หน่วยการเรียนท่ี 4 สัปปุริสธรรม
สัปปรุ ิสธรรม แปลว่า ธรรมะของคนดี หมายความว่า ผู้ใดมี ธรรมเหล่านี้ ผู้น้ันเป็ นคนดี คนดที พี่ ระพทุ ธศาสนายกย่อง คือคนทฉ่ี ลาด มเี หตุผล รู้จักใช้ความคดิ วางตวั ดี และมี มนุษยสัมพนั ธ์เหมาะสม
สัปปุริสธรรม 7 ประกอบด้วย ธัมมญั ญุตา เป็ นผู้รู้จกั เหตุ อตั ถญั ญุตา เป็ นผู้รู้จักผล อตั ตญั ญุตา เป็ นผู้รู้จกั ตน มตั ตญั ญุตา เป็ นผู้รู้จกั ประมาณ กาลญั ญตุ า เป็ นผู้รู้จกั กาล ปริสัญญตุ า เป็ นผู้รู้จกั บริษทั ปคุ คลญั ญตุ า เป็ นผู้รู้จักบุคคล
ธัมมญั ญุตา แห่งสัปปรุ ิสธรรม 7 คือ การรู้จกั เหตุ พระธรรมปิ ฎก ให้ความหมายของการรู้จักเหตุในเชิงทวี่ ่า คือ การรู้จกั และเข้าใจในหลกั การ ระเบยี บ และกฎเกณฑ์ของสิ่ง ต่างๆ ในสังคมทเี่ กย่ี วข้องกบั การดาเนินชีวติ โดยรู้จกั ว่าตน จะต้องปฏบิ ตั ใิ ห้สอดคล้องกบั กฎเกณฑ์ทมี่ อี ยู่อย่างไร สิ่งใด ควรทา สิ่งใดไม่ควรทาภายใต้เหตุ และผลอนั ถูกต้อง
อตั ถญั ญุตา แห่งสัปปุริสธรรม 7 คือ การรู้จักผล พระธรรมกติ ตวิ งศ์ ให้ความหมายของการรู้จกั ผลในเชิง ทวี่ ่า คือ การเป็ นผู้รู้จกั ผลหรือประโยชน์ทเ่ี กดิ ขนึ้ จากการ กระทา สามารถรู้ถงึ ความมุ่งหมายของธรรมแต่ละอย่าง ได้ชัดเจน เช่น รู้ว่าประพฤตติ ามธรรมข้อนีจ้ ะได้รับผล อย่างนี้ และรู้จกั ทจี่ ะแสวงหาประโยชน์ให้แก่ตนเอง และ ผู้อ่ืน เพราะเห็นด้วยปัญญาว่าเกดิ ผลดจี ากการปฏิบตั ิ
อตั ตญั ญุตา แห่งสัปปรุ ิสธรรม 7 คือ การรู้จกั ตน พระธรรมกติ ตวิ งศ์ ให้ความหมายของการรู้จักตนเองในเชิง ทวี่ ่า คือ ความรู้จักประมาณตนในเร่ืองต่างๆ ท้งั ฐานะทาง การเงนิ และความเป็ นอยู่ ฐานะหรือตาแหน่งในหน้าทกี่ าร งาน รวมไปถึงรู้จกั สภาพความคดิ และจติ ใจของตน เมอ่ื รู้ ว่าตนมกี าลงั มคี วามคดิ อย่างไร มอี ปุ นิสัยอย่างไร เม่ือน้ัน ย่อมทจี่ ะสามารถวางตวั หรือปฏิบตั ติ วั ได้อย่างถกู ต้อง และ เหมาะสมในสังคม
มตั ตญั ญุตา แห่งสัปปรุ ิสธรรม 7 คือ การรู้จักประมาณ พระธรรมกติ ตวิ งศ์ ให้ความหมายของการรู้จกั ประมาณใน เชิงทว่ี ่า คือ การเป็ นคนรู้จกั ความพอดี หรือ ความพอเพยี งใน ทุกๆด้าน ท้งั ความพอดใี นตน ความพอเพยี งในชีวติ รู้จัก ความพอดใี นการพดู พอดใี นการทางาน พอดใี นการหาทรัพย์ และพอดใี นการจ่ายทรัพย์ ด้วยการรู้จกั ประมาณกาลงั ตนเอง
กาลญั ญตุ า แห่งสัปปรุ ิสธรรม 7 คือ การรู้จกั เวลา พระธรรมปิ ฎก ให้ความหมายของการรู้จักเวลาในเชิงทวี่ ่า คือ การ เข้าใจในกาลเวลาอนั สมควร และระยะเวลาทเี่ หมาะสมสาหรับการทา กจิ อนั ใดๆ และพงึ ใช้กาลเวลาน้ันให้เหมาะสม เช่น รู้ว่าเวลาไหนควร เวลาไหนไม่ควรทา รู้ว่าเวลาไหนควรทาอะไร อะไรควรทาก่อน อะไรควรทาหลงั ด้วยการจดั ลาดบั ของงาน และเวลาให้สัมพันธ์กนั รวมถึงรู้จักประมาณเวลาขณะทาส่ิงๆน้ันให้เหมาะสม
ปริสัญญตุ า แห่งสัปปรุ ิสธรรม 7 คือ การรู้จกั ชุมชน พระธรรมกติ ตวิ งศ์ ให้ความหมายของการรู้จกั ชุมชนในเชิงทว่ี ่า คือ การเป็ นผู้รู้จกั ชุมชน ถ่ินอาศัย หรือสังคมทตี่ นอาศัยอยู่ รวมถงึ รู้จกั ว่าชุมชนเหล่าน้ันมคี วามต้องการอะไร มคี วามเห็น หรือข้อตกลงอย่างไร เม่ือทราบเช่นน้ันแล้ว ย่อมทาให้สามารถ อยู่ร่วมกบั ชุมชนได้อย่างมคี วามสุข และเกดิ ความร่วมมือจาก ชุมชนอย่างแท้จริง
ปุคคโลปรปรัญญตุ า แห่งสัปปุริสธรรม 7 คือ การรู้จักบุคคล พระธรรมกติ ตวิ งศ์ ให้ความหมายของการรู้จกั บุคคลในเชิงทว่ี ่า คือ การเป็ นผู้รู้จกั เลือกคบคน ใครควรคบหรือไม่ควรคบ และรู้จักว่าคนแต่ ละคนมอี ปุ นิสัยใจคอทแี่ ตกต่างกนั มคี ุณธรรมต่างกนั มคี วามประพฤติ ต่างกนั มหี น้าทก่ี ารงานต่างกนั ดงั น้ัน จึงควรรู้จกั เลือกคบหาคนทค่ี วร คบ ทาให้ได้คนดี คนทางานเก่ง และเหมาะสมกบั งาน
หลกั ปรัชญาเศรษฐกจิ พอเพยี ง ตรงกบั หลกั ธรรม สัปปุริสธรรม 7 1.(ความพอประมาณ) มัตตัญญุตา เป็ นผู้รู้จักประมาณ อตั ตญั ญุตา เป็ นผู้รู้จักตน 2. (ความมเี หตุผล) ธัมมัญญุตา เป็ นผู้รู้จกั เหตุ อตั ถญั ญุตา เป็ นผู้รู้จกั ผล 3.(การมภี ูมคิ ุ้มกนั ท่ดี ใี นตัว) กาลญั ญุตา เป็ นผู้รู้จักกาล ปริสัญญุตา เป็ นผู้รู้จกั บริษัท ชุมชน ปุคคลญั ญุตา หรือ ปุคคลปโรปรัญญุตา เป็ นผู้รู้จักบุคคล
“เศรษฐกจิ พอเพยี ง” (Sufficiency Economy) เป็ นปรัชญาที่ พระบาทสมเดจ็ พระเจ้าอยู่หัวทรงมพี ระราชดารัสชี้แนะแนวทางการดาเนิน ชีวติ แก่พสกนิกรชาวไทยมาโดยตลอดรวมถงึ การพฒั นาและบริหารประเทศ ทต่ี ้งั อยู่บนพืน้ ฐานของ ทางสายกลาง คานึงถงึ ความพอประมาณ ความมี เหตุผล การสร้างภูมคิ ุ้มกนั ทด่ี ใี นตวั ตลอดจนใช้ความรู้ ความรอบคอบ และ คุณธรรม ประกอบการวางแผน การตดั สินใจ และการกระทา ปรัชญาของเศรษฐกจิ พอเพยี ง มหี ลกั พจิ ารณาอยู่ 5 ส่วน
1.กรอบแนวคดิ เป็ นปรัชญาทช่ี ี้แนะแนวทางการดารงอยู่ และ ปฏบิ ัตติ นในทางทค่ี วรจะเป็ น โดยมพี ืน้ ฐานมาจากวถิ ชี ีวิตด้งั เดมิ ของ สังคมไทย สามารถนามาประยกุ ต์ใช้ได้ตลอดเวลา และเป็ นการมอง โลกเชิงระบบทมี่ กี ารเปลย่ี นแปลงอยู่ตลอดเวลา มุ่งเน้นการรอดพ้น จากภัย และวกิ ฤตเพ่ือความมน่ั คง และความยง่ั ยืนของการพัฒนา
2.คุณลกั ษณะ เศรษฐกจิ พอเพยี งสามารถนามา ประยกุ ต์ใช้กบั การปฏิบตั ติ นได้ในทุกระดบั โดยเน้นการ ปฏบิ ัตบิ นทางสายกลาง และการพฒั นาอย่างเป็ นข้นั ตอน
3.คานิยาม ความพอเพยี งจะต้องประกอบด้วย 3 คุณลกั ษณะ พร้อม ๆ กนั ดงั นี้ - 3.1 ความพอประมาณ หมายถึง ความพอดีท่ีไม่น้อยเกนิ ไป และไม่มากเกนิ ไป โดยไม่เบยี ดเบยี นตนเองและผู้อื่นเช่น การผลติ และการบริโภคท่ีอยู่ในระดบั พอประมาณ - 3.2 ความมีเหตุผล หมายถงึ การตัดสินใจเกย่ี วกบั ระดบั ของความพอเพยี งน้ัน จะต้องเป็ นไปอย่างมเี หตุผล โดยพจิ ารณาจากเหตุปัจจยั ท่เี กย่ี วข้อง ตลอดจนคานึงถงึ ผล ท่คี าดว่าจะเกดิ ขนึ้ จากการกระทาน้ันๆ อย่างรอบคอบ 3.3 การมภี ูมคิ ุ้มกนั ทด่ี ใี นตวั หมายถงึ การเตรียมตวั ให้พร้อมรับผลกระทบและ การเปลยี่ นแปลงด้านต่างๆที่จะเกดิ ขนึ้ โดยคานึงถงึ ความเป็ นไปได้ของสถานการณ์ต่างๆ ทค่ี าดว่าจะเกดิ ขนึ้ ในอนาคตท้ังใกล้และไกล
4.เง่ือนไข การตดั สินใจและการดาเนินกจิ กรรมต่าง ๆ ให้อยู่ ในระดบั พอเพยี งน้ัน ต้องอาศัยท้งั ความรู้ และคุณธรรมเป็ นพืน้ ฐาน - 4.1 เง่ือนไขความรู้ ประกอบด้วย ความรอบรู้เกย่ี วกบั วชิ าการต่างๆ ทเ่ี กย่ี วข้องอย่างรอบด้านความรอบคอบ ที่จะนา ความรู้เหล่าน้ันมาพจิ ารณาให้เชื่อมโยงกนั เพ่ือประกอบการวางแผน และความระมดั ระวงั ในข้นั ปฏิบตั ิ - 4.2 เงื่อนไขคุณธรรม ทจี่ ะต้องเสริมสร้างประกอบด้วยมี ความตระหนักในคุณธรรม มคี วามซื่อสัตย์สุจริต และมคี วามอดทน มคี วามเพยี รใช้สตปิ ัญญาในการดาเนินชีวติ
5.แนวทางปฏิบัติ/ผลทค่ี าดว่าจะได้รับ จากการนาปรัชญา ของเศรษฐกจิ พอเพยี งมาประยกุ ต์ใช้ คือ การพฒั นาทส่ี มดุลและ ยงั่ ยืนพร้อมรับต่อการเปลย่ี นแปลง ในทุกด้าน ท้งั ด้านเศรษฐกจิ สังคม ส่ิงแวดล้อม ความรู้และเทคโนโลยี
Search
Read the Text Version
- 1 - 17
Pages: