ศึกษาการใช้ถอ้ ยคำ สำนวนเพือ่ การเขียนเชิงสรา้ งสรรค์ จดั ทำโดย ๑. นายนพวินท์ รอดแกว้ รหัสนกั ศึกษา ๖๓๔๑๐๑๐๐๓ ๒. นายววิ ัฒน์ เต็มศิริ รหสั นกั ศกึ ษา ๖๓๔๑๐๑๐๐๖ ๓. นางสาวนูรสุ สาวาณี อะสนั รหัสนักศกึ ษา ๖๓๔๑๐๑๐๑๔ ๔. นางสาวอินทริ า สบื สุข รหสั นกั ศกึ ษา ๖๓๔๑๐๑๐๒๘ นกั ศกึ ษาชน้ั ปที ี่ ๒ สาขาวิชาภาษาไทย เสนอ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ไพบูลย์วรรณ จิตพัฒนกุล รายงานเลม่ นี้เป็นส่วนหนึง่ ของการศึกษารายวชิ า ความคดิ สรา้ งสรรค์กับการสรรสร้างงานเขยี น (TH ๖๒๖๐๕) ภาคเรียนที่ ๑ ปีการศึกษา ๒๕๖๔ มหาวิทยาลยั ราชภฏั หมู่บา้ นจอมบึง
ก คำนำ รายงานเล่มนี้เป็นส่วนหนึ่งของการศึกษารายวิชา ความคิดสร้างสรรค์กับการสรรสร้างงานเขียน (TH ๖๒๖๐๕) โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาการใช้ถ้อยคำ สำนวนเพื่อการเขียนเชิงสร้างสรรค์ โดยนักเขียนที่ เลือกศึกษาผลงานน้นั คือ สถาพร ศรสี จั จงั เป็นกวีและนกั เขยี นท่ีสรา้ งผลงานหลายประเภททั้งเรื่องสนั้ บทกวี ร้อยแก้ว และวรรณกรรมเยาวชน ผลงานหลายเรื่องได้รับยกย่อง ได้รับรางวัล และได้รับการแปลเป็น ภาษาต่างประเทศ อีกทั้งยังเป็นเป็นนักคิด นักอุดมคติ และนักต่อสู้เพื่อสังคม จุดเด่นอีกประการหนึ่งในงาน ประพันธ์ของ สถาพร ศรีสัจจัง คือ การสร้างจิตสำนึกในการต่อสู้กับความไม่ถูกต้องเป็นธรรมอย่างไม่ย่อท้อ หวาดหวัน่ โดยใชก้ ลวธิ ที างวรรณศลิ ป์ทีง่ ดงาม คมคาย และเข้มข้นด้วยพลงั อารมณ์สะเทือนใจในขณะเดียวกัน ก็มีความหวานซึง้ ของอารมณ์กวี การเล่นคำ เลน่ เสียง ผสมผสานคำภาษาไทยถิ่นได้อย่างมีรส เขม้ ข้นท้ังเนื้อหา และลีลา จนอาจกล่าวไดว้ ่า เป็นตน้ แบบของตระกลู ช่างสลักถอ้ ยคำ ด้วยเหตุนี้ คณะผู้จัดทำจึงขออนุญาตยกตัวอย่างการใช้ถ้อยคำ สำนวนของสถาพร ศรีสัจจัง มาเป็น แบบอย่างในการสรรสร้างงานเขียนต่อไป เนื่องจากเป็นเรื่องที่น่าสนใจและเหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการศึกษา เกี่ยวกับกลวิธีในการสร้างงานเขียนของตนให้มีคุณภาพ หากมีข้อผิดพลาดประการใด ทางคณะผู้จัดทำ ขออภัยมา ณ ที่นี้ คณะผูจ้ ัดทำ ๑๑ สงิ หาคม ๒๕๖๔
สารบัญ ข เรอ่ื ง หน้า รปู แบบและกลวธิ ีการประพันธก์ วนี ิพนธข์ องสถาพร ศรสี ัจจัง ๑ กลอน ๑ กาพย์ ๔ โคลง ๙ ฉันท์ ๑๔ ร่าย ๑๗ ๑๗ กวีพจน์อสิ ระ ๒๒ กลวิธีการประพันธ์กวีนพิ นธ์ของสถาพร ศรสี จั จงั ๒๒ การใชค้ ำ ๒๖ ๓๔ สัมผัสอกั ษร ๓๕ การเล่นเสียงวรรณยุกต์ ๓๕ ความหมายของคำ ๓๗ การเล่นคำ ๔๑ การซ้ำคำ ๔๒ การสรรคำ ๔๔ ๔๕ การใช้คำเหมาะสมกับเหตุการณแ์ ละตัวละคร ๔๗ การใช้คำให้จนิ ตภาพ ๔๗ การใชค้ ำภาษาถิ่น ๔๙ การใชภ้ าพพจน์ ๕๐ อุปมา ๕๒ อุปลกั ษณ์ ๕๓ ปฏิภาคพจน์ ๕๕ อาวตั พากย์ ๕๗ อตพิ จน์ ๕๘ บุคคลวตั ิ ๖๒ ปุจฉา ๖๖ สัทพจน์ การใช้สัญลกั ษณ์ อา้ งองิ
๒ รปู แบบและกลวิธีการประพนั ธก์ วีนพิ นธข์ อง สถาพร ศรีสจั จงั ในการศกึ ษาวจิ ยั กวนี พิ นธข์ อง สถาพร ศรสี ัจจัง 8 เล่ม จาํ นวนผู้วจิ ัยไดก้ าํ หนดแนวทางการ วิเคราะห์ไว้ 2 ด้าน คอื 1. รูปแบบฉันทลกั ษณ์ 2. กลวิธีการประพันธ์ การวเิ คราะหก์ วีนพิ นธ์ของ สถาพร ศรสี จั จัง ทั้ง 2 ดา้ น มีรายละเอียดดังตอ่ ไปนี 1. รูปแบบฉันทลกั ษณท์ ี่ สถาพร ศรีสัจจงั เลือกใชใ้ นการประพันธ์ รูปแบบฉนั ทลกั ษณ์ หมายถงึ กฎเกณฑ์หรือแบบแผนในการเรียบเรยี งถ้อยคาํ ให้เกิดเปน็ รูปแบบตา่ ง ๆ สถาพร ศรีสัจจัง ใช้รูปแบบในการประพันธ์กวีนิพนธ์หลายชนิด ทั้งรูปแบบฉันทลักษณ์เดิมท่ีมาแต่ โบราณ อนั ได้แก่ กลอน กาพย์ โคลง ฉนั ท์ รา่ ย ลิลิต และกวีนิพนธอ์ สิ ระ 1.1 รปู แบบฉันทลักษณเ์ ดิม รูปแบบฉนั ทลกั ษณเ์ ดิม คือ วธิ กี ารเรยี บเรยี งถ้อยคาํ ให้เขา้ กับกฎเกณฑแ์ ละขอ้ บัญญตั ิ ในกวีนิพนธข์ อง สถาพร ศรีสจั จงั มกี ารใช้รูปแบบฉันทลกั ษณ์ ดงั ต่อไปน้ี 1.1.1 กลอน เนื่องจากกลอนมีหลายชนิด แต่ละชนิดมีลักษณะบังคับเฉพาะแตกต่างกันออกไป เช่น จํานวนคํา สัมผัส คําขึ้นต้น คําลงท้าย เป็นต้น ดังท่ี กําชัย ทองหล่อ (2543:415) “แบ่งกลอนออกเป็น 3 ชนิด คือ กลอนสภุ าพ กลอนลํานํา และกลอนตลาด” ผู้วิจัยพบว่า สถาพร ศรีสัจจัง ได้ใช้แบบคําประพันธ์เป็นกลอนตลาดมากที่สุด กลอนตลาด คือ กลอนผสมหรือกลอนคละ ไม่กําหนดคําตายตัวเหมือนกลอนสุภาพ ในกลอนบทหนึ่งอาจมีวรรคละ 7 คําบ้าง 8 คําบ้าง 9 คําบ้าง คือ เอากลอนสุภาพหลายชนิดมาผสมกัน นั่นเอง เป็นกลอนที่นิยมใช้ในการขับร้อง ทั่ว ๆ ไป จึงเรียกว่า กลอนตลาด แบ่งออกเป็น 4 ชนิดคือ กลอนเพลงยาว กลอนนิราศ กลอนนิยาย กลอนเพลงปฏพิ ากย์ (กาํ ชัย ทองหล่อ.2543:415 - 416) ดังตวั อย่าง
อนารยะประเทศน้อยนิดหน่ึงน้ี ๓ แมเ้ วลานาทีบ่สงวน ไร้แบบไร้วธิ ไี ร้กระบวน (กอ่ นไปสภู่ เู ขา.2518: 150) ปั่นปว่ นหฤหรรษ์แตบ่ รรพ์มา อนาถแผ่นดินเหลือเพียงซาก เศษกากกระดูกล้วนไร้ค่า บรรพบุรษุ ตายเปลา่ เล่ากนั มา สงวนเพียงปา่ ช้าไว้คู่ไทย ๏ สางแล้ว, สายแล้ว– แสงแดดสอ่ ง ทาบต้องทิวไม้อยู่หม่นหมน่ เหมอื นบอกว่าใจของคนจน ทั่วทุกตําบล–ไมส่ บาย ช่องช้าง–พรุพ,ี รถไฟผา่ น ต่อช่วงนาสาร–ไปทางใต้ นักส้ผู คู้ น–เกดิ กล่นราย ดั่งฤๅ–จักสลายลงโรยรา ดงั นนั้ –พร่งุ น้ีมวลไม้ดอก คงบานคลก่ี ลีบออกทุกย่านทา่ แดงสเี ลือด–อาจตอ้ งทาบลงโลมทา เลือดพรานรา้ ย–เลอื ดประชา, ฤๅเลือดใคร ๚๛ (ณ เพงิ พักริมหว้ ย.2531: 28)
๔ ๏ เพ่งฟ้า จึงเหน็ ดาวเหนือจ้า,ระบุบง่ – วา่ เท่ยี ง,แตกตา่ งจากดาวธง ทีเ่ คลอื่ นตามรถทรง–แหง่ ตวั ตน๚๛ (ทะเล ป่าภู และเพงิ พกั .2541: 152) ๏ เรียนนายหัว พวกการ์ตนู มันช่างช่ัวชา่ งนา่ ฉนุ วาดหลวงตามหาบวั บังสุกุล สวดก่อนเผาเอาบุญรัฐบาล (ฟอ้ งนายหวั .2543: 167) ๏ บันทกึ ไว้ใหช้ ัดในบัดนี้ จะไม่มอี กี ทกุ ยุคสมยั ที่นายกฯ ทง้ั ผองของเมืองไทย จะดีงามยง่ิ ใหญแ่ ละใจดี ๏ เท่านายกฯ ซึง่ กลา้ ฆ่ากะเหร่ยี ง จนชอ่ื เสยี งกอ้ งไกลไปทุกท่ี ดว้ ยแผนอันชาญฉลาดทร่ี าชบุรี จนเดก็ ก็อดอาร์ม่ีกลายเป็นมาร ……………………………………..
๕ ๏ ทําเพลงยาวยอนายกฯ มายาวยืด จะเร่ารอ้ นหรอื จดื ชืด– กไ็ ม่วา่ แตข่ อเถอะ– บัดนคี้ ล้ายไดเ้ วลา คืนอํานาจใหป้ ระชาได้เสยี ที ๏ ถามจริงเถอะ– ทีย่ งั หว่ งหวงอาํ นาจ หรอื เพราะพวกยังฟาดไมเ่ ตม็ ท่ี ถ้ายังงั้นก…็ ซาลามัต– สวัสดี เป็นนายกฯ เกรดอ…ี เทา่ น้ันเอย ๚๛ (ฟอ้ งนายหัว.2543: 135 – 137) 1.1.2 กาพย์ กาพย์ เป็นคําประพนั ธช์ นิดหนงึ่ ซ่งึ มีกาํ หนดคณะ พยางค์ และสมั ผสั มีลกั ษณะคลา้ ยกับ ฉนั ท์ แตไ่ มน่ ิยมครุลหุ เหมือนกับฉันท์ กาพย์ที่นิยมใช้อยู่ในภาษาไทยมี 5 ชนิด คือ กาพย์ยานี กาพย์ฉบัง กาพย์สุรางคนางค์ กาพยห์ อ่ โคลง กาพย์ขับไม้หอ่ โคลง (กําชยั ทองหลอ่ . 2545: 441) จากการศึกษาพบว่ากาพย์เป็นรูปแบบที่ปรากฏใช้มากรองจากกลอน กาพย์ท่ี สถาพร ศรีสัจจัง นาํ มาใชใ้ นงานประพนั ธ์มี 4 ชนิด คือกาพยย์ านี 11 กาพยฉ์ บัง 16 กาพยส์ ุรางคนางค์ 28 และกาพย์หอ่ โคลง 1.1.2.1 กาพยย์ านี 11 กาพย์ยานี 11 วรรคหน้ามี 5 คํา วรรคหลังมี 6 คํา รวม 2 วรรคเป็นหนึ่งบาท นับ 2 บาท เป็นหนึ่งบท ให้คําสุดท้ายของวรรคท่ี 1 สัมผัสกับคําท่ี 3 ของวรรคที่ 2 และให้คําสุดท้ายของวรรคท่ี 2 สัมผัสกับคําท่ี 5 ของวรรคที่ 3 ถ้าแต่งบทต่อไปอีก ต้องให้คําสุดท้ายของบทต้นสัมผัสกับคําสุดท้ายของวรรค ท่ี 2 ของบทต่อไป (กําชยั ทองหลอ่ .2545: 442)
๖ จากการศกึ ษากวีนพิ นธ์ของ สถาพร ศรีสัจจงั พบวา่ กาพย์ยานี 11 สว่ นใหญม่ ีลักษณะการประพันธ์ ท่เี ครง่ ครดั ฉนั ทลกั ษณ์ ดงั นี้ ๏ วนั แล้วและวนั เล่า สองตีนก้าวกลางแดดฝน เหงอ่ื เลอื ดลงแปมปน เพียงยงั ชีพบ่ให้ตาย โงเ่ งา่ มิรเู้ หตุ อม่ิ อาเพศมหิ ่างหาย ดวงตากพ็ รา่ พราย เพราะขาดธาตุอาหารดี กรามกดั อยูก่ รอดกรอด นำ้ หนักทอดกระสอบสี กม้ หนา้ อยู่ตาปี บ่รฟู้ ้าเปน็ ฉันใด เอน็ ปูนอยู่ปูดเป่ง กลา้ มเนอื้ เกรง็ ระริกไหว บนบา่ นำ้ หนกั ใคร จึงแบกไว้บ่มีวาง (ก่อนไปสู่ภเู ขา.2518: 142) 1.1.2.2 กาพย์ฉบงั 16 กาพย์ฉบังหนึ่งบทมี 3 วรรค วรรคท่ี 1 กับวรรคท่ี 3 มีวรรคละ 6 คํา วรรคที่ 2 มี 4 คํา ให้คํา สุดท้ายของวรรคแรกสัมผัสกับคําสดุ ท้ายของวรรคท่ี 2 ถ้าจะแต่งบทต่อ ๆ ไปอีก ต้องให้คําสุดทา้ ยของบทต้น สมั ผสั กับคาํ สดุ ท้ายของวรรคท่ี 1 ของบทตอ่ ไป (กําชัย ทองหลอ่ .2545: 443 – 444) บทประพันธ์ประเภทกาพย์ฉบัง 16 ที่พบในกวีนิพนธ์ของ สถาพร ศรีสัจจัง มีรูปแบบการประพันธ์ ทเ่ี ปน็ ไปตามข้อบังคบั ของการแตง่ คําประพันธป์ ระเภทกาพยฉ์ บัง 16 ดงั ตัวอยา่ ง ๏ ในเกาะน้อยหน่งึ ซง่ึ มี- ตาํ นานยาวรี ลิบงปเู ต๊ะ – ตาํ นาน ครง้ั หนง่ึ ชายชาญ ยาไมข้ าว– เอามา ๏ เร่ืองเกา่ เล่ากนั ในกาล ตํานานขานคลอ ออกทอ่ งทะเลเวลา ๏ เพ่อื หวงั จกั พบพนั ธ์ุ แกโ้ รคคนรักผูร้ อ ๏ ไมข้ าว– มเี พยี งหนึ่งกอ
วา่ – อยู่ในเกาะห่างคน ๗ ๏ ชายหนมุ่ ไป่ นอบจํานน แตง่ สําเภากล ล่องหว้ งนำ้ ลึก–ทะเล แรงใจไปเ่ ร – ๏ แรงกายแรงตวั ทุ่มเท (ทะเล ป่าภู และเพิงพกั .2541: 60-61) ไป่รวนไปตามแรงลม 1.1.2.3 กาพย์สุรางคนางค์ 28 กาพย์สุรางคนางค์ 28 ในบทหนึ่งมี 7 วรรค วรรคหนึ่งมี 4 คํา รวมเป็น 28 คํา คําสุดท้ายของวรรค ท่ี 1 สัมผัสกับคําสุดท้ายของวรรคที่ 2 คําสุดท้ายของวรรคที่3 สัมผัสกับคําสุดท้ายของวรรคที่ 5 และ คําสุดท้ายของวรรคที่ 5 สัมผัสกับคําสุดท้ายของวรรคท่ี 6 ถ้าจะแต่งบทต่อ ๆ ไปอีก ต้องให้คําสุดท้ายของ บทต้นสัมผสั กับคําสดุ ทา้ ยของวรรค3ท่ีต่อไป (กําชยั ทองหลอ่ .2545:445 – 446) ในกวีนิพนธ์ของ สถาพร ศรีสัจจัง พบว่า กาพย์สุรางคนางค์ 28 มีลักษณะการประพันธ์ที่เคร่งครัด ฉันทลักษณ์ ดงั ตวั อย่าง ๏ การศกึ ปฏวิ ัติ ตอ้ งตงั้ ตอ้ งจัด เปน็ แกนเป็นกลาง ศตั รูชว่ั ชาติ มันอาจอาํ พราง เลห่ ก์ ลหนทาง เรอื่ งรา้ ยลายลาญ ๏ เล่ห์ศึกลึกล้ำ ตอ้ งจดตอ้ งจํา วเิ คราะหเ์ หตุการณ์ แบ่งคนแบง่ เหล่า กะเขา้ กับงาน ยดื เย้ือยาวนาน ฉับพลันทันใด
๘ ต้องรู้เจนจบ ๏ แนวรว่ มแนวรบ แบง่ ลดแบง่ หลั่น ก่อนเข้าชิงชัย ไว้เน้ือเชือ่ ใจ ชาวชนชั้นใคร เยย่ี งไรตอ้ งดู อดึ อดั อดทน ๏ เราชาวนาจน ตอ้ งจาํ กบั จติ ไรค้ นเชิดชู นาข้าวนากู พลาดผิดคอื ครู ใครเขา้ โกงกนิ (ก่อนไปสู่ภูเขา.2518: 186 – 187) 1.1.2.4 กาพย์หอ่ โคลง กาพย์ห่อโคลงเป็นชื่อของบทประพันธ์ที่แต่งขึ้นโดยใช้กาพย์ยานีสลับกับโคลงสี่สุภาพ โดยจะต้องมี ความอย่างเดียวกัน คือให้วรรคที่หนึ่งของกาพย์ยานีกับบาทที่หนึ่งของโคลงบรรยายข้อความอย่างเดียวกัน หรอื บางทีก็ใหค้ ําตน้ วรรคของกาพยก์ ับคาํ ตน้ บทของโคลงเป็นคําเหมอื นกัน สว่ นบญั ญัตหิ รอื กฎขอ้ บงั คบั ตา่ ง ๆ เหมอื นกบั กฎของกาพยย์ านแี ละโคลงส่ีสุภาพทั้งส้นิ ลักษณะการแตง่ กาพยห์ ่อโคลงแบ่งออกไดเ้ ป็น 3 ชนดิ คือ (กําชัย ทองหลอ่ .2545: 447) 1. แตง่ กาพยย์ านหี นงึ่ บท แล้วแตง่ โคลงส่สี ุภาพ ซ่ึงมีเนือ้ ความเชน่ เดียวกบั กาพย์ยานหี นึ่งบทสลบั กันไป 2. เหมอื นชนิดที่ 1 แตก่ ลบั กนั คอื เอาโคลงไวห้ น้า เอากาพยไ์ ว้หลัง 3. แตง่ โคลงบทหนง่ึ แลว้ แต่งกาพยพ์ รรณนาขอ้ ความจนสุดกระแสตามความพอใจ บทประพันธ์รูปแบบกาพย์ห่อโคลงของ สถาพร ศรีสัจจัง มีลักษณะการประพันธ์ที่ต่างไปจากเดิม คือ แต่งกาพยย์ านี 11 ร่วมกับโคลงห้าพฒั นา และนํากาพย์ฉบงั 16 มาแต่งรว่ มกบั โคลงด้ันบาทกญุ ชร ดงั ตวั อย่าง
๙ 1.1.2.4.1 แต่งกาพย์ยานีร่วมกบั โคลงห้าพัฒนา ดังนี้ กาพย์ยานี11 ดนิ ดอนกาํ ลังเดือด และรอยเลอื ดกําลงั ริน ขุกแคน้ ทงั้ แดนดิน กาลใี ดเขา้ ดลดาล ฤๅมืดไปท่วั เมอื ง ก็ด้วยมอื ทมิฬมาร ฤๅชาติจกั ได้จาร ว่าคนชั่วไดค้ ืนชยั ฯ โคลงห้าพฒั นา โหดหืน ๏ แผน่ ดินคล้งุ กลิ่นใกล้ คลมุ ทาบ อายชว่ั กลนื เหือดขวัญ ฯ คราบควนั ปืน ไป่คลาย มอดฟา้ ไหม้ ท่วั ถ้วน ศพทราก ๏ พนั ปีร้อน ทุรชน ฯ ดาหน้าตาย ประชาราย กินเหลา้ ล้วน (กอ่ นไปส่ภู เู ขา.2518: 166) 1.1.2.4.2 แตง่ โคลงดั้นบาทกุญชรร่วมกบั กาพย์ฉบัง 16 ดงั นี้ โคลงดั้นบาทกุญชร ๏ ใจ – จกั รวาลวาดไว้ ดัง่ ใด กวี– ก็วาดใจวาง ดงั่ นั้น คือ– ใจว่างใจใส ใจสด ธรรม – จึง่ แตง่ คน้ คนั้ ก่องใจ ฯ
กาพย์ฉบงั 16 ๑๐ ๏ คือใจผนกึ ภาพจกั รพาล มาก่อในกานท์ อนั ก่อมุ่งเกอ้ื เอ้ือคน ไร้หว่ งทาํ งน ๏ คอื ใจใสผ่องสอ่ งผล (ทะเล ป่าภู และเพิงพัก.2541: 40 – 47) จงึ ไปส่ งู –ตา่ํ , ลาํ เอยี ง ๚๛ 1.1.3 โคลง โคลงเป็นคําประพันธ์ชนิดหนึ่งซึ่งมีวิธีเรียบเรียงถ้อยคําเข้าคณะ มีกําหนดเอกโทและสัมผัส แต่มิได้ บญั ญตั ิบงั คบั ครลุ หุ 3 ชนดิ แบง่ ออกเป็น คอื โคลงสุภาพ โคลงดั้น และโคลงโบราณ (กําชัย ทองหล่อ.2545: 396) บทประพันธ์ประเภทโคลงที่ปรากฏในงานประพันธข์ อง สถาพร ศรีสัจจัง มีทั้งโคลงสุภาพ และโคลงดัน้ ดงั ตอ่ ไปน้ี 1.1.3.1 โคลงสุภาพ โคลงสุภาพ แบ่งออกเป็น 7 ชนิด คือ โคลงสองสุภาพ โคลงสามสุภาพ โคลงสี่สุภาพ โคลงห้าหรือ มณฑกคติ โคลงตรีพิธพรรณ โคลงจตั วาทัณฑี (กําชัยโคลงกระทู้ทองหล่อ. 2545: 396) บทประพันธ์รูปแบบ โคลงสุภาพพบในงานประพันธ์ของ สถาพร ศรีสัจจัง 4 ชนิด คือ โคลงสองสุภาพ โคลงสี่สุภาพ โคลงห้า หรือ มณฑกคติ และโคลงกระทู้ ดงั น้ี 1.1.3.1.1 โคลงสองสภุ าพ โคลงสองสุภาพบทหนึ่งมี 3 วรรค วรรคที่ 1 และที่ 2 มีวรรคละ 5 คํา วรรคท่ี 3 มี 4 คํา รวม 3 วรรค เป็น 14 คํา ส่วนสัมผัสให้คําที่ 5 วรรคที่ 1 สัมผัสกับคําที่ 5 วรรคท่ี 2 ถ้าแต่งเป็นเรื่องยาวต้องให้ คําสุดท้ายของบทสัมผัสกับคําที่ 1 ท่ี 2 หรือที่ 3 ในวรรคที่ 1 ของบทต่อไปทุก ๆ บท บังคับให้มีเอก 3 แห่ง และโท 3 แหง่ (กําชยั ทองหล่อ.2543: 397 - 398)
๑๑ โคลงสองสุภาพของ สถาพร ศรสี ัจจัง เป็นโคลงทีไ่ ม่เคร่งครัดฉันทลักษณ์ เพราะมคี าํ เอก คาํ โทไม่เป็น ไปตามข้อบังคับ ดังนี้ ๏ ฯอาฯ ลุกขึ้นแสนลา้ น ถว้ นทุ่งท่ัวบา้ น ไลล่ า้ ง กาลี คล่ีคล่นื อยผู่ ะผ้าย ๏ มใี ดจกั ต่อได้ (กอ่ นไปสูภ่ ูเขา.2518: 180) นัน่ แล้ ทพั ธรรม 1.1.3.1.2 โคลงส่สี ภุ าพ โคลงสี่สุภาพ โคลงหนึ่งมี 4 บรรทัด บรรทัดหนึ่งเรียกว่า“บาทหนึ่ง” รวม 4 บาท นับเป็นหนึ่งบท หรือหนึ่งโคลง บาทหนึ่งมี 2 วรรค วรรคหน้ามีวรรคละ 5 คํา วรรคหลังของบาทที่ 1, 2, 3 มีวรรคละ 2 คํา วรรคหลังของบาทที่ 4 มี 4 คํา รวมเป็น 30 คํา การส่งสัมผัสจากคําสุดท้ายบาทท่ี 1 สัมผัสกับคําสุดท้าย วรรคหน้าบาท 2 และคําสุดท้ายวรรคหน้าบาท 3 และคําสุดท้ายบาท 2 สัมผัสกับคําสุดท้ายวรคหน้าบาท 4 บงั คบั ให้มีเอก 7 แหง่ โท 4 แห่ง (กาํ ชยั ทองหลอ่ .2543: 399 - 400) โคลงสีส่ ุภาพของ สถาพร ศรีสัจจัง มีคําเอก คําโทไมเ่ ป็นไปตามขอ้ บังคับ ดงั น้ี ๏ จุง่ พ่ีนอ้ งจุ่งสรา้ ง สามผสาน ใหแ้ ผน่ พนื้ จดจาร ช่อื บา้ ง ชาวนาหน่งึ ,กอ่ การ ถ้วนท่งุ นกั ศกึ ษา,กรรมกรสรา้ ง- ศกึ ได้ในเมือง ฯ สงคราม ๏ เล่ืองช่อื ประกาศก้อง แบบต้ัง จรยุทธยดึ ตาม สกลุ ถ่อย ล้างพฆิ าตคนทราม เรง่ เขา้ ปลกุ ระดม ฯ ตตี ่อตีไปร่ ้ัง
๏ ขมขนื่ นานเนิ่นแล้ว ๑๒ ขนุ ศึกศักดนิ าเอา- นายทนุ ท่วั สัน่ เทา ผองเรา ตตี อ่ ตี พา่ ยแพ้ เปรียบแปร้ เห็นธาตุ ๏ สู้ใหม่แพพ้ า่ ยแลว้ จักแพ้ส้ไู ป ฯ มือตอ่ มือจบั ปนื หยัดยืน กวา่ ชยั ชนะคืน ปกปอ้ ง พ่างแผน่ หินจักซรอ้ ง สู่สิทธ์ิ จ่ึงซร้องชัยเชวง ฯ (ก่อนไปส่ภู เู ขา.2518: 190 - 191) 1.1.3.1.3 โคลงหา้ หรือโคลงมณฑกคติ กําชัยทองหล่อไม่ได้อธบิ ายฉนั ทลักษณ์ของโคลงห้าไว้ เพราะไม่นิยมแตง่ กนั แล้ว ผู้วจิ ัยจึงใช้คําอธิบาย ของ พระยาอปุ กติ ศลิ ปสาร(2548: 412 - 413) ซ่ึงกลา่ ววา่ โคลงหา้ บทหนง่ึ มี 4 บาท บาทหน่งึ ๆ มี 5 คํา และเติมสร้อยได้ 2 คํา ทั้ง 4 บาท สัมผัสส่งอยู่ท้ายบาท ถ้ามีสร้อยก็อยู่ท้ายสร้อย สัมผัสกับคําใดคําหนึ่งใน สี่คําต้นบาทที่ 2 ถ้ามีสร้อยคําท่ี 5 ก็รับได้ และรับกันเหมือนร่าย ส่วนเอกโทน้ันบังคับแต่โทอยู่ท้ายบาท 2 ถ้ามีสร้อยกอ็ ยทู่ ้ายสรอ้ ย และสัมผสั โทรบั ทต่ี น้ บาท 4 ได้ทงั้ ๔ คาํ ถา้ มสี รอ้ ยรับโทคําท่ี 5 กไ็ ด้ โคลงห้า หรอื โคลงมณฑกคติ สถาพร ศรสี จั จงั เรยี ก“โคลงหา้ พัฒนา” ได้แต่งไว้ ดงั น้ี ๏ ไกลแตน่ ี้ ต่อนาน ชนจกั จาร ช่อื ซร้อง วรี กาล กถู้ ิ่น กตู้ อ่ ตอ้ ง ตอ่ มาร ฯ ๏ ผา่ นเป็นเจ้า แดนใด ไทยทาสใคร กอ่ นกี้ ปฏวิ ตั ไิ หน แตน่ อก ขา้ ใดชี้ เห่ากรู ฯ
๑๓ ๏ ชธู งพ้ืน ด่ังแดง เลห่ พ์ ลิกแพลง ตา่ํ ชา้ โหมเถดิ แรง ยกแรก ท้าเถดิ ทา้ ประชาชน ฯ (ยืนตา้ นพาย.ุ 2524:13 - 14) 1.1.3.1.4 โคลงกระทู้ โคลงกระทู้ คือโคลงสี่สุภาพ แต่ตั้งข้อความเป็นกระทู้ไว้ข้างหน้าของบาททั้ง 4 แล้วแต่งถ้อยคําต่อไป ให้มีเน้ือความอธิบายหรือขยายความของกระทู้ให้ชัดเจนยิ่งขึ้น หรือถ้าเป็นกระทู้ที่ไม่มีความหมายในตัวเอง กแ็ ต่งเสริมพยางค์หรือคําให้กระทู้นั้นมีความหมายขน้ึ (กาํ ชยั ทองหล่อ. 2543: 401-403) ดงั นี้ ๏ เยน็ ๆ สุรยิ ะโอ้ อสั ดง ลม ลอ่ งจะล่องลา ลับแล้ว ปาก กาดั่งยงั คง เปลา่ ว่าง นา กระดาษจง่ึ คลา้ ยแห้ว อักษรา ฯ ๏ ยก เรอื่ งนายกฯ ผปู้ ากคม ชวน เชื่อยกเอามา แต่งรอ้ ง หลกี กห็ ลกี เพยี ง ปมอันปดิ ภยั กภ็ ยั ถา้ ขอ้ ง เกีย่ วกนั ฯ (ฟอ้ งนายหวั .2543: 191) 1.1.3.2 โคลงดน้ั โคลงดั้นแบ่งออกเป็น 6 ชนิด คือ โคลงสองดั้น โคลงสามดันโคลงดั้นวิวิธมาลี โคลงดั้นบาทกุญชร โคลงดน้ั ตรพี พิ ิธพรรณ และโคลงดั้นจัตวาทณั ฑี (กําชยั ทองหลอ่ .2545: 396) บทประพนั ธ์รูปแบบโคลงด้ันใน งานประพันธ์ของ สถาพรศรี สัจจัง 2 ชนดิ ได้แก่ โคลงด้ันวิวธิ มาลี และโคลงดั้นบาทกุญชร ดังตอ่ ไปนี้
๑๔ 1.1.3.2.1 โคลงดนั้ ววิ ธิ มาลี โคลงดั้นววิ ิธมาลบี ทหน่งึ มี 4 บาท บาทหน่ึงมี 2 วรรค วรรคหน้ามวี รรคละ 5 คาํ วรรคหลังของทกุ บาทมวี รรค ละ 2 คํา รวมเป็น 28 คํา การส่งสัมผัสจากคําสุดท้ายบาทท่ี 1 สัมผัส กับคําสุดท้ายวรรคหน้าบาท 3 และ คําสุดท้ายบาท 2 สัมผัสกับคําที่ 4,5 วรรคหน้าบาท 4 ถ้าจะแต่งบทอื่นติด่อไป ต้องให้คําสุดท้ายของบทต้น สัมผสั กับคําท่ี 5 บาทท่ี 2 ของบทต่อ ๆ ไป บังคับให้มีเอก 7 แห่ง โท 4 แห่งเช่นเดียวกับโคลงสี่สุภาพแต่ โทในบาท 4 อยตู่ ดิ กนั ท่ีคําท่ี 4, 5 (กําชัย ทองหลอ่ .2545: 404-405) โคลงดั้นวิวิธมาลีของ สถาพร ศรีสัจจัง เป็นโคลงไม่เคร่งครัดฉันทลักษณ์ เพราะมีคําเอก คําโทไม่เป็น ไปตามข้อบังคบั ดังนี้ ๏ เป็นเถิดด่ังแท่งไต้ สอ่ งทาง ไร้ค่าเมื่อตาวนั ส่องสร้าน เม่ือมดื จึ่งรางชาง เปลวเด่น สาดสอ่ งแสงจ้าจ้าน แกค่ น ฯ ๏ เปน็ เถิดดั่งรอ่ งน้ำ รางธาร ไหลอาบไปทุกหน แหง่ พื้น ใหส้ รรพสงิ่ บรรสาน ลงสู่ เพ่อื แต่งโลกใหช้ ้ืน ชุ่มวาว ฯ (ทะเล ปา่ ภู และเพงิ พกั .2541: 34) 1.1.3.2.2 โคลงดัน้ บาทกุญชร โคลงดั้นบาทกุญชร มีลักษณะเหมือนกับโคลงสี่ดั้นวิวิธมาลี แต่เพ่ิมสัมผัสระหว่างบทเข้าอีกคู่หน่ึง คือ คําสุดท้ายบาทที่ 3 ในบทตน้ สัมผัสกบั คาํ ที่ 4 ในบาทท่ี 1 ของ บทตอ่ มา (กําชัย ทองหล่อ.2545: 405) สถาพร ศรีสัจจัง แต่งโคลงดั้นบาทกุญชรโดยไม่เคร่งครัดฉันทลักษณ์ มีการละสัมผัสระหว่างบท ดังตวั อย่าง
๑๕ ๏ กรุ่นสุมาลยน์ ้ันกร่นุ ดว้ ย เรณู กรนุ่ เพราะธรรมชาติเตมิ แต่งสรา้ ง ค่าใดส่งมนษุ ยด์ ู เห็นเด่น ผลิ ่มจิตแล้งร้าง แง่งาม ฯ ๏ คอื ษัฏพธิ รงั สิย้าย มารวม รวมร่างรวมจติ ตาม รว่ มต้อง คอื วสันต์เมอ่ื ผลัดสรวม ศศริ ะ ผลย่อมเกิดพรอ้ มพรอ้ ง เปี่ยมคณุ ฯ ๏ ฉันทะจอ่ แต่ห้วง สุนทรยี ์ โดยเปยี่ มเนื้อนาบญุ บรรพเบื้อง จงึ่ อวยแตง่ ทิพย์กวี บงั เกดิ ด่ังอุษาโยคเรอ่ื เรอ้ื ง ก่อประกาย ฯ (ณ เพิงพักริมห้วย.2531: 43) 1.1.4 ฉันท์ ฉันท์ คือ ลักษณะถ้อยคําที่กวีได้ร้อยกรองขึ้นให้เกิดความไพเราะซาบซึ้ง โดยกําหนดคณะ คําครุ ลหุ และ สัมผัสไว้เป็นมาตรฐาน (กําชัย ทองหล่อ.2545: 451) สถาพร ศรีสัจจัง แต่งฉันท์ไว้ 3 ชนิด คือ สาลินฉี ันท์ 11 ภชุ งคประยาตฉนั ท์ 12 และอที ิสฉนั ท์ 20 ดังนี้ 1.1.4.1 สาลนิ ีฉนั ท์11 สาลินฉี นั ท์ 11 หมายความวา่ ฉนั ท์ที่มากไปดว้ ยครุ ซึ่งเปรยี บเทยี บเหมือนแกน่ หรอื หลัก บาทหน่ึงมี 11 คาํ วรรคหน้ามี 5คํา วรรคหลังมี 6 คํา รวม 2 วรรคเป็นบาทหนง่ึ นบั 2 บาทเป็นหนึ่งบท วรรคหน้าทุก วรรคเป็นครุล้วน คำที่ 1 และที่ 4 ของวรรคหลังเป็นลหุ นอกน้ัน เป็นครุ ส่วนสัมผัสให้คําสุดท้ายของวรรค ท่ี 1 สัมผัสกับคําท่ี 3 ของวรรคท่ี 2 และคําสุดท้ายของ วรรคที่ 2 สัมผัสกับคําสุดท้ายของวรรคที่ 3
๑๖ ถ้าจะแต่งบทอื่นต่อไป ให้คําสุดท้ายของบทต้นสัมผัสกับคําสุดท้ายของวรรคท่ี 2 ของบทต่อไป (กําชัย ทองหล่อ.2543: 458-459) สาลินีฉนั ท์ 11 ของ สถาพร ศรสี ัจจงั มลี ักษณะการแตง่ ตรงตามฉนั ทลกั ษณ์ดงั น้ี เปลง่ เสียงใหก้ ้องฟ้า ประกาศทา้ และหา้ วหาญ นายทุนย่อมเกินทาน และนามไทจะเปิดทาง นามไทท่ีถูกเทดิ จะประเจดิ ประจงวาง แสงโชติที่เคยจาง กจ็ กั จ้า ณ หัวใจ แผน่ ดินทด่ี าลเดือด ชเลเลือดกเ็ หอื ดไป นามไทยจึ่งคนื ไท ลุคืนคา่ สังคมคน เออ..จะคนื คา่ สังคมคน ฯ (ก่อนไปสู่ภเู ขา.2518: 185-186) 1.1.4.2 ภชุ งคประยาตฉันท์ 12 ภุชงคประยาตหรือภุชงคปยาต หมายความว่า ฉันท์ที่มีลีลาประดุจงู บาทหนึ่งมี 12 คํา แบ่งเป็น วรรคละ 6 คํา รวม 2 วรรคเป็นบาทหนึ่ง นับ 2 บาท เป็นหนึ่งบท คําท่ี 1 และท่ี4 ของทุกวรรคเป็นลหุ นอกนน้ั เป็นครุ สว่ นสัมผสั ให้คําสดุ ทา้ ยของวรรคท่ี 1 สัมผสั กับคําที่ 3 ของ วรรคท่ี 2 และคาํ สุดท้ายของวรรค ท่ี 2 สัมผัสกับคําสุดท้ายของวรรคท่ี 3 ถ้าจะแต่งบทอื่นต่อไป ให้คําสุดท้ายของบทต้นสัมผสั กับคําสุดทา้ ยของ วรรคท่ี 2 ของบทตอ่ ไป (กาํ ชยั ทองหล่อ.2543: 462) สถาพร ศรสี ัจจงั แต่งภุชงคประยาตฉนั ท์ 12 โดยไมเ่ คร่งครดั ครุ ลหุ มากนกั ดังนี ้ แหละสงครามก็บก่ ฎ ประวตั ิบท ณ บรรพบรรพ์ ประชาชนสิลา้ นพัน บเ่ คยพ่ายบพ่ ังภนิ ท์ สถติ คปู่ ระวตั ิศาสตร์ และเชดิ ชาติระบือบลิ คริ ใี ด ณ แดนดนิ ผขิ วางกั้นกพ็ ลันลาญ
๑๗ ก็เย่ียงนี้สผิ องกรร- มชนพลนั จะปราบพาล จะกู้ชอื่ ระบอื จาร ประทบั เกยี รติประกาศไกล ผวิ ่าจนกร็ วยใจ วะ – ชาวนาก็คอื คน ก็เยีย่ งนน้ั นิรนั ดร ฯ และรวยชื่อทค่ี อื ไท (กอ่ นไปส่ภู ูเขา.2518: 191 - 192) 1.1.4.3 อที ิสฉนั ท์ 20 อีทิสฉันท์ หรืออีทิสังฉันท์ 20บทหนึ่งมี 20 คํา แบ่งออกเป็น 3 วรรค วรรคท่ี 1 มี9 คํา วรรคท่ี2 มี 8 คาํ วรรคที่ 3 มี 3 คาํ รวมเป็น 20 คํา รวม 3 วรรคเป็นบาทหนึง่ นับบาทหน่ึงเป็นหน่ึงบท ใช้ครุสลับกับ ลหุเรื่อยไปต้ังแต่ต้นจนจบบท เว้นไว้แต่สองคําสุดท้ายของบทซึ่งใช้ครุคู่กัน สัมผัสให้คําสุดท้ายของวรรคที่ 1 สัมผัสกับคําสดุ ท้ายของวรรคที่ 2 ถา้ จะแตง่ บทต่อไปอีก ตอ้ งให้คําสุดท้ายของบทต้นสัมผัสกับคําสุดท้ายวรรค ที่ 1 ของบทต่อไป (กาํ ชัย ทองหล่อ.2543:469) รปู แบบฉันทลกั ษณอ์ ีทสิ ฉนั ท์ 20ของ สถาพร ศรีสจั จงั มลี ักษณะไมเ่ คร่งครัด ครุ ลหุ ดังน้ี ๏ กรรมกรจะรวมพลังบ่แช- -บเ่ ชอื นใหโ้ ลกตะลึงและแล ก็ลนลาน ๏ แอกที่หนักและทัณฑท์ เ่ี กนิ จะทาน ก็แหลกกล็ ม้ คะโครมบ่นาน พนิ าศครนื ๏ สทิ ธมิ นษุ ย์ทจี่ ะพงึ จะมีกค็ นื แหละคนทีย่ ากจะหยดั และยนื จะกคู่ ํา ๏ เออ – แหละโลกท่พี ัฒนาก็กรรม- -มกรแหละสร้างและสรรคก์ ระทาํ ผลิตภณั ฑ์ (กอ่ นไปส่ภู เู ขา.2518: 175 - 176)
๑๘ 1.1.5 รา่ ย ร่าย เป็นชื่อของคาํ ประพนั ธ์ชนิดหนง่ึ ซึ่งไมก่ าํ หนดว่าจะตอ้ งมีบทหรือบาทเท่านน้ั เท่าน้ี จะแต่งให้ยาว เท่าไหร่ก็ได้ เป็นแต่ต้องเรียงคําให้คล้องจองกันตามข้อบังคับเท่านั้น แบ่งออกเป็น ๔ ชนิด คือ ร่ายสุภาพ รา่ ยดั้น ร่ายโบราณ และรา่ ยยาว (กําชัยาวทองหล่อ.2543: 411) รปู แบบรา่ ยที่ปรากฏ ในงานประพนั ธข์ อง สถาพร ศรีสัจจงั พบ 1 ชนดิ คือ ร่ายสุภาพ ดงั นี้ ร่ายสุภาพ จัดเป็นวรรคละ 5 คํา หรือจะเกินกว่า 5 คํา บ้างก็ได้ แต่ไม่ควรเกิน 5 จังหวะในการอ่าน จะแต่งยาวสักกี่วรรคก็ได้ แต่อีกสามวรรคก่อนจบ จะต้องเป็นโคลงสองสุภาพเสมอ (กําชัย ทองหล่อ.2543: 411) สถาพร ศรีสจั จงั ได้แต่งรา่ ยสภุ าพ ดงั นี้ o อา – โองการประกาศฟ้า ทว่ั หล้าทัว่ แหล่งเลา่ กระจายขา่ วการขบถ เพื่อการปลดแอกอาน ของชาว งานผ้กู ระอัก ผูท้ ุกขห์ นกั แปร้เพยี บ ลกุ ขึ้นเหยียบยำ่ มาร ผ้กู ่อการกดข่ี – นับตอ่ แต่น้ี แสงทองจะส่องช้ี ทั่วด้าว แดนคน นน่ั ฮา ฯ (ก่อนไปสภู่ เู ขา.2518: 193) 1.2 กวีพจน์อสิ ระ เป็นรูปแบบการแต่งที่ สถาพร ศรีสัจจัง คิดประดิษฐ์สร้างใหม่ แม้จะยังไม่กลมกลืน สละสลวยดีนัก แตก่ น็ ับว่า สถาพร ศรสี ัจจงั มีความคิดเร่ิมสร้างรูปแบบใหม่ ๆ ข้นึ เพอ่ื ใช้ในการประพนั ธ์ของเขา กวพี จนอ์ สิ ระของ สถาพร ศรสี จั จงั เป็นอิสระจากข้อบังคับทางฉันทลกั ษณ์เดิม ๆ ดังนี ้ บทกวี“ลิลิตพัฒนาโองการประกาศฟ้า”ของ สถาพร ศรีสัจจัง ใช้คําประพันธ์มากกว่ากฎเกณฑ์เดิม ของลิลิต คือมี ร่าย โคลงสี่สุภาพ โคลงห้าพัฒนา กาพย์ยานี ๑๑ กาพย์ฉบัง 16 กาพย์สุรางคนางค์28 สาลินีฉันท์ 11 และภุชงคประยาตฉันท์ 12 จึงเป็นลิลิตชนิดใหม่ ซึ่ง สถาพร ศรีสัจจัง เรียกว่า“ลิลิตพัฒนา” ดงั ตัวอย่าง ร่าย ๏ ศรศี ร–ี กาลีหล้า มาดหมาเย่ยี งอยา่ งสัตว์ ดริ จั ฉานกวา้ นแควน้ กวา้ นแดนอยูใ่ นอ้งุ กวา้ นทุ่งกว้านท่า เขมือบบ้าอย่างเมามัน หอนขันอยู่กู่ก้อง ปากร้องคาบคัมภีร์ ว่ามีศรีศิรสัตย์ ปรมัตถ์สูงส่ง ทั้งถ้วนพงศ์ถ้วน โคตร แท้ ล้วนหืน กลืนชาติอย่างเมามัน ก่อการกันกดข่ี ประชาชีถ้วนหน้า จนชาวนาละทุ่งมาดมุ่งมา เมอื งหลวง เพ่อื ทวงถามสิทธต์ิ น จากหนา้ ขนเหล่าพญา จากมหาอาํ มาตย์ ราชการแผน่ ดนิ …
๑๙ โคลงสี่สุภาพ ผองเรา ๏ ขมข่ืนนานเนน่ิ แล้ว เปรยี บแปร้ เห็นธาตุ ขุนศึกศกั ดนิ าเอา- จกั แพส้ ้ไู ป ฯ นายทนุ ท่วั สั่นเทา ตตี อ่ ตี พา่ ยแพ้ โคลงหา้ พัฒนา ฟอนไฟ ๏ ฟ้าลวกฟ้า รุ่มรอ้ น ประเทศ เดอื ดหัวใจ กอ่ การ ฯ ล้านแสนใน เคียวแก้วค้อน กาพย์ยานี11 เม่อื ยามเดือดย่อมพล่านได้ นำ้ ตาหรอื น้ำเลือด เลือดย่อมหล่งั ลงโลมดนิ คือมหาชลาสินธ์ุ ดนิ ดอนเม่อื เดือดไฟ พรอ้ มชะล้างกาลีลาญ นำ้ แรงแหง่ ชาวนา ไหลเชย่ี วเป็นเกลียวริน กาพย์ฉบงั 16 เคียดแคน้ ชังชงิ ๏ ทกุ ทุ่งล้วนหลายชายหญงิ ล้มลา้ งม้างมาร จกั เขา้ กระแทกแอกอาน ๏ เดนิ หนา้ กอบกูก้ ู่ขาน ใหพ้ ับใหพ้ ่ายตายเตียน
๒๐ กาพยส์ รุ างคนางค2์ 8 ๏ สามคั คมี นั่ ชนช้ันจนปวง จอ่ จิตเกย่ี วกนั เรียกขอ้ ถามทวง รวมตัวเขา้ ต่อ นายทุนศักดินา จากเหล่าหลอกลวง ๏ ตอ้ งตบี ร่ ้ัง นายทนุ นายหนา้ บ่ยับบ่ยั้ง ชัยนอ้ มนาํ มา จัดตั้งพรง่ั พร้อม กฎพลัน ทันใด เสรีจกั ปรา- สาลินฉี ันท1์ 1 สิแสนนอ้ ยมิเกรยี งไกร ผองชั้นนายทนุ จอ้ ย จะตอ้ งตตี ลบมัน จะเจียรจารและโจษจรรย์ เพือ่ ไทได้คนื ชยั และตที นุ บ่ทานทน รนุ่ หลงั จนเหลนหลาน ว่าเราน้ันเทดิ ธรรม์ ภุชงคประยาตฉันท1์ 2 ประวตั บิ ท ณ บรรพบรรพ์ แหละสงครามก็บ่กฎ บ่เคยพา่ ยบ่พงั ภินท์ และเชดิ ชาตริ ะบอื บิล ประชาชนสลิ า้ นพนั ผขิ วางกั้นก็พลันลาญ สถิตคู่ประวัตศิ าสตร์ คิรีใด ณ แดนดิน (ก่อนไปสู่ภูเขา.2518: 175-193)
๒๑ กวพี จนอ์ ิสระของ สถาพร ศรีสจั จงั รูปแบบร้อยแกว้ มลี ักษณะไม่บังคบั จาํ นวนคําและ สัมผัส ดงั ตวั อยา่ ง ในกรงุ , แม้มีนำ้ อาหารสมบรู ณ์คอยยื่นปอ้ น แต่นก, นอกจากมีปากไว้จบิ น้ำและจิกกินอาหารแล้ว ยงั มปี กี , ไว้โผบินลอ่ งเว้ิงฟ้าเสพย์กนิ ทิพย์ธรรมชาติดว้ ย. แมใ้ นโลกกวา้ งธรรมชาติจกั ยากลาํ บากในการดํารงชีวิต, แต่มีนกตวั ใดหรือที่ต้องการความสมบูรณ์ในกรงขงั . เช่นน้ัน, รักแหง่ เธอก็ตอ้ งการอิสรภาพเชน่ น้ัน. (ท่วี า่ รัก–รกั นน้ั …..2529: 62) คนื วันหน่ึง เราพดู กนั ถงึ การขี่ม้าบนภูเขาและการหาเสบียงกรัง ผมบอกคณุ ว่าเรายงั อย่ใู นหอ้ งแคบ และวนั ทีห่ ัวของคนที่คุณชอบกล่าวถงึ ถกู เสยี บประจานอยทู่ ่ีหน้าหมู่บา้ น คณุ ไม่ไดพ้ ดู กล่าวอะไรกบั ผมเลย ผมพดู ใหค้ ุณฟังวา่ ประชาชนกม็ สี ิทธิ์อาวุธเหมอื น กบั ฝา่ ยตรงขา้ ม บางคร้ังคณุ กน็ ั่งเงยี บอยา่ งนี้แหละ จนบัดน้ีผมกับคุณก็ยงั ไม่รู้เลยว่า
๒๒ การหาเสบียงกรังบนภเู ขานั้นทาํ อยา่ งไร และท่รี ุนแรงไปกว่านั้นกค็ ือ ผมเพง่ิ จับปนื เพียงสองคร้ัง บางทีหวั ของเราอาจถูกเสียบประจานโดยคนทีเ่ รา กลา่ วถงึ เขาบ่อย ๆ ก็ได้ แต่คณุ กับผมกค็ วรจะยิ้มอย่างจริงใจเป็นครั้งแรก (กอ่ นไปสภู่ ูเขา.2518: 3) กวีนิพจน์อิสระอีกรูปแบบหนึ่ง สถาพร ศรีสัจจัง เขียนในรูปแบบนวนิยายเชิงกวีนิพนธ์ คือ เป็นการ เขียนนวนิยายร้อยแก้วที่เลือกสรรคํามาเรียบเรียง แล้วประดับประดาด้วยกาพย์และกลอน โดยนํามาจาก กวนี ิพนธข์ องตนในเรอ่ื งตา่ ง ๆ ทม่ี ีข้อคิดสัมพนั ธ์กบั เน้ือหาในนวนิยาย ดงั ตัวอย่าง พลนั ชายพเนจรก็หวนย้อนราํ ลกึ ถึงเร่ืองราวเกา่ กอ่ น ครง้ั เมือ่ ตวั เองได้เดนิ ทางทอ่ งภเู ขาและได้เขา้ รว่ มอยูอ่ าศยั กบั ชนเผ่ายาง ซง่ึ ดาํ รงรา่ งชวี ติ อยกู่ บั ป่าภูต้นห้วย แล้วเพลงร้องบางเพลงในฤดูเก็บเก่ียวของเผ่าชนน้ัน ก็วาบเขา้ มากอ้ งเสยี งชัดเจนอยู่ในสํานึก: “ ๏ เฌอ โปร เถาะ แล เตอ เปาะ คี, ซ่าเลอ บ่ีเบ ก่า อะซยุ -- ๏ ต้นเฌอเตบิ ตัวแตกก่ิงอยู่ ณ ต้นห้วยโนน้ , ว่ากันวา่ -นกพญาไฟทาํ รังท่ีนั่น--” เม่อื ครงั้ กระโน้น,ลึกลงไปในเนอ้ื เพลงรอ้ งโดยแท้นับเป็น บทรายงานหนง่ึ ท่เี กิดจากความเข้าใจในกฎเกณฑ์ธรรมชาติ- แตเ่ ขาผู้ซ่ึงทบึ ทึมออ่ นด้อยมิสามารถเขา้ ใจได้ว่าสิ่งซ่ึงแฝงเรน้ อยู่เบ้ืองเนอ้ื ในบทเพลงคืออนั ใด
๒๓ ครนั้ บดั นี้, เมื่อผา่ นเส้นทางมากข้ึน-รจู้ กั รับ รู้คดิ เหน็ , รับแก่นหลีกกาก,ไมป่ ระเมินรสผลไมจ้ ากสีผิวเน้ือและพนิ ิจเห็น การเตบิ โตของไมด้ อกทเ่ี สพดมื่ น้ำธาตุจากการกลนั่ ตวั ของใบไม้เนา่ คุณภาพของความสามารถคิดไดต้ ่อส่ิงธรรมชาติ จึงดูดงั่ ห่างไกลกนั เมอ่ื ได้รว่ มเกบ็ เกยี่ วพืชผลกบั ชาวยางคร้ังนัน้ , จําไดว้ า่ ดาลใจจากเพลงร้องแห่งกวีพ้ืนบา้ นบทน้ีเสยี นกั . นวนิยายเชิงกวีนิพนธ์เรื่องน้ี สถาพร ศรีสัจจัง มีความตั้งใจนําเสนอ จึงคัดสรรคํามาเรียงร้อย จนกลายเป็น คําซ้อน คําซ้ำ ตลอดจนคําขยายยืดยาวขาดความกระชบั ทําให้ขาดพลังในการนําเสนอความคดิ แม้ความคิดหลักเอง สถาพร ศรีสจั จงั กย็ ังใชค้ าํ ถามบ่อยคร้ัง จนทําให้บทกวีขาดความนา่ สนใจลงไป 2. กลวิธกี ารประพนั ธก์ วีนพิ นธ์ของ สถาพร ศรีสัจจงั กลวิธีการประพันธ์ เป็นวิธีการต่าง ๆ ที่ผู้ประพันธ์นํามาใช้ในการสร้างสรรค์บทกวีเพื่อให้เกิดความ เข้าใจ ความไพเราะ ความซาบซึ้งตรงึ ใจ ตลอดจนจนิ ตนาการใหแ้ ก่ผอู้ ่าน กวนี ิพนธข์ อง สถาพร ศรสี จั จงั มีกลวิธีการประพันธ์ที่น่าสนใจการใช้คาํ ในเร่ืองภาพพจน์ ดังน้ี 2.1 การใช้คํา 2.1.1 การเลือกใช้เสียงของคํา เสียงเป็นปัจจัยสําคัญที่จะส่งผลให้บทกวีมีความไพเราะงดงาม ก่อให้เกิดความ ซาบซึ้งสะเทือนใจ แกผ่ ู้อา่ น สถาพร ศรีสจั จงั ในการแตง่ มีกลวธิ ีในการแตง่ ดังนี้ 2.1.1.1 การเล่นเสยี งสัมผัส การเล่นเสียงสัมผัส คือเสียงคล้องจองในบทกวี อันได้แก่สัมผัสบังคับและสัมผัสไม่บังคับ ซึ่งท้ัง 2 ประเภทนี้อาจเป็นสัมผัสสระหรือสัมผัสอักษรกัน จากการศึกษากวีนิพนธ์ของ สถาพร ศรีสัจจัง พบว่ามีเสียง สัมผัสสระและสัมผัสอกั ษรทโ่ี ดดเดน่ ดงั นี้ 2.1.1.1.1 สมั ผัสสระ สัมผัสสระ คอื “การวางเสียงของคําให้กลมกลืนกันด้วยเสียงสระ” (วนั เนาว์ ยเู ดน็ .2532: 92 - 93) สมั ผสั สระทีป่ รากฏในกวนี พิ นธ์ของ สถาพร ศรสี จั จงั มลี กั ษณะ ดงั ตวั อย่างต่อไปนี ้
๒๔ 1) สระเดียวเรียง 2 คาํ เรียกว่า เคยี ง ดังตัวอยา่ งตอ่ ไปนี้ และวันนี้,ทน่ี ยิ ายไดเ้ ล่าตอ่ ผลทีพ่ อได้รับกบั ผลิตผล ของการได้ทาํ งาน–การด้ินรน คือ โกมล คมี ทอง ต้องตายไป ตายไปโดยเหล่าสตั วเ์ ดรัจฉาน อาจไมใ่ ช่ชาวบา้ นตนี กร้านใหญ่ ผูร้ อคนเชด็ คราบสาบเหงอ่ื ไคล แตต่ ายเพราะคนหวั ใจไม่ใช่คน ฯ (ก่อนไปสู่ภูเขา.2518: 145) ๏ โดยผา่ นคนื วันอนั เขลา ปรงุ แต่–ดเู บา–บอดใบ้ กระทงั่ ,ความรกั –ทักทาย ธาตแุ ท้จึงได้ตืน่ ตวั แหง่ ส่งิ ชวี ติ ถ้วนท่ัว ๏ เห็นภาพสัมพนั ธอ์ นั ผดิ จุดบอดมดื มวั มากมี ฯ พิกลพิการน่ากลัว อยากถมหล่มปลักทกุ ท่ี ว่า“รกั ”–คําน,ี สวยงาม้ ฯ ๏ โดยรกั –จึงรู้เอื อ้ รกั อยากบอก–จักบอกใครดี (ทะเล ป่าภู และเพงิ พัก. 2541:124) 2) สระเดียวเรียง 3 คํา เรยี กวา่ เทยี บเคียง ที่ปรากฏในงานขอ งสถาพร ศรีสจั จัง ดงั น้ี ตอ้ งเริ่มงานปฏิวัติโดยจดั ตั้ง ใหท้ ัว่ ทั้งแว่นแคว้นแผ่นดนิ ใหญ่ (ก่อนไปสภู่ เู ขา.2518: 163)
๒๕ ๏ กป่ี ี ท่ีผ่าน–เหตุการณน์ ้ัน และกศี่ พกัน–ที่ถกู ฆา่ พอสะเตน็ ทก์ ราดเปรี้ยงสาดเสยี งมา ร่างพปี่ ้านา้ อากร็ ว่ งพรู (ณ เพงิ พักริมห้วย.2531: 37) ทาํ แตต่ าปรบิ ปริบเหมอื นเลน่ โขน เป็นกัปตนั –นายท้าย,พายเรอื โจร (ฟอ้ งนายหัว.2543: 48) 3) สองสระเรยี งกันสระละ 2 คู่ เรยี กวา่ ทบเคียง ท่ปี รากฏในงาน ของ สถาพร ศรสี ัจจงั ดงั ตวั อยา่ ง อสี านรอ้ นดอนแล้งแหง้ อยา่ งนี้ หากแผน่ ดินมันจะปห้ี รอื จะป่น (ก่อนไปสภู่ เู ขา.2518: 170) ทอวาวพราวพรายสายศรัทธา ย่ิงเนน่ิ นาน ยงิ่ เต็มฟ้าย่งิ พรา่ พราว….ฯ (ยนื ตา้ นพาย.ุ 2524: 12) ในแสงห่งิ หอ้ ยน้อยราคา ซ่ึงกลายเป็นดาราในคืนแรม๚๛ (ทะเล ป่าภู และเพิงพัก.2541: 155)
๒๖ 4) สระอื่นแทรกกลาง 1 คํา ถ้าอยู่ต้นวรรคหรือกลางวรรค เรียกว่า แทรกเคียง อยู่ปลายวรรค เรยี กว่า เทียบแอก ที่ปรากฏในงานของ สถาพร ศรีสจั จงั มีดงั น้ี คอื นกว่ายเวย่ี ฟ้าขาว ตะกายจิกดวงดาวอยู่ไหวไหว ไป่ รู้ค่าเวลานาทใี ด ลอยมาลอยไปไรว้ ารวนั เสพย์กินเพียงทิพยธ์ รรมชาติ บริสทุ ธิ์พลิ าส-สูงค่าน่ัน แม้เพยี งเศษหวั ใจก็ไป่ ปัน ให้ความไหวหวัน่ ทั้งถ้วนมวล ฯ (คอื นกวา่ ยเวิง้ ฟา้ .2529: 13) ๏ คนทช่ี าวปกั ษใ์ ตเ้ รียก“นายหวั ” จะดชี วั่ ท่หี นา้ ตาก็หาไม่ เขาจะดูดีช่ัว–ทห่ี วั ใจ วา่ แคบ– ส้ัน–กว้าง– ใหญ่ หรือใจยาว ๏ วนั คนใต้ได้เป็นใหญใ่ นสยาม จึงขอฟอ้ งขอถามใหฉ้ าว ๆ ก็ฟ้องเพียงเรื่องไมด่ –ี เร่ืองมคี าว ใช่“ทําเฒ่า”– แต่เพราะกลวั นายหวั พงั (ฟอ้ งนายหัว.2543: 142)
๒๗ 5) สระอื่นค่ันกลาง 2 คํา เรียกวา่ แทรกแอก ท่ีปรากฏในงานของ สถาพร ศรสี ัจจัง ดังน้ี จึงวนั น้ีกับคํายอมจํานน จกั ไม่มสี กั คนทพ่ี ูดกนั และสาํ หรบั โจรรา้ ยท่รี กุ ถน่ิ เลอื ดยังนองแผน่ ดนิ ฟอ้ งอยู่นั่น (ยืนต้านพายุ.2524: 21) ๏ แหละน่ัน–น้ำสายบุรยี งั รไ่ี หล ทอดตวั ยาวไกลบนทางผา่ น วาวใส – ขนุ่ ขน้ ,ไปตามกาล เปรียบปานไดด้ ัง่ –หวั ใจคน (ณ เพิงพกั รมิ หว้ ย.2531: 37) 2.1.1.1.2 สัมผสั อักษร สมั ผัสอกั ษร คือ“การใชเ้ สยี งของคาํ ในลักษณะประเภทเดยี วกัน ซ่งึ มีทัง้ คําสัมผัสอักษรท่ีพยัญชนะต้น เป็นตัวเดียวกันและพยัญชนะต้นเป็นเสียงเดียวกัน” (วันเนาว์ยูเด็น.2532: 92) สัมผัสอักษรที่ปรากฏใน กวีนิพนธ์ของ สถาพรมี ศรสี ัจจงั ดังน้ี 1) อกั ษรเดียวเรียง 2 คํา เรยี กว่า คู่ ปรากฏในงานของ สถาพร ศรสี ัจจงั ดงั ตวั อยา่ งต่อไปน้ี เศรษฐกิจเคยกดั กรอ่ น ทซ่ี ุกซ่อนก็เผ่นผลุง คา่ ข้าวบ่พยุง ไผจักช่วยผู้นาชน อรุ ะร้าวก็ไร้ผล อะหา! ชาวนาขา้ ว จะเรียกร้องผู้ใดฤๅ โงเ่ ง่าไรส้ ทิ ธิตน (กอ่ นไปสภู่ เู ขา.2518: 148)
๒๘ ว่า–หากโจรร้ายบุกเขา้ รกุ ถน่ิ แยง่ ยึดเอาแผ่นดินอย่างหนา้ ดา้ น กรีฑาทัพโหมบกุ เขา้ รกุ ราน ถา้ เป็นท่าน–ท่านจกั เปน็ เช่นดังใด? จะอ่อนขอ้ งอเข้าให้เขาขี่ เป็นขีข้ า้ โดยดี,ฤๅสวนใส่ จะอยู่เยน็ แต่เปน็ ทาส–หรือเปน็ ไท ซงึ่ อาจตอ้ งยากไร้ ตอ้ งทกุ ขท์ น (ยนื ต้านพายุ.2524: 21) 2) อักษรเดียวเรียง 3 คํา เรยี กว่า เทียบคู่ สถาพร ศรีสจั จัง แต่งไวด้ ังน้ี ๏ กู่ฟ้ากอ้ งขวัญบรรสาน ชนชาตจิ ุ่งจาร ชาวนาจกั เชดิ ชูชัย โลดแล่นล้านใน ทกุ ลกุ ทกุ ยนื ๏ สัตวป์ ล้นสะดมดินไป เชดิ นามชาวนา ประเทศเขตกเู้ อาคนื ๏ นายทนุ ขนุ เห้ียมโหดหนื จักตบี ่ร้ังบ่รา ๏ กหู่ วนฟ้าให้โหยหา วา่ คือเจา้ ชาตแิ ท้จรงิ (ก่อนไปส่ภู เู ขา.2518: 184)
๒๙ ลมฤดูเก็บเกี่ยวกาํ ลงั คลอ้ ย และลมแลง้ ดอกน้อยเริม่ แตกหนา วนั นี้เพลงสงฟางท่ีกลางนา เสยี งสาวรอ้ งปร่าปรา่ เหมอื นปวดใจ (คือนกวา่ ยเว้ิงฟา้ .2529: 16) 3) อกั ษรเดยี วเรียง 4 คาํ เรยี กว่า เทยี มรถ ปรากฏในงานของ สถาพร ศรีสจั จงั ดังตวั อย่างตอ่ ไปนี้ ทีท่ ําเนียบไอพ้ วกสมัชชา ก็ถกู ตาํ รวจหมาลุยอีกหน คยุ ใหเ้ ละ–เสือกซ่าเกดิ มาจน แล้วยังเสือกดิ้นรนเรยี กร้องระงม (ฟอ้ งนายหัว.2543: 180) เขยี วใสไม้สี–ก็ซดี สี ร่วงใบเรน้ หนลี งลน้ หลาม เรี่ยเรีย่ รายราย ระบายลาม กลน่ พน้ื เกลอื่ นตามใต้ตน้ ตัว (ทะเล ป่าภู และเพงิ พัก.2541: 85)
๓๐ 4) อักษรเดียวเรียง 5 คํา เรยี กวา่ เทยี บรถ ทป่ี รากฏในงานของสถาพร ศรสี จั จัง ดังนี้ ในท่ามกลางขบวนการงานต่อสู้ คนกล้ายืนหยัดอยทู่ ุกแห่งหน หวงั –คือล้างข่ือคาคืนคา่ คน ของคนจนท่วั แควน้ ในแผ่นดนิ (ก่อนไปสูภ่ เู ขา.2518: 196) เหนอื พื้น ทึมทบึ ทุกทางทอด คล้ายด่งั มดื บอด ชนหดหู่ (ยนื ต้านพาย.ุ 2524: 25) เรี่ยเร่ียรายรายระบายรมุ แต่งแตม้ สมุ ทมุ ขึ้นทาบทา (ณ เพงิ พกั รมิ ห้วย.2531: 47) 5) สองอักษรเรียงกันอักษรละ 2 คู่ เรียกว่า ทบคู่ ปรากฏในงานของ สถาพร ศรีสัจจัง ดังตัวอย่าง คาํ ประพันธต์ อ่ ไปน้ี ลงุ เจ้ากบั พอ่ -เพียงสองคน ทอดเทา้ ดัน้ ดน้ บนป่าภู (ณ เพิงพกั ริมห้วย.2531: 13)
๓๑ ใครบ้าง–รู้กฎการเคลื่อนคลน่ื ทีร่ กิ รกิ ตน่ื อยู่เสมอ (ทะเล ป่าภู และเพิงพกั .2541: 79) มีแตย่ นื หยดั ม่นั ไม่หวั่นไหว ชาตากรรมใดใดทกี่ ีดขวาง (ก่อนไปสภู่ ูเขา.2518: 163) 6) อกั ษรอืน่ ค่ันกลาง 1 คํา เรยี กว่า แทรกคู่ ปรากฏในงานของ สถาพร ศรีสจั จัง มีลกั ษณะดังน้ี เหนือค้งุ ฟา้ คงุ้ โค้ง-เป็นวงฟา้ ขาวเมฆฝอยจับฝา้ -เป็นกลมุ่ กลมุ่ เร่ยี เรีย่ รายรายระบายรุม แต่งแตม้ สมุ ทุมขน้ึ ทาบทา หวั คล่ืนนั้นเคล่ือนอยู่ครกึ ครกึ แรงหวนลมดกึ - ลมเดอื นห้า กําหนดท่วงทแี หง่ ลลี า ให้น้ำ ใหฟ้ า้ ให้ทะเล ฯ (ณ เพงิ พักริมหว้ ย.2531: 15) ไมม่ ธี าร,มเี พยี งทงุ่ –ล้วนทางเทา้ ดกึ กม็ ีดวงดาวและเดือนฉาย เป็นธารทางช้างเผอื กพรรณราย
๓๒ แต้มฟายฟา้ มดื อันหมน่ มัว เหนอื ทุง่ แมงทงุ่ ได้ออกท่อง กรีดร่าํ เพลงร้องไปถ้วนทัว่ (คือนกว่ายเวิ้งฟา้ .2529:า 46) 7) สัมผสั อักษรทมี่ คี ําอื่นแทรกอยู่ 2 เรยี กวา่ แทรกรถ ปรากฏ ในงานของ สถาพร ศรีสัจจัง ดังนี้ หน่ึงนั้น-ประมงชรามาก หนา้ กร้าน,มือสาก- เส้ือเก่าใส่ เบด็ ราวสาวโยนเป็นสายใย โยนพร้อมคลน่ื ใหญ่คลตี่ วั โยน หัวเดิง่ โด่งตัวขนึ้ เหมอื นตกึ พายคุ รึกครกึ ขนึ้ เผ่นโผน เกิดหุบมว้ นตวั เปน็ น้ำโตน กลนื เรอื ท้ังโกลน-เข้าสเู่ กลียว ฯ (ณ เพงิ พักรมิ ห้วย.2531: 15) ๏ เพยี งขอถามสักคําเถอะนายกฯ ท่านจะยังโกหกอกี ก่หี น วา่ “ไม่อุ้มคนรวย – ชว่ ยคนจน” รไู้ หมวา่ ผู้คน–เขาราํ คาญ! ฯ (ฟอ้ งนายหัว.2543: 87)
๓๓ จากการวิเคราะห์กลวิธีการแต่งคําประพันธ์ในเรื่องสัมผัสสระ และสัมผัสอักษรน้ี พบว่า สถาพร ศรีสัจจัง มีความเชี่ยวชาญในการใช้คําที่ส่งสัมผัสได้หลากหลายทุกรูปแบบตามกฎของการเล่นสัมผัสแต่ โบราณสมยั อีกทั้งมีการสง่ สัมผสั ไดเ้ กินกว่านั้น จนอาจกล่าวไดว้ า่ การเล่น เสยี งคาํ สัมผัสน้ัน เปน็ ความสามารถ พิเศษของ สถาพร ศรสี จั จงั ดังตัวอย่าง ๏ …ท่ีขอบฟา้ ไกลลิบ ละลวิ่ โนน้ (ยืนตา้ นพาย.ุ 2524: 12) ดาวนับล้านฉายโชนประกายจ้า ทอวาวพราวพรายสายศรัทธา ยิง่ เนน่ิ นาน ย่งิ เต็มฟ้ายง่ิ พรา่ พราว….ฯ ขา้ พเจ้า นง่ั นง่ิ อย่ทู น่ี ี่ เบ้อื งหน้านั้นมีลาํ หว้ ยใหญ่ ลมเงียบ-ป่าน่ิง,เหมือนมีนัย ยนิ เพยี งนำ้ ไหลระรนิ ริน แดดบ่ายไลส้ อ่ งเป็นลําส่อง ทาบตอ้ งเกลด็ นำ้ ไปทงั้ สิ้น รมิ หว้ ย,ไม้ดอกบาน-ผีเส้ือบิน แตม้ สโี รยกลิ่น อยู่กร่นุ กราย มาจากไหนกระแสธารา ฯ จนิ ตกวที า่ นว่า ยังจําได้ จากปุยเมฆา ณ ฟ้าพราย จากสายน้ำฟา้ -วา่ กระนั้น ฯ ขา้ พเจา้ คิดถงึ ใบไม้เนา่ ทีท่ บทบั ซับเอาเม็ดน้ำนน่ั ทตี่ ้นหว้ ยไกลโนน้ -นานวนั
นานนกั -ถมกนั มาเน่นิ นาน ๓๔ ละใบละใบ ร่วงระบดั กลางป่าดบิ ชฏั ณ ดงดา่ น (คือนกวา่ ยเว้งิ ฟา้ .2529:า 20-21) รอ้ ยตาร้อยซับ จงึ กอ่ ธาร (ณ เพิงพักรมิ หว้ ย.2531: 27) แล้วสอดสายสานเป็นลําราง ก่อเป็นรางน้ำ-เปน็ ลําห้วย แตกตัวเติบสวยแลว้ เคลือ่ นห่าง แลผถู้ มตน ณ ตน้ ทาง ก็คงรว่ งร่าง มิเคยรา ฯ ๏ แดดดา่ งแตม้ ดาดกลีบไมด้ อก ไม่มีสายหมอกเม่ือสายสาง ทางทอดเหมือนทบึ ไปทุกทาง บ้านเงียบด่งั รา้ ง–ดังไรค้ น เดอื นเก้าข้าวกล้าไมแ่ ตกเขยี ว เหลืองใบดูเซยี วไปทกุ หน ทวั่ บา้ นผา่ นเบ้ืองทกุ ตําบล ดั่งกลใดกล้ำขยำ้ กราย
๓๕ 2.1.1.2 การเลน่ เสยี งวรรณยกุ ต์ สมเกียรติ รักษ์มณี(2551: 32) อธิบายการเล่นเสียงวรรณยุกต์ว่า“การใช้คําที่มีเสียงวรรณยุกต์ ตามลําดับกัน นํามาเรียบเรียงไว้ในตําแหน่งใกล้เคียงกัน” ธเนศ เวศร์ภาดา (2549: 19) อธิบายเพิ่มเติมว่า “การเล่นเสียงสูง ๆ ตํ่า ๆ คล้ายผันเสียงวรรณยุกต์ คําที่เล่นเสียงวรรณยุกต์จะต้องมีเสียงสระและพยัญชนะ ท้ายมาตราสะกดเดียวกันและเป็นคําที่มีสัมผัสกัน การเล่นเสียงวรรณยุกต์มีจุดประสงค์เพื่อสร้างความ หลากหลายของระดบั เสยี งสงู ต่าํ ซงึ่ จะทําใหเ้ กิดไพเราะด้านเสยี งโดยตรง” การเล่นเสียงวรรณยุกต์ เป็นวิธีการเพิ่มความไพเราะอีกวิธีหนึ่ง จากการศึกษา กวีนิพนธ์ของ สถาพร ศรสี จั จงั พบการเลน่ เสียงวรรณยุกต์ทน่ี า่ สนใจ ดงั ตัวอยา่ งต่อไปนี้ กระแทกปลดแอกอาน ลา้ งข่อื คาคืนค่าคน (ก่อนไปสภู่ เู ขา.2518: 160) ข้าวหรบุ กอ รวงรว่ งลงราใบ พร้อมเพลงปืนที่ใกล้-คะคกึ โครม ฯ (คือนกวา่ ยเว้ิงฟา้ .2529:า 17) เม่อื บา่ ย–แดดเบกิ ระบายบ่าย ฟา้ เกลี่ยเมฆใกล้แตกฟองฝน (ทะเล ป่าภู และเพิงพกั .2541: 109) หรอื ธรณนี ่นี ี้…ไมม่ ีชาย มีเพียงวัวควายท่ไี ร้ควาญ (ฟอ้ งนายหัว.2543: 105)
๓๖ จากตัวอย่างข้างต้น พบว่า สถาพร ศรีสัจจัง นํากลวิธีการเล่นเสียงวรรณยุกต์มาใช้ในการประพันธ์ กวีนิพนธ์ ทำใหบ้ ทกวีมเี สยี งไพเราะสละสลวยขึ้น 2.1.2 ความหมายของคํา ความหมายเปน็ สว่ นประกอบสาํ คัญของคาํ บทกวจี ะมคี วามหมายลึกซ้ึงกนิ ใจ กวี จะต้องสรรหากลวิธี สื่อความหมายของคาํ ในบทกวีให้ชัดเจน จากการศึกษากวีนพิ นธข์ อง สถาพร ศรสี จั จงั พบว่ามกี ารใช้กลวิธีในการสรา้ ง ความหมาย ดงั นี้ 2.1.2.1 การเลน่ คํา การเล่นคํา นอกจากเป็นกลวิธีที่ก่อให้เกิดความไพเราะทางเสียงแล้ว ยังเป็นศิลปะในการเสริมความ และเน้นความให้เด่นชัด ช่วยให้บทกวีนั้น ๆ มีความหมายชดั เจนขึ้น ดังที่ สุจิตรา จงสถิตวัฒนา (2549: 22) อธิบายว่า“การนําคําที่มีเสียงหรือรูปพ้องกัน หรือใกล้เคียงกันมาเล่นในเชิงเสียงและความหมาย เพื่อสร้างให้ เกิดความเสนาะไพเราะ ความลกึ ซึ้งของความหมาย และความเปรียบทก่ี ระทบอารมณผ์ ู้อ่าน” การเลน่ คาํ ทีป่ รากฏในกวนี ิพนธ์ของ สถาพร ศรีสจั จัง ส่วนใหญเ่ ป็นการเลน่ คําพอ้ ง คือ“คําที่มีรูปหรือ เสียงเหมอื นกนั แต่ความหมายต่างกันหรอื ตา่ งกนั ” (กําชัย ทองหลอ่ . 2543: 334) การเล่นคําพอ้ งรปู พ้องเสียง คําพ้องรูปพ้องเสียง คือ“คําที่ออกเสียงเหมือนกันและเขียนเหมือนกัน แต่ความหมายต่างกัน” (นววรรณ พันธเุ มธา.2549: 272) เช่น นำ้ แรงแหง่ ชาวนา คือมหาชลาสนิ ธ์ุ ไหลเชี่ยวเป็นเกลยี วรนิ พร้อมชะลา้ งกาลีลาญ ………………………………………………………….. ล้านแสนมาประสาน อุดมการณ์ร่วมยึดถือ คมเคยี วกจ็ ะคือ คมกคู้ า่ สงั คมคน (กอ่ นไปสภู่ เู ขา.2518: 183)
๓๗ จึงด่งั ทพุ ภกิ ภาพเขญ็ จะเหลียวไหนทุกขก์ ็เห็นอยู่ทุกหน้า ลมรกั ลอ่ งแมจ้ ะโผยโปรยผา่ นมา แต่ก็โปรยปรา่ ปร่าเพราะปวดใจ ฯ (คือนกว่ายเว้ิงฟา้ .2529: 17) ๏ เลา่ วา่ - สบิ ปี ประมาณผา่ น นบั ร้อยศพทหารหาญพลชี พี ให้ ว่า- ทุกวกทกุ สะพานทกุ พับไป ล้วนเคยมีเลือดไหลละโลมทา (ณ เพิงพกั รมิ หว้ ย.2531: 32) และทะเลยังคงคลค่ี ลืน่ เคลื่อน โยนเมด็ น้ำด่างเป้ือนใหแ้ ดดเผา ลมบา่ ยระบายบา่ ยมาบางเบา และแดดบ่ายแตง่ เงาใหห้ าดงาม (ทะเล ป่าภู และเพงิ พัก.2541: 75)
๓๘ 2.1.2.2 การซ้ําคาํ สุจิตรา จงสถิตย์วัฒนา(2549: 61) อธิบายว่า การซ้ำคํา ซ้ำความ“ถือเป็นการกล่าวซ้ำโดยใช้ คําเดียวกันหรือหลากคํากัน หรือใช้คําที่มีความหมายกลมกลืนสอดคล้องกัน จึงเป็นการสร้างความชัดเจน หนักแน่นของสาร และอารมณ์ที่กวีต้องการจะสื่อ”ธเนศ เวศร์ภาดา (2549: 38) อธิบายสอดคล้องกับ สุจิตรา จงสถิตย์วัฒนา“การใช้คําเดียวกันกล่าวซ้ำหลายแห่งในบทประพันธ์หนึ่งบท เพื่อย้ำความให้ หนกั แนน่ ข้นึ การซ้ำคาํ ในแง่วรรณศิลป์มักจะซํ้าคาํ ท่สี ําคัญ ซง่ึ จะช่วยสร้างซ้ำ ความชดั เจนหนักแน่นของสารที่ กวตี อ้ งการส่ือ” ส่วนกุหลาบ มัลลิกะมาส (2517: 172) เรยี ก การซำ้ คําวา่ “การกล่าวซาํ้ ” อธบิ ายเพ่ิมเติมว่า “ได้ผลเป็น 2 ประการ คือ ได้ผลในการเล่นคําให้มีเสียงไพเราะ และยังได้ผลในด้านการเน้น หรือย้ำความนั้น ใหช้ ัดเจนตระหนกั ย่งิ ขึ้นเป็นการสร้างเอกภาพเนน้ ความน้ัน” การซ้ำคําเป็นกลวิธีที่ทําให้บทกวีมีความงดงามทั้งเสียงและความหมาย ปรากฏในกวีนิพนธ์ของ สถาพร ศรีสจั จัง เป็นจํานวนมาก สามารถจําแนกได้ดังต่อไปนี ้ 2.1.2.2.1 การซาํ้ คาํ ตน้ วรรค สถาพร ศรสี ัจจงั มีการซ้ำคาํ ในกวีนิพนธ์ ดังน้ี - การซำ้ คํา 1 คําตน้ วรรค ดงั น้ี วันเพอื่ เสรีภาพ และวันอาบความโหยไห้ วันฆ่าประชาไทย ด้วยมือทาสผ้ขู ลาด…บา่ ! วันดวงตะวนั แดง ไดส้ าดแสงเสียจนสา วันธงได้โลมทา ด้วยเลอื ดทาสผู้ทุกขท์ น วันไทไดถ้ กู เทิด จนบรรเจดิ เลอหาวหน วนั คนไดค้ นื คน มาสรา้ งค่าสังคมคนื (กอ่ นไปส่ภู ูเขา.2518: 133-134) ๏ เก่งเรอื่ งปล้นเงินพระ-เรอ่ื งก้หู นี้ เก่งทงั้ เร่ืองทาสี-ดีแตพ่ ่น เกง่ เหลอื เกนิ เรอื่ งกาํ ราบ-ปราบคนจน และเก่งสดุ - คอื หนา้ ทนไรเ้ ทียมทาน!ฯ (ฟอ้ งนายหวั . 2543: 182)
๓๙ - การซำ้ คํา 2 คาํ ต้นวรรคดังน้ี เหมือนด่ังใบเรอื อนั รรู้ บั ลมล่องเว้ิงนำ้ เม่อื สายลมประจาํ ฤดหู วนยอ้ นมาถึง. เหมือนด่ังผีเส้ืออันรเู้ สาะหาแอง่ นำ้ หวานในเกสรไม้ดอก. เหมอื นดั่งเด็กน้อยซึ่งเรียนรู้ไดถ้ งึ ความหอมหวานแหง่ น้ำนมมารดา เหมือนดั่งแพะซึ่งเรยี นรู้วา่ หญ้าไมยราบเป็่นอาหารตน. เหมอื นด่ังไฟปา่ อันรจู้ ักลกุ โหมลามภูในเดือนฤดูใบเต็งรังร่วงหลน่ . และ เหมอื นดั่งรุ้งกนิ น้ำอนั โอบคลอฟา้ หลงั ห่าฝนหนักซาสรา่ ง. เหมือนด่ังน้นั , การเกดิ ข้นึ แห่งรักของเธอ,เหมือนด่งั นัน้ . (ทว่ี า่ รกั –รักน้นั 2529: 8) ๏ พิณปา่ อนั เกิดจากพงปา่ เกดิ เมื่อน้ําเริงร่าพลกิ รา่ งไหล เกดิ เมื่อมา่ นใบไม้สยายใบ เกิดเมอื่ หร่ิงเรไรกรดี ปีกราย (ทะเล ป่าภู และเพิงพกั .2541: 138) - การซำ้ คาํ 3 คาํ ต้นวรรคดังน้ี เธอถามว่า ใครกันทแ่ี ตม้ สีสดงามหลากแบบใหแ้ ก่ปีกผเี สื้อ. เธอถามว่า เมด็ นำ้ ค้างรู้พรมให้ท่งุ หญ้าในคนื คา่ํ เพราะเหตุใด. เธอถามว่า มอื ใดกระพือลมแหง่ ฤดูร้อนใหว้ ่าวสสี วยในมือเด็กนอ้ ยโผพุ่ง ข้ึนสู่ทอ้ งฟ้า. เธอถามวา่ ใครคอื ผจู้ ัดวางเมด็ ดาวเปน็ ตาฟ้าในคืนแรมจดั ท่ีพร่างวิบ พรายพราย.
๔๐ เธอถามวา่ ใครหรอื ทีพ่ รมกลน่ิ อนั ฟุ้งกระจายใหเ้ กสรไม้ดอก และมอื ใด ทีส่ ามารถแต้มเฉดสี อนั มอิ าจลอกเลียนได้บนรว้ิ กลบี ใหป้ รากฏ. เป็นดังน้ัน, ความรู้สึกไดแ้ หง่ รักของเธอ-เป็นดงั นั้น. (ทว่ี า่ รัก–รกั น้ัน. 2529: 7) - การซำ้ คาํ 4 คาํ ต้นวรรค ดงั น้ี สองเสยี งน้ันแทรกอยู่กลาง แกว้ หอู นั บาง จนยากจะแยกเสียงยิน สองเสยี งนนั้ แทรกสจู่ นิ - ตนาการวญิ - ญาณดั่งจะลอ่ งหลุดลอย ฯ (คือนกวา่ ยเวิ้งฟา้ .2529: 49) ๏ อา้ สู–ผู้สรา้ งรัฐ เข็ญเคอื งขดั ไฉนหอื ร่ําร้องอยฮู่ อื ฮือ บม่ เี สยี งจากปากตน อ้าสู–ผ้สู ร้างชาติ น่าประหลาดขาดเหตุผล คณุ ค่าประชาชน มาบัดนส้ี ิกลบั กลาย (ก่อนไปสภู่ เู ขา.2518: 146) - การซำ้ คาํ 5 คํ าต้นวรรค ดังนี้ ถ้าลืมตาเตม็ ตากต็ ้องเห็น วา่ เขมรขกุ เขญ็ อย่ทู กุ ขั้น ถ้าลืมตาเต็มตาต้องเหน็ กนั ว่า– โจรรา้ ยตัวน้ัน ชอ่ื อะไร? (ยนื ต้านพายุ.2524: 22)
๔๑ 2.1.2.2.2 การซาํ้ ขอ้ ความ การซำ้ ขอ้ ความ ปรากฏในกวนี ิพนธข์ อง สถาพร ศรสี จั จัง ดังน้ี สงครามประชาชน ดจุ ดาลดลชนถวิล ล้างพาลใหพ้ ังภนิ ท์ พนิ าศพา่ ยไรต้ อซัง ……………………………………………… สงครามประชาชน คือผลิตผลมวลชนหาญ ชนชาติจึง่ จกั จาร จารกึ ไว้ในแดนดิน ฯ (ก่อนไปสู่ภเู ขา.2518: 155) อนั เกยี่ วกบั รกั , น่าจะได้ตรวจสอบถึงเน้ือในแห่งถอ้ ยคําเหล่าน้ี, แรงดดู ดึง การถือครอง การดาํ รงอยู่ อสิ รภาพ การให้ การรบั เอา ความไมเ่ ปน็ การอยู่ร่วม การผสานและแบกรบั ตัวลึกลบั บว่ งแรว้ และผู้ กาํ หนดการทาํ งานของต่อมน้ำตา. อันเกยี่ วกับรกั , น่าจะไดเ้ รยี นรถู้ ึงสิ่งเหลา่ น้ี, ความกล้าหาญและความขลาดกลวั การยอมจํานนและการปลดปลอ่ ย ความแคบและความกวา้ ง, และเหนืออน่ื ใด-ตอ้ งรจู้ าํ แนกชดั ถึงปรากฏการณ์และธาตุแท้. (ทว่ี ่ารัก-รักน้ัน.2529: 75)
๏ พ่อนัง่ ดูดาวเมอ่ื ดืน่ ดกึ ๔๒ พอ่ หวนยอ้ นนกึ ถึงคนื หนาว คร้งั กระโนน้ -นานแลว้ , ตาํ นานดาว (ณ เพงิ พกั ริมหว้ ย.2531: 13-16) ก่อสานเร่ืองราวข้ึนมา ฯ ……………………………………. ๏ พ่อนง่ั ดูดาวเมื่อดื่นดกึ ใครบ้างหนอนกึ ถึงคืนหนาว ใครหนอ - จักสานตํานานดาว พอ่ หวงั ,เพยี งเจา้ - ไดร้ ้จู าํ ๚๛ ๏ พวกโจรไม่เกรงใจแลว้ นายหวั มนั ก่อกรรมทาํ ชัว่ ทกุ แห่งหน มันเย้ย-มนั หยามหนา้ ,มนั ฆ่าคน ปืนสงคราม- ปืนกล,มันขนมา …………………………………. ๏ พวกโจรไมเ่ กรงใจแลว้ นายหวั มันฆ่าคน-มนั ทําช่ัวมนั หยามหยัน แลว้ นายหวั ยังอยู่ไปทาํ ไมกนั หรือ“โจรนาย” ยัง“ฟนั ” กันไมพ่ อ!ฯ (ฟอ้ งนายหวั .2543: 163-164) 2.1.3 การสรรคาํ การสรรคํา เป็นกลวิธีการเลือกสรรใช้ถ้อยคํา ในงานประพันธ์ของกวี เพื่อทําให้บทกวีมีความหมายท่ี ลึกซึ้งสะเทือนอารมณ์ และมีเสียงไพเราะงดงาม อันก่อให้เกิดความซาบซึ้งสะเทือนใจแก่ผู้อ่าน ดังท่ี ธเนศ เวศรภ์ าดา (2549: 24) อธิบายวา่ “การเลือกใช้ถ้อยคําให้เหมาะแก่เนื้อความ บรบิ ท ตวั ละคร เชน่ เลือกสรร คาํ ท่ีมีศักดสิ์ ูง สรา้ งลลี าทง่ี ามตระการ เลอื กสรรคาํ ท่ีเรยี บบงา่ ยแตล่ ึกซึง้ ”
๔๓ ในการวิเคราะห์กวีนิพนธ์ของ สถาพร ศรีสัจจัง ปรากฏว่ามีการสรรคํามาใช้ที่น่าสนใจ ดังตัวอย่าง ตอ่ ไปน้ี 2.1.3.1 การใชค้ าํ เหมาะสมกับเหตกุ ารณ์ และตวั ละคร สถาพร ศรีสจั จงั เลอื กใชค้ าํ ทเี่ หมาะสมกับเหตุการณ์ทําให้เกดิ และตัวละคร อารมณ์สะเทอื นใจ ดังน้ี ๏ เราแพเ้ ขาแล้วแก้วเอ๋ย อยา่ เผยความแพ้แกเ่ ขา เจบ็ ปวดทกุ ขท์ ้นทนเอา อยู่กับหมู่เราร่าเรงิ อมทกุ ข์อมโรคโศกไว้ อย่าใหเ้ ขาปรงุ ยุ่งเหยงิ สร้างไฟอย่าใหม้ ีเพลงิ รู้เชิงเก็บจํากับใจ พรุง่ นีฟ้ า้ ทองต้องกวา้ ง หนทางเปล่ียนผนั วันใหม่ ธรรมชาตโิ หดรา้ ยกระไร กไ็ ม่โหดรา้ ยกับเรา แก้วเจ็บแกว้ ปวดรวดร้าว แก้วเศร้าแกว้ สรอ้ ยหงอยเหงา แก้วทุกข์แก้วท้นทนเอา ใครเล่าจะร้เู รอ่ื งราว เขากดเขาขพ่ี ี่น้อง แกว้ ตอ้ งโศกเศร้าร้าวฉาน เราจนใครนะประทาน จาํ ไวน้ านนานอยา่ เลอื น วนั ท่ีแกว้ พร้อมยอ่ มถึง วนั ซึ่งสดใสใดเหมอื น อดีตทุกข์หนักจักเตือน ลา้ งเถือ่ นเหล่าพนั ธุ์กฎมพี จาํ จาํ นะแก้วใหม้ ัน่ พวกมนั ท้ังผองน้องพี่ ขูดรดี กดเรานานปี พรุ่งน้ีลา้ งเผ่าเหล่ามนั – ฯ (ก่อนไปสภู่ เู ขา.2518: 152) ๏ พอ่ นง่ั ดูดาวเมอื่ ด่ืนดกึ พอ่ หวนยอ้ นนกึ ถงึ คนื หนาว ครงั้ กระโน้น-นานแล้ว, ตาํ นานดาว กอ่ สานเรื่องราวข้ึนมา ฯ ๏ สันดอยภูเหนือเมื่อครัง้ น้ัน
๔๔ หวนถงึ คนื วนั ยังคงคา่ ภาพลงุ เจา้ -เพ่อื นพอ่ ,ยังแจ่มตา ยงั แต้มตดิ ทาในหัวใจ ลงุ เจ้าดงั่ ดาวคืนเดือนดับ ทอแสงวับวับให้ฟ้าใส สอ่ งพน้ื ทมึ ทบึ สู่ทางไท สาดชี้ชอ่ งชยั -ประชาชน นานนัก, นานเนิน่ -เมอ่ื ครงั้ น้นั ชว่ งแหง่ คนื วนั แผน่ ดินหมน่ ลุงเจ้ากบั พ่อ-เพยี งสองคน ทอดเทา้ ดน้ั ดน้ บนป่าภูเขา เป็นฤดเู ต็งรงั ปลิดใบร่วง ลมเหนือท้งิ ชว่ งอยหู่ วิวหวู่ ฟา้ ดาํ ,เดือนดับ-ไม่นา่ ดู พอ่ กบั ลงุ เจา้ อยู่ที่หนา้ ปาง ลงุ เจ้ากอ่ ไฟไลล่ มหนาว พ่อน่งั ด่มื เหล้าอยู่ขา้ งข้าง ไมเ้ กี๊ยะเชื้อไฟท่สี มุ วาง โชนแสงสว่างอยู่วาววาว เหมยหนาหมอกหนกั ทภ่ี เู หนือ บาดรว้ิ ผวิ เน้ือจนเหน็บหนาว หัวดึกคํา่ น้ี-ไม่มดี าว ทวั่ แดนแผน่ ดา้ วจึงดา่ งดาํ บัดดลเกิดดาวที่ราวฟ้า ดวงเดียว- ทาบตา, ทาบฟา้ คํ่า
ลงุ เจ้ามองเพ่งแลว้ พมึ พํา ๔๕ ขณะพ่องมึ งําทอ่ งบน่ เพลง เป็นเพลงชาวเขาเผา่ ยางขาว (ณ เพงิ พกั ริมห้วย.2531: 13-14) พ่อร้องเศรา้ เศร้าไมเ่ รา้ เรง่ ลงุ วา่ พอ่ เสียงกร้านยานโตงเตง เลยรอ้ งเสียเองใหพ้ ่อฟัง 2.1.3.2 การใช้คาํ ให้จินตภาพ ภาพในจิต หรือจินตภาพ (Image) “หมายถึง ภาพที่ปรากฏในจินตนาการ ตามที่เคยประสบผ่าน พบมา ภาพในจิต หรือจินตภาพน้ี เป็นภาพที่เห็นด้วยใจคิด ด้วยความรู้สึก (mental pictures) ในทาง วรรณคดีถือว่า วิธีสร้างภาพในจิตหรือสร้างจินตภาพ มีคุณค่าอย่างย่ิง ในด้านสร้างความเข้าใจที่ลึกซึ้ง และ ด้านความรสู้ กึ รว่ มในวรรณคดนี น้ั ๆ ” (กหุ ลาบ มัลลิกะมาส.2548: 125) ในการวิเคราะห์กวีนิพนธ์ ผู้วิจัยพบว่า สถาพร ศรีสัจจัง มีการใช้คําที่ก่อให้เกิด จินตภาพในการสื่อ ความหมายเพื่อความรสู้ ึก และความเขา้ ใจ ดงั น้ี แลว้ แดดสายจงึ สาดเป็นลาํ แสง ทอทาบส่องแทงม่านไทรหนา กาํ แพงอฐิ -แดดแสด เม่อื สาดทา วิบประกายพรายพรา่ ก็เลือ่ มพลนั ลมหอบฝุ่นก็พดั มาแผ่วแผ่ว ปะทะแนวกาํ แพงวิหารนน่ั และเงนิ ยวงท่ีพร่าจากตาวัน กก็ รองกลน่ั ลาํ แสงแห่งผงทราย ฯ (คอื นกวา่ ยเวิ้งฟา้ .2529: 47)
๔๖ ๏ หมอกขาวสาวสายอยู่สยุ สุย ควนั ไฟผุยผยุ ขึน้ ขาวขาว ตีนฟา้ คล่เี ริกเบิกเร่ืองราว เบิกมา่ นแดดเช้าออกกระจาย วบั วาวราวหญ้า–ผา้ ออ้ มผี พบั ผืนเร้นหนเี มอ่ื สางสาย ขา้ วไร่เหยียดรา่ งข้ึนเรยี งราย และไผ่ป่าเริม่ ร่ายระบัดใบ คืนคา่ํ นํามา–พายุฝน เอ่อทน้ ห้วยน้ำถ่งั ลามไหล กระชากกอข่าดงตรงคุ้งไป และขดั คราบชะไคลตลงิ่ ลง นำ้ ใสเคยสวย–กลับขุน่ สี เคยสะอาด–กลบั มีแตเ่ ศษผง คนในเพงิ น้อยที่ริมดง ยงั คงพินจิ ดูอยูเ่ ดยี วดาย ฯ (ทะเล ป่าภู และเพิงพกั .2541: 126) 2.1.3.3 การใช้คําภาษาถิ่น คําภาษาถิ่น“อาจนาํ มาใช้ในกรณที ่ตี ้องการความสมจริงและใกล้ ชดิ กับสภาพ ความเป็นจรงิ ตาม สถานการณ์ในเร่อื งมากข้ึน”(กหุ ลาบ มลั ลกิ ะมาส.2548: 124) ดงั ตัวอย่าง ๏ ยามมศี ักดสิ งู เด่นเป็นหวั หน้า คนปักษ์ใตเ้ ขาว่า“ต้องรู้หวัน” ใช่คดิ แบบมั่ว ๆ –ชั่งหวั มัน เลน่ ล้ินไปวนั ๆ พอพ้นภยั
๔๗ ๏ คนท่ีชาวปักษ์ใตเ้ รียก“นายหัว” จะดีช่วั ทห่ี นา้ ตากห็ าไม่ เขาจะดดู ีชวั่ –ทีห่ ัวใจ ว่าแคบ– สั้น–กวา้ ง– ใหญ่ หรอื ใจยาว ๏ วนั คนใต้ได้เป็นใหญ่ในสยาม จึงขอฟ้องขอถามให้ฉาว ๆ ก็ฟ้องเพียงเรือ่ งไม่ดี–มคี าว ใช่“ทาํ เฒ่า”– แต่เพราะกลวั นายหวั พัง ……………………………………………… ๏ ปกตนิ ายหวั มักกลวั พลาด ครง้ั นี้เหมือนประมาท–เหมือน“หลาเหิน” บอกพีห่ น่ันทเี ถอะ–เลอะเหลือเกนิ เหลิงอํานาจจนเพลิน–ไม่รู้พอ ๏ รู้กฎหมาย–แต่ไร้มโนธรรม ระวงั เถอะ– จะคะมําเพราะหัวหมอ จะเป็นหัวแม่ตนี หรอื หวั ตอ ถ้าบ้ายอ– ก็ฉิบหายไดเ้ หมือนกัน ฯ (ฟ้องนายหัว.2543: 141-143) จากบทกวี มีการใช้ภาษาถิ่นใต้ คือคําว่า“ต้องรู้หวัน”หมายถึง รู้ดีรู้ชั่ว รู้ว่า อะไรควรทํา อะไรไม่ ควรทํา“นายหัว” หมายถึง คนท่ีเป็นผู้นํา หรือหัวหน้า“ทําเฒ่า” หมายถึง การเข้าไปยุ่งวุ่นวายเรื่องของผู้อื่น ท้งั ที่ไม่ใชธ่ ุระของตน และคาํ วา่ “หลาเหนิ ”หมายถึง การไมร่ ะมดั ระวงั ตน ๏ ปอ.ปอ.ชอ. เขายืนยัน-ฟันให้เห็น หรือนายหวั อยากร่วมเหม็นอยใู่ ชไ่ หม
๔๘ ถา้ ยงั รักคนเหม็น ๆ ก็ไม่เป็นไร แตร่ ะวงั คนไทย จะทูด-นะเออ! ฯ (ฟ้องนายหวั . 2543: 157) ภาษาถนิ่ ใต้ คําวา่ “ทดู ” หมายถึงขบั ไล่ ๏ คนเขาฟ้องมานะนายยกฯ ว่าตอนนีฝ้ นตกข้ีหมูไหล ถา้ นายหวั ยงั ใจเยน็ ไม่เหน็ ภยั ก็เตรียมดับพายไดแ้ ล้วเอย ฯ (ฟ้องนายหัว.2543: 160) ภาษาถน่ิ ใต้ คาํ วา่ “ดับพาย” หมายถึง เตรียมตัวถอยหนี หรอื เตรียมตัวถูกขับไล่ 2.2 การใช้ภาพพจน์ ภาพพจน์(Figure of speech) “เป็นวิธีใช้ภาษา ซึ่งคําหรือสํานวนที่ใช้มีความหมายไม่ตรงตาม ตัวหนังสือ การใช้ถ้อยคําในลักษณะดังกล่าว ทําให้ผู้อ่านเกิดจินตภาพ หรืออารมณ์บางอยากซึ่งยากแก่การ บรรยายด้วยการใช้ภาษาอย่างตรงไปตรงมา”(ปรีชา ช้างขวัญยืน.2525: 215) และนอกจากนี้การใช้ ภาพพจน์มิได้มีแต่เฉพาะบทร้อยกรอง ในร้อยแก้วนักเขียนก็นิยมใช้วิธีการสรภาพพจน์เช่นเดียวกัน การใช้ ภาพพจน์ในการแต่งทําให้ผู้อ่านได้ร่วมเข้าใจคิด และรู้สึกอย่างอารมณ์ยิ่งขึ้น ตามที่ผู้แต่งตั้งใจเสนอ (กหุ ลาบ มลั ลิกะมาส.2548: 127) ในการศึกษางานกวีนพิ นธข์ อง สถาพร ศรีสัจจงั ผ้วู ิจยั พบว่า มกี ารใชภ้ าพพจนด์ งั ตอ่ ไปนี้ 2.2.1 (อุปมา Simile) อุปมา คือ“ความเปรียบซึ่งเกิดจากการบอกความเหมือนกันของสิ่งสองสิ่งด้วยคําที่แสดงการ เปรียบเทียบ เช่น ราวกับ เหมือน ประหนึ่ง ดุจ เพื่อให้เข้าใจสิง่ ทีอ่ ธิบายดียิ่งข้ึน” (ปรีชาช้างขวัญยืน. 2525: 216) เช่น
Search