นวตั กรรมจากพระอจั ฉริยภาพของ ในหลวงรัชกาลท่ี9 จดั ทำโดย ด.ญ.นำรีรตั น์ เผำ่ นำค ม.2/2 เลขท่2ี 3 เสนอ คุณครูบุปผำ มหำสรำนนท์ โรงเรียนบำงบวั (เพง่ ตงั้ ตรงจิตรวทิ ยำคำร)
โครงกำรแกลง้ ดนิ “โครงกำรแกลง้ ดนิ ” หรือ “โครงกำรปรับปรุงสภำพดนิ เปร้ียวเพ่ือใหก้ ลบั มำมี สภำพเหมำะสมสำหรบั เพำะปลูก” เกดิ ข้ึนเม่ือครัง้ ท่พี ระองคเ์ สดจ็ ฯเย่ยี ม รำษฎรในเขตจงั หวดั นรำธิวำสในปี พ.ศ. 2524 กอ่ นท่จี ะทรงพบปัญหำวำ่ ดนิ ในพ้ืนท่พี รุท่มี กี ำรชกั น้ำออกเพ่ือเตรียมพรอ้ มในกำรเกษตรนั้น แปรสภำพ กลำยเป็นดนิ เปร้ียวจดั จนไมส่ ำมำรถเพำะปลูกได้ พระองคจ์ ึงมพี ระรำชดำริ ใหส้ ว่ นรำชกำรเร่งหำแนวทำงในกำรปรบั ปรุงพ้ืนท่พี รุท่มี นี ้ำแชข่ งั ตลอดทง้ั ปี ใหส้ ำมำรถเพำะปลูกได้ ดว้ ยกำรใชท้ ฤษฎี “แกลง้ ดนิ ” คือกำรแกลง้ ดนิ ให้ เปร้ียวถึงขดี สุดดว้ ยวธิ กี ำรเลยี นแบบธรรมชำตทิ ่ที ำใหด้ นิ แหง้ และเปียก สลบั กนั ไปเพ่ือเร่งปฏิกริ ิยำทำงเคมขี องดนิ จำกน้ันจึงชำระลำ้ งบริเวณท่ี เปร้ียวออกเพ่ือปรับปรุงสภำพดนิ ใหเ้ หมำะสมแกก่ ำรปลูกพืชตอ่ ไป โดย โครงกำรน้ีไดร้ บั สิทธิบตั รกำรประดษิ ฐใ์ นพระปรมำภิไธยเลขท่ี 22637
กงั หนั น้ำชยั พฒั นำ “กงั หนั น้ำชยั พฒั นำ” หรือ “เครื่องกลเติมอำกำศที่ผิวน้ำหมุนชำ้ แบบทุ่นลอย” นนั้ เป็ นนวตั กรรมท่ีช่วยเติมอำกำศลงในระดบั ผิวน้ำ เพ่ือบำบดั น้ำเสียใหก้ ลำยเป็ นน้ำดี มีหลกั กำรทำงำนดว้ ยกำรวิด น้ำข้ึนไปสำดกระจำยในอำกำศเพ่ือใหอ้ อกซิเจนสำมำรถเขำ้ ไป ผสมกบั น้ำไดอ้ ย่ำงรวดเร็ว ทงั้ น้ีหำกน้ำมีปริมำณออกซิเจนท่ีมำก จะเป็ นกำรช่วยทำใหจ้ ุลินทรียส์ ำมำรถย่อยสลำยสิ่งสกปรกในน้ำ ไดอ้ ย่ำงรวดเร็ว ถือเป็ นกำรบำบดั น้ำเสียท่ีมีตน้ ทนุ ในกำรผลิตตำ่ โดย “กงั หนั น้ำชยั พฒั นำ” ถือเป็ นส่ิงประดิษฐเ์ คร่ืองกลเติมอำกำศ เคร่ืองท่ี 9 ของโลกที่ไดร้ บั กำรจดสิทธิบตั รเม่ือวนั ที่ 2 ก.พ. 2536 ส่งผลใหใ้ นหลวง รชั กำลที่ 9 กลำยเป็ นกษตั ริยพ์ ระองค์ แรกในโลกท่ีเป็ นเจำ้ ของสิทธิบตั รส่ิงประดิษฐ์
ฝนหลวง “ฝนหลวง” หรือ “กำรดดั แปรสภำพอำกำศเพ่ือใหเ้ กิดฝน” มี จุดริเริ่มมำจำกปัญหำภยั แลง้ ของประเทศไทยในภำค ตะวนั ออกเฉียงเหนือ ดว้ ยลกั ษณะของภมู ิอำกำศและภูมิ ประเทศท่ีทำใหฝ้ นไม่ตกแมจ้ ะมีเมฆมำกและเป็ นฤดฝู น พระองคจ์ ึงทรงคิดคน้ กำรทำ “ฝนเทียม” ดว้ ยกำรนำ เทคโนโลยีสมยั ใหม่มำประยุกตใ์ หเ้ ขำ้ กบั ทรพั ยำกรทำง ธรรมชำติ ดว้ ยกำรใชเ้ คร่ืองบินบรรจุสำรเคมีข้ึนไปก่อกวน เมฆใหร้ วมตวั กนั เป็ นกล่มุ กอ้ นที่มีควำมหนำแน่นสงู จนตก ลงมำเป็ นฝนยงั เขตพ้ืนที่ที่ตอ้ งกำร ทงั้ น้ีทำงกำรไดก้ ำหนดใหว้ นั ที่ 14 พฤศจิกำยนของทกุ ปี เป็ น วนั “พระบิดำแห่งฝนหลวง” เพื่อเฉลิมพระเกียรติของ พระองคท์ ่ีทรงคิดคน้ ฝนหลวงเพื่อบรรเทำควำมทกุ ขย์ ำกของ รำษฎร
วุน้ ชุม่ ปำก “วุน้ ชุม่ ปำก” หรือ “น้ำลำยเทยี มชนิดเจลสำหรบั ผูท้ ่ี มภี ำวะปำกแหง้ น้ำลำยนอ้ ย” เป็นโครงกำรของ “มูลนิธิทนั ตนวตั กรรม ในพระบรมรำชูปถมั ภ์ หน่วย ทนั ตกรรมพระรำชทำนในพระบำทสมเดจ็ พระ ปรมนิ ทรมหำภูมพิ ลอดุลยเดช” ท่ไี ดว้ จิ ยั และพฒั นำ ผลติ ภณั ฑน์ วตั กรรมน้ำลำยเทยี มชนิดเจล (Oral Moisturizing Jelly) ท่มี คี ุณสมบตั ิ ใกลเ้ คยี งกบั น้ำลำยตำมธรรมชำตแิ ละปรบั สมดุล ของส่ิงแวดลอ้ มในชอ่ งปำกโดยไมท่ ำลำยผวิ ฟนั
น้ำมนั ปำลม์ ดีเซล “น้ำมนั ปำลม์ ดีเซล” หรือ “กำรใชน้ ้ำมนั กลนั่ บริสุทธ์ิเป็ น น้ำมนั เช้ือเพลิงสำหรบั เคร่ืองยนตด์ ีเซล” เป็ นโครงกำร ตำมแนวพระรำชดำริท่ีริเร่ิมจำกกำรที่พระองคท์ รงห่วงใย ปัญหำกำรผลิตปำลม์ ลน้ ตลำดของเกษตรกร อีกทง้ั ขณะนน้ั รำคำน้ำมนั ยงั คงพ่งุ สงู ข้ึนอย่ำงไม่หยุดหย่อน จึง ทรงพระกรุณำโปรดเกลำ้ ฯใหส้ รำ้ งโรงงำนสกดั น้ำมนั ปำลม์ บริสุทธิ์ข้ึนท่ีจงั หวดั นรำธิวำส รวมไปถึงมีกำรวิจยั และพฒั นำกำรทดลองนำน้ำมนั ปำลม์ กลนั่ บริสทุ ธ์ิมำใช้ กบั เครื่องยนตด์ ีเซลที่กองงำนส่วนพระองค์ จนกำเนิด เป็ น “ไบโอดีเซลจำกน้ำมนั ปำลม์ ” หรือ “น้ำมนั ปำลม์ ดีเซล” ที่เป็ นกำรผสมน้ำมนั ดีเซลและน้ำมนั ปำลม์ บริสุทธ์ิในสดั ส่วนไม่เกินรอ้ ยละ 10 ต่อปริมำตร ซึ่งยงั คงไวถ้ ึงคณุ ภำพเช่นเดียวกบั น้ำมนั ดีเซลหมุนเร็วปกติ ทงั้ น้ีเม่ือปี 2546 พระองคท์ รงไดร้ บั กำรทลู เกลำ้ ฯถวำย รำงวลั ในงำน “บรสั เซลส์ ยูเรกำ” ท่ีเป็ นงำนแสดง สิ่งประดิษฐใ์ หม่ของโลก ณ กรุงบรสั เซลส์ ประเทศ เบลเยียมอีกดว้ ย
Search
Read the Text Version
- 1 - 7
Pages: