ยางพารา
ยางพารา ยางพารา : Hevea brasiliensis อาณาจกั ร : Plantae หมวด : Magnoliophyta ชัน้ : Magnoliopsida อันดับ : Malpighiales วงศ์ : Euphorbiaceae วงศย์ อ่ ย : Crotonoideae เผา่ : Micrandreae เผ่าย่อย : Heveinae สกุล : Hevea สปชี ีส์ : H.brasiliensis ช่อื ทวนิ าม : Hevea brasiliensis Müll.Arg.
ประวตั ยิ างพารา ยางพารา เป็นไม้ยนื ต้น มีถ่ินกา้ เนดิ บริเวณลมุ่ น้าแอมะซอน ประเทศ บราซลิ และประเทศเปรู ทวีปอเมรกิ าใต้ โดยชาวพ้ืนเมืองเรียกวา่ \"เกาช\"ู (cao tchu) แปลวา่ ต้นไม้รอ้ งไห้ จนถึงปี พ.ศ. 2313 (ค.ศ. 1770) โจเซฟ พรสี ต์ลีย์ พบว่ายางสามารถนา้ มาลบรอยดา้ ของดนิ สอได้ จงึ เรยี กว่า ยางลบหรอื ตัวลบ (rubber) ซง่ึ เปน็ ศพั ทใ์ ชใ้ นประเทศองั กฤษและประเทศ เนเธอร์แลนด์เทา่ น้ัน ศนู ยก์ ลางของการเพาะปลกู และซื้อขายยางใน อเมริกาใต้แตด่ ัง้ เดมิ อยู่ทีร่ ฐั ปารา (Pará) ของประเทศบราซลิ ยางชนิดน้ี จงึ มีชอ่ื เรยี กว่า ยางพารา
วิวัฒนาการยางพารา โลกเพง่ิ จะมีโอกาสรจู้ ักและใช้ประโยชนจ์ ากยางพาราเม่ือประมาณ ปลายคริสตศ์ ตวรรษท่ี 15 นี้เอง ในขณะทค่ี ริสโตเฟอร์ โคลัมบัส ผคู้ ้นพบ โลกใหมเ่ ดินทางไปอเมรกิ าในครง้ั ที่ 2 ในปี พ.ศ. 2036 (ค.ศ.1493) ก็ พบวา่ มีชาวพ้ืนเมืองบางเผ่าท้ังในอเมริกากลางและอเมริกาใตไ้ ดร้ ้จู กั และใช้ ประโยชน์จากยางพารากนั บา้ งแลว้ เช่น ชาวพ้ืนเมอื งในอเมรกิ ากลางที่ท้า รองเทา้ จากยางพาราโดยการใช้มดี ฟันตน้ ยางพารา แล้วรองน้ายางใส่ ภาชนะ หลังจากนั้นจึงเอาเทา้ จ่มุ ลงไปในน้ายางหรือเอาเท้าวางไว้บน ภาชนะแล้วเทน้ายางราดลงบนเท้าก็จะได้รองเท้าท่เี ขา้ กับเทา้ พอดี หรอื บาง เผา่ ในอเมริกาใต้ท้าเสื้อกนั ฝนและผ้ากนั น้าจากยาง หรือเผ่ามายันใน อเมรกิ าใต้ทที่ ้าลูกบอลด้วยยางแลว้ น้ามาเลน่ โดยการให้กระเดง้ ขนึ้ ลงเพ่ือ เปน็ การสักการะเทพเจ้า จงึ ทา้ ใหค้ ริสโตเฟอร์ โคลมั บัสและคณะ มคี วาม แปลกใจเป็นอนั มากและคิดกันไปวา่ ในลูกกลมๆ ท่เี ด้งได้น้ัน ต้องมีตวั อะไร อย่ขู ้างในเปน็ แน่ หลงั จากนน้ั เมือ่ คริสโตเฟอร์ โคลัมบัสเดินทางกลับยโุ รปก็ ไดน้ า้ วัตถปุ ระหลาดนัน้ กลับไปด้วย จึงถอื ได้วา่ ครสิ โตเฟอร์ โคลมั บัส จงึ เปน็ ชาวยุโรปคนแรกที่ไดม้ ีโอกาสสัมผัสยางและน้ายางเข้าไปเผยแพรใ่ นยุโรป การส่งยางเข้ามาในยุโรปในระยะแรกนั้นต้องใชเ้ วลานานมาก จึงทา้ ใหน้ ้ายางจบั ตัวเป็นกอ้ น ดังนนั้ ยางทเี่ ขา้ มาในยุโรปสมัยแรกๆ จงึ เปน็ ยางท่ี ผลติ เปน็ สนิ คา้ แล้วเนอ่ื งจากมนษุ ยย์ ังไม่รจู้ กั วิธีทจ่ี ะทา้ ให้ยางทจ่ี บั ตวั กันเปน็ ก้อนแล้วเปล่ยี นสภาพมาเปน็ น้ายางก่อนทา้ เปน็ รปู ทรงที่ตอ้ งการไดอ้ ยา่ งไร การผลิตยางจงึ ต้องทา้ ทนั ทหี ลังจากได้น้ายางมาก่อนที่ยางจะจบั ตวั กนั เปน็ ก้อน ประเทศในอเมริกากลางและอเมรกิ าใต้ เชน่ ประเทศเมก็ ซิโกก็มี หลักฐานว่าได้มกี ารใช้ประโยชน์จากยางกนั บ้างแล้ว แต่เป็นการผลติ อย่าง งา่ ยๆ เช่น ทา้ ผ้ายางกันนา้ ลกู บอล และเสื้อกันฝน เปน็ ตน้
การค้นพบยางพารา พ.ศ. 2279 (ค.ศ. 1736) ชาลส์ มารี เดอลา คองดามี ได้สง่ ตัวอยา่ งยางจากลมุ่ นา้ อเมซอน กลับมาทปี่ ระเทศฝร่ังเศส และสรุปว่าไม่สามารถน้านา้ ยางกลบั ไปยุโรป เพือ่ การผลติ ได้ เพราะยางจะแข็งตวั เสยี กอ่ นทีจ่ ะถงึ ยโุ รป พ.ศ. 2313 (ค.ศ. 1770) เฮอริสแซน พบว่าน้ามันสน (Terpentine) สามารถ ละลายยางทีจ่ บั ตวั กันเปน็ ก้อนได้ และยังพบต่อไปอีกวา่ Ether เป็นตวั ละลายยางได้ ดกี วา่ น้ามนั สน พ.ศ. 2313 (ค.ศ. 1770) โจเซฟ พริสลี่ ค้นพบวา่ ยางใชล้ บรอยดา้ ของดินสอ ได้ จงึ เรยี กยางวา่ ยางลบ (Rubber) พ.ศ. 2334 (ค.ศ. 1791) โฟร์ ครอย ค้นพบการป้องกนั ไมใ่ ห้ยางจับตัวกนั เปน็ ก้อนโดยการเตมิ ด่างท่มี ีช่ือวา่ Alkali ลงไปในน้ายาง พ.ศ. 2363 (ค.ศ. 1820) โธมสั แฮนคอก (องั กฤษ) ประดิษฐ์เครอื่ งฉีกยางได้ สา้ เร็จ และยงั พบดว้ ยวา่ ความรอ้ นท้าให้ยางอ่อนตัวลงไดแ้ ละจะข้ึนรูปใหม่ใหเ้ ปน็ รปู อะไรกไ็ ดต้ ามต้องการ พ.ศ. 2375 (ค.ศ. 1832) แฮนคอกได้ปรบั ปรงุ เครอ่ื งฉกี ยางของเขาให้ดขี ้นึ และ เรียกเครื่องที่ปรบั ปรงุ ขึน้ ใหม่ว่าดังกลา่ วว่า เครอ่ื ง Masticator ซ่ึงเปน็ เคร่ืองต้นแบบ ของเครอื่ งฉกี ยางทใ่ี ชก้ นั ถงึ ทกุ วันน้ี โธมสั แฮนคอก จงึ ไดร้ ับเลือกใหเ้ ป็น \"บดิ าแห่ง อตุ สาหกรรมการยาง\" พ.ศ. 2380 (ค.ศ. 1837) แฮนคอกประดิษฐ์เคร่ืองรดี ยางไดเ้ ปน็ ผลสา้ เร็จ พ.ศ. 2386 (ค.ศ. 1843) ชาลส์ ก๊ดู เยยี ร์ (อเมรกิ า) ค้นพบกรรมวธิ ใี นการทา้ ใหย้ างคงรูป โดยการอบความร้อน (Vulcanisasion) และยางท่ีผสมกบั กา้ มะถันและ ตะกวั่ ขาวเมอ่ื ยา่ งไฟแลว้ แมจ้ ะกระทบร้อนหรือเยน็ จดั ยางจะเปลีย่ นรูปไปเพยี ง เลก็ น้อยเทา่ นัน้ พ.ศ. 2389 (ค.ศ. 1846) โธมสั แฮนคอก ประดิษฐย์ างตันส้าหรับรถม้าทรง ของพระนางเจ้าวคิ ตอเรยี
สว่ นประกอบของต้นยางพารา ราก มรี ะบบรากแกว้ (tap root system) เม่ือยางอายุ 3 ปี รากแกว้ จะหยัง่ ลงดนิ มีความยาว ประมาณ 2.5 เมตร มรี ากแขนงทแี่ ผ่ไปทางด้านขา้ ง ยาว 7-10 เมตร ใบ เกดิ เวยี นเปน็ เกลยี ว เปน็ กลมุ่ และทอ่ กลมุ่ เรียกวา่ ฉตั รใบ (leaf storey) ใบเปน็ ใบ ประกอบ มใี บย่อย 3 ใบ มีต่อมนา้ หวานทีโ่ คนก้านใบ แตล่ ะใบรูปรา่ งแบบ ovate หรอื elliptical ยางพาราจะผลดั ใบในชว่ งตน้ ฤดแู ลง้ ในภาคใตจ้ ะผลดั ใบในเดือนมนี าคมถึงเดือน พฤษภาคม สว่ นภาคตะวันออกจะผลัดใบในเดอื นกุมภาพนั ธถ์ ึงเดือนเมษายน ช่อดอกและดอก ยางพารามีชอ่ ดอกเกดิ ตามปลายกง่ิ เปน็ แบบ panicle มีกงิ่ แขนงมาก ช่อดอกเกดิ ขน้ึ พรอ้ มกับใบใหมท่ ผี่ ลดั หลังจากผลดั ใบ มดี อกตัวผู้และดอกตวั เมยี แยกกนั แตอ่ ยบู่ นชอ่ เดยี วกนั
ลา้ ตน้ เป็นพวกไม้ยนื ตน้ ถา้ ปลูกจากเมล็ดจะมีลักษณะเป็นรูปกรวย แตถ่ า้ ปลกู โดยใชต้ ้นตดิ ตาจะมลี ักษณะเป็นทรงกระบอก ความสงู 30-40 เมตร ตน้ ออ่ นเจรญิ เร็วมากทา้ ให้เกดิ ชว่ ง ปลอ้ งยาว เมอ่ื อายนุ ้อยเปลอื กสีเขยี ว แตเ่ ม่ืออายุมากขึ้นสขี องเปลอื กเปลยี่ นเปน็ สีเทาอ่อน เทาดา้ หรือน้าตาล เปลอื กของลา้ ตน้ ยางพาราแบง่ ออกไดเ้ ป็น 3 สว่ นคือ 1. cork เป็นสว่ นทเี่ ปน็ เปลือกแขง็ ชน้ั นอกสดุ 2. hard bark เปน็ ชนั้ ถัดเขา้ มา ประกอบดว้ ย parenchyma cell และ disorganized sieve tube มีทอ่ น้ายาง (latex vessel) ที่มอี ายมุ ากกระจัดกระจายอยา่ งไม่ต่อเนือ่ ง 3. soft bark เป็นส่วนในสุดของเปลือกตดิ กบั เน้อื เยือ่ cambium ประกอบด้วย parenchyma cell และ sieve tube มที ่อน้ายางซึ่งเวยี นข้นึ จากซา้ ยไปขวาทา้ มุม 30-35 องศากับแนวดิ่ง ดังนั้นในการกรดี เพือ่ เอานา้ ยาง จงึ ตอ้ งกรดี ลงจากซ้ายไปขวา เพ่ือตดั ทอ่ น้ายางใหไ้ ด้จ้านวนมากที่สดุ เปลือกของลา้ ต้นที่ใหน้ ้ายางคือ hard bark และ soft bark มีความหนารวมกัน 10-11 มลิ ลเิ มตร น้ายางทีไ่ ดเ้ ป็น cytoplasm ท่ีอยใู่ นท่อ หลังจากกรดี แลว้ เปลือกจะเจรญิ ได้ เหมือนเดิมโดยใช้เวลา 7-8 ปี
ช่อดอกและดอก ยางพารามีช่อดอกเกิดตามปลายกงิ่ เปน็ แบบ panicle มีก่ิงแขนงมาก ช่อ ดอกเกดิ ข้ึนพร้อมกับใบใหมท่ ผี่ ลดั หลงั จากผลดั ใบ มีดอกตวั ผแู้ ละดอกตวั เมีย แยกกนั แต่อยู่บนชอ่ เดยี วกัน ผลและเมล็ด ผลเป็นแบบ capsule โดยทั่วไปมี 3 เมลด็ เม่ือแกผ่ ลจะแตกออก เกดิ เสยี ง ดงั เปลอื กหุม้ เมลด็ จะมลี าย เมลด็ มที ัง้ สว่ นของเอนโดสเปริ ์มและใบเลย้ี ง ใบ เล้ียงมีโปรตีนประมาณ 18 เปอร์เซน็ ต์ และมนี ้ามันสูงถึง 40 เปอรเ์ ซน็ ต์
พันธุ์ยางท่ีแนะนา้ ใหป้ ลูก สถาบันวจิ ัยยาง กรมวิชาการเกษตร ได้จดั ทา้ ค้าแนะนา้ พันธยุ์ างแกเ่ กษตรกรทกุ ๆ 4 ปี โดยใช้ ข้อมลู จากผลงานวจิ ยั การปรับปรงุ พันธ์ยุ าง เพือ่ แนะน้าพันธยุ์ างทใี่ ห้ผลผลติ น้า ยางสงู เปน็ หลกั ตงั้ แตป่ ี 2504 เปน็ ต้นมา แตเ่ นือ่ งจากปัจจุบันไมย้ างพารามคี วามส้าคญั อย่างยิง่ ต่อการพัฒนาอุตสาหกรรมไม้ ของประเทศ ทา้ ให้เกษตรกรไดร้ บั ผลตอบแทนจาก ผลผลติ เนอื้ ไมเ้ พ่มิ ขึน้ ดงั น้ันคา้ แนะนา้ พนั ธยุ์ างปี 2546 สถาบนั วจิ ัยยางจึงไดเ้ ปลี่ยนแปลง คา้ แนะนา้ จากเดิม โดยแบ่งพนั ธ์ยุ างแนะน้าเปน็ 3 กลุ่ม คอื พนั ธ์ยุ างทใ่ี หผ้ ลผลติ นา้ ยางสูง พันธยุ์ างท่ใี หผ้ ลผลติ นา้ ยางและเน้ือไม้สงู และพนั ธ์ยุ างที่ใหผ้ ลผลติ เน้ือ ไมส้ งู เพอ่ื ให้ เกษตรกรเลือกพนั ธ์ไุ ดต้ ามวตั ถุประสงคข์ องการปลูก พนั ธุ์ยางทแ่ี นะนา้ ใหป้ ลูก แบ่งออกเป็น 3 กลมุ่ ตามวัตถุประสงคข์ องการปลกู ดังน้ี กลุ่ม 1 : พันธ์ยุ างผลผลิตน้ายางสูง เป็นพันธทุ์ ่ีใหผ้ ลผลิตนา้ ยางสงู เป็นหลกั การเลือกปลกู พันธุ์ยางใน กลุ่มน้ี ควรมงุ่ เน้นผลผลติ น้ายาง กลุ่ม 2 : พันธยุ์ างผลผลติ น้ายางและเน้อื ไมส้ งู เปน็ พนั ธทุ์ ีใ่ ห้ทง้ั ผลผลติ น้ายางและเนอื้ ไม้ โดยให้ ผลผลติ นา้ ยางสงู และมกี ารเจริญเตบิ โตดี ลกั ษณะลา้ ต้นตรง ให้ปรมิ าตรเน้ือไม้ใน สว่ นล้าตน้ สงู กลมุ่ 3 : พันธุ์ยางผลผลติ เน้อื ไมส้ งู เปน็ พนั ธท์ุ ่ใี หผ้ ลผลติ เนอื้ ไมส้ งู เป็นหลัก มกี าร เจรญิ เติบโตดมี าก ลกั ษณะลา้ ตน้ ตรง ให้ปรมิ าตรเน้อื ไม้ในส่วนลา้ ต้นสูงมาก ผลผลติ นา้ ยางจะอยู่ในระดับต้า่ กว่าพนั ธุย์ างในกลมุ่ ที่ 1 และ 2 เหมาะสา้ หรับเป็นพนั ธุท์ จ่ี ะปลกู เป็นสวนปา่ เพื่อการผลติ เนื้อไม้ พนั ธ์ยุ างในแตล่ ะกลมุ่ ที่แนะน้า จะแบง่ เปน็ 2 ช้ัน ตามรายละเอียดของข้อมลู ดงั นี้ พันธ์ุยางชั้น 1 : แนะนา้ ใหป้ ลูกโดยไม่จ้ากัดเนอ้ื ทปี่ ลูก พันธย์ุ างในชั้นนไ้ี ด้ผ่านการทดลอง และศกึ ษา ลกั ษณะตา่ ง ๆ อยา่ งละเอยี ด พนั ธุ์ยางช้นั 2 : แนะนา้ ให้ปลูกโดยจ้ากัดเนอ้ื ท่ปี ลูก ปลกู ไดไ้ ม่เกนิ ร้อยละ 30 ของเนื้อที่ ปลกู ยางทถี่ อื ครอง แตล่ ะพนั ธุ์ควรปลูกไม่นอ้ ยกวา่ 7 ไร่ พนั ธุ์ยางชน้ั นอี้ ย่ใู นระหว่าง การศกึ ษา ลกั ษณะบางประการเพิม่ เตมิ เกษตรกรทมี่ คี วามประสงคจ์ ะเลอื กปลกู พันธุ์ยาง ชัน้ น้ี ควรรบั ค้าแนะนา้ จากสถาบันวิจยั ยาง
สา้ นักงานกองทุนสงเคราะหก์ ารทา้ สวนยาง ไดแ้ นะน้าขอ้ มลู การปลกู ยาง พาราและพ้นื ท่ีปลูกยางพารา ดังนี้ กลมุ่ 1 : พนั ธยุ์ างผลผลติ นา้ ยางสงู พนั ธุย์ างชนั้ 1 สถาบนั วจิ ยั ยาง 251 สถาบนั วจิ ัยยาง 226 BPM 24 RRIM 600 สถาบนั วจิ ยั ยาง 214 สถาบนั วจิ ยั ยาง 218 สถาบนั วจิ ยั ยาง 250 สถาบนั วจิ ัยยาง 319 พนั ธุย์ างชน้ั 2 สถาบนั วจิ ัยยาง 209 สถาบนั วจิ ยั ยาง 406 RRIC 100 PR 302 PR 305 สถาบนั วจิ ยั ยาง 225 สถาบนั วจิ ัยยาง 405 RRIC 101 Haiken 2 กลมุ่ 2 : พนั ธุย์ างผลผลติ นา้ ยางและเนอ้ื ไมส้ งู พนั ธุย์ างชน้ั 1 PB 235 PB 255 PB 260 PRIC 110 สถาบนั วจิ ยั ยาง 325 สถาบนั วจิ ัยยาง 404 สถาบนั วจิ ัยยาง 409 RRIC 121 พนั ธุย์ างชน้ั 2 สถาบนั วจิ ัยยาง 312 AVROS 2037 BPM 1 สถาบนั วจิ ยั ยาง 407 สถาบนั วจิ ัยยาง 403 RRII118 กลมุ่ 3 : พนั ธุย์ างผลผลติ เนอ้ื ไมส้ งู พนั ธุย์ างชนั้ 1 ฉะเชงิ เทรา 50 พนั ธุย์ างชน้ั 2 สถาบนั วจิ ัยยาง 401 RRII 203
หลกั ในการเลือกใชพ้ นั ธ์ุยาง เนื่องจากผลผลิตน้ายางหรือเน้ือไมท้ ่ไี ด้จากการปลกู ยาง จะมากน้อย เพียงใดนั้น จะขึ้นกับปจั จัย 3 ประการ คอื พนั ธุ์ สภาพแวดล้อม และการ ปรับตัวของพันธ์ุเข้ากบั สภาพแวดลอ้ มน้ัน ๆ ดังน้นั การจะ ตัดสินใจวา่ จะเลือก ปลูกยางพันธุ์ใดนน้ั ควรยดึ ถือหลักการวา่ จะตอ้ งเปน็ พนั ธุ์ท่ีให้ผลผลติ สูงสุด และมี ความเหมาะสมกับสภาพแวดลอ้ มในพืน้ ท่ีของเกษตรกรผูป้ ลูก ซง่ึ ควรมี การพจิ ารณาตามข้ันตอน ดังนี้ 1. พิจารณาวา่ พนื้ ทีป่ ลกู มีสภาพแวดล้อมใดทีไ่ มเ่ หมาะสม เป็น ข้อจ้ากัดทมี่ ีความรุนแรงมาก นอ้ ยเพียงใด สามารถแก้ไขได้หรอื ไม่ และ ส่งผลกระทบต่อการให้ผลผลิตมากนอ้ ยเพียงใด เช่น เป็น พน้ื ที่ทมี่ ีการระบาด ของโรคใดรนุ แรง พืน้ ที่ท่มี ีลมแรง หรอื พนื้ ทม่ี ีความลาดชันสงู หนา้ ดินต้ืน 2. พจิ ารณาลกั ษณะประจา้ พนั ธุ์แตล่ ะพันธ์ุ จากเอกสารคา้ แนะน้าพนั ธุ์ ยางของสถาบันวิจัยยาง โดยเฉพาะลักษณะที่ออ่ นแอต่อสภาพแวดลอ้ มทเ่ี ป็น ข้อจ้ากดั แล้วคัดเลือกพันธทุ์ ่ีสามารถปลูกในพน้ื ที่ นน้ั ๆ ได้ 3. ลา้ ดับท่ีของพันธ์ุทใี่ ห้ผลผลิตสูง จากเอกสารคา้ แนะนา้ พนั ธ์ุยาง แลว้ เลือกพันธท์ุ ี่ให้ผลผลติ สูงสุด ถอื ว่าเป็นพนั ธ์ุทเ่ี หมาะส้าหรับปลกู ในพ้ืนที่ ดังกล่าว นอกจากนแี้ ลว้ ในการปลกู ยางในพนื้ ท่ีปลูกขนาดใหญ่ ควรปลูกยาง หลายพนั ธุ์ แตล่ ะพันธุไ์ ม่ น้อยกวา่ 14 ไรห่ รือ 1 แปลงกรดี เนอื่ งจากเมอ่ื เกิด การระบาดของโรค การปลูกยางเพียงพนั ธุเ์ ดียว จะท้าให้การระบาดของโรค มคี วามรนุ แรงมากข้ึน
สภาพแวดล้อมท่ีน้ามาใช้เลือกพนั ธ์ยุ าง สภาพแวดลอ้ มของการปลกู ยาง จะรวมทัง้ การเขตกรรม และ สภาพแวดล้อมในพ้นื ทีป่ ลกู ซง่ึ การเขตกรรม ต้งั แต่การปลกู ถึงการกรีดเก็บ เกี่ยวผลผลติ ยางนั้น เปน็ ปัจจยั ทสี่ ามารถแกไ้ ขและ เปลี่ยนแปลงได้ ดังนน้ั เกษตรกรจึงควรปฏิบตั ติ ามค้าแนะนา้ เพ่อื สร้างผลส้าเรจ็ ในการปลกู ยาง สว่ น สภาพแวดล้อมในพนื้ ทป่ี ลูก จดั เปน็ ปจั จยั บงั คบั หรอื ปัจจัยทีไ่ มม่ ีโอกาสเลือก แก้ไขและเปล่ียนแปลง ได้ยาก แตม่ อี ทิ ธพิ ลตอ่ การให้ผลผลติ ดังน้ันการ คดั เลือกพันธุย์ างจงึ ตอ้ งน้าปจั จัยน้ี มาใชใ้ นการ พจิ ารณาการเลอื กพนั ธ์ยุ าง ปลกู ดังนี้ 1. ดินและสภาพพน้ื ท่ี ชนิดและสมบตั ขิ องดิน ดินแตล่ ะชนดิ จะมีสมบัติทางเคมี และกายภาพท่ี แตกต่างกนั ทา้ ให้ มีความเหมาะสมตอ่ การปลูกยางแตกต่างกัน พนั ธุย์ างบาง พันธ์ุใหผ้ ลผลิตได้ดใี นดินที่มี ความอุดมสมบรู ณ์สูง แตเ่ มอื่ น้าไปปลกู ในดนิ ทม่ี ี ความอุดมสมบรณู ข์ องดินต่้า ผลผลิต ลดลงหรอื มีการเปลยี่ นแปลงลักษณะของ พันธ์ุ ในขณะทบี่ างพนั ธก์ุ ารใหผ้ ลผลิตไม่ เปลย่ี นแปลงไปตามสภาพแวดล้อม มากนัก ดังน้นั จึงจ้าตอ้ งรูว้ ่าดินที่ปลกู มคี วามอุดม สมบรู ณม์ ากน้อยเพยี งใดและ ปรบั ปรุงได้หรอื ไม่ ในกรณีท่ีแกไ้ ขไมไ่ ดค้ วรเลือกพนั ธยุ์ าง ใดที่เหมาะสมกบั พน้ื ทปี่ ลกู เช่น การปลกู ยางในสภาพพ้นื ทีท่ ม่ี ีลักษณะเปน็ ดินเหนียว มี การ ระบายนา้ เลว ควรเลือกปลกู พนั ธุ์ยางที่มที รงพมุ่ เลก็ หรอื ปานกลาง ความลกึ ของ หน้าดนิ โดยปกตติ ้นยางตอ้ งการดนิ ทม่ี หี น้าดินลกึ มากกวา่ 1 เมตร เพื่อให้ ราก สามารถยดึ เกาะได้อยา่ งมัน่ คง การปลกู ยางในพ้นื ที่ท่ีมหี น้าดนิ ตน้ื จะทา้ ใหต้ น้ ยาง โคน่ ลม้ ง่าย ดังนน้ั การปลกู ยางในพน้ื ทด่ี งั กลา่ ว ควรจะเลอื กพนั ธุ์ยางท่มี ี ทรงพุ่มเลก็ หรือ ปานกลาง แตกกิ่งสมดุลย์ ระดับน้าใตด้ นิ ในสภาพพ้ืนที่ เหมาะสมสา้ หรบั การปลูกยาง ระดบั นา้ ใต้ดนิ ควรลกึ ไม่น้อย กวา่ 1 เมตร แตม่ ี ยางบางพนั ธท์ุ ี่เกษตรกรสามารถเลือกปลกู ได้ ความลาดชนั ของพนื้ ท่ี พนั ธ์ยุ าง โดยทว่ั ไปไม่เหมาะสมท่ีจะน้าไปปลกู ในพื้นท่ลี าดชนั มาก สูงกว่า 16 องศา เชน่ พ้ืนทีเ่ ป็นควนเขา เพราะจะทา้ ให้ตน้ ยางโนม้ เอียง เนื่องจากแตกกง่ิ และทรงพมุ่ ในระดับสูง ท้าให้ต้นยางโค่นลม้ ไดง้ ่าย ดังนนั้ ยางบางพันธ์ุจงึ ไมเ่ หมาะสม ส้าหรบั ปลกู ในพ้นื ที่ลาดชนั แตม่ ยี างบางพนั ธเุ์ หมาะสมหรือพอจะปลกู ได้ ใน สภาพพ้ืนที่ ดงั กล่าว
2. โรค ในแตล่ ะพน้ื ที่ ชนิดและความรนุ แรงในการระบาดของโรค จะแตกต่าง กนั ออกไป ตามสภาวะ ท่ีเหมาะสมตอ่ การแพร่กระจาย ดังน้นั กอ่ นท่ีจะปลกู ยาง ควรจะศกึ ษาและพจิ ารณาดกู อ่ นวา่ มีโรคอะไร ระบาดบ้าง ระบาดอยู่ในระดบั รนุ แรงมากน้อยเพยี งใด เพอ่ื ทีจ่ ะไดต้ ดั สนิ ใจเลอื กพันธ์ุยางทต่ี า้ นทาน โรคนน้ั ๆ ได้ถกู ต้อง 3. ความรุนแรงของลม ลมเป็นสาเหตุสา้ คญั ของการฉกี ขาด การหักโคน่ และถอนรากของตน้ ยาง ในพืน้ ท่ปี ลูกยางทมี่ ี ความแรงของลมมากกวา่ 62 กิโลเมตรตอ่ ชว่ั โมง (8 beavfort scale) เป็นระยะเวลาหลายวนั ในแต่ละปี ถอื ว่าเปน็ พน้ื ที่ที่เสยี่ งต่อ ความเสียหายที่เกิดจากลมได้ แตโ่ ดยทัว่ ไปแล้ว ในพื้นท่ปี ลกู ยางของประเทศ ไทย ความแรงของลมท่ีเกดิ ข้ึนตามปกติ จะมีผลทา้ ใหต้ ้นยางเสยี หายเลก็ นอ้ ย ยกเวน้ พืน้ ท่ใี นบางจงั หวดั ของ ภาคใต้ เช่น ตรงั ภเู ก็ต และบางจังหวัดในภาค ตะวันออกเฉยี งเหนือ เช่น สรุ นิ ทร์ สกลนคร นครพนม มกุ ดาหาร อดุ รธานี และ อุบลราชธานี ทีม่ คี วามรุนแรงของลมในระดับปานกลาง อาจจะทา้ ให้ต้นยาง เสยี หายได้ ดังนนั้ การเลอื กพนั ธ์ยุ างปลกู ในพ้นื ทจ่ี งั หวดั ตา่ ง ๆ เหลา่ น้ี ตอ้ ง พิจารณาเลอื กพนั ธุ์ที่ ตา้ นทานลมได้ดี
ลักษณะประจ้าพนั ธุ์ ลักษณะประจา้ พนั ธุท์ ี่จะต้องนา้ มาพิจารณาควบคู่กบั สภาพแวดล้อม เพอ่ื หาความ เหมาะสมใน การกา้ หนดพันธ์ุยางทจี่ ะปลูกมหี ลายประการ เชน่ 1. ผลผลติ การพจิ ารณาผลผลติ วา่ ดีมากน้อยเพยี งใดจะพจิ ารณาเป็นช่วง ตามอายขุ องการเปดิ กรดี แนวโนม้ ของการเพมิ่ และลดในชว่ งอายุ และฤดกู าลต่าง ๆ กล่าวคือ ผลผลติ ในช่วง 2 ปีแรกหลังเปดิ กรีด ซง่ึ เปน็ ช่วงต้นของการเกบ็ ผลผลติ ยาง บางพันธ์ุ อาจจะใหผ้ ลผลิตต้า่ ใน ชว่ งแรก แต่ระยะตอ่ มาใหผ้ ลผลิตสงู ได้ ผลผลติ ในช่วง 3 –10 ปีหลังเปดิ กรีด เปน็ ช่วงทีต่ ้น ยางใหผ้ ลผลติ ไดด้ ี ถอื วา่ เปน็ ชว่ งหลัก ในการได้รบั ผลตอบแทนจากการปลกู ยาง ผลผลติ ในชว่ งผลัดใบ การกรดี ยางในชว่ งผลัดใบ เปน็ ช่วงทีมวี ันกรดี เตม็ ทเ่ี น่ืองจากไมม่ ี อุปสรรค จากฝน ควรจะเปน็ พนั ธ์ทุ ่ีผลผลติ ลดลงไมม่ ากนกั ในชว่ งน้ี แต่อยา่ งไรก็ตาม เกษตรกรควร จะงดกรีดยางในช่วงที่ตน้ ยางผลิใบออ่ น เพราะจะทา้ ใหก้ ระทบตอ่ การให้ ผลผลิตและการ เจรญิ เตบิ โตของตน้ ยางในระยะตอ่ มา ผลผลติ เมอ่ื ใช้สารเคมเี รง่ น้ายาง ควรเปน็ พนั ธ์ุทเี่ พม่ิ ผลผลติ ไดม้ ากเมอื่ มกี ารใช้สารเคมเี ร่งน้ายาง 2. การเจริญเตบิ โตของตน้ ยาง พนั ธ์ยุ างท่ีมีการเจรญิ เติบโตเรว็ ในระยะกอ่ นเปิดกรดี ก็หมายถึงวา่ จะไดร้ ับ ผลตอบแทนเรว็ ขน้ึ สว่ นการเจริญเตบิ โตระยะระหว่างกรีด จะเกย่ี วพันกับการใหผ้ ลผลติ เพิ่ม ในระยะต่อมา ดังนั้นการ เจริญเตบิ โต จึงต้องพจิ ารณาท้ังก่อนและระหว่างกรดี 3. ขนาดของทรงพุ่ม พันธย์ุ างแตล่ ะพันธจ์ุ ะมีลกั ษณะการแตกกิง่ และขนาดทรงพุ่มท่ีแตกต่างกนั ซ่ึงจะมี ความสมั พนั ธ์โดยตรงกบั การกา้ หนดระยะปลกู โดยพนั ธุ์ยางท่มี ลี กั ษณะการแตกกิง่ เป็นมุม กวา้ งและ ทรงพ่มุ มีขนาดใหญ่ ไม่ควรใชร้ ะยะปลกู ระหว่างต้นชดิ 4. ความหนาเปลอื ก เปลือกจดั เปน็ สว่ นท่ีส้าคัญของต้นยาง เพราะเปน็ แหลง่ ใหผ้ ลผลติ โดยตรง ต้นยาง ควรมคี วาม หนาความเหมาะสมท่เี หมาะสม ทั้งเปลอื กเดมิ (เฉลีย่ 6.0 – 6.5 มม. ในระยะเปิด กรีด) และเปลือกงอก ใหม่ สา้ หรบั เปลือกงอกใหม่ ควรพจิ ารณาความเรว็ ในการงอก ประกอบ (เฉลี่ย 5.7 – 6.2 มม. ในปีกรีด ที่ 3) เนื่องจากมคี วามสมั พันธ์โดยตรงกบั รอยแผล กรดี ตามปกติพันธ์ุยางทเี่ ปลอื กบางในเวลากรดี มักจะ เกดิ บาดลึกถึงเนอ้ื ไม้ไดง้ ่าย
5. รอยแผลกรดี การเกิดรอยแผลจากการกรดี ยางลกึ ถึงเนอ้ื ไม้ในยางแตล่ ะพนั ธจ์ุ ะแสดงความ เสียหายแตกตา่ ง กัน บางพันธ์ุจะแสดงความเสยี หายรุนแรง จนไมส่ ามารถกลบั มากรดี ซา้ ไดอ้ ีก แตบ่ างพันธอุ์ าจจะไม่ รนุ แรงมากนัก 6. ความตา้ นทานโรค โรคท่สี ้าคญั ทีเ่ กย่ี วข้องกบั การปลกู ยาง คอื โรคใบรว่ ง ใบจุด เส้นดา้ และราสี ชมพู ดังน้ันควรเลอื กพันธุท์ ่ตี ้านทานโรคทร่ี ะบาดรนุ แรงในพนื้ ทป่ี ลกู ใหถ้ กู ตอ้ ง ความ ตา้ นทานลม ลักษณะทรงพุม่ และความแข็งแรงของเนือ้ ไม้ เป็นสิ่งท่ีเก่ยี วขอ้ งสา้ คัญตอ่ การตา้ นทานลม ตามปกตลิ ักษณะทรงพมุ่ ทมี่ ขี นาดใหญ่ พุม่ ใบหนาแนน่ และการแตก ก่ิงก้านไม่สมดุล จะออ่ นแอต่อ การกรรโชกของลม ทท่ี ้าให้กิ่งฉกี ขาด หรือตน้ โค่นล้มได้ ง่าย 7. การปลกู ในพืน้ ทจ่ี า้ กัด ในกรณที ี่ตอ้ งการปลกู ยางในพน้ื ทที่ ่ไี ม่เหมาะสมบางประการ เช่นพืน้ ทที่ มี่ ีหน้า ดนิ ตนื้ พนื้ ทที่ ่ี มรี ะดบั นา้ ใต้ดินสูง และพน้ื ทล่ี าดชัน จะต้องเลือกพนั ธยุ์ างทส่ี ามารถ ปรับตวั เขา้ กบั สภาพพน้ื ท่ที ่ไี ม่ เหมาะสมนไี้ ด้ เพราะสภาพพื้นทเ่ี หลา่ นจี้ ะมีผลตอ่ การ เจรญิ เติบโต และผลผลติ โดยตรง 8. การตอบสนองตอ่ จา้ นวนต้นปลกู ในแปลง ในกรณที ต่ี อ้ งการปลกู ต้นชิด ซง่ึ มีจา้ นวนต้นหนาแน่นมากกวา่ ปกตจิ ะต้องไมม่ ผี ล ตอ่ การ เจรญิ เตบิ โตและผลผลติ มากนกั แตถ่ า้ มีมากกจ็ ะตอ้ งหลกี เลีย่ งพนั ธุย์ างท่ีไม่ ตอบสนองตอ่ การปลูกต้นชิด 9. อาการเปลือกแหง้ ซึง่ เป็นความผดิ ปกติทางสรีระวิทยาของต้นยาง ทห่ี ลงั จากกรดี มนี า้ ยางไหล ออกมาเพียง เลก็ น้อยหรือไม่ไหลเลย และอาจเกิดกบั ตน้ ยางทย่ี ังไมไ่ ดเ้ ปิดกรดี โดยเกดิ จากหลายสาเหตุ เชน่ พันธุ์ ยาง ระบบกรดี การใช้สารเคมเี ร่งน้ายาง สภาพแวดล้อม และสภาพดินที่ไม่เหมาะสม ซงึ่ อาจเกดิ จากสาเหตุใดสาเหตุหน่ึงหรอื หลายสาเหตุ รว่ มกนั เช่น ใช้ระบบกรดี ทมี่ คี วามถส่ี ูงกบั พนั ธยุ์ างท่ีเปน็ เปลือก แหง้ งา่ ย
ยางพาราในเอเชีย การผลิตยางพาราในโลก ในสมยั กอ่ นปี พ.ศ. 2443 (ค.ศ. 1900) น้ัน สว่ นมากจะ เปน็ ยางพาราทปี่ ลกู ในประเทศแถบอเมรกิ าใต้ คือ ประเทศบราซลิ โคลัมเบยี และประเทศ ปานามาเป็นส่วนใหญ่ นอกจากนนั้ ยังมยี างพาราท่ไี ด้จากประเทศรสั เซยี และอัฟรกิ าเป็น บางส่วน โดยในชว่ งเวลาก่อนหน้านนั้ ยางพาราเริ่มมคี วามสา้ คญั ต่อการดา้ รงชวี ติ ของ มนุษยม์ ากขนึ้ แลว้ โลกจงึ มคี วามต้องการใชย้ างพาราเปน็ จ้านวนมาก โธมัส แฮนคอก จงึ มี ความคดิ ว่า ถา้ โลก (หมายถงึ ยโุ รป) ยังคงตอ้ งพงึ่ ยางพาราทม่ี าจากแหลง่ ต่างๆ เหล่าน้นั เพียงอย่างเดียว ในอนาคตอาจจะเกดิ ความขาดแคลนยางพาราขน้ึ ได้ จึงนา่ ทจ่ี ะหาท่ใี หมๆ่ ในสว่ นอ่ืนของโลก เพ่อื ปลกู ยางเอาไว้บา้ ง ในปี พ.ศ. 2398 (ค.ศ. 1855) ไดม้ ีความ พยายามน้าตน้ ยางพาราไปปลกู ในประเทศอนิ เดีย นบั เปน็ ครงั้ แรกของการแพรก่ ระจาย ยางพาราสทู่ วปี เอเชีย เซอร์คลีเมนส์ เป็นคนแรกทนี่ ้ายางพารามาทดลองปลูกในประเทศอนิ เดยี แตไ่ ม่ประสบ ความส้าเรจ็ จึงได้ทดลองปลกู ยางในดินแดนตา่ งๆ ทีเ่ ปน็ อาณานคิ มของอังกฤษ ในที่สดุ จึง พบว่าในดนิ แดนแหลมมลายเู ป็นสถานทท่ี ยี่ างพาราจะเจริญเติบโตได้ดีท่ีสุด และยงั พบว่า พนั ธ์ยุ างพาราที่ดที ี่สุดคือยางพาราพันธ์ุ Hevea brasiliensis หรือยางพารา ดงั นั้นต้งั แตป่ ี พ.ศ. 2425 (ค.ศ. 1882) ยางพาราจงึ เป็นทน่ี ยิ มปลกู กันอย่างแพรห่ ลายในแหลมมลายใู น ระยะแรกเริ่มยางพาราจะปลกู กันมากในดนิ แดนอาณานคิ มขององั กฤษและฮอลแลนดเ์ ป็น ส่วนใหญ่ นอกจากนน้ั ประเทศ เยอรมันก็ปลูกยางพาราไว้ท่ีอัฟรกิ าบ้าง และบางสว่ นเปน็ ยางพาราในประเทศรสั เซยี เหตุทย่ี างพาราเปน็ ทีน่ ยิ มปลกู กนั มากในเอเชยี อาจเนื่องมาจาก ในเอเชยี มีองค์ประกอบต่างๆ ทีเ่ หมาะสมในการปลกู ท้งั สภาพดนิ ฟา้ อากาศ ภูมปิ ระเทศ สภาพดนิ และปรมิ าณฝน รวมทง้ั แรงงานทีห่ าไดง้ ่าย ผลผลติ ยางสามารถขายไดท้ ุก คณุ ภาพและให้ผลผลติ ทยี่ าวนาน และแน่นอน
ประวตั ิการปลูกยางพาราของประเทศไทย ตน้ ยางพาราเขา้ มาปลกู ในประเทศไทยตัง้ แต่สมัยที่ยงั ใชช้ อื่ ว่า \"สยาม\" ประมาณกันว่าควรเปน็ หลงั พ.ศ. 2425 ซ่ึงชว่ งนั้นไดม้ กี ารขยายเมลด็ กล้า ยางพารา จากพันธุ์ 22 ตน้ น้าไปปลกู ในประเทศต่างๆ ของทวีปเอเชีย และมี หลักฐานเดน่ ชดั วา่ เม่อื ปี พ.ศ. 2442 พระยารษั ฎานปุ ระดษิ ฐ์มหศิ รภกั ดี (คอซิมบี้ ณ ระนอง) ไดน้ ้าตน้ ยางพาราต้นแรกของประเทศมาปลูกทอี่ า้ เภอกันตัง จังหวดั ตรงั จึงได้รับเกียรตวิ า่ เป็น \"บดิ าแหง่ ยาง\" จากนั้นพระยารัษฎา-นปุ ระดษิ ฐ์ ไดส้ ง่ คนไปเรียนวิธปี ลกู ยางพาราเพอ่ื มาสอนประชาชนพร้อมนา้ พนั ธุย์ างพาราไป แจกจ่าย และส่งเสริมใหร้ าษฎรปลกู ทว่ั ไป ซงึ่ ในยคุ น้นั อาจกล่าวไดว้ า่ เป็นยคุ ตืน่ ยางพาราและชาวบ้านเรียกยางพารานวี้ ่า “ยางเทศา” ตอ่ มาราษฎรไดน้ ้าเขา้ มา ปลูกเป็นสวนยางพารามากข้นึ และไดม้ กี ารขยายพ้ืนท่ีปลูกยางพาราไปในจงั หวัด ภาคใตร้ วม 14 จงั หวดั ตงั้ แต่จงั หวดั ชุมพรลงไปถึงจังหวดั ทตี่ ิดชายแดนประเทศ มาเลเซีย การพฒั นาอตุ สาหกรรมยางพาราของประเทศได้เจรญิ รดุ หน้าเรอ่ื ยมาจน ท้าให้ประเทศไทยเปน็ ประเทศที่ผลติ และส่งออกยางพาราไดม้ ากทส่ี ุดในโลก พ.ศ. 2444 พระสถลสถานพทิ ักษ์ ไดน้ า้ กลา้ ยางพารามาจากประเทศอนิ โด เซยี โดยปลูกไวท้ บ่ี ริเวณหนา้ บา้ นพกั ทอ่ี า้ เภอกันตัง จงั หวดั ตรัง ซึ่งปจั จุบนั นี้ยงั เหลือให้เหน็ เปน็ หลกั ฐานเพยี งต้นเดียวอยบู่ รเิ วณหนา้ สหกรณก์ ารเกษตรกันตัง และจากยางร่นุ แรกน้ี พระสถลสถานพิทักษ์ ไดข้ ยายเน้อื ท่ีปลกู ออกไป จนมเี นอ้ื ท่ี ปลกู ประมาณ 45 ไร่ นบั ไดว้ า่ พระสถลสถานพิทักษ์คอื ผเู้ ป็นเจา้ ของสวนยางคน แรกของประเทศไทย
ประวัติการปลูกยางพาราในภาคใตข้ องไทย ในชว่ งปี พ.ศ. 2475 หลวงสวุ รรณวาจกกสกิ จิ ผกู้ ่อตง้ั โรงเรยี นฝกึ หัดครปู ระถมกสิกร รมขน้ึ ทต่ี า้ บลคอหงส์ หลวงสุวรรณวาจกกสกิ ิจ ไดก้ ่อตง้ั สถานที ดลองกสกิ รรมภาคใตข้ นึ้ ท่ี บา้ นชะมวง ตา้ บลควนเนียง อา้ เภอกา้ แพงเพชร จังหวดั สงขลา และในปี พ.ศ. 2476 ไดย้ า้ ย สถานดี ังกลา่ วไปตงั้ ทตี่ า้ บลคอหงส์ อ้าเภอหาดใหญ่ พรอ้ มกับตัง้ โรงเรียนฝึกหัดครูประถม กสกิ รรมขึน้ ที่ตา้ บลคอหงสด์ ้วย โดยหลวงสวุ รรณวาจกกสกิ จิ ไดร้ บั การแต่งตงั้ ใหเ้ ปน็ อาจารยใ์ หญ่คนแรก ตอ่ มาในปี พ.ศ. 2496 หลวงสา้ รวจพฤกษาลยั (สมบรู ณ์ ณ ถลาง) หวั หนา้ กองการยางและนายรัตน์ เพชรจันทร ผชู้ ว่ ยหัวหน้ากองการยางได้เสนอร่างพระราช พระราชบัญญัติปลกู แทนต่อรัฐบาล อยา่ งไรก็ตามพระราชบัญญตั ดิ งั กลา่ วต้องใช้เวลาถงึ 6 รฐั บาล ในเวลา 6 ปี จงึ ออกพระราชบัญญตั กิ องทนุ สงเคราะหก์ ารทา้ สวนยางข้ึนในปี พ.ศ. 2503 และไดม้ ีการจดั ตงั้ ส้านักงานกองทนุ สงเคราะห์การทา้ สวนยางในปี พ.ศ. 2504 กจิ การ ปลูกแทนก้าวหนา้ ด้วยดีและเป็นท่พี อใจของชาวสวนยางพาราในภาคใต้ หลวงส้ารวจ พฤกษาลยั (สมบรู ณ์ ณ ถลาง) นายรตั น์ เพชรจันทร ผ้รู ิเร่มิ การปลูกแทน ยางพาราท่ีปลกู ใน สมยั แรกสว่ นใหญ่เป็นยางพาราพ้ืนเมืองท่ใี หผ้ ลผลิตต่้า ส่งผลใหช้ าวสวนยางพารามรี ายได้ นอ้ ยโดยเฉพาะในช่วงท่ยี างพารามรี าคาตกต่้า วธิ ีการแก้ไขคือการปลกู แทนยางพารา พื้นเมืองเหล่านั้นด้วยยางพาราพันธดุ์ ีทีใ่ หผ้ ลผลิตสงู ผผู้ ลติ ยางพาราหลายประเทศไดเ้ รง่ การ ปลกู แทนยางพาราเกา่ ด้วยยางพาราพันธุ์ดีเพือ่ เพ่มิ ผลผลติ ยาง พารา เช่น ประเทศมาเลเซีย ไดอ้ อกกฎหมายสงเคราะห์ปลกู ยางพาราในปี พ.ศ. 2495 และประเทศศรลี งั กาไดอ้ อก กฎหมายทา้ นองเดียวกันในปี พ.ศ. 2496 ตอ่ มาได้รับความร่วมมอื จากส้านกั งานโครงการ พัฒนาแห่งสหประชาชาติใหจ้ ัดตั้งศนู ย์วิจยั การยางข้ึนทต่ี ้าบลคอหงสใ์ นปี พ.ศ. 2508
ในปี พ.ศ. 2508 ดร.เสรมิ ลาภ วสุวตั ซง่ึ เปน็ ผูว้ างรากฐานการวจิ ยั และพฒั นา ยางพารา การวิจยั และพัฒนายางพาราเป็นสงิ่ จา้ เป็นสา้ หรับความก้าวหนา้ ของ อุตสาหกรรมยางพาราไทย โดยเปลย่ี นสถานะจากสถานที ดลองยางพาราตา้ บลคอหงส์ ผ้ทู ี่ มีบทบาทส้าคัญในการวางรากฐานการวิจยั และพัฒนายางของไทยคือ ดร.เสรมิ ลาภ วสวุ ตั ผอู้ ้านวยการกองการยาง ซึ่งเปน็ ผคู้ วบคุมและดูแลศูนยว์ จิ ัยการยางที่ต้งั ขน้ึ ใหม่ ศูนยว์ จิ ยั การยางไดร้ บั ความชว่ ยเหลอื จากองคก์ ารอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติ และมี ผู้เชี่ยวชาญยางพาราสาขาต่างๆ มาชว่ ยวางรากฐานในการวิจัยและพฒั นาร่วมกบั นกั วจิ ยั ของไทยในระยะเรมิ่ แรก มกี ารวจิ ัยยางดา้ นตา่ งๆ เช่น ด้านพนั ธย์ุ างพารา โรคและศัตรู ยางพารา ดา้ นดินและปุ๋ย การดแู ลรกั ษาสวนยางพารา การกา้ จดั วชั พชื การปลกู พืชคลมุ การปลูกพชื แซมเพือ่ เพิ่มพนู รายไดใ้ หแ้ กช่ าวสวนยางพารา ดา้ นอตุ สาหกรรมยางพารา และเศรษฐกจิ ยางพารา และมีการพฒั นายางพาราโดยเน้นการพฒั นาสวนยางพาราขนาด เล็ก เชน่ การกรดี ยางหน้าสงู การใชย้ าเร่งน้ายางพารา การสง่ เสรมิ การแปลงเพาะและ ขยายพนั ธย์ุ างพาราของภาคเอกชน การรวมกลมุ่ ขายยางและการปรับปรุงคณุ ภาพ ยางพารา และการใชป้ ระโยชนไ์ ม้ยางพารา มกี ารออกวารสารยางพาราเพอื่ เผยแพร่ ความรูไ้ ปสชู่ าวสวนยางพาราและผเู้ กี่ยวข้อง รวมท้ังจัดหลักสตู รการฝกึ อบรมและการจดั สัมมนายางพาราเพือ่ ถ่ายทอดความรใู้ ห้แพรห่ ลายยิ่งขึน้ นอกจากนยี้ งั มกี ารรว่ มมอื กับ องคก์ รยางระหวา่ งประเทศในการวจิ ยั และพฒั นายางอย่างกว้างขวาง ในระยะต่อมา ศนู ยว์ จิ ยั การยางได้เปลย่ี นชื่อเป็นศนู ยว์ ิจยั ยางสงขลาในปี พ.ศ. 2527 และมกี ารกอ่ ตัง้ ศูนย์วจิ ยั ขนึ้ อีกท่จี ังหวัดสุราษฎร์ธานี และจงั หวัดนราธวิ าส เพือ่ ขยายงานวจิ ัย และพัฒนา ยางพาราให้ครอบคลมุ พน้ื ทีป่ ลกู ยางพาราของประเทศ การวจิ ยั และพฒั นายางเหลา่ นเ้ี ป็น พ้นื ฐานที่สา้ คญั ท้าให้การปลกู แทนในพืน้ ทย่ี างประสบความส้าเรจ็ มากขึน้ (องคก์ ารสวน ยาง จงั หวดั นครศรธี รรมราช)
การปลูกและการดูแลรกั ษา การเตรียมพื้นท่ี สภาพพื้นท่ีเดิมท่จี ะใชส้ ้าหรับปลกู ยางพาราในแตล่ ะท้องทแ่ี ต่ละแหง่ จะมี ลกั ษณะทแ่ี ตกต่างกันออกไปตามลกั ษณะของพืน้ ท่ี และในการเตรยี มพื้นทส่ี ้าหรับ ปลูกจงึ สามารถท้าไดห้ ลายวิธี เชน่ ในกรณีท่ีเปน็ สวนยางพาราเก่า พ้นี ทมี่ ลี ักษณะ เปน็ ป่า หรือมไี มอ้ ื่นปลกู รวมอย่ดู ว้ ย การเตรยี มพน้ี ท่ีนัน้ จะตอ้ งโคน่ ลม้ ไม้เหลา่ นอี้ อก เสยี ก่อน ซง่ึ การโค่นลม้ ไมอ้ าจท้าโดยใชแ้ รงงานคน หรือแรงงานเครือ่ งจกั รกล เช่น ใชเ้ ล่ือย ใชข้ วานฟันหรอื ใชเ้ ล่ือยยนตก์ ไ็ ด้ โดยตัดไมใ้ ห้เหลอื เฉพาะตอไม้ ให้ ความสูงจากพืน้ ดินประมาณ 50 ถึง 60 เซนตเิ มตร จากน้ันจะต้องท้าการฆ่าตอไม้ โดยใชย้ าฆา่ ตอไม้ ชนิด 2,4,5-T ในอัตราสว่ นสารเคมี 1 ส่วน ผสมน้ามันโซล่า 16 ส่วน และใช้ทาตอไมใ้ นขณะทยี่ งั มีความสดอยู่ ซ่ึงเป็นวิธกี ารทจี่ ะท้าใหต้ อไม้ตาย และผสุ ลายเรว็ ขนึ้ หรอื อาจใชร้ ถแทรกเตอรไ์ ถตน้ ไมท้ ้งั หมดก็ได้ วิธนี ีจ้ ะถอนราก ถอนโคนของไมอ้ อกได้หมด แตม่ ขี อ้ เสยี บางประการคอื เกดิ การสญู เสียหน้าดนิ มาก หลงั จากโค่นต้นยางเกา่ หรอื ตน้ ไมอ้ ่นื ลงหมดแลว้ และจะตอ้ งเก็บไมใ้ หญอ่ อกจาก พน้ื ที่ จากน้ันเก็บเศษไม้ตา่ งๆ มารวมกนั ไว้เปน็ กอง จดั เรยี งเป็นแนวตามพน้ื ที่ และ ตากใหแ้ หง้ เพอื่ ท้าแนวกนั ไฟ จากนน้ั ก็ท้าการเผาเศษไมเ้ หล่านนั้ หลังจากเผาเสรจ็ แล้ว กค็ วรจะรวบรวมปรนทยี่ ังเผาไหมไ้ มห่ มดมารวมกนั เพื่อเผาใหม่อกี ครัง้ และท้า การเตรยี มพ้ืนท่ีสา้ หรบั ปลูก โดยการใช้วธิ กี ารไถ จ้านวน 2 ครงั้ พรวนดินอีก 1 ครง้ั ส่วนพ้ืนทีท่ ยี่ ังมตี อไม้ยางเก่าหรือตอไมอ้ ื่นอย่หู ลงเหลืออยู่ อาจจะทา้ ให้การ เตรยี มดินสา้ หรับการปลกู ไมส่ ะดวกมากนัก แตห่ ากเป็นกรณีทเ่ี ปน็ พืน้ ทีท่ ีจ่ ะปลกู มี ความลาดเทมาก เช่น พื้นทบี่ รเิ วณควนหรือเนนิ จะตอ้ งมกี ารจดั ทา้ พ้ืนท่ีเปน็ ข้ันบันไดหรือทา้ การตา้ นดนิ เพ่ือสกัดกั้นไมใ่ ห้น้าฝนชะล้างดนิ เหลา่ นัน้ ให้ไหลตาม นา้ การท้าพืน้ ทเี่ ป็นขน้ั บันไดอาจท้าเฉพาะในลกั ษณะของตน้ หรอื ยาวเป็นแนว เดยี วกัน หรอื อาจจะจะทา้ พ้ีนที่ในลกั ษณะเปน็ วงรอบไปตามลกั ษณะของควนหรือ เนินก็ได้ โดยให้ระดบั ขนานกบั พืน้ ดิน และความกว้างของข้ันบันไดอย่างนอ้ ยกวา้ ง 1.5 เมตร และแตล่ ะขน้ั บนั ไดก็ใชว้ ิธกี ารตดั ดินใหม้ ีความลกึ และเอียงเข้าไปในทาง เปน็ เนนิ ดิน โดยใหบ้ รเิ วณขอบดา้ นนอกของขัน้ บนั ไดเป็นลักษณะคนั ดิน มคี วามสงู ประมาณ 30 เซนตเิ มตร ความกว้าง 60 ถึง 70 เซนตเิ มตร และระยะหา่ งระหวา่ ง ขน้ั บนั ไดมีความกวา้ งระหวา่ ง 8 ถงึ 10 เมตร ทงั้ นขี้ น้ึ อยกู่ บั ความลาดชันของควน หรือเนิน หากมคี วามชันมากระยะระหวา่ งขน้ั บนั ไดก็ควรจะหา่ งออกไปด้วย
ระยะปลกู และการวางแนวปลกู การก้าหนดระยะปลกู และการวางแนวปลกู จะตอ้ งพิจารณาถงึ สง่ิ ตา่ งๆ เช่น พันธุ์ ยางพาราที่ใช้ปลกู สภาพพ้ืนที่ เปน็ ตน้ ส้าหรบั ระยะปลกู ในทร่ี าบ จากการทดลองคน้ คว้า พบวา่ ต้นยางพาราจะเจรญิ เติบโตไดด้ ที ส่ี ุดตอ้ งมพี ืน้ ทไ่ี ม่น้อยกว่า 20 ตารางเมตรตอ่ 1 ต้น สา้ หรับการแนะนา้ เจ้าของสวนยางพาราในเร่อื งระยะปลูกจึงต้องคา้ นงึ ถงึ เร่อื งพื้นที่ที่จะให้ ตน้ ยางพาราดังกลา่ วเปน็ หลัก สว่ นจะใชร้ ะยะเท่าใดนน้ั ข้ึนอยกู่ บั วา่ จะปลกู พชื แซมระหว่าง แถวยางหรอื ไม่ การใชร้ ะยะระหวา่ งแถวกวา้ ง วัชพชื จะมีพื้นทใ่ี นการเจรญิ เตบิ โตมากเชน่ เดยี วกนั ถ้าใชร้ ะยะระหวา่ งแถวแคบเกนิ ไปหรือมีระยะนอ้ ยกว่า 2.5 เมตร ตน้ ยางจะเบยี ดเสยี ดกนั แยง่ ธาตอุ าหารกนั และจะชะลดู ขึน้ ไป เจริญเตบิ โตทางดา้ นขา้ งนอ้ ย ซง่ึ ทางสา้ นกั งาน กองทนุ สงเคราะหก์ ารท้าสวนยางไดก้ า้ หนดระยะปลกู ยางในพ้ืนทร่ี าบไวด้ งั นี้ ระยะปลกู ยาง (เมตร) จานวน (ตน้ ตอ่ ไร)่ หมายเหตุ 3x7 76 ปลกู พชื แซม 2.5x8 76 ปลกู พชื แซม 3x8 67 ปลกู พชื แซม 3.5x7 67 ปลกู พชื แซม 4.6 67 ไมป่ ลกู พชื แซม สว่ นการก้าหนดแถวหรือการจดั วางแนวปลกู เพอ่ื ใหไ้ ด้สวนยางพาราที่มลี ักษณะ สวยงามเป็นระเบยี บ มขี นั้ ตอนในการจัดวางแนวดังตอ่ ไปน้ี ก้าหนดแถวหลัก : การกา้ หนดแถวหลักควรจะปลกู ขวางทศิ ทางการไหลของนา้ เพ่ือลดการชะล้างหนา้ ดิน และจะต้องให้หา่ งจากแนวสวนยางพาราเกา่ ไมน่ ้อยกวา่ 1.5 เมตร และไม่ควรก้าหนดแถวหลกั ไปตามแนวเดยี วกับสวนยางพาราเก่าเนื่องจากต้น ยางพาราทป่ี ลกู ใหมจ่ ะถกู แยง่ อาหารและไดร้ ับแสงไม่เพยี งพอ จดั เล็งแนวการท้าแถวหลัก : เม่ือกา้ หนดแถวหลักวา่ จะใชใ้ นแถวใดแลว้ กท็ ้าการ วัดระยะจากเขตสวนยางพาราในดา้ นทจี่ ะเรม่ิ ท้าแถวแรกในการปลกู เข้าไปเป็นแนวตั้งฉาก เป็นระยะหา่ งในการปลกู
วิธีปลกู ส้าหรบั การปลกู ยางพารา มีวธิ กี ารปลกู หลายวธิ ีการทใ่ี ช้ไดผ้ ลดแี ละนิยมนา้ มา ปฏิบัตกิ ัน ไดแ้ ก่ วธิ ปี ลกู ดว้ ยเมลด็ แลว้ น้ามาติดตาในแปลง การปลกู ดว้ ยต้นตอตา และ การปลกู ดว้ ยตน้ ยางชา้ ในถุง การจะเลอื กใชว้ ิธีการใดในการปลกู ยางพารานัน้ ข้นึ อยู่ กบั หลายปจั จัย เช่น ความสะดวก การเจรญิ เตบิ โตและความแขง็ แรงของตน้ ยางพารา และเงินทุน เปน็ ตน้ ดงั รายละเอียดดังนี้ การปลูกด้วยเมล็ดแลว้ ติดตาในแปลง การปลูกสร้างสวนยางพาราโดยวิธีน้จี ะไดต้ น้ ยางพาราที่มรี ะบบรากท่ีแข็งแรงดี มี การเจริญเติบโตอยา่ งสมา่้ เสมอ ขอ้ ดีของตน้ ยางพาราทต่ี ดิ ตาแลว้ คือยงั คงจา้ นวน เหลอื พอทีจ่ ะใช้ปลกู ซอ่ มหรืออาจจ้าหน่ายให้เจ้าของสวนอ่นื ได้อกี การปลกู แบบ ดังกลา่ วมวี ธิ กี ารคือ 1. การเตรยี มพนื้ ที่ โดยการไถพลกิ ดนิ และเกบ็ เศษวชั พืชออกจากพนื้ ทใ่ี หห้ มด จากนน้ั ทา้ การไถพรวนซา้ อีกครั้งเพ่ือใหด้ นิ รว่ นและทา้ การปกั ไมช้ ะมบตามระยะปลูกที่ กา้ หนด 2. เตรยี มหลมุ ปลูก โดยให้ขนาดของหลุมท่ใี ช้ปลูก มีความกว้าง ยาวและลกึ เทา่ กบั 50 x 50 x 50 เซนติเมตร หลงั จากนนั้ ใหต้ ากแดดท้ิงไว้ 10 ถึง 15 วนั เพอื่ ใหม้ ี การย่อยของดนิ ทอี่ ยชู่ น้ั บนผสมกับปยุ๋ หินร็อคฟอสเฟตในอตั รา 170 กรัมต่อหลุม คลุกเคลา้ ลงไปในหลมุ 3. นา้ เมลด็ มาปลูกลงในหลมุ ทีเ่ ตรยี มไวห้ ลมุ ละ 3 เมล็ด มีระยะหา่ งระหวา่ งเมลด็ 25 เซนตเิ มตร การวางเมล็ดควรวางให้ดา้ นแบนของเมลด็ คว่้าลง หรือหากปลกู ดว้ ย เมล็ดงอกกใ็ ห้ด้านรากของเมล็ดควา้่ ลง ลกึ ลงไปจากผิวดินประมาณ 3 เซนติเมตร
4. ท้าการตดิ ตา เม่อื กลา้ ยางมีอายไุ ด้ 7 ถงึ 8 เดอื นหรือมีขนาด เสน้ ผ่าศูนย์กลางของล้าตน้ ประมาณ 1 ถงึ 1 1/2 เซนติเมตร ก็จะท้าการตดิ ตา บริเวณตา้ แหน่งในระดับสูงจากพื้นดิน ประมาณ 10 เซนตเิ มตร หลงั จากน้นั 21 วัน หากการตดิ ตาสา้ เรจ็ มากกวา่ 1 ตน้ ก็ใหเ้ ลอื กตดั เฉพาะยอดตน้ ยางพาราที่ สมบูรณท์ ่สี ดุ ที่มีความสูงระดบั 10 ถึง15 เซนติเมตร เอียง 45 องศา ทางดา้ นตรง ขา้ มกับแผน่ ตา จากนน้ั อกี 1 เดอื น ถ้าหากตาของต้นทีต่ ดั ยังไมแ่ ตกกพ็ จิ ารณาตดิ ตน้ อืน่ ตอ่ ไป 5. การดูแลรกั ษา กอ่ นท้าการตดิ ตาตอ้ งท้าการก้าจัดวชั พชื พรอ้ มกบั การใส่ ปุ๋ยกอ่ นทกุ คร้งั โดยใชส้ ูตร 1 หรือ 3 ในอตั รา 15 กรัมตอ่ ตน้ หลังจากปลกู ไปแล้ว ในเดือนที่ 1 เดอื นท่ี 2 และเดือนที่ 3 และกอ่ นตดิ ตา 1 เดือน จากนนั้ หลังจากการ ติดต้นเดิมแลว้ ก็จะใส่ปยุ๋ สูตร 1(18-10-6) หรอื สูตร 3 (16-18-14) สูตรใดสตู รหนง่ึ ตามรายละเอียดในตารางดา้ นล่าง อายตุ น้ ตดิ ตาหลงั ตน้ เดมิ (เดอื น) จานวนป๋ ยุ ทใ่ี ช้ (กรมั ตอ่ ตน้ ) 2 60 5 60 8 90 12 120 15 120 18 120 24 190 30 190 36 190 42 190 48 400 54 400 รวม 2,130
การปลกู ด้วยต้นตอตา ต้นตอตาคอื ต้นกล้ายางที่ตดิ ตาดว้ ยยางพนั ธด์ุ ีไว้เรยี บร้อยแลว้ แตต่ ายังไม่ แตกออกมา มองเหน็ เฉพาะแผน่ ตาและตาเป็นตุ่มตดิ อยเู่ ท่านั้น การปลกู โดยใชต้ ้น ตอตาน้ีในปจั จุบนั เป็นทีน่ ิยมมากที่สุด เพราะง่ายตอ่ การปฏบิ ตั แิ ละต้นยางพารามีการ เจรญิ เติบโตไดด้ ี ลักษณะของต้นตอยางท่ดี ีจะต้องมีสว่ นของรากแกว้ ท่ีมีความสมบรู ณ์ ล้าต้นไม่คดงอ ความยาววดั จากโคนต้นตอดินความสงู ไมน่ อ้ ยกวา่ 20 เซนตเิ มตร ลา้ ตน้ ตรงมี เสน้ ผา่ ศูนย์กลางบริเวณทีต่ ดิ ตาไมน่ ้อยกว่า 1 เซนติเมตรและไม่ควรโตกวา่ 1.5 เซนติเมตร และระยะจากตาถึงโคนตน้ คอดนิ ต้องไมเ่ กิน 8 เซนตเิ มตร และระยะจาก ตาจนถึงรอยตดั ระยะไมน่ อ้ ยกว่า 8 เซนตเิ มตรเชน่ กนั ขนาดของแผ่นตาความกวา้ ง ไม่เกนิ 1.2 เซนติเมตร และความยาวไมน่ อ้ ยกวา่ 5 เซนตเิ มตร สว่ นรอยตดั เหนือ แผน่ ตาตอ้ งใหล้ าดเอยี ง 45 องศา ไปตามแนวด้านตรงข้ามกบั แผน่ ตา ส้าหรบั ข้อท่ี ควรระวังในการปลกู ดว้ ยต้นตอตา คือขณะทา้ การปลกู ควรให้แผ่นตาอยู่ในแนวทศิ เหนือทิศใต้ เพอ่ื ไม่ให้แผน่ ตาถกู แสงแดดมากจนเกินไป การปลกู จะตอ้ งอดั ดินให้ แน่นที่สุดเทา่ ทจ่ี ะทา้ ไดเ้ พอ่ื ใหร้ ากสมั ผสั กบั ดนิ ใหม้ ากทส่ี ดุ โดยมขี น้ั ตอนและวธิ ี ปฏิบตั ดิ งั น้ี 1. การเตรียมพนื้ ทส่ี ้าหรับการปลกู จะต้องท้าการไถพลกิ ดนิ จา้ นวน 2 ครัง้ และเก็บเศษไม้และวชั พชื ออกจากพ้ืนที่ให้หมด จากนั้นจงึ ทา้ การไถพรวนซา้ อกี ครัง้ เพอ่ื ใหด้ ินรว่ นซุย และปกั ไมช้ ะมบตามระยะปลูกตามทกี่ า้ หนดไว้ 2. ขุดหลมุ ทจี่ ะทา้ การปลกู มขี นาด 50 x 50 x 50 เซนตเิ มตร และตากหลุม ไว้ 10 ถงึ 15 วัน เพอ่ื ใหเ้ กดิ การยอ่ ยดินทุกช้นั และผสมปุ๋ยหินฟอสเฟต อตั รา 170 กรัมต่อหลุมใสล่ งไปในหลมุ ที่เตรยี มไว้
3. ใช้เหล็กหรอื ไมป้ ลายแหลมแทงลงไปในหลมุ ขนาดเกือบ เท่าความยาวของรากแกว้ น้าตน้ ตอตาลงไปปลูกโดยให้แผน่ ตาอยู่ใน แนวเหนอื หรือใต้ จากนน้ั อัดดนิ ใหแ้ น่นเทา่ ท่ีจะท้าได้ แลว้ ท้าการ กลบดินใหอ้ ยใู่ นแนวระดบั ทด่ี ินอยบู่ ริเวณส่วนรอยตอ่ ของรากกบั ล้าตน้ และหลังท้าการปลูกเสร็จควรพูนดนิ บริเวณโคนต้นให้สูงขึน้ เลก็ น้อย เพอ่ื ป้องกันน้าขัง คลมุ โคนตน้ ดว้ ยเศษฟางขา้ วหรือวัสดุอน่ื ๆ เท่าทจ่ี ะ หาได้ ในกรณีที่ฝนไมต่ ก ตดิ ต่อกนั หลายวันหลงั จากปลูกไปแล้วควร ใชน้ า้ รดต้นไมด้ ้วย ดว้ ยอัตราประมาณ 5 ลติ รตอ่ ตน้ หรือตามความ เหมาะสม การดูแลรักษาด้านอ่ืนๆ เช่น การใสป่ ุ๋ย ควรก้าหนดสตู รปุ๋ย คือ ปุ๋ยสตู ร 1 = 18-10-16 ป๋ยุ สตู ร 2 = 18-4-5 ปุ๋ยสูตร 3 = 16-8-14 และปุ๋ยสูตร 4 = 4-4-9 ตามอตั ราที่แสดงในตาราง อายตุ น้ ยางหลงั จาก ป๋ ุยสาหรบั ยางกอ่ นเปิ ดกรดี ปรมิ าณป๋ ยุ ทใ่ี ช้ ปลกู (เดอื น) (กรมั ตอ่ ตน้ ) ดนิ รว่ น ดนิ ทราย 2 60 5 ป๋ ยุ สตู ร 1 ป๋ ยุ สตู ร 3 60 8 90 12 ป๋ ยุ สตู ร 1 ป๋ ยุ สตู ร 3 120 15 120 18 ป๋ ยุ สตู ร 1 ป๋ ยุ สตู ร 3 120 24 190 30 ป๋ ยุ สตู ร 1 ป๋ ยุ สตู ร 3 190 36 190 42 ป๋ ยุ สตู ร 1 ป๋ ยุ สตู ร 3 190 48 400 54 ป๋ ยุ สตู ร 1 ป๋ ยุ สตู ร 3 400 60 400 66 ป๋ ยุ สตู ร 1 ป๋ ยุ สตู ร 3 400 ป๋ ยุ สตู ร 1 ป๋ ยุ สตู ร 3 ป๋ ยุ สตู ร 1 ป๋ ยุ สตู ร 3 ป๋ ยุ สตู ร 2 ป๋ ยุ สตู ร 4 ป๋ ยุ สตู ร 2 ป๋ ยุ สตู ร 4 ป๋ ยุ สตู ร 2 ป๋ ยุ สตู ร 4 ป๋ ยุ สตู ร 2 ป๋ ยุ สตู ร 4 ป๋ ยุ สตู ร 2 ป๋ ยุ สตู ร 4
การปลูกด้วยตน้ ยางชา้ ถงุ เป็นวธิ ีปลูกยางพาราท่ปี ระสบผลส้าเรจ็ สงู สุดเม่ือเปรยี บเทียบกบั วธิ ีอื่นๆ เนื่องจากช่วยให้ต้นยางพารามกี ารเจริญเตบิ โตอยา่ งสม้่าเสมอ ลดช่วง ระยะเวลาในการดูแลรักษาตน้ ยางอ่อนให้สั้นลง และสามารถกรดี ยางไดเ้ ร็ว กวา่ การปลูกดว้ ยต้นตอตาหรือติดตาในแปลง การปลูกดว้ ยต้นยางช้าถงุ มี อยู่วธิ ีการปฏิบัติ 2 วิธคี ือ การใช้วธิ ีติดตาในถงุ ทา้ โดยการปลกู ต้นกลา้ ยาง ในถงุ ขนาด 8 x 10 นวิ้ เม่ือตน้ กลา้ ยางอายุ 4 ถึง 8 เดอื น กท็ า้ การติดตา และอีกวธิ ีหน่งึ คอื การใชต้ น้ ตอตาเขียวมาปลูกในถุง ขนาด 5 x 16 น้วิ และ ขนาด 4 x 15 น้ิว ท้งั 2 วิธจี ะมีความแตกต่างกันคือ การช้าถุงดว้ ยต้นตอตา เขียวจะใชเ้ วลาในการแตกฉัตรที่ 1 และ 2 นานกวา่ วธิ ีการตดิ ตาในถงุ คือ การปลูกดว้ ยตน้ ตอตาเขียวจะใช้เวลาเตบิ โต 7½ ถงึ 10 สัปดาห์ แตก่ ารตดิ ตาในถงุ จะใช้เวลา 6 ถงึ 7½ สัปดาหเ์ ทา่ นนั้ ในด้านความเสียหายเมื่อยา้ ยที่ จะปลกู คือตน้ ยางช้าถุงทีป่ ลกู ดว้ ยวิธีตดิ ตาในถงุ จะมีความเสียหายสงู กวา่ การช้าถงุ ดว้ ยต้นตอตาเขยี ว 5 ถึง 6 เทา่ ตัว
สา้ หรบั วธิ ีการปลูก ดว้ ยตน้ ยางชา้ ถงุ จะมขี น้ั ตอนและวธิ ีปฏิบตั ิดงั นี้ 1. เตรียมต้นยางชา้ ถงุ โดยใช้ต้นตอตาเขยี ว เร่ิมต้ังแต่การนา้ ดิน กรอกใส่ถงุ ขนาด 4 x 15 น้วิ โดยใช้ดินร่วนผสมปุ๋ยหินฟอสเฟต อัตรา 7-10 กรัมต่อถุง แล้วนา้ มาอดั ใสถ่ ุงใหแ้ น่น ใชไ้ ม้ปลายแหลม ปักลงบริเวณกลางถุงใหเ้ ป็นรู ใช้ต้นตอตาปลูกใหต้ าสูงจากดินในถงุ ประมาณ 2 น้วิ อัดดินให้แนน่ แลว้ นา้ ไปเรียงไว้ในท่ีร่มทมี่ ีแดดรา้ ไร ในระยะแถวกวา้ ง 10 ถุง และเม่ือตาแตกออกจงึ จดั ขยายเปน็ 4 ถุงต่อ ความกว้างของแถว การบา้ รงุ รกั ษาหลังจากตางอกแลว้ 2 ถึง 3 สัปดาห์ ให้ใสป่ ๋ยุ สูตร 1 ในครงั้ แรกและครั้งตอ่ ไปทุก 2 ถงึ 4 สปั ดาห์ ในอตั รา 5 กรมั ต่อถุงจนกว่าตน้ ตาจะโต 1 ถงึ 2 ฉัตร และมีใบแก่ เต็มที่ (โดยการสังเกตยอดของฉัตรท่ีเริ่มผลติ ยอดอ่อนเป็นป่มุ ขน้ึ มา) จากนั้นก็พร้อมที่จะย้ายตน้ และนา้ ไปปลูกในแปลงได้ 2. การปลูก เร่ิมตั้งแต่การเตรียมพ้ืนท่ี การเตรยี มหลุมปลกู ซงึ่ จะ เหมอื นกบั การปลูกดว้ ยต้นตอตา สว่ นวธิ ีการปลูก ให้ใช้มีดคมกรดี เอา กน้ ถุงออก กรณีทม่ี ีรามว้ นอยู่ก้นถงุ ให้ตัดออกดว้ ย นา้ ถงุ หย่อนลงใน หลมุ แล้วใช้มดี กรีดถงุ อกี คร้ัง จากก้นถุงจนถึงปากถงุ ท้ัง 2 ข้าง จากนน้ั น้าดนิ มากลบพอหลวมแลว้ ดงึ เอาถุงพลาสติกออก และกลบดนิ เพิม่ และกดใหแ้ น่นจนได้ระดับบริเวณโดยใหโ้ คนต้นสงู อย่ใู นระดับ เดยี วกับต้นท่ปี ลูกในถุง ส่วนการดแู ลรักษาโดยเฉพาะระยะเวลาการ ใส่ปุ๋ย ชนิดของปยุ๋ และปริมาณทีใ่ สก่ ็จะกระท้าเหมือนกันกบั การปลกู ด้วยตน้ ตอตา
การขยายพันธุ์ ยางพาราสามารถท้าการขยายพันธ์ุได้หลายวิธี เชน่ การขยายพันธ์โุ ดยใช้ เมล็ด ใชว้ ธิ กี ารตดิ ตาเขียว ติดตาสีน้าตาล เป็นต้น แตก่ ารขยายดว้ ยเมลด็ ปจั จบุ ันใน ประเทศไทยไมน่ ยิ มการขยายพนั ธุ์ดว้ ยวิธีน้ี ทัง้ นเ้ี พราะไมม่ สี วนเก็บเมลด็ โดยตรง และเมลด็ ยางพาราท่นี า้ ไปปลูกจะมกี ารกลายพันธม์ุ าก แตก่ ารใชเ้ มล็ดขยายพันธ์ุ มักจะน้าไปใชเ้ พาะตน้ กลา้ เพ่ือใชท้ า้ เปน็ ตน้ ตอส้าหรับตดิ ตาเปน็ ส่วนใหญ่ สว่ นการ ขยายพันธ์โุ ดยวธิ กี ารตดิ ตา จะแบง่ ออกเปน็ การตดิ ตาเขยี ว และการติดตาสีนา้ ตาล แต่ส่วนใหญน่ ิยมขยายพนั ธดุ์ ว้ ยการตดิ ตาเขียวมากกว่า เพราะทา้ ได้งา่ ย สะดวก รวดเรว็ มเี ปอรเ์ ซน็ ต์การติดสูงมากกวา่ 90 เปอร์เซ็นต์ ซง่ึ การขยายพันธวุ์ ิธีดงั กล่าวมี วธิ กี ารด้าเนินงาน 3 ขน้ั ตอนคือ 1. การสร้างแปลงกลา้ ยาง วสั ดทุ ีจ่ ะใชป้ ลกู แปลงกล้ายาง อาจใชส้ ว่ นประกอบเพียง 3 ชนิด คือ เมลด็ สด เมลด็ งอก และตน้ กลา้ 2 ใบ จากการศึกษาเรือ่ งการเลอื กใช้สว่ นประกอบของ ยางพาราสา้ หรับปลกู ท้าแปลงกลา้ ยางน้ัน พบว่าการใชเ้ มล็ดสดในการปลกู จะดที ส่ี ดุ เน่อื งจากต้นกล้ายางทไี่ ด้ จะโตเร็วและแข็งแรง มรี ะบบรากดี และเปน็ การประหยัด งานและเวลา ส่วนการปลูกดว้ ยตน้ กลา้ 2 ใบ นนั้ ตน้ กลา้ จะตายเป็นจ้านวนมาก และ มากกว่าการปลูกดว้ ยเมลด็ ถงึ 2 เท่า ในช่วงระยะ เวลา 6 เดือน ซงึ่ กลา้ ยาง 2 ใบนั้น ควรใชน้ า้ ไปปลกู กรณีทหี่ าเมลด็ ไมไ่ ดเ้ ทา่ นน้ั สา้ หรบั ขั้นตอนและวิธปี ฏิบตั ใิ นการ สร้างแปลงและวธิ กี ารปลกู ตลอดจนการดแู ลรกั ษา มีข้ันตอนดงั ต่อไปนี้ 1. การเลือกพืน้ ทใ่ี นการปลกู ควรเลอื กสภาพพ้นื ท่ีทเี่ ป็นทรี่ าบ ดินรว่ นเพราะ จะมคี วามอดุ มสมบรู ณส์ งู มีการระบายน้าดี อยูใ่ กลแ้ หลง่ น้าและการคมนาคมสะดวก 2. การเตรยี มดนิ ควรท้าการไถพลกิ ดิน 2 ครงั้ หลังจากน้ันทา้ การไถพรวนอีก 1 ถงึ 2 ครงั้ แล้วแต่ความเหมาะสมเพ่อื ใหพ้ น้ื ท่ีมีความเรยี บสมา้่ เสมอ ใน ขณะเดยี วกันควรเกบ็ เศษวัชพืชออกจากแปลงปลกู ใหห้ มดในการไถพรวนครัง้ สดุ ทา้ ย และควรหว่านป๋ยุ รอ็ คฟอสเฟต 100 กิโลกรัม และแมกนเี ซยี มไลปัส-โตน 40 กิโลกรมั ตอ่ พ้นื ท่ี 1 ไร่ เน่ืองจากดนิ ในประเทศไทย หากปลกู กล้ายางพาราหลายๆ ครัง้ ซ้ากนั ในทเี่ ดยี วกนั กลา้ ยางมักจะแสดงอาการขาดธาตแุ มกนเี ซียม และแผ่นใบ ตรงกลางระหว่างเส้นใบจะมีสซี ดี เหลืองหรอื ขาว โดยจะแสดงอาการหลังจากยาง งอกแลว้ ประมาณ 2 ถงึ 3 เดือน ดังนน้ั การใส่ปุย๋ แมกนเี ซยี มไลมัสโตนจึงมคี วามจา้ เปน็ มาก โดยเฉพาะในแปลงกล้าทเ่ี กิดอาการขาดธาตุแมกนเี ซยี มแลว้ กอ่ นจะท้าใหม่ ตอ้ งใส่แมกนีเซียมกอ่ นทกุ คร้งั
3. การวางแผนผังแปลงกลา้ แปลงกลา้ ยางแตล่ ะแปลงยอ่ ย ไมค่ วรมพี น้ื ท่ีเกนิ 1 ไร่ หากเป็นการใหน้ ้าแบบระบบสปริงเกอรค์ วรจดั ขนาดแปลงเข้ากับระบบน้า และรอบ แปลงแตล่ ะแปลงควรวางแนวขดุ ครู ะบายนา้ และหากเปน็ พ้นื ทล่ี าดชัน ควรวางแถว ปลกู ขวางแนวลาดชนั และควรจะยกรอ่ งปลกู เปน็ แถวคู่ เพ่อื ป้องกนั นา้ ชะเมลด็ 4. วธิ กี ารปลูก มีอยู่ 3 วิธีคอื การปลกู ดว้ ยเมลด็ สด เรม่ิ ต้งั แตก่ ารวางแนวปลกู โดยปักไมช้ ะมบไวท้ ีห่ วั และท้าย แปลง ในระยะ 30 x 60 เซนตเิ มตร ในลกั ษณะเป็นแนวยาวแลว้ ขงึ เชอื กระหวา่ งไม้ ชะมบกบั หวั ท้ายแปลง ซึ่งจะเป็นแนวสา้ หรบั เรยี งเมลด็ สด จากนนั้ ใช้จอบลากเปน็ ร่อง ลึก ประมาณ 5 เซนติเมตรตามแนวเชือก แลว้ น้าเมล็ดสดมาวางเรียง โดยจา้ นวนเมล็ด ท่เี รียงน้นั ขึ้นอย่กู บั ความงอกของเมล็ด ถ้ามเี ปอรเ์ ซน็ ต์ความงอกสงู ให้เรยี งเมลด็ ห่าง ปกติในชว่ งระยะ 1 เมตร จะวางเรยี งประมาณ 18 ถงึ 24 เมลด็ ในการเรยี งน้ันใหด้ า้ น แบนของเมลด็ คว้า่ ลง หลงั จากนั้นท้าการกลบดิน ซ่งึ ในการปลกู แต่ละแปลงน้นั จะใช้ เมล็ดประมาณ 300 กโิ ลกรัมต่อไร่ การปลกู ดว้ ยเมลด็ งอก เริ่มต้งั แตก่ ารเพาะเมล็ดยางในแปลงเพาะเมลด็ โดยยก ร่องกวา้ ง 1 เมตร 20 เซนติเมตร สว่ นความยาวของแปลงขึ้นอยกู่ บั ความต้องการ จากนนั้ ใชท้ รายหรอื ขเ้ี ลือ่ ยเกา่ ๆ กลบบนแปลงเพาะแล้วเกลย่ี ให้เรยี บ รดน้าให้ชมุ่ หลังจากนัน้ อกี 1 สปั ดาห์เมลด็ ก็จะงอก ทา้ การเก็บเมลด็ ที่งอกไปปลกู ได้ทกุ วนั (สว่ น เมลด็ ท่งี อกหลงั จาก 15 วัน จะต้องคดั ทงิ้ หมดเพราะจะไดต้ น้ กล้ายางทไ่ี มแ่ ข็งแรง) วธิ ีการปลกู เร่มิ ตั้งแต่การวางแนวปกั ไมช้ ะมบที่หวั และท้ายแปลงทรี่ ะยะ 30 x 60 เซนตเิ มตร แลว้ ขงึ เชอื กทา้ เครือ่ งหมายระยะตน้ ทกุ ระยะ 25 เซนตเิ มตร นา้ เมลด็ มา ปลูกโดยใชไ้ มเ้ สยี้ มปลายแหลมเจาะดินให้เปน็ หลุมลกึ ประมาณ 3 เซนตเิ มตร บรเิ วณ ตา้ แหนง่ หลุมที่จะปลกู และวางเมลด็ งอกโดยใหว้ างดา้ นแบนของเมลด็ คว้่าลงหรอื วาง ดา้ นทเี่ ปน็ ปลายรากลง จากนั้นกลบดนิ พอมดิ การปลกู ดว้ ยกลา้ ยาง 2 ใบ เริม่ ต้งั แตก่ ารจดั วางแนวปกั ไมช้ ะมบไวท้ ห่ี วั แถวท่ี ระยะ 30 x 60 เซนติเมตร แล้วขึงเชอื กซ่งึ ไดท้ า้ เคร่อื งหมายก้าหนดระยะตน้ ไวแ้ ลว้ ทุก ระยะ 25 เซนติเมตร จากน้ันใชไ้ มท้ ีเ่ สย้ี มปลายแหลมหรือเหลก็ ปลายแหลมน้ามาเจาะ ดนิ ใหเ้ ปน็ หลุมขนาดพอดีกับความยาวของราก และนา้ ต้นกล้ายาง 2 ใบท่ไี ด้คัด เลือก ต้นท่ีแขง็ แรง ใบแก่และรากไมค่ ดงอ นา้ มาตัดรากให้เหลอื ประมาณ 20 เซนติเมตร และตดั ใบออกหมดเพอ่ื ลดการคายนา้ หลงั จากทที่ า้ การปลกู หลังจากน้นั ต้องกดดนิ รอบโคนตน้ ให้แน่น
5. การกา้ จดั วชั พชื จะต้องมกี ารก้าจัดวชั พืชจา้ นวน 4 คร้งั ดงั รายละเอยี ดดังน้ี ครัง้ ที่ 1 : การกา้ จดั วชั พชื กอ่ นงอก ทา้ การพ่นสารเคมกี อ่ นและหลงั การปลกู โดยใช้ สารเคมไี ลนรู อนในอัตรา 250 กรัมตอ่ นา้ 80 ลติ ร หรอื สารเคมีไดยูรอน ในอตั รา 120 กรมั ตอ่ น้า 50 ลติ รต่อไร่ คร้ังที่ 2 : การกา้ จัดวชั พชื หลังจากการปลกู 6 ถึง 8 สปั ดาห์ จะตอ้ งถางวชั พชื ออกให้ หมดก่อน หลงั จากน้นั จะพน่ ตามดว้ ยสารเคมไี ดยูรอน ในอตั รา 120 กรมั ตอ่ น้า 50 ลิตร ต่อไร่ ครงั้ ที่ 3 : การกา้ จัดวชั พชื เม่ือต้นยางพารา มอี ายุ 4 เดอื น จะต้องท้าการถางวัชพชื ออก ใหห้ มดกอ่ น จากนัน้ จะพน่ ตามดว้ ยสารเคมไี ดยรู อน ในอัตรา 120 กรมั ต่อน้า 50 ลิตร ตอ่ ไร่ ครั้งท่ี 4 : การก้าจดั วชั พืชตน้ ฤดฝู นในระยะติดตา โดยการใชส้ ารเคมพี าราควัท ใน อตั รา 6,000 กรมั ตอ่ นา้ 50 ถึง 60 ลติ รตอ่ ไร่ 6. การใส่ป๋ยุ เมอื่ ตน้ กล้ายางเจรญิ เติบโตสกั ระยะหน่ึงแลว้ ควรใสป่ ุ๋ยเปน็ ระยะ เพือ่ ให้ไดต้ น้ กล้าทแ่ี ขง็ แรงและสมบรู ณ์ติดตาได้เรว็ ปุ๋ยทใี่ ชส้ า้ หรบั ต้นกลา้ ยางควรเปน็ ดงั นี้สา้ หรับดินรว่ นปนทราย ใชป้ ยุ๋ สูตร 3 (16-8-14) ส้าหรบั ดินรว่ นปนเหนียวใช้ปยุ๋ สตู ร 1 (18-10-6) ระยะเวลาในการใส่โดยแบ่งใสเ่ ปน็ 4 ครงั้ คือเม่ือยางพารามีอายุ 1 เดอื น 2 เดือน 3 เดือน และก่อนตดิ ตา 1 เดอื น โดยใช้ อัตรา 36 กิโลกรมั ต่อไร่ หรอื ประมาณ 15 กรัมต่อชว่ งระยะ 1 เมตร ในแถวคู่ สว่ นวธิ กี าร ใส่ปุ๋ย การใส่ปุ๋ยใน 2 ครั้งแรก ใชว้ ิธหี ว่านปยุ๋ เป็นแถบกว้างประมาณ 8 เซนติเมตรใน ระหวา่ งแถวคู่ หลงั จากนน้ั ใชค้ ราดเกลยี่ ดนิ กลบเพ่ือให้ปุ๋ยคลุกเขา้ กับดนิ และการใสป่ ยุ๋ ครง้ั ต่อไป ควรใช้วิธกี ารหวา่ นปุ๋ยใหท้ วั่ แปลงทจ่ี ะปลกู โดยระวังไมใ่ ห้ถกู ใบออ่ นกลา้ ยาง
2. การสรา้ งแปลงก่งิ ตา ปจั จบุ นั นยิ มวิธกี ารสรา้ งแปลงผลติ กง่ิ ตาสีเขียวมากกวา่ สีน้าตาล เพราะ ช่วยในการประหยดั ตน้ ทุนการผลติ และสามารถท้าได้อยา่ งสะดวกและรวดเรว็ ในการเลยี้ งกิ่งตาสเี ขยี วจะใช้วิธเี ลย้ี งก่งิ กระโดงประมาณ 3 ถงึ 4 ฉัตร ตดั ยอด กระโดงให้แตกกิ่งแขนงตาเขียวออกมาประมาณ 1 ฉัตร ก็สามารถตัดเพื่อ น้าไปใช้ตดิ ตาได้ หากยงั ไม่ตอ้ งการใช้อาจจะปล่อยไวเ้ ป็น 2 ฉตั รกไ็ ด้ แตไ่ ม่ ควรเกนิ 3 ฉตั ร เพราะจะทา้ ให้ลอกแผ่นตาได้ยาก อีกวิธีหนง่ึ คือการตดั กิง่ กระโดงตาเขียวและเขยี วปนน้าตาลไปใชไ้ ดเ้ ลย แตจ่ ะได้จ้านวนตาน้อยกวา่ และจะต้องใชเ้ วลาในการเสยี บกง่ิ นานกวา่ ต้นกิง่ ตาท่สี มบรู ณ์มตี งั้ แต่ปีที่ 4 ขน้ึ ไป จะเลยี้ งก่ิงกระโดงได้ 4 กระโดง แตล่ ะ กระโดงจะมกี ิ่ง จา้ นวน 4 ถึง 5 กงิ่ และจะไดก้ ง่ิ ตาเขียวตน้ ละ16 ถึง 20 กิ่ง และสามารถเลยี้ งกิง่ ได้ 3 รอบต่อปี โดยในแตล่ ะปจี ะไดก้ ง่ิ ตาเขยี วประมาณ 48 ถงึ 60 กงิ่ ตอ่ ตน้ และในกิง่ ตาเขยี วทย่ี าวประมาณ 1 ฟุต แต่ละท่อนจะได้ตา ประมาณ 2 ถึง 3 ตา สา้ หรบั วิธกี ารปฏิบตั กิ ารปลกู สร้างแปลงกง่ิ ตายางควร ปฏิบัตติ ามข้ันตอนดงั น้ี 1. การเลอื กพื้นท่ปี ลกู ควรเป็นพน้ื ทร่ี าบ ดนิ ควรเปน็ ดินรว่ นท่มี ีความอดุ ม สมบรู ณด์ ี ระบายน้าไดด้ ี ตั้ง อยูใ่ กลแ้ หล่งนา้ และไมม่ ีไม้ยนื ต้นอ่นื ปะปน 2. การเตรียมพนื้ ท่ปี ลูก พน้ื ทป่ี ลูกจะตอ้ งทา้ การไถพรวนดินและใสป่ ยุ๋ โดยจะปฏิบัติเชน่ เดียวกบั การเตรียมพ้ืนท่ีทา้ แปลงเพาะกลา้ ยาง จากนัน้ กว็ างผงั แปลงท่ีจะปลกู และกา้ หนดพันธ์ุยางพาราทจี่ ะปลกู ตามปริมาณของแตล่ ะพนั ธ์ุ ตามความต้องการที่จะปลกู โดยการแบ่งแปลงกิ่งตาออกเปน็ แปลงย่อย เว้น ระยะหา่ งแตล่ ะระยะอย่างชัดเจน เชน่ ระยะการปลกู ในแตล่ ะแปลง ควรมขี นาด 1 x 2 เมตร และระยะหา่ งระหว่างแปลงควรมีระยะห่าง 3 เมตร เปน็ ตน้ 3. ระยะการปลกู การปลกู สรา้ งแปลงกิง่ ตายางเพอ่ื ผลติ กง่ิ ตาเขยี วใช้ ระยะปลกู ดังนี้ 1 x 2 เมตร = 800 ต้นตอ่ ไร่ 1.25 x 1.50 เมตร = 853 ต้นต่อไร่ 1.50 x 1.50 เมตร = 711 ต้นต่อไร่ 1.25 x 1.25 เมตร = 1,024 ต้นตอ่ ไร่
ระยะปลกู ทน่ี ยิ มกนั มากคือระยะการปลูก 1 x 2 เมตร เพราะไดก้ ่งิ ตาท่ี สมบรู ณ์ และมีความสะดวกในการดแู ลรกั ษา สว่ นระยะการปลกู 1.25 x 1.25 เมตร เป็นระยะท่เี คยไดร้ บั ความนิยม แต่ในปจั จุบนั ได้ยกเลิกไปแลว้ เพราะจะ ทา้ ให้การเลย้ี งก่ิงตาเขยี วท่ีปลกู เบียดกันแนน่ มาก เมือ่ กิง่ ตาเขียวได้ 2 ฉตั รขน้ึ ไป กงิ่ ตาทอ่ี ยดู่ า้ นลา่ งจะลอกไมค่ ่อยออก สว่ นการผลติ ก่งิ ตาสนี า้ ตาลหรอื ก่งิ กระโดงเขียวปนน้าตาล ใช้ระยะการปลกู 1 x 1 เมตร 1,600 ตน้ ต่อไร่ สา้ หรับวิธีการปลกู น้นั หลงั จากทา้ การปกั ไมช้ ะมบเพือ่ กา้ หนดระยะปลกู แลว้ ก็ จะขุดหลมุ ข้างไมช้ ะมบด้านใดดา้ นหน่ึง และเม่อื ท้าการปลกู แล้วจะได้ตน้ ยาง เปน็ แถวเดยี วกนั วธิ ีการปลกู มีอยู่ 3 วธิ คี ือ การปลกู เมลด็ ในหลมุ แล้วตดิ ตาใน แปลง การปลกู ด้วยตน้ ตอตายาง และการปลูกดว้ ยต้นยางช้าถงุ 4. การดแู ลรักษาการใส่ปยุ๋ ในชว่ งแรกจะใช้ปยุ๋ หนิ ฟอสเฟต อตั รา 25 เปอร์เซน็ ต์ 25 กรัมต่อหลมุ ผสมกับดินทีใ่ สร่ องกน้ หลุม สว่ นการใส่ปยุ๋ ในแปลง กง่ิ ตา ควรใช้ปยุ๋ ยางออ่ นสูตร 1 ส้าหรบั ดนิ เหนยี ว หรือสตู ร 3 สา้ หรับดนิ รว่ น หรอื อาจใชป้ ๋ยุ 15-15-6-4 หรอื 15-15-15 แทน และแบง่ ใสป่ ยุ๋ จา้ นวน 4 ครัง้ ต่อปี คร้ังละ 36 กโิ ลกรมั ตอ่ ไร่ โดยวธิ ีหวา่ นรอบโคนต้น 5. การตัดแตง่ เพ่อื เล้ียงกงิ่ ตายาง หลงั จากปลกู จนตน้ ยางมคี วามสจู าก พืน้ ประมาณ 1 เมตร หรือตน้ มีเปลือกสีน้าตาล หรอื มีอายุประมาณ 1 ปี จะตัดกิ่ง ตาทง้ั กระโดงไปใชไ้ ดเ้ ลย แตห่ ากจะเลยี้ งเปน็ กง่ิ ตาเขยี ว ใหต้ ัดยอดฉัตรก่งิ บนสุดท้งิ ไป (ตดั เลย้ี งครั้งที่ 1) จากนน้ั ปล่อยใหม้ ีการแตกกง่ิ แขนงออกมา บรเิ วณฉตั รยอด เล้ียงไว้ จา้ นวน 3 ถงึ 4 กงิ่ เมือ่ กิ่งยอดฉัตรแกแ่ ล้วกส็ ามารถ ตดั ไปใชไ้ ด้ และขณะเดียวกันกท็ า้ การตัดเลย้ี งเปน็ ครง้ั ท่ี 2 ในแตล่ ะปี จะตดั เล้ียงก่งิ ตาได้ จ้านวน 3 ครง้ั เมอื่ หมดฤดกู าลตดิ ตาแล้วจะตัดตน้ ลา้ งแปลง โดย ใหเ้ หลือกงิ่ กระโดง จา้ นวน 1 ถึง 2 กระโดง มีความสงู จากพืน้ ดนิ ประมาณ 75 เซนติเมตร เพอ่ื เลยี้ งกิง่ กระโดงไวผ้ ลติ กง่ิ ตาเขียวในปีที่ 2 เมอ่ื เลย้ี งกงิ่ กระ โดงได้ จา้ นวน 3 ถงึ 4 ฉตั ร กใ็ ห้ปฏิบตั เิ หมอื นกบั การตดั แตง่ ก่ิงในปที ่ี 1 อกี และเมอ่ื เขา้ สปู่ ีที่ 3 ตน้ กง่ิ ตาจะเลย้ี งก่งิ กระโดง และในปีท่ี 4 ตน้ กง่ิ ตาจะเล้ียง กิ่งไดถ้ งึ 4 กระโดง
3. วิธีการตดิ ตาเขยี ว การตดิ ตาเขยี วจะได้ผลส้าเรจ็ สูงหรือไม่นัน้ ข้นึ อย่กู บั ปจั จยั ตา่ งๆ ทส่ี า้ คญั ไดแ้ ก่ 1. ต้นกลา้ ยางจะตอ้ งมีความสมบรู ณแ์ ขง็ แรง มีอายุประมาณ 4 ½ ถึง 8 เดือน ขนาดของลา้ ตน้ มเี ส้น ผา่ ศูนยก์ ลางไมน่ อ้ ยกว่า 1 เซนตเิ มตร วัดจาก ระดบั สงู จากพนื้ ดนิ 10 เซนติเมตร มลี ้าต้นตัง้ ตรง โคนรากไม่คดงอและลอก เปลอื กได้ง่าย 2. กิ่งตาเขียว กงิ่ ทีไ่ ด้จากแปลงกิ่งตายาง ซึง่ ได้รบั การตรวจสอบแลว้ ว่า เปน็ พนั ธ์ยุ างพาราทถี่ กู ต้อง กงิ่ ตาเขียวทส่ี มบูรณ์จะตอ้ งมอี ายุ 42 ถึง 49 วัน ลอกเปลือกไดง้ า่ ย ไมเ่ ปราะหรือมีเสยี้ นตดิ เนอื้ ไม้ 3. ความชา้ นาญในการตดิ ตา วธิ ีการติดตาเขยี วสามารถฝกึ หัดไดง้ ่าย ผทู้ ่ีมคี วามช้านาญแลว้ จะได้รบั ผลสา้ เรจ็ สูงกว่าร้อยละ 90 แต่ทั้งนข้ี ึ้นอยกู่ ับ ปัจจัยอน่ื ๆ ดว้ ย โดยทวั่ ไปผู้ท่มี ีความชา้ นาญจะสามารถติดตาไดป้ ระมาณ 300 ตน้ ต่อวัน 4. ฤดูกาล ควรเป็นตน้ ฤดฝู นไปจนถึงกลางฤดฝู น สว่ นปลายฤดฝู นไม่ ควรทา้ การตดิ ตาเพราะเมอ่ื ตดั ตน้ เพอ่ื ใหก้ ิง่ ตาผลอิ อกมาก็จะเรม่ิ เขา้ สฤู่ ดูแลง้ ซง่ึ จะทา้ ให้ตน้ ยางพาราตายได้ แตห่ ากตดิ ตาแลว้ ถอนน้าไปช้าไว้ใน ถงุ พลาสตกิ กส็ ามารถปฏบิ ตั ไิ ด้ และหากในแปลงกล้ายางมกี ารรดนา้ ตลอดทกุ วนั ก็จะสามารถติดตาไดต้ ลอดท้งั ปี 5. วสั ดุอุปกรณ์ วัสดุอุปกรณ์ทจ่ี ้าเปน็ ในการตดิ ตา ได้แก่ กรรไกรตดั กิง่ ตา ถุงพลาสตกิ ใสก่ ิ่งตา แถบพลาสตกิ ใส ขนาดกว้าง 5/8 น้วิ หนา 0.05 มลิ ลเิ มตร หินลบั มดี เศษผา้ สา้ หรบั ทา้ ความสะอาดต้นยางพารา
วิธปี ฏิบตั ิ 1. เลือกต้นกล้าที่มคี วามสมบรู ณ์ ท้าความสะอาดโคนต้นกลา้ ด้วยเศษผ้า โดยการเชด็ ส่ิงสกปรกและทรายออกตน้ กลา้ 2. เปิดรอยกรีดโดยใช้ปลายมีดกรีดตามความยาวลา้ ต้น จ้านวน 2 รอย ความยาว 7 ถึง 8 เซนตเิ มตร หา่ งกันประมาณ 1 เซนติเมตร ใหส้ ่วนล่างของ รอยกรีดสูงจากพ้นื ดนิ ประมาณ 1 ถงึ 2 เซนติเมตร แล้วใชม้ ีดกรดี เป็นแนว ขวางกบั รอยกรดี โดยใหด้ า้ นบนใหเ้ ชือ่ มติดกนั แลว้ ใชป้ ลายมดี หรอื ดา้ มงาบ แคะเปลือกบริเวณมุมแลว้ ลอกเปลอื กลงขา้ งลา่ งจนสดุ จากน้ันตดั เปลือกทดี่ งึ ออกให้เหลือเป็นลกั ษณะของล้นิ สั้นๆ ความยาวประมาณ 1 ถึง 1½ เซนตเิ มตร 3. เตรยี มแผน่ ตาท่ีไดจ้ ากกิ่งตาเขยี ว ใชม้ ดี คมเฉือนออกอยา่ งเบามือ โดยเริ่มจากด้านปลายไปยังดา้ นโคนโดยใหต้ ดิ เนอ้ื ไม้บางๆ อยา่ งสมา้่ เสมอ ตลอดแนวยาว ความยาวประมาณ 8 ถึง 9 เซนติเมตร และให้มตี าอยู่ตรงกลาง แผน่ ความกว้างของแผน่ ตากะประมาณใหพ้ อดกี บั ความกว้างของรอยแผล และเปดิ เปลือกบนต้นกล้า หากการเฉอื นแผน่ ตาหนาให้มีความหนามากเกนิ ไป จะทา้ ใหล้ อกออกยาก เน่ืองจากแผน่ ตาเขียวช้าได้งา่ ย ดังนั้นกอ่ นกอ่ นเฉือน แผ่นตาตอ้ งแนใ่ จว่ามดี คมและสะอาดพอ 4. แต่งแผ่นตาทัง้ 2 ขา้ งใหม้ ลี กั ษณะบางๆ ขนาดพอให้แผน่ ตาเขา้ กับ รอยเปิดกรดี บนต้นตอ จากนัน้ กต็ ัดปลายดา้ นล่างออก 5. ลอกแผน่ ตาออกจากเน้ือไม้ โดยการใชน้ ้วิ ช้ีและนว้ิ หัวแม่มือท้ัง 2 ข้างจับปลายด้านบนของแผน่ ตา ใช้น้ิวกลางประคองแผน่ ตาสว่ นล่างแล้ว คอ่ ยๆ ลอกเนอื้ ไม้ออกจากเปลอื กแผน่ ตา โดยพยายามอย่าใหส้ ่วนทเี่ ปน็ เปลอื ก โคง้ งอ หรืออกี วธิ หี นงึ่ ใช้การลอกด้วยปากโดยใชม้ อื ข้างหนึง่ จบั แผน่ ตาไว้ แล้วหนั ด้านปลายแผน่ ตาท่ยี งั ไมต่ ดั เขา้ หาปาก ใช้ฟันยดึ ส่วนท่ีเปน็ เนอ้ื ไม้แล้ว ใช้หวั แม่มอื กับนว้ิ ชีข้ องมอื อีกขา้ งหนึง่ จับเปลอื กดา้ นล่างไว้ แลว้ ค่อยๆ ลอก เนอ้ื ไม้ออกจากเปลือกแผ่นตา พยายามไมใ่ ห้เปลอื กโคง้ งอเชน่ กนั ตรวจดู แผน่ ตาที่ลอกเสร็จ หากแผน่ ตาซ้าหรอื จุดเยอ่ื เจริญหลดุ หรอื แหวง่ หรอื ไม่ สมบรู ณก์ ใ็ ห้ท้ิงไป ใช้เฉพาะแผน่ ตาทีส่ มบรู ณเ์ ทา่ นั้น
6. สอดแผน่ ตาท่ีลอกเนื้อไมอ้ อกแลว้ น้ีใส่ลงในลิ้นเปลอื กตน้ ตอเบาๆ อยา่ งรวดเรว็ และในขณะที่ใสร่ ะวงั อยา่ ใหแ้ ผ่นตาถูกเนอื้ ไม้ เพราะจะทา้ ให้ แผน่ ตาและเยือ่ ราเกิดอาการชา้ ได้ และตดั สว่ นของแผ่นตาท่ีเกนิ อยขู่ า้ งบนทิ้ง หรอื จะทงิ้ ไว้ เพือ่ รอตดั ออกในขณะท่พี ันผา้ พลาสตกิ กไ็ ด้ 7. พนั แผน่ ตาดว้ ยแผ่นพลาสตกิ ใส ขนาดความยาวประมาณ 30 เซนตเิ มตร โดยพันจากดา้ นล่างขน้ึ ขา้ งบนใหแ้ ผน่ ตาแนบกับแผลรอยเปดิ ของ ตน้ กล้า และให้ขอบพลาสตกิ ทบั กนั สงู ขน้ึ ไปจนเหนอื รอยตดั ตา 2 ถงึ 3 รอบ ผูกพลาสตกิ ให้แนน่ โดยการสอดปลายเขา้ ไปในพลาสตกิ รอบสดุ ทา้ ยแล้วดงึ ให้ แน่น 8. ตรวจสอบความเรียบร้อยพรอ้ มทัง้ ปักป้ายแสดงวันทตี่ ิดตา ชอ่ื พนั ธ์ุ ยางพาราและจา้ นวนต้น หลงั จากน้นั อกี 21 วัน ใหต้ รวจดคู วามเจรญิ เติบโต หากแผน่ ตายงั คงมสี เี ขียวแสดงวา่ การตดิ ตาประสบผลส้าเรจ็ ใหใ้ ช้มีดกรดี พลาสตกิ บรเิ วณด้านตรงข้ามเพ่อื ไม่ใหพ้ ลาสติกหลดุ ออกจากแผน่ ตา แตห่ าก แผน่ ตาเปล่ียนเปน็ สดี า้ หรอื สีนา้ ตาล แสดงวา่ การติดตาไม่ประสบผลส้าเร็จ ให้ ใช้มีดกรีดพลาสตกิ ด้านหลงั ออกเพอื่ ท้าการตดิ ตาซ้าหลงั จากตรวจผลส้าเรจ็ และเมอ่ื น้าพลาสตกิ ออกแล้ว ปล่อยใหต้ น้ ทตี่ ิดตาอย่ใู นแปลงไมน่ อ้ ยกวา่ 1 สัปดาห์กอ่ นท่ีจะถอนไปปลกู หรือตดั ต้นยางพาราทีมอี ยู่เดมิ ท้งิ ขอ้ ควรระวงั ในการตดิ ตา 1. ไม่ควรตดิ ตาในเวลาที่มอี ากาศร้อนจดั 2. การนา้ กง่ิ ตาไปติดตาแตล่ ะครงั้ มีจ้านวนไม่เกินกวา่ 30 กิ่ง 3. เลือกตดิ ตาเฉพาะตน้ ตอท่ีมคี วามสมบูรณ์ 4. มีดที่จะทา้ การติดตาจะต้องคมอยู่เสมอ 5. อยา่ ให้แผน่ ตาช้าหรอื ปล่อยให้นา้ เล้ยี งแห้ง 6. พันแผน่ ตาให้แน่นอย่าใหน้ ้าเข้าไปได้
ฤดูปลูก เมอื่ เร่มิ เข้าฤดแู ล้งประมาณเดอื นมกราคม ควรจะเตรียมพน้ื ท่ีสา้ หรับปลกู ยางพารา โดยเก็บไม้ออกจากบรเิ วณพื้นท่ีให้เรียบร้อย ท้าการไถพรวนดนิ และวางแนวขุดหลมุ ปลูก หากผสมปุย๋ อินทรียร์ องก้นหลมุ ดว้ ยควรจะดา้ เนนิ การใหเ้ สร็จกอ่ นจะปลกู ยาง ในชว่ งฤดฝู น 1 เดือน โดยฤดฝู นจะเริ่มตน้ ในเดือนพฤษภาคม หากพน้ื ทีม่ ีความชื้น เพยี งพอ ก็จะสามารถปลูกตน้ ยางชา้ ถงุ ได้ และการปลกู ตน้ ตอควรใหม้ ีความชื้นเต็มที่ ในขณะปลูกไม่น้อยกวา่ 2 เดือน หลังปลกู 15 วัน ถึง 1 เดือนควรมกี ารปลกู ซ่อม โดย ตอ้ งปลกู ซอ่ มใหเ้ สรจ็ ก่อนจะหมดฤดฝู นอยา่ งน้อย 2 เดอื น เพราะในช่วงกลางฤดูฝน ฝนมกั ตกท้งิ ชว่ งใหฝ้ กั ของเมล็ดยางพาราแห้ง และแตกร่วงหลน่ การตกของเมล็ด ยางพาราช่วงนีเ้ รียกวา่ เมลด็ ยางในปี (เป็นเมลด็ ทีส่ า้ คญั ในการขยายพนั ธุ์ยางพารา) ประมาณเดือนกรกฎาคมถงึ เดือนกนั ยายน ข้ึนอยกู่ บั พน้ื ท่ี เมล็ดยางพาราเหล่านีน้ า้ มา ปลูกเพ่ือทา้ กลา้ ยางส้าหรบั ติดตาในแปลงปลกู หรือนา้ ไปท้าเปน็ วัสดุปลูกขยายพนั ธ์ุ ต่อไปกไ็ ด้
ปฏทิ ินการปลกู สร้างและปฏบิ ัตดิ แู ลรกั ษาสวนยางพารา ปี ที่ กจิ กรรม ม.ค. ก.พ. ม.ี ค. เม.ย. พ.ค. ม.ิ ย. ก.ค. ส.ค. ก.ย. ต.ค. พ.ย. ธ.ค. ปลกู 1 เตรยี มพนื้ ทป่ี ลกู เตรยี มหลมุ ปลกู ปลกู ใสป่ ๋ ยุ ตดั แตง่ กงิ่ ปลกู ซอ่ ม ทาแนวป้ องกนั ไฟ ทาแนวป้ องกนั ไฟ 2 ใสป่ ๋ ยุ ตดั แตง่ กง่ิ ทาแนวป้ องกนั ไฟ 3-6 ใสป่ ๋ ยุ ทาแนวป้ องกนั ไฟ เรม่ิ กรดี 7 ใสป่ ๋ ยุ กรดี เรอ่ื ยไปจนผลัดใบ หยดุ กรดี ขณะยางผลัดใบ ใสป่ ๋ ยุ 8-30 กรดี ยางตอ่ ไปเมอื่ ใบยางทแี่ ตกใหมแ่ กเ่ ต็มที่ หมายเหต:ุ - ก้าจัดวัชพชื กอ่ นใสป่ ุ๋ยทกุ ครั้ง - ขณะทยี่ างมีอายุ 1ถงึ 3 ปี สามารถปลกู พืชแซมยางได้ - หากไม่ปลกู พชื แซมยางหรอื หลงั จากทป่ี ลกู พชื แซมแลว้ ควรปลกู พืชคลมุ ดนิ ตระกูลถัว่ - เรม่ิ เปิดกรีดเม่ือตน้ ยางมขี นาดเสน้ รอบต้นไม่ต้า่ กวา่ 50 เซนติเมตร (วดั ตรงบริเวณท่ีสูง จากพ้ืนดิน 1.50 เมตร) และมีจ้านวนตน้ ยางทีไ่ ด้ ขนาดเปดิ กรดี นน้ั ไม่ต้่ากวา่ ครึ่งหน่ึงของ จ้านวนต้นยางทจ่ี ะเปดิ กรดี ทงั้ หมด ปกตจิ ะเริ่มกรดี ไดใ้ นปีท่ี 7 - ระบบกรีดท่ีเหมาะสมกนั คือ ครง่ึ ลา้ ตน้ วันเว้นวนั - หยุดกรดี ยางขณะยางผลดั ใบโดยหยดุ เมอ่ื ใบยางรว่ งแล้วครึ่ง หนึ่งของใบยางท้ังหมด ในตน้ หรอื เมื่อน้ายางลดลงครงึ่ หน่ึงของทเี่ คยไดร้ ับตามปกติ และหยุดกรดี เม่ือฝนตกหรือตน้ ยางเปียก - เวลาอาจคลาด เคลอื่ นได้บ้างตามฤดกู าลของแตล่ ะพนื้ ที่ ไฟไหม้สวนยางพาราในช่วง เรม่ิ ปลกู จนถงึ กอ่ นเปดิ กรดี เป็นปัญหา ส้าคัญของเกษตรกร หากสามารถป้องกันไฟไหมส้ วน ยางได้ โอกาสท่ีจะประสบความสา้ เร็จในการปลกู สรา้ งสวนยางจะมสี งู ยง่ิ
โรคยางพารา 1.โรคทีเ่ กดิ จากเชื้อคอลเลตโตรกิ มั (Colletotrichum Leaf Disease) เชือ้ สาเหตุ เชื้อรา Colletotrichum gloeosporioides (Gloeosporium alborubrum) และ Colletotrichum heveae ลักษณะอาการของโรค ถ้าเกิดจากเชอื้ C.gloeosporioides เชอื้ นีเ้ ขา้ ท้าลายใบยาง ขณะมีอายุ 5 - 15 วัน หลงั จากเริม่ ผลิ คือ ระยะท่ใี บขยายและก้าลงั เปล่ยี นจากสีทองแดงเปน็ เขียวออ่ น เมอื่ เช้ือราเขา้ ทา้ ลายอยา่ งรุนแรง ใบจะเหยี่ วและหลดุ รว่ งทนั ที แตถ่ ้าหากเช้อื ราเขา้ ทา้ ลายเมือ่ ใบโต เตม็ ท่แี ลว้ ใบจะแสดงอาการเป็นจุด ปลายใบหงกิ งอ แผ่นใบเป็นจดุ สี นา้ ตาล มีขอบแผลสเี หลอื ง เม่ือใบมอี ายมุ ากขึน้ จุดเหลา่ นจี้ ะนนู จน สงั เกตเห็นได้ชัด ถ้าเกิดจากเชอื้ C.heveae ระยะเรม่ิ แรกของโรคนจ้ี ะมีแผลเปน็ จุดสนี ้าตาลขนาดเล็กคอ่ นข้างกลม ขอบแผลมีสีน้าตาลเขม้ แลว้ ขยาย ออกจนกลายเปน็ แผลใหญ่ข้ึน ซงึ่ แผลของโรคนี้จะใหญก่ วา่ โรคทเี่ กิด จาก C. gloeosporioides ตรงกลางแผลจะเกดิ จุดสีดา้ ของราเป็น คลา้ ยขนแข็ง ๆ ยน่ื ขนึ้ มาจากผิวใบ โรคนมี้ กั เกดิ กบั ต้นยางที่ปลกู ใน ดินท่ขี าดความอุดมสมบรู ณ์
สภาพแวดลอ้ มท่เี หมาะสม และการแพรก่ ระจายของโรค เช้ือน้ีจะแพรก่ ระจายในระยะฝนชุก และเขา้ ท้าลายส่วนยอดหรอื กิ่ง ออ่ นทีย่ ังเป็น สีเขียวอยู่ ซึ่งจะเห็นเปน็ รอยแตกบนเปลอื ก โดยแผลมีลกั ษณะ กลมคลา้ ยฝาชที ี่ยอดขาดแหว่งไป หรอื มรี ูปรา่ งยาวรีไปตามเปลือกก็ได้ ถา้ เป็นมากยอดนนั้ ๆ จะแหง้ ตาย หากอากาศแห้งแล้งในระยะต่อมาจะทา้ ให้ตน้ ยางเลก็ แห้งตายได้ การปอ้ งกนั ก้าจัด 1. เนอื่ งจากโรคน้เี กดิ กับยางที่ไมส่ มบรู ณ์ การบ้ารุงรกั ษาสภาพดินให้ เหมาะแกก่ ารเจริญเตบิ โตของตน้ ยาง จงึ เปน็ วิธปี ้องกันทดี่ ที ี่สดุ 2. ปอ้ งกันใบท่ผี ลิออกมาใหม่มใิ ห้เปน็ โรค โดยใช้สารเคมี ไซเน็บ หรือ แคบตาโฟล ผสมสารจบั ใบฉีดพ่น 5 - 6 ครงั้ ในระยะท่ีใบอ่อนกา้ ลังขยายตวั จนมขี นาดโตเตม็ ที่
2. โรคเปลือกเนา่ (Mouldy rot) เช้ือสาเหตุเช้อื รา Ceratocystis fimbriata ลกั ษณะอาการของโรค ในระยะแรกจะเห็นเป็นรอยบ๋มุ และมีสจี างบนเปลอื กงอกใหม่เหนือรอย กรีด ซงึ่ เปน็ ลกั ษณะอาการท่คี ล้ายคลึงกับอาการระยะแรกของโรคเสน้ ด้า ใน ระยะต่อมารอยแผลของโรคเปลอื กเนา่ จะมเี สน้ ใยของเชอ้ื ราสีเทาข้ึนปกคลมุ จน เหน็ ไดช้ ดั เมือ่ อาการของโรครนุ แรงข้นึ และสภาพแวดล้อมเหมาะแกก่ าร เจรญิ เติบโตของเชื้อรา จะสงั เกตเห็นเชื้อราเจริญและขยายลุกลามออกไปจน เหน็ เสน้ ใยของเชอ้ื ราเกิดขึ้นเปน็ แถบขนานไปกบั รอยกรีด ซึ่งเปลอื กบรเิ วณ ดงั กลา่ วน้ีจะเนา่ หลดุ เปน็ แอง่ เหลือแต่เนอ้ื ไมส้ ดี ้าในทส่ี ดุ เม่ือเฉือนเปลือก บริเวณข้างเคียงรอยแผลออกดูจะไม่พบอาการเน่าลกุ ลามออกไปแตอ่ ย่างใด สภาพแวดล้อมทเ่ี หมาะสมตอ่ การเกดิ โรค บริเวณทีส่ ภาพอากาศมีความชมุ่ ชืน้ อยตู่ ลอดเวลา การแพรร่ ะบาด เชอ้ื นี้สามารถแพร่กระจายไปยังต้นขา้ งเคียงได้โดยอาศยั ลม แมลง เป็น พาหะ
การป้องกนั ก้าจดั 1. เนือ่ งจากโรคนมี้ ักเกิดในแหล่งปลูกยางทม่ี ีความช้ืนสูงมาก ๆ ฉะนั้น ในแปลงยางจงึ ควรมกี ารตัดแตง่ กง่ิ และก้าจดั วชั พชื ในสวนยางอยเู่ ป็น ประจ้า เพื่อใหส้ วนยางโปร่งมอี ากาศถ่ายเทได้สะดวก ความชนื้ ในแปลงยาง จะได้ลดลง 2. ถา้ ปรากฏวา่ ต้นยางเปน็ โรคเปลอื กเนา่ ควรหยุดกรดี ยางเสยี 2 - 3 สัปดาห์ เพือ่ ปอ้ งกันมิให้เชอ้ื แพร่ไปติดต้นอืน่ 3. โรคนีน้ อกจากจะตดิ ไปยงั ตน้ อ่นื ไดด้ ้วยลมและแมลงแลว้ ยงั อาจติด ไปกับเสื้อผา้ ของคนกรดี ภาชนะทใี่ สเ่ ศษยาง และมีดกรดี ยางอกี ดว้ ย ถา้ ปรากฏว่าในสวนยางเป็นโรคนแ้ี ล้วจะต้องควบคุมระมดั ระวงั สิ่งเหลา่ นดี้ ว้ ย เช่นกนั 4. การใช้สารเคมปี ้องกันก้าจดั โรคเส้นดา้ กจ็ ะสามารถปอ้ งกันโรค เปลอื กเนา่ ได้ 5. ในกรณที พ่ี บมอดหรอื แมลงชนดิ อนื่ เจาะเปลือกยางทีเ่ ปน็ โรคนี้ให้ ใชย้ าฆ่าแมลงกา้ จดั แมลงเหล่านน้ั เสยี 6. เมอื่ พบตน้ ยางเปน็ โรคเปลอื กเน่าให้ใชส้ ารไธอาเบนดาโซล อัตรา 20 กรมั (ประมาณ 2 ชอ้ นแกง) ต่อนา้ 1 ลิตร ผสมสารแผก่ ระจายและจับตดิ 2 ซีซ.ี (ประมาณ 1/2 ช้อนชา) หรอื สาร ออกซาดกิ ซลิ แมนโคเซบ็ อัตรา 40 กรัม (ประมาณ 4 ช้อนแกง) ต่อน้า 1 ลิตร ผสมสารแผก่ ระจายและจบั ติด 2 ซีซ.ี (ประมาณ 1/2 ช้อนชา) อย่างใดอย่างหนงึ่ ทาหนา้ กรีดยางทุก 7 วนั 3 - 4 ครั้ง จะสามารถปอ้ งกันก้าจดั โรคน้ีได้ แตถ่ า้ หากฝนตกชกุ โรคอาจ เกดิ ข้นึ มาใหม่ ใหท้ าสารเคมีดังกลา่ วซ้าตอ่ ไปจนกวา่ โรคจะหาย
3. โรคเปลอื กแห้ง สาเหตุ - สวนยางขาดการบา้ รุงรกั ษา - การใสป่ ุ๋ยไมต่ รงกบั เวลาทก่ี ้าหนด และใช้ปยุ๋ ไม่เหมาะสมกบั สภาพของดนิ - กรีดเอาน้ายางออกมากเกนิ ไป กรดี ถเี่ กินไป และใช้ระบบกรดี ไมถ่ กู ตอ้ ง - เกิดการผดิ ปกติภายในทอ่ น้ายาง ลกั ษณะอาการของโรค ก่อนเกดิ โรค ตน้ ยางที่จะเปน็ โรคเปลอื กแห้ง มกั จะแสดงอาการอย่างใดอย่างหน่งึ หรือ หลายอย่างประกอบกนั ให้สงั เกตเห็นได้ ดงั น้ี 1. นา้ ยางบนรอยกรีดจะจบั ตวั กันเรว็ กวา่ ปกติ 2. นา้ ยางที่กรดี ไดจ้ ะมปี ริมาณมากกว่าปกติ การหยดของนา้ ยางนานกวา่ ปกติ 3. น้ายางทกี่ รีดไดจ้ ะใส และมปี ริมาณเน้อื ยางแหง้ ตา้่ 4. เปลอื กของตน้ ยางเหนอื รอยกรดี จะมสี ีซดี ลง ขณะเปน็ โรค ตน้ ยางเปลอื กจะแหง้ กรีดแล้วไมม่ นี ้ายางไหล เปลือกต้นยางตามลา้ ตน้ จะ แตก พพุ อง แตต่ ้นยางไม่ตาย ถ้าปลอ่ ยปละไม่ควบคมุ จะแพร่กระจายลกุ ลาม ทา้ ให้หนา้ กรีด ของยางตน้ น้ันเสียหายทั้งหมด (ไมแ่ พรร่ ะบาดไปส่ตู ้นอ่นื ) การ ลุกลามของโรคมีหลาย ลกั ษณะดังน้ี 1. โรคนี้สว่ นใหญ่จะลกุ ลามไปทางด้านซ้ายมอื เสมอ 2. เกดิ โรคนแ้ี ลว้ ไม่มีการดูแลรกั ษา โรคจะลกุ ลามไปยังหน้ากรดี ทอี่ ย่ตู ิดกนั 3. การลุกลามของโรคบนหน้ากรีด ถ้ากรีดจากบนลงลา่ งโรคก็จะลุกลามจากบนลงลา่ ง ถา้ กรดี จากลา่ งขึน้ บนโรคกจ็ ะลกุ ลามจากล่างข้ึนบน 4. อาการเปลือกแหง้ จะไมล่ กุ ลามจากเปลือกทย่ี งั ไมท่ า้ การกรดี ไปยังเปลือกงอกใหม่ และไมล่ กุ ลามจากเปลอื กงอกใหม่ด้านหนง่ึ ไปยังอกี ด้านหน่งึ 5. ถ้าเปน็ โรคเปลือกแห้งชนิดที่เกดิ ขนึ้ อย่างรวดเรว็ ภายใน 2 - 3 เดือน หน้ากรดี ของ ต้นยางจะเปน็ โรคเปลอื กแห้งท้ังหมด
การป้องกันก้าจดั 1. เอาใจใสบ่ า้ รงุ รักษาสวนยางใหส้ มบรู ณแ์ ขง็ แรงต้ังแต่เรม่ิ ปลูก 2. ใส่ปุ๋ยท่เี หมาะสมตามจ้านวนและระยะเวลาท่ีทางวชิ าการแนะนา้ 3. ใชร้ ะบบกรดี ให้ถูกต้องและเหมาะสมกับพนั ธุย์ าง 4. อยา่ กรีดยางเมอื่ ยางยงั ไม่ไดข้ นาดเปิดกรดี 5. หยดุ กรดี ยางในขณะยางผลัดใบ ยางทีจ่ ะเปิดกรีดใหม่ - สา้ หรบั ยางทเี่ รมิ่ เปดิ กรดี ใหม่ ก่อนเปดิ กรดี 3 เดือน ควรทา้ รอ่ งแยกหน้า กรดี ออกจากกนั ในการท้ารอ่ งให้ใชส้ ว่ิ เซาะเป็นรอ่ งลกึ จนถงึ เนื้อไม้ โดยทา้ ร่องเดียวตรงตลอดจากจดุ ที่จะเปดิ กรีดด้านบนจนถึงสว่ นโคนของตน้ ยาง - ทา้ รอ่ งบริเวณโคนตน้ ยางใหร้ ่องนขี้ วางกบั ล้าต้น โดยใหร้ อ่ งจดกับรอ่ ง ทีท่ า้ แบง่ แยกหน้ากรีด เพ่อื ปอ้ งกันมิให้โรคลกุ ลามลงสรู่ าก - เปิดกรีดเม่ือต้นยางได้ขนาดและกรดี ตามระบบทีเ่ หมาะสมกบั พันธุย์ าง ยางทเ่ี ปดิ กรดี แลว้ และเปน็ โรคเปลอื กแหง้ เพยี งบางสว่ น - หากตน้ ยางแสดงอาการเปลือกแหง้ เพยี งบางส่วน ถา้ ไม่ควบคมุ โรคจะ ลุกลามออกไป ท้าใหห้ นา้ กรีดเสียหายทงั้ หมด - ควบคุมโดยทา้ ร่องแยกสว่ นทีเ่ ป็นโรคออกจากกนั วธิ ที ้ารอ่ งใช้สวิ่ เซาะ ร่องใหล้ กึ ถงึ เนอ้ื ไมร้ อบบรเิ วณทเ่ี ปน็ โรค ห่างจากบริเวณท่ีเปน็ โรคประมาณ 2 ซม. - หลงั จากท้าร่องเรยี บรอ้ ยแล้ว ก็สามารถเปดิ กรดี ต่อไปไดต้ ามปกติ แต่ ต้องเปิดกรดี ตา่้ กวา่ บรเิ วณทเี่ ปน็ โรค
4. โรคเสน้ ด้า (Black Stripe) เช้ือสาเหตเุ ชือ้ รา Phytophthora palmivora และ Phytophthora botryosa ลกั ษณะอาการของโรค เช้อื จะเขา้ ท้าลายได้เฉพาะบรเิ วณเปลอื กยางทีม่ บี าดแผลเทา่ น้นั โดย ส่วนใหญ่จะเขา้ ทา้ ลายทนั ทีทางรอยกรดี ใหม่ทกี่ รดี ไปแลว้ ไม่เกนิ 24 ชวั่ โมง บนผิวเปลอื กยางทไี่ มม่ บี าดแผลใด ๆ เชื้อสาเหตขุ องโรคนจ้ี ะไม่สามารถเข้า ทา้ ลายต้นยางได้ ฉะนนั้ การกรีดยางใหด้ ีและถูกต้องจึงมคี วามส้าคญั มาก ในระยะแรกหลงั จากทีเ่ ช้ือราเขา้ ทา้ ลายแลว้ จะเห็นบรเิ วณทเ่ี ป็นโรคมีสี ผดิ ปกติเปน็ รอยช้า สว่ นมากมกั จะเกิดขน้ึ เหนอื รอยกรดี หากอาการรนุ แรงมาก ขน้ึ บรเิ วณทเ่ี ป็นรอยชา้ น้จี ะเปล่ียนเป็นรอยบมุ๋ สดี า้ และจะขยายตวั ยาวขึ้นไปใน แนวด่งิ คอื สงู ขึ้นไปสว่ นบนเหนอื รอยกรดี และลงใต้รอยกรีดอยา่ งรวดเร็ว ระยะ น้ีจะสงั เกตเห็นอาการของโรคไดช้ ัดเจน เนือ่ งจากสว่ นท่ีไมเ่ ป็นโรคมีเปลอื กงอก ใหม่หนาเพม่ิ มากข้นึ ทิ้งให้สว่ นทเ่ี ปน็ โรคเปน็ รอยบุ๋มลกึ ชัดเจน เนอ่ื งจากเยือ่ เจรญิ สว่ นนน้ั ตายหมด เมอ่ื เฉือนเปลือกออกดจู ะพบรอยบุ๋มสดี า้ นนั้ มลี ายเส้นสี ดา้ บนเน้ือไมบ้ รเิ วณแผล ซ่งึ มกั เป็นรอยยาวตามแนวยืนของลา้ ตน้ อาการขัน้ รุนแรงจะทา้ ใหเ้ ปลือกของหน้ายางบรเิ วณทเี่ ปน็ โรคปริ มีนา้ ยางไหลออกมา ตลอดเวลา และเปลือกบริเวณท่ีเป็นโรคนี้จะเน่าหลดุ ออกทง้ั หมดในทส่ี ดุ ยาง พันธ์ทุ ่ีออ่ นแอตอ่ โรคนไ้ี ดแ้ ก่ RRIM600 สภาพแวดล้อมท่ีเหมาะสมต่อการเกดิ โรค ความช้ืน ปรมิ าณน้าฝน และจา้ นวนวนั ฝนตก เปน็ ปจั จยั ทีส่ า้ คญั ทีจ่ ะ สนับสนุนใหเ้ ชอื้ ราน้รี ะบาดรนุ แรง
การแพรร่ ะบาด เช้อื จะเขา้ ทา้ ลายได้เฉพาะบรเิ วณเปลอื กยางทมี่ บี าดแผลเทา่ นนั้ ส่วน ใหญ่จะเข้าทา้ ลายทันที ทางรอยกรดี ใหมท่ ก่ี รีดไปแลว้ ไมเ่ กิน 24 ชวั่ โมง โรคนี้ แพร่ระบาดอยา่ งกวา้ งขวางในพื้นที่ปลกู ยางทว่ั ไปโดยเฉพาะในเขตท่ีเกิดโรค ใบร่วง และผลเนา่ ระบาดเปน็ ประจา้ ทกุ ปี เชน่ ในเขตภาคใต้ฝ่ังตะวนั ตก การปอ้ งกนั กา้ จัด 1. อย่าเปิดหน้ายางหรอื ข้ึนหน้ายางใหมใ่ นระหวา่ งฤดูฝน โดยเฉพาะ อยา่ งย่งิ ในชว่ งท่ีมฝี นตก อย่ากรดี ลกึ จนถงึ เนอ้ื ไม้ เพราะจะทา้ ให้หนา้ ยาง เสียหายและเปน็ ผลทา้ ให้โอกาสทีเ่ ชื้อจะเขา้ ท้าลายมมี าก 2. ตดั แตง่ กิ่งยางและปราบวชั พชื ในสวนยางใหส้ วนยางโปรง่ มอี ากาศ ถา่ ยเทสะดวก จะช่วยให้หนา้ ยางแหง้ เร็วขน้ึ เปน็ การลดความรนุ แรงของโรค ได้ 3. การกรดี ยางในฤดฝู นโดยเฉพาะอยา่ งยิ่งในระยะทีม่ ีโรคใบรว่ งระบาด ควรทาหน้ายางด้วยสารเคมีชนดิ เดยี วกบั ทใ่ี ช้รกั ษา 4. เมอ่ื พบหนา้ กรดี ยางเรม่ิ แสดงอาการ ให้ใชส้ ารเมตาแลคซลิ อัตรา 7 - 14 กรมั (ประมาณ 1 ช้อนชาครง่ึ ) ต่อนา้ 1 ลิตร หรอื สารออกซาเดียซลิ แมน โคเซ็บ อตั รา 40 กรมั (ประมาณ 4 ชอ้ นแกง) ตอ่ นา้ 1 ลิตร ผสมสารแผ่กระจาย และจับตดิ จ้านวน 2 ซซี ี (ประมาณ 1/2 ชอ้ นชา) ใช้สารอยา่ งใดอย่างหน่ึงทา หนา้ กรดี ยางทกุ 7 วัน 3 - 4 คร้ัง จะสามารถป้องกนั ก้าจดั โรคนี้ได้ หากฝนตก ชุกตดิ ต่อกนั ควรหมัน่ ทาสารเคมีต่อไปอกี จนกวา่ โรคจะหาย
5. โรคใบจดุ กา้ งปลา (Corymespora cassiicola) เชื้อสาเหตเุ กดิ จากเชอื้ รา (Corynespora cassiicola) เช้อื รานี้พบคร้งั แรกบน ใบยางในทวีปอัฟรกิ า เมื่อปี 2493 ลักษณะของเชือ้ รา เชื้อคอรีเสนปอรามีโคนิเดยี วเรยี วเล็กไปสู่สว่ นยอด ผนังหนาสนี ้าตาล อ่อนขนาดของโคนเิ ดยี แตกตา่ งกนั ไปตามสภาพแวดลอ้ มมคี วามยาวตง้ั แต่ 23- 257 ไมครอน กว้าง 3-18 ไมครอน มผี นงั จา้ นวน 1-27 ตอน ปกตจิ ะมีผนัง 2- 16 ตอน เส้นใยของเชือ้ รามสี เี ขียวขม้ี า้ ขณะเมื่อยงั ออ่ น คลา้ ยคลงึ ลกั ษณะของ เชอื้ รา Helminthosporium และจะกลายเปน็ สีน้าตาลขณะอายุมากขน้ึ ที่วุ้น อาหารเล้ยี งเชอื้ รานจ้ี ะมีสนี า้ ตาลปรากฏเดน่ ชัด ในสภาพแวดลอ้ มและบน อาหารเลีย้ งเชือ้ ราชนดิ ท่ีเหมาะสมเชอ้ื ราจะสรา้ งโคนเิ ดียในเวลา 3 วัน เม่ือ ปลูกเชื้อราบนใบยาง โคนิเดียของเชือ้ ราจะงอกในเวลา 3-4 ชม. และเขา้ ทา้ ลายใบยางโดยแทรกเส้นใยท่ีงอกเข้าระหวา่ งเซลลผ์ นงั ใบของเน้อื เยอื่ ใบ พชื แลว้ เจริญเติบโตไปในระหว่างเซลลช์ นั้ ในของเน้อื เย่อื อ่ืนๆ ของใบพืช จน สามารถสรา้ งโคนเิ ดยี ขึ้นภายในเวลา 4 วันภายหลงั ท้าการปลกู เชือ้ ราโคนิเดยี ของเช้ือราเกิดข้ึนท้งั ผวิ ดา้ นบนและผวิ ด้านลา่ งใบตรงบรเิ วณทเ่ี ปน็ โรค แผล หนึ่งๆ สามารถสรา้ งโคนเิ ดยี ได้จ้านวนมากถงึ 1,200 สปอรต์ อ่ ตาราง เซนติเมตร และสปอร์เหล่าน้แี พรก่ ระจายโดยอาศยั ลมพดั พาไป
ลักษณะอาการ ไดต้ รวจพบเช้อื คอรีเนสปอราบนใบยางครงั้ แรกจากการศกึ ษาตัวอยา่ งบน ใบยางท่ีเปน็ โรคจดุ ตานกท่ไี ด้รวบรวมไว้ จากการศกึ ษาในประเทศอนิ เดียใน เวลาตอ่ มาพบว่าอาการของโรคทเ่ี กดิ จากเชอื้ คอรีเนสปอรามีจดุ แผลสอง ลกั ษณะ คอื แบบแผลกลมขนาดเส้นผา่ ศนู ยก์ ลาง 1-8 มม. และอกี แบบมี ลักษณะแผลเป็นรปู รา่ งไม่แนน่ อน โดยทว่ั ไปแบบแผลกลม อาการจะเหมอื น โรคใบจดุ ตานก แตโ่ รคทเี่ กิดจากเชอ้ื ราคอรเี นสปอราจะมีอาการเปน็ จดุ แผล ขนาดใหญก่ ว่า ถา้ เป็นโรคขณะใบยังออ่ นปลายใบจะไหม้เนื่องจากมีจดุ แผล ลุกลามตดิ ต่อกนั ส้าหรับลกั ษณะอาการของโรคตามธรรมชาตทิ ี่พบในประเทศ ไทย และจากการปลกู เช้อื บนใบยางพันธุ์ rric103 และ krs21 เปน็ แผลขนาด ใหญม่ ากนับไดห้ ลายเซนติเมตรเริ่มแรกอาการของแผลมเี นื้อเยือ่ ตายแลว้ อาการลกุ ลามออกไปตามเสน้ ใบท้าใหเ้ ห็นเส้นใบช้าเปน็ สนี า้ ตาลหรือด้าลาย ชัดเจนเปรียบคลา้ ยลายก้างปลาบนเน้ือเย่ือใบตายสีเหลอื งนี้และตอ่ มาเนื้อเยือ่ บริเวณแผลนจี้ ะแห้งท้าให้ใบรว่ งในที่สุด สาเหตุท่ีใบยางเปน็ โรครว่ งอยา่ ง รวดเรว็ สันนษิ ฐานว่าเชื้อราผลติ สารเคมบี างชนดิ ทีท่ า้ ใหใ้ บรว่ งโดยตรง ยาง พันธทุ์ ีอ่ อ่ นแอต่อโรค จะแสดงอาการก่งิ ตายจากยอดร่วมด้วย ในกรณีทเ่ี กดิ โรค ระบาดรนุ แรงตน้ ยางพนั ธุ์อ่อนแอเหล่าน้ียนื ตน้ ตายเป็นจา้ นวนมาก โรคใบจดุ ก้างปลาระบาดรุนแรงทงั้ ในสภาพอากาศแหง้ แลง้ และชมุ่ ช้นื
6. โรคใบจดุ ตานก Drechslera (Helminthosporium) heveae เช้อื สาเหตเุ กดิ จากเชอื้ รา Drechslera (Helminthosporium) heveae ลกั ษณะของเชอ้ื รา มลี ักษณะรปู รา่ งคลา้ ยเมลด็ ขา้ วเปลือก ขนาดประมาณหน่งึ ในสิบของมิลลิเมตร เม่อื ใช้แวน่ ขยายส่องดจู ะเห็นสปอรม์ ีสนี ้าตาลไหม้ ในระยะท่เี ชอ้ื ราสรา้ งสปอรข์ ึน้ เป็น จ้านวนมากคอื ระยะ 2-3 สัปดาห์ต่อจากการเร่ิมเขา้ ท้าลายของเชอื้ ราอาจจะมองเห็น กลุ่มของสปอรซ์ ง่ึ อยรู่ วมเป็นกระจุกมีสีน้าตาลไหม้แวววาวท่ีบริเวณกลางจดุ ของแผล ทางด้านลา่ งของแผ่นใบ สปอร์เหล่านแ้ี พรก่ ระจายโดยอาศยั ลมพดั พาไป นอกจากนี้ ฝน นา้ ค้างตลอดจนการเสยี ดสรี ะหวา่ งตน้ ยางและการท่คี นไปสมั ผัสขณะปฏิบตั งิ าน ช่วยทา้ ใหเ้ กดิ การระบาดและแพรก่ ระจายของสปอรไ์ ปยงั ต้นขา้ งเคียงไดเ้ ป็นอย่างดี โรคใบจดุ ตานกจะเกดิ รนุ แรงมากในพ้นื ทีป่ ลกู ยางทีเ่ ปน็ ดินร่วนปนทรายซ่งึ ไม่อ้มุ น้า และไมม่ ีความสมบูรณ์ ลกั ษณะอาการ สังเกตได้เดน่ ชัดคอื จุดทีเ่ กดิ ขน้ึ มลี ักษณะคลา้ ยคลึงกบั ตานก ตามปกตลิ ักษณะ ของจุดค่อนข้างกลม มขี อบแผลสีน้าตาลลอ้ มรอบรอยโปรง่ แสงทบี่ ริเวณกลางจดุ ขนาดของจุดมกั มเี สน้ ผา่ ศนู ย์กลางประมาณ 1-3 มลิ ลเิ มตรเทา่ นัน้ ท้ังน้ีเน่อื งจากรอย จดุ เหล่านี้เกดิ ขนึ้ ด้วยเชือ้ ราสาเหตเุ ขา้ ทา้ ลายขณะท่ีใบเจริญและขยายตัวจนมขี นาดโต เตม็ ทแ่ี ล้วแตย่ ังไมก่ ระดา้ ง นอกเหนือจากลกั ษณะอาการของจุดดังกลา่ วมาแลว้ น้ีบนใบ ยางที่เป็นโรคใบจดุ ตานกมกั มลี กั ษณะของจดุ แตกต่างออกไปจากแบบอย่างของโรค ดังท่ีกลา่ วไวแ้ ล้วอย่บู า้ ง คือ ถา้ เชอื้ ราเข้าทา้ ลายในระยะใบยงั อ่อนมากจุดของแผลท่ี เกดิ ข้ึนจะไมแ่ ตกตา่ งจากจดุ ที่เกิดจากการเข้าท้าลายของเช้อื ราชนดิ อ่ืนๆ เลย นอกจากนถ้ี กู เช้อื ราสกลุ คอลเลโทตรกิ มั ทา้ ลาย แตถ่ า้ เชือ้ ราเข้าทา้ ลายเมอ่ื ใบยางอายุ มากขึ้น คือ ขณะทีผ่ ิดใบกระดา้ งแลว้ จดุ ทีเ่ กดิ จากเช้ือราสาเหตโุ รคใบจุดตานกนี้เข้า ท้าลายจะเปน็ เพียงรอยท่ีน้าตาลเขม็ เท่าน้ัน เป็นท่สี งั เกตได้ว่าโดยท่วั ๆ ไปลักษณะ อาการของโรคทัง้ สามแบบน้ีมักจะเกิดขน้ึ บนใบยางทเี่ ป็นโรคใบจดุ ตานกอยา่ งรนุ แรง
การปอ้ งกนั กา้ จดั เปน็ ที่ทราบกันทว่ั ไปวา่ โรคใบจุดตานกน้ีใช้ยารกั ษาใหห้ ายได้ ยาก ท้งั นเ้ี น่อื งจากสปอร์มีความตา้ นทานต่อยาบางชนิดสูง และเชื้อ ราเขา้ ท้าลายใบยางไดอ้ ยา่ งรวดเร็วโดยเฉพาะอยา่ งย่ิงในระยะทใี่ บ ยังอ่อน มผี ิวใบเป็นไขมันซ่งึ ยาไม่ค่อยจบั ตดิ ใบ เท่าที่ปรากฏผลการ ป้องกนั ก้าจัดโรคใบจุดตานกนก้ี ารใช้ยาประเภทคารบ์ าเมท เช่น ไซ เนบ มาเนบ หรือแมงโคเซบ ให้ผลการปอ้ งกนั โรคใบจุดได้ดี ท้งั นี้ ยกเวน้ ประเภทคาร์บาเมทที่มีสารเหล็กเป็นส่วนประกอบรวมทงั้ ยา ประเภทสารประกอบทองแดง ค้าแนะน้าป้องกนั รักษาโรคใบจดุ นีม้ งุ่ หมายทางการป้องกนั โรค มากกวา่ การรักษาโดยแนะนา้ ให้ฉีดยาบอ่ ยคร้งั แตล่ ะครง้ั ไม่ควรท้งิ ระยะให้นานเกินหน่ึงสัปดาห์ เป็นท่นี ่าสงั เกตวา่ การลดจา้ นวนครัง้ ของการพน่ ยาด้วยการเติมสารจบั ใบไม่ใหผ้ ลดีในการป้องการเกดิ โรคเนือ่ งจากเหตผุ ลทีว่ า่ ใบยางเจริญเติบโตและขยายตัวรวดเร็วมาก ยาทีใ่ ช้พน่ ควรให้แมงโคเซบมคี วามเข้มข้น 0.2% และควรพ่นใบ ยางอน่ ที่สว่ นปลายยอดของตน้ ระยะที่ก้าลังเจรญิ ผลใิ บใหม่และใบ กา้ ลงั ขยายตัวให้ทั่วถงึ เครอื่ งพน่ ควรเปน็ เครอื่ งพน่ แบบสะพานหลัง จะท้าให้สามารถเลือกฉดี เฉพาะส่วนปลายยอดของต้นได้ ทา้ ใหไ้ ม่ เปลอื งยาที่ต้องเสียไปกับการฉดี ใบแก่ท่อี ยทู่ างตอนล่างของตน้ การ พ่นยาป้องกนั โรคน้ีควรทา้ การพ่นตดิ ต่อกันเป็นเวลาหลายสปั ดาห์ จนกว่าตน้ ยางมีใบฉัตรใหมท่ ่ีสมบูรณ์
7. โรคใบรว่ งและฝกั เนา่ (Phytophthora leaf fall and pod rot) เชอ้ื สาเหตเุ กดิ จากเชอ้ื รา Phytopthora สองชนิดคอื palmivora และ botryose ลักษณะของเชอื้ รา ลกั ษณะของเช้ือราน้ีแพรก่ ระจายโดยอาศัยน้าพัดพาสปอร์ไป ส้าหรบั การเข้าทา้ ลาย เนื้อเยื่อส่วนต่างๆ ของตน้ ยางในสภาพธรรมชาติ และล้าตน้ ตอนการเกิดโรคระบาดท่เี กดิ จาก เช้ือราน้ี จะเขา้ ทา้ ลายทส่ี ว่ นฝกั ยอด กา้ น ใบ และแผน่ ใบดา้ นล่างทางรูใบเทา่ นน้ั สว่ นการ ระบาดฝักจะถกู เชอื้ เขา้ ทา้ ลายกอ่ นแลว้ แพรพ่ ันธเุ์ ปน็ จา้ นวนมากอยา่ งรวดเรว็ จากนั้นเชอ้ื จะ เขา้ ทา้ ลายสว่ นก้านใบท้าให้ใบรว่ ง ในกรณที ี่ตน้ ยางออ่ นยงั ไมม่ ฝี กั บริเวณยอดอ่อนจะถกู เชือ้ ราเขา้ ท้าลายก่อนท้าให้ยอดเน่า ต่อมาเชือ้ จะลกุ ลามเข้าทา้ ลายกา้ นใบและแผน่ ใบในท่ีสดุ สภาพอากาศที่เหมาะสมตอ่ การเกดิ โรคระบาดอย่างรุนแรงนั้น ขนึ้ อยูก่ บั ปรมิ าณน้าฝนและ จ้านวนวันฝนตกเปน็ ปจั จัยส้าคญั โดยปกตโิ รคจะเกดิ ข้นึ อย่างกวา้ งขวางและรนุ แรงในระยะท่มี ี ฝนตกหนกั ตดิ ต่อกันเปน็ เวลาหลายๆวันในบรเิ วณที่ทมี่ เี ชื้อราชนดิ นร้ี ะบาดอยซู่ ่งึ มกั จะเกดิ ขน้ึ ในระหว่างเดือนมถิ ุนายนถงึ พฤศจกิ ายนของทุกๆป ลกั ษณะอาการ อาการของโรคทส่ี ่วนต่างๆ ของต้นยางซง่ึ ถกู เช้ือราชนิดน้ีเขา้ ทา้ ลายมดี ังต่อไปน้ี คอื อาการทฝ่ี กั ฝกั ทถ่ี ูกทา้ ลายจะเนา่ ด้า คา้ งอยู่บนั ตน้ ไมแ่ ตกและรว่ งหลน่ ตามธรรมชาติ สา้ หรบั อาการของโรคใบรว่ ง ใบยางจะรว่ งท้ังท่ีมสี เี ขียวสดและสีเหลือง ทงั้ นีข้ ้ึนอยู่กับสภาพอากาศ โดยมลี ักษณะท่ีปรากฏเดน่ ชัด คือ มีรอยช้าสดี ้าอยู่ท่ีบริเวณกา้ นใบ และที่จุดกงึ่ กลางของรอย ชา้ มีหยดนา้ ยางเกาะตดิ อยู่ดว้ ยใบยางรว่ งที่เกิดจากเช้ือรานีเ้ มือ่ น้าขึ้นมาสบดั ไปมาเพียงเบาๆ ใบยอ่ ยจะหลดุ ทนั ที ซง่ึ ตา่ งกบั ใบยางที่รว่ งหล่นตามธรรมชาติ คอื เมอ่ื น้าใบยางท่ีรว่ งตาม ธรรมชาติมาสบดั ใบยอ่ ยจะไมห่ ลดุ ออกจากก้านใบแผ่นใบบางครง้ั จะเป็นแผลที่มลี กั ษณะชา้ ฉ่้า น้า ขนาดของแผลไมแ่ นน่ อน สา้ หรบั ต้นยางอ่อนถา้ หากถกู เช้อื เขา้ ท้าลาย จะเกดิ อาการยอด เนา่ แล้วลกุ ลามไปท้าลายก้านใบและแผ่นใบ ทา้ ใหต้ น้ ยางตายได้ ซง่ึ โรคนี้จะระบาดบริเวณ พน้ื ที่ปลูกยางที่มฝี นตกชกุ ความช้ืนสูง จะระบาดมากในบริเวณภาคใตฝ้ งั่ ตะวันตก คอื จ. ระนอง พงั งา กระบ่ี ตรงั ภเู กต็ และสตลู ส่วนภาคใตฝ้ ่งั ตะวันออก คือ ชมุ พร สรุ าษฎร์ธานี นครศรีธรรมราช สงขลา และพัทลงุ การเกิดโรคใบรว่ งจะไมร่ นุ แรงเทา่ ฝง่ั ตะวันตก ทางฝ่งั ตะวนั ตก โรคจะระบาดในช่วงเดอื นมถิ ุนายน-สงิ หาคม ส่วนภาคใตฝ้ ่งั ตะวันออก จะเรม่ิ การ ระบาดของโรคในชว่ งเดือนตลุ าคม-ธันวาคม ส้าหรับโรคท่หี น้ากรดี ยางโดยมเี ช้อื ราชนดิ เดียวกันนเ้ี ปน็ สาเหตุ เรียกว่าโรคเสน้ ด้าซ่งึ จะกลา่ วตอ่ ไป
Search