กลุ่มชาติพนั ธุ์ในประเทศจีน (Ethnic groups in China)China)
กลุ่มชาติพนั ธุ์เม้ียว หรือชาวเขาเผ่ามง้ แมว้ ในประเทศไทย ชาวเม้ียวในประเทศจีนมีประชากรท้งั หมด 8,940,116 คน เกือบคร่ึงหน่ึงอาศยั อยใู่ นมณฑลกุย้ โจวและที่เหลือในมณฑลหยุนหนาน หูหนานเสฉวน กวางสี หูเป่ ยและไห่หนาน และยงั มีชาวเม้ียวหรือแมว้ อีกกว่าหน่ึงลา้ นหา้ แสนคนในประเทศไทยลาว เวียดนาม และผลจากสงครามทาํ ใหม้ ีชุมชนเม้ียวกลุ่มใหญ่ในสหรัฐอเมริกา ฝรั่งเศสและออสเตรเลียชาวเม้ียวพดู ภาษาในตระกลู เม้ียว เยา้ ชาวเม้ียวมีความโดดเด่นที่เคร่ืองแต่งกายและแคนอนั เป็นเครื่องดนตรีประจาํ เผา่
แผนทแ่ี สดงการอพยพของ ชาวม้งคร้ังที่ 1 อพยพออกจากบริเวณทางใตข้ องสองฝั่งแม่น้าํ เหลืองหรือแม่น้าํ ฮวงโห (Southern Poition of the Yellow River) ราวๆ 5,000 ปี ท่ีผา่ นมา มง้ ไดอ้ าศยั อยู่ 2 ฝั่งทางตอนใตข้ องแม่น้าํ เหลือง ในขณะน้นั มง้ มีชื่อเรียกวา่ จู่ลี่ (Tyuj Liv)ชนกลุ่มจู่ลี่น้ีเป็นชนกลุ่มแรกที่รู้จกั ใชท้ องสัมฤทธ์ิ(Brouze) รู้จกั ปลูกขา้ ว และการเล้ียงปลาในนาขา้ ว ประชากรทุกคนมีความผาสุกภายใตก้ ารปกครองของกษตั ริย์ “ชิย”ู (Chiyou) ในขณะเดียวกนั ไดม้ ีชนกลุ่มหน่ึงคือ “ชาวฮน่ั ” (Huaj) ไดอ้ พยพมาจากทางทิศตะวนั ตกเขา้ มาอยใู่ นบริเวณของชนชาติจู่ล่ี ผูน้ าํ ของชนกลุ่มฮนั่ คือ ฮนั่ หยา่ (Hran Yuan) ท้งั สองกลุ่มน้ีอยู่ดว้ ยกนั ไม่นานเกิดความขดั แยง้ กนั จนถึงข้นั สู้รบกนั ผลสุดทา้ ยชนชาติจู่ล่ีพ่ายแพแ้ ก่ชนชาติฮนั่ ท้งั น้ีเพราะชนชาติฮนั่ มีประชากรเยอะกวา่ ในขณะที่ชนชาติจู่ล่ีเป็นเกษตรกร ชาวไร่ ชาวนา จึงไดถ้ อยร่นลงมาทางใตใ้ กลก้ บั แม่น้าํ แยงซี (TangrseRiver)
คร้ังที่ 2 อพยพออกจากบริเวณปกครองมง้ (San Miao) หลงั จากที่ชาวจู่ล่ีไดอ้ พยพลงมาทางตอนใต้ ไดม้ ีการรวมกบั ชนพ้ืนเมือง “ซานเมียว” (San Miao) ข้ึนชาวมง้ และชนพ้ืนเมืองมีความรักใคร่อย่างแน่นแฟ้น ชาวมง้ จึงเรียกกลุ่มน้ีว่า “จีน”(Suay) แต่กลุ่มฮน่ั ยงั คงติดตามมารุกรานคอยทาํ ร้ายฆ่าฟันชาวมง้ หรือจู่ลี่อยูเ่ รื่อยๆ ชาวมง้ จึงไดแ้ ตกออกเป็ น 3 กลุ่ม หนีลงทางใต้ ในปัจจุบนั น้ีคือ มณฑลกวางสี (Guang – ti) มณฑลกวางโจและมณฑลยนู าน (Yunnan) อีกส่วนหน่ึงหนีร่นลงมาทางตะวนั ตกมุ่งหนา้ ไปยงั ซานเหวย (San Wei) ซ่ึงกลบั กบั ประเทศมองโกเลีย และตอนหลงั กไ็ ดอ้ พยพลงมาอยู่ในมณฑลยนู าน (Yunnan)คร้ังท่ี 3 อพยพออกจากการปกครองของกษตั ริยจ์ ู (Chou Kingdom/Chou State) ประมาณ 1,000 ปี ก่อนคริสตกาลประชาชนได้แก่กลุ่มชน 7 กลุ่ม ซ่ึงแยกตัวเองออกเป็ นประเทศปกครองและในจาํ นวน 1 ใน 7 ประเทศเหล่าน้นั มีมง้ เป็นประเทศหน่ึง มีกษตั ริยช์ ่ือว่า “จู” ซ่ึงมีอยสู่ องคนในตระกลู ซงั หรือแซ่โซง้ คนท่ีหน่ึงช่ือ “ชงย”่ี คนที่สองชื่อ “ซงจี” ปี ค.ศ. 221 ไดม้ ีชนกลุ่มชิน (Chin) ไดเ้ ขา้ มาต่อสู้แยง่ ชิงประเทศของกษตั ริยจ์ ูจนพา่ ยแพ้ ชาวมง้ ไดแ้ ตกระส่าํ ระสายไปตามท่ีต่างๆ มีกลุ่มหน่ึงลุกข้ึนต่อสู้ อีกกลุ่มหน่ึงถอยร่นลงไปอยกู่ บั กลุ่มมง้ ในมณฑลกวางโจ เสฉวน และมณฑลยนู าน ต่อมาในปี ค.ศ. 1640 – 1919ไดม้ ีชาวมง้ กลุ่มหน่ึงอพยพลงมาอย่ใู นกลุ่มประเทศอินโดจีน(Indochina) ทางตอนใตข้ องจีนซ่ึงก็ไดแ้ ก่กลุ่มประเทศเวยี ดนาม ลาว และไทย
คร้ังที่ 4 ค.ศ. 1970 –1975 การอพยพออกจากประเทศลาว ระบบการปกครองคอมมิวนิสต์ไดแ้ ผ่ขยายสู่กลุ่มประเทศอินโดจีน ทาํ ให้กลุ่มมง้ ในลาวตอ้ งแตกกระจายไปทวั่ โลก การอพยพของชนชาติมง้ ในคร้ังน้ีนบั ไดว้ า่ มากท่ีสุดและอพยพไปไกลท่ีสุดเท่าที่เคยมีมาในประวตั ิศาสตร์ของชนชาติม้ง ชาวม้งมากมายได้อพยพยา้ ยไปอาศัยอยู่ในประเทศสหรัฐอเมริกาออสเตรเลีย แคนาดา อาร์เจนตินา ฝรั่งเศส และอิตาลีชาวม้งในมณฑล กวางซี ชาวม้งในมณฑลกวาง โจ ชาวม้งในอเมริกา
ภาษามง้ จดั อยใู่ นสาขาเม้ียว-เยา้ จองตระกูลจีน-ธิเบตไม่มีภาษาเขียนแต่ยมื ตวั อกั ษรภาษาโรมนัมาใช้ มง้ ไม่มีภาษาท่ีแน่นนอน ส่วนใหญ่มกั จะรับภาษาอ่ืนมาใชพ้ ูดกนั เช่น ภาษาจีนยนู นาน ภาษาลาวภาษาไทยภาคเหนือ เป็ นต้น ซ่ึงม้งท้งั 3 เผ่าพูดภาษาคล้ายๆ กัน คือ มีรากศพั ท์ และไวยากรณ์ที่เหมือนกนั แต่การออกเสียงหรือสาํ เนียงจะแตกต่างกนั เลก็ นอ้ ย มง้ สามารถใชภ้ าษาเผา่ ของตนเอง พูดคุยกบั มง้ เผา่ อ่ืนเขา้ ใจไดเ้ ป็นอยา่ งดี แต่มง้ ไม่มีภาษาเขียนหรือตวั หนงั สือ อยา่ งไรกต็ ามในปัจจุบนั ชาวมง้ ได้เขียน และอ่านหนงั สือภาษามง้ โดยการใชต้ วั อกั ขระหนงั สือละติน (Hmong RPA) เร่ืองราวความเป็นมาต่างๆ ของมง้ จึงอาศยั วธิ ีการจาํ และเล่าสืบต่อกนั มาเพียงเท่าน้นั การนับเลขของชนเผ่าม้งภาษาของชนเผ่าม้ง
การแต่งกายชาวม้ง ลกั ษณะบ้านเรือนชาวม้ง ในอดีตน้นั มง้ อาศยั อยตู่ ามภูเขาอยตู่ ามธรรมชาติ มง้ ตอ้ งตรากตราํ ทาํ งานหนกั อยแู่ ต่ในไร่เท่าน้นั ทาํ ใหม้ ง้ไม่มีเวลาท่ีจะดูแลตวั เองและครอบครัว ดงั น้นั ชีวิตความเป็ นอยู่ของมง้ จึงเป็ นแบบเรียบง่าย เพราะคลุกคลีกบัธรรมชาติเป็ นส่วนใหญ่เท่าน้นั ชีวิตประจาํ วนั ของมง้ คือ จะทาํ ไร่ ทาํ สวน และหารายไดเ้ ล็กนอ้ ยเพื่อจุนเจือครอบครัว ส่วนเร่ืองอาหารกจ็ ะเป็นเร่ืองเรียบง่า ในการกินอาหาร มง้ นิยมใชต้ ะเกียบซ่ึงรับมาจากธรรมเนียมจีนส่วนเหลา้ จะนิยมดื่มกนั ในงานเล้ียงต่างๆ เช่น งานแต่งงาน งานเล้ียงญาติ อาจเป็นญาติของภรรยาท่ีมาเยยี่ ม ฝ่ ายญาติทางสามีจะตอ้ งรินแกว้ เหลา้ แจก คร้ังละ 2 แกว้ โดยเชื่อกนั วา่ จะทาํ ใหค้ ู่สามีภรรยาอยดู่ ว้ ยกนั ตลอดไป ก่อนจะด่ืมเหลา้ แต่ละคนจะพูดวา่ \"ผมจะดื่มเพอ่ื ทุกคน\" และจะตอ้ งคว่าํ จอก หรือคว่าํ แกว้ เมื่อหมดแลว้ มง้ จะนิยมด่ืมเหลา้ คร้ังเดียวหมดแกว้ มีการด่ืมซ้าํ วนเวยี นหลายคร้ัง ผทู้ ี่มิใช่นกั ด่ืมยอ่ มจะทนไม่ได้ อาจขอใหบ้ ุคคลอ่ืนช่วยดื่มแทนกไ็ ด้ เหลา้ จะทาํ กนั เองในหมู่บา้ น ซ่ึงทาํ จากขา้ วโพด ขา้ ว หรือขา้ วสาลี มง้ ใหเ้ กียรติแก่ผูช้ าย เพราะฉะน้นัผหู้ ญิงจึงรับประทานอาหาร หลงั ผชู้ ายเสมอ การประกอบอาหารของมง้ ส่วนใหญ่จะเป็นในลกั ษณะการตม้ ทอดและมง้ ยงั มีความสามารถในการถนอมอาหาร ซ่ึงในการถนอมอาหารสามารถถนอมไดห้ ลายแบบ เช่น การหมกัการดอง (ซ่ึงปัจจุบนั น้ี มง้ ส่วนใหญ่ไม่ไดใ้ ชต้ ะเกียบในการรับประทานขา้ วแลว้ ส่วนใหญ่จะใชช้ อ้ นมากกว่า ซ่ึงเมืองไทยแทบจะไม่พบมง้ ที่ใชต้ ะเกียบในการทานขา้ ว แต่มง้ ที่ประเทศลาวยงั คงใชต้ ะเกียบในการรับประทานขา้ วอย)ู่
ปี ใหม่ชาวม้ง สิบสองปันนา เมื่อฝ่ ายชายและฝ่ ายหญิงรู้จกั กนั และเกิดรักกนั ท้งั 2 คนอยากใชช้ ีวิตร่วมกนั ฝ่ ายชายและฝ่ ายหญิงจะกลบั มาบา้ นของตนเอง และฝ่ ายชายค่อยมาพาฝ่ ายหญิงจากบา้ นของฝ่ ายหญิง โดยผา่ นประตูผบี า้ นของฝ่ ายหญิง เพราะคนมง้ ถือและเป็นวฒั นธรรมของคนมง้ หลงั จากท่ีฝ่ ายชายและฝ่ ายหญิงกลบั มาถึงบา้ นของฝ่ ายชาย พ่อ แม่ของฝ่ ายชาย จะเอาแม่ไก่มาหมุนรอบศรี ษะท้งั สองคน 3 รอบเรียกวา่ “หรือข๊า” เป็นการตอ้ นรับคนท้งั สองเขา้ บา้ น ซ่ึงฝ่ ายชายตอ้ งแจง้ ใหญ้ าติทางฝ่ ายหญิงทราบภายใน 24 ชวั่ โมง โดยจดั หาคน 2 คน เพือ่ ไปแจง้ ข่าวใหพ้ ่อแม่และญาติทางฝ่ ายหญิงทราบ ว่าตอนน้ีบุตรชายของเราไดพ้ าบุตรสาวของท่านมาเป็นลูกสะใภข้ องเราแลว้ ท่านไม่ตอ้ งเป็ นห่วงบุตรสาว โดยคนท่ีไปแจง้ ข่าวน้นั คนมง้ เรียกวา่ “แม่โกง๊ ” พ่อแม่ฝ่ ายหญิงจะแจง้ ใหท้ างฝ่ ายชายวา่ ทราบว่าอีก 3 วนั ให้ “แม่โก๊ง” มาใหม่ น้นั หมายถึงวา่ พ่อแม่ทางฝ่ ายหญิงตอ้ งการจดั งานแต่งงาน สมยั ก่อนคนมง้ มกั จะอยกู่ ินดว้ ยกนั ก่อนสองถึง 3 เดือน หรืออาจจะเป็นปีแลว้ ค่อยมาจดั งานแต่ง แต่ปัจจุบนั น้ีสงั คมเปล่ียนไปตามยคุ เทคโนโลยี ทาํ ใหก้ ารจดั งานแต่งงานของคนมง้ ไดก้ าํ หนดจดังานแต่งงานภายใน 3 วนั เป็นท่ีนิยมกนั ในปัจจุบนั ชาวมง้ จะไม่เก้ียวพาราสี หรือแต่งงานกบั คนแซ่หรือตระกูลเดียวกนั เพราะถือเป็ นพี่น้องกนั ชาวมง้ นิยมแต่งงาน ในระหวา่ งอายุ 15-19 ปี เมื่อแต่งงานกนั แลว้ ฝ่ ายหญิงจะยา้ ยเขา้ มาอยใู่ นบา้ นของฝ่ ายชาย ซ่ึงนบั เป็นการเพ่ิมสมาชิกในครอบครัวชายชาวมง้ อาจมีภรรยาไดม้ ากกวา่ หน่ึงคน อยรู่ วมกนั ในบา้ นของฝ่ ายสามี
แคน (Qeej)แคน (Qeej) เป็นภาษามง้ อ่านว่า เฆ่ง หรือ qeng ซ่ึงแปลว่า แคน หรือ mouth organ เฆ่ง หรือแคนเป็นเครื่องดนตรีท่ีทาํ จากลาํ ไมไ้ ผ่ และไมเ้ น้ือแขง็ มีปรากฏในเอเชียมากวา่ 3,000 ปี แลว้ และถือไดว้ า่ เป็นเครื่องดนตรีท่ีเก่าแก่ท่ีสุดชนิดหน่ึง เฆ่งประกอบดว้ ยลาํ ไมไ้ ผท่ ะลุปลอ้ ง 6 อนั คือ ซยง้ ตวั๋ จ๋ือ (xyoob tuam tswm) 1 อนั และ ซยง้ เฆ่ง (xyoob qeej) 5อนั แต่ละอนั มีขนาด และความยาวไม่เท่ากนั กบั ลาํ ไมเ้ น้ือแขง็ ซ่ึงมีปากกลมยาว (ก๋างเฆ่ง kaav qeej) เป็นไมแ้ ดงหรือ ที่ภาษามง้ เรียกวา่ ดงจือเป๋ (ntoo txwv pem) เมื่อเป่ าหรือสูดลมเขา้ ออก จะใหเ้ สียงไพเราะต่อเนื่องกนั ตลอดจนจบตอนของบทเพลงลาํ ไมไ้ ผ่ แต่ละอนั มีชื่อเรียกเฉพาะของตวั เอง เช่น ดีลวั ดีไล ดีเส่ง ดีตือ ดีจู้ คนมง้ จะใชแ้ คน (เฆ่ง) ในพิธีงานศพเป็นหลกั โดยเป็นเคร่ืองนาํ ทางดวงวญิ ญาณของผตู้ ายไปสู่ปรโลก หรือแดนของบรรพบุรุษ ฉะน้นั ในธรรมเนียมมง้ จึงหา้ มมิใหฝ้ ึ กเป่ าแคนภายในบา้ นส่วนใหญ่จะฝึกในที่ ๆ ห่างไกลจากหมู่บา้ นซ่ึงมกั จะเป็นท่ีพกั พงิ ตามไร่สวน
การอพยพเขา้ สู่ประเทศไทย ชนชาติมง้ กลุ่มแรกที่อพยพเขา้ สู่ประเทศไทยน้ันไม่มีหลกั ฐานใดๆบ่งช้ีไดช้ ัดเจนแต่จากเอกสารของสถาบนั วจิ ยั ชาวเขาคาดวา่ เริ่มตน้ อพยพเขา้ มาทางตอนเหนือของประเทศไทย ในราวปี พ.ศ. 2387 – 2417 จุดที่ชนเผา่ มง้ เขา้ มามีอยดู่ ว้ ยกนั 3 จุดคือ 1.1 เขา้ มาทางห้วยทราย – เชียงของ อาํ เภอ เชียงของ จงั หวดั เชียงราย ซ่ึงอยู่ทางทิศ เหนือสุด เป็นจุดที่เขา้ มาก่อน และเขา้ มามากท่ีสุด หลงั จากน้ันแยกยา้ ยกระจดั กระจายไปตามแนว ทองของเส้นเขามุ่งไปทางทิศตะวนั ตกสู่จงั หวดั เชียงใหม่ แม่ฮ่องสอน ตากและสุโขทยั
1.2 เขา้ มาทางไชยบุรี ปัว และทุ่งชา้ ง เขตอาํ เภอทุ่งชา้ ง จงั หวดั น่าน แลว้ บางกลุ่มไดอ้ พยพลงสู่ทางใต้และทางตะวนั ตกเขา้ สู่จงั หวดั แพร่ พิษณุโลก เพชรบูรณ์ กาํ แพงเพชร และจงั หวดั ตาก ปี ใหม่ชาวม้ง จังหวดั น่าน 1.3 เขา้ ทางภูคา – นาแหว้ และด่านซา้ ย อาํ เภอนาแหว้ และอาํ เภอด่านซา้ ย จงั หวดั เลย แลว้ บางกลุ่มไดเ้ ขา้มาสู่จงั หวดั เพชรบูรณ์ในที่สุด (สุนทรี, 2524 : อา้ งโดยประสิทธ์ิ, 2531) ประเพณกี ารหาคู่ของชาวม้ง จังหวดั เลย
นิรณาม. 2552. “ประวตั ิชนเผา่ มง้ .” [ระบบออนไลน]์ . http://oknation.nationtv.tv/blog/xeeb/2009/02/12/entry-1 (10ตามคม2561).
Search
Read the Text Version
- 1 - 13
Pages: