.2 ตัวเก็บประจเุ ริ่มหมนุ มอเตอร(start capacitor) เปน ตวั เก็บประจขุ นาดใหญท ม่ี คี วามจุมาก ใชตออนุกรมกบั ขดลวดชุดแรก มหี นา ทชี่ วยจา ยกระแสไฟฟาปรมิ าณมากใหก บั ขดลวดชดุ แรกในขณะเริม่ หมนุ มอเตอร แตร ีเลยจ ะตอ งตดั ตัวเกบ็ ประจนุ ีอ้ อกจากวงจรภายใน 5 วินาที เพ่อื ปอ งกันขดลวดไหม 13.3 ตัวเกบ็ ประจหุ มนุ มอเตอร( run capacitor) เปนตวั เก็บประจุขนาดเลก็ ใชตอ ขนานกับขดลวดชดุ ที่สอง มีหนาทส่ี ะสมไฟฟาและจา ยกระแสไฟฟา ใหก บั ขดลวดชดุ ที่สอง ทาํ ใหม อเตอรหมนุ ไดอ ยางสมา่ํ เสมอตลอดเวลา 13.4 ตัวปองกนั การดงึ กระไฟฟา มากเกนิ (overload protector) นยิ มใชชนดิ ท่ีเปน โลหะ 2ชนดิ ประกบตดิ กนั (bimetallic) ตอ อนกุ รมกบั ขดลวดชดุ ท่สี อง เมอ่ื เกดิ ความผิดปกตปิ ระแสไฟฟา ถูกดึงผานขดลวดชดุ ทีส่ องมากเกินจนเกดิ ความรอนทาํ ใหโลหะ 2 ชนดิ ดังกลาวโคงงอตัดวงจรไฟฟาและจะตอวงจรไฟฟา เองเม่อื โลหะเยน็ ลง 14. สญั ญาณเตือนตา ง ๆ อาจพบอยใู นรปู ของแสงหรือเสยี ง เพื่อแสดงการทาํ งาน หรอื การไมทํางานของพัดลม เครื่องอดั การละลายน้าํ แขง็ เปนตนขอ ควรปฏบิ ตั ใิ นการใชต ทู ําความเย็น ถงึ แมว าตูเยน็ หรือตูแชแ ขง็ เปน เคร่ืองมอื ที่ใชง าย แตส งิ่ ทค่ี วรกระทาํ เพ่ือความปลอดภัยของผูใ ช และเสถยี รภาพของวตั ถทุ เ่ี กบ็ ไวใ นตทู าํ ความเยน็ ตลอดจนการประหยดั พลังงาน เปน สงิ่ ทคี่ วรคํานึงถึง สง่ิ ทค่ี วรปฏบิ ตั ใิ นการใชง านมดี งั นี้ 1. การตัง้ ตูทาํ ความเยน็ ควรต้ังบนพ้ืนที่แหง ราบเรยี บ พงึ หลีกเลย่ี งความรอนจากแสงแดดหรือแหลง อืน่ ๆ ควรใหแ ผงของเครื่องควบแนน หางจากผนังอยา งนอย 5 นวิ้ ถา เปน ตูท าํ ความเยน็ ในแนวตั้ง ควรต้งั ใหด านหนา สงู กวา ดานหลงั เลก็ นอ ย เพ่ือใหประตตู ทู ําความเยน็ ปด ไดเองเมอื่ เปดออกมาประมาณ 45 องศา 2. ในการตอกระแสไฟฟา ควรใชโ วลตท่ีถกู ตอง(110, 220 หรือ 380 โวลต) และควรตอสายดินเสมอ นอกจากนอ้ี าจติดอุปกรณตัดไฟ(circuit breaker) ซ่ึงจะตัดกระแสไฟฟา เองเม่อื มีการร่วั ของกระแสไฟฟา 190
เครอ่ื งมือวทิ ยาศาสตร 3. วตั ถทุ ่ีนําไปใสในตูทาํ ความเยน็ ควรปด สนิทหรอื หอหุมใหม ดิ ชดิ เพือ่ ปองกนั การระเหยของน้ํา ซงึ่ จะไปเกาะสะสมท่เี คร่อื งระเหย 4. ไมค วรใสส ารทร่ี ะเหยงายและตดิ ไฟไดง า ยในตทู าํ ความเยน็ ตวั อยา งเชน อเี ธอร หรอืbenzene เปน ตน 5. เพอื่ หลีกเล่ยี งการแตก ไมควรใชภาชนะท่ีทําดว ยแกว ใสข องเหลวหรอื ของแข็งท่ีตองนาํ ไปเกบ็ ในทอี่ ุณหภมู ิตํ่ามาก(แชแ ขง็ ) 6. ถาไมจาํ เปนไมค วรนาํ วตั ถทุ ีร่ อ นใสใ นตทู ําความเยน็ ทนั ที ควรรอใหเยน็ กอ น 7. วตั ถแุ ละส่งิ ของทีใ่ สใ นตูทาํ ความเยน็ ควรเหมาะสมกบั ความจุของตทู าํ ความเยน็ เพราะถาใสม ากเกินไป นอกจากจะตองใชก ระแสไฟฟา เพม่ิ ขน้ึ แลว ยังอาจทาํ ใหสิ่งของทเ่ี กบ็ ไวเสียหายเนอ่ื งจากถายเทความรอ นออกจากสงิ่ ของไมดี แตถ าใสนอยเกินไปยอ มเกิดการสูญเปลา ของพลังงาน 8. เอาสง่ิ ของท่ไี มจาํ เปน หรอื หมดความจําเปน ทจ่ี ะเกบ็ ไวใ นตูทาํ ความเยน็ ออกเสมอ ๆ 9. วางสิ่งของในตูท ําความเยน็ ใหเปนระเบยี บ และเขยี นเครอ่ื งหมายหรอื สัญลกั ษณท ชี่ ดั เจนเพอ่ื ความรวดเร็วในการหยิบออกมา 10. ควรเปดประตตู ูเย็นตามความจาํ เปน เทา นนั้ ควรกาํ หนดวา ในวนั หนง่ึ ๆ จะเปด กี่ครง้ัแตล ะครัง้ จะหยิบอะไรบาง และในการหยบิ แตละคร้ังควรหยิบหลาย ๆ อยางออกมาพรอ ม ๆ กันถาสามารถกระทาํ ได 11. การหยิบสิง่ ของในตแู ชแ ขง็ ควรสวมถุงมือยาง เพื่อลดการเกดิ เกลด็ นาํ้ แขง็ ทจ่ี ะเกาะตดิ กับเครือ่ งระเหย ผนงั หรือส่งิ ของท่ีสมั ผสั กบั มอื เพราะมีไอน้าํ ระเหยออกจากมอื ตลอดเวลา 12. ไมควรใชข องมีคมขดู หรือแชะน้ําแขง็ บรเิ วณทอของเครื่องระเหย เพราะทออาจรวั่ ไดงา ยเนื่องจากทําจากโลหะออ นประเภทอะลมู ิเนยี มหรือทองแดง 13. หามวางส่ิงของบนฝาตทู ําความเยน็ แบบแนวนอน เพราะการเผลอเปด ฝาตจู ะทาํ ใหส่ิงของตกเสยี หาย และอาจทําใหตวั ตทู ําความเยน็ เสยี หายดวย 14. จากการศึกษาพบวาถาลดอุณหภมู ิในตทู าํ ความเยน็ ลงเพยี ง 1 0ฟ. จะประหยดั พลังงานตทู ําความเยน็ ลงรอ ยละ 2 ถงึ รอ ยละ 5 ดังนนั้ จึงควรใชอ ณุ หภูมใิ หเหมาะสมกบั วัตถุ หรอื ส่งิ ของท่ีนํามาเก็บ ตวั อยา งเชน การเกบ็ เอนไซมบ างชนดิ ในระยะสนั้ ๆ ควรเก็บที่ -32 0ฟ. แทนการเก็บท่ี –70 0ฟ.เปน ตน 15. เมอ่ื กระแสไฟฟา ดบั หรอื ปดสวทิ ชไฟฟาตูทาํ ความเย็น ไมค วรเปด สวิทชไ ฟฟาทนั ทีควรทงิ้ ชวงเวลาประมาณ 3 นาที เพ่ือใหค วามดันในเครอ่ื งระเหย และเครอื่ งควบแนน สมดลุ กันกอ นเพราะถายงั มีความดันสูงอยใู นระบบทอทาํ ความเยน็ การเรมิ่ ทํางานของมอเตอรของเคร่อื งอดั จะตอ งเอาชนะแรงดนั ในทอนด้ี ว ย ทาํ ใหม อเตอรทํางานหนกั และดงึ กระแสไฟฟามากขนึ้ ทําใหอายกุ ารใชงานของมอเตอรของเคร่อื งอดั ลดลง 191
ระบบทําความเย็นการบํารุงรักษา การบาํ รุงรกั ษาตูท าํ ความเยน็ เปนส่ิงท่ีทาํ ไดงาย ๆ และไมต อ งกระทําบอยนกั จงึ เปน สาเหตุใหต ูทําความเยน็ ถกู ละเลยการบํารงุ รักษา การบํารงุ รักษาที่ควรกระทาํ มีดงั น้ี 1. ตรวจสอบรอยรวั่ ตามขอบประตูตูทําความเยน็ เสมอ ๆ 2. ตรวจสอบความแนน หนาของบานพบั และอุปกรณยดึ ประตูตูทําความเย็นทุก ๆ 6 เดอื น 3. ตรวจสอบความถูกตอ งของอุณหภมู ิของปุม ควบคุมอุณหภมู ิทุก ๆ 6 เดือน 4. ตรวจสอบการรัว่ ของฉนวนในผนงั ตทู าํ ความเยน็ โดยการสงั เกตดูหยดน้ําทีอ่ าจเกดิ ขึน้เฉพาะแหง บนผนงั ตทู าํ ความเย็น 5. ทําความสะอาดภายนอกเครอื่ งอัด และแผงเครื่องควบแนน ทกุ ๆ 3 เดอื น เพอ่ื กาํ จัดคราบไขมันและฝนุ ออก 6. ถา ตทู าํ ความเยน็ ไมม ีระบบละลายน้ําแข็งอตั โนมตั ิ ควรละลายนาํ้ แข็งเมอื่ มนี าํ้ แขง็ จบั ท่ีเครื่องระเหยหนาเกิน 2.5 นวิ้ 7. การทําความสะอาดภายนอกตทู าํ ความเยน็ ควรใชนํา้ ปรมิ าณเล็กนอยรว มกับการใชสารชะลา งท่ีเปน กลาง หรอื เปนดา งออ น ๆ 8. ความถี่ของการทาํ ความสะอาดภายในตทู ําความเยน็ ขึ้นอยูก บั การพจิ ารณาของผใู ช ซึ่งอาจจะบอ ยมากคอื อาทิตยล ะ 1 ครั้งจนถงึ ปล ะครั้ง การทําความสะอาดภายในควรปฏิบัติดังนี้ 8.1 ถอดปลั๊กไฟฟา ออก 8.2 เปดประตตู ทู ําความเยน็ เอาส่ิงของภายในออก นําไปเกบ็ ไวในตทู าํ ความเยน็ อื่น ๆ 8.3 เปด ประตูตทู าํ ความเยน็ ใหก วางทส่ี ุด เพื่อใหอุณหภูมิภายในสูงขึ้นเกนิ 32 0ฟ.(อาจใชพดั ลมชว ยถา ยเทความรอ น) 8.4 กําจดั สง่ิ สกปรกออกโดยใชแ ผนขัดหรือแปรงขัดท่ีทําดวยพลาสตกิ จมุ สารชะลางท่ีอนุ ๆ (33-49 0ซ.) ใชฟองนาํ้ จุมน้ําอุนเล็กนอยเชด็ สารชะลา งออก เชด็ หรอื ฉีดพน ดว ยสารฆาเชือ้ โรคในกรณที ี่ใช quaternary ammonium chloride เปน สารชะลางไมจ ําเปน ตองใชสารฆา เชือ้ โรคอนื่ ๆ อีก 8.5 ปลอ ยใหแ หง เสียบปลัก๊ ไฟฟา ตัง้ อณุ หภมู ใิ หเ ทา กบั อณุ หภมู กิ อนทาํ ความสะอาดนาํ สิ่งของมาเก็บเขา ที่เดมิ ใหเปนระเบยี บ 9. ในกรณีท่ีมีกลนิ่ เหม็น อาจใช NaHCO3 ลาง หรือใสถานกัมมันต( activated carbon) ปดประตูตทู าํ ความเยน็ ท้ิงไวเปน เวลา 2-3 วนัการเลือก ตเู ยน็ และตูแ ชแ ขง็ ในปจจุบนั มปี ระสิทธิภาพและคุณภาพคอนขา งใกลเ คียงกนั จะแตกตางกนั บางในสว นของราคา รูปราง และความเหมาะสมสาํ หรับใชง านแตล ะประเภท สําหรับงานทางหอ งปฏบิ ัติการวิทยาศาสตรค วรพจิ ารณาถงึ สิง่ ตอไปนี้ 192
เครอื่ งมือวทิ ยาศาสตร 1. มคี วามแมน(accuracy) และความเท่ียง(precision) ของการควบคุมอุณหภมู ดิ ี 2. มคี วามสม่าํ เสมอของอณุ หภมู ทิ กุ ๆ บรเิ วณภายในตูทําความเยน็ 3. มสี ญั ญาณเตือนเมือ่ เครอ่ื งอดั หรืออปุ กรณสวนอน่ื ๆ ทํางาน ผดิ ปกติ 4. ตูแชแ ข็งควรมเี ครือ่ งบันทกึ อณุ หภมู แิ บบตอ เนื่องตลอดเวลา 5. เลือกขนาดความจภุ ายในใหเ หมาะสมกบั ปรมิ าณสง่ิ ของทีจ่ ะใส 6. มชี น้ั วางท่เี หมาะสมกับงาน ตัวอยางเชน มีชน้ั วางที่เลือ่ นปรับระดับได หรือสามารถหมุนไดร อบตวั 7. ควรมปี ระตูขนาดทไ่ี มโ ตเกนิ ไป ถาเปน ตทู ําความเยน็ ขนาดใหญ ประตูควรแบงออกเปน ประตเู ลก็ ๆ หลายประตู 8. มกี ารรัว่ ไหลของความเยน็ ตามขอบประตูหรอื ผนงั นอย ซงึ่ ข้นึ อยูกบั การออกแบบ ชนดิและความหนาของฉนวนทใี่ ช 9. คา กระแสไฟฟา เฉลี่ยที่ใชร วมตอ วนั การเปรยี บเทยี บเฉพาะวตั ตทเี่ คร่อื งอัดใชอ าจไดขอมูลท่ีไมตรงกบั ความเปนจริง เพราะกระแสไฟฟารวมท่ีตูท าํ ความเย็นใชขนึ้ อยกู บั อุปกรณอ ืน่ ๆดว ย เชน พดั ลมหมนุ เวยี นอากาศ หลอดไฟ ขดลวดความรอ น ฯลฯ. นอกจากนยี้ ังข้นึ อยกู ับการสญูหายของความเยน็ ซึง่ จะทําใหเ คร่ืองอดั ทาํ งานเปน ระยะเวลาทีน่ านไมเ ทา กันในแตละวนั 10. ใชเครอื่ งอดั ทม่ี ีประสิทธิภาพสูง และควรมขี นาดเหมาะสมกับความจุของตูทาํ ความเยน็เพราะถาใชเคร่ืองอดั ขนาดเล็กเกนิ จะทาํ ใหเคร่อื งอัดทาํ งานหนกั เปน ผลใหอายกุ ารใชง านลดลง แตถาใชขนาดโตเกนิ ไปจะสนิ้ เปลอื งกระแสไฟฟา มากขึน้ 11. ใชสารทําความเยน็ ท่ปี ลอดภัย เพือ่ ปองกนั อันตรายตอ มนุษยแ ละสง่ิ แวดลอ มทีอ่ าจจะเกดิ ขึน้ ถามกี ารรั่วไหลของทอ ในระบบทําความเยน็ 12. ตเู ยน็ ทม่ี รี ะบบละลายน้าํ แขง็ อัตโนมตั ิ ซ่งึ สวนใหญจ ะละลายนํ้าแขง็ ทุก ๆ 10 ช่วั โมงจะทาํ ใหเ ปลืองคา ไฟฟา มากกวาตเู ย็นชนิดที่กําหนดเวลาการละลายนํ้าแขง็ ได 13. ควรเลือกตเู ยน็ ท่มี ีโครงสรางท่สี ามารถนําไปรีไซเคิล(recycle) ไดเ กอื บทั้งตู เพื่อชวยรกั ษาสภาพแวดลอ มปญ หาและสาเหตุ ปญ หาที่พบบอ ยสาํ หรับตเู ยน็ หรอื ตูแ ชแ ขง็ มีดงั ตารางท่ี 8.2 การแกไ ขสามารถกระทําไดงายข้นึ ถา เขา ใจการทํางานของระบบทาํ ความเย็น ซึง่ นอกจากใชแ กป ญ หาทเ่ี กดิ ขน้ึ กบั ตทู าํ ความเย็นโดยตรงแลว ยงั สามารถนาํ ไปใชเปน แนวทางแกไ ขขอ ขดั ของ หรือแกป ญ หาของเคร่อื งมือวิทยาศาสตรทมี่ รี ะบบทาํ ความเย็นเปน สวนประกอบของเครือ่ งมอื ไดอ กี ดว ย 193
ระบบทําความเย็นตารางที่ 8.2 ปญหาและสาเหตุของตูท าํ ความเย็น ปญหา สาเหตุมนี ํา้ ไหลนองฟน บรเิ วณตเู ยน็ -มีนาํ้ แข็งเกาะท่เี ครอื่ งระเหยมากเกินไป -มีสารทาํ ความเย็นมากเกนิ ไป -พัดลมของเคร่อื งระเหยไมท ํางาน -อากาศภายนอกตูม ีความชน้ื สงู -ถาดรับนา้ํ ที่ระบายนาํ้ ออกรวั่ -ทอ ระบายนาํ้ ทง้ิ ตันตารางที่ 8.2 ปญหาและสาเหตุของตทู ําความเยน็ (ตอ) ปญหา สาเหตุภายในตูไมเ ยน็ และเครอื่ งอดั พยายามจะทาํ งาน -โวลตของกระแสไฟฟาสูงหรือตาํ่ เกนิ กวา รอยละ10 ของโวลตท่กี ําหนด -มอเตอรเครื่องอัดลดั วงจร -มีสารทําความเย็นมากเกินไป -ตัวเกบ็ ประจเุ ร่มิ หมนุ เสีย -อณุ หภูมริ อบ ๆ เคร่อื งอดั สงู -รเี ลยเสยี -อุปกรณปอ งกนั การดงึ กระแสไฟฟา มากเกินเสยีความเยน็ ไมพ อและเครือ่ งอดั ทาํ งานปกติ -มีนํ้าแข็งเกาะท่ีเครื่องระเหยมาก -ปดประตตู ูเยน็ ไมสนิท -อากาศภายนอกมอี ุณหภูมสิ งู -สารทาํ ความเย็นร่ัว -มีสารทําความเย็นนอ ยเกิน -มีการอดุ ตันในทอระบบทาํ ความเยน็ -พดั ลมของเครอื่ งควบแนนไมทาํ งาน -เครอื่ งอดั มีขนาดเลก็ -ตัวไวความรอ นเสีย -พัดลมกระจายความเยน็ ภายในตูเสยีเครอื่ งอดั ทาํ งานตลอดเวลา และภายในตเู ยน็ จดั -ตง้ั อณุ หภมู ิทาํ ความเยน็ ไวต า่ํ มาก 194
เคร่ืองมอื วทิ ยาศาสตร -ตวั ไวความรอ นเสีย -ปมุ ควบคุมอณุ หภูมิเสียมีนาํ้ แขง็ เกาะตัวระเหยมาก หรอื มหี ยดน้ําเกาะ -ลวดความรอนขาดภายในตู -นาฬกิ าควบคมุ การละลายนา้ํ แขง็ เสีย -ทอ ระบายนํ้าทง้ิ ตัน -ภายในตูมนี ้ําและความชนื้ มาก -ปดประตตู ูไมส นิท -ฉนวนบางหรอื เปยกน้ําตารางที่ 8.2 ปญหาและสาเหตขุ องตทู ําความเย็น(ตอ) ปญหา สาเหตุมีหยดนา้ํ เกาะนอกตมู าก -ฉนวนบาง หรอื เปยก -อากาศภายนอกมีความช้ืนสงูมีเสยี งดังมาก -ยางขอบประตรู ัว่ -ทอ ของเครอื่ งระเหยชนิดทฝ่ี ง ในผนงั ฝง ชดิ ผนงัเคร่อื งบันทึกอณุ หภูมไิ มท ํางาน ดานนอกมากเกิน -เสยี งจากเคร่อื งอัด หรือพัดลม -เสียงจากการยดึ ทอ ของระบบทําความเยน็ ไม แนน -ตงั้ ตทู ําความเยน็ ไมดี -มนี อตหลุดหลวม -ใสก ระดาษไมถ ูกตอง -หมึกหมด -สปริงขาด 195
ระบบทําความเย็น -ไมไ ดเสยี บปลก๊ั ไฟฟา -ฟว สขาดภายในตไู มเยน็ และเคร่ืองอดั ไมทํางาน -โวลตตา่ํ มาก -ไมไ ดเ ปด สวทิ ชไฟฟา -มอเตอรข องเคร่อื งอดั เสยี -รเี ลยเ สีย -ตวั เก็บประจเุ ร่ิมหมนุ เสีย -นาฬกิ าควบคมุ การละลายนา้ํ แข็งเสีย -อปุ กรณปองกนั การดงึ กระแสไฟฟามากเกินเสีย การศึกษาหลักการทาํ ความเยน็ องคป ระกอบ การใช การบํารงุ รกั ษา ตลอดจนปญ หาตาง ๆทอี่ าจจะพบ คาดวาจะกระตนุ ใหผใู ชเ กดิ ความสนใจในการบาํ รงุ รักษาระบบทําความเย็น และมีการใชท่ถี กู ตองมากข้นึ โดยเฉพาะอยางยงิ่ เคร่อื งมือวทิ ยาศาสตรท ีม่ ีระบบทาํ ความเยน็ เปนองคประกอบรวมท้งั อปุ กรณท าํ ความเยน็ อืน่ ๆ ดวย บรรณานกุ รม1. Ashley S. Energy-efficient appliances. Mechanical Engineering 1998;120:94-7.2. Babyak R. Calling on compressors. Appliance Manufacturer 2000;48:62-6.3. Ballaney PL. Refrigeration and air conditioning. Delhi : Khanna Publishers, 1974.4. Banda HT, Harries AD, Boeree MJ, Nyirenda TE, Banerjee A, Salaniponi FM. Viability of stored sputum specimens for smear microscopy and culture. Int J Tuberc Lung Dis. 2000;4:272-4.5. Chai D. Samsung Electric, s CFC free refrigerator: leader of the pack. Business Korea 1993;10:45-6.6. Croppi A, Polettini A, Lunetta P, Chille G, Montagna M. A fetal case of trichlorofluoromethane(Freon 11) poisoning : tissue distribution study by gas chromatography- mass spectrometry. J Forensic Sci 1994;39:871-6.7. Dossat RJ. Principles of refrigeration. 1st ed. New York : John Wiley and Sons, 1978. 196
เคร่อื งมอื วทิ ยาศาสตร 8. Fitzgerald RL. Fishel CE, Bush LL. Fatality due to recreation use of chlorodifluoromethane and chloropentafluoroethane. J Forensic Sci 1993;38:477-83. 9. Ley SJ. Foodservice refrigeration. Boston : CBI Publishing Company Inc, 1980. 10. Rechowicz M. Electric power at low temperature. Oxford : Clarendon Press, 1975. 11. Remich NC. Green Frost : a recyclable refrigerator. Appliance Manufacturer 1992;40:69. 12. Sammarco ML, Manfredi STM, Quaranta A. Vaccine storage in the community: a study in central italy. Bull World Health Organ 1999;77:352-5. 13. Scharff R. Refrigeration, air conditioning, range and oven servicing. New York: Mc Graw-Hill Book Company, 1976. 197
Search
Read the Text Version
- 1 - 22
Pages: