1 โดย เด็กชายพลวัฒน์ คุ้มภัย เลขท่ี 12
2
3 ลำดบั เหตกุ ารณ์และประวัติศาสตร์.................................................................................... 5 มิโนอนั ตอนตน้ ................................................................................................................ 6 มิโนอันตอนกลาง............................................................................................................... มิโนอนั ตอนปลาย.............................................................................................................. อิทธิพลจากตา่ งประเทศ................................................................................................... 7 ภมู ิศาสตร์......................................................................................................................... แหล่งตงั้ ถนิ่ ฐานท่สี ำคัญ.......................................................................................................................................8 นอกเหนือจากเกาะครตี .......................................................................................................................................9 การเกษตรและอาหาร.....................................................................................................10 สังคม การเมือง และวัฒนธรรม........................................................................................ 11 สงั คมและการเมือง .............................................................................................................................................11 การแตง่ กาย ...................................................................................................................................................... 12 สถาปตั ยกรรม................................................................................................................................................... 13 การประปา ............................................................................................................................................................ เครื่องปัน้ ดนิ เผา................................................................................................................................................. 14 ศาสนาและความเชื่อ.......................................................................................................................................... 15 ตำนานมโิ นทอร์...................................................................................................................................................... กำเนดิ ........................................................................................................................................................................................... รปู ลกั ษณ.์ ..................................................................................................................................................................................17 ตาย ............................................................................................................................................................................................... การลม่ สลายของอารยธรรมมิโนอัน..................................................................................18 อารยธรรมมิโนอนั กบั อาณาจกั รแอตแลนติส.................................................................... 20 คำบอกเล่าของเพลโต ............................................................................................................................................ คน้ พบอารยธรรมมิโนอัน.................................................................................................................................... 21 ความคล้ายคลงึ กัน ............................................................................................................................................22 บรรณานกุ รม................................................................................................................ 24
4 อารยธรรมมิโนสหรือมิโนอัน (Minoan : 1700-1400 ปีก่อนก่อนคริสตศักราช) มิโนอัน เป็น กษัตริย์ในตำนานของคนอสซอส เป็นลูกของพระเจ้าเซอุส และพระนางยุโรป มีสัญลักษณ์ประจำ พระองค์เป็นรูปวัว ตามตำนานเล่าว่าพระองค์เป็นกษัตริย์ที่รักศิลปะ ในรัชสมัยของพระองค์มีศิลปิน หลายคนที่สำคัญ คือ เดดาลผู้แต่งเรื่อง “ทางปริศนา” และเรื่อง “วัวสัมริด” อักษรที่ใช้จากที่พบใน แผ่นดินเหนียว พบว่าเป็นตัวอักษรแบบที่ เรียกว่า lineaire A ประกอบด้วยอักษรประมาณ 90 ตัว ไม่ ทราบที่มาเช่นเดียวกับตราดินเหนียวทรงกลมมีรูปและอักษรสลักอยู่ อารยธรรมมิโนอันรุ่งเรืองที่สุดที่ เมืองคนอสโซส (คนอสซอส) ผู้ครองเมืองดำรงฐานะเป็นพระกษัตริย์ มีการสร้าง พระราชวังแบบใหม่ ขนาดใหญ่และซับซ้อนคล้ายทางปริศนา ที่คนอสโซส ไฟสทอส และอักเฮียเทรียดามีระบบบริหารทาง การเมืองและเศรษฐกิจ เป็นแบบรวมอำนาจอยู่ที่ส่วนกลางคล้ายในอียิปต์ ฐานะของสตรีสำคัญมากใน สังคม จนประมาณ 1600 ปีก่อนก่อนคริสตศักราช เกิดแผ่นดินไหวทำลายพระราชวังที่คนอสโซสลงถึง 2 ครั้ง เเละเมื่อ 1500 ปีก่อนก่อนคริสตศักราช พวกเอเชียนจากฝั่งทวีปเข้ามาตั้งรกรากบนเกาะครีต (เกิดราชวงศ์เอเจียน) โดยมีการนำเอาตัวอกั ษร lineaire B (อักษรกรีกในปจั จบุ ัน) เข้ามาใช้ด้วย อกั ษร lineaire A ตัวอักษร lineaire B
5 แทนที่จะพยายามจัดสมัยของมิโนอันตามเวลาของปฏิทิน นักโบราณคดีใช้วิธีสองวิธีในการ ลำดบั เวลาสัมพันธ์ (relative chronology) วิธีแรกคิดขึ้นโดยอีแวนส์และต่อมาประยุกตโ์ ดยนกั โบราณคดี คนอื่น ๆ ที่เป็นการลำดับเวลาโดยการศึกษาลักษณะของเครื่องปั้นดินเผา ซึ่งทำให้แบ่งอารยธรรมมิโน อันออกได้เป็นสามสมัย มิโนอันตอนต้น (Early Minoan (EM), มิโนอันตอนกลาง (Middle Minoan (MM) และ มิโนอันตอนปลาย (Late Minoan (LM) แต่ละช่วงเวลาก็แบ่งย่อยออกไปอีก เช่น มิโนอันตอนต้น 1, 2 และ 3 (EMI, EMII, EMIII) วิธีลำดับเวลาอีกวิธีหนึ่งเสนอโดยนักโบราณคดีชาวกรีกนิโคลัส พลา ทอน (Nicolas Platon) ลำดับเวลาโดยการศึกษาการวิวัฒนาการของกลุ่มสถาปัตยกรรมที่เรียกว่า พระราชวัง\" ที่คนอสซอส (Knossos), ไฟสทอส (Phaistos), มาลิอา (Malia), คาโทซาครอส (Kato Zakros) ที่แบ่งสมัยอารยธรรมออกเป็น สมัยก่อนปราสาท (Prepalatial), สมัยปราสาทเก่า (Protopalatial), สมัยปราสาทใหม่ (Neopalatial) และสมัยหลังปราสาท (Post-palatial) ความสัมพันธ์ ระหว่างระบบลำดับเวลาทั้งสองวิธีแสดงในตารางประกอบ โดยผูกกับเวลาของปฏิทินโดยประมาณโดย วอร์เรน็ และแฮงคีย์ (1989) ลำดบั เวลาในประวัติศาสตรข์ องมิโนอัน 3500–2900 ปค รสิ ตศักราช EMI Prepalatial 2900–2300 ปค ริสตศักราช EMII (สมยั กอนพระราชวัง) 2300–2100 ปค ริสตศกั ราช EMIII 2100–1900 ปค รสิ ตศกั ราช MMIA 1900–1800 ปค ริสตศักราช MMIB Protopalatial 1800–1750 ปค ริสตศกั ราช MMIIA (สมยั พระราชวงั เกา ) 1750–1700 ปค ริสตศกั ราช MMIIB Neopalatial 1700–1650 ปค รสิ ตศกั ราช MMIIIA (สมัยพระราชวงั ใหม) 1650–1600 ปค รสิ ตศักราช MMIIIB 1600–1500 ปค ริสตศักราช LMIA 1500–1450 ปค ริสตศักราช LMIB Postpalatial 1450–1400 ปค ริสตศกั ราช LMII (ยคุ สดุ ทายของพระราชวงั คนอสซอส) 1400–1350 ปค ริสตศักราช LMIIIA 1350–1100 ปค รสิ ตศกั ราช LMIIIB
6 ยุคสำริดเริ่มบนเกาะครีตเมื่อ 3200 ปีก่อนคริสตศักราช ยุคสำริดตอนต้น (3500 ถึง 2100 ปี กอ่ นคริสตศกั ราช) ได้รบั การอธิบายว่าเป็น \"สัญญาแห่งความยิ่งใหญ\"่ ในแงข่ องการพฒั นาภายหลังบน เกาะในช่วงปลายสหัสวรรษที่สามก่อน ปีก่อนคริสตศักราช เกาะครีตพัฒนาเป็นศูนย์กลางของการค้า และการฝีมือทำให้ชนชั้นสูงสามารถใช้ความเป็นผู้นำแผ่ขยายอิทธิพลของตนออกไปได้ ซึ่งมีแนวโน้มวา่ ลำดับชั้นดั้งเดิมของชนชั้นสูงในท้องถิ่นจะถูกแทนที่ด้วยระบอบราชาธิปไตย ซึ่งจะมีพระราชวัง เครื่องป้ันดินเผาตามแบบฉบับของวัฒนธรรมยูเตรติส โดยมนั ถกู ค้นพบในครีตในชว่ งยคุ มิโนอนั ตอนต้น ในช่วงปลายยุค MMII (1700 ปีก่อนคริสตศักราช) The Palace of Knossos เกิดความวุ่นวายครั้งใหญ่บนเกาะครีตซึ่งอาจเป็น แผ่นดินไหวหรืออาจเป็นการบุกรุกจากอนาโตเลีย แต่ถึง อย่างไรพระราชวังที่ คนอสซอส, Phaistos, Malia และ Kato Zakros ก็ถูกทำลายลง ในช่วงเริ่มต้นของยุคสมัยวัง ใหม่ หลังจากนั้นประชากรก็เพิ่มขึ้นอีกครั้ง พระราชวังจึง ถูกสร้างขึ้นใหม่และใหญ่ขึ้น การต้ังถิ่นฐานใหม่ถกู สร้างขึ้น ทั่วทั้งเกาะ ช่วงเวลานี้ (ศตวรรษที่ 17-16 ก่อน คริสต์ศักราช MMIII-Neopalatial) เป็นจุดสูงสุดของอารย ธรรมมิโนอัน หลังจากราว 1700 ปีก่อนคริสตศักราช วัฒนธรรมบนแผ่นดินใหญ่ของกรีกได้มาถึงจุดสูงสุดใหม่ เนือ่ งจากอิทธิพลของมิโนอนั ภัยพิบัติทางธรรมชาติเกิดขึ้นอีกครั้งหนึ่งราว 1,600 ปีก่อนคริสตศักราช ซึ่งอาจเป็นการปะทุ ของภูเขาไฟธีรา ชาวมิโนอันก็ได้สร้างพระราชวังขึ้นใหม่โดยมีความแตกต่างที่สำคัญหลายประการใน การสร้าง จากนั้นประมาณ 1450 ปีก่อนคริสตศักราช วัฒนธรรมมิโนอันก็ได้ถึงจุดเปลี่ยนที่สำคัญ เนื่องจากภยั ธรรมชาติ แม้วา่ การปะทขุ องภูเขาไฟธีราอีกครั้งจะเชื่อมโยงกบั การลม่ สลายนี้ แต่ช่วงเวลา ในการระเบิดของภูเขาไฟนั้นยังเป็นที่ถกเถียงกันอยู่ ถึงอย่างไรพระราชวังที่สำคัญหลายแห่ง เช่น มาลิ อา , Tylissos , ไฟสทอส และ Hagia Triada และพระราชวังคนอสซอสก็ถูกทำลายลง แต่พระราชวัง คนอสซอสดูเหมือนว่าส่วนใหญจ่ ะไม่พังทลายลงไป ส่งผลให้ราชวงศ์สามารถที่จะแผ่อิทธิพลไปทัว่ พื้นที่
7 ส่วนใหญ่ของเกาะครีตจนกระทั่งถูกรุกรานโดยชาวกรีกไมซีเนียน หลังจากผ่านไปประมาณหนึ่ง ศตวรรษของการฟื้นฟูบางส่วน เมืองและพระราชวังของครีตส่วนใหญ่ก็สูญหายไปในช่วงศตวรรษที่ 13 ก่อนคริสตศักราช (LHIIIB-LMIIIB) โดยครีตยังคงเป็นศูนย์กลางการปกครองจนถึงช่วง 1200 ปีก่อน คริสตศักราช จนในที่สุดที่มั่นสุดท้ายของมิโนอันคือที่แนวป้องกันที่ภูเขาคาร์ฟี ที่หลบภัยซึ่งมีร่องรอย ของอารยธรรมมิโนอันทีเ่ กือบจะได้เข้าสยู่ ุคเหล็กอยู่ อิทธิพลของอารยธรรมมิโนอันมีให้เห็นในงานศิลปะและสิ่งประดิษฐ์ของชาวมิโนอันบน แผ่นดินใหญข่ องกรีก มีการนำเข้าสสุ านปล้องของชาวไมซี เนียนจากชาวครีตหลายครั้ง ซึ่งแสดงให้เห็นบทบาทของ สัญลักษณ์ของมิโนอัน โดยความเชื่อมโยงระหว่างอียิปต์ กับเกาะครีตค่อนข้างมีความชัดเจน เพราะมีการค้นพบ เซรามิกของชาวมิโนอันได้ในเมืองของอียิปต์ และสินค้า ภาพหลุมศพแบบปลอ ง หรือหลุมศพแบบปลอ ง นำเข้าที่สำคัญของชาวมิโนอันก็มีหลายอย่างที่นำเข้ามาจากอียิปต์ เช่น แอตติกา งาช้าง และกระดาษ ปาปิรัส แนวคิดทางสถาปัตยกรรมและศิลปะจากอียิปต์ ซึ่งอักษรอียิปต์โบราณอาจเป็นแบบต้นอแบบ ของอักษรอียิปต์โบราณของครีต ซึ่งต่อมาก็อาจจะพัฒนาขึ้นเป็นระบบการเขียนแบบ Linear A และ Linear B นอกจากนี้นักโบราณคดีเฮอร์มานน์ เบงต์สันยังพบอิทธิพลของชาวมิโนอันในสิ่งประดิษฐ์ของ ชาวคานาอันอีกด้วย พระราชวังมิโนอันถูกยึดครองโดยชาวไมซีเนียนประมาณปี 1420 – 1375 ก่อนคริสตศักราช โดยชาวไมซีเนียนมีแนวโน้มที่จะปรับตัว (แทนที่จะเป็นการแทนที่) วัฒนธรรม ศาสนา ศิลปะ ระบบ เศรษฐกิจและระบบราชการของชาวมิโนอัน นอกจากนี้ภาษาไมซีนีกรีกยังเป็นรูปแบบภาษาของกรีก โบราณที่ถูกเขียนในระบบการเขียนแบบ Linear B ซึ่งเป็นการดัดแปลงจากระบบการเขียนแบบ Linear A อีกด้วย ครีตเป็นเกาะที่มีภูเขาและมีท่าเรือตามธรรมชาติ มีสัญญาณของความเสียหายจากแผ่นดินไหว ในหลายพื้นที่ของมิโนอันและสัญญาณที่ชัดเจนคือการยกตัวของดินและการจมน้ำของพื้นที่ชายฝั่งอัน เนื่องมาจากกระบวนการแปรสณั ฐานตามแนวชายฝั่ง ตามที่โฮเมอร์ได้บันทึกไว้ เกาะครีตมี 90 เมือง เมื่อพิจารณาจากที่ตั้งของพระราชวังแล้ว เกาะ นี้อาจถกู แบง่ ออกเปน็ เมืองอยา่ งน้อยแปดเมอื งในชว่ งสูงสุดของยคุ มิโนอนั พื้นที่สว่ นใหญข่ องมิโนอนั พบ
8 ได้ในภาคกลางและตะวันออกของเกาะครีต โดยมีเพียงไม่กีแ่ หง่ ทางตะวนั ตกของเกาะ โดยเฉพาะทางใต้ ดูเหมือนว่าจะมีพระราชวังหลักสี่แห่งบนเกาะ: Knossos, Phaistos, Malia และ Kato Zakros อย่างน้อย ก่อนการรวมชาติภายใต้ Knossos คิดว่าเกาะครีตตอนกลางและตอนเหนือถูกปกครองโดย Knossos ทางใต้โดย Phaistos ภาคกลางตะวันออกโดย Malia ปลายด้านตะวันออกโดย Kato Zakros ทาง ตะวันตกโดย Kydonia และยงั พบพระราชวังขนาดเลก็ ที่อื่นบนเกาะอีกด้วย แผนท่แี สดงเมืองและพระราชวังตา่ ง ๆ ของเกาะครีต แผนท่ีของกรีซ วาดในป 1791 โดย William Faden แหลง่ ตง้ั ถนิ่ ฐานทสี่ ำคญั • Knossos – เมืองใหญ่ทีส่ ุด • Phaistos – เมืองใหญ่รองเป็นอันดบั 2 • Kato Zakros – ค้นพบพระราชวังริมทะเล • Galatas • Kydonia (ปัจจบุ นั คือชาเนีย ) • Hagia Triada – เจออกั ษรLinear A จำนวนมากทีส่ ดุ • Gournia • Pyrgos – เมืองทางตอนใต้ของครีต • Vasiliki – เมืองทางตะวันออกของมิโนอนั ซึง่ ขึ้นชือ่ ในเรื่องเครือ่ งปั้นดินเผาอันโดดเด่น • Fournou Korfi – เมืองทางใต้ • Pseira – เมืองบนเกาะทีม่ ีสถานที่ประกอบพิธีกรรม
9 • Mount Juktas – สถานที่ศักดิ์สิทธิ์บนยอดเขามิโนอันที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ซึ่งเกี่ยวข้องกับพระราชวัง Knossos • Arkalochori • Karfi – เมืองลี้ภัย หนึง่ ในเมืองสุดท้ายของมิโนอัน • Akrotiri – การตั้งถิน่ ฐานบนเกาะซานโตรินี (ธีรา) ใกล้บริเวณทีภ่ เู ขาไฟธีราเกิดปะทุ • Zominthos – เมืองบนภเู ขาทีเ่ ชิงเขาทางเหนือของภเู ขาไอดา นอกเหนอื จากเกาะครตี พ่อค้าชาวมิโนอันได้มีการเดินทางติดต่อค้าขายและเผยแพร่ แทงทองแดง วัฒนธรรมไปจนถึงอาณาจกั รเกา่ ของอียิปต์ , ทองแดงจากไซปรสั , คานา อัน , ชายฝั่งเลวานไทน์ และอนาโตเลีย ในช่วงปลายปีคริสตศักราช 2009 จิตรกรรมฝาผนังสไตลม์ ิโนอนั และสิ่งประดิษฐ์อืน่ ๆ ถกู ค้นพบระหว่างการ ขุดค้นพระราชวังคานาอันที่ Tel Kabri ประเทศอิสราเอล ซึ่งทำให้นัก โบราณคดีสรุปได้ว่าอิทธิพลของมิโนอันมีอิทธิพลมากที่สุดในรัฐคานาอัน สิง่ ประดิษฐ์เหลา่ นี้ของชาวมิโนอันถูกค้นพบทีอ่ ิสราเอล งานหัตถกรรมของชาวมิโนอันและรูปแบบของเซรามิกมีอิทธิพลต่อกรีกสมัยเฮลลาดิคในระดับ ต่าง ๆ ร่วมกับซานโตรินี พบการตั้งถิ่นฐานของมิโนอันที่ Kastri, Kythera ซึ่งเป็นเกาะใกล้แผ่นดินใหญ่ ของกรีกที่ได้รับอิทธิพลจากชาวมิโนอันตั้งแต่กลางสหัสวรรษที่สามก่อนคริสต์ศักราช (EMII) จนถึงการ ยึดครองของไมซีเนียนในศตวรรษที่ 13 ก่อนคริสตศ์ ักราช หมู่เกาะคิคลาดีสอยู่นั้นรอบ ๆ อารยธรรมมิโนอัน และใกล้กับเกาะครีต หมู่เกาะคาร์พาทอส ซาเรียและคาซอสนอกจากนี้ยังมีอาณานิคมหรือการตั้งถิ่นฐานของพ่อค้าชาวมิโนอันในยุคสำริดกลาง และส่วนใหญ่ก็จะถูกละทิ้งใน LMI แต่คาร์พาทอสยังสามารถที่จะฟื้นตัวและสานต่อวัฒนธรรมมิโนอัน ไปได้จนสิ้นสุดยุคสำริด ภาพจติ รกรรมฝาผนงั ของเมอื งคนอสซอส แสดงใหเหน็ บรรยากาศ การคาขายทางทะเลที่ คกึ คกั
อิทธิพลทางวัฒนธรรมของมิโนอันนั้นได้แผ่ 10 ขยายไปทั่วหมู่เกาะคิคลาดีสไปจนถึงอียิปต์และ ไซปรัส ภาพวาดในศตวรรษที่ 15 กอ่ นคริสต์ศกั ราชใน ชาวครีต ( Keftiu ) เมืองธีบส์ ประเทศอียิปต์ พรรณนาถึงชาวมิโนอันที่ นำของขวญั ไปยงั ปรากฏตัวมาพร้อมกับของขวัญ คำจารึกที่อธิบายว่า อียปิ ต ในหลุมฝงศพ มาจาก เกาะเคฟติอู (\"เกาะกลางทะเล\") อาจหมายถึง ของ Rekhmire พ่อค้าหรือเจ้าหน้าที่ที่นำของขวัญมาจากเกาะครีต ภายใต ฟาโรห Thutmosis III ( 1479-1425 BC) ชาวมิโนอันนั้นทำทั้งการเกษตรและปศุสัตว์ โดยในด้านปศุสัตว์ก็มีการเลี้ยงโค แกะ สุกรและ แพะ ส่วนในด้านการเกษตรชาวมิโนอันก็มีการปลูกพืชหลายอย่าง เช่น ข้าวสาลี ข้าวบาร์เลย์ หญ้าแฝก ถั่วชิกพี องุ่น มะเดื่อและมะกอก และดอกป๊อปปี้ ส่วนผักต่าง ๆ รวมทั้งผักกาดหอม ขึ้นฉ่าย หน่อไม้ฝรั่ง และแครอท เติบโตในป่าบนเกาะครีต โดยในด้านของต้นแพร์ มะตูม และมะกอกเป็นพืช พื้นเมือง ส่วนต้นอินทผลัมและต้นแมวก็มีการนำเข้ามาจากอียิปต์ และชาวมิโนอันก็มีการนำเอาผล ทับทิมจากทางฝั่งตะวันออกใกล้มาเข้ามาปลูก แต่ไม่ได้รับมะนาวและส้มเข้ามา นอกจากนี้ชาวมิโนอัน ยังมีการเลี้ยงผึ้งอีกด้วย ชาวมิโนอันอาจเคยปลูกพืชผักแบบผสมผสานและอาหารเพื่อสุขภาพที่หลากหลายและดีต่อ สุขภาพของพวกเขา ส่งผลทำให้มีประชากรเพิ่มขึ้น โดยสวนผลไม้ (มะเดื่อ มะกอก และองุ่น) นั้นมี ความสำคัญในการแปรรูปพืชผลสำหรับ \"ผลิตภัณฑ์รอง\" และการหมักไวน์จากองุ่นน่าจะเป็นปัจจัย หนึง่ ในระบบเศรษฐกิจแบบพระราชวัง โดยไวนจ์ ะเปน็ สินค้าเพือ่ การอุปโภคและบริโภคภายในประเทศ อาหารทะเลก็มีความสำคัญในอาหารครีตเช่นกนั เห็นได้ จากความชุกของหอยที่สามารถหาได้ในบริเวณเกาะและศิลปะที่ เกี่ยวข้องกับปลาและสัตว์ทะเล (รวมถึงเครื่องปั้นดินเผาสไตล์ มารีนที่โดดเด่น เช่น โถโกลน ปลาหมึก ในยุค LM IIIC) บ่งบอก ถึงความเคารพในสัตว์ทะเล อย่างไรก็ตามนักวิชาการเชื่อว่า ภาพปนู เปย กปลาโลมาจาก Knossos ทรัพยากรเหล่านี้ไม่สำคัญเท่ากับธัญพืช มะกอก และผลผลิตจาก สัตว์ และกิจกรรมทางการเกษตรที่เยอะขึ้นแสดงให้เห็นจากการที่มีการก่อสร้างระเบียงและเขื่อนที่ Pseira ในชว่ งปลายยุคมิโนอนั
11 พืชและไม้ดอกบางชนิดไม่ได้มีประโยชน์เพื่อใช้สอยเพียงอย่างเดียว และภาพศิลปะก็แสดงให้ เห็นถึงภาพของการรวมตัวของดอกลิลลี่ในทุ่งหญ้าสีเขียว โดยภาพปูนเปียกที่รู้จักกันในชื่อ Sacred Grove ที่คนอสซอสแสดงให้เห็นผู้หญิงที่หันหน้าไปทางซ้าย ขนาบข้างด้วยต้นไม้ ซึ่งอาจจะเป็นเทศกาล เก็บเกี่ยวหรือพิธีเพือ่ เป็นเกียรติแกค่ วามอุดมสมบรู ณ์ของดิน นอกจากนี้ภาพ \"แจกันเกบ็ เกีย่ ว\" (รีตนั รูป ไข่) ซึ่งชาย 27 คนนำโดยอีกคนหนึง่ ถือกิ่งไม้เพื่อทุบมะกอกสุกจากต้นไม้ ยังปรากฏในสมัยพระราชวงั ที่ สองอีกด้วย แจกนั เก็บเกีย่ ว นอกเหนือจากเกษตรกรรมในท้องถิ่นที่อุดมสมบูรณ์แล้ว ชาวมิโนอันยังเป็นพ่อค้าที่ค้าขายกับ ต่างประเทศอย่างมีนัยสำคัญ และในยุครุ่งเรือง พวกเขาอาจจะมีอิทธิพลที่สูงในการค้าแถบทะเลเมดิ เตอร์เรเนียน โดยตั้งแต่หลังช่วง 1700 ปีก่อนคริสตศักราชขึ้นไป วัฒนธรรมของพวกเขาแสดงได้ถึง อารยธรรมระดับสูง สินค้าที่ผลิตขึ้นจากมิโนอันชี้ให้เห็นถึงเครือข่ายการค้ากับกรีซแผ่นดินใหญ่ (โดยเฉพาะเมืองไมซีนี) ไซปรัส ซีเรีย อนาโตเลีย อียิปต์ เมโสโปเตเมีย และทางตะวันตกไปจนถึง คาบสมุทรไอบีเรีย เห็นได้ชัดว่าศาสนามิโนอันนั้นเน้นที่เทพสตรี โดยมีสตรีเป็นพิธี ในขณะที่นัก ประวัติศาสตร์และนักโบราณคดีไม่เชื่อเรื่องการปกครองแบบมีครอบครัว (การปกครองแบบฉันแม่ลูก) มาช้านานแล้ว แต่การที่ผู้หญิงมีบทบาทหรืออำนาจที่เหนือกว่าผู้ชายดูเหมือนจะเป็นตัวบ่งชี้ว่าสังคมมิ โนอันน้ันมีการปกครองแบบมีครอบครัว สงั คมและการเมอื ง ด้านสังคม สังคมจะเป็นแบบกลุ่ม พรรคพวก พี่น้อง มีหัวหน้าครอบครัวเป็นผู้นำอาศัยอยู่เป็น หมู่บ้านหรืออยู่ในบ้านใหญ่รวมกัน เมื่อสมาชิกในกลุ่มเสียชีวิตก็จะฝงั ในที่ฝังศพแบบครึ่งวงกลมรว่ มกัน พร้อมกบั อาวุธ แจกนั เครื่องประดบั แม้วา่ ภายหลังจะแยกหลุมศพเปน็ ของแต่ละคนแบบในปัจจุบัน แต่ ก็ยังมีโอ่งใหญ่ใช้เป็นที่เก็บศพเด็กๆ ฝังรวมกันอยู่ หลังสุดจึงเกิดสุสานขึ้นที่เมืองซาเฟอร์-ปาปูรา (Zafer-papoura)
12 ทางด้านการเมือง ราว 2000 ปีก่อนคริสตศักราช มีลักษณะอยู่กันเป็นแบบ”สังคมวัง” หรือคือ รอบพระราชวังเป็นเมืองเล็กบ้างใหญ่บ้าง อาจเป็นของเจ้าของที่ดินหรือพ่อค้าที่ร่ำรวย โดยมีลักษณะ การสร้างที่แปลกกว่าที่อื่น คือบ้านเหล่านี้สร้างติดกับรั้วพระราชวังเลย บางเมืองไม่มีพระราชวังอยู่ใน บริเวณ ที่อยู่อาศัยของคนจะเป็นลักษณะแคบ ปลูกติด ๆ กันตามริมฝั่งถนนที่ปูด้วยแผ่นหิน หรือริม ถนนแคบๆ ทีม่ ีบันไดเปน็ ระยะไป และทั้งพระราชวังและเมืองของอารยธรรมครีตจะไมม่ ีกำแพงเมือง ซึ่ง ตรงข้ามกับเมืองของไมเซเนียนและเมืองทางเอเชีย อาจเป็นเพราะว่าคนในแถบนี้มุ่งมั่นทำแต่การค้า ระหว่างกัน โดยไม่ปรากฏว่ามีการทำสงครามกัน และครีตเองก็มีอำนาจทางทะเลมาก ความร่ำรวย ของครีตบ่งบอกถึงอารยธรรมมิโนเอียน คือรสนิยมในเรื่องความสุขสบาย ความสวยงามและความ หรูหรา เมื่อราชวงศ์เอเจียนเริ่มปกครองครีต จึงมีการรวมอำนาจมาไว้ที่ส่วนกลาง รวมทั้งด้านการเงิน และผลิตผลต้องมารวมอยู่ในพระราชวัง โดยที่คนอสซอสจะมีกลุ่มคนที่ทำหน้าที่ช่วยพระราชาบริหาร ประเทศ ซึ่งก็คือพวกสคริป (Scribes) ทำหน้าที่ทางด้านการจดบันทึกและทำบัญชีผลิตผลของ พระราชวังโดยจดลงบนแผ่นดินเหนียว ภายในพระราชฐานจะมีอาคารสำหรับเก็บผลิตผล สร้างเป็น อาคารใหญ่มีทางเดินอยู่ตรงกลาง สองข้างเป็นช่องหินสำหรับใส่โลหะมีค่าหรือของมีค่า บางแห่งก็วาง โถใหญ่สำหรับบรรจุเมล็ดพืชหรืออาหาร เช่น ถั่วหรือผลไม้ตากแห้ง เป็นต้น โดยของพวกนี้จะใช้ สำหรบั เลี้ยงดขู ้าราชสำนัก และใช้จา่ ยแทนเงินในพิธีทางศาสนาหรือใช้จ่ายเป็นเงินเดือน นอกจากนี้ของ จากพระราชวังที่ทำด้วยเซรามิก กระเบื้อง เครื่องเงินทองหรือหินมีค่า ผลิตภัณฑ์ของช่างเหล่านี้จะถูก ประทับตราพระราชวงศ์ และส่งออกไปขายยังอาณาจักรอื่น ๆ และอีกอย่างหนึ่ง กองทัพครีตมี พระราชาเป็นผู้นำทัพ และใช้ทหารจ้างผิวดำมาเป็นทหาร ซึ่งจะสังเกตได้ว่ามีการบริหารบ้านเมือง คล้ายแบบอียิปต์ การบรู ณะ พระราชวัง Knossos การแตง่ กาย ขนแกะเปน็ เส้นใยหลกั ทใี่ ช้ในสิ่งทอ ซึง่ อาจเป็นสินค้าสง่ ออกทีส่ ำคัญ แตผ่ ้าลินินจากต้นแฟลกซ์ น้ันมีน้อยมาก จึงอาจจะมีการนำเข้ามาจากอียิปตห์ รือปลูกในท้องถิ่นเอา ตามศิลปะมิโนอนั ผู้ชายชาวมิ โนอันมักจะสวมผ้าเตี่ยว (ถ้ายากจน) หรือเสื้อคลุมหรือกระโปรงสั้นพับจีบที่มักจะยาว ส่วนผู้หญิงสวม เดรสยาวแขนส้ันและกระโปรงเปน็ ช้ัน ๆ สำหรับท้ังสองเพศ เอวตัวตอ่ ขนาดเลก็ มีความสำคญั อย่างมาก ในงานศิลปะ และทั้งสองเพศมักมีเข็มขัดคาดหรือคาดเอวค่อนข้างหนา ผู้หญิงยังสามารถสวมเสื้อท่อน บนที่ไม่มีสายหนังเข้ารูป และรูปแบบเสื้อผ้ามีการออกแบบทางเรขาคณิตที่สมมาตร ผู้ชายถูกมองว่า
13 เป็นคนโกนเกลี้ยงเกลา และผมของผู้ชายนั้นสั้น ในรปู แบบที่เปน็ เรือ่ งปกตใิ นปจั จุบนั ยกเว้นปอยผมยาว บางที่ด้านหลัง บางทีสำหรับผู้ชายที่อายุน้อย โดยทั่วไปแล้วผมผู้หญิงจะแสดงด้วยปอยผมยาวที่ ด้านหลงั เช่นเดียวกบั ในภาพปูนเปียกทีร่ ู้จกั กนั ในชือ่ La Parisienne สิ่งนี้ได้ชือ่ มาเพราะเมื่อมีการค้นพบ ในช่วงต้นศตวรรษที่ 20 นักประวัติศาสตร์ศิลปะชาวฝรั่งเศสคิดว่ามันคล้ายกับผู้หญิงชาวปารีสในสมัย นั้น ในส่วนเด็ก ๆ ในงานศิลปะภาพวาดปูนเปียกจะมีการโกนหัว (มักเป็นสีน้ำเงินในงานศิลปะ) ยกเว้น ผมที่ยาวมาก ๆ สองสามเส้น ผมที่เหลือจะได้รับอนุญาตให้เติบโตเมื่อพวกเขาเข้าสู่วัยแรกรุ่น ซึ่ง สามารถเห็นได้จากภาพวาดปนู เปียก Akrotiri Boxer Minoan Priestesses I La Parisienne Akrotiri Boxer Fresco สถาปัตยกรรม เมืองมิโนอันเชื่อมต่อกันด้วยถนนแคบ ๆ ที่ปูด้วยท่อนไม้ที่ตัด ด้วยเลื่อยทองสมั ฤทธิ์ ถนนถกู ระบายออก และสิ่งอำนวยความสะดวก ด้านน้ำและสิ่งปฏิกูลมีให้สำหรับชนชั้นสูงผ่านท่อดินเหนียว อาคารมิ โนอันมักมีหลังคาเรียบและกระเบื้อง ปูนปลาสเตอร์ ไม้หรือพื้น กระเบื้อง และมีความสูงสองถึงสามชั้น ผนังด้านล่างมักจะสร้างด้วย โมเดลบา นมโิ นอันทีไ่ ดรับ หินและเศษหินหรืออิฐ และผนังด้านบนเป็นอิฐโคลน ไม้เพดานยก การบูรณะที่พบใน หลังคาขึ้น วัสดุก่อสร้างสำหรับวิลล่าและพระราชวังแตกต่างกันไป Archanes รวมถึงหินทราย ยิปซั่ม และหินปูน เทคนิคการก่อสร้างก็หลากหลาย เช่นกัน โดยพระราชวังบางแห่งใช้อิฐแอชลาร์และส่วนอื่น ๆ ที่สกัดด้วยหินขนาดใหญ่ ในภาคเหนือ ตอนกลางของครีต blue-greenschist ถูกใช้เพื่อปูพื้นถนนและสนามหญ้าระหว่าง 1650 ถึง 1600 ปี ก่อนคริสตศักราช หินเหล่านี้น่าจะถูกขุดขึ้นมาใน Agia Pelagia บนชายฝั่งทางเหนือของตอนกลางของ เกาะครีต
14 การประปา ในช่วงยุคมิโนอัน มีการสร้างทางน้ำที่กว้างขวางเพื่อ เลี้ยงประชากรที่เพิ่มมากขึ้น ระบบนี้มีหน้าที่หลักสองประการ ประการแรกคือการจัดหาและการจ่ายน้ำ และประการที่สอง คือการย้ายสิ่งปฏิกูลและน้ำฝน การกำหนดลักษณะอย่างหนึ่ง ของยุคมิโนอันคือความสำเร็จทางสถาปัตยกรรมของการ จัดการสิ่งปฏิกลู ชาวมิโนอนั ใช้เทคโนโลยตี ่าง ๆ เชน่ บอ่ น้ำ อ่าง เก็บน้ำ และท่อระบายน้ำเพื่อจัดการแหล่งน้ำ นอกจากนี้ ทอ ระบายนำ้ ของพระราชวงั ลักษณะโครงสร้างของอาคารก็มีส่วนด้วย หลังคาที่เรียบและ Knossos ลานเปิดโล่งจำนวนมากใช้สำหรับเก็บน้ำเพื่อเก็บไว้ในถังเก็บน้ำ ที่สำคัญชาวมิโนอันมีอุปกรณ์บำบัดน้ำ อุปกรณ์ดังกล่าวชิ้นหนึ่งดูเหมือนจะเป็นท่อดินเหนียวที่มีรูพรุน ซึง่ อนญุ าตให้น้ำไหลผ่านจนสะอาด เครอื่ งปนั้ ดนิ เผา เครื่องถ้วยชามที่มีรูปแบบและเทคนิคการผลิตที่หลากหลายสามารถพบเห็นได้ตลอด ประวัติศาสตรข์ องเกาะครีต เซรามิกมิโนอันในยุคแรกมีลักษณะเฉพาะด้วยลวดลายเกลียว สามเหลีย่ ม เส้นโค้ง กากบาท กระดูกปลา และปากนก อย่างไรก็ตาม แม้ว่าลวดลายทางศิลปะจำนวนมากจะ คล้ายคลึงกันในสมยั มิโนอนั ตอนต้น แตก่ ็มีความแตกตา่ งในกระบวนการวิธีทำเครือ่ งปั้นดินเผาซึง่ แสดง ถึงการเปลี่ยนแปลงที่หลากหลายในด้านรสนิยมและโครงสร้างทางอำนาจ นอกจากนี้ยังมีรูปปั้นดินเผา ขนาดเล็กจำนวนมาก ในช่วงยุคกลางของมิโนอัน การออกแบบที่เป็นธรรมชาติ (เช่น ปลา ปลาหมึก นก และดอกลิล ลี่) เป็นเรื่องปกติ ในช่วงปลายยุคมิโนอัน ดอกไม้และสัตว์ยังคงมีลักษณะเฉพาะแต่มีความหลากหลาย มากขึ้น แต่ก็ตรงกันข้ามกับภาพวาดบนแจกันกรีกโบราณในยุคหลัง ภาพวาดของมนุษย์นั้นหายากมาก และภาพวาดของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมบนบกนั้นไม่ธรรมดาจนกระทั่งถึงช่วงปลาย รูปทรงและ เครื่องประดับมักถูกยืมมาจากเครื่องใช้บนโต๊ะอาหารที่ทำจากโลหะซึ่งส่วนใหญ่ใช้ไม่ได้ ในขณะที่การ ตกแต่งที่ทาสีนา่ จะมาจากจิตรกรรมฝาผนงั เป็นสว่ นใหญ่ แจกนั สไตล มารนี จาก Palaikas tro , AMH, (1575–1500 BC)
15 ศาสนาและความเชอื่ ทางด้านศาสนา เกี่ยวกับพระราชวังอีกลักษณะพิเศษของครีตอีกอย่างก็คือ บนเกาะครีตไม่มี วัด เวลามีพิธีทางศาสนาจะทำ กันตามถ้ำในภูเขาสูงหรือในห้องพิธีทางศาสนาของราชวัง ที่เป็นห้อง ขนาดย่อม พระราชาผู้เป็นทั้งพระและกษัตริย์ก็จะเสด็จมาทำพิธี ดังที่กล่าวมาข้างต้นว่าชาวทะเลเอ เจียนนับถือรปู ป้นั ผู้หญิงมาแตด่ ั้งเดิม ครีตกเ็ ช่นกนั แต่สมัยนั้นเปน็ รปู ปัน้ ผู้หญิงคนเดยี ว เรียกกนั ว่า เจ้า แม่ ส่วนมากรูปปั้นเจ้าแม่จะอยู่ในลักษณะเปลือย คาดว่าคงเป็นธรรมเนียมทางศาสนา เพราะคน ธรรมดาแตง่ ตัวอยา่ งสง่างามด้วยเสื้อที่ปกปิดมิดชิด การที่คนนบั ถือเจ้าแม่ทำให้สงั คมยกยอ่ งสตรี สตรี จึงมีเสรีภาพในการที่จะไปไหนมาไหนได้ตามต้องการ มีบทบาทสำคัญ ในพิธีทางศาสนา ต่อมาผู้ชาย สร้างพระเจ้าขึ้นมา แต่ก็ยังเป็นรองเจ้าแม่ เพราะจะออกมาในฐานะเป็นลูกชายของเจ้าแม่และมีวัว กระทิงเปน็ สญั ลกั ษณ์ ภาพปนู เปยกกระทิงกระโจนทีค่ นอสซอส รูปแกะสลักเทพธดิ างูมโิ นอนั ตำนานมโิ นทอร์ ในเทพปกรณมั กรีก มิโนทอร์ (องั กฤษ: Minotaur) เปน็ สิง่ มีชีวิตซึง่ มีศรี ษะเปน็ โค มีกายเปน็ คน หรือทีโ่ อวิด (Ovid) กวีโรมนั พรรณนาวา่ \"กึ่งคนกึง่ โค\" มิโนทอรพ์ ำนกั อยใู่ นวงกตซงึ่ เป็นหม่อู าคารมี ทางเดินคดเคีย้ ว ณ กลางเกาะครตี และเป็นผลงานทสี่ ถาปนิกเดดาลสั (Daedalus) กบั อีคารสั (Icarus) บตุ ร รว่ มกันสร้างสรรค์ขึ้นตามพระราชโองการพระเจา้ ไมนอส (Minos) แหง่ เกาะครตี ภายหลัง มิโนทอร์ ถกู ธีเซยี ส (Theseus) วีรบรุ ษุ ชาวเอเธนส์ ประหารในวงกตนน้ั เอง
16 กำเนิดมิโนทอร์ เมื่อเสวยราชย์ในเกาะครีตแล้ว พระเจ้าไมนอสต้องทรงแยง่ ชิงอำนาจการปกครองกับพระ เชษฐาและพระอนุชาเนือง ๆ จึงทรงวอนขอให้โพไซดอน (Poseidon) ประทานโคเผือกเพื่อเปน็ สัญลักษณว์ ่าเทพยดาสนบั สนนุ พระองค์ แล้วพระเจ้าไมนอสจะได้ทรงสงั หารโคน้นั เซ่นสรวงโพไซดอน ต่อไป แต่เมื่อได้ทรงรบั โคนัน้ มาแล้ว ทรงเหน็ แก่ความงดงามผา่ เผยของโค จึงหกั พระทยั ฆ่าโคไมล่ ง และเกบ็ รักษาโคน้นั ไว้ แล้วประหารโคเผอื กตวั อื่นสงั เวยแทน โพไซดอนเมือ่ ทราบกโ็ กรธ สง่ั แอโฟรไดที (Aphrodite) กามเทวี บนั ดาลให้พาซีฟาอี (Pasiphaë) ชายาพระเจ้าไมนอส หลงรกั โคเผือกดังกลา่ ว อยา่ งรนุ แรง นางพาซีฟาอีมีเสาวนีย์ให้เดดาลัสแกะสลักโคไม้ขึ้นตัวหนึ่ง ภายในเป็นช่องโปร่ง ภายนอกเอา หนังโคคลุมไว้ ตกแต่งดังโคจริง แล้วนางไต่เข้าไปในช่องเพื่อสวมโคไม้นั้น แล้วให้โคเผือกมาสมจรด้วย เรื่อยมาจนตั้งครรภ์ และให้กำเนิดอสุรกายมิโนทอร์ นางเลี้ยงดูบุตรเป็นอย่างดี แต่ครั้นมิโนทอร์เติบ ใหญ่ กเ็ ริม่ สำแดงวิสัยเดรจั ฉาน จับข้าราชบริพารกินเป็นเครื่องยงั ชีพ ขณะทีพ่ ระเจ้าไมนอสทรงปริวิตก อยู่นั้น ปุโรหิตเมืองเดลไฟ (Delphi) ทูลแนะนำว่า ให้ขังโคมิโนทอร์ไว้ในวงกต จึงมีพระบัญชาให้เดดาลสั สร้างเขาวงกตขึ้นไว้ริมพระตำหนักในตำบลคนอสซอส (Knossos) วศิ วกรเด ดาลัสถวายโค จำลองใหนาง พาซีฟาอีใช รวมประเวณี กับโคเผือก พาซีฟาอีและมิโนทอร งานเขียนทั่วไปในทางวรรณกรรมและกามวิสัยมุ่งพรรณนาการร่วมประเพณีระหว่างนางพา ซีฟาอีและโคเผือกโดยอาศัยโคไม้ มีกวีนิพนธ์เรื่อง เอพิสตูลีเฮโรอิดัม (Epistulae Heroidum) ของโอวิด เพียงเรื่องเดียวที่ระบุไว้เป็นอื่น โดยพรรณนาเหตุการณ์นี้ไว้อย่างสั้น ๆ ในตอนที่ธิดาองค์หนึ่งของนาง พาซีฟาอีพร่ำบ่นถึงมารดาที่หลงรักโคเผือกอยู่ฝ่ายเดียวว่า \"โคนั้นจำแลงเป็นเทวา พาซีฟาอีมารดาข้า ตกอยู่ในบว่ งกามแห่งโคน้ัน จึงนำมามาซึ่งเสียงก่นด่าและความหนกั ใจ\"
17 รูปลักษณข์ องมิโนทอร์ เมปโิ น็นทมอรนบุษนย์ ศิลปะสมัยคลาสสิกมักจะแสดงให้เห็นถึงรูปของมิโนทอร์ นหมั กอ ดลนิ ะเผคา ร เพศผู้ที่มีศีรษะเป็นโคและมีหางโค ตามที่ซอฟาคลีส (Sophocles) สนมยั้ ำกรแกี อราวค ี ชาวกรีก ประพันธ์ไว้ในงานเรื่อง ทราคีนีอี (Trachiniae) ว่าผีเสื้อ ค5ร1(สิ D5ตeปศiกักaรอnานirชa) โลอัส (Achelous) เคยกล่าวไว้ในคราวเกี้ยวนางดีอาไนรา วา่ มิโนทอรห์ วั เปน็ โคกายเปน็ คน มิโนทอรแบบหัวและกายอยา ง คนอยูบนตัวโค ขณะถกู ธีเซียส ตั้งแต่สมัยคลาสสิกจนถึงสมัยฟื้นฟูศิลปวิทยา การ พรรณนาเกี่ยวกับวงกตมักเอามิโนทอร์เป็นที่ตั้ง งานเขียนของโอวิด ประหาร เกี่ยวกับมิโนทอร์ แม้อาจไม่ได้ให้รายละเอียดว่า กายมิโนทอร์ส่วน ใดเป็นคน ส่วนใดเป็นโค แต่ก็แพร่หลายที่สุดในช่วงมัชฌิมยุค ส่วน งานเขียนในสมัยถัด ๆ มากลับนิยมกนั ใหม่วา่ มิโนทอร์มีหัวและกาย ดั่งคนอยู่บนตัวโค ทำนองเดียวกับเซนทอร์ (centaur) ความนิยม อย่างหลังนี้ปรากฏมาจนถึงสมัยฟื้นฟูศิลปวิทยา และปัจจุบันยังพบ อยู่บ้าง เช่น ในผลงานที่สตีล แซวิจ (Steele Savage) วาดประกอบ หนังสือเรื่อง มิโธโลจี (Mythology) ของอีดิธ แฮมิลตัน (Edith Hamilton) เมื่อปีคริสต์ศกั ราช 1942 การตายของมิโนทอร์ หลังจากมิโนทอร์ถูกขังไว้ในวงกตแล้ว พระเจ้าไมนอสทรงเกิดหมางพระทัยกับกรุงเอเธนส์ เนื่องจากแอนโดรเจียส (Androgeus) พระโอรส ถูกชาวเอเธนสฆ์ า่ ตายกลางงานแข่งขนั กีฬาแพแนเธเนีย (Panathenaic Games) เพราะชาวเอเธนส์ไม่ชอบใจที่แอนโดรเจียสชนะ อีกเรื่องว่า พระเจ้าอีเจียส (Aegeus) แห่งกรุงเอเธนส์ทรงบัญชาให้โคเผือกตัวข้างต้นไปสังหารแอนโดรเจียสกลางนครแมราธอน (Marathon) แต่ไม่ว่าด้วยเหตุใด พระเจ้าไมนอสได้เสด็จยกพยุหโยธาไปเอากรุงเอเธนส์เพื่อทรงแก้แค้น ในการสูญเสียพระโอรสเป็นผลสำเร็จ และคาทัลลัส (Catullus) บรรยายไว้ในงานเขียนเรื่องกำเนิดมิโน ทอร์ ว่า กรุงเอเธนส์ \"ถูกพิบัติภัยร้ายแรงบงั คับให้ใช้ค่าปฏิกรรมในการคร่าชีวิตแอนโดรเจียส\" โดยพระ เจ้าอีเจียสต้องทรงชำระค่าปฏิกรรมนั้นด้วยการส่ง \"ชายหนุ่มและหญิงโสดพร้อมกันไปเป็นภักษาหาร\" ของมิโนทอร์ ในการนี้ พระเจ้าไมนอสทรงกำหนดให้จับสลากเลือกชายเจ็ดคนหญิงเจ็ดคนส่งมาทุก ๆ เจด็ ปีหรือเก้าปี (บางแหง่ ว่าทกุ ปี) เพือ่ เอามาให้มิโนทอรก์ ินถึงในวงกต
18 ในคราวที่จะต้องส่งคนไปเป็นครั้งที่สามนั้น ธีเซียส พระโอรสพระเจ้าอีเจียส อาสาจะไปฆ่ามิโน ทอรถ์ วาย โดยให้คำม่ันวา่ ถ้าภารกิจสำเร็จจะลอ่ งเรือกลบั มาโดยชกั ใบสีขาว หาไมแ่ ล้วจะใช้ใบเรือสีดำ อย่างเดิม ครั้นไปถึงเกาะครีต แอรีแอดนี (Ariadne) กับฟีดรา (Phaedra) ธิดาพระเจ้าไมนอส เกิด ปฏิพัทธ์ธีเซียสด้วยกันทั้งคู่ นางแอรีแอดนีซึ่งเป็นคนพี่จึงเสด็จมาแนะวิธีรอดพ้นจากกลไกลวงกตให้แก่ ธีเซียส โดยในบางเรื่องวา่ นางมอบด้ายให้เขาผูกบานประตไู ว้เมือ่ เข้าไปในวงกต แล้วสาวด้ายทิ้งไว้ตาม ทางที่เดินไป เมื่อประหารมิโนทอร์โดยใช้กระบี่ของพระเจ้าอีเจียสตัดศีรษะแล้ว เขาจึงหาทางกลับ ออกมาได้ โดยนำพาชายหญิงคนอื่น ๆ ที่เข้าไปพร้อมกันในคราวนั้นออกมาด้วย เมื่อกลับกรุงเอเธนส์ ธี เซียสทิ้งนางแอรีแอดนีไว้บนเกาะแน็กซอส (Naxos) แล้วเอานางฟีดราเป็นภริยาเพียงหนึ่งเดียว แต่ลืม เปลี่ยนใบเรือจากสีดำเป็นสีขาว ขณะนั้น พระเจ้าอีเจียสประทับอยู่บนแหลมซูเนียน (Sounion) ทอดพระเนตรเห็นใบเรือดำ เข้าพระทัยว่า พระโอรสถูกฆ่าด้วยเงื้อมมืออสุรกายมิโนทอร์เสียแล้ว ก็ โทมนัสคร่ำครวญ กระโจนจากแหลมนั้นลงสู่ท้องน้ำเบื้องล่างปลิดพระชนม์พระองค์เอง ทะเลนั้นจึง ขนานนามว่า อีเจียน เป็นเหตุให้ธีเซียสได้ราชสมบตั ิตอ่ มา ภาพเธเซอุส และมิโนทอร ระหว่างปี 1935 และ 1939 นักโบราณคดีชาวกรีก ศ.สปิริโดน นิโคเลา มารีนาโตส ได้เสนอ ทฤษฎีการปะทุของมิโนอัน การปะทุบนเกาะธีรา (ปัจจุบันคือซานโตรินี) ห่างจากเกาะครีตประมาณ 100 กิโลเมตร เกิดขึ้นในช่วงระยะเวลา LM IA (1550–1500 ปีกอ่ นคริสตศกั ราช) การระเบิดของภูเขาไฟ ครั้งใหญ่ที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์ที่เคยบันทึกไว้ มันปล่อยควันออกมาประมาณ 60 ถึง 100 ลกู บาศกก์ ิโลเมตร มีความรุนแรงระดบั ที่ 7 ตามดชั นีการระเบดิ ของภูเขาไฟ การปะทุได้ทำลายล้างนคิ ม มิโนอันที่อยู่ใกล้เคียงที่ Akrotiri บนซานโตรินี ซึ่งถูกฝังอยู่ในชั้นหินภูเขาไฟ แม้ว่าจะเชื่อกันว่าส่งผล กระทบอย่างรุนแรงต่อวัฒนธรรมมิโนอันของเกาะครีต แต่ก็ยังมีการถกเถียงถึงผลกระทบของ มัน ทฤษฎีแรก ๆ เสนอว่าเถ้าภูเขาไฟจากภูเขาไฟธีราได้ทำลายสรรพชีวิตในทางตะวันออกของเกาะ ครีต ทำให้ประชากรในท้องถิ่นอดอยาก อย่างไรก็ตาม จากการตรวจสอบอย่างละเอียดยิ่งขึ้น ระบุว่ามี เถ้าถา่ นจากการระเบิดของภูเขาไฟทีต่ กลงบนเกาะครีตน้ันหนาไม่เกิน 5 มิลลิเมตร
19 จากหลักฐานทางโบราณคดี การศึกษาระบุวา่ สึนามิขนาดมหมึ าทีเ่ กิดจากการระเบิดของธีราได้ ทำลายชายฝงั่ ของเกาะครีตและทำลายแหล่งทีอ่ ยอู่ าศยั ของชาวมิโนอันจำนวนมาก ถึงแม้ว่ายุค LM IIIA (ปลายมิโนอัน) อารยธรรมมิโนอันจะมีฐานะที่มั่งคั่งและมีอิทธิพลสูง แต่ในช่วง LM IIIB (หลายศตวรรษ หลังจากการปะทุ)ความร่ำรวยและอิทธิพลของมิโนอันก็ได้ลดลง และยังได้มีการพบหลักฐานชิ้นสำคญั เหนือชั้นเถ้าถ่านเถ้าถ่านของมิโนอันช่วงปลาย นั่นหมายความว่าการปะทุของธีราไมไ่ ด้ทำให้เกิดการลม่ สลายของอารยธรรมมิโนอันในทันที อย่างไรก็ตามการปะทุของธีราอาจทำใหัเศรษฐกิจตกต่ำเป็นอย่าง มาก โดยในชว่ งปลายยคุ มิโนอนั ที่ 2 ชาวไมซีเนียนสามารถพิชิตชาวมิโนอนั ได้ และพบอาวุธของชาวไมซี เนียนในการฝังศพบนเกาะครีตไม่นานหลังจากการปะทุ นักโบราณคดีหลายคนเชื่อว่าการปะทุดังกล่าว ก่อให้เกิดวิกฤต ทำให้มิโนอันเสี่ยงที่จะถูกโจมตีโดยไมซีเนียน แม้ว่าการล่มสลายของอารยธรรมจะ ได้รบั มีแรงสนบั สนนุ จากการปะทขุ องภเู ขาไฟธีรา แตจ่ ดุ จบของอารยธรรมมโิ นอนั กน็ า่ จะมาจากการถกู พิชิต หลักฐานทางโบราณคดีชี้ให้เห็นว่าเกาะนี้ถูกทำลายด้วยการถูกเผาโดยพระราชวังที่คนอสซอส ได้รับความเสียหายน้อยกว่าสถานที่อื่นๆบนเกาะครีต เนื่องจากภัยพิบัติทางธรรมชาติไม่ได้ส่งผล กระทบต่อมนั มากนกั จึงอาจเกิดจากที่ผู้บุกรกุ ทีอ่ าจยึดพระราชวังเชน่ คนอสซอสไว้ใช้เอง นอกจากนี้นักโบราณคดีหลายคนได้พบว่าที่ตั้งของอารยธรรมมิโนอันนั้นเกินขีดความสามารถ ในการรับรองสิ่งแวดล้อม (ค่าสูงสุดของกิจกรรมที่พื้นที่นั้นจะสามารถรองรับได้ โดยที่สิ่งแวดล้อมหรือ ระบบนิเวศยังไม่เสื่อมโทรม)และจากการสำรวจทางโบราณคดีที่คนอสซอสแสดงถึงการตัดไม้ทำลาย ป่าในพื้นที่ในระยะหลังของอารยธรรม การปะทุของภูเขาไฟธีรา 1650 ปกอ นคริสตศักราช บนเกาะซานโตรินีเชื่อวา มีสวนทำใหการลมสลาย ของมโิ นอนั
20 แอตแลนติส (Atlantis / Ἀτλαντὶς) เป็นอาณาจักรในตำนาน ที่ถกู กลา่ วถึงโดย เพลโต (Plato / Πλάτων) นักปราชญ์ชาวกรีกโบราณ ที่มีชีวิต อยู่เมื่อ 300 ปีก่อนคริสตศักราช เขาเขียนเรื่องราวของอาณาจักรดังกล่าว โดยอ้างว่า โซลอน (Solon / Σόλωνας - โซโลนาส) รฐั บรุ ุษชาวเอเธนสท์ มี่ ี ชีวิตอยู่ในชว่ ง 630–560 ปีกอ่ นคริสตศักราช ได้รบั รู้เรือ่ งราวของแอตแลนติส จากนกั บวชชาวอียิปตท์ ่านหนึง่ เพลโต (Πλάτων) คำบอกเลา่ ของเพลโต จากคำบอกเล่าของนักบวชชาวไอยคุปต์ แอตแลนติสเป็นเกาะอันอุดมสมบูรณ์ที่ตั้งอยู่ใน มหาสมทุ รแอตแลนติก ซึ่งมีขนาดใหญ่กว่าลิเบียและเอเชียไมเนอร์รวมกัน เพลโตกล่าวว่า แอตแลนติสเป็นมหานครที่มั่งคั่งและ เจริญร่งุ เรืองถงึ ขีดสุด มีการแบ่งการปกครองเปน็ 10 นครรัฐ มีกษตั รยิ ์ 10 พระองค์คอยร่วมประชุมกัน มีกำลังกองทัพบกและกองทัพเรือ รวมกันทั้งสิ้น 1,210,000 คน ตัวเลขนี้แสดงให้เห็นว่าประชากรในแอ ภาพเมืองแอตแลนตสิ ในจนิ ตนาการ ตแลนติสคงจะมีหลายล้านคน ชาวแอตแลนติสในยุคแรกนั้นมีทั้งความรู้ และความสุภาพนุ่มนวล พวกเขามีความคิด “ในเรื่อง การครอบครองทองคำและทรัพย์สินอื่น ๆ อย่างไม่ถาวร พวกเขาไม่มัวเมาในความมั่งคั่ง ทั้งความ ร่ำรวยก็ไม่อาจฉุดพาพวกเขาให้ละเลยการควบคุมตัวเองได้เลย” พวกเขาทะนุถนอมมิตรภาพยิ่งกว่า ความมั่งมีทางโลก พลเมืองทั้งหมดอยู่ร่วมกันด้วยความสามัคคีและสันติสุข เพลโตกล่าวว่า “พวกเขา เหยียดหยามทุกสิง่ เว้นแตศ่ ีลธรรม” แต่ในช่วงยุคสุดท้ายของประวัติศาสตร์แอตแลนติส ภาพเมืองของ ดินแดนแห่งนี้กไ็ ด้เข้าสวู่ ิถีแหง่ จกั รวรรดนิ ิยม ชาวแอตแลนติส แอตแลนติสจม เริ่มเกิดความโลภ และพยายามที่จะครองโลก โดยเริ่มจาก บาดาลใน การขยายอาณานิคมในภูมิภาคเมดิเตอร์เรเนียน ซึ่งพวกเขาก็ จินตนาการ ได้รับชัยชนะในการรุกรานนครรัฐต่าง ๆ บนแผ่นดินใหญ่ของกรีก โดยมีแตน่ ครเอเธนส์เพียงแห่งเดียวที่ ยังยืนหยัดต่อสู้ และเป็นเหตุให้เทพสมุทรโพโซดอน ทรงพิโรธชาวแอตแลนติส จนทำให้เกิดภัยพิบัติ
21 ร้ายแรงเกิดขึ้น จึงเป็นเหตใุ ห้ทำเกาะแอตแลนติสจมหายไปใต้เกลียวคลืน่ ภายในวันและคืนเดียว ในช่วง ประมาณ 9,500 ปีก่อนคริสตศักราช เพลโตยืนยันว่า แอตแลนติสเป็นเรื่องจริง ในขณะที่หลายคนไม่เชื่อ แม้แต่ลูกศิษย์ของเขาเอง อย่างอริสโตเติล (Aristotle / Αριστοτέλης) ยงั ไมย่ อมรับว่าเรื่องนี้เปน็ เรือ่ งจริง ส่วนนักโบราณคดี และนักวิชาการที่ศึกษาเรื่องของแอตแลนติส ตามหลักวิชาการอย่างจริงจัง ก็มีความเห็นร่วมกันว่า ถ้าเรื่องราวของแอตแลนติสเป็นความจริง ก็จะมีปัญหาอยู่ 2 ประการคือ หนึ่ง ระยะเวลา ทีม่ ันน้ันนานเกินไปและ สองสถานทีต่ ั้ง ที่ยงั ขัดแย้งกับคำบอกเลา่ คน้ พบอารยธรรมมโิ นอนั จนกระท่งั ในปคี ริสตศกั ราช 1900 เมือ่ เซอร์ อาร์เธอร์ อีวานส์ (Sir Arthur Evans) นกั โบราณคดี ชาวอังกฤษ ได้ขุดพบพระราชวังคนอสซอส (Knossos) แห่งอารยธรรมมิโนอัน (Minoan) บนเกาะครีต (Crete) ในทะลอีเจียน (Aegean) จากซากโบราณวัตถุสถาน ที่ทยอยปรากฏสู่สายตาชาวโลก เห็นได้ชัดว่า อารยธรรมมิโนอัน เป็นอารยธรรมชั้นสูง ที่เคยรุ่งเรืองในแถบทะเลเมดิเตอร์เรเนียน เมื่อประมาณ 4,000 ปีมาแล้ว ก่อนที่ อารยธรรมกรีกจะถือกำเนิดต่อมาในภมู ิภาคนี้ ภาพ Reconstruction พระราชวังคนอสซอส บนเกาะครีต ชาวมิโนอันนั้นเป็นพ่อค้าที่มั่งคั่งและร่ำรวย จากการค้าข้าวสาลี ทองแดง ตะกั่วและ เครื่องปั้นดินเผากับอียิปต์และผู้คนจากที่ไกล ๆ โดยมีเมืองท่าสำคัญอยู่บน เกาะธีรา (Thera) ซึ่ง ปัจจุบันเรียก เกาะซานโตรีนี (Santorini) พวกเขารู้จักสร้างพระราชวัง และบ้านที่มีระบบระบายอากาศ ห้องน้ำที่มีชักโครก มีระบบการ ระบายน้ำที่ดีเยี่ยม รู้จักขุดคลอง อุโมงค์ มีเทคโนโลยีในการถลุงแร่ นับเป็นอารยธรรมในอดุ มคติ ที่เจิด จรสั ขึ้นเปน็ คร้ังแรกในยโุ รปอยา่ งแท้จริง แต่เมือ่ มาถึงราว ๆ 3,500 ปี อาณาจักรมิโนอนั กไ็ ด้สาบสญู ไป ทำนองเดียวกบั แอตแลนติสของ เพลโต แต่จากการสำรวจทางโบราณคดี และทางธรณีวิทยาที่ได้แสดงให้เห็นว่า เกาะครีตไม่เคยจมลง ใต้ทะเลเลย
22 จนกระทั่งในอีก 30 ปีต่อมา เมื่อ ศ.สปิริโดน นิโคเลา มารีนาโตส ศ.สปรโิ ดน นิโคเลา ( Spyridon Nikolaou Marinatos / Σπυρίδων Νικολάου มารนี าโตส Μαρινάτος 1901–1974) นักโบราณคดีชาวกรีก ได้ขุดค้นที่เมือง อโครตีรี (Akrotiri) ทางใต้ของเกาะธีรา เขาได้พบซากเมืองใหญ่ในยุคสำริด ถนนหนทาง เครื่องปั้นดินเผา โบราณวัตถุ และสิ่งประดิษฐ์ต่างๆ มากมาย ของอารยธรรมมิโนอัน ซึง่ วัตถุเหลา่ นี้ถกู ฝงั อยภู่ ายใต้เถ้าถ่านของภเู ขาไฟ การระเบิดของภูเขาไฟบนเกาะธีรา ทำให้เถ้าถ่านและฝุ่นละอองจากการระเบิด ได้ลอยไกลจาก เกาะธีราไปปกคลุมเกาะครีต ซึ่งอยู่ไกลกันถึง 96 กิโลเมตร ดังนั้น ในปี คริสตศักราช 1939 ศ.มารีนา โตสจึงได้เสนอทฤษฎีว่า อารยธรรมมิโนอันบนครีตต้องล่มสลายเพราะการระเบิดครั้งยิ่งใหญ่ของภูเขา ไฟบนเกาะธีรา โดยในช่วง 1,520 ปีกอ่ นคริสตศกั ราชนั้น ภูเขาไฟบนเกาะธีราได้เกิดระเบิดขึ้นถึง 3 ครั้ง และใน ครั้งท้ายสุด พลังระเบิดของภูเขาไฟทำให้เถ้าถ่านจากภูเขาไฟลอยไปสูงถึง 1,600 เมตร (ซึ่งมีความ รุนแรงมากกว่าการระเบิดของ ภูเขาไฟกรากาตัว (Krakatoa) ในอินโดนีเซีย ที่ระเบิดเมื่อปีคริสตศักราช 1883 ถึง 5 เท่า) โดยเสียงภูเขาไฟระเบิดในครั้งนั้น สามารถได้ยินไปไกลถึง 3,000 กิโลเมตร ฝุ่น ควัน และเขม่าภูเขาไฟได้พุ่งขึ้นฟ้าบดบังแสงอาทิตย์ ทำให้พื้นที่ 400 ตารางกิโลเมตรในบริเวณรอบ ๆ ภูเขา ไฟ แปรสภาพจากกลางวันเป็นกลางคืน เถ้าถ่านและลาวาที่หนาถึง 30 เมตรได้ทับถมบ้านเมืองอัน สวยงามบนเกาะธีราจนหายไปจากโลกนี้ไปภายในวันและคืนเดียว และในอีก 40 ปีตอ่ มา การยุบตวั ของ ปล่องภูเขาไฟบนเกาะธีรา ก็ทำให้ทะเลบริเวณรอบเกาะปั่นป่วน คลื่นยักษ์สึนามิที่มีความสูงถึง 30 เมตรเข้าถล่มเกาะครีต ทำให้พระราชวังและเมืองต่าง ๆ ของอาณาจักรมิโนอันพังพินาศ มีผลทำให้ อารยธรรมมิโนอันล่มสลายไป แล้วอารยธรรมไมซีเนียน (Mycenean) ก็ได้เข้ามาแทนที่ ความคลา้ ยคลงึ กนั แม้ช่วงเวลาในการจมของเกาะธีรา จะไม่ตรงกับคำบอกเล่าของเพลโต ที่ว่า แอตแลนติสมีอยู่ เมือ่ 9,000 ปีกอ่ นสมยั ของโซลอน แต่ ศ.อนั เจโลส กาลาโนปูโลส (Angelos Galanopulos / Αγγέλος Γαλανόπουλος 1910 - 2001) นักธรณีวิทยาและผู้เชี่ยวชาญด้านแผ่นดินไหวชาวกรีก ซึ่งได้ ศึกษาเรื่องราวของแอตแลนติสและอารยธรรมมิโนอันมาอย่างละเอียด ก็ได้อธิบายไว้ว่า เพลโตระบุว่า นครหลวงของแอตแลนติสมีเส้นผ่านศูนย์กลาง 11 ไมล์ ซึ่งมีขนาดเดียวกันกับเกาะธีรา และแม้ตัวเลข อื่น ๆ ของเพลโต จะมีปริมาณมากเกินกว่าจะนำมาเปรียบเทียบกันได้ แต่ถ้านำทุก ๆ ตัวเลขที่มากกว่า 1,000 ที่เพลโตอ้างไว้ มาหารด้วย 10 ก็จะทำให้ตัวเลขแสดงขนาดและปริมาณทั้งหมดของแอตแลนติส ลดลงเท่ากับอาณาจักรมิโนอัน ดังนั้นหากตัดเลข 0 ออกจากบรรดาตัวเลขเหล่านั้นไปเพียงตัวเดียว
23 ระยะเวลาที่แอตแลนติสจมหายไปในทะเล ก็จะกลายเป็น 900 ปีก่อนสมัยของโซลอน ตรงกับเวลาที่ ภูเขาไฟระเบิดที่เกาะธีรา ศ.กาลาโนปูโลสคิดว่า ทั้งหมดนี้เกิดจากการที่โซลอนแปลคำบอกเล่าของ นกั บวชอียิปต์ผิด จากตวั เลขจำนวน 100 แปลผิดเป็นจำนวน 1,000 ส่วนการทีม่ ีผู้โต้แย้ง ดร.กาลาโนปูโลส วา่ 1. ถ้าแอตแลนติสที่แท้จริงอยู่ในทะเลอีเจียน แล้วเหตุใด เพลโตจึงบอกว่าอยู่ในมหาสมุทร แอตแลนติก? 2. ถ้าแอตแลนติสอยบู่ นเกาะครีต และเกาะธีรา ซึ่งใกล้กับแผ่นดินใหญข่ องกรีกแล้ว เหตใุ ดชาว กรีกจึงไม่รู้จกั แอตแลนติส จนกระทง่ั โซลอนได้ฟงั มาจากนักบวชไอยคุปต?์ ก็มีคำตอบในข้อแรกว่า เพราะขนาดของแอตแลนติสตามที่เพลโตระบุไว้นั้น ใหญ่เกินกว่าที่จะ ใส่ลงในที่ใด ๆ ได้ นอกจากในมหาสมุทรแอตแลนติก และก็เป็นไปได้ด้วยว่าน่าจะมีการตีความคำบอก เล่าของเพลโตผิดไป เพราะการที่เขากล่าวว่า แอตแลนติสตั้งอยู่เลย “เสาหินของเฮอร์คิวลีส” ออกไป ซึ่งทำให้คนส่วนใหญ่คิดกันว่า หมายถึงเลยช่องแคบยิบรอลตาร์ออกไปนั้น ดร.กาลาโนปูโลสอธิบายว่า ชื่อดังกลา่ ว ครั้งหนึง่ ยังเคยหมายถึงเนิน 2 แห่ง ที่ยื่นไปทางชายทะเลภาคใต้ของกรีซในปัจจุบันด้วย ซึ่ง กจ็ ะเป็นจุดชี้ทางไปเกาะครีตน่นั เอง สว่ นคำตอบในข้อสอง กช็ ัดเจนวา่ ชาวกรีกน้ันเป็นชนชาติใหม่เกินกว่าจะรู้จักเรือ่ งราวของอารย ธรรมมิโนอันมากนกั ดังน้ัน เรื่องราวทั้งหมดของแอตแลนติสที่เพลโตนำเสนอ จึงสรุปได้วา่ น่าจะเป็นการปรุงแตง่ ขึ้น จากความหายนะของอารยธรรมมิโนอนั โดยการเพิ่มปริมาณของตวั เลข และทกุ สิ่งทุกอย่างเข้าไป เพลโตไม่ใช่นักโบราณคดี ยุคของเขายังไม่มีใครสนใจเรื่องความเที่ยงตรงทางประวัติศาสตร์ และเขาเขียนเรื่องแอตแลนติสขึ้นมาเพื่อมารองรับปรัชญาของเขา ดังนั้นเขาจึงไม่จำเป็นต้องเคารพต่อ ข้อเท็จจริง
24 1. ที่มา บทความ wikipedia Minoan civilization (https://en.wikipedia.org/wiki/Minoan_civilization#Early_Minoan) สบื คน้ เมือ่ 22 มกราคม 2565 2. ทีม่ า บทความ wikipedia อารยธรรมไมนอส (https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%AD%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%A2%E0%B 8%98%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B9%84%E0%B8%A1%E0%B8%99%E 0%B8%AD%E0%B8%AA) สืบคน้ เมือ่ 22 มกราคม 2565 3. ที่มา บทความ wikipedia Linear A (https://en.wikipedia.org/wiki/Linear_A) สืบค้นเมือ่ 22 มกราคม 2565 4. ที่มา บทความ wikipedia Linear B (https://en.wikipedia.org/wiki/Linear_B) สืบค้นเมื่อ 22 มกราคม 2565 5. ทีม่ า บทความ wikipedia Shaft tomb (https://en.wikipedia.org/wiki/Shaft_tomb) สืบค้นเมื่อ 23 มกราคม 2565 6. ทีม่ า บทความ ancient greece History of Minoan Crete (https://ancient- greece.org/history/minoan.html) สืบค้นเมื่อ 23 มกราคม 2565 7. ทีม่ า บทความ worldhistory Minoan Civilization (https://www.worldhistory.org/Minoan_Civilization/) สืบคน้ เมื่อ 23 มกราคม 2565 8. ทีม่ า บทความ wikipedia Matriarchy (https://en.wikipedia.org/wiki/Matriarchy) สืบค้นเมื่อ 23 มกราคม 2565 9. ทีม่ า บทความ wikipedia มนิ ะทอร์ (https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%A1%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B8%B0%E0%B8 %97%E0%B8%AD%E0%B8%A3%E0%B9%8C) สืบคน้ เมื่อ 24 มกราคม 2565 10. ที่มา บทความ Runameistari แอตแลนตสิ : จากตำนานสคู่ วามจรงิ (http://runesdivinator.blogspot.com/2018/02/blog-post.html) สืบคน้ เมือ่ 24 มกราคม 2565
25
26
Search
Read the Text Version
- 1 - 26
Pages: