Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore วิจัยในชั้นเรียน

วิจัยในชั้นเรียน

Description: วิจัยในชั้นเรียน

Search

Read the Text Version

วจิ ัยในชันเรยี น เรอื ง การศกึ ษาผลสมั ฤทธทิ างการเรยี นวทิ ยาศาสตร์ ของนกั เรยี นชนั มธั ยมศกึ ษาปที 6 ทเี รยี นดว้ ยการจดั การเรยี นรโู้ ดยใชป้ ญหาเปนฐาน นางสาวรวิวรรณ พูนสมบตั ิ โรงเรียนมหาวชิราวุธ จังหวัดสงขลา

1 บทท่ี 1 บทนำ ควำมเป็ นมำของปญั หำ ปัจจุบัน ระบบการศึกษาได้มีการเปล่ียน แปลงและ พัฒน าข้ึนร่ือยๆ รูปแบบและวิธีการศึกษาใน สถานศึกษาจาเป็นต้องมีการเปลี่ยนแปลงตามความต้องการของประชนทางสังคมและเศรษฐกิจ การจดั การเรียนรู้ ในสถานศึกษามักจะเริ่มจากการให้ความรู้ หลักการ หรือทฤษฎี แล้วจึงให้ผู้เรียนฝึกปฏิบัติ แต่ทฤษฎีจะมี ความหมายและเป็นประโยชน์ต่อผ้เู รียนกต็ ่อเมื่อผู้เรียนได้เห็นการใชท้ ฤษฎใี นสถานการณ์จริง เพราะนอกจาก ผู้เรียนจะเชือ่ มโยงทฤษฎีกับการปฏบิ ัติได้แล้ว ผู้เรียนยงั ได้เห็นผลสะทอ้ นกลับดว้ ย ทาให้ผเู้ รียนไดเ้ รียนรูว้ ิธกี าร คิดเชิงวิเคราะห์ และค้นหาขอ้ สรุปจากข้อสงสัยหรือคิดคน้ หาคาตอบจากการแก้ปัญหา กระตุน้ ให้ผู้เรียนพัฒนา ความรู้ทย่ี ง่ั ยืน พัฒนาทักษะ พฤติกรรม และลักษณะนสิ ัยโดยเฉพาะด้านการคดิ การจดั การเรียนรูท้ ่เี ป็นวิชาการความรู้มากกวา่ สภาพความเป็นจริงในชีวิตประจาวันทาให้ผู้เรียนไม่เห็น ประโยชน์ของการเรียน การจดั การเรียนรู้ทีเ่ หมาะสมกบั โลกปจั จุบนั คือ การจัดการเรียนรูท้ ี่ช่วยให้ผู้เรียนไดร้ ูว้ ิธี คิดและวธิ ีการแกป้ ัญหา เพราะโลกมีปญั หาซับซ้อนท่ยี งั ไม่สามารถแก้ได้เป็นจานวนมากข้นึ เร่ือยๆ ผู้สอนหลาย คนคิดว่าเมื่อสถานการณ์เป็นเช่นน้ี กค็ งไมส่ ามารถทาให้ผู้เรียนไปแก้ปัญหาได้ ในขณะเดยี วกนั ก็มีนกั วชิ าการ หลายคนตาหนิว่าการจัดการศึกษาล้มเหลวเพราะไม่สามารถทาให้ผเู้ รียนแก้ปัญหาของโลกได้ แตใ่ นความเป็น จริงแล้ว ถา้ เด็กได้ฝึ กปฏิบัติแก้ปัญหาที่เกิดข้ึนจริงจะทาให้เด็กได้พัฒน าทักษะการแก้ปัญหาข้ึนเร่ือยๆ และ สามารถแกป้ ัญหาของโลกได้เพ่ิมข้ึนเรื่อยๆ เหมือนกับการเรียนรู้ในสาขาวทิ ยาศาสตร์ที่มปี ญั หาทางวิทยาศาสตร์ เกิดข้ึนมากมาย แต่การเรียนรู้ในปัจจุบันไม่สามารถหาทางแก้ปัญห าได้ จนทาให้ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน วิทยาศาสตรท์ ุกระดับ พบวา่ อยู่ในเกณฑ์ทต่ี ่ามากเม่อื เปรียบเทยี บในระดับประเทศ ในระยะสิบปีท่ีผ่านมา มีทฤษฎีการเรียนรูใ้ หม่ๆ เกดิ ข้นึ หลายทฤษฎี ซ่งึ แนวคิดท่ีสอดคล้องกับการจัด การศึกษาในศตวรรษที่ 21 มากทส่ี ุดคือ เช่ือว่าการเรียนรูจ้ ะเกิดข้นึ เมื่อผู้เรียนได้สรา้ งความรู้ท่ีเป็นของตนเอง ข้นึ มาจากความรู้ที่มีอยูเ่ ดิมหรือจากความรู้ทีไ่ ดร้ ับมาใหม่ ด้วยเหตุน้ี ห้องเรียนในศตวรรษท่ี 21 จงึ ไม่ควรเป็น ห้องเรียนท่ีครูเป็นผู้จัดการทกุ สิ่งทุกอย่าง โดยผูเ้ รียนเป็นผรู้ ับ แต่ต้องให้ผู้เรียนไดล้ งมือปฏิบัติเอง สร้างความรู้ ทเ่ี กิดจากความเข้าใจของตนเอง และมสี ่วนร่วมในการเรียนมากข้นึ รูปแบบการเรียนรู้ทเ่ี กดิ จากแนวคิดน้มี ีอยู่ หลายรูปแบบ เช่น การเรียนรูแ้ บบร่วมมอื (Cooperative learning ) การเรียนรู้แบบช่วยเหลือกัน (Collaborative learning) การเรียนรู้โดยการค้นควา้ อย่างอสิ ระ (Independent investigation method) การเรียนรู้โดยใช้ปัญหา เป็นฐาน(Problem–based learning / PBL) เป็นตน้ การจดั การเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐาน (Problem–based learning / PBL) เป็นการเรียนรูแ้ บบเน้นผูเ้ รียน เป็นสาคัญวิธหี น่งึ ทใ่ี ชป้ ัญหาในลกั ษณะที่คลมุ เครือเป็นฐานเร่ิมต้นที่ท้าทายให้คดิ ค้นคว้า และเกดิ ความพยายาม ที่จะหาคาตอบของปัญหา โดยใช้การเรียนรู้ตามกระบวนการวทิ ยาศาสตร์เป็นพื้นฐาน แนวการศึกษาน้มี ีความ สอดคล้องกับแนวการศึกษาตามพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 คือให้ผู้เรียนเกดิ ทักษะในการคิด วเิ คราะห์ คดิ แกป้ ัญหาและคิดอยา่ งสร้างสรรค์ ผู้เรียนมสี ว่ นร่วมในการเรียนรูท้ ัง้ ภายในและภายนอกสถานศึกษา

2 ด้วยเหตุผลดังกลา่ วข้างตน้ ผู้วิจยั จึงเกิดความสนใจที่จะนารูปแบบการจัดการเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็น ฐาน น้ีมาจัดการเรียนการสอนวิทยาศาสตร์ รายวิชาวิทยศาสตร์กายภาพ 1 เร่ืองพลังงาน เพ่ือ “การศึกษา ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนวิทยาศาสตร์ ของนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปี ท่ี 6 ทเ่ี รียนด้วยการจดั การเรียนรู้โดยใช้ ปัญหาเป็นฐาน” สาหรับเร่ืองรายวิชาวิทยศาสตร์กายภาพ 1 เรื่องพลังงาน เพราะเรื่องน้ีเป็นส่ิงที่ใกลต้ ัวและมี ความสาคัญต่อการดารงชีวิตประจาวันของเรา จึงเป็ นแนวทางในการคิดวิเคราะห์ คิดสร้างสรรค์ และคิด แก้ปัญหา เพ่อื พัฒนาศักยภาพของผูเ้ รียนใหม้ ีผลสัมฤทธ์ทิ างการเรียนวิทยาศาสตร์อยู่ในเกณฑ์ทส่ี งู ข้นึ ควำมมงุ่ หมำยของกำรวิจัย เพอ่ื ศึกษาผลสมั ฤทธ์ทิ างการเรียนวิทยาศาสตร์ ของนกั เรียนชนั้ มัธยมศกึ ษาปีท่ี 6 ที่เรียนด้วยการจัดการ เรียนรู้โดยใช้ปญั หาเป็นฐาน ควำมสำคญั ของกำรวจิ ยั การวิจัยคร้งั น้ีทาให้ทราบผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน วทิ ยาศาสตร์ ของนักเรียน ช้ันมัธยมศึกษาปี ท่ี 6 โรงเรียนมหาวชิราวธุ จงั หวัดสงขลา ทเี่ รียนด้วยการจัดการเรียนรู้โดยใชป้ ัญหาเป็นฐาน และสามารถนาขอ้ มูล เหล่าน้ีไปปรับปรุงแก้ไขและเป็นแนวทางในการสอนวิทยาศาสตร์ ในการจัดการเรียนรู้ทเี่ น้นผเู้ รียนเป็นสาคัญ เพื่อพัฒนาศักยภาพของผเู้ รียนให้มผี ลสมั ฤทธ์ทิ างการเรียนวิทยาศาสตรอ์ ยใู่ นเกณฑ์ท่ีสงู ข้นึ นยิ ำมศพั ท์เฉพำะ 1. กำรจดั กำรเรียนร้โู ดยใช้ปัญหำเป็ นฐำน หมายถึงกระบวนการในการเรียนรู้ที่เริ่มต้นจากปัญหาท่ี เกิดข้นึ โดยทีป่ ัญหาน้นั จะเป็นตวั กระตุ้นให้ผู้เรียนเกิดความอยากรู้และเสาะแสวงหาความรู้เพื่อค้นพบคาตอบ หรือเพื่อให้เกิดความเขา้ ใจในรายละเอียดของปัญหาน้ันดว้ ยตนเอง จดั วา่ เป็นกระบวนการเรียนรู้ทเี่ น้นผ้เู รียนเป็น สาคญั ซ่งึ มขี ้ันตอนกิจกรรมการเรียนรู้ 7 ข้นั ตอน ได้แก่ 1.ขัน้ จัดเตรียมและแบง่ กลุ่ม 2.ข้ันกาหนดปัญหา 3.ขน้ั ทาความเขา้ ใจปัญหา 4.ขั้นดาเนินการศกึ ษาค้นคว้า 5.ข้นั สังเคราะหค์ วามรู้ 6.ขน้ั สรุปและประเมินคา่ ของคาตอบความรู้ 7.ขนั้ นาเสนอและประเมนิ ผลงาน 2. ผลสมั ฤทธ์ิทำงกำรเรยี นวิทยำศำสตร์ หมายถงึ ความรู้ความสามารถในการเรียนวิทยาศาสตร์ ซ่ึงวดั ได้ จากการตอบแบบทดสอบวัดผลสมั ฤทธ์ทิ างการเรียนวิทยาศาสตร์ที่ผ้วู ิจัยสร้างข้ึน ตามเนื้อหาและผลการเรียนรู้ที่ คาดหวงั ชว่ งชน้ั ท่ี 4 โดยวัดความสามารถ 5 ดา้ น ดังน้ี

3 2.1 ด้ำนควำมรู้-ควำมจำ หมายถงึ ความสามารถในการระลึกถึงสง่ิ ทเี่ คยเรียนรูม้ าแล้วเก่ยี วกับ ข้อเทจ็ จริง ขอ้ ตกลง ศพั ท์ กฎ แนวคดิ 2.2 ควำมเข้ำใจ หมายถึง ความสามารถในการอธบิ ายความหมาย การจาแนก ตคี วาม และแปล ความรูโ้ ดยอาศยั ขอ้ เท็จจริง ขอ้ ตกลง คาศัพท์ หลักการและทฤษฎี 2.3 ด้ำนกำรนำไปใช้ หมายถึง ความสามารถในการนาความรู้ วิธีการทางวิทยาศาสตรไ์ ปใชใ้ น การแก้ปญั หาในสถานการณ์ใหมท่ ี่แตกต่างไปจากท่ีเคยเรียนรูม้ าแล้ว โดยเฉพาะอย่างย่งิ การนาความรู้ไปใชใ้ น ชวี ติ ประจาวนั 2.4 ดำ้ นกำรวิเครำะห์ หมายถงึ ความสามารถในการเปรียบเทียบ จาแนก อธบิ ายความแตกตา่ ง ของปัญหาต่างๆ ทีก่ าหนด และพจิ ารณาวา่ ปญั หาเหลา่ น้นั เป็นอยา่ งไร และมคี วามสมั พันธก์ ันอยา่ งไร 2.5 ด้ำนกำรสังเครำะห์ หมายถึง ความสามารถในการออกแบบ วางแผน สร้างผลงานใหม่ท่ี ค้นมาจากแนวความคิดเดมิ และการเสนอแนวความคิดใหมๆ่ 3. กำรจดั กำรเรียนรู้ท่ีเนน้ ผู้เรียนเป็นสำคญั หมายถึง การจัดกิจกรรมการเรียนการสอนท่ีสอดคลอ้ งกับ การดารงชวี ิต เหมาะสมกบั ความสามารถและความสนใจของผเู้ รียน โดยให้ผเู้ รียนมีส่วนร่วมและลงมือปฏิบัติ จริงทุกขนั้ ตอนจนเกิดการเรียนรูด้ ้วยตนเอง กรอบแนวคิดของกำรวิจัย ผลจากการศึกษาเอกสารและงานวิจัยที่เก่ียวข้อง จะพบความสัมพันธ์ว่า ส่ิงสาคัญในการจัดการเรียนรู้ โดยใช้ปญั หาเป็นหาเป็นฐาน คือ ปัญหา เพราะเป็นตัวกระต้นุ ให้ผ้เู รียนเกดิ แรงจูงใจใฝ่ แสวงหาความรู้ แล้ว แกป้ ัญหาโดยใช้การจัดการเรียนรู้โดยใช้ปญั หาเป็นฐานที่เน้นผูเ้ รียนเป็นสาคัญ มีขนั้ ตอนกิจกรรมการเรียนรู้ 7 ขั้นตอน ได้แก่ 1.ข้ันจัดเตรียมและแบง่ กลุ่ม 2.ข้นั กาหนดปัญหา 3.ข้ันทาความเข้าใจปัญหา 4.ขั้นดาเนินการ ศึกษาคน้ คว้า 5.ข้ันสังเคราะห์ความรู้ 6.ขั้นสรุปและประเมินค่าของคาตอบความรู้ และ 7.ขั้นนาเสนอและ ประเมนิ ผลงาน ทฤษฎดี ังกล่าวสามารถทาให้เกิดผลสัมฤทธ์ทิ างการเรียนวทิ ยาศาสตร์ทดี่ ขี ้ึนได้ จึงสรุปลักษณะ ความสมั พันธข์ องตวั แปรทศ่ี ึกษาดงั ภาพ ปญั หำ กำรจัดกำร กำรจดั กำร ผลสัมฤทธ์ิทำงกำร เรยี นร้โู ดยใช้ เรียนร้ทู ่ีเน้น เรยี นวิทยำศำสตร์ ปัญหำเป็ นฐำน ผูเ้ รยี นเป็ น สำคญั สมมตฐิ ำนของกำรวิจยั นักเรียนช้ันมัธยมศกึ ษาปีท่ี 6 ทไ่ี ด้รบั การเรียนด้วยการจดั การเรียนรู้โดยใชป้ ัญหาเป็นฐาน มีผลสัมฤทธ์ิ ทางการเรียนวทิ ยาศาสตร์หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน

4 บทท่ี 2 เอกสำรและงำนวิจัยทเี่ ก่ยี วข้อง กำรจัดกำรเรยี นร้โู ดยใช้ปญั หำเป็นฐำน ยรรยง สินธ์ุงาม เขียนวา่ จากรูปคาศัพท์ Problem – based Learning Problem พรอบเบลม แปลวา่ ปัญหา based เบด แปลวา่ ฐาน พ้ืนฐาน Learning เลินน่งิ แปลว่า การเรียนรู้ Problem – based Learning หรือ PBL ก็คอื วธิ ีการเรียนรูว้ ิธีหน่งึ ทมี่ ีรูปแบบการเรียนรู้ โดยการนา ปญั หามาเป็นตวั กระตุ้นใหผ้ ูเ้ รียนเกดิ การเรียนรู้ กำรเรียนรู้โดยใช้ปัญหำเป็นฐำน (Problem-based learning หรือ PBL) เป็นรูปแบบการเรียนรูท้ ี่เกดิ ข้นึ จาก แนวคิดตามทฤษฎีการเรียนรูแ้ บบสร้างสรรค์นิยม (Constructivism) โดยให้ผเู้ รียนสร้างความรู้ใหม่ จากการใช้ ปญั หาทีเ่ กิดข้นึ จริงในโลก เป็นบริบท (context) ของการเรียนรู้ เพื่อให้ผเู้ รียนเกดิ ทกั ษะในการคดิ วเิ คราะห์และ คิดแก้ปญั หา รวมทง้ั ได้ความรู้ตามศาสตร์ในสาขาวิชาทตี่ นศึกษา ไปพร้อมกนั ด้วย การเรียนรูโ้ ดยใชป้ ญั หา เป็นฐานจึงเป็นผลมาจากกระบวนการทางานท่ีต้องอาศัยความเขา้ ใจและการแกไ้ ขปัญหาเป็นหลัก ถ้ามองในแงข่ อง ยุทธศาสตร์การสอน PBL เป็นเทคนิคการสอน ทสี่ ง่ เสริมใหผ้ ู้เรียนไดล้ งมอื ปฏบิ ัติ ด้วยตนเอง เผชิญหนา้ กบั ปญั หาด้วยตนเอง จะทาใหผ้ ูเ้ รียนไดฝ้ ึกทักษะในการคิดหลายรูปแบบ เช่น การคิด วจิ ารณญาณ คิดวิเคราะห์ การคดิ สังเคราะห์ การคิดสร้างสรรค์ ฯลฯ ลกั ษณะทว่ั ไปของ กำรเรยี นร้แู บบ PBL รูปแบบของการจัดการเรียนรู้แบบ การใช้ปัญหาเป็นฐาน หรือ PBL พอจะกล่าวได้ดงั น้ี 1. ใหผ้ ้เู รียนเป็นศูนย์กลางของการเรียนรู้อย่างแท้จริง (student-centered learning) 2. จดั กลมุ่ ผ้เู รียนให้มขี นาดเลก็ (ประมาณ 3 – 5 คน) 3. ครูทาหน้าที่ เป็นผอู้ านวยความสะดวก (facilitator) หรือผู้ใหค้ าแนะนา (guide) 4.ใช้ปญั หาเป็นตัวกระตนุ้ (สิง่ เรา้ )ให้เกดิ การเรียนรู้ 5. ลกั ษญะของปญั หาท่นี ามาใช้ ตอ้ งมลี กั ษณะคลุมเครือ ไมช่ ัดเจน มวี ธิ ีแก้ไขปญั หาได้อยา่ ง หลากหลาย อาจมีคาตอบไดห้ ลายคาตอบ 6. ผู้เรียนเป็นผู้แกป้ ัญหาโดยการแสวงหาข้อมลู ใหม่ ๆ ดว้ ยตนเอง (self-directed learning) 7.การประเมนิ ผล ใชก้ ารประเมินผลจากสถานการณ์จริง(authentic assessment) ดูจากความสามารถ ในการปฏบิ ตั ิ ของผู้เรียน ผลสัมฤทธท์ิ ำงกำรเรียนวิทยำศำสตร์ ชลอ จีนตงุ เขียนวา่ ผลสัมฤทธิ์ทำงกำรเรยี นกลมุ่ สำระกำรเรยี นร้วู ทิ ยำศำสตร์หมายถึง การวดั ผลและ ประเมนิ ผลการเรียนวิชาวิทยาศาสตร์จากพฤติกรรมการเรียนทีพ่ ึงประสงคใ์ นวิชาวิทยาศาสตรต์ ามแนวคิดของ บลมู มี 5 อยา่ งดงั น้ี 1. ความรูค้ วามเข้าใจ 2. การสืบเสาะหาความรู้ทางวิทยาศาสตร์

5 3. การนาความรูแ้ ละวิธกี ารทางวิทยาศาสตร์ไปใช้ 4. เจตคติและความสนใจ 5. ทักษะปฏบิ ตั ิการ ผลสมั ฤทธ์ทิ ำงกำรเรียนกลุ่มสำระกำรเรียนร้วู ิทยำศำสตร์หมายถึง การวัดพฤตกิ รรมการเรียนรู้ดา้ น สติปญั ญาหรือความรู้ความคดิ ตามแนวของ Klopfer แห่งมหาวทิ ยาลยั พติ สเ์ บอร์ก (University of Pittsburgh) เป็น 4 ลาดับขน้ั ของพฤติกรรมคือ 1. ความรู้ – ความจา (Knowledge) 2. ความเขา้ ใจ (Comprehension) 3. ทกั ษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร(์ Science Skill Process) 4. การนาความรู้และกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ไปใช้ (Application) (ภพ เลาหไพบลู ย์. 2542 : 239) แนวทำงกำรวัดผลและประเมนิ ผลกำรเรียนรู้ การวัดผลและประเมินผลการเรียนรูจ้ ะบรรลผุ ลตามเป้าหมายของการเรียนการสอนทว่ี างไวไ้ ดค้ วรมี แนวทางดงั น้ี 1. ต้องวดั และประเมนิ ผลท้ังความรูค้ วามคิด ความสามารถ ทกั ษะและกระบวนการ เจตคติ คณุ ธรรมจริยธรรม คา่ นิยมในวิทยาศาสตร์ รวมทั้งโอกาสในการเรียนรูข้ องผเู้ รียน 2. วธิ กี ารวัดและประเมินผลตอ้ งสอดคล้องกับมาตรฐานการเรียนรู้ท่ีกาหนดไว้ 3. ตอ้ งเก็บขอ้ มลู ท่ไี ด้จากการวัดและประเมนิ ผลอยา่ งตรงไปตรงมา และต้องประเมนิ ผลภายใตข้ อ้ มูลทมี่ ีอยู่ 4. ผลการวัดและประเมนิ ผลการเรียนรูข้ องผูเ้ รียนตอ้ งนาไปสู่การแปลผลและลงข้อสรุปท่สี มเหตุ สมผล 5. การวัดและประเมินผลตอ้ งมคี วามเทยี่ งตรงและเป็นธรรม ท้ังในดา้ นของวิธีการวัด โอกาสของการ ประเมิน ดงั น้นั ผลสมั ฤทธ์ทิ างการเรียนกล่มุ สาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ เป็นคะแนนจากผลการเรียนรู้ของ นกั เรียนทีใ่ ช้ความสามารถทางสตปิ ัญญา ด้านความรู้ ความจา ความเขา้ ใจ การนาไปใช้และทักษะกระบวนการ ทางวิทยาศาสตร์ ในการวจิ ัยคร้งั น้ผี ้วู จิ ัยไดน้ าเอาลักษณะการต้ังคาถามตามระดับขัน้ ของบลมู มาเป็นแนวทางใน การเขียนคาถามของแบบวัดผลสมั ฤทธ์ทิ างการเรียนของนักเรียนเพราะ ลกั ษณะการตง้ั คาถามตามระดับข้ันขอ งบลมู เป็นการถามทจี่ ะทาใหน้ ักเรียนไดฝ้ ึกความสามารถในการคิดอยา่ งมีระดับข้ันตอน ซ่งึ เป็นคณุ ลักษณะด้าน พุทธิสยั (Cognitive Domain) และมีระดับดงั น้คี อื ความจา ความเขา้ ใจ การวิเคราะห์ การสงั เคราะห์ และการ ประเมินคา่ ประกอบกบั ลักษณะคาถามเหลา่ น้ยี งั สามารถพัฒนาความคดิ ของนกั เรียน ในการจดั การเรียนรูก้ ลุ่ม สาระการเรียนรู้วทิ ยาศาสตร์ ได้อีกด้วย

6 บทที่ 3 วธิ ีดำเนนิ กำรวจิ ัย กำรกำหนดประชำกรและกำรเลอื กกลมุ่ ตวั อย่ำง กลุ่มตวั อยำ่ ง กลุ่มเปา้ หมายทใี่ ชใ้ นการวจิ ยั คร้งั น้ไี ด้แก่ นกั เรียนช้นั มัธยมศึกษาปีท่ี 6 โรงเรียนมหาวชิราวุธ จงั หวัด สงขลา ภาคเรียนท่ี 2 ปีการศกึ ษา 2563 ท่ีได้จากการสมุ่ แบบกล่มุ ( Cluster Random Sampling ) โดยการจบั ฉลากจานวน 2 ห้องเรียน มจี านวนนักเรียน 30 คน ตัวแปรท่ีศกึ ษำ ตัวแปรอสิ ระ ไดแ้ ก่ การจัดการเรียนรูโ้ ดยใชป้ ัญหาเป็นฐาน ตวั แปรตาม ไดแ้ ก่ ผลสัมฤทธ์ทิ างการเรียนวทิ ยาศาสตร์ เนือ้ หำทใ่ี ช้ในกำรวิจัย เนื้อหาที่ใช้ในการวิจยั เป็นรายวิชาวทิ ยศาสตร์กายภาพ 1 เร่ืองพลังงาน ตามหลักสตู รการศกึ ษาขัน้ พนื้ ฐาน พทุ ธศกั ราช 2561 ระยะเวลำที่ใช้ในกำรวจิ ยั ระยะเวลาท่ีใช้ในการวจิ ัยคร้งั น้ี ผวู้ ิจัยใชเ้ วลาท้ังสิ้น 20 คาบ คาบละ 50 นาที สัปดาหล์ ะ 2 คาบ เป็น เวลา 10 สปั ดาห์ เครอื่ งมอื ท่ใี ช้ในกำรวิจยั 1.แผนการจัดการเรียนรูโ้ ดยใช้ปญั หาเป็นฐาน รายวิชาวทิ ยศาสตร์กายภาพ 1 เร่ืองพลงั งาน 2.แบบทดสอบวดั ผลสมั ฤทธ์ทิ างการเรียนวิทยาศาสตร์ ขั้นตอนในกำรสร้ำงเครื่องมอื 1.แผนกำรจดั กำรเรยี นร้โู ดยใช้ปญั หำเป็นฐำน 1.1 ศึกษาหลักสูตรการศึกษาข้นั พ้ืนฐาน พทุ ธศักราช 2544 จดุ มุ่งหมายของหลักสูตร กลุ่ม สาระการเรี ยนรู้วิทยาศาสตร์ มาตรฐานการเรี ยนรู้ช่วงช้ัน ผลการเรียน รู้ท่ีคาดห วัง คาอธิบายรายวิช า จดุ ประสงคร์ ายวิชา และหนว่ ยการเรียนรู้ ของระดับช่วงช้ันที่ 4 1.2 ศึกษารายละเอียดเน้ือหาต่างๆ ของหน่วยการเ รียนรู้ รายวิชาวิทยศาสตร์กายภาพ 1 เร่ือง พลังงาน เพอ่ื นาไปสร้างแผนการจดั การเรียนรู้ 1.3 ศึกษาการสร้างแผนการจัดการเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐาน จากเอกสารและงานวิจัยที่ เก่ียวขอ้ ง 1.4 สร้างแผนการจัดการเรียนรู้โดยใชป้ ัญหาเป็นฐาน

7 2.แบบทดสอบวดั ผลสมั ฤทธท์ิ ำงกำรเรียนวิทยำศำสตร์ 2.1 ศึกษาผลการเรียนรูท้ ี่คาดหวงั และสาระวิชาวทิ ยาศาสตร์จากหลักสูตรกลมุ่ สาระการเรียนรู้ วทิ ยาศาสตร์ ช่วงชนั้ ท่ี 4 ระดบั ช้ันมัธยมศึกษาปี ที่ 6 เพ่อื วเิ คราะหเ์ น้ือหาสาระและวัดความสามารถด้านต่างๆ 5 ด้านคือ ด้านความรู้-ความจา ดา้ นความเข้าใจ ด้านการนาไปใช้ ด้านการวเิ คราะห์ และด้านการสงั เคราะห์ 2.2 ศึกษาเอกสารท่ีเกี่ยวกับการสร้างแบบทดสอบ การเขียนข้อสอบวิชาวิทยาศาสตร์และการ วัดผลประเมินผล 2.3 สร้างแบบทดสอบวดั ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนวิทยาศาสตร์ เรื่องสารและสมบัติของสาร หน่วยการเรียนรู้เรื่ องปิ โตรเลียมและปฏกิ ิริยาเคมี จานวนข้อสอบหน่วยการเรียน รูล้ ะ 10 ข้อ รวมทั้งสิน้ 20 ข้อ ซ่งึ จะเป็นแบบทดสอบชนิดเลอื กตอบ 4 ตวั เลอื ก แต่ละขอ้ จะมีตัวเลือกท่ีเป็นคาตอบทีถ่ ูกท่ีสุดเพียงคาตอบ เดียว โดยมีเกณฑ์การให้คะแนนในแต่ละข้อ คอื ถ้าตอบถูกให้ 1 คะแนน ถา้ ตอบผดิ หรือตอบเกิน 1 คาตอบ หรือไมต่ อบให้ 0 คะแนน โดยสร้างแบบทดสอบให้ตรงตามผลการเรียนรู้ทค่ี าดหวังและครอบคลุมสาระการ เรียนรู้ กำรเก็บรวบรวมขอ้ มลู ในการวจิ ัยคร้งั น้ี ผวู้ จิ ัยจะดาเนินการเกบ็ ข้อมูลตามลาดับดงั น้ี 1. ทาการวิจัยกับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปี ที่ 6 โรงเรียนมหาวชริ าวุธ จงั หวดั สงขลา ภาคเรียนที่ 2 ปี การศึกษา 2563 ท่ีได้จากการสุ่มแบบกลุ่ม ( Cluster Random Sampling ) โดยการจับฉลากจานวน 2 ห้องเรียน มีจานวนนักเรียน 30 คน ซ่งึ เป็นกล่มุ ทดลอง 2. วางแผนและเตรียมการจัดการเรียนการสอน โดยแนะนาวธิ ีการเรียน และบทบาทของนักเรียนตาม ข้ันตอนการจัดการเรียนรูโ้ ดยใช้ปัญหาเป็นฐาน 3. ทาการทดสอบกอ่ นเรียน ( Pretest ) กับกลุ่มทดลอง โดยใชแ้ บบทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน รายวิชาวิทยศาสตรก์ ายภาพ 1 เร่ืองพลังงาน จานวนขอ้ สอบหน่วยการเรียนรู้ละ 10 ขอ้ รวมท้งั ส้ิน 20 ข้อ แล้วบนั ทกึ ผลการสอบไวเ้ ป็นคะแนนทดสอบก่อนเรียนสาหรับวิเคราะห์ขอ้ มูลต่อไป 4. ดาเนนิ การจัดกจิ กรรมการเรียนการสอนโดยใช้แผนการจัดการเรียนรูโ้ ดยใช้ปัญหาเป็นฐาน รายวิชา วิทยศาสตรก์ ายภาพ 1 เรื่องพลังงาน ในระยะเวลาที่กาหนด 5. เมื่อสิ้นสุดการสอนตามกาหนดแลว้ ทาการทดสอบหลงั เรียน ( Posttest ) กับกลุ่มทดลอง โดยใช้ แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนวิทยาศาสตร์ รายวิชาวิทยศาสตร์กายภาพ 1 เรื่องพลังงาน จานวน ข้อสอบหน่วยการเรียนรู้ละ 10 ข้อ รวมท้งั สน้ิ 20 ข้อ (ขอ้ สอบเดิม) 6. ตรวจผลการทดสอบแล้วนาคะแนนที่ได้มาวิเคราะห์ โดยวธิ ีการทางสถิติ เพ่ือทดสอบสมมติฐาน แลว้ นาข้อมลู ทไ่ี ด้จากการทดลองไปวิเคราะห์

8 กำรวิเครำะห์ข้อมลู การศกึ ษาคร้งั น้ีผู้วิจยั ดาเนินการวิเคราะห์ข้อมูล ดงั น้ี 1. การวิเคราะห์ขอ้ มลู พ้ืนฐาน โดยการหา ค่าเฉลี่ย และคา่ เบีย่ งเบนมาตรฐาน (S.D) 2. การวเิ คราะห์เพื่อเปรียบเทยี บผลสมั ฤทธ์ิทางการเรียนวิทยาศาสตร์ โดยใชส้ ตู ร t–test (Independent Sample) 1. สถติ ทิ ่ีใช้ในการวเิ คราะหข์ อ้ มลู พ้ืนฐาน 1.1 หาคา่ เฉลยี่ คานวณจากสตู ร (Ferguson. 1971:45) = เมื่อ แทน คะแนนเฉล่ยี ของกลมุ่ ทดลอง ∑X แทน ผลรวมของคะแนนท้งั หมด N แทน จานวนนักเรียนในกลุ่มทดลอง 1.2 หาคา่ ความเบย่ี งเบนมาตรฐานของคะแนน S.D. คานวณจากสูตร (พวงรัตน์ ทวรี ัตน.์ 2540:143) เมอ่ื S.D. แทน ค่าความเบี่ยงเบนมาตรฐานของคะแนน แทน ผลรวมของคะแนนทั้งหมด แทน ผลรวมของคะแนนแต่ละตวั ยกกาลงั สอง n แทน จานวนนกั เรียนในกล่มุ ทดลอง 2. สถติ ิที่ใชใ้ นการวิเคราะหเ์ พอื่ เปรียบเทียบผลสัมฤทธ์ทิ างการเรียนวทิ ยาศาสตร์ 2.1. การวเิ คราะหเ์ พ่ือเปรียบเทยี บผลการเรียนรู้ของกล่มุ ตวั อยา่ ง ดว้ ยการนาคะแนนจากแบบทดสอบวัด ผลสัมฤทธ์ทิ างการเรียนวิทยาศาสตรก์ ่อนเรียนและหลังเรียนมาคานวณหาความแตกต่างของคะแนน แล้วนาไป วเิ คราะหโ์ ดยใชส้ ตู ร t–test (Independent Sample) โดยตั้งเกณฑ์นัยสาคัญทางสถติ ิท่ีระดับ .05 โดยใชส้ ูตร (ล้วน สายยศ และ อังคณา สายยศ. 2524:220) เมื่อ t = คา่ สถิติที่ใช้ตรวจสอบความแตกต่างของคะแนนนกั เรียนก่อนเรียนและหลังเรียนที่เรียนด้วยการ จดั การเรียนรูโ้ ดยใชป้ ัญหาเป็นฐาน D = ความแตกต่างระหวา่ งคะแนนแตล่ ะคู่ N = จานวนคู่

9 บทที่ 4 ผลกำรวเิ ครำะห์ขอ้ มูล ผลกำรวิเครำะห์ขอ้ มลู ผลการวิเคราะหข์ ้อมูลของการทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนวิทยาศาสตร์ รายวิชาเคมีพน้ื ฐาน เร่ือง สารและสมบตั ิของสาร ท่ีเรียนด้วยการจัดการเรียนรู้โดยใชป้ ัญหาเป็นฐาน ของนักเรียนช้ันมัธยมศกึ ษาปีที่ 6 โรงเรียนมหาวชริ าวุธ จงั หวัดสงขลา ภาคเรียนท่ี 2 ปีการศึกษา 2563 จานวนนักเรียนกลุ่มทดลอง 30 คน มี ดังน้ี ในการวิเคราะห์ข้อมูลท่ีได้จากการวิจัย และการแปรความ หมายผลการวิเคราะห์ข้อมูลผู้วจิ ัยได้ใช้ สัญลกั ษณใ์ นการวิเคราะหด์ ังน้ี แทน คะแนนเฉลยี่ ของกลมุ่ ทดลอง S.D. แทน คา่ ความเบีย่ งเบนมาตรฐานของคะแนน N แทน จานวนนกั เรียนในกลุ่มทดลอง t แทน คา่ สถิตทิ ใี่ ช้ในการพิจารณา  แทน ความมีนยั สาคญั ทางสถติ ทิ รี่ ะดับ .00 1.1 การทดสอบวดั ผลสมั ฤทธ์ทิ างการเรียนวิทยาศาสตร์ รายวิชาวิทยศาสตรก์ ายภาพ 1 เร่ืองพลังงาน ตารางท่ี 1 คา่ เฉลี่ย( ) คา่ เบยี่ งเบนมาตรฐาน(S.D.) และค่าที (t) ของการทดสอบวดั ผลสมั ฤทธ์ิทางการเรียน วทิ ยาศาสตร์ รายวชิ าวิทยศาสตร์กายภาพ 1 เรื่องพลังงาน กลุ่มตัวอยำ่ ง N คะแนนเฉล่ีย ( ) ส่วนเบี่ยงเบนมำตรฐำน ส่วนเบี่ยงเบนมำตรฐำน ค่ำที (t) (S.D.) (S.D.) 19.13 กอ่ นการเรียน 45 4.24 0.74 1.08 หลงั การเรียน 45 7.33 0.88  มนี ัยสาคญั ทางสถิติทรี่ ะดบั .00 จากตารางท่ี 1 เห็นได้วา่ นักเรียนชนั้ มธั ยมศึกษาปีที่ 6 จานวน 30 คน ทาแบบทดสอบก่อนเรียนและ หลงั เรียนจานวน 10 ข้อ โดยมีคะแนนเฉลี่ยสอบกอ่ นเรียนมคี ่าเท่ากับ 4.24 คะแนนเฉลย่ี สอบหลังเรียนมคี า่ เทา่ กับ 7.33 และมผี ลสัมฤทธ์ทิ างการเรียนวิทยาศาตร์ ทไี่ ด้รบั การเรียนดว้ ยการจัดการเรียนรู้โดยใช้ปญั หาเป็นฐาน หลัง เรียนสูงกวา่ กอ่ นเรียนอยา่ งมนี ัยสาคัญทางสถิตทิ ่รี ะดบั .00 แสดงว่านักเรียนท่ไี ด้รบั การเรียนด้วยการจัดการเรียนรู้ โดยใชป้ ัญหาเป็นฐานมผี ลสัมฤทธ์ิทางการเรียนสงู ข้นึ 1.2 การทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนวิทยาศาสตร์ รายวิชาวทิ ยศาสตร์กายภาพ 1 เรื่องพลังงาน

10 ตารางที่ 2 คา่ เฉลี่ย( ) คา่ เบย่ี งเบนมาตรฐาน(S.D.) และคา่ ที (t) ของการทดสอบวดั ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน วทิ ยาศาสตร์ รายวชิ าวทิ ยศาสตร์กายภาพ 1 เรื่องพลังงาน กลุ่มตวั อย่ำง N คะแนนเฉล่ีย ( ) ส่วนเบีย่ งเบนมำตรฐำน ส่วนเบีย่ งเบนมำตรฐำน คำ่ ที (t) (S.D.) (S.D.) 14.84 กอ่ นการเรียน 45 4.27 0.89 1.53 หลงั การเรียน 45 7.64 1.32  มีนัยสาคญั ทางสถิติที่ระดบั .00 จากตารางท่ี 1 เห็นได้วา่ นักเรียนชัน้ มัธยมศึกษาปีท่ี 6 จานวน 30 คน ทาแบบทดสอบก่อนเรียนและ หลงั เรียนจานวน 10 ข้อ โดยมคี ะแนนเฉลี่ยสอบก่อนเรียนมีคา่ เท่ากับ 4.27 คะแนนเฉลย่ี สอบหลงั เรียนมีคา่ เทา่ กับ 7.64 และมผี ลสัมฤทธ์ทิ างการเรียนวิทยาศาตร์ ท่ไี ดร้ บั การเรียนด้วยการจัดการเรียนรู้โดยใชป้ ัญหาเป็นฐาน หลงั เรียนสูงกว่าก่อนเรียนอยา่ งมีนัยสาคญั ทางสถิติทีร่ ะดบั .00 แสดงว่านักเรียนทไ่ี ด้รบั การเรียนดว้ ยการจดั การเรียนรู้ โดยใชป้ ญั หาเป็นฐานมีผลสมั ฤทธ์ทิ างการเรียนสูงข้นึ

11 บทท่ี 5 สรปุ ผล อภิปรำย และขอ้ เสนอแนะ สรุปผลกำรวจิ ยั การวจิ ัยคร้ังน้ี ได้ผลการวิจยั เป็นไปตามสมมติฐานท่ีตั้งไว้ คือ นักเรียนชน้ั มัธยมศึกษาปี ท่ี 6 โรงเรียน มหาวชริ าวุธ จงั หวัดสงขลา ภาคเรียนท่ี 2 ปี การศกึ ษา 2563 จานวนนักเรียนกลุ่มทดลอง 30 คน ทไี่ ด้รับการ เรียนดว้ ยการจัดการเรียนรู้โดยใชป้ ัญหาเป็นฐาน มีผลสมั ฤทธ์ิทางการเรียนวิทยาศาสตร์หลังเรียนสงู กว่าก่อน เรียน ดงั น้ี 1. ผลสมั ฤทธ์ทิ างการเรียนวิทยาศาสตร์ รายวิชาวิทยศาสตรก์ ายภาพ 1 เร่ืองพลังงาน มผี ลสัมฤทธ์หิ ลงั เรียนสูงกวา่ กอ่ นเรียนอยา่ งมีนัยสาคัญทางสถติ ิที่ระดบั .00 2. ผลสมั ฤทธ์ทิ างการเรียนวทิ ยาศาสตร์ รายวชิ าวทิ ยศาสตรก์ ายภาพ 1 เร่ืองพลงั งาน มีผลสัมฤทธ์หิ ลัง เรียนสงู กว่ากอ่ นเรียนอยา่ งมนี ัยสาคญั ทางสถิติที่ระดบั .00 อภิปรำยผลกำรวิจัย จากการวิเคราะหข์ อ้ มลู ทีส่ รุปข้างต้น อภิปรายผลไดด้ งั น้ี นักเรียนช้ันมัธยมศกึ ษาปีท่ี 6 ที่เรียนด้วยการจัดการเรียนรู้โดยใชป้ ัญหาเป็นฐาน รายวิชาวทิ ยศาสตร์ กายภาพ 1 เร่ืองพลังงาน มีผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนวิทยาศาสตร์หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอยา่ งมนี ัยสาคัญทาง สถิติทีร่ ะดับ .00 ทงั้ น้เี น่อื งจากกระบวนการในการเรียนรู้วิธีน้ีจะเร่ิมต้นจากปัญหาท่ีเกิดข้นึ โดยที่ปญั หาน้ันจะ เป็นตัวกระต้นุ ใหผ้ ู้เรียนเกิดความอยากรูแ้ ละเสาะแสวงหาความรูเ้ พื่อค้นพบคาตอบหรือเพ่ือใหเ้ กิดความเข้าใจใน รายละเอียดของปัญหาน้ันดว้ ยตนเอง จดั ว่าเป็นกระบวนการเรียนรูท้ เ่ี น้นผเู้ รียนเป็นสาคญั ซ่งึ ผลสัมฤทธ์ทิ างการ รียนวิทยาศาสตร์ดา้ นการวิเคราะห์จะเกิดผลสัมฤทธ์สิ ูงสดุ และการเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐานสามารถนาไปใช้ ในการแก้ปัญหาต่างๆ ใน ชีวิตประจาวันได้ เช่น สถานการณ์น้ามันแพง การเกิดฝนกรด เป็นต้น ดังน้ัน ผลการวิจัยการจดั การเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐาน จะชว่ ยให้นักเรียนเกิดการคดิ วิเคราะห์และสามารถแกป้ ัญหาท่ี เกิดข้นึ ได้ ซ่งึ เป็นไปตมสมมตฐิ านทต่ี ง้ั ไว้ ข้อเสนอแนะ 1. ในการวิจัยคร้งั น้เี แผนการจัดการเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐานจะเป็นการทากจิ กรรมแบบกลุ่ม ซ่งึ การคิด วิเคราะห์ในการแก้ปัญหาอาจจะไม่ได้ทาทุกคน โดยผลสมั ฤทธ์ิทางการเรียนวิทยาศาสตรบ์ างคนไมไ่ ดเ้ ป็นไป ตามสมมตฐิ าน จึงควรสร้างกจิ กรรมให้มีการคิดวเิ คราะหเ์ ป็นรายบคุ คลในการศกึ ษาคร้งั ตอ่ ไป 2. ควรนาวิธีการสอนแบบอน่ื ๆ เช่น การสอนโดยใช้บทบาทสมมติ การสอนโดยใช้ เกมส์ การใช้สไลด์ ภาพยนตร์ การสอนแบร่วมมือ และอื่นๆ มาควบคู่กับการสอนโดยใชป้ ัญหาเป็นฐาน เพื่อศึกษาวา่ จะสามารถเพ่ิม ผลสมั ฤทธ์ิของนักเรียนไดห้ รือไมเ่ พียงใด

บรรณานุกรม ทวิ าวรรณ จิตตะภาค.(2548).การศกึ ษาผลสัมฤทธทิ์ างการเรียนและทกั ษะการสื่อสารด้วยการจัดการเรียนรู้ วทิ ยาศาสตร์แบบใช้ปัญหาเป็นฐาน.สารนิพนธ์ กศ.ม(การมัธยมศึกษา).กรุงเทพฯ : บณั ฑิตวทิ ยาลัย มหาวทิ ยาลัยศรีนครินทรวโิ รฒ.ถ่ายเอกสาร. นันทชยั ทองแปน้ และ กาญจนา รัตนโชต.ิ (2543,พฤศจิกายน).“การสอนแบบ Problem Base Learning” สานปฏิรูป.3(32) : 35 – 37. นันทนชั จิระศกึ ษา.(2544).การศึกษาผลสมั ฤทธิท์ างการเรียนวิชาเคมี เร่ืองสารและการเปลี่ยนแปลง โดย ใช้การสอนแบบบูรณาการตามแบบวิทยาศาสตร์ -เทคโนโลยี-สงั คม ของผู้เรียนช้นั มธั ยมศกึ ษาปีท่ี 4. ปริญญานิพนธ์ กศ.ม(วิทยาศาสตร์).กรุงเทพฯ : บณั ฑิตวทิ ยาลยั มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ. นิรมล ศตวฒุ .ิ (2547,มถิ นุ ายน). “การเรียนร้จู ากปัญหา(Problem-Based Learning) ”วารสารวงการครู.1(6) : 70 – 72. พวงรตั น์ ทวรี ัตน์. (2538).วิธีการวิจัยทางพฤติกรรมศาสตร์และสังคมศึกษา. กรุงเทพฯ : สานักงานทดสอบ ทางการศกึ ษาและจิตวทิ ยา บณั ฑติ วิทยาลยั มหาวิทยาลยั ศรีนครินทรวิโรฒ.ถ่ายเอกสาร. พิจิตร อุตตะโปน.(2550).ชุดการเรียนการสอนโดยใช้ปัญหาเป็นฐาน เร่ืองการวเิ คราะห์ขอ้ มูลเบ้ืองตน้ ระดับชนั้ มธั ยมศึกษาปีที่ 3. ปริญญานิพนธ์ กศ.ม(คณติ ศาสตร)์ .กรุงเทพฯ : บณั ฑิตวทิ ยาลัย มหาวิทยาลยั ศรีนครินทรวิโรฒ. มัณฑรา ธรรมบุศย.์ (2545,กมุ ภาพันธ์). “การพฒั นาคณุ ภาพการเรียนรู้ โดยใช้ PBL(Problem-Based Learning)”วารสารวิชาการ.5(2) : 11 – 17. เมธาวี พมิ วนั .(2549).ชดุ การเรียนการสอนโดยใช้ปญั หาเป็นฐาน เรื่องพนื้ ท่ผี วิ ระดบั ช้ันมัธยมศึกษาปีที่ 3. ปริญญานพิ นธ์ กศ.ม(คณิตศาสตร์).กรุงเทพฯ : บัณฑิตวทิ ยาลยั มหาวทิ ยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ.ถ่าย เอกสาร. รงั สรรค์ ทองสกุ นอก.(2547).ชุดการเรียนการสอนท่ีใช้ปัญหาเป็นฐานในการเรียนรู้ (Problem-Based Learning). เรื่องทฤษฎจี านวนเบื้องต้น ระดับชั้นมัธยมศกึ ษาปีท่ี 4. ปริญญานิพนธ์ กศ.ม(คณิตศาสตร์). กรุงเทพฯ : บณั ฑติ วิทยาลยั มหาวทิ ยาลยั ศรีนครินทรวโิ รฒ.ถ่ายเอกสาร. ลว้ น สายยศ และ องั คณา สายยศ. (2536).เทคนคิ การวจิ ยั ทางการศึกษา. พมิ พค์ ร้งั ที่ 3. กรุงเทพฯ : ภาค วิชาวดั ผลและการวิจยั ทางการศึกษา คณะศกึ ษาศาสตร์ บัณฑติ วิทยาลยั มหาวทิ ยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ.ถ่ายเอกสาร. สถาบันส่งเสริมการสอนวทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี.(2526).ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์.กรุงเทพฯ : สถาบันส่งเสริมการสอนวทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลย.ี สุปรียา วงษ์ตระหง่าน.(2546,มกราคม – มิถนุ ายน). “การจดั การเรียนการสอนท่ีใช้ปัญหาเป็นหลัก (Problem-Based Learning)”ข่าวสารกองบริการการศึกษา.14 (101) : 1 – 4.


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook