87 ขั้นตอนที่ 5 การนำแบบสอบถามความคิดเห็นของนักเรียนไปใช้เป็นเคร่ืองมือใน การศึกษาวิจัย จากการดำเนินการสร้างแบบสอบถามความคิดเห็นท่ีมีต่อการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ แบบโครงงาน สรุปขั้นตอนการสร้างแบบสอบถามความคิดเห็นของนักเรียนท่ีมีต่อการจัดกิจกรรม การเรียนร้แู บบโครงงาน ไดด้ ังแผนภาพท่ี 6 ศกึ ษาวธิ ีการสรา้ งแบบสอบถามความคดิ เหน็ เกยี่ วกบั การจัดกิจกรรมการเรยี นรู้แบบโครงงาน สร้างแบบสอบถามความคดิ เหน็ ทมี่ ตี ่อการจดั การเรียนรู้แบบโครงงานให้เหมาะสมกบั ระดบั ช้นั ประถมศึกษาปที ี่ 5 นำแบบสอบถามเสนอตอ่ อาจารยผ์ ู้ควบคมุ วิทยานิพนธ์ และผเู้ ชย่ี วชาญจำนวน 3 ท่าน เพื่อ ตรวจสอบความเทย่ี งตรงเชงิ เน้ือหาตรวจสอบความถูกต้องของเนือ้ หา (Content Validity) โดยคำนวณหาค่า ดชั นคี วามสอดคลอ้ ง (Index of Objective Congruence : IOC) ปรับปรงุ แบบสอบถามความคดิ เหน็ ที่มีต่อการจดั การเรียนร้แู บบโครงงานตามคำแนะนำของอาจารยผ์ คู้ วบคุม วทิ ยานิพนธ์และผเู้ ช่ียวชาญ นำแบบสอบถามความคดิ เหน็ ที่มีตอ่ การจดั การเรียนร้แู บบโครงงานไปใชเ้ ป็นเครอ่ื งมือในการวิจัย แผนภาพที่ 6 ขั้นตอนการสร้างแบบสอบถามความคิดเห็นของนักเรียนที่มีต่อการจัดการเรียนรู้แบบ โครงงาน 4. การดำเนินการทดลองและเกบ็ รวบรวมข้อมูล ในการทดลองและเกบ็ รวบรวมขอ้ มลู ผูว้ ิจยั ดำเนินตามข้นั ตอนดังต่อไปนี้ 1.ผู้วจิ ัยดำเนนิ การทดสอบผลสมั ฤทธท์ิ างการเรียนวิทยาศาสตร์ก่อนเรียน (Pretest) ด้วย แบบทดสอบผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนวิทยาศาสตร์กับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีท่ี 5 โรงเรียน วดั บางหลวง 2.ผู้วิจัยดำเนินการจัดการเรียนรู้แบบโครงงานเพ่ือส่งเสริมทักษะกระบวนการทาง วิทยาศาสตร์และความสามารถในการทำโครงงาน ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ตามแผนการ
88 จัดการเรียนรู้แบบโครงงานที่ผู้วิจัยสร้างข้ึน จำนวน 5 แผน 10 สัปดาห์ สัปดาห์ละ 2 ชั่วโมง เป็น ระยะเวลา 20 ช่ัวโมง ได้ทำการทดลองในภาคเรยี นที่ 2 ปีการศกึ ษา 2560 3.ผู้วจิ ยั ดำเนนิ การทดสอบหลังเรียน (Posttest) ด้วยแบบทดสอบผลสัมฤทธท์ิ างการเรียน วทิ ยาศาสตร์ ซง่ึ เปน็ แบบทดสอบท่ีทำการทดสอบก่อนเรยี น 4.ผู้วิจัยดำเนินการประเมินทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ หลังการจัดการเรียนรู้ แบบโครงงานในหน่วยการเรียนรู้ที่ 3 เร่ืองแรงและการเคลื่อนที่ โดยใช้แบบประเมินทักษะ กระบวนการทางวิทยาศาสตร์เป็นรายบุคคล 5.ผู้วิจัยดำเนินการประเมินความสามารถในการทำโครงงาน ระหว่างจากการจัดการเรียนรู้ แบบโครงงานในหน่วยการเรียนรู้ที่ 3 เรื่องแรงและการเคลื่อนที่ โดยประเมินความสามารถในการทำ โครงงาน 2 สัปดาห์ ต่อ 1 คร้ัง ทั้งหมด 5 คร้ัง ซึ่งใช้แบบประเมินความสามารถในการทำโครงงาน เปน็ รายกลุม่ 6.ผู้วิจัยให้นักเรียนทำแบบสอบถามความคิดเห็นท่ีมีต่อการจัดการเรียนรู้แบบโครงงาน หลงั จากเรียนหน่วยการเรียนรูท้ ี่ 3 เรื่อง แรงและการเคล่ือนท่ี โดยใชแ้ บบสอบถามความเห็น 5. การวิเคราะห์ข้อมูลและค่าสถิตใิ นการใช้วเิ คราะห์ขอ้ มูล การตรวจสอบคณุ ภาพเครอ่ื งมอื สำหรบั การวิจัยครงั้ นี้ มีรายะเอยี ดดงั นี้ 1. ตรวจสอบคุณภาพของแผนการจัดการเรียนรู้ โดยหาคา่ ดัชนคี วามสอดคลอ้ ง (Index of Objective Congruence : IOC) 2. การวิเคราะห์ข้อมูลจากแบบทดสอบการวัดผลสัมฤทธิ์การเรียนรู้เรื่อง แรงและการ เคลื่อนท่ี โดยใช้ค่าสถิติ ค่าเฉลี่ย ( X ) ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) ค่า t- test แบบ Dependent การเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์การเรียนรู้เรื่อง แรงและการเคลื่อนที่ ก่อนและหลังการ จัดการเรยี นรแู้ บบโครงงาน 3. วิเคราะห์ข้อมูลจากแบบประเมินทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ โดยแบบประเมิน ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ ใชค้ า่ เฉลีย่ ( X ) และสว่ นเบยี่ งเบนมาตรฐาน (S.D.) 4. วิเคราะห์ข้อมูลแบบประเมินความสามารถในการทำโครงงาน ซ่ึงใช้ค่าเฉลี่ย ( X ) และ ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) 5. วิเคราะห์ข้อมูลจากแบบประเมินแบบสอบถามความคิดเห็นท่ีมีต่อการจัดการเรียนรู้ แบบโครงงาน ใชค้ า่ เฉลย่ี ( X ) และส่วนเบยี่ งเบนมาตรฐาน (S.D.)
89 ตารางที่ 12 สรปุ วธิ ดี ำเนนิ การวิจัย วัตถปุ ระสงค์ของการวิจัย วธิ ีการ กล่มุ เป้าหมาย เคร่ืองมือ/การวเิ คราะห์ขอ้ มูล 1. เพ่อื เปรยี บเทยี บผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน - การทดสอบผลสมั ฤทธ์ิ นกั เรยี นช้นั แผนการจัดการเรียนรู้แบบโครงงาน วทิ ยาศาสตร์เร่ืองแรงและการเคลือ่ นท่ี การเรยี นร้กู อ่ นและหลงั ประถมศึกษาปีที่ 5 แบบทดสอบวดั ผลสมั ฤทธก์ิ ารเรียนรวู้ ิเคราะห์ข้อมลู ก่อนและหลงั เรยี นด้วยการจดั การเรียนรู้แบบ การจัดการเรียนรู้แบบ โรงเรียนวัดบางหลวง โดยใชค้ ่าเฉลยี่ (x̅)ส่วนเบีย่ งเบนมาตรฐาน (S.D.) โครงงาน ของนกั เรียนชน้ั ประถมศกึ ษาปที ่ี 5 โครงงาน อำเภอบางเลน และ ค่า t- test แบบ Dependent 2. เพอ่ื ศึกษาทกั ษะกระบวนการทาง จังหวดั นครปฐม แบบประเมินทกั ษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ วทิ ยาศาสตรห์ ลังเรยี นดว้ ยการจัดการเรยี นรู้ - ประเมินทกั ษะ วเิ คราะห์ขอ้ มลู โดยใช้ค่าเฉล่ยี (x̅) และส่วน แบบโครงงาน ของนักเรยี นช้นั ประถมศึกษา กระบวนการทาง เบย่ี งเบนมาตรฐาน (S.D.) ปีที่ 5 วทิ ยาศาสตรห์ ลังการ จดั การเรียนรู้แบบ แบบประเมินประเมนิ ความสามารถในการทำ 3.เพ่อื ศึกษาพฒั นาการความสามารถในการ โครงงาน โครงงาน ทำโครงงานระหว่างเรยี นดว้ ยการจัดการ -ประเมนิ พฒั นา วเิ คราะห์ขอ้ มลู โดยใชค้ า่ เฉลยี่ (x̅)และส่วน เรียนรแู้ บบโครงงาน ของนักเรยี นชัน้ ความสามารถในการทำ เบ่ยี งเบนมาตรฐาน (S.D.) ประถมศึกษาปที ่ี 5 โครงงานระหวา่ งเรยี น ด้วยการจัดการเรียนรโู้ ดย แบบสอบถามความคิดเห็นท่ีมีต่อการจัดกิจกรรมการ 4. เพื่อศกึ ษาความคิดเห็นของนักเรยี นท่ีมตี อ่ ประเมิน 2 สัปดาหต์ อ่ 1 เรียนรู้แบบโครงงานวิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ค่าเฉล่ีย การจัดการเรียนรแู้ บบโครงงานหลังเรยี นดว้ ย ครง้ั รวมทัง้ หมด 5 คร้งั (x̅) การจัดการเรียนรแู้ บบโครงงาน - สอบถามความคิดเห็นท่ี สว่ นเบ่ียงเบนมาตรฐาน (S.D.) มีตอ่ การจัดการเรียนรู้ และวเิ คราะหเ์ น้อื หา แบบโครงงานหลงั การ (Content Analysis) จดั การเรียนรู้
90 บทท่ี 4 ผลการวิเคราะหข์ ้อมลู การวิจัยเร่ือง การพัฒนาทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์และความสามารถในการทำ โครงงานของนักเรียนชัน้ ประถมศกึ ษาปีที่ 5 ด้วยการจัดการเรียนรู้แบบโครงงาน ผวู้ ิจัยเก็บรวบรวม ข้อมูลโดยการนำเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แผนการจัดการเรียนรู้ แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ิ ทางการเรียนวิทยาศาสตร์เร่ืองแรงและการเคล่ือนท่ี แบบประเมินทักษะกระบวนการทาง วทิ ยาศาสตร์ แบบประเมนิ ความสามารถในการทำโครงงาน แบบสอบถามความคิดเหน็ ของนักเรยี นท่ี มีต่อการจัดการเรียนรู้แบบโครงงาน ซึ่งนำไปใช้กับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5/3 จำนวน 31 คน ผวู้ ิจัยไดน้ ำเสนอผลการวเิ คราะห์ขอ้ มูลตามลำดับ ดังน้ี ตอนที่ 1 ผลการเปรียบเทียบผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนวิทยาศาสตร์เรื่องแรงและการ เคลือ่ นท่ี ก่อนและหลงั การจัดการเรยี นรูแ้ บบโครงงาน ของนักเรียนชัน้ ประถมศึกษาปที ่ี 5 ตอนท่ี 2 ผลการศึกษาทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์หลังการจัดการเรียนรู้แบบ โครงงาน ของนักเรียนชน้ั ประถมศกึ ษาปที ่ี 5 ตอนที่ 3 ผลการศึกษาพัฒนาการความสามารถในการทำโครงงานระหว่างการจัดการ เรียนรูแ้ บบโครงงาน ของนักเรยี นชนั้ ประถมศึกษาปีที่ 5 ตอนที่ 4 ผลการวิเคราะห์ข้อมูลความคิดเห็นของนักเรียนที่มีต่อการจัดการเรียนรู้แบบ โครงงาน ตอนที่ 1 ผลการเปรียบเทยี บผลสัมฤทธ์ิทางการเรยี นวทิ ยาศาสตร์เรอ่ื งแรงและการเคล่อื นท่ี ก่อนและหลังการจดั การเรียนรู้แบบโครงงาน ของนักเรยี นชน้ั ประถมศกึ ษาปีท่ี 5 เพ่ือตอบวัตถุประสงค์การวิจัยข้อท่ี 1 คือ การเปรียบเทียบผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน วิทยาศาสตร์ เรื่อง แรงและการเคลื่อนที่กอ่ นและหลงั การจดั การเรยี นรูแ้ บบโครงงาน ของนักเรียนชั้น ประถมศึกษาปีที่ 5 ผู้วิจัยได้ให้กลุ่มตัวอย่าง จำนวน 31 คน ทำแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ิทางการ เรียนวิทยาศาสตร์เร่ืองแรงและการเคลื่อนท่ี ก่อนและหลังการจัดการเรียนรู้แบบโครงงาน ซึ่งเป็น แบบทดสอบชุดเดียวกัน จำนวน 30 ข้อ และนำคะแนนท่ีได้จากการทดสอบท้ังสองครั้งมา เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิทยาศาสตร์ เร่ือง แรงและการเคล่ือนท่ี ด้วยการจัดการเรียนรู้ แบบโครงงาน ของนักเรียนช้ันประถมศึกษาปีท่ี 5 ของกลุ่มตัวอย่าง ผลการวิเคราะห์ข้อมูลมี รายละเอยี ดแสดงไว้ในตารางที่ 13 ดังนี้ 90
91 ตารางท่ี 13 คะแนนเปรียบเทียบผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนวิทยาศาสตร์เรื่องแรงและการเคลื่อนที่ กอ่ นและหลังการจดั การเรียนรู้แบบโครงงาน ของนกั เรียนชน้ั ประถมศึกษาปที ี่ 5 กลมุ่ ตัวอยา่ ง N คะแนนเต็ม X S.D. t-test Sig. การทดสอบก่อนเรียน 31 30 12.00 1.88 -21.428* .000 การทดสอบหลงั เรยี น 31 30 19.87 2.80 * มีนยั สำคัญทร่ี ะดบั .05 จากตารางท่ี 13 พบว่า คะแนนเฉล่ียผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนวิทยาศาสตร์เรื่องแรงและ การเคลื่อนท่ี ก่อนและหลังเรียนด้วยการจัดการเรียนรู้แบบโครงงาน ของนักเรียนชั้นประถมศึกษา ปีท่ี 5 มีคะแนนหลังเรียน (X = 19.87, S.D. = 2.80) สูงกว่าก่อนเรียน (X = 12.00, S.D. = 1.88) อย่างมีนยั สำคญั ทางสถิตทิ ่รี ะดบั .05 ซง่ึ ยอมรับสมมตฐิ านการวิจยั ขอ้ ที่ 1 ตอนที่ 2 ผลการศึกษาทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์หลังการจัดการเรียนรู้แบบโครงงาน ของนกั เรยี นชน้ั ประถมศึกษาปที ่ี 5 เพ่ือตอบวัตถุประสงค์การวิจัยข้อท่ี 2 คือ การศึกษาทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ หลังการจัดการเรียนรู้แบบโครงงาน ของนักเรียนช้ันประถมศึกษาปีท่ี 5 จำนวน 6 ทักษะ ได้แก่ 1) ทักษะการสังเกต 2) ทักษะการส่ือความหมาย 3) ทักษะการลงความหมายข้อมูล 4) ทักษะการ ต้ังสมมติฐาน 5) ทักษะการกำหนดและควบคุมตัวแปร 6) ทักษะการทดลอง ซ่ึงจะประเมินเป็น รายบุคคลหลังจากการจัดการเรียนรู้แบบโครงงาน โดยใช้แบบประเมินทักษะกระบวนการทาง วทิ ยาศาสตร์ ผลการศึกษาข้อมลู มรี ายละเอียดแสดงไว้ในตารางที่ 14 ดงั นี้
92 ตารางท่ี 14 ผลการประเมนิ ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ ทกั ษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ ������ S.D. ความหมาย ลำดับที่ มาก 4 1.ทกั ษะการสงั เกต 3.87 0.67 6 ปานกลาง 2.ทักษะการจดั กระทำและส่ือความหมาย 3.24 0.56 5 ปานกลาง ขอ้ มูล 1 มาก 2 2.1 แหล่งข้อมลู ทน่ี ำมา มาก 3 มาก 2.2 การจัดกระทำข้อมูล มาก 2.3 การนำเสนอข้อมูล 3.ทักษะการลงความเห็นจากข้อมูล 3.40 0.66 3.1 การอธิบาย 3.2 การลงความเหน็ 4.ทักษะการตั้งสมมตฐิ าน 4.42 0.62 5.ทกั ษะการกำหนดและควบคมุ ตวั แปร 4.35 0.61 6.ทักษะการทดลอง 3.91 0.46 6.1 ความสามารถในการออกแบบ 6.2 การบนั ทกึ ผล 6.3 การแปลความหมายข้อมลู โดยภาพรวม 3.87 0.48 จากตารางท่ี 14 พบว่า ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์หลังการจัดการเรียนรู้ แบบโครงงาน ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีท่ี 5 ท้ัง 6 ทักษะ โดยรวมอยู่ในระดับมาก (X = 3.87, S.D. = 0.48) ซึ่งยอมรับสมมตฐิ านการวิจัยข้อที่ 2 เมื่อพิจารณารายทักษะ เรียงตามลำดับจากมากไป หาน้อย พบว่า ลำดับท่ี 1 ทักษะการตั้งสมมตฐิ าน (X = 4.42, S.D. = 0.62) อยูใ่ นระดบั มาก ลำดับที่ 2 คอื ทกั ษะการกำหนดและควบคุมตัวแปร (X = 4.35, S.D. = 0.61) อยใู่ นระดับมาก ลำดบั ที่ 3 คือ ทักษะการทดลอง (X = 3.91, S.D. = 0.46) อยู่ในระดับมาก ลำดับที่ 4 คือ ทักษะการสังเกต (X = 3.87, S.D. = 0.67) อยู่ในระดับมาก ลำดับท่ี 5 คือ ทักษะการลงความเห็นจากข้อมูล (X = 3.40, S.D. = 0.66) อยู่ในระดับปานกลาง และลำดับสุดท้าย คือทักษะการจัดกระทำและสื่อ ความหมายขอ้ มูล (X = 3.24, S.D. = 0.56) อยู่ในระดับปานกลาง ตามลำดับ
93 ตอนท่ี 3 ผลการวิเคราะห์ข้อมูลพัฒนาการความสามารถในการทำโครงงานระหว่างการจัด การเรยี นรู้แบบโครงงาน ของนกั เรยี นชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 เพ่ือตอบวัตถุประสงค์การวิจัยข้อที่ 3 คือ การศึกษาพัฒนาการความสามารถในการทำ โครงงานระหว่างการจัดการเรียนรู้แบบโครงงาน ของนักเรียนช้ันประถมศึกษาปีท่ี 5 ประกอบด้วย ความสามารถการทำโครงงาน 6 ด้าน คือ 1) การสำรวจค้นหาปัญหา 2) การวางแผน 3) การ รวบรวมข้อมูล 4) การลงมือปฏิบัติ 5) การวิเคราะห์ข้อมูลและสรุปผล และ 6) การนำเสนอผลงาน ข้อมูล ซ่ึงจะประเมินพัฒนาความสามารถในการทำโครงงานระหว่างการจัดการเรียนรู้โดยประเมิน 2 สัปดาห์ต่อ 1 คร้ัง รวมท้ังหมด 5 ครั้ง โดยใช้แบบแบบประเมินความสามารถในการทำโครงงาน ผลการศกึ ษาข้อมูลมรี ายละเอยี ดแสดงไว้ในตารางที่ 15 ดังนี้
ตารางท่ี 15 ผลการศกึ ษาพัฒนาการความสามารถในการทำโครงงานระหว่างการจดั การเรียนรแู้ บบโครงงาน สัปดาห์ท่ี 2 สัปดาหท์ ่ี 4 ความสามารถในการทำโครงงาน สัปดาหท์ ี่ 8 สัปดาหท์ ี่ 10 สัปดาหท์ ่ี 6 แผนที่ 1 เรอื่ ง แผนท่ี 2 เร่ือง แผนท่ี 3 เร่อื ง ความดัน แผนท่ี 4 เรอื่ ง แผนที่ 5 เร่อื ง ความดนั อากาศ ของของเหลว แรงลอยตวั แรงเสียดทาน รายการประเมินความสามารถในการทำโครงงาน แรงลพั ธแ์ ละประโยชน์ 1. การสำรวจค้นหาปญั หา ของแรงลพั ธ์ 1.1 การตง้ั ชือ่ เรอ่ื ง ������ S.D. ความ ������ S.D. ความ ������ S.D. ความ ������ S.D. ความ ������ S.D. ความ 2. การวางแผน หมาย หมาย หมาย หมาย หมาย 2.1 การเขียนความสำคญั มาก 2.2 จดุ ประสงค์ในการทำ 3.60 0.55 มาก 3.80 0.45 มาก 4.20 0.45 มาก 4.40 0.55 4.80 0.45 มากท่สี ุด 2.3 คำถาม(สิ่งท่ีนกั เรยี นอยากรูห้ รือสมมตฐิ าน) 3.33 0.33 ปานกลาง 3.47 0.18 ปานกลาง 3.73 0.28 มาก 4.00 0.53 มาก 4.47 0.45 มาก 3. การรวบรวมขอ้ มูล 3.60 0.55 มาก 3.60 0.55 มาก 3.80 0.45 มาก 4.20 0.45 มาก 4.60 0.55 มากทสี่ ุด 4. การลงมือปฏบิ ัติ 3.40 0.55 ปานกลาง 3.40 0.55 ปานกลาง 3.80 0.45 มาก 4.60 0.55 มากทีส่ ดุ 4.80 0.45 มากทสี่ ดุ 5. การวิเคราะหข์ อ้ มูลและสรปุ ผล 3.20 0.27 ปานกลาง 3.40 0.42 ปานกลาง 3.70 0.45 มาก 4.10 0.42 มาก 4.30 0.27 มาก 5.1 ผลการสำรวจและค้นควา้ 3.20 0.27 ปานกลาง 3.70 0.45 มาก 3.80 0.27 มาก 3.90 0.42 มาก 4.50 0.35 มากทส่ี ุด 5.2 สรปุ ผลการสำรวจ 6. การนำเสนอผลงาน 3.39 0.42 ปานกลาง 3.56 0.43 มาก 3.84 0.39 มาก 4.20 0.49 มาก 4.58 0.42 มากทีส่ ดุ 6.1 การรายงานปากเปล่า 6.2 การตอบขอ้ คดิ เห็น คา่ เฉล่ยี ระดบั ความสามารถในการทำโครงงาน 94
95 จากตารางที่ 15 พบว่า พัฒนาการความสามารถในการทำโครงงานระหว่างการจัดการ เรียนรู้แบบโครงงาน ของนักเรียนช้ันประถมศึกษาปีที่ 5 โดยภาพรวม พบว่านักเรียนมีพัฒนาการ ความสามารถในการทำโครงงานสูงขึ้น ทั้ง 6 ด้าน โดยมีพัฒนาการความสามารถในการทำโครงงาน ในครั้งที่ 1 (สัปดาห์ที่ 2) อยู่ในระดับปานกลาง (X = 3.39, S.D. = 0.42) ครั้งท่ี 2 (สัปดาห์ท่ี 4) อยู่ในระดับมาก (X = 3.56, S.D. = 0.43) ครั้งที่ 3 (สัปดาห์ที่ 2) แผนท่ี 6 อยู่ในระดับมาก (X = 3.84, S.D. = 0.39) ครั้งท่ี 4 (สัปดาห์ที่ 8) อยู่ในระดับมาก (X = 4.20, S.D. = 0.49) และคร้ังท่ี 5 (สัปดาห์ที่ 10) อยู่ในระดับมากที่สุด (X = 4.58, S.D. = 0.42) ซึงมีพัฒนาการสูงขึ้นจากปานกลาง ถงึ มากทสี่ ุด ดังแผนภาพที่ 7 ดังนี้ แผนภาพท่ี 7 แสดงพัฒนาการความสามารถในการทำโครงงานระหว่างการจัดการเรียนรู้แบบ โครงงาน ตอนที่ 4 ผลการวเิ คราะหข์ ้อมูลความคดิ เหน็ ของนกั เรยี นท่ีมีต่อการจัดการเรยี นร้แู บบโครงงาน เพื่อตอบวัตถุประสงค์การวิจัยข้อท่ี 4 คือ การศึกษาความคิดเห็นของนักเรียนท่ีมีต่อการ จัดการเรียนรู้แบบโครงงานหลังการจัดการเรียนรู้ จำนวน 4 ด้าน คือ 1) ด้านเนื้อหาสาระ 2) ด้าน การจัดการเรียนรู้แบบโครงงาน 3) ด้านการวัดและประเมินผล และ 4) ดา้ นประโยชนท์ ่ีได้รับ ซึ่งจะ ใช้แบบสอบถามความคิดเห็นท่ีมีต่อการจัดการเรียนรู้แบบโครงงาน โดยแบ่งออกเป็น 2 ตอน ได้แก่ สอบถามความคิดเห็นของนักเรียนที่มีต่อการจัดการเรียนรู้แบบโครงงานใช้แบบตรวจสอบราย การ (Checklist) และสอบถามโดยให้นกั เรียนเขยี นบรรยาย ผลการวิเคราะหข์ ้อมูลมีรายละเอียดแสดงไว้ ในตารางที่ 16 ดังนี้
96 ตารางท่ี 16 ผลการศึกษาความคดิ เหน็ ของนักเรียนท่มี ตี ่อการจดั การเรียนรู้แบบโครงงาน ความคิดเห็นของนักเรียนทีม่ ีตอ่ ������ S.D. ระดับ ลำดับ การจดั การเรียนร้แู บบโครงงาน ความคิดเห็น ท่ี ดา้ นเน้ือหาสาระ 4.65 0.55 เห็นดว้ ยมากทส่ี ุด 1 1. เนอ้ื หาเรอ่ื งแรงและการเคล่ือนทีม่ ีความนา่ สนใจ 2. เน้ือหาเรอ่ื งแรงและการเคล่อื นทีค่ รอบคลุม เหมาะสมและสอดคล้องกบั ความ 4.65 0.49 เหน็ ดว้ ยมากที่สดุ 1 4.52 0.57 เห็นด้วยมากทีส่ ุด 4 ตอ้ งการของนักเรียน 3. นกั เรยี นมคี วามรเู้ กยี่ วกับการทำโครงงานมากขึ้น 4. นักเรยี นสามารถนำความรู้เรื่องแรงและการเคลื่อนทไ่ี ปใชใ้ นชวี ิตประจำวนั ได้ 4.58 0.56 เห็นดว้ ยมากทสี่ ุด 3 ความคดิ เหน็ ด้านเน้ือหาสาระโดยรวม 4.60 0.54 เห็นด้วยมากทส่ี ดุ 2 ดา้ นการจดั การเรียนรแู้ บบโครงงาน 4.58 0.67 เห็นดว้ ยมากทส่ี ดุ 2 5. นกั เรียนมสี ่วนร่วมในกิจกรรมการเรียน 6. กจิ กรรมสรา้ งความสนใจ จนทำใหน้ ักเรยี นอยากสบื เสาะหาความรู้ด้วยตนเอง 4.42 0.76 เหน็ ดว้ ยมาก 4 7. กจิ กรรมการเรียนการสอนช่วยสง่ เสริมการทำงานรว่ มกับผูอ้ ่ืนไดอ้ ย่างเป็นระบบ 4.71 0.59 เห็นด้วยมากที่สุด 1 8. กจิ กรรมการเรยี นส่งเสรมิ ความรู้ ทกั ษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ต่อนักเรยี น 4.55 0.62 เหน็ ด้วยมากท่สี ุด 3 ความคิดเห็นด้านกจิ กรรมการเรียนรู้โดยรวม 4.57 0.66 เห็นด้วยมากที่สุด 4 ด้านวัดและประเมินผล 4.52 0.63 เหน็ ดว้ ยมากทส่ี ดุ 4 9. ครผู ูส้ อนใช้การวัดและประเมินผลดว้ ยการปฏิบัติ 10. ครผู ูส้ อนประเมนิ ผลดว้ ยวิธกี ารที่หลากหลายและเหมาะสม 4.65 0.55 เห็นดว้ ยมากที่สดุ 1 11. ส่งเสริมใหส้ รา้ งสรรค์ผลงานตามความสนใจของนักเรยี น 4.61 0.56 เห็นด้วยมากที่สดุ 2 12. เปิดโอกาสใหผ้ เู้ รยี นเป็นผ้ปู ระเมนิ 4.61 0.62 เหน็ ดว้ ยมากทส่ี ุด 2 ความคดิ เหน็ ดา้ นวดั และประเมินผลโดยรวม 4.60 0.59 เห็นด้วยมากท่สี ดุ 3 ดา้ นประโยชน์ท่ีได้รับ 4.68 0.54 เหน็ ด้วยมากท่สี ุด 1 13. นักเรยี นสามารถจัดทำโครงงานวิทยาศาสตร์อย่างสรา้ งสรรค์ 14. นกั เรยี นสามารถนำความรทู้ ่ไี ดร้ บั ไปใชใ้ หเ้ กดิ ประโยชน์ 4.65 0.61 เห็นด้วยมากทส่ี ุด 2 15. นกั เรียนได้นำเสนอผลงาน และกล้าแสดงออก 4.61 0.50 เห็นดว้ ยมากที่สดุ 3 ความคิดเหน็ ด้านประโยชน์ท่ีไดร้ บั โดยรวม 4.65 0.55 เหน็ ด้วยมากทส่ี ดุ 1 ความคดิ เห็นโดยรวม 4.60 0.59 เหน็ ดว้ ยมากท่สี ุด
97 จากตารางท่ี 16 พบว่า ความคิดเห็นของนักเรียนที่มีต่อการจัดการเรียนรู้แบบโครงงาน ซ่ึงความคิดเห็นโดยรวมอยู่ในระดับเห็นด้วยมากที่สุด (X = 4.60, S.D. = 0.59) ซ่ึงยอมรับ สมมติฐานการวิจยั ขอ้ ท่ี 4 ท่ีระบวุ ่า ความคิดเห็นของนักเรียนช้ันประถมศกึ ษาปที ี่ 5 ที่มตี ่อการจัดการ เรียนรู้แบบโครงงานหลังการจัดการเรียนรู้ อยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณารายด้านพบว่า ด้านประโยชน์ที่ได้รับ มีค่าเฉลี่ยสูงที่สุด (X = 4.65, S.D. = 0.55) รองลงมา คือ ด้านเน้ือหาสาระ (X = 4.60, S.D. = 0.54) ลำดับท่ีสาม คือ ด้านด้านการวัดและประเมินผล (X = 4.60, S.D. = 0.59) และ ด้านกิจกรรมการเรียนรู้ มีคา่ เฉลยี่ ต่ำสดุ (X = 4.57, S.D. = 0.66) เม่ือพิจารณารายละเอียดในแต่ละด้าน พบว่า ด้านเนื้อหาสาระ มีระดับความคิดเห็นอยู่ ระดับเห็นด้วยมากที่สุด มี 4 ข้อ เรียงลำดับตามค่าเฉลี่ย ดังนี้ ข้อที่ 1 เน้ือหาสาระเร่ืองแรงและการ เคลื่อนท่ีมีความน่าสนใจ (X = 4.65, S.D. = 0.55) ซ่ึงมีค่าเฉล่ียเท่ากับ ข้อท่ี 2 เน้ือหาเร่ืองแรงและ การเคลื่อนท่ีครอบคลุม เหมาะสมและสอดคล้องกับความต้องการของนักเรียน (X = 4.65, S.D. = 0.49) ข้อท่ี 4 นักเรียนสามารถนำความรู้เรื่องแรงและการเคล่ือนที่ไปใช้ในชีวิตประจำวันได้ (X = 4.58, S.D. = 0.56) และข้อท่ี 3 นักเรียนมีความรู้เกี่ยวกับการทำโครงงานมากขึ้น (X = 4.52, S.D. = 0.57) ตามลำดับ ด้านการจัดการเรียนรู้แบบโครงงาน มีระดับความคิดเห็นอยู่ในระดับเห็นด้วยมากท่ีสุด มี 3 ข้อ เรียงลำดับตามค่าเฉล่ีย ดังน้ี ข้อท่ี 7 กิจกรรมการเรียนการสอนช่วยส่งเสริมการทำงาน ร่วมกับผู้อ่ืนได้อย่างเป็นระบบ (X = 4.71, S.D. = 0.59) ข้อท่ี 5 นักเรียนมีส่วนร่วมในกิจกรรมการเรียน (X = 4.58, S.D. = 0.67) ข้อท่ี 8 กิจกรรมการเรียนส่งเสริมความรู้ ทักษะกระบวนการทาง วิทยาศาสตร์ต่อนักเรียน (X = 4.55, S.D. = 0.62) มีระดับความคิดเห็นอยู่ในระดับเห็นด้วยมาก มี 1 ข้อ ดังนี้ ข้อท่ี 6 กิจกรรมสร้างความสนใจ จนทำให้นักเรียนอยากสืบเสาะหาความรู้ด้วยตนเอง (X = 4.42, S.D. = 0.76) ตามลำดบั ด้านวัดและประเมินผล มีระดับความคิดเห็นอยู่ในระดับเห็นด้วยมากท่ีสุด มี 4 ข้อ เรียงลำดับตามค่าเฉล่ีย ดังนี้ ข้อที่ 10 ครูผู้สอนประเมินผลด้วยวิธีการท่ีหลากหลายและเหมาะสม (X = 4.65, S.D. = 0.55) ข้อที่ 11 ส่งเสริมให้สร้างสรรค์ผลงานตามความสนใจของนักเรียน (X = 4.61, S.D. = 0.56) ซึงมีค่าเฉล่ียเท่ากับ ข้อที่ 12 เปิดโอกาสให้ผู้เรียนเป็นผู้ประเมิน (X = 4.61, S.D. = 0.62) และข้อท่ี 9 ครผู ู้สอนใชก้ ารวัดและประเมินผลด้วยการปฏิบตั ิ (X = 4.52, S.D. = 0.63) ตามลำดับ
98 ด้านประโยชน์ท่ีได้รับ มีระดับความคิดเห็นอยู่ในระดับเห็นด้วยมากที่สุด มี 3 ข้อ เรียงลำดับตามค่าเฉลี่ย ดังน้ี ข้อที่ 13 นักเรียนสามารถจัดทำโครงงานวิทยาศาสตร์อย่างสร้างสรรค์ (X = 4.68, S.D. = 0.54) ข้อที่ 14 นักเรียนสามารถนำความรู้ที่ได้รับไปใช้ให้เกิดประโยชน์ (X = 4.65, S.D. = 0.61) และข้อท่ี 15 นักเรียนได้นำเสนอผลงาน และกล้าแสดงออก (X =4.61, S.D.= 0.50) ตามลำดบั และนักเรียนได้เขียนแสดงความคิดเห็นหลังการจัดการเรียนรู้แบบโครงงาน พบว่านักเรียน ชอบการจัดการเรียนรู้แบบโครงงานในเรื่องแรงและการเคล่ือนที่และอยากให้จัดกิจกรรมแบบนี้อีก และน่าจะนำไปใช้ในการจัดการเรียนการสอนในเร่ืองอ่ืน ๆ ด้วยเพราะนักเรียนได้ทำการทดลองและ ได้ปฏิบัตกิ จิ กรรมรว่ มกบั เพือ่ นทำให้เวลาเรยี นเกดิ ความสนุกสนาน
99 บทท่ี 5 สรุปผล อภปิ รายผล และข้อเสนอแนะ การวิจัยเรื่อง การพัฒนาทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตรแ์ ละความสามารถในการทำ โครงงานของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ด้วยการจัดการเรียนรู้แบบโครงงาน เป็นการวิจัยเชิง ทดลอง (Experimental Research) มีวัตถุประสงค์ 1) เพ่ือเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน วทิ ยาศาสตรเ์ ร่ืองแรงและการเคลือ่ นที่ ก่อนและหลังการจดั การเรียนรแู้ บบโครงงาน ของนกั เรียนชั้น ประถมศึกษาปีท่ี 5 2) เพ่ือศึกษาทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์หลังการจัดการเรียนรู้แบบ โครงงาน ของนักเรียนช้ันประถมศึกษาปีที่ 5 3) เพื่อศึกษาพัฒนาการความสามารถในการทำ โครงงานระหว่างการจัดการเรียนรู้แบบโครงงาน ของนักเรียนช้ันประถมศึกษาปีที่ 5 4) เพ่ือศึกษา ความคดิ เห็นของนกั เรียนท่ีมตี ่อการจัดการเรียนรู้แบบโครงงานหลังการจัดการเรียนรู้ กลุ่มตัวอย่างที่ ใช้ในการวิจัย คือ นักเรียนช้ันประถมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนวัดบางหลวง จำนวน 31 คน ภาคเรียนที่ 2 ปกี ารศกึ ษา 2561 เครื่องมือท่ีใช้ในการวิจัยประกอบด้วย 1) แผนการจัดการเรียนรู้แบบโครงงาน เรื่อง แรงและการเคลื่อนท่ี จำนวน 5 แผน 2) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนวิทยาศาสตร์เรื่อง แรงและการเคล่ือนท่ี จำนวน 30 ข้อ 3) แบบประเมินทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ 4) แบบ ประเมินความสามารถในการทำโครงงาน 5) แบบสอบถามความคิดเห็นของนักเรียนที่มีต่อ การจดั การเรยี นรู้แบบโครงงาน ดำเนินการเก็บข้อมูลทุกข้ันตอน โดยตรวจสอบคุณภาพของแผนการจัดการเรียนรู้และ วเิ คราะห์ข้อมลู จากแบบทดสอบวดั ผลสัมฤทธ์ิทางการเรยี นวทิ ยาศาสตร์เร่ืองแรงและการเคลื่อนท่ีโดย ใช้ค่าเฉลี่ย (X) ส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐาน (S.D.) เปรียบเทียบผลสมั ฤทธ์ิทางการเรยี นวิทยาศาสตร์เร่ือง แรงและการเคลื่อนที่ ก่อนและหลังการจัดการเรียนรู้แบบโครงงาน โดยการทดสอบค่าที (t-test) แบบ Dependent ซ่ึงผลการวิเคราะห์ข้อมูลปรากฏว่านักเรียนมีผลผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน วิทยาศาสตร์เรื่องแรงและการเคลื่อนที่หลังการจัดการเรียนรู้แบบโครงงานสูงกว่าก่อนการจัดการ เรียนรู้แบบโครงงานอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติท่ีระดับ .05 ผลการวิเคราะห์ข้อมูลด้านทักษะ กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ อยู่ในระดับมาก ผลการวิเคราะห์ข้อมูลด้านความสามารถในการทำ โครงงานอยู่ในระดับมาก และผลการวิเคราะห์ข้อมูลด้านความคิดเห็นของนักเรียนท่ีมีต่อการจัด การเรียนรู้แบบโครงงานอยู่ในระดับเห็นด้วยมากที่สุด ซ่ึงวิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ค่าเฉล่ีย (X) สว่ นเบย่ี งเบนมาตรฐาน (S.D.) และวเิ คราะหเ์ นอ้ื หา (Content Analysis) 99
100 1. สรปุ ผลการวจิ ยั จากการศึกษาวิจัย การพัฒนาทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์และความสามารถใน การทำโครงงานของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีท่ี 5 ด้วยการจัดการเรียนรู้แบบโครงงาน ผลการวิจัย ดังนี้ 1.1 ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิทยาศาสตร์เรื่องแรงและการเคล่ือนที่ ของนักเรียนช้ัน ประถมศึกษาปีที่ 5 หลังการจัดการเรียนรูแ้ บบโครงงานสงู กว่ากอ่ นการจัดการเรียนรู้ อย่างมนี ัยสำคัญ ทางสถติ ทิ ีร่ ะดบั .05 1.2 ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ หลังการจดั การเรียนร้แู บบโครงงานของนักเรยี น ชัน้ ประถมศึกษาปที ่ี 5 พบวา่ นักเรียนมีทักษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ โดยภาพรวมอยใู่ นระดบั มาก 1.3 พัฒนาการความสามารถในการทำโครงงานระหว่างการจัดการเรียนรู้ของนักเรียน ช้ันประถมศึกษาปีท่ี 5 พบว่า โดยภาพรวมนักเรียนมีพัฒนาการความสามารถในการทำโครงงาน จากคร้ังที่ 1 ถงึ คร้งั ท่ี 5 โดยสงู ขน้ึ จากระดับปานกลางถึงระดับมากท่ีสุด 1.4 ความคิดเห็นของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีท่ี 5 ท่ีมีต่อการจัดการเรียนรู้แบบ โครงงานหลังการจัดการเรียนรู้ พบว่านักเรียนมีความคิดเห็นโดยภาพรวม อยู่ในระดับเห็นด้วย มากทีส่ ดุ 2. อภิปรายผลการวิจัย จากการพัฒนาทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์และความสามารถในการทำโครงงาน ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ด้วยการจัดการเรียนรู้แบบโครงงาน มีประเด็นท่ีนำมาเพ่ือ อภปิ รายผล ดงั น้ี 2.1 ผลการวิจัยพบว่า ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนวิทยาศาสตร์เรื่องแรงและการเคลื่อนท่ี ของนักเรียนช้ันประถมศึกษาปีที่ 5 ด้วยการจัดการเรียนรู้แบบโครงงานแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญ ทางสถิติท่ีระดับ .05 โดยผลสัมฤทธิ์หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน ท้ังน้ีอาจเป็นเพราะว่าในการจัด กิจกรรมการเรียนการสอนโดยให้นักเรียนได้มีการฝึกคิดแก้ปัญหาด้วยวิธีการทางวิทยาศาสตร์ มีจุดมุ่งหมายเพ่ือให้นักเรียนได้ฝึกแก้ปัญหาต่าง ๆ ด้วยตนเอง ลงมือปฏิบัติ ศึกษา ค้นคว้า ทดลอง ตามความถนัดและสนใจแสวงหาความรู้ด้วยตัวเอง เพ่ือตอบคำถามที่ตนเองอยากรู้ หาเหตุและผล โดยผ่านกระบวนการคิดและการปฏิบัติอย่างมีระบบ เน้นการใช้กระบวนการกลุ่ม ผลท่ีได้จากการฝึก จะช่วยให้นักเรียนสามารถตัดสินใจแก้ปัญหาต่าง ๆ ด้วยวิธีการอย่างสมเหตุสมผล ดังท่ี พิมพันธ์ เดชะคุปต์ และคณะ (2556 : 201) และหน่วยศึกษานิเทศก์, สำนักงานคณะกรรมการการศึกษา ข้ันพ้ืนฐาน (2556: 15) ได้กล่าวไว้ว่า การเรียนรู้แบบโครงงาน (Project Based Learning) เป็นแนวทางที่เน้นให้นักเรียนเกิดการเรียนรู้ผา่ นกระบวนการทำโครงงานโดยใชว้ ิธีสอนแบบโครงงาน
101 เป็นหลัก และวิธีสอนแบบอ่ืน ๆ ร่วมด้วยตามความเหมาะสม นักเรียนจะได้ช่วยเหลือกันในการ แก้ปัญหาที่เกิดข้ึนภายในกลุ่ม ด้วยวิธีการปฏิบัติจริง เพื่อเรียนรู้วิธีแก้ปัญหาอันนำไปสู่การเรียนรู้ ตลอดชีวิต สอดคล้องกับ สำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา (2550: 1) ได้กล่าวว่า กระบวนการ แสวงหาความรู้ หรือการค้นคว้าหาคำตอบในสิ่งทนี่ ักเรียนอยากรู้หรือสงสัยด้วยวิธีการต่าง ๆ รว่ มกัน กับเพื่อน เพ่ือให้บรรลุเป้าหมายตามจุดประสงค์ของโครงงาน ทำให้สมาชิกช่วยเหลือกันในการทำ กิจกรรมเพ่ือให้ได้ผลตามต้องการจากกระบวนการทำโครงงาน นักเรียนจะได้ใช้ทักษะการอ่าน การฟัง การประชุมกลุ่ม การสัมภาษณ์ผู้รู้ การค้นคว้าข้อมูลจากอินเทอร์เน็ต การนำข้อมูลมา วิเคราะห์เพ่ือสรุปผลด้วยทักษะการเขียน และการพูดนำเสนอผลงาน นอกจากนี้ยังต้องใช้ทักษะ การทำงานร่วมกับผู้อื่น กล่าวได้ว่า โครงงานสามารถปฏิรูปเด็กยุคใหม่ในสังคมไทยให้รู้จักสร้าง นวัตกรรมการเรียนรู้ด้วยตนเอง และอาจเนื่องมาจากแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนรู้วิชา วิทยาศาสตร์เร่ืองแรงและการเคลื่อนที่ได้ผ่านการตรวจสอบความถกู ต้องและคุณภาพจากผู้เช่ียวชาญ ทำให้แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรู้วิชาวิทยาศาสตร์เร่ืองแรงและการเคล่ือนท่ีเป็นแบบ ประเมินท่ีมีคุณภาพ นอกจากน้ีก่อนที่นักเรียนจะได้รับการทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรู้วิชา วิทยาศาสตร์เร่ืองแรงและการเคล่ือนท่ี นักเรียนได้รับการจัดการเรียนรู้แบบโครงงาน โดยมีการให้ นักเรียนได้สำรวจปัญหา วางแผน รวบรวมข้อมูล ลงมือปฏิบัติ วิเคราะห์ข้อมูล และนำเสนอผลงาน ดว้ ยตนเอง ตลอดการจัดการเรยี นรู้ ซึ่งทำให้นักเรียนสามารถเข้าใจและสร้างองค์ความร้ไู ดด้ ้วยตนเอง ซ่ึงสอดคล้อง ฟิลลิป นอร์วิน ชิลเดรส (Philip Norvin Childress, 1983: abstract, อ้างถึงใน ศริ ินทิพย์ เด่นดวง, 2554: 112) กล่าวว่า นกั เรียนทท่ี ำโครงงานวิทยาศาสตร์มีระดับพัฒนาการทาง สติปัญญาสูงจากเดิมมากท่ีสุด และสอดคล้องกับงานวิจัยของ (จรรยา เจริญรัตน์, 2555: บทคัดย่อ) พบว่า นักเรียนมีผลการเรียนรู้หลังจัดการเรียนรู้ด้วยวิธีสอนแบบโครงงานสูงกว่าก่อนการจัด การเรียนรู้ อย่างมนี ัยสำคญั ทางสถติ ิทรี่ ะดับ .05 2.2 ผลการวิจัยพบว่า ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ หลังการจัดการเรียนรู้แบบ โครงงานของนักเรียนช้ันประถมศึกษาปีที่ 5 พบว่านักเรียนมีทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ โดย ภาพรวมอยู่ในระดับมาก ซงึ่ จากการประเมินทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ของนักเรียน พบว่า ทักษะการตั้งสมมติฐาน มีค่าเฉลี่ยสูงสุด (X = 4.42, S.D. = 0.62) และทักษะการจัดกระทำและ สอ่ื ความหมายข้อมูล มีค่าเฉล่ียต่ำที่สุด (X = 3.24, S.D. = 0.56) ทั้งนี้อาจเป็นเพราะนักเรียนยังรับ การฝึกฝนหรือการเรียนรู้ที่ทำให้เกิดทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์มาก่อนหน้านี้ และทักษะ การจัดกระทำและส่ือความหมายข้อมูล ซึ่งสอดคล้องกับ สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และ เทคโนโลยี (2526: 76) และภพ เลาหไพบูลย์ (2540: 14) ได้ให้ความหมายของทักษะกระบวนทาง วิทยาศาสตร์ท่ีคล้ายคลึงกันว่าเป็นพฤติกรรมท่ีเกิดจากการปฏิบัติและฝึกฝนความนึกคิดอย่างมีระบบ ซึ่งก่อให้เกิดความงอกงามทางสติปัญญา การแก้ปัญหา การค้นคว้า และการแสวงหาความรู้ใหม่ๆ
102 อย่างมีประสิทธิภาพ และเช่ือถือได้ นอกจากนี้ สมาคมอเมริกันเพ่ือความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ (American Association for the Advancement of Science, 1970 : 33) กล่าวว่าทักษะทาง วิทยาศาสตร์เป็นกระบวนการคิด เป็นกระบวนการทางปัญญา ฉะนั้นจึงเป็นกระบวนการใช้ปัญหาใน การสอนวิทยาศาสตร์ จำเป็นต้องปลูกฝังนักเรียนให้เกิดทักษะทางวิทยาศาสตร์ และ Anderson (1979 : 4) ได้กล่าวว่าเป็นวิธีการท่ีนักวิทยาศาสตร์ใช้ในการแสวงหาความรู้ ความหมายที่สำคัญคือ วิถีทางของทักษะกระบวนการในการหาความรู้ กระบวนการน้ีจะเกิดสลับซับซ้อนในแต่ละบุคคล ทำให้เกิดพัฒนาทางด้านสติปัญญา ซึ่งจากการจัดการเรียนรู้ที่ผู้วิจัยได้สร้างข้ึนประกอบด้วยช้ันตอน การจัดกิจกรรมการเรียนรู้ 6 ข้ันตอน ได้แก่ 1) ขั้นสำรวจค้นหาปัญหา 2) ข้ันวางแผน 3) ข้ันรวบรวม ข้อมูล 4) ข้ันลงมือปฏิบัติ 5) ข้ันวิเคราะห์ข้อมูลและสรุปผล และ 6) ขั้นการนำเสนอผลงาน ซ่ึงใน แผนการจัดการเรียนรู้ 1 แผน จะมีข้ันตอนการจัดการเรียนรู้แบบโครงงานท่ีพัฒนาขึ้นครบทั้ง 6 ข้ันตอนและใน 1 แผนการจัดการเรียนรจู้ ะเน้นให้ผู้เรยี นมที ักษะทางวทิ ยาศาสตรท์ ผี่ ู้วิจัยต้องการให้ เกดิ แก่ผู้เรยี น ซ่ึงสอดคล้องกบั จรรย์สมร เหลอื งสมานกุล (2557 : บทคัดยอ่ ) ไดท้ ำการศกึ ษาพฒั นา กิจกรรมการเรียนรู้วิทยาศาสตร์เพื่อส่งเสริมทักษะทางวิทยาศาสตร์และความสามารถในการ สร้างสรรค์สิ่งประดิษฐ์ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีท่ี 3 พบว่านักเรียนช้ันประถมศึกษาปีท่ี 3 มีทักษะทางวิทยาศาสตรร์ ะหวา่ งการจัดกจิ กรรมการเรยี นรู้อยู่ในระดบั สูง 2.3 ผลการวิจัยพบว่า พัฒนาการความสามารถในการทำโครงงานระหว่างการจัดการ เรียนรู้ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 พบว่านักเรียนมีความสามารถในการทำโครงงาน โดยภาพรวมมีพัฒนาการสูงขึ้น จากระดับปานกลางถึงระดับมากทสี่ ุด ซึ่งเม่ือพิจารณารายด้านพบว่า ในด้านการสำรวจปัญหา นักเรียนมีพัฒนาการสูงข้ึนจากระดับมากถึงระดับมากที่สุด ด้านการ วางแผนนักเรียนมีพัฒนาการสูงข้ึนจากระดับปานกลางถึงระดับมาก ด้านการรวบรวมข้อมูล นักเรียน มีพัฒนาการสูงขึ้นจากระดับมากถึงระดับมากท่ีสุด ด้านการลงมือปฏิบัติ นักเรียนมีพัฒนาการสูงข้ึน จากระดับปานกลางถึงระดบั มากที่สดุ ดา้ นการวิเคราะห์ขอ้ มูลและสรุปผล นักเรียนมพี ัฒนาการสูงข้ึน จากระดับปานกลางถึงระดับมาก และด้านการนำเสนอ นักเรียนมีพัฒนาการสูงข้ึนจากระดับปานกลาง ถึงระดับมากที่สุด ทั้งน้ีอาจเป็นเพราะว่านักเรียนมีความสนใจในการทำโครงงาน ซึ่งได้มีโอกาสได้ เลือกสำรวจปัญหาที่สนใจ ใช้ความคิดสร้างสรรค์ และนักเรียนมีความต้ังใจเพ่ือท่ีจะแก้ปัญหาท่ีกลุ่ม ของตนเองสนใจเพ่ือให้ออกมาดีที่สุดและได้ทำการลงมือปฏิบัติค้นคว้าหาความรู้ด้วยตัวเอง ส่วนด้าน การวิเคราะห์ข้อมูลและสรุปผล นักเรียนยงั ต้องมีการพัฒนาในการวเิ คราะห์ขอ้ มูลท่ีไดจ้ ากการทดลอง และสรุปผลการทดลอง เพื่อเป็นการพัฒนาความสามารถในการทำโครงงานของนักเรยี นต่อไป ซ่งึ เป็น การช่วยให้นักเรียนมีพัฒนาการความสามารถในการทำโครงงานท่ีดีขึ้นเนื่องจากนักเรียนได้มีปฏิบัติ อยู่สม่ำเสมอ สอดคลอ้ งกับ สุวิจักขณ์ อธิคมกุลชัย (2554 : 231) ที่พัฒนาหลักสูตรรายวิชาเพิ่มเติม เรื่องโครงงานวิทยาศาสตร์จากท้องถ่ินสำหรับนักเรียนช้ันประถมศึกษาปีที่ 6 พบว่านักเรียนมี ความต้ังใจรับผิดชอบเอาใจใส่เพียรพยายามอดทนและร่วมมือปฏิบัติกิจกรรมโครงงานวิทยาศาสตร์
103 ทั้งนี้อาจเป็นเพราะว่าเนื้อหาท่ีนำมาจัดการเรียนรู้เกิดจากความต้องการของนักเรียนและเร่ื องใกล้ตัว ได้ร่วมกันสืบเสาะหาความรู้ด้วยกระบวนการกลุ่มสำรวจทรัพยากรธรรมชาติของชุมชนวังน้ำเขียว จึงทำให้นักเรียนสามารถทำโครงงานท่ีสอดคล้องกับชมุ ชนและท้องถิ่นของตนเองและได้เรียนรู้จากผู้รู้ ในท้องถิ่นทำให้สร้างองค์ความรู้ใหม่ ๆ สามารถนำความรู้ไปประยุ กต์ใช้ในชีวิตประจำวันได้ และสอดคล้องกับ จุฑามาศ สุขเฉลิม (2558 : บทคัดย่อ) ได้ศึกษาพัฒนาความสามารถในการทำโครงงาน วิทยาศาสตร์เชิงเศรษฐกิจสร้างสรรค์สำหรับนักเรียนช้ันประถมศึกษาปีที่ 6 ซึ่งนักเรียนมีการพัฒนา ความสามารถในการทำโครงงานวิทยาศาสตร์โดยภาพรวมอยูใ่ นระดบั สูง 2.4 ผลด้านความคิดเห็นของนกั เรียนชน้ั ประถมศกึ ษาปีที่ 5 ที่มีต่อการจัดการเรียนรแู้ บบ โครงงานหลังการจัดการเรียนรู้ พบว่านักเรียนมีความคิดเห็นโดยภาพรวม อยู่ในระดับเห็นด้วยมากที่สุด เม่อื พิจารณาเป็นรายด้าน พบวา่ นกั เรียนมคี วามคดิ เห็นอยูใ่ นระดับเหน็ ด้วยมากที่สดุ ทุกดา้ นเรยี งจาก มากไปน้อยได้ดังนี้ลำดับท่ี 1 ด้านประโยชน์ท่ีได้รับ ลำดับที่ 2 ด้านเนื้อหาสาระ ลำดับที่ 3 ด้านวัด และประเมินผลและลำดับท่ี 4 ด้านการจัดการเรยี นร้แู บบโครงงาน และนักเรยี นได้เขียนแสดงความ คิดเห็นหลังการจัดการเรียนรู้แบบโครงงาน พบว่านักเรียนชอบการจัดการเรียนรู้แบบโครงงานใน เรื่องแรงและการเคลื่อนท่ีและอยากให้จัดกิจกรรมแบบนี้อีกและน่าจะนำไปใช้ในการจัดการเรียนการ สอนในเร่ืองอ่ืน ๆ ด้วยเพราะนักเรียนได้ทำการทดลองและได้ปฏิบัติกิจกรรมร่วมกับเพ่ือนทำให้เวลา เรยี นเกิดความสนุกสนาน ทั้งนีอ้ าจเนื่องมาจากครูได้ออกแบบการจัดการเรียนรู้โดยมีการศึกษาข้อมูล พ้ืนฐานเพ่ือให้สอดคล้องกับนักเรียน มีการวางแผนการจัดการเรียนรู้ที่มีข้ันตอน ทำให้ผู้เรียนเกิด การเรียนรู้ที่ดีและมีความสุขในการเรียน ซึ่งผู้วิจัยได้มีการวิเคราะห์สังเคราะห์แนวคิดทฤษฎีเอกสาร และงานวิจยั ทเ่ี กยี่ วข้องกับการจดั การสอนวิทยาศาสตร์ 3. ขอ้ เสนอแนะ จากการวิจัยครั้งนี้ ผู้วิจัยมีข้อเสนอแนะท่ีคิดว่าจะเป็นประโยชน์ต่อการจัดการเรียนรู้และ การศึกษาคร้ังต่อไป ซึ่งประกอบด้วย ข้อเสนอแนะเพื่อการนำไปใช้และข้อเสนอแนะสำหรับการวิจัย ครั้งตอ่ ไป ดังนี้ 3.1 ข้อเสนอแนะเพอื่ การนำผลการวจิ ยั ไปใช้ 3.1.1 จากผลการวิจัยที่ พบว่า ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนวิทยาศาสตร์ หลังเรียนสูง กว่าก่อนเรียนด้วยการจัดการเรียนรู้แบบโครงงาน ดังนั้น ครูต้องศึกษาข้ันตอนการจัดการเรียนรู้แบบ โครงงานท้ัง 6 ขั้น ให้เข้าใจอย่างละเอียดและอธิบายลักษณะของทักษะทางวิทยาศาสตร์ท่ีครู ต้องการประเมินอย่างละเอียดและชัดเจนเพื่อความถูกต้องและความเข้าใจที่ตรงกันในระหว่าง การจดั การเรยี นรู้
104 3.1.2 จากผลการวิจัย พบว่า ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ทั้ง 6 ทักษะ ของนักเรียนช้ันประถมศึกษาปีท่ี 5 มีคะแนนเฉล่ียอยู่ในระดับมาก ดังนั้น ครูผู้สอนวิชาวิทยาศาสตร์ ควรนำการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ไปใช้ในการจัดการเรียนรู้ให้กับนักเรียนอย่างต่อเนื่องโดยปรับใช้กับ เนื้อหาในเรื่องอื่นก็ได้เพ่ือส่งเสริมทักษะกระบวนทางวิทยาศาสตร์ข้ันพ้ืนฐานให้แ ก่นักเรียนในการ นำไปใช้เป็นพนื้ ฐานในการเรยี นวิทยาศาสตรข์ ้ันสงู ต่อไป 3.1.3 จากผลการวิจัย พบว่า พัฒนาการความสามารถในการทำโครงงานระหว่าง การจัดการเรียนรู้แบบโครงงาน พบว่า การจัดการเรียนรู้แบบโครงงานช่วยให้นักเรียนมีพัฒนาการ ความสามารถในการทำโครงงานสูงขึ้น เน่ืองจากนักเรียนได้ลงมือปฏิบัติได้จริง แต่การวิเคราะห์ ข้อมูลและสรุปข้อมูลยังมีพัฒนาการต่ำกว่าด้านอื่น ๆ ดังน้ัน เพ่ือให้นักเรียนเกิดการเรียนรู้อย่าง ต่อเนื่องครูควรจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้วิธีการจัดการเรียนรู้แบบประสบการณ์และเน้นท่ีการฝึก ปฏิบัตเิ นอื่ งจากเป็นวธิ ีทีเ่ หมาะสมกับการเรยี นวทิ ยาศาสตรม์ ากท่สี ุดและเกิดผลกับนกั เรียนมากท่สี ุด 3.1.4 จากผลการวิจัยด้านความคิดเห็นของนักเรียนท่ีมีต่อการจัดการเรียนรู้แบบ โครงงานพบว่า ความคิดเห็นในด้านกิจกรรมการเรียนรู้ต่ำกว่าด้านอื่น ๆ ดังน้ันครูควรส่งเสริมให้การ จัดกิจกรรมการเรียนรู้ท่ีมีความน่าสนใจ กระตุ้นให้นักเรียนมีความสนใจที่จะเรียนรู้มากข้ึนมีความ กระตือรือร้นในการปฏิบัติกิจกรรมการเรียนรู้ภายในห้องเรียน เพ่ือให้นักเรียนเกิดความสนุกสนาน เพลิดเพลนิ และมคี วามสุขในการเรยี นรู้ 3.2 ข้อเสนอแนะสำหรบั การวจิ ยั ครงั้ ต่อไป 3.2.1 ควรมีการศึกษาวิจัยท่ีใช้การจัดการเรียนรู้แบบโครงงาน ร่วมกับการจัด การเรยี นรูเ้ ทคนคิ อืน่ ๆ 3.2.2 ควรมีการศึกษาวิจัยที่ใช้การจัดการเรียนรู้แบบโครงงาน โดยใช้ในกลุ่มสาระ การเรียนรูว้ ชิ าอนื่ ๆ เชน่ กลุ่มสาระการเรยี นรู้คณติ ศาสตร์ 3.2.3 ควรมีการวิจัยและพัฒนาที่ส่งเสริมทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ เน่ืองจากทักษะบางด้านได้ผลคะแนนต่ำ โดยเฉพาะทักษะการจัดกระทำและสื่อความหมายข้อมูล โดยใชว้ ธิ ีการสอนแบบโครงงาน
105 รายการอา้ งองิ รายการอ้างอิง Bonnet, Bob and Keen, Dan. (1996). Science Fair Project : The Enviroment Sterling. New York : Publishing Company. Rivet, A. E. (2 0 0 3 ). “ Contextualizing Instruction and Student Learning in Middle School Project-Based Science Classrooms.” Dissertation Abstracts International 64, 6(2003): 229. Vancleave, J. Janice Vancleave’s Rock and Minerals. (1996). Mind-Boggling Experiments You CanTum into Science Fair Projects. New York : John Wiley & Sons, Inc., Third avenue. กรมวิชาการ. (2544). เอกสารชุดเทคนิคการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ท่ีเน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ: โครงงาน. กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์การศาสนา. กระทรวงศึกษาธิการ. (2543). การปฏิรูปการศึกษา เอกสารประกอบการสัมมนายุทธศาสตร์. กรงุ เทพฯ: โรงพิมพ์คุรสุ ภาลาดพรา้ ว. . (2544). หลักสูตรการศึกษาขั้นพ้ืนฐาน พุทธศักราช 2544. กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์คุรุสภา ลาดพร้าว. . (2550). การจัดการเรียนรู้แบบโครงงาน. พิมพ์ครั้งท่ี 1. กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์ชุมนุม สหกรณก์ ารเกษตรแหง่ ประเทศไทย จากดั . . (2551). ตวั ชี้วดั และสาระการเรยี นรู้แกนกลาง กลมุ่ สาระการเรยี นรวู้ ทิ ยาศาสตร์ ตาม หลักสูตรแกน กลางการศึกษาขั้น พ้ืน ฐาน พุ ทธศักราช 2551 . กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์ชมุ นมุ สหกรณ์การเกษตรแหง่ ประเทศไทย. . (2551). หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพ้ืนฐาน พุทธศักราช 2551. กรุงเทพฯ: โรงพมิ พ์ครุ ุสภา. . (2553). พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ.2542 และที่แก้ไขเพ่ิมเติม (ฉบับท่ี 3) พ.ศ.2553. กรงุ เทพฯ: โรงพมิ พค์ ุรุสภาลาดพรา้ ว. . (2560). แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับท่ี 12 พ.ศ.2560-2564. กรงุ เทพฯ: สานักนายกรฐั มนตร.ี กาญจนา วัฒนายุ. (2544). การวิจัยในชั้นเรียนเพ่ือพัฒนาการเรียนการสอน. นครปฐม : สถาบนั พัฒนาผู้บรหิ ารการศึกษา กระทรวงศกึ ษาธิการ. จุไรรัตน์ ปึ้งผลพูน. (2555). “การพัฒนาผลการเรียนรู้และทักษะกระบวนการทางคณิตศาสตร์ เร่ือง
106 การวิเคราะห์ข้อมูลเบื้องต้น ของนักเรียนช้ันประถมศึกษาปีที่ 5 ที่จัดการเรียนรู้แบบ โครงงาน.” วทิ ยานิพนธม์ หาบัณฑิต มหาวทิ ยาลยั ศลิ ปากร นครปฐม. เตือนใจ ไชยโย. (2545). “ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาวิทยาศาสตร์และความสามารถในการทำ โครงงานของนักเรียนท่ีได้รับการสอนโดยเสริมการใช้แบบฝึกคิดหัวข้อ และวางแผนการ ทำโครงงานวิทยาศาสตร์.” วิทยานิพนธ์ปริญญาศึกษาศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชา วทิ ยาศาสตรศ์ กึ ษา บณั ฑิตวิทยาลยั มหาวทิ ยาลัยเชยี งใหม.่ บญุ ชม ศรสี ะอาด. (2545). การวิจยั เบ้อื งตน้ . พมิ พค์ รัง้ ท่ี 7. กรงุ เทพฯ: สุวรี ิยาสาสน์ . ปราโมทย์ สุขสมโสด. (2552). “การเปรียบเทียบผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนวิชาวิทยาศาสตร์ เรื่อง พลังงานแสงทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ขั้นพ้ืนฐานความสามารถในการคิด วิเคราะห์ความคิดสร้างสรรค์ทางวิทยาศาสตร์และเจตคติต่อการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ของ นักเรียนช้ันป ระถมศึกษ าปีที่ 4 ท่ีได้รับการจัดการเรียนรู้ด้วยชุดฝึกทักษ ะ การแสดงการทดลองวิทยาศาสตร์แสนสนุก (science show) และการจัดกิจกรรม การเรียนรู้ตามคู่มือครู” ปริญญาการศึกษามหาบัณฑิต สาขาวิชาวิจัยการศึกษา มหาวิทยาลัยมหาสารคาม. พิมพันธ์ เตชะคุปต์. (2545). การเรียนการสอนท่ีเน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ : แนวคิด วิธีและเทคนิค การสอน 1. กรงุ เทพฯ: เดอะมาสเตอรก์ รุป๊ แมเนจเม้นท.์ . (2556). การสอนคิดด้วยโครงงานการเรียนการสอนแบบบูรณาการทักษะศตวรรษ ที่ 21. พิมพ์ครงั้ ที่ 3. กรุงเทพฯ: โรงพมิ พจ์ ุฬาลงกรณ์มหาวทิ ยาลยั . ภพ เลาหไพบูลย์. (2540). แนวการสอนวิทยาศาสตร์. พมิ พ์ครง้ั ท่ี 3. กรงุ เทพฯ : ไทยวฒั นาพานิช. มาเรียม นิลพันธ์ุ. (2555). วิธีวิจัยทางพฤติกรรมศาสตร์และสังคมศาสตร์. นครปฐม : โครงการ สง่ เสรมิ การผลติ ตำราและเอกสารการสอน คณะศึกษาศาสตร์มหาวิทยาลัยศลิ ปากร. มาเรียม นลิ พนั ธ.์ุ (2558). วธิ วี ิจยั ทางการศึกษา. พิมพ์คร้งั ที่ 9 ed. นครปฐม: โรงพิมพม์ หาวทิ ยาลัย ศิลปากร. ลัดดา ภู่เกียรติ. (2542). เอกสารการอบรมเชิงปฏิบัติการ เร่ือง การพัฒนาหลักสูตรและ การสอนโดยเน้นผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง ภาควิชาหลักสูตรและวิธีสอน มหาวิทยาลัย ศลิ ปากร. นครปฐม : โรงพิมพ์มหาวิทยาลัยศลิ ปากร. วราภรณ์ ตระกูลสฤษด์ิ. (2551). แนวทางการจัดการเรียนรู้แบบโครงงาน . กรุงเทพฯ: ห้างหนุ้ ส่วนจำกดั เอ็ม ไอ ที พร้นิ ติ้ง. วัชรา เล่าเรียนดี. (2552). เทคนิคและยุทธวิธีการพัฒนาการคิดการจัดการเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียน เป็นสำคัญ. นครปฐม: มหาวิทยาลยั ศิลปากร. . (2556). รูปแบบและกลยุทธ์การจัดการเรียนรู้เพ่ือพัฒนาทักษะการคิด. พิมพ์คร้ังท่ี
107 10. นครปฐม: โรงพมิ พ์มหาวทิ ยาลยั ศิลปากร. วิจารณ์ พานิช. (2555). วิถีสร้างการเรียนรู้เพ่ือศิษย์ในศตวรรษท่ี 21. กรุงเทพฯ: มูลนิธิสดศรี- สฤษดิ์วงศ์. . (2556). การสรา้ งการเรียนรสู้ ่ศู ตวรรษที่ 21. กรุงเทพฯ: ส.เจรญิ การพิมพ.์ สถาบัน. ส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี. (2546). การจัดสาระการเรียนรู้กลุ่มวิทยาศาสตร์ หลักสูตรการศึกษาข้ันพ้นื ฐาน. กรงุ เทพฯ: สถาบันฯ. สุวิจักขณ์ อธิคมกุลชัย. (2554). “การพัฒนาหลักสูตรรายวิชาเพ่ิมเติม เร่ือง โครงงานวิทยาศาสตร์ จากท้องถิ่นสำหรับนักเรียนช้ันประถมศึกษาปีที่ 6.” วิทยานิพนธ์ปริญญาศึกษาศาสตร มหาบณั ฑิต สาขาวชิ าหลกั สตู รและการนเิ ทศ บณั ฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลยั ศิลปากร. สวุ ทิ ย์ มูลคำ. (2547). กลยทุ ธก์ ารสอนคิดวิเคราะห์. กรุงเทพฯ : หา้ งหุน้ ส่วนการพมิ พ์. สุวิทย์ มูลคำ และ อรทัย มูลคำ. (2545). 20 วิธีการจัดการเรียนรู้เพ่ือพัฒนาคุณธรรม จริยธรรม ค่านิยมการเรียนรู้โดยการแสวงหาความรู้ด้วยตนเอง. พิมพ์คร้ังที่ 3. กรุงเทพฯ: โรงพมิ พภ์ าพพิมพ.์ สุวิทย์ มูลคำ และ อรทยั มูลคำ. (2543). เรียนรู้สคู่ รมู ืออาชีพ. กรงุ เทพฯ: บรษิ ทั ท.ี พ.ี พร้ินจำกดั .
ภาคผนวก
ภาคผนวก ก รายช่ือผูเ้ ชี่ยวชาญตรวจคณุ ภาพเคร่อื งมอื ที่ใชใ้ นการวจิ ัย
110 รายชอ่ื ผเู้ ช่ียวชาญตรวจคุณภาพเครอื่ งมือทใ่ี ช้ในการวิจัย 1. รองศาสตราจารย์ ดร. ไชยยศ ไพวิทยศริ ธิ รรม การศกึ ษา การศึกษาดุษฎีบัณฑิต สาขาวชิ าการวจิ ัยและพัฒนาหลกั สูตร มหาวทิ ยาลัยศรีนครนิ ทรวโิ รฒ ตำแหน่ง อาจารย์ประจำสาขาวชิ าการศึกษา ภาควิชาพ้นื ฐานทางการศึกษา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั ศลิ ปากร ผู้เชี่ยวชาญ ด้านวดั และประเมินผล 2. ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.สรญั ญา จันทร์ชสู กุล การศึกษา ครศุ าสตรดุษฎีบณั ฑติ (การวดั และประเมนิ ผลการศึกษา จฬุ าลงกรณ์มหาวทิ ยาลยั ตำแหน่ง อาจารย์ประจำสาขาวชิ าการประถมศึกษา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร ผู้เช่ียวชาญ ด้านการจดั กจิ กรรมการเรียนร้แู บบโครงงาน 3. อาจรย์ ดร.พีชญาณ์ พานะกิจ การศึกษา การศึกษาดษุ ฎบี ณั ฑิต สาขาวิชาหลักสูตรและการสอน มหาวทิ ยาลัยศลิ ปากร ตำแหนง่ ครูชำนาญการพเิ ศษ โรงเรียนวัดราษฎรร์ งั สรรค์ (ขนั มาอนรุ าษฎร)์ จังหวัดสมทุ รสาคร ผู้เชีย่ วชาญ ดา้ นการสอนวิทยาศาสตร์
ภาคผนวก ข การตรวจสอบคณุ ภาพเครื่องมอื ที่ใชใ้ นการวจิ ยั
112 ตารางที่ 17 ผลการประเมินค่าความสอดคล้องของแผนการจัดการเรียนรู้โดยการจัดการเรียนรู้แบบ โครงงาน แผนการเรียนรู้ที่ 1 เร่อื ง แรงลพั ธแ์ ละประโยชน์ของแรงลัพธ์ ที่ รายการประเมิน ผเู้ ชี่ยวชาญ ∑ ������ IOC ผลการ 123 พจิ ารณา 1 มาตรฐานการเรียนรู้และตวั ชีว้ ดั 1.1 มาตรฐานการเรียนรสู้ อดคลอ้ งกับ +1 +1 +1 3 1.00 สอดคล้อง ตัวชีว้ ดั 1.2 ตัวช้ีวดั สอดคลอ้ งกับสาระสำคญั +1 +1 +1 3 1.00 สอดคล้อง 2 สาระสำคญั 2.1 สอดคลอ้ งกับมาตรฐานการเรยี นรู้ +1 +1 +1 3 1.00 สอดคลอ้ ง 2.2 สอดคลอ้ งกบั ตวั ชวี้ ดั +1 +1 +1 3 1.00 สอดคลอ้ ง 3 จุดประสงค์การเรียนรู้ 3.1 สอดคลอ้ งกับมาตรฐานการเรยี นรู้ +1 +1 +1 3 1.00 สอดคล้อง 3.2 สอดคลอ้ งกับตวั ชี้วดั +1 +1 +1 3 1.00 สอดคลอ้ ง 3.2 สอดคลอ้ งกับสาระสำคญั +1 +1 +1 3 1.00 สอดคลอ้ ง 3.3 สอดคล้องกบั สาระการเรียนรู้ +1 +1 +1 3 1.00 สอดคลอ้ ง 4 สาระการเรยี นรู้ 4.1 สอดคล้องกับสาระสำคญั +1 +1 +1 3 1.00 สอดคลอ้ ง 4.2 สอดคลอ้ งกับมาตรฐานการเรียนรู้และ +1 +1 +1 3 1.00 สอดคลอ้ ง ตัวชี้วดั 5 สมรรถนะสำคัญของผเู้ รียน 5.1 สอดคล้องกบั จดุ ประสงค์การเรียนรู้ 0 +1 +1 2 0.67 สอดคลอ้ ง 5.2 สอดคลอ้ งกบั กจิ กรรมการเรยี นรู้ 0 +1 +1 2 0.67 สอดคลอ้ ง 6 ทักษะกระบวนการ 6.1 สอดคล้องกับจุดประสงค์การเรยี นรู้ +1 +1 +1 3 1.00 สอดคลอ้ ง 6.2 สอดคลอ้ งกบั กิจกรรมการเรียนรู้ +1 +1 +1 3 1.00 สอดคลอ้ ง 7 คุณลกั ษณะอนั พงึ ประสงค์ 7.1 สอดคล้องกับจุดประสงค์การเรียนรู้ 0 +1 +1 2 0.67 สอดคล้อง 7.2 สอดคลอ้ งกับกจิ กรรมการเรียนรู้ 0 +1 +1 2 0.67 สอดคล้อง
113 ตารางท่ี 17 ผลการประเมินค่าความสอดคล้องของแผนการจัดการเรียนรู้โดยการจัดการเรียนรู้แบบ โครงงาน แผนการเรียนรู้ท่ี 1 เรือ่ ง แรงลัพธ์และประโยชน์ของแรงลพั ธ์ (ต่อ) ท่ี รายการประเมนิ ผู้เชย่ี วชาญ ∑ ������ IOC ความหมาย 123 8 ชนิ้ งาน/ภาระงาน 8.1 สอดคล้องกับกระบวนการจดั การ 0 +1 +1 2 0.67 สอดคล้อง เรียนรู้ 9 กระบวนการจัดการเรียนรู้ 9.1 สอดคลอ้ งในขน้ั การสำรวจค้นหาปญั หา +1 +1 +1 3 1.00 สอดคลอ้ ง 9.2 สอดคล้องในขน้ั การวางแผน +1 +1 +1 3 1.00 สอดคลอ้ ง 9.3 สอดคลอ้ งในขน้ั การรวบรวมขอ้ มูล +1 +1 +1 3 1.00 สอดคลอ้ ง 9.4 สอดคล้องในข้นั การลงมือปฏบิ ตั ิ +1 +1 +1 3 1.00 สอดคลอ้ ง 9.5 สอดคลอ้ งในข้ันการนำเสนอผลงาน +1 +1 +1 3 1.00 สอดคล้อง 10 ส่อื การเรียนรู/้ แหลง่ การเรยี นรู้ 10.1 สอดคล้องกบั กระบวนการจดั การ 0 +1 +1 2 0.67 สอดคล้อง เรียนรู้ 11 การวัดและประเมนิ ผล 11.1 สอดคล้องกบั กระบวนการจดั การ 0 +1 +1 2 0.67 สอดคลอ้ ง เรียนรู้
114 ตารางที่ 18 ผลการประเมินค่าความสอดคล้องของแผนการจัดการเรียนรู้โดยการจัดการเรียนรู้แบบ โครงงาน แผนการเรยี นรู้ที่ 2 เรอ่ื ง ความดันอากาศ ที่ รายการประเมิน ผเู้ ชยี่ วชาญ ∑ ������ IOC ความหมาย 123 1 มาตรฐานการเรียนรู้และตัวชี้วัด 1.1 มาตรฐานการเรยี นรสู้ อดคล้องกับ +1 +1 +1 3 1.00 สอดคล้อง ตวั ชีว้ ดั 1.2 ตัวชว้ี ัดสอดคลอ้ งกับสาระสำคัญ +1 +1 +1 3 1.00 สอดคล้อง 2 สาระสำคัญ +1 +1 +1 3 1.00 สอดคล้อง 2.1 สอดคลอ้ งกบั มาตรฐานการเรียนรู้ +1 +1 +1 3 1.00 สอดคล้อง 2.2 สอดคลอ้ งกบั ตวั ชี้วดั +1 +1 +1 3 1.00 สอดคลอ้ ง 3 จุดประสงคก์ ารเรยี นรู้ +1 +1 +1 3 1.00 สอดคลอ้ ง 3.1 สอดคล้องกบั มาตรฐานการเรยี นรู้ +1 +1 +1 3 1.00 สอดคลอ้ ง 3.2 สอดคลอ้ งกบั ตัวชี้วดั +1 +1 +1 3 1.00 สอดคลอ้ ง 3.2 สอดคล้องกับสาระสำคัญ 3.3 สอดคล้องกับสาระการเรียนรู้ +1 +1 +1 3 1.00 สอดคลอ้ ง +1 +1 +1 3 1.00 สอดคลอ้ ง 4 สาระการเรยี นรู้ 4.1 สอดคล้องกับสาระสำคัญ 0 +1 +1 2 0.67 สอดคลอ้ ง 4.2 สอดคล้องกับมาตรฐานการเรยี นรูแ้ ละ 0 +1 +1 2 0.67 สอดคลอ้ ง ตัวชี้วัด +1 +1 +1 3 1.00 สอดคลอ้ ง 5 สมรรถนะสำคัญของผู้เรยี น +1 +1 +1 3 1.00 สอดคลอ้ ง 5.1 สอดคลอ้ งกบั จดุ ประสงค์การเรยี นรู้ 5.2 สอดคล้องกบั กิจกรรมการเรียนรู้ 0 +1 +1 2 0.67 สอดคลอ้ ง 0 +1 +1 2 0.67 สอดคล้อง 6 ทกั ษะกระบวนการ 6.1 สอดคลอ้ งกบั จดุ ประสงค์การเรียนรู้ 6.2 สอดคลอ้ งกบั กิจกรรมการเรยี นรู้ 7 คณุ ลกั ษณะอนั พึงประสงค์ 7.1 สอดคลอ้ งกับจุดประสงค์การเรียนรู้ 7.2 สอดคล้องกับกจิ กรรมการเรียนรู้
115 ตารางท่ี 18 ผลการประเมินค่าความสอดคล้องของแผนการจัดการเรียนรู้โดยการจัดการเรียนรู้แบบ โครงงาน แผนการเรยี นรูท้ ี่ 2 เรอื่ ง ความดนั อากาศ (ต่อ) ท่ี รายการประเมิน ผ้เู ช่ยี วชาญ ∑ ������ IOC ความหมาย 123 8 ชิ้นงาน/ภาระงาน 8.1 สอดคล้องกบั กระบวนการจัดการ 0 +1 +1 2 0.67 สอดคล้อง เรียนรู้ 9 กระบวนการจดั การเรียนรู้ 9.1 สอดคล้องในข้นั การสำรวจคน้ หาปญั หา +1 +1 +1 3 1.00 สอดคลอ้ ง 9.2 สอดคล้องในขั้นการวางแผน +1 +1 +1 3 1.00 สอดคล้อง 9.3 สอดคล้องในขนั้ การรวบรวมข้อมลู +1 +1 +1 3 1.00 สอดคลอ้ ง 9.4 สอดคล้องในขั้นการลงมือปฏบิ ตั ิ +1 +1 +1 3 1.00 สอดคลอ้ ง 9.5 สอดคลอ้ งในข้ันการนำเสนอผลงาน +1 +1 +1 3 1.00 สอดคล้อง 10 ส่อื การเรียนร้/ู แหลง่ การเรียนรู้ 10.1 สอดคล้องกบั กระบวนการจัดการ 0 +1 +1 2 0.67 สอดคลอ้ ง เรยี นรู้ 11 การวัดและประเมนิ ผล 11.1 สอดคล้องกบั กระบวนการจดั การ 0 +1 +1 2 0.67 สอดคลอ้ ง เรียนรู้
116 ตารางท่ี 19 ผลการประเมนิ ค่าความสอดคล้องของแผนการจัดการเรียนรู้โดยการจดั การเรียนรู้แบบ โครงงาน แผนการเรยี นรู้ที่ 3 เร่อื ง ความดนั ของของเหลว ท่ี รายการประเมนิ ผูเ้ ช่ยี วชาญ ∑ ������ IOC ความหมาย 123 1 มาตรฐานการเรยี นรูแ้ ละตวั ชีว้ ัด 1.1 มาตรฐานการเรยี นร้สู อดคลอ้ งกับ +1 +1 +1 3 1.00 สอดคล้อง ตัวชว้ี ดั 1.2 ตัวชว้ี ดั สอดคล้องกบั สาระสำคญั +1 +1 +1 3 1.00 สอดคลอ้ ง 2 สาระสำคญั +1 +1 +1 3 1.00 สอดคล้อง 2.1 สอดคลอ้ งกับมาตรฐานการเรยี นรู้ +1 +1 +1 3 1.00 สอดคล้อง 2.2 สอดคล้องกับตัวชวี้ ดั +1 +1 +1 3 1.00 สอดคลอ้ ง 3 จดุ ประสงคก์ ารเรียนรู้ +1 +1 +1 3 1.00 สอดคล้อง 3.1 สอดคล้องกบั มาตรฐานการเรียนรู้ +1 +1 +1 3 1.00 สอดคล้อง 3.2 สอดคล้องกบั ตัวชีว้ ัด +1 +1 +1 3 1.00 สอดคล้อง 3.2 สอดคล้องกบั สาระสำคัญ 3.3 สอดคล้องกบั สาระการเรียนรู้ +1 +1 +1 3 1.00 สอดคลอ้ ง +1 +1 +1 3 1.00 สอดคลอ้ ง 4 สาระการเรียนรู้ 4.1 สอดคลอ้ งกับสาระสำคัญ 0 +1 +1 2 0.67 สอดคล้อง 4.2 สอดคล้องกับมาตรฐานการเรียนร้แู ละ 0 +1 +1 2 0.67 สอดคล้อง ตัวชี้วดั +1 +1 +1 3 1.00 สอดคล้อง 5 สมรรถนะสำคญั ของผูเ้ รยี น +1 +1 +1 3 1.00 สอดคลอ้ ง 5.1 สอดคลอ้ งกบั จดุ ประสงค์การเรียนรู้ 5.2 สอดคลอ้ งกับกิจกรรมการเรยี นรู้ 0 +1 +1 2 0.67 สอดคล้อง 0 +1 +1 2 0.67 สอดคล้อง 6 ทกั ษะกระบวนการ 6.1 สอดคล้องกบั จุดประสงค์การเรียนรู้ 6.2 สอดคลอ้ งกับกจิ กรรมการเรียนรู้ 7 คุณลักษณะอนั พงึ ประสงค์ 7.1 สอดคลอ้ งกับจดุ ประสงค์การเรียนรู้ 7.2 สอดคล้องกบั กจิ กรรมการเรยี นรู้
117 ตารางท่ี 19 ผลการประเมินคา่ ความสอดคลอ้ งของแผนการจัดการเรยี นรู้โดยการจัดการเรยี นร้แู บบ โครงงาน แผนการเรยี นรทู้ ่ี 3 เร่อื ง ความดนั ของของเหลว (ต่อ) ท่ี รายการประเมนิ ผู้เช่ียวชาญ ∑ ������ IOC ความหมาย 123 8 ชิน้ งาน/ภาระงาน 8.1 สอดคลอ้ งกับกระบวนการจัดการ 0 +1 +1 2 0.67 สอดคล้อง เรียนรู้ 9 กระบวนการจดั การเรียนรู้ 9.1 สอดคล้องในขั้นการสำรวจค้นหาปัญหา +1 +1 +1 3 1.00 สอดคล้อง 9.2 สอดคล้องในขนั้ การวางแผน +1 +1 +1 3 1.00 สอดคลอ้ ง 9.3 สอดคลอ้ งในขั้นการรวบรวมข้อมลู +1 +1 +1 3 1.00 สอดคล้อง 9.4 สอดคล้องในขน้ั การลงมือปฏิบัติ +1 +1 +1 3 1.00 สอดคลอ้ ง 9.5 สอดคล้องในขั้นการนำเสนอผลงาน +1 +1 +1 3 1.00 สอดคลอ้ ง 10 สอื่ การเรยี นร/ู้ แหล่งการเรียนรู้ 10.1 สอดคล้องกบั กระบวนการจดั การ 0 +1 +1 2 0.67 สอดคล้อง เรียนรู้ 11 การวดั และประเมนิ ผล 11.1 สอดคล้องกับกระบวนการจัดการ 0 +1 +1 2 0.67 สอดคล้อง เรยี นรู้
118 ตารางที่ 20 ผลการประเมินค่าความสอดคล้องของแผนการจัดการเรียนรู้โดยการจัดการเรียนรู้แบบ โครงงาน แผนการเรยี นรู้ที่ 4 เร่ือง แรงลอยตวั ท่ี รายการประเมิน ผู้เช่ยี วชาญ ∑������ IOC ความหมาย 123 1 มาตรฐานการเรียนรแู้ ละตัวชว้ี ัด 1.1 มาตรฐานการเรียนรู้สอดคล้องกับ +1 +1 +1 3 1.00 สอดคล้อง ตวั ชี้วัด 1.2 ตัวชี้วดั สอดคล้องกับสาระสำคญั +1 +1 +1 3 1.00 สอดคล้อง 2 สาระสำคญั +1 +1 +1 3 1.00 สอดคล้อง 2.1 สอดคล้องกบั มาตรฐานการเรยี นรู้ +1 +1 +1 3 1.00 สอดคล้อง 2.2 สอดคล้องกับตวั ชี้วัด +1 +1 +1 3 1.00 สอดคลอ้ ง 3 จุดประสงคก์ ารเรียนรู้ +1 +1 +1 3 1.00 สอดคลอ้ ง 3.1 สอดคลอ้ งกับมาตรฐานการเรยี นรู้ +1 +1 +1 3 1.00 สอดคล้อง 3.2 สอดคลอ้ งกับตวั ช้ีวัด +1 +1 +1 3 1.00 สอดคลอ้ ง 3.2 สอดคลอ้ งกับสาระสำคญั 3.3 สอดคล้องกับสาระการเรียนรู้ +1 +1 +1 3 1.00 สอดคลอ้ ง +1 +1 +1 3 1.00 สอดคลอ้ ง 4 สาระการเรยี นรู้ 4.1 สอดคลอ้ งกบั สาระสำคัญ 0 +1 +1 2 0.67 สอดคลอ้ ง 4.2 สอดคลอ้ งกับมาตรฐานการเรยี นรู้และ 0 +1 +1 2 0.67 สอดคลอ้ ง ตัวชี้วดั +1 +1 +1 3 1.00 สอดคลอ้ ง 5 สมรรถนะสำคญั ของผู้เรยี น +1 +1 +1 3 1.00 สอดคล้อง 5.1 สอดคลอ้ งกบั จุดประสงค์การเรียนรู้ 5.2 สอดคล้องกับกจิ กรรมการเรียนรู้ 0 +1 +1 2 0.67 สอดคลอ้ ง 0 +1 +1 2 0.67 สอดคล้อง 6 ทกั ษะกระบวนการ 6.1 สอดคล้องกบั จดุ ประสงค์การเรียนรู้ 6.2 สอดคลอ้ งกบั กจิ กรรมการเรยี นรู้ 7 คุณลักษณะอันพงึ ประสงค์ 7.1 สอดคลอ้ งกบั จุดประสงค์การเรยี นรู้ 7.2 สอดคลอ้ งกบั กิจกรรมการเรยี นรู้
119 ตารางที่ 20 ผลการประเมินค่าความสอดคล้องของแผนการจัดการเรียนรู้โดยการจัดการเรียนรู้แบบ โครงงาน แผนการเรยี นร้ทู ่ี 4 เร่ือง แรงลอยตวั (ตอ่ ) ท่ี รายการประเมิน ผู้เชยี่ วชาญ ∑������ IOC ความหมาย 1 23 8 ชิ้นงาน/ภาระงาน 8.1 สอดคลอ้ งกบั กระบวนการจัดการ 0 +1 +1 2 0.67 สอดคลอ้ ง เรยี นรู้ 9 กระบวนการจดั การเรียนรู้ 9.1 สอดคลอ้ งในขั้นการสำรวจคน้ หาปญั หา +1 +1 +1 3 1.00 สอดคลอ้ ง 9.2 สอดคล้องในขน้ั การวางแผน +1 +1 +1 3 1.00 สอดคลอ้ ง 9.3 สอดคล้องในขั้นการรวบรวมข้อมูล +1 +1 +1 3 1.00 สอดคลอ้ ง 9.4 สอดคล้องในขนั้ การลงมือปฏิบัติ +1 +1 +1 3 1.00 สอดคล้อง 9.5 สอดคลอ้ งในขั้นการนำเสนอผลงาน +1 +1 +1 3 1.00 สอดคลอ้ ง 10 สอ่ื การเรยี นร/ู้ แหลง่ การเรยี นรู้ 10.1 สอดคล้องกบั กระบวนการจัดการ 0 +1 +1 2 0.67 สอดคลอ้ ง เรียนรู้ 11 การวดั และประเมนิ ผล 11.1 สอดคล้องกบั กระบวนการจัดการ 0 +1 +1 2 0.67 สอดคล้อง เรียนรู้
120 ตารางท่ี 21 ผลการประเมนิ คา่ ความสอดคลอ้ งของแผนการจัดการเรยี นรู้โดยการจดั การเรียนรู้แบบ โครงงาน แผนการเรยี นรทู้ ี่ 5 เร่อื ง แรงเสียดทาน ท่ี รายการประเมนิ ผเู้ ช่ยี วชาญ ∑ ������ IOC ความหมาย 123 1 มาตรฐานการเรยี นรแู้ ละตัวชีว้ ัด 1.1 มาตรฐานการเรียนรู้สอดคล้องกับ +1 +1 +1 3 1.00 สอดคล้อง ตวั ชี้วดั 1.2 ตวั ชี้วดั สอดคล้องกับสาระสำคญั +1 +1 +1 3 1.00 สอดคล้อง 2 สาระสำคัญ +1 +1 +1 3 1.00 สอดคล้อง 2.1 สอดคล้องกบั มาตรฐานการเรยี นรู้ +1 +1 +1 3 1.00 สอดคลอ้ ง 2.2 สอดคลอ้ งกับตัวชว้ี ัด +1 +1 +1 3 1.00 สอดคลอ้ ง 3 จุดประสงค์การเรยี นรู้ +1 +1 +1 3 1.00 สอดคล้อง 3.1 สอดคลอ้ งกบั มาตรฐานการเรียนรู้ +1 +1 +1 3 1.00 สอดคล้อง 3.2 สอดคลอ้ งกับตวั ช้ีวดั +1 +1 +1 3 1.00 สอดคล้อง 3.2 สอดคลอ้ งกบั สาระสำคัญ 3.3 สอดคล้องกับสาระการเรียนรู้ +1 +1 +1 3 1.00 สอดคล้อง +1 +1 +1 3 1.00 สอดคลอ้ ง 4 สาระการเรยี นรู้ 4.1 สอดคล้องกบั สาระสำคัญ 0 +1 +1 2 0.67 สอดคลอ้ ง 4.2 สอดคล้องกับมาตรฐานการเรียนรู้ 0 +1 +1 2 0.67 สอดคลอ้ ง และตัวชว้ี ัด +1 +1 +1 3 1.00 สอดคล้อง 5 สมรรถนะสำคญั ของผูเ้ รียน +1 +1 +1 3 1.00 สอดคล้อง 5.1 สอดคลอ้ งกับจดุ ประสงค์การเรยี นรู้ 5.2 สอดคล้องกับกจิ กรรมการเรียนรู้ 0 +1 +1 2 0.67 สอดคล้อง 0 +1 +1 2 0.67 สอดคล้อง 6 ทักษะกระบวนการ 6.1 สอดคลอ้ งกบั จดุ ประสงค์การเรียนรู้ 6.2 สอดคล้องกับกจิ กรรมการเรยี นรู้ 7 คุณลักษณะอนั พึงประสงค์ 7.1 สอดคล้องกบั จุดประสงค์การเรียนรู้ 7.2 สอดคล้องกบั กจิ กรรมการเรยี นรู้
121 ตารางท่ี 21 ผลการประเมนิ คา่ ความสอดคลอ้ งของแผนการจัดการเรียนรู้โดยการจดั การเรียนรู้แบบ โครงงาน แผนการเรยี นรทู้ ี่ 5 เร่อื ง แรงเสยี ดทาน (ต่อ) ที่ รายการประเมนิ ผูเ้ ช่ยี วชาญ ∑������ IOC ความหมาย 12 3 8 ชิน้ งาน/ภาระงาน 8.1 สอดคลอ้ งกับกระบวนการจัดการ 0 +1 +1 2 0.67 สอดคล้อง เรยี นรู้ 9 กระบวนการจดั การเรยี นรู้ 9.1 สอดคลอ้ งในข้ันการสำรวจคน้ หาปญั หา +1 +1 +1 3 1.00 สอดคล้อง 9.2 สอดคล้องในข้นั การวางแผน +1 +1 +1 3 1.00 สอดคลอ้ ง 9.3 สอดคล้องในขนั้ การรวบรวมข้อมูล +1 +1 +1 3 1.00 สอดคลอ้ ง 9.4 สอดคลอ้ งในขัน้ การลงมือปฏบิ ัติ +1 +1 +1 3 1.00 สอดคล้อง 9.5 สอดคล้องในข้ันการนำเสนอผลงาน +1 +1 +1 3 1.00 สอดคล้อง 10 ส่ือการเรยี นร/ู้ แหล่งการเรียนรู้ 10.1 สอดคล้องกบั กระบวนการจัดการ 0 +1 +1 2 0.67 สอดคลอ้ ง เรียนรู้ 11 การวัดและประเมินผล 11.1 สอดคล้องกับกระบวนการจดั การ 0 +1 +1 2 0.67 สอดคล้อง เรยี นรู้
122 ตารางท่ี 22 ผลการประเมินค่าความสอดคล้องแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิทยาศาสตร์ เร่อื ง แรงและการเคล่ือนที่ ประเดน็ ผู้เช่ยี วชาญ ผลการ 123 พิจารณา ตัวชีว้ ดั ข้อ ประเภท ∑ ������ IOC ท่ี คำถาม ว 4.1 ป.5/1 นักเรยี น 1 ความจำ +1 +1 +1 3 1.00 สอดคลอ้ ง สามารถทดลองและ 2 ความจำ +1 +1 +1 3 1.00 สอดคลอ้ ง อธบิ ายการหาแรงลัพธ์ 3 ความเข้าใจ +1 +1 +1 3 1.00 สอดคลอ้ ง ของแรงสองแรงซ่ึงอยูใ่ น 4 ความเข้าใจ +1 +1 +1 3 1.00 สอดคลอ้ ง แนวเดยี วกันท่กี ระทำต่อ 5 ความเข้าใจ +1 +1 +1 3 1.00 สอดคลอ้ ง วัตถุ 6 ความเข้าใจ +1 +1 +1 3 1.00 สอดคล้อง 7 ประยุกต์ใช้ 0 +1 +1 2 0.67 สอดคล้อง 8 ประยุกตใ์ ช้ +1 +1 +1 3 1.00 สอดคล้อง 9 ประยกุ ตใ์ ช้ 0 +1 +1 2 0.67 สอดคล้อง 10 ประยุกตใ์ ช้ +1 +1 +1 3 1.00 สอดคล้อง 11 ประเมนิ ค่า -1 +1 +1 1 0.33 ไมส่ อดคล้อง 12 ประเมนิ ค่า 0 +1 +1 2 0.67 สอดคลอ้ ง ว 4.1 ป.5/2 นักเรียน 13 ความจำ +1 +1 +1 3 1.00 สอดคลอ้ ง สามารถทดลองและ 14 ความจำ +1 +1 +1 3 1.00 สอดคลอ้ ง อธบิ ายความดนั อากาศ 15 ความเขา้ ใจ 0 +1 +1 2 0.67 สอดคลอ้ ง 16 ความเขา้ ใจ +1 +1 +1 3 1.00 สอดคลอ้ ง 17 ประยุกตใ์ ช้ +1 +1 +1 3 1.00 สอดคล้อง 18 ประยกุ ต์ใช้ +1 +1 +1 3 1.00 สอดคลอ้ ง 19 ประยุกต์ใช้ +1 +1 +1 3 1.00 สอดคล้อง 20 ประยกุ ตใ์ ช้ +1 +1 +1 3 1.00 สอดคลอ้ ง 21 วเิ คราะห์ 0 +1 +1 2 0.67 สอดคลอ้ ง 22 วเิ คราะห์ +1 +1 +1 3 1.00 สอดคล้อง 23 ประเมนิ ค่า 0 +1 +1 2 0.67 สอดคลอ้ ง 24 ประเมนิ ค่า 0 +1 +1 2 0.67 สอดคล้อง
123 ตารางที่ 22 ผลการประเมินค่าความสอดคล้องแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิทยาศาสตร์ เร่ือง แรงและการเคลอื่ นที่ (ต่อ) ประเดน็ ผเู้ ชย่ี วชาญ ผลการ พจิ ารณา ตัวช้วี ัด ขอ้ ประเภท 123 ∑ ������ IOC ที่ คำถาม สอดคล้อง ความจำ +1 +1 +1 3 1.00 สอดคล้อง ว 4.1 ป.5/3 นักเรียน 25 ความจำ +1 +1 +1 3 1.00 สอดคล้อง ความเข้าใจ +1 +1 +1 3 1.00 สอดคล้อง สามารถทดลองและ 26 ความเขา้ ใจ +1 +1 +1 3 1.00 สอดคล้อง ความเข้าใจ +1 +1 +1 3 1.00 สอดคล้อง อธิบายความดันของ 27 ความเข้าใจ 0 +1 +1 2 0.67 สอดคล้อง ประยุกตใ์ ช้ 0 +1 +1 2 0.67 สอดคลอ้ ง ของเหลว 28 ประยุกตใ์ ช้ +1 +1 +1 3 1.00 สอดคลอ้ ง ประยุกตใ์ ช้ +1 +1 +1 3 1.00 สอดคลอ้ ง 29 ประยกุ ต์ใช้ 0 +1 +1 2 0.67 สอดคลอ้ ง วิเคราะห์ +1 +1 +1 3 1.00 สอดคลอ้ ง 30 วเิ คราะห์ +1 +1 +1 3 1.00 สอดคลอ้ ง ความจำ +1 +1 +1 3 1.00 สอดคลอ้ ง 31 ความจำ +1 +1 +1 3 1.00 สอดคลอ้ ง ความเขา้ ใจ 0 +1 +1 2 0.67 สอดคลอ้ ง 32 ความเขา้ ใจ 0 +1 +1 2 0.67 สอดคลอ้ ง ประยกุ ต์ใช้ +1 +1 +1 3 1.00 สอดคลอ้ ง 33 ประยุกต์ใช้ +1 +1 +1 3 1.00 สอดคลอ้ ง ประเมินค่า 0 +1 +1 2 0.67 สอดคล้อง 34 ประเมินค่า 0 +1 +1 2 0.67 สอดคล้อง ประเมินค่า 0 +1 +1 2 0.67 สอดคล้อง 35 ประเมนิ ค่า 0 +1 +1 2 0.67 36 ว 4.1 ป.5/4 นักเรยี น 37 สามารถทดลองและ 38 อธบิ ายแรงพยุงของ 39 ของเหลว การลอย และ 40 การจมของวัตถุ 41 42 43 44 45 46
124 ตารางที่ 22 ผลการประเมินค่าความสอดคล้องแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนวิทยาศาสตร์ เร่อื ง แรงและการเคลอื่ นท่ี (ต่อ) ประเดน็ ผูเ้ ชย่ี วชาญ ผลการ 123 พจิ ารณา ตัวชวี้ ัด ข้อ ประเภท ∑ ������ IOC ท่ี คำถาม ว 4.2 ป.5/1นกั เรียน 47 ความจำ +1 +1 +1 3 1.00 สอดคลอ้ ง สามารถทดลองและ 48 ความจำ +1 +1 +1 3 1.00 สอดคลอ้ ง อธิบายแรงเสียดทาน 49 ความเข้าใจ +1 +1 +1 3 1.00 สอดคลอ้ ง และนำความรู้ไปใช้ 50 ความเขา้ ใจ +1 +1 +1 3 1.00 สอดคล้อง ประโยชน์ 51 ความเขา้ ใจ +1 +1 +1 3 1.00 สอดคลอ้ ง 52 ความเขา้ ใจ +1 +1 +1 3 1.00 สอดคลอ้ ง 53 ประยกุ ตใ์ ช้ +1 +1 +1 3 1.00 สอดคลอ้ ง 54 ประยกุ ตใ์ ช้ +1 +1 +1 3 1.00 สอดคล้อง 55 ประยุกต์ใช้ +1 +1 +1 3 1.00 สอดคล้อง 56 ประยุกตใ์ ช้ +1 +1 -1 1 0.33 ไม่สอดคล้อง 57 วิเคราะห์ 0 +1 +1 2 0.67 สอดคลอ้ ง 58 วิเคราะห์ 0 +1 +1 2 0.67 สอดคลอ้ ง 59 ประเมินค่า 0 +1 +1 2 0.67 สอดคล้อง 60 ประเมินค่า +1 +1 +1 3 1.00 สอดคลอ้ ง
125 ตารางท่ี 23 ผลการวิเคราะห์ค่าความยากง่าย (p) และค่าอำนาจจำแนก (r) ของแบบทดสอบวัดผล สมั ฤทธิ์ทางการเรยี นวิทยาศาสตร์ เร่อื ง แรงและการเคลอ่ื นที่ ขอ้ ที่ ค่าความ ค่าอำนาจ แปลผล ข้อที่ ค่าความ คา่ อำนาจ แปลผล ยากงา่ ย (p) จำแนก (r) ยากง่าย (p) จำแนก (r) เลือกใช้ 1 0.59 0.43 ตัดท้ิง 31 0.50 0.43 เลือกใช้ 1.00 0.57 ตดั ทง้ิ 2 0.45 0.29 เลอื กใช้ 32 0.27 0.14 ตัดทง้ิ 0.57 0.29 ตัดทง้ิ 3 0.86 0.14 ตดั ทง้ิ 33 0.41 0.14 เลือกใช้ 0.43 0.29 ตัดทิ้ง 4 0.77 0.29 เลือกใช้ 34 0.73 0.00 เลอื กใช้ -0.29 0.29 เลือกใช้ 5 0.95 0.57 ตดั ทง้ิ 35 0.55 0.43 ตัดทิ้ง -0.14 -0.14 เลอื กใช้ 6 0.59 0.43 เลอื กใช้ 36 0.27 0.29 ตัดทิ้ง 0.29 0.29 ตัดทิ้ง 7 0.36 0.00 เลอื กใช้ 37 0.77 0.29 เลอื กใช้ 0.43 0.43 เลือกใช้ 8 0.36 0.29 ตดั ทิ้ง 38 0.41 0.29 ตดั ทิ้ง 0.43 0.14 เลือกใช้ 9 0.41 0.29 เลอื กใช้ 39 0.59 0.57 ตัดทิ้ง -0.29 0.00 ตัดทิ้ง 10 0.05 0.14 ตดั ทง้ิ 40 0.41 -0.29 ตดั ทงิ้ 0.71 0.00 เลือกใช้ 11 0.41 0.14 เลอื กใช้ 41 0.55 0.57 เลือกใช้ 0.29 0.43 เลอื กใช้ 12 0.77 0.57 ตดั ทง้ิ 42 0.14 0.29 ตดั ทง้ิ 0.00 -0.14 เลือกใช้ 13 0.68 0.00 ตดั ท้งิ 43 0.41 0.71 ตัดทิ้ง 0.43 0.00 เลือกใช้ 14 0.41 0.57 เลอื กใช้ 44 0.55 0.57 ตัดท้งิ 0.43 0.29 ตดั ท้ิง 15 0.09 0.29 ตัดทิ้ง 45 0.55 0.00 เลอื กใช้ -0.43 0.43 16 0.68 เลือกใช้ 46 0.18 17 0.27 เลอื กใช้ 47 0.45 18 0.64 ตดั ทง้ิ 48 0.14 19 0.86 ตัดทิ้ง 49 0.14 20 0.45 เลือกใช้ 50 0.36 21 0.18 ตดั ทง้ิ 51 0.73 22 0.64 เลือกใช้ 52 0.64 23 0.59 เลือกใช้ 53 0.41 24 0.82 ตัดทิ้ง 54 0.18 25 0.59 ตดั ทิ้ง 55 0.73 26 0.55 เลือกใช้ 56 0.23 27 0.50 เลือกใช้ 57 0.68 28 0.55 เลือกใช้ 58 0.36 29 0.64 ตัดทิ้ง 59 0.55 30 0.23 ตัดท้งิ 60 0.50
126 ซ่ึงผู้วิจัยได้คัดเลือกข้อสอบที่มีคุณภาพตรงตามตัวชี้วัดที่หลักสูตรกำหนดไว้ จำนวน 30 ข้อ ได้แก่ข้อ 2,4,6,7,9,11,14,16,17,20,22,23,26,27,28,31,32,36,38,39,41,44,45,47,51,52,53, 55,57,60 และได้หาค่าความเชื่อมั่น (Reliability) ของข้อสอบที่มีคุณภาพจำนวน 30 ข้อน้ี สรุปผลได้ค่าความเชื่อมน่ั เท่ากับ 0.84 ตารางท่ี 24 ผลการประเมินค่าความสอดคลอ้ งของแบบประเมินทักษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ ท่ี รายการประเมนิ ผู้เช่ยี วชาญ ∑ ������ IOC ผลการ 123 พิจารณา 1 มีความสอดคล้องในด้านทกั ษะการสังเกต 1.1 การสังเกต +1 +1 +1 3 1.00 สอดคลอ้ ง 2. มีความสอดคล้องในด้านทักษะการจดั กระทำและสื่อความหมายข้อมูล 2.1 แหล่งขอ้ มูลทีน่ ำมา +1 +1 +1 3 1.00 สอดคลอ้ ง 2.2 การจดั กระทำข้อมูล +1 +1 +1 3 1.00 สอดคลอ้ ง 2.3 การนำเสนอขอ้ มูล +1 +1 +1 3 1.00 สอดคล้อง 3. มคี วามสอดคล้องในดา้ นทกั ษะการลงความคิดเหน็ จากข้อมลู 3.1 การอธบิ าย +1 +1 +1 3 1.00 สอดคล้อง 3.2 การลงความคิดเห็น +1 +1 +1 3 1.00 สอดคลอ้ ง 4. มีความสอดคล้องในด้านทักษะการตง้ั สมมติฐาน 4.1 การหาคำตอบล่วงหน้า +1 +1 +1 3 1.00 สอดคลอ้ ง 5. มคี วามสอดคล้องในดา้ นทกั ษะการกำหนดและควบคุมตัวแปร 5.1 การกำหนดตัวแปร +1 +1 +1 3 1.00 สอดคลอ้ ง 6. มคี วามสอดคล้องในดา้ นทกั ษะการทดลอง 6.1 ความสามารถในการออกแบบ +1 +1 +1 3 1.00 สอดคล้อง 6.2 การบันทกึ ผล +1 +1 +1 3 1.00 สอดคล้อง 6.3 การแปลความหมายข้อมูล +1 +1 +1 3 1.00 สอดคล้อง
127 ตารางที่ 25 ผลการประเมนิ ค่าความสอดคล้องของแบบประเมินความสามารถในการทำโครงงาน ที่ รายการประเมนิ ผ้เู ชีย่ วชาญ ∑ ������ IOC ผลการ 123 พจิ ารณา 3 1.00 1 ความสอดคล้องของในดา้ นการสำรวจคน้ หาปัญหา สอดคล้อง 2 0.67 1.1 การต้ังชอ่ื เร่ือง +1 +1 +1 3 1.00 สอดคล้อง 2 0.67 สอดคล้อง 2 ความสอดคล้องของในดา้ นการวางแผน สอดคล้อง 3 1.00 2.1 การเขียนความสำคัญ 0 +1 +1 สอดคลอ้ ง 3 1.00 2.2 จดุ ประสงคใ์ นการทำโครงงาน +1 +1 +1 สอดคลอ้ ง 3 1.00 2.3 คำถาม(สิง่ ที่นักเรียนอยากรหู้ รือ 0 +1 +1 2 0.67 สอดคลอ้ ง สอดคลอ้ ง สมมตฐิ าน) 3 1.00 3 1.00 สอดคล้อง 3. ความสอดคล้องในดา้ นการรวบรวมข้อมูล สอดคลอ้ ง 3.1 กระบวนการค้นคว้าและเกบ็ ข้อมลู +1 +1 +1 4. ความสอดคล้องในดา้ นการลงมือปฏบิ ตั ิ 4.1 การดำเนินงาน +1 +1 +1 5. ความสอดคล้องในด้านวเิ คราะหข์ ้อมูลและสรปุ ผล 5.1 ผลการสำรวจและค้นควา้ +1 +1 +1 5.2 สรปุ ผลการสำรวจ 0 +1 +1 6. ความสอดคล้องในดา้ นการนำเสนอผลงาน 6.1 การรายงานปากเปล่า +1 +1 +1 6.2 การตอบขอ้ คดิ เหน็ +1 +1 +1
128 ตารางที่ 26 ผลการประเมินความเหมาะสมและความสอดคล้องของแบบสอบถามความคิดเห็นของ นักเรียนท่ีมตี ่อการจดั การเรยี นรูแ้ บบโครงงาน ท่ี รายการประเมนิ ผเู้ ชี่ยวชาญ ∑ ������ IOC ผลการ 123 พิจารณา ความสอดคล้องดา้ นเนอื้ หาสาระ 1 เนอื้ หาเร่อื งแรงและการเคล่ือนท่มี คี วามน่าสนใจ +1 +1 +1 3 1.00 สอดคล้อง 2 เนือ้ หาเรื่องแรงและการเคลอื่ นท่ีครอบคลมุ เหมาะสมและสอดคลอ้ ง +1 +1 +1 3 1.00 สอดคล้อง +1 +1 +1 3 1.00 สอดคลอ้ ง กบั ความตอ้ งการของนักเรียน 3 นักเรยี นมคี วามรู้เกี่ยวกบั การทำโครงงานมากขึ้น 4 นกั เรียนสามารถนำความร้เู รื่องแรงและการเคลื่อนทีไ่ ปใช้ใน +1 +1 +1 3 1.00 สอดคลอ้ ง ชีวิตประจำวนั ได้ ความสอดคล้องด้านการจดั การเรยี นรู้แบบโครงงาน 5 นกั เรียนมสี ่วนร่วมในกจิ กรรมการเรียน +1 +1 +1 3 1.00 สอดคลอ้ ง +1 +1 +16 กจิ กรรมสร้างความสนใจ จนทำให้นกั เรยี นอยากสบื เสาะหาความรู้ดว้ ย 3 1.00 สอดคลอ้ ง ตนเอง 7 กจิ กรรมการเรยี นการสอนชว่ ยส่งเสรมิ การทำงานรว่ มกับผู้อน่ื ไดอ้ ย่าง +1 +1 +1 3 1.00 สอดคลอ้ ง เปน็ ระบบ 8 กจิ กรรมการเรยี นส่งเสริมความรู้ ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ +1 +1 +1 3 1.00 สอดคลอ้ ง ตอ่ นกั เรยี น ความสอดคล้องด้านวดั และประเมนิ ผล 9 ครผู ู้สอนใช้การวดั และประเมนิ ผลดว้ ยการปฏิบัติ +1 +1 +1 3 1.00 สอดคลอ้ ง 10 ครูผู้สอนประเมินผลดว้ ยวิธีการที่หลากหลายและเหมาะสม +1 +1 +1 3 1.00 สอดคลอ้ ง 11 สง่ เสริมใหส้ ร้างช้นิ งานตามความสนใจของนกั เรียน +1 +1 +1 3 1.00 สอดคลอ้ ง 12 เปดิ โอกาสให้ผเู้ รียนเป็นผ้ปู ระเมิน +1 +1 +1 3 1.00 สอดคลอ้ ง ความสอดคล้องด้านประโยชน์ท่ไี ดร้ บั 13 นกั เรียนสามารถจัดทำโครงงานวิทยาศาสตรอ์ ย่างสรา้ งสรรค์ +1 +1 +1 3 1.00 สอดคลอ้ ง 14 นักเรยี นสามารถนำความรทู้ ีไ่ ดร้ บั ไปใช้ใหเ้ กิดประโยชน์ +1 +1 +1 3 1.00 สอดคลอ้ ง 15 นกั เรียนไดน้ ำเสนอผลงาน และกลา้ แสดงออก +1 +1 +1 3 1.00 สอดคล้อง
ภาคผนวก ค ผลการวเิ คราะหข์ ้อมูล - ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนวิทยาศาสตร์เร่ืองแรงและการเคลื่อนท่ี ก่อนและหลังการจัดการ เรียนรู้แบบโครงงาน ของนกั เรียนช้นั ประถมศกึ ษาปีท่ี 5 - ผลการเปรียบเทียบผลสมั ฤทธิ์ทางการเรยี นวิทยาศาสตรเ์ ร่ืองแรงและการเคลอื่ นที่ ก่อนและ หลังการจัดการเรียนรู้แบบโครงงาน ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีท่ี 5 โดยใช้ t-test Independent
130 ตารางที่ 27 ผลสมั ฤทธทิ์ างการเรียนวทิ ยาศาสตรเ์ ร่ืองแรงและการเคลื่อนที่ ก่อนและหลังการจัดการ เรียนรแู้ บบโครงงาน ของนกั เรยี นชนั้ ประถมศึกษาปีที่ 5 คนท่ี คะแนนการทดสอบ คา่ ความ คนที่ คะแนนการทดสอบ ค่าความ กอ่ นเรียน หลงั เรยี น ต่าง ก่อนเรียน หลังเรยี น ตา่ ง 8 11 19 17 11 17 11 22 10 6 10 2 15 26 7 18 12 22 6 5 9 3 11 17 7 19 14 24 5 9 6 4 14 21 5 20 13 19 9 6 9 5 12 17 5 21 12 21 11 7 9 69 16 7 22 14 19 7 9 6 7 12 21 12 23 10 16 6 10 8 8 13 18 8 24 13 22 244 9 11 17 25 11 20 10 12 17 26 10 21 11 10 17 27 13 22 12 11 18 28 11 18 13 9 18 29 12 18 14 11 23 30 12 18 15 13 23 31 15 23 16 17 25 รวม 372 616
131 ตารางท่ี 28 ผลการเปรียบเทียบผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนวิทยาศาสตร์เรื่องแรงและการเคล่ือนที่ ก่อนและหลังการจัดการเรียนรู้แบบโครงงาน ของนักเรียนช้ันประถมศึกษาปีท่ี 5 โดยใช้ t-test Independent T-Test Paired Samples Statistics Std. Std. Error Mean N Deviation Mean .338 Pair 1 pretest 12.00 31 1.880 .503 posttest 19.87 31 2.802 Paired Samples Correlations N Correlation Sig. .000 Pair 1 pretest & 31 .684 posttest Paired Samples Test Paired Differences t df Sig. (2-tailed) Mean 95% Confidence Interval of the Std. Std. Error Difference Deviation Mean Lower Upper Pair 1 pretest - 2.045 .367 -8.621 -7.121 -21.428 30 .000 -7.871 posttest
ภาคผนวก ง เครือ่ งมอื ในการวจิ ัย - ตวั อยา่ งแผนการจัดการเรียนรูแ้ บบโครงงาน เร่ืองและการเคล่ือนท่ี - แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธทิ์ างการเรียนวิทยาศาสตร์เรือ่ งแรงและการเคลอ่ื นท่ี - แบบประเมินทกั ษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ - แบบประเมินความสามารถในการทำโครงงาน - แบบสอบถามความคิดเหน็ ของนกั เรียนท่ีมตี ่อการจัดการเรียนรู้แบบโครงงาน
133 แผนการจดั การเรยี นรู้ท่ี 1 ช้ันประถมศกึ ษาปีท่ี 5 หนว่ ยการเรียนร้ทู ี่ 3 แรงและการเคลอ่ื นที่ เวลา 4 ช่วั โมง เรือ่ ง แรงลพั ธ์และประโยชน์ของแรงลัพธ์ ครผู สู้ อน นางสาวนภิ า ตรแี จม่ จนั ทร์ โรงเรียนวัดบางหลวง 1. มาตรฐานการเรยี นรู้/ตัวชวี้ ัด มาตรฐาน ว 4.1 : เข้าใจธรรมชาติของแรงแม่เหล็กไฟฟ้า แรงโน้มถ่วง และแรงนิวเคลียร์ มีกระบวนการสืบเสาะหาความรู้ ส่ือสารสิ่งท่ีเรียนรู้และนำความรู้ไปใช้ประโยชน์อย่างถูกต้องและ มคี ุณธรรม ตวั ชวี้ ัด ว 4.1 ป 5/1 ทดลองและอธิบายการหาแรงลัพธ์ของแรงสองแรง ซ่ึงอยู่ในแนวเดียวกันท่ี กระทำต่อวัตถุ มาตรฐาน ว 8.1 : ใช้กระบวนการทางวิทยาศาสตร์และจติ วิทยาศาสตรใ์ นการสบื เสาะหา ความรู้การแก้ปัญหา รู้ว่าปรากฏการณ์ทางธรรมชาติท่ีเกิดข้ึนส่วนใหญ่มีรูปแบบที่แน่นอนสามารถ อธิบายและตรวจสอบได้ภายใต้ข้อมูลและเครื่องมือที่มีอยู่ในช่วงเวลาน้ัน ๆ เข้าใจว่าวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี สงั คม และส่ิงแวดล้อมมคี วามเก่ียวข้องสมั พนั ธก์ ัน ตวั ช้วี ดั ว 8.1 ป. 5/1 ตั้งคำถามเก่ียวกับประเด็นหรือเรื่องหรือสถานการณ์ ที่จะศึกษาตามที่ กำหนดใหห้ รอื ตามความสนใจ 2. สาระสำคญั การออกแรงหลายแรงมากระทำต่อวัตถุในทิศทางเดียวกัน จะมีค่าเท่ากับการรวมแรงเป็น แรงเดียว แรงที่เปน็ ผลรวม ของแรงหลายแรงน้ี เรยี กวา่ แรงลพั ธ์ ลักษณะของแรงลัพธ์ แรงมีหน่วยเป็นนิวตัน (N) สามารถเขียนแทนด้วยลูกศร ความยาว ของลกู ศรแทนขนาดของแรงและหัวลูกศรแทน ทศิ ทางของแรงน้ัน ประโยชน์ของแรงลัพธ์ในชีวิตประจำวันของเรามีการนำแรงลัพธ์มาใช้ประโยชน์มากมาย ตวั อยา่ งเชน่ การสรา้ ง สะพานแขวนการปั่นจกั รยานพว่ ง การใชส้ ุนขั หลาย ๆ ตัวลากเล่อื น
134 3. จุดประสงคก์ ารเรียนรู้ 1. อภิปรายและสรุปได้ว่า แรงหลายแรงที่กระทำต่อวัตถุมีผลต่อการเคลื่อนท่ีเสมือนแรง มหี นง่ึ แรงซง่ึ เป็นผลลพั ธ์ของแรงนน้ั มากระทำตอ่ วตั ถุ 2. ทดลองและสรุปผลได้ว่า แรงหลายแรงรวมกันมีค่าเท่ากับแรงหน่ึงแรง ซ่ึงเป็นผลลัพธ์ ของแรงน้นั 4. สาระการเรียนรู้ ด้านความรู้ 1.ความหมายและหาแรงลัพธ์ทก่ี ระทำต่อวตั ถุในแนวต่าง ๆ (K) ดา้ นทกั ษะกระบวนการ 2.ทกั ษะการสังเกต (P) ด้านคุณลักษณะ 3.ความสามารถในการทำโครงงาน (A) 5. สมรรถนะสำคญั ของผู้เรยี น 1. ความสามารถในการสอ่ื สาร 6. ทักษะ/กระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ 1. ทกั ษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ (การสังเกต) 7. คุณลกั ษณะอันพึงประสงค์ 1. ใฝ่เรยี นรู้ 2. มงุ่ ม่ันในการทำงาน 8. ช้นิ งาน/ภาระงาน 1.ใบกจิ กรรมที่ 1 9.กระบวนการจัดการเรียนรู้ การเตรยี มการล่วงหน้า ให้นกั เรยี นจัดกลมุ่ กลุม่ ละ 5-6 คน พรอ้ มทั้งต้งั ชอื่ กลุ่ม ชั่วโมงที่ 1 ขั้นสำรวจคน้ หาปญั หา
135 1. ครทู บทวนความร้เู ดมิ เกี่ยวกบั เรอ่ื งความหมายของแรง และลักษณะแรงตา่ ง ๆเป็นต้น 2. ครยู กตวั อย่างสถานการณว์ า่ ถ้ามตี ูห้ นงั สือ 1 หลังต้องการเคลื่อนย้ายจากหนา้ หอ้ งไปไว้ หลังห้อง จะมีวิธีการเคลื่อนย้ายอย่างไรให้สะดวกและรวดเร็วท่ีสุดจากนั้นให้นักเรียนแต่ละกลุ่ม รว่ มกันแสดงความคดิ เหน็ โดยครูต้ังคำถามดังนี้ - หากนำนักเรียนในห้องทั้งหมดไปยา้ ยตู้หนังสือ จะมวี ธิ ีดำเนินการอยา่ งไร (แนวคำตอบ : ช่วยกันออกแรงผลกั แรงดัน แรงดงึ ตหู้ นังสือให้เคล่ือนที่) - นักเรยี นจะมวี ธิ ีการออกแรงอย่างไรใหเ้ คลอ่ื นตหู้ นงั สือได้เร็วขนึ้ (แนวคำตอบ : ชว่ ยกนั ออกแรงผลกั หรอื ดงึ ไปในทางเดยี วกัน) - นกั เรียนสงั เกตเห็นการออกแรงและการเคล่ือนทขี่ องตู้นนั้ เปน็ อย่างไร (แนวคำตอบ : แรงทก่ี ระทำและทศิ ทางการเคล่อื นที่ของตู้หนังสอื ไปทิศทางเดยี วกนั ) 3. ครูตั้งคำถามเพ่ือนำเข้าสู่การค้นหาคำตอบ แรงดังกล่าวที่เราออกแรงกระทำร่วมกัน เรยี กว่าอะไร และนกั เรียนคิดวา่ แรงดังกล่าวมลี ักษณะอย่างไรบ้าง 4. ให้นักเรียนแบ่งกลุ่มกลุ่มละ 5-6 คน ร่วมกันเลือกปัญหาท่ีนักเรียนต้องการศึกษาเก่ียวกับ แรงลัพธแ์ ละบันทึกปัญหาลงใน ใบงานท่ี 1 5. นักเรียนแต่ละกลุ่มนำเสนอหัวข้อปัญหาที่ต้องการศึกษาหน้าช้ันเรียน ครูคอยให้ ข้อเสนอแนะ ชว่ั โมงที่ 2 2. ข้ันวางแผน 2.1 นกั เรียนแต่ละกลุ่มร่วมกันระดมความคดิ ช่วยกันวางแผนหาแนวทางการแก้ปญั หา โดยใช้ขอ้ มลู ทรี่ วบรวมได้ 2.2 นกั เรยี นช่วยกนั ออกแบบกิจกรรมเพ่ือใช้ในการแกป้ ัญหาลงในใบกิจกรรมที่ 1 2.3 นักเรียนแบง่ หน้าท่ี การรับผดิ ชอบใหแ้ กส่ มาชกิ ภายในกลุม่ 3. ข้ันรวบรวมขอ้ มลู 3.1 นักเรยี นศึกษาคน้ คว้า เร่อื ง แรงลพั ธ์ เพ่มิ เติมจากห้องสมุด, อนิ เทอร์เน็ต 3.2 นักเรียนแต่ละกลุ่มช่วยกันรวบรวมข้อมูลที่เก่ียวข้องกับปัญหาที่ต้องการศึกษา บนั ทกึ ลงในใบกิจกรรมที่ 1 ชว่ั โมงที่ 3-4 4. ขั้นลงมือปฏบิ ัติ 4.1 นักเรียนแต่ละกลุ่มลงมือปฏิบัติกิจกรรมตามท่ีได้ออกแบบไว้เพ่ือแก้ปัญหาท่ี ตอ้ งการศกึ ษาพร้อมท้ังบันทึกผลลงในใบกจิ กรรมที่ 1
136 4.2 หลังจากท่ีนักเรียนปฏิบัติการทดลองและบันทึกผลลงในตาราง จากนั้นครูต้ัง คำถามเพื่อรว่ มกนั อภิปราย 5. ขน้ั วเิ คราะหข์ ้อมูลและสรุปผล 5.1 นักเรียนแต่ละกลุ่มนำผลจากการทำกิจกรรมช่วยกันวิเคราะห์และสรุปผลการทำ กจิ กรรม และบนั ทึกลงในใบกิจกรรมท่ี 1 5.2 หลังจากทำการทดลอง และสรุปผลการเรียนรู้แล้ว ครูตั้งคำถามเพิ่มเติมเกี่ยวกับ การนำความรเู้ ร่ืองแรงลพั ธไ์ ป ใชป้ ระโยชน์ ดงั น้ี - เราจะนำความรเู้ รื่องแรงลัพธ์ไปใช้ประโยชน์อยา่ งไรบ้าง (แนวคำตอบ : การสร้าง กระเช้าแขวนดอกไม้ การสร้างราวตาก ผ้า การสร้างสะพานแขวน การป่ันจักรยานพ่วง การใช้สุนัข หลาย ๆ ตัวลากเลื่อน) 6. ขั้นนำเสนอผลงาน 6.1 นกั เรียนแตล่ ะกล่มุ นำเสนอกิจกรรมที่ได้ศึกษาของกลุ่มตนเองหนา้ ชั้นเรียน 6.2 ครูและนกั เรียนอภิปรายและสรุปเน้ือหารว่ มกันเก่ยี วกับ แรงลัพธ์ 10.ส่ือ / แหล่งการเรียนรู้ 1. หนังสอื เรยี นวิทยาศาสตร์ ชน้ั ประถมศกึ ษาปที ่ี 5 2. ใบกิจกรรมที่ 1 3. ใบความรู้เรอื่ งแรงลัพธ์ 11.การวัดผลประเมนิ ผล วธิ กี าร เคร่อื งมือ การวดั และประเมินผล 1. สังเกตการทำงานโดย แบบประเมนิ ทกั ษะ ใช้กระบวนการทาง กระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ 1.ทกั ษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ วทิ ยาศาสตร์ (ทกั ษะการสังเกต) 2. ตรวจใบงาน แบบประเมินความสามารถใน การทำโครงงาน 2.ความสามารถในการทำโครงงาน
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189