๙๘ คำอธิบำยรำยวชิ ำศลิ ปะ(ดนตรี นำฏศิลป์) รหสั วชิ ำ ศ ๓๓๑๐๑ ดนตรี-นำฏศลิ ป์ กลุ่มสำระกำรเรยี นรู้ศลิ ปะ ชน้ั มธั ยมศกึ ษำปที ่ี ๖ เวลำ ๒๐ ชั่วโมง จำนวน ๐.๕ หนว่ ยกติ …………………………………………………………………………………………………………………………………………………....... ศึกษาเคร่ืองหมายและสญั ลักษณท์ างดนตรีไทย สากลและดนตรพี ้ืนบ้านสรา้ งเกณฑ์การประเมนิ คุณภาพ งานดนตรแี ละประโยชน์ของดนตรไี ทย สากลและดนตรีพื้นบา้ น ในการดาเนินชวี ติ ประจาวัน การสร้างสรรค์ ผลงานทางดนตรี ความเชอ่ื และคา่ นิยมในผลงานทางดนตรีในแต่ละวัฒนธรรม เปรยี บเทียบการนาการแสดงไปใช้ ในโอกาสตา่ ง ๆ ใชค้ วามคิดริเร่มิ ในการแสดงนาฏศลิ ป์ วเิ คราะหท์ ่าทาง และการเคล่อื นไหวของผ้คู นใน ชวี ติ ประจาวนั และนามาประยกุ ต์ใช้ในการแสดง โดยการถา่ ยทอดสนุ ทรยี ภาพของการขบั ร้องและการบรรเลงดนตรีไทยและสากลในแต่ละวัฒนธรรมอยา่ ง มุง่ มั่นดว้ ยความตั้งใจ การประดษิ ฐท์ า่ ราท่ีเปน็ คู่และหมู่ การสร้างสรรคผ์ ลงานการจดั การแสดง เพ่ือใหเ้ กิดการใฝ่รใู้ ฝ่เรียน อย่างเหน็ คณุ ค่า สร้างสรรคใ์ นรปู แบบตา่ ง ๆ รู้จกั บคุ คลสาคัญในวงการละคร ของประเทศไทยในยคุ สมยั ต่าง ๆ และนาความรู้ไปใช้ในชวี ติ ประจาวนั ตวั ชว้ี ดั ศ ๒.๑ ม.๔-๖/๓, ม.๔-๖/๔, ม.๔-๖/๕, ม.๔-๖/๖ , ม.๔-๖/๘ ศ ๒.๒ ม.๔-๖/๔, ม.๔-๖/๕ ศ ๓.๑ ม.๔-๖/๓, ม.๔-๖/๔, ม.๔-๖/๘ ศ ๓.๒ ม.๔-๖/๑, ม.๔-๖/๔ รวมท้ังหมด ๑๒ ตัวช้ีวัด
๙๙ โครงสร้ำงรำยวิชำ รำยวชิ ำ ศลิ ปะ(ดนตรี นำฏศลิ ป)์ รหสั วิชำ ศ ๓๓๑๐๑ กลุ่มสำระกำรเรียนรศู้ ลิ ปะ ระดบั ช้นั มัธยมศกึ ษำปีท่ี ๖ เวลำ ๒๐ ชว่ั โมง จำนวน ๐.๕ หนว่ ยกติ สัดส่วนคะแนน ระหวำ่ งเรียน : ปลำยภำคเรยี น ๘๐ : ๒๐ ท่ี ช่อื หนว่ ยการเรยี นรู้ มาตรฐาน/ตวั ช้วี ัด สาระสาคญั /ความคิดรวบยอด เวลา คะแนน ๑ การสรา้ งสรรค์ผลงาน ศ ๒.๑ ม.๔-๖/๓ การสรา้ งสรรค์งานดนตรเี กดิ ขึ้นจาก ๙ ๓๐ ดนตรแี ละบทบาทดนตรี ศ ๒.๑ ม.๔-๖/๔ ปัจจยั หลายด้านทีท่ าใหเ้ กิดการ ในสังคม ศ ๒.๑ ม.๔-๖/๕ พฒั นาขน้ึ ทาใหม้ นษุ ยเ์ กดิ ความ ศ ๒.๑ ม.๔-๖/๖ ผอ่ นคลาย สนกุ สนานเม่ือไดร้ ับฟัง ศ ๒.๑ ม.๔-๖/๘ หรอื ชมผลงานดนตรี การศึกษาทา ศ ๒.๒ ม.๔-๖/๔ ความเขา้ ใจเรื่องเครือ่ งหมายและ ศ ๒.๒ ม.๔-๖/๕ สญั ลกั ษณท์ ่ีใช้ในดนตรี ทาให้เขา้ ใจ จังหวะและทานองของบทเพลง สามารถขับร้องและบรรเลงได้ ถกู ต้องตามตัวโนต้ จังหวะ และ ทานอง ซ่งึ ดนตรีมบี ทบาทต่อสงั คม สะท้อน ให้เหน็ ถึงชีวิต วัฒนธรรม ความ เจรญิ กา้ วหน้าของสงั คม ทาใหส้ ังคม เกิดความสงบสุข คนในสังคมมสี ่ิง ชว่ ยทาให้เกดิ ความผ่อนคลายและ การอนรุ ักษส์ ง่ เสรมิ ดนตรีไทยเป็น ส่งิ สาคญั ท่ีทาใหด้ นตรีไทยมีความ เจริญกา้ วหนา้ มีการพัฒนาและคงอยสู่ ืบไปยัง เยาวชนร่นุ หลงั ๒ การแสดงนาฏศลิ ป์ไทย ศ ๓.๑ ม.๔-๖/๓ นาฏศิลปไ์ ทย มีรูปแบบการแสดง ๙ ๓๐ ศ ๓.๑ ม.๔-๖/๔ ต่าง ๆทส่ี วยงาม มีวิวัฒนาการ ใน ศ ๓.๑ ม.๔-๖/๘ การแสดงนาฏศิลป์เปน็ คู่และหมู่ ศ ๓.๒ ม.๔-๖/๑ เปน็ การแสดงที่มีกระบวนทา่ ราทีม่ ี ศ ๓.๒ ม.๔-๖/๔ ความสวยงาม และต้องมีความ พร้อมเพรยี งจะทาให้การแสดงมี ความสวยงาม การประดิษฐท์ ่ารา รวมทง้ั การบรหิ ารจัดการแสดงนน้ั นาความรคู้ วามเขา้ ใจประสบการณ์ ทางนาฏศลิ ปม์ าเช่ือมโยงกับชีวติ และสงั คม การสรา้ งสรรค์ผลงาน จะทาใหผ้ ู้เรยี นมีความสามารถใน การแสดงออก มสี ่วนรว่ มในการทา
๑๐๐ กิจกรรมและเป็นการอนรุ กั ษ์การ ๒๐ แสดงนาฏศิลป์และภมู ปิ ัญญา ๒๐ ทอ้ งถิ่นไทยให้คงอย่สู บื ไปดว้ ย ๑๐๐ ระหวา่ งภาค/ปี ๑ ปลายภาค/ปี ๑ รวมตลอดปี ๒๐
๑๐๑ คำอธิบำยรำยวชิ ำศลิ ปะ(ทศั นศิลป)์ รหสั วชิ ำ ศ ๓๓๑๐๒ ทัศนศลิ ป์ กลุ่มสำระกำรเรียนรูศ้ ลิ ปะ ช้นั มธั ยมศึกษำปีที่ ๖ เวลำ ๒๐ ชั่วโมง จำนวน ๐.๕ หน่วยกิต ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ศึกษา นาหลกั การทางการแสดงมาสร้างสรรคผ์ ลงานในรูปแบบต่างๆ สามารถประเมินคณุ ภาพการแสดง ละครโดยใชอ้ งคป์ ระกอบการแสดงเหน็ คณุ คา่ ในการแสดงละครไทยและสากล ภมู ิใจและเหน็ คุณค่าของการ สร้างสรรค์ผลงาน วิเคราะหแ์ ละเปรียบเทียบงานทศั นศิลปใ์ นรปู แบบตะวันตก และตะวนั ออก โดยระบงุ านทศั นศลิ ป์ของศลิ ปนิ ท่มี ชี ่อื เสยี ง และบรรยายผลตอบรับของสังคม อภปิ รายเก่ียวกับอิทธพิ ล ของวัฒนธรรมในท้องถ่นิ และวัฒนธรรมอน่ื ๆทีม่ ีผลตอ่ งานทัศนศิลป์ในสงั คม ใช้กระบวนการคิดวเิ คราะห์ ประเมนิ และวจิ ารณ์งานทัศนศลิ ป์โดยใชท้ ฤษฎกี ารวจิ ารณ์ศิลปะ บรรยายถึงการเปล่ียนแปลงของงานทัศนศลิ ป์ของไทยใน แตล่ ะยุคสมัยโดยเนน้ ถงึ แนวคิดและเนอื้ หาของงาน ต่อยอดแนวคดิ ของงานทัศนศลิ ป์ท้องถ่ิน พวงมโหตร สไบมอญ เคร่อื งป้นั ดนิ เผา และนาเสนอวิธีการในการเผยแพร่วฒั นธรรมทอ้ งถ่ินใหเ้ ป็นทรี่ ้จู กั เพื่อให้เหน็ คณุ ค่าและช่ืนชมในความงามทางศลิ ปวัฒนธรรมไทย ภูมปิ ัญญาไทย ภูมิปญั ญาท้องถ่นิ และ สากล สามารถนาไปใชใ้ นชวี ติ ประจาวนั อยู่อยา่ งพอเพียง ตัวช้ีวัด ศ ๑.๑ ม.๔-๖/๒, ม.๔-๖/๓, ม.๔-๖/๔, ม.๔-๖/๕ , ม.๔-๖/๗ ศ ๑.๒ ม.๔-๖/๑, ม.๔-๖/๓ รวมท้ังหมด ๗ ตัวชี้วัด
๑๐๒ รำยวชิ ำ ศิลปะ(ทัศนศลิ ป์) โครงสรำ้ งรำยวิชำ กลุ่มสำระกำรเรยี นรู้ศลิ ปะ ระดบั ชั้นมธั ยมศกึ ษำปีที่ ๖ รหสั วิชำ ศ ๓๓๑๐๒ จำนวน ๐.๕ หนว่ ยกิต สัดส่วนคะแนน เวลำ ๒๐ ชั่วโมง ระหว่ำงเรียน : ปลำยภำคเรยี น ๘๐ : ๒๐ ที่ ชื่อหนว่ ยการเรียนรู้ มาตรฐาน/ตัวชีว้ ัด สาระสาคญั /ความคิดรวบยอด เวลา คะแนน ๑ ศัพท์ทางทัศนศลิ ป์และ ๙ ๓๐ ศ ๑.๑ ม.๔-๖/๒ การมีความรู้พื้นฐานเรอ่ื งศัพท์ทาง ทัศนศิลปใ์ นวันธรรม ศ ๑.๒ ม.๔-๖/๑ ทศั นศิลปจ์ ะทาใหเ้ ขา้ ใจและเกดิ ศ ๑.๒ ม.๔-๖/๓ ความชืน่ ชมในผลงาน สามารถ ประเมนิ หรือวจิ ารณ์งานทัศนศลิ ป์ ไดถ้ ูกต้องและเหมาะสม รูปแบบ งานทัศนศลิ ป์มีความแตกต่างกัน ข้ึนอยกู่ ับวฒั นธรรมของแตล่ ะ ทอ้ งถ่ิน ๒ กระบวนการสรา้ งสรรค์ ศ ๑.๑ ม.๔-๖/๓ การสร้างสรรค์งานศลิ ปะมีท้งั แบบ ๙ ๓๐ และออกแบบงาน ศ ๑.๑ ม.๔-๖/๔ ๒ มิติ และ ๓ มิติ งาน ทัศนศิลป์ ศ ๑.๑ ม.๔-๖/๗ ประตมิ ากรรม เป็นการถ่ายทอด ศ ๑.๑ ม.๔-๖/๕ ความคิด อารมณ์ ออกมาในรูปแบบ ๓ มติ ผิ ู้สร้างสรรคต์ ้องคานึงถึงทัศน ธาตุ และการออกแบบงาน ทัศนศิลปก์ ารเทคโนโลยีตา่ ง ๆใน การออกแบบ ควรคานึงถึงหลักการ ออกแบบและการจัดองคป์ ระกอบ ศลิ ปจ์ ะทาใหไ้ ด้งานที่มีความ เหมาะสม น่าสนใจเพ่อื ใหง้ าน ออกมาสมบรู ณ์ ระหว่างภาค/ปี ๑ ๒๐ ปลายภาค/ปี ๑ ๒๐ รวมตลอดปี ๒๐ ๑๐๐
๑๐๓ แนวทำงกำรจัดกำรเรียนรู้ การจัดการเรียนรู้เป็นกระบวนการสาคัญในการนาหลกั สูตรสู่การปฏิบตั ิ หลักสูตรแกนกลางการศึกษาข้ัน พ้ืนฐาน เป็นหลักสูตรท่ีมีมาตรฐานการเรียนรู้ สมรรถนะสาคัญและคุณลักษณะอันพึงประสงค์ของผู้เรียน เป็น เป้าหมายสาหรับพัฒนาเด็กและเยาวชน ในการพัฒนาผู้เรียนให้มีคุณสมบัติตามเป้าหมายหลักสูตร ผู้สอนพยายามคัดสรร กระบวนการเรียนรู้ จัดการเรียนรู้โดยช่วยให้ผู้เรียนเรียนรู้ผ่านสาระที่กาหนดไว้ในหลักสูตร ๘ กลุ่มสาระการเรียนรู้ รวมท้ังปลูกฝัง เสรมิ สรา้ งคุณลักษณะอันพงึ ประสงค์ พัฒนาทักษะตา่ งๆ อันเป็นสมรรถนะสาคญั ใหผ้ เู้ รยี นบรรลตุ ามเปา้ หมาย ๑. หลกั กำรจดั กำรเรียนรู้ การจัดการเรยี นรเู้ พ่อื ใหผ้ ู้เรยี นมีความรคู้ วามสามารถ ตามมาตรฐานการเรียนรู้ สมรรถนะสาคญั และ คุณลักษณะอันพึงประสงค์ตามท่ีกาหนดไว้ในหลักสูตรแกนกลางการศึกษาข้ันพ้ืนฐาน โดยยึดหลักว่า ผู้เรียนมี ความสาคัญท่ีสุด เช่ือว่าทุกคนมีความสามารถเรียนรู้และพัฒนาตนเองได้ ยึดประโยชน์ที่เกิดกับผู้เรียน กระบวนการจัดการเรียนรู้ต้องสง่ เสริมให้ผู้เรยี น สามารถพฒั นาตามธรรมชาตแิ ละเต็มตามศักยภาพ คานึงถึงความ แตกต่างระหว่างบคุ คลและพฒั นาการทางสมอง เน้นให้ความสาคญั ทั้งความรู้ และคณุ ธรรม ๒. กระบวนกำรเรียนรู้ การจัดการเรียนรู้ท่ีเน้นผู้เรียนเป็นสาคัญ ผู้เรียนจะต้องอาศัยกระบวนการเรียนรู้ที่หลากหลาย เป็นเคร่ืองมือท่ีจะนาพาตนเองไปสู่เป้าหมายของหลักสูตร กระบวนการเรียนรู้ที่จาเป็นสาหรับผู้เรียน อาทิ กระบวนการเรียนรู้แบบบูรณาการ กระบวนการสร้างความรู้ กระบวนการคิด กระบวนการทางสังคม กระบวนการเผชิญสถานการณ์และแกป้ ญั หา กระบวนการเรยี นรู้ จากประสบการณ์จริง กระบวนการปฏิบัติ ลงมือ ทาจริง กระบวนการจัดการ กระบวนการวิจัย กระบวนการเรียนรู้การเรียนรู้ของตนเอง กระบวนการพัฒนา ลกั ษณะนิสยั กระบวนการเหล่านี้เป็นแนวทางในการจัดการเรียนรู้ที่ผู้เรียนควรได้รับการฝึกฝน พัฒนา เพราะจะ สามารถช่วยให้ผเู้ รียนเกิดการเรยี นรู้ได้ดี บรรลุเป้าหมายของหลักสูตร ดังน้ัน ผู้สอนจึงจาเป็นตอ้ งศึกษาทาความ เขา้ ใจในกระบวนการเรียนร้ตู ่าง ๆ เพอ่ื ให้สามารถเลอื กใช้ในการจดั กระบวนการเรยี นรู้ได้อยา่ งมปี ระสทิ ธิภาพ ๓. กำรออกแบบกำรจัดกำรเรียนรู้ ผู้สอนต้องศึกษาหลักสูตรสถานศึกษาให้เข้าใจถึงมาตรฐานการเรียนรู้ ตัวช้ีวัด สมรรถนะสาคัญ ของผู้เรียน คุณลักษณะอันพึงประสงค์ และสาระการเรยี นรู้ที่เหมาะสมกับผู้เรียน แล้วจึงพิจารณาออกแบบการ จัดการเรียนรู้โดยเลือกใช้วิธีสอนและเทคนิคการสอน ส่ือ/แหล่งเรียนรู้ การวัดและประเมินผล เพ่ือให้ผู้เรียนได้ พฒั นาเตม็ ตามศกั ยภาพและบรรลตุ ามเปา้ หมายท่ีกาหนด ๔. บทบำทของผ้สู อนและผเู้ รยี น การจัดการเรียนรู้เพ่ือให้ผู้เรียนมีคุณภาพตามเป้าหมายของหลักสูตร ท้ังผู้สอนและผู้เรียนควรมี บทบาท ดังน้ี ๔.๑ บทบำทของผ้สู อน ๑) ศึกษาวเิ คราะหผ์ เู้ รียนเป็นรายบุคคล แล้วนาขอ้ มลู มาใชใ้ นการวางแผน การจดั การเรียนรู้ ทที่ ้าทายความสามารถของผู้เรียน ๒) กาหนดเป้าหมายทีต่ อ้ งการใหเ้ กดิ ขึ้นกบั ผู้เรยี น ด้านความร้แู ละทกั ษะ กระบวนการ ทีเ่ ป็นความคิดรวบยอด หลกั การ และความสัมพนั ธ์ รวมท้ังคณุ ลักษณะอันพึงประสงค์ ๓) ออกแบบการเรียนรู้และจัดการเรียนรู้ท่ีตอบสนองความแตกต่างระหว่าง บุคคลและพัฒนาการทางสมอง เพ่อื นาผเู้ รียนไปสู่เปา้ หมาย ๔) จัดบรรยากาศท่เี ออื้ ต่อการเรียนรู้ และดูแลชว่ ยเหลอื ผเู้ รยี นให้เกิดการเรียนรู้
๑๐๔ ๕) จัดเตรยี มและเลอื กใชส้ อ่ื ให้เหมาะสมกบั กจิ กรรม นาภมู ปิ ัญญาท้องถ่นิ เทคโนโลยีทเี่ หมาะสมมาประยุกต์ใชใ้ นการจดั การเรียนการสอน ๖) ประเมนิ ความก้าวหน้าของผู้เรียนดว้ ยวธิ ีการที่หลากหลาย เหมาะสมกบั ธรรมชาติของวิชาและระดบั พฒั นาการของผเู้ รยี น ๗) วิเคราะห์ผลการประเมินมาใช้ในการซอ่ มเสริมและพฒั นาผู้เรียน รวมทง้ั ปรบั ปรุงการจดั การเรียนการสอนของตนเอง ๔.๒ บทบำทของผ้เู รียน ๑) กาหนดเป้าหมาย วางแผน และรบั ผดิ ชอบการเรยี นรู้ของตนเอง ๒) เสาะแสวงหาความรู้ เขา้ ถงึ แหลง่ การเรียนรู้ วิเคราะห์ สงั เคราะหข์ อ้ ความรู้ ตง้ั คาถาม คิดหาคาตอบหรอื หาแนวทางแกป้ ญั หาด้วยวธิ ีการตา่ ง ๆ ๒) ลงมือปฏิบัตจิ ริง สรปุ สิง่ ที่ไดเ้ รยี นรู้ดว้ ยตนเอง และนาความร้ไู ปประยกุ ต์ใช้ ในสถานการณต์ า่ ง ๆ ๓) มปี ฏิสัมพนั ธ์ ทางาน ทากจิ กรรมรว่ มกับกลุ่มและครู ๔) ประเมินและพัฒนากระบวนการเรยี นรขู้ องตนเองอย่างตอ่ เน่ือง สอ่ื กำรเรยี นรู้ สื่อการเรียนรู้เป็นเคร่ืองมือส่งเสริมสนับสนุนการจัดการกระบวนการเรียนรู้ ให้ผู้เรียนเข้าถึงความรู้ ทักษะกระบวนการ และคุณลักษณะตามมาตรฐานของหลักสูตรได้อย่างมีประสิทธิภาพ ส่ือการเรียนรู้มี หลากหลายประเภท ท้ังสื่อธรรมชาติ ส่ือสิ่งพิมพ์ สื่อเทคโนโลยี และเครือข่าย การเรียนรู้ต่างๆ ที่มีในท้องถ่ิน การเลือกใช้สอื่ ควรเลือกให้มีความเหมาะสมกับระดบั พฒั นาการ และลีลาการเรียนรู้ท่ีหลากหลายของผูเ้ รียน การจัดหาส่ือการเรียนรู้ ผู้เรียนและผู้สอนสามารถจัดทาและพัฒนาขึ้นเอง หรือปรับปรุงเลือกใช้อย่างมี คุณภาพจากสื่อต่างๆ ที่มีอยู่รอบตัวเพื่อนามาใช้ประกอบในการจัดการเรียนรู้ท่ีสามารถส่งเสริมและส่ือสารให้ ผเู้ รียนเกดิ การเรียนรู้ โดยสถานศกึ ษาควรจัดใหม้ อี ย่างพอเพยี ง เพอ่ื พัฒนาให้ผเู้ รียน เกดิ การเรียนรูอ้ ย่างแทจ้ ริง สถานศึกษา เขตพื้นที่การศึกษา หน่วยงานทเี่ กี่ยวข้องและผ้มู ีหนา้ ทจี่ ดั การศกึ ษาขัน้ พ้ืนฐาน ควรดาเนนิ การดังนี้ ๑. จัดให้มีแหล่งการเรียนรู้ ศูนย์สื่อการเรียนรู้ ระบบสารสนเทศการเรียนรู้และเครือข่าย การเรยี นรู้ทมี่ ีประสทิ ธภิ าพท้งั ในสถานศกึ ษาและในชุมชน เพ่ือการศึกษาค้นควา้ และการแลกเปลย่ี นประสบการณ์ การเรียนรู้ ระหวา่ งสถานศึกษา ท้องถิ่น ชุมชน สังคมโลก ๒. จัดทาและจดั หาสื่อการเรยี นรู้สาหรบั การศึกษาคน้ ควา้ ของผู้เรียน เสรมิ ความร้ใู หผ้ ู้สอน รวมทงั้ จัดหา ส่ิงทีม่ อี ยู่ในท้องถน่ิ มาประยุกต์ใช้เปน็ สอ่ื การเรียนรู้ ๓. เลือกและใช้ส่ือการเรียนรู้ที่มีคุณภาพ มีความเหมาะสม มีความหลากหลาย สอดคล้อง กับวิธีการ เรยี นรู้ ธรรมชาตขิ องสาระการเรยี นรู้ และความแตกต่างระหว่างบุคคลของผเู้ รยี น ๔. ประเมินคณุ ภาพของส่ือการเรียนรทู้ เ่ี ลอื กใช้อย่างเปน็ ระบบ ๕. ศกึ ษาค้นคว้า วจิ ยั เพื่อพัฒนาสือ่ การเรยี นรใู้ ห้สอดคลอ้ งกบั กระบวนการเรยี นรขู้ องผูเ้ รยี น ๖. จัดให้มีการกากับ ติดตาม ประเมินคุณภาพและประสิทธิภาพเกี่ยวกับสื่อและการใช้ส่ือ การเรยี นรเู้ ปน็ ระยะๆ และสมา่ เสมอ ในการจัดทา การเลอื กใช้ และการประเมินคณุ ภาพสื่อการเรียนรู้ท่ีใช้ในสถานศึกษา ควรคานงึ ถงึ หลกั การ สาคัญของสื่อการเรียนรู้ เช่น ความสอดคล้องกับหลักสูตร วัตถุประสงค์การเรียนรู้ การออกแบบกิจกรรมการ เรียนรู้การจัดประสบการณ์ให้ผู้เรียน เน้ือหามีความถูกต้องและทันสมัย ไม่กระทบความมั่นคงของชาติ ไม่ขัดต่อ ศลี ธรรม มีการใชภ้ าษาที่ถกู ตอ้ ง รูปแบบการนาเสนอท่เี ขา้ ใจงา่ ย และนา่ สนใจ
๑๐๕ กำรวดั และประเมินผลกำรเรียนรู้ การวัดและประเมินผลการเรียนรู้ของผู้เรียนต้องอยู่บนหลักการพ้ืนฐานสองประการคือ การประเมินเพื่อ พัฒนาผู้เรียนและเพ่ือตัดสินผลการเรียน ในการพัฒนาคุณภาพการเรียนรู้ของผู้เรียน ให้ประสบผลสาเร็จนั้น ผู้เรียนจะต้องได้รับการพัฒนาและประเมินตามตัวชี้วัดเพ่ือให้บรรลุตามมาตรฐานการเรียนรู้ สะท้อนสมรรถนะ สาคัญ และคุณลักษณะอันพึงประสงค์ของผู้เรียนซึ่งเป็นเป้าหมายหลักในการวัดและประเมินผลการเรียนรู้ในทุก ระดับไม่ว่าจะเป็นระดับช้ันเรียน ระดับสถานศึกษา ระดับเขตพ้ืนที่การศึกษา และระดับชาติ การวัดและ ประเมินผลการเรียนรู้ เป็นกระบวนการพัฒนาคุณภาพผู้เรียนโดยใช้ผลการประเมินเป็นข้อมูลและสารสนเทศที่ แสดงพัฒนาการ ความก้าวหน้า และความสาเร็จทางการเรียนของผู้เรียน ตลอดจนข้อมูลท่ีเป็นประโยชน์ต่อการ สง่ เสริมใหผ้ ู้เรียนเกิด การพัฒนาและเรยี นรู้อยา่ งเตม็ ตามศักยภาพ การวัดและประเมินผลการเรียนรู้ แบ่งออกเป็น ๔ ระดับ ได้แก่ ระดับชั้นเรียน ระดับสถานศึกษา ระดับ เขตพ้นื ท่กี ารศกึ ษา และระดบั ชาติ มรี ายละเอียด ดงั นี้ ๑. กำรประเมินระดับชั้นเรียน เป็นการวัดและประเมินผลที่อยู่ในกระบวนการจัดการเรียนรู้ ผู้สอน ดาเนินการเป็นปกติและสม่าเสมอ ในการจัดการเรียนการสอน ใช้เทคนิคการประเมินอย่างหลากหลาย เช่น การ ซักถาม การสังเกต การตรวจการบ้าน การประเมินโครงงาน การประเมินช้ินงาน/ ภาระงาน แฟ้มสะสมงาน การ ใช้แบบทดสอบ ฯลฯ โดยผู้สอนเป็นผู้ประเมินเองหรือเปิดโอกาส ให้ผู้เรียนประเมินตนเอง เพ่ือนประเมินเพื่อน ผ้ปู กครองร่วมประเมิน ในกรณีทีไ่ ม่ผ่านตัวชว้ี ดั ให้มี การสอนซอ่ มเสรมิ การประเมินระดับชั้นเรียนเป็นการตรวจสอบว่า ผู้เรียนมีพัฒนาการความก้าวหน้าในการเรียนรู้ อันเป็น ผลมาจากการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนหรือไม่ และมากน้อยเพียงใด มีสิ่งท่ีจะต้องได้รับการพัฒนาปรับปรุง และส่งเสริมในด้านใดนอกจากนี้ยังเป็นข้อมูลให้ผู้สอนใช้ปรับปรุง การเรียนการสอนของตนด้วย ท้ังนี้โดย สอดคล้องกบั มาตรฐานการเรยี นรแู้ ละตวั ชวี้ ดั ๒. กำรประเมินระดับสถำนศึกษำ เป็นการประเมินที่สถานศึกษาดาเนินการเพ่ือตัดสินผล การเรียน ของผู้เรียนเป็นรายปี/รายภาค ผลการประเมินการอ่าน คิดวิเคราะห์และเขียน คุณลักษณะอันพึงประสงค์ และ กิจกรรมพัฒนาผู้เรียน นอกจากน้ีเพื่อให้ได้ข้อมูลเกี่ยวกับการจัดการศึกษา ของสถานศึกษา ว่าส่งผลต่อการ เรียนรู้ของผู้เรียนตามเป้าหมายหรือไม่ ผู้เรียนมีจุดพัฒนาในด้านใด รวมทั้งสามารถนาผลการเรียนของผู้เรียนใน สถานศึกษาเปรียบเทียบกับเกณฑ์ระดับชาติ ผลการประเมินระดับสถานศึกษาจะเป็นข้อมูลและสารสนเทศเพ่ือ การปรับปรุงนโยบาย หลักสูตร โครงการ หรือวิธีการจัดการเรียนการสอน ตลอดจนเพื่อการจัดทาแผนพัฒนา คุณภาพการศึกษาของสถานศึกษา ตามแนวทางการประกันคุณภาพการศึกษาและการรายงานผลการจัด การศึกษาต่อคณะกรรมการสถานศึกษา สานักงานเขตพ้ืนท่ีการศึกษา สานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้น พืน้ ฐาน ผปู้ กครองและชุมชน ๓. กำรประเมินระดับเขตพ้ืนที่กำรศึกษำ เป็นการประเมินคุณภาพผู้เรียนในระดับเขตพื้นที่การศึกษา ตามมาตรฐานการเรียนรู้ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพ้ืนฐาน เพ่ือใช้เป็นข้อมูลพ้ืนฐานในการพัฒนา คุณภาพการศึกษาของเขตพ้ืนที่การศึกษา ตามภาระความรับผิดชอบ สามารถดาเนินการโดยประเมินคุณภาพ ผลสัมฤทธ์ิของผู้เรียนด้วยข้อสอบมาตรฐานท่ีจัดทาและดาเนินการโดยเขตพื้นท่ีการศึกษา หรือด้วยความร่วมมือ กับหนว่ ยงานตน้ สังกัด ในการดาเนนิ การจดั สอบ นอกจากนย้ี ังไดจ้ ากการตรวจสอบทบทวนขอ้ มลู จากการประเมิน ระดับสถานศึกษาในเขตพ้ืนทก่ี ารศึกษา ๔. กำรประเมินระดับชำติ เป็นการประเมินคุณภาพผู้เรียนในระดับชาติตามมาตรฐานการเรียนรู้ตาม หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพ้ืนฐาน สถานศึกษาต้องจัดให้ผู้เรียนทุกคนท่ีเรียนในช้ันประถมศึกษาปีที่ ๓ ช้ันประถมศึกษาปีที่ ๖ ช้ันมัธยมศึกษาปีที่ ๓ และชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี ๖ เข้ารับการประเมิน ผลจากการ
๑๐๖ ประเมินใช้เป็นข้อมูลในการเทียบเคียงคุณภาพการศึกษาในระดับต่าง ๆ เพ่ือนาไปใช้ในการวางแผนยกระดับ คุณภาพการจัดการศึกษา ตลอดจนเป็นขอ้ มลู สนบั สนุน การตดั สินใจในระดบั นโยบายของประเทศ ข้อมูลการประเมินในระดับต่าง ๆ ข้างต้น เป็นประโยชน์ต่อสถานศึกษาในการตรวจสอบทบทวนพัฒนา คุณภาพผู้เรียน ถือเป็นภาระความรับผิดชอบของสถานศึกษาท่ีจะต้องจัดระบบดูแลช่วยเหลือ ปรับปรุงแก้ไข ส่งเสริมสนับสนุนเพ่ือให้ผู้เรียนได้พัฒนาเต็มตามศักยภาพบนพื้นฐาน ความแตกต่างระหว่างบุคคลท่ีจาแนกตาม สภาพปัญหาและความต้องการ ได้แก่ กลุ่มผู้เรียนทั่วไป กลุ่มผู้เรียนท่ีมีความสามารถพิเศษ กลุ่มผู้เรียนที่มี ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนต่า กลุ่มผู้เรียนท่ีมีปัญหาด้านวินัยและพฤติกรรม กลุ่มผู้เรียนท่ีปฏิเสธโรงเรียน กลุ่ม ผูเ้ รียนที่มีปัญหาทางเศรษฐกิจและสังคม กลุ่มพิการทางร่างกายและสติปัญญา เป็นต้น ข้อมูลจากการประเมินจึง เป็นหัวใจของสถานศึกษาในการดาเนนิ การช่วยเหลือผู้เรียนได้ทันท่วงที ปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้รับการพัฒนาและ ประสบความสาเรจ็ ในการเรยี น สถานศึกษาในฐานะผู้รับผิดชอบจัดการศึกษา จะต้องจัดทาระเบียบว่าด้วยการวัดและประเมินผลการ เรียนของสถานศึกษาให้สอดคล้องและเป็นไปตามหลักเกณฑ์และแนวปฏิบัติท่ีเป็นข้อกาหนดของหลักสูตร แกนกลางการศึกษาขน้ั พนื้ ฐาน เพ่อื ให้บุคลากรทีเ่ กย่ี วขอ้ งทุกฝ่ายถือปฏิบตั ิรว่ มกนั เกณฑก์ ำรวดั และประเมนิ ผลกำรเรยี น ๑. กำรตัดสนิ กำรให้ระดับและกำรรำยงำนผลกำรเรยี น ๑.๑ กำรตดั สนิ ผลกำรเรียน ในการตัดสินผลการเรียนของกลุ่มสาระการเรียนรู้ การอ่าน คิดวิเคราะห์และเขียน คุณลักษณะ อนั พึงประสงค์ และกิจกรรมพัฒนาผู้เรียนน้ัน ผ้สู อนต้องคานึงถึงการพัฒนาผูเ้ รียนแตล่ ะคนเป็นหลัก และต้องเก็บ ข้อมูลของผู้เรียนทุกด้านอย่างสม่าเสมอและต่อเน่ืองในแต่ละภาคเรียน รวมทั้งสอนซ่อมเสริมผู้เรียนให้พัฒนาจนเต็ม ตามศกั ยภาพ ระดบั ประถมศกึ ษำ (๑) ผู้เรียนต้องมเี วลาเรยี นไม่น้อยกว่าร้อยละ ๘๐ ของเวลาเรยี นท้งั หมด (๒) ผเู้ รียนตอ้ งได้รบั การประเมินทกุ ตวั ชี้วัด และผ่านตามเกณฑท์ สี่ ถานศึกษากาหนด (๓) ผเู้ รยี นตอ้ งได้รบั การตัดสนิ ผลการเรยี นทกุ รายวิชา (๔) ผู้เรยี นตอ้ งได้รับการประเมิน และมีผลการประเมนิ ผ่านตามเกณฑ์ท่สี ถานศึกษากาหนด ในการอา่ น คิดวิเคราะห์และเขยี น คุณลกั ษณะอันพงึ ประสงค์ และกจิ กรรมพัฒนาผู้เรียน ระดบั มัธยมศึกษำ (๑) ตดั สนิ ผลการเรียนเป็นรายวิชา ผู้เรียนตอ้ งมีเวลาเรียนตลอดภาคเรียนไมน่ ้อยกว่าร้อย ละ ๘๐ ของเวลาเรยี นทัง้ หมดในรายวิชานนั้ ๆ (๒) ผู้เรยี นตอ้ งได้รับการประเมนิ ทุกตัวช้วี ัด และผา่ นตามเกณฑ์ทสี่ ถานศึกษากาหนด (๓) ผู้เรียนต้องได้รบั การตดั สินผลการเรียนทุกรายวิชา (๔) ผู้เรียนต้องได้รบั การประเมนิ และมีผลการประเมนิ ผ่านตามเกณฑ์ทส่ี ถานศกึ ษากาหนด ในการอา่ น คดิ วเิ คราะห์และเขยี น คุณลกั ษณะอนั พึงประสงค์ และกิจกรรมพฒั นาผู้เรยี น การพิจารณาเลื่อนช้ันทั้งระดับประถมศึกษาและมัธยมศึกษา ถ้าผู้เรียนมีข้อบกพร่องเพียงเล็กน้อย และสถานศึกษาพิจารณาเห็นว่าสามารถพฒั นาและสอนซ่อมเสริมได้ ให้อยู่ในดุลพินจิ ของสถานศกึ ษาทจี่ ะผ่อนผัน ให้เล่ือนชั้นได้ แต่หากผู้เรียนไม่ผ่านรายวิชาจานวนมาก และมีแนวโน้มว่าจะเป็นปัญหาต่อการเรียนในระดับช้ันที่ สูงข้ึน สถานศึกษาอาจตั้งคณะกรรมการพิจารณาให้เรียนซ้าช้ันได้ ทั้งน้ีให้คานึงถึงวุฒิภาวะและความรู้ ความสามารถของผูเ้ รียนเป็นสาคัญ
๑๐๗ ๑.๒ กำรให้ระดบั ผลกำรเรียน ระดบั ประถมศกึ ษำ ในการตัดสินเพื่อให้ระดับผลการเรียนรายวิชา สถานศึกษาสามารถ ให้ระดับผลการเรียนหรือระดับคุณภาพการปฏิบัติของผู้เรียน เป็นระบบตัวเลข ระบบตัวอักษร ระบบร้อยละ และระบบทใี่ ชค้ าสาคัญสะทอ้ นมาตรฐาน การประเมินการอ่าน คิดวิเคราะห์และเขียน และคุณลักษณะอันพึงประสงค์นั้น ให้ระดับผล การประเมินเปน็ ดเี ยย่ี ม ดี และผ่าน การประเมินกิจกรรมพัฒนาผู้เรียน จะต้องพิจารณาทั้งเวลาการเข้าร่วมกิจกรรม การปฏิบัติกิจกรรม และผลงานของผเู้ รียน ตามเกณฑ์ทส่ี ถานศึกษากาหนด และให้ผลการเขา้ ร่วมกจิ กรรมเป็นผา่ น และไม่ผ่าน ระดับมัธยมศกึ ษำ ในการตดั สนิ เพื่อให้ระดบั ผลการเรยี นรายวิชา ให้ใช้ตวั เลขแสดงระดับ ผลการเรยี นเปน็ ๘ ระดบั การประเมินการอ่าน คิดวิเคราะห์และเขียน และคุณลักษณะอันพึงประสงค์น้ัน ให้ระดับผล การประเมินเปน็ ดเี ย่ยี ม ดี และผา่ น การประเมินกิจกรรมพัฒนาผู้เรียน จะต้องพิจารณาท้ังเวลาการเข้าร่วมกิจกรรม การปฏิบัติกิจกรรม และผลงานของผู้เรยี น ตามเกณฑท์ สี่ ถานศกึ ษากาหนด และให้ผลการเข้ารว่ มกิจกรรมเป็นผ่าน และไมผ่ า่ น กำรใหร้ ะดับผลกำรเรียน ๑ การตัดสินผลการเรียนรายวิชาของกลุ่มสาระการเรียนรู้ ให้ใช้ระบบตัวชี้วัดเลขแสดง ระดับผลการเรียนในแตล่ ะกลุ่มสาระ เปน็ ๘ ระดับ ดงั น้ี ระดับผลการเรยี น ความหมาย ชว่ งคะแนนเป็นรอ้ ยละ ๔ ดเี ย่ียม ๘๐ - ๑๐๐ ๓.๕ ดมี าก ๗๕ - ๗๙ ๓ ดี ๗๐ - ๗๔ ๒.๕ คอ่ นขา้ งดี ๖๕ - ๖๙ ๒ ปานกลาง ๖๐ - ๖๔ ๑.๕ พอใช้ ๕๕ - ๕๙ ๑ ผา่ นเกณฑ์ข้นั ตา่ ๕๐ - ๕๔ ๐ ต่ากวา่ เกณฑ์ ๐ - ๔๙ ๒ การประเมินการอ่าน คิดวิเคราะห์ และเขียน เปน็ ผา่ นและไม่ผา่ นถา้ กรณี ทีผ่ า่ น กาหนดเกณฑ์การตัดสนิ เปน็ ดีเยี่ยม ดี และผ่าน ดเี ย่ยี ม หมายถึง มีผลงานท่แี สดงถึงความสามารถในการอา่ น คดิ วเิ คราะห์ และเขียนที่มี คะแนนตั้งแต่รอ้ ยละ ๗๐ ขน้ึ ไป หรอื เขยี นทมี่ คี ณุ ภาพดเี ลศิ อยู่เสมอ ดี หมายถึง มีผลงานที่แสดงถึงความสามารถในการอ่าน คิดวิเคราะห์และเขียนที่มี คะแนนระหวา่ งรอ้ ยละ ๖๐ – ๖๙ หรือเขยี นท่ีมคี ุณภาพเป็นที่ยอมรบั ผ่ำน หมายถึง มีผลงานท่ีแสดงถึงความสามารถในการอ่าน คิดวิเคราะห์ และเขียนที่มี คะแนนระหว่างร้อยละ ๕๐ – ๕๙ หรือเขียนที่มีคุณภาพเป็นท่ียอมรับ แต่มีข้อบกพร่อง บาง ประการ
๑๐๘ ไมผ่ ่าน หมายถึง มีผลงานที่แสดงถึงความสามารถในการอ่าน คดิ วิเคราะห์ และเขียนท่ีมี คะแนนต่ากว่าร้อยละ ๕๐ หรือเขียนยังมีข้อบกพร่องที่ต้องการได้รับการปรับปรุงแก้ไขหลาย ประการ ๓ การประเมินคุณลักษณะอันพึงประสงค์ รวมทุกคุณลักษณะเพื่อการเลื่อนช้ัน และ จบการศึกษา เปน็ ผา่ นและไม่ผ่าน ถ้ากรณที ่ีผ่าน กาหนดเกณฑ์การตัดสนิ เปน็ ดีเย่ียม ดี และผ่าน และความหมายของแตล่ ะระดับ ดังน้ี ดีเย่ียม หมายถึง ผู้เรียนปฏิบัติตนตามคุณลักษณะจนเป็นนิสัย และนาไปใช้ใน ชีวิตประจาวันเพ่ือประโยชน์สุขของตนเองและสังคม โดยพิจารณาจากผลการประเมินระดับดี เยีย่ ม จานวน ๕ - ๘ คุณลกั ษณะ และไม่มคี ุณลักษณะใดได้ผลการประเมนิ ต่ากว่าระดบั ดี ดี หมายถึง ผู้เรียนมีคุณลักษณะในการปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ เพื่อให้เป็นการยอมรับของ สังคม โดยพิจารณาจาก ๑. ได้ผลการประเมินระดับดีเย่ียม จานวน ๑ - ๔ คุณลักษณะ และไม่มีคุณลักษณะใด ไดผ้ ลการประเมินตา่ กว่าระดับดี หรือ ๒. ได้ผลการประเมินระดับดีเย่ียม จานวน ๔ คุณลักษณะ และไม่มีคุณลักษณะใดได้ผล การประเมนิ ตา่ กว่าระดับผา่ น หรือ ๓. ได้ผลการประเมินระดับดี จานวน ๕ - ๘ คุณลักษณะ และไม่มีคุณลักษณะใดได้ผล การประเมนิ ต่ากว่าระดบั ผ่าน ผา่ น หมายถงึ ผู้เรียนรบั รู้และปฏบิ ัติตามกฎเกณฑ์และเงอ่ื นไขทสี่ ถานศึกษากาหนดโดย พิจารณาจาก ๑. ได้ผลการประเมนิ ระดบั ผา่ น จานวน ๕ - ๘ คุณลักษณะ และไมม่ ี คณุ ลกั ษณะใดได้ผลการประเมนิ ต่ากวา่ ระดบั ผ่าน หรือ ๒. ได้ผลการประเมินระดับดี จานวน ๔ คุณลักษณะ และไม่มีคุณลักษณะใดได้ผลการ ประเมินตา่ กวา่ ระดบั ผา่ น ไม่ผ่าน หมายถึง ผู้เรียนรับรู้และปฏิบัติได้ไม่ครบตามกฎเกณฑ์และเงื่อนที่สถานศึกษา กาหนด โดยพิจารณาจากผลการประเมนิ ระดบั ไม่ผ่าน ตั้งแต่ ๑ คุณลักษณะ ๑.๓ กำรรำยงำนผลกำรเรยี น การรายงานผลการเรียนเป็นการส่ือสารให้ผู้ปกครองและผู้เรียนทราบความก้าวหน้า ในการเรียนรู้ ของผู้เรียน ซึ่งสถานศึกษาต้องสรุปผลการประเมินและจัดทาเอกสารรายงานให้ผู้ปกครองทราบเป็นระยะ ๆ หรือ อยา่ งนอ้ ยภาคเรียนละ ๑ ครง้ั การรายงานผลการเรียนสามารถรายงานเป็นระดับคุณภาพการปฏบิ ัติของผู้เรียนท่ีสะท้อนมาตรฐาน การเรยี นรู้กล่มุ สาระการเรยี นรู้ ๒. เกณฑก์ ำรจบกำรศกึ ษำ หลักสูตรแกนกลางการศึกษาข้ันพื้นฐาน กาหนดเกณฑ์กลางสาหรับการจบการศึกษาเป็น ๓ระดับ คือ ระดับประถมศกึ ษา ระดับมธั ยมศึกษาตอนตน้ และระดับมธั ยมศกึ ษาตอนปลาย ๒.๑ เกณฑก์ ำรจบระดบั ประถมศกึ ษำ (๑) ผู้เรียนเรียนรายวิชาพื้นฐาน และรายวิชา/กิจกรรมเพิ่มเติมตามโครงสร้างเวลาเรียน ที่ หลักสตู รแกนกลางการศึกษาข้นั พ้นื ฐานกาหนด (๒) ผ้เู รียนต้องมีผลการประเมนิ รายวิชาพื้นฐาน ผ่านเกณฑ์การประเมนิ ตามที่สถานศึกษากาหนด
๑๐๙ (๓) ผู้เรียนมีผลการประเมินการอ่าน คิดวิเคราะห์ และเขียนในระดับผ่านเกณฑ์ การประเมิน ตามทส่ี ถานศกึ ษากาหนด (๔) ผู้เรียนมีผลการประเมินคุณลักษณะอันพึงประสงค์ในระดับผ่านเกณฑ์การประเมินตามท่ี สถานศึกษากาหนด (๕) ผู้เรียนเข้าร่วมกิจกรรมพัฒนาผู้เรียนและมีผลการประเมินผ่านเกณฑ์การประเมินตามที่ สถานศึกษากาหนด ๒.๒ เกณฑ์กำรจบระดบั มธั ยมศกึ ษำตอนต้น (๑) ผู้เรียนเรียนรายวิชาพ้ืนฐานและเพิ่มเติมไม่เกิน ๘๑ หน่วยกิต โดยเป็นรายวิชาพ้ืนฐาน ๖๓ หนว่ ยกติ และรายวชิ าเพ่ิมเติมตามท่ีสถานศึกษากาหนด (๒) ผู้เรียนต้องได้หน่วยกิตตลอดหลักสูตรไม่น้อยกว่า ๗๗ หน่วยกิต โดยเป็นรายวิชาพ้ืนฐาน ๖๓ หน่วยกิต และรายวชิ าเพ่มิ เติมไม่นอ้ ยกว่า ๑๔ หน่วยกติ (๓) ผู้เรียนมีผลการประเมิน การอ่าน คิดวิเคราะห์และเขียน ในระดับผ่าน เกณฑ์ การประเมินตามที่สถานศึกษากาหนด (๔) ผู้เรียนมีผลการประเมินคุณลักษณะอันพึงประสงค์ ในระดับผ่านเกณฑ์การประเมินตามที่ สถานศกึ ษากาหนด (๕) ผู้เรียนเข้าร่วมกิจกรรมพัฒนาผู้เรียนและมีผลการประเมินผ่านเกณฑ์การประเมินตามที่ สถานศกึ ษากาหนด ๒.๓ เกณฑก์ ำรจบระดบั มธั ยมศกึ ษำตอนปลำย (๑)ผู้เรียนเรียนรายวิชาพื้นฐานและเพ่ิมเติม โดยเป็นรายวิชาพื้นฐาน ๔๑ หน่วยกิต และรายวิชาเพิ่มเติม ตามทสี่ ถานศึกษากาหนด (๒) ผู้เรียนต้องได้หน่วยกิตตลอดหลักสูตรไม่น้อยกว่า ๗๗ หน่วยกิต โดยเป็นรายวิชาพ้ืนฐาน ๔๑ หน่วย กิต และรายวิชาเพิม่ เตมิ ไม่นอ้ ยว่า ๓๖ หนว่ ยกติ (๓) ผู้เรียนมีผลการประเมิน การอ่าน คิดวิเคราะห์และเขียน ในระดับผ่านเกณฑ์การประเมิน ตามที่ สถานศกึ ษากาหนด (๔)ผู้เรียนมีผลการประเมินคุณลักษณะอันพึงประสงค์ ในระดับผา่ นเกณฑ์การประเมิน ตามที่สถานศึกษา กาหนด (๕)ผู้เรียนเข้าร่วมกิจกรรมพัฒนาผู้เรียนและมีผลการประเมินผ่านเกณฑ์การประเมิน ตามที่สถานศึกษา กาหนด สาหรับการจบการศึกษาสาหรับกลุ่มเป้าหมายเฉพาะ เช่น การศึกษาเฉพาะทาง การศึกษาสาหรับผู้มี ความสามารถพิเศษ การศึกษาทางเลือก การศึกษาสาหรบั ผู้ด้อยโอกาส การศึกษาตามอัธยาศัย ให้คณะกรรมการ ของสถานศึกษา เขตพ้ืนทีก่ ารศึกษา และผู้ทเี่ กี่ยวขอ้ ง ดาเนินการวัดและประเมินผลการเรียนรตู้ ามหลกั เกณฑ์ใน แนวปฏิบัติการวัดและประเมินผลการเรียนรู้ของหลักสูตรแกนกลางการศึกษาข้ันพื้นฐานสาหรับกลุ่มเป้าหมาย เฉพาะ เอกสำรหลกั ฐำนกำรศึกษำ เอกสารหลักฐานการศึกษา เปน็ เอกสารสาคัญท่บี ันทกึ ผลการเรียน ขอ้ มูลและสารสนเทศ ท่ีเก่ียวข้องกับ พัฒนาการของผ้เู รียนในด้านต่าง ๆ แบ่งออกเปน็ ๒ ประเภท ดังนี้ ๑. เอกสำรหลักฐำนกำรศึกษำทีก่ ระทรวงศกึ ษำธกิ ำรกำหนด
๑๑๐ ๑.๑ ระเบียนแสดงผลกำรเรียน เป็นเอกสารแสดงผลการเรียนและรับรองผลการเรียนของผู้เรียน ตามรายวิชา ผลการประเมินการอ่าน คิดวิเคราะห์และเขียน ผลการประเมินคุณลักษณะอันพึงประสงค์ของ สถานศกึ ษา และผลการประเมินกิจกรรมพัฒนาผู้เรยี น สถานศึกษาจะตอ้ งบนั ทกึ ขอ้ มูลและออกเอกสารนี้ให้ผ้เู รียน เป็นรายบุคคล เม่ือผู้เรียนจบการศึกษาระดับประถมศึกษา (ชั้นประถมศึกษาปีที่ ๖) จบการศึกษาภาคบังคับ(ช้ัน มัธยมศกึ ษาปีท่ี ๓) จบการศึกษาขน้ั พ้ืนฐาน(ชัน้ มัธยมศกึ ษาปที ี่ ๖) หรอื เม่อื ลาออกจากสถานศึกษาในทุกกรณี ๑.๒ ประกำศนียบัตร เป็นเอกสารแสดงวุฒิการศึกษาเพื่อรับรองศักดิ์และสิทธ์ิของผู้จบการศึกษา ท่สี ถานศกึ ษาให้ไว้แกผ่ ู้จบการศึกษาภาคบังคับ และผู้จบการศกึ ษาข้ันพื้นฐานตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาข้ัน พนื้ ฐาน ๑.๓ แบบรำยงำนผู้สำเร็จกำรศึกษำ เป็นเอกสารอนุมัติการจบหลักสูตรโดยบันทึกรายช่ือและ ขอ้ มูลของผู้จบการศึกษาระดับประถมศึกษา (ช้ันประถมศึกษาปีท่ี ๖) ผู้จบการศึกษาภาคบังคบั (ชั้นมัธยมศึกษาปี ท่ี ๓) และผู้จบการศึกษาข้นั พื้นฐาน (ชน้ั มธั ยมศกึ ษาปีท่ี ๖) ๒. เอกสำรหลกั ฐำนกำรศึกษำทสี่ ถำนศึกษำกำหนด เป็นเอกสารที่สถานศึกษาจัดทาข้ึนเพ่ือบันทึกพัฒนาการ ผลการเรียนรู้ และข้อมูลสาคัญ เก่ียวกับ ผ้เู รยี น เชน่ แบบรายงานประจาตัวนกั เรียน แบบบนั ทกึ ผลการเรยี นประจารายวิชา ระเบียนสะสม ใบรับรองผล การเรียน และ เอกสารอน่ื ๆ ตามวตั ถุประสงค์ของการนาเอกสารไปใช้ กำรเทยี บโอนผลกำรเรยี น สถานศึกษาสามารถเทียบโอนผลการเรียนของผู้เรียนในกรณีต่างๆไดแ้ ก่ การยา้ ยสถานศึกษา การเปลี่ยน รูปแบบการศึกษา การย้ายหลักสูตร การออกกลางคันและขอกลับเข้ารับการศึกษาต่อ การศึกษาจากตา่ งประเทศ และขอเข้าศึกษาต่อในประเทศ นอกจากน้ี ยังสามารถเทียบโอนความรู้ ทักษะ ประสบการณ์จากแหล่งการเรียนรู้ อน่ื ๆ เช่น สถานประกอบการ สถาบันศาสนา สถาบันการฝกึ อบรมอาชีพ การจดั การศึกษาโดยครอบครัว การเทียบโอนผลการเรียนควรดาเนินการในช่วงก่อนเปิดภาคเรียนแรก หรือต้นภาคเรียนแรก ท่ีสถานศึกษารับผู้ขอเทียบโอนเป็นผู้เรียน ทั้งนี้ ผู้เรียนท่ีได้รับการเทียบโอนผลการเรียนต้องศึกษาต่อเนื่องใน สถานศึกษาที่รับเทียบโอนอย่างน้อย ๑ ภาคเรียน โดยสถานศึกษาท่ีรับผู้เรียนจากการเทียบโอนควรกาหนด รายวชิ า/จานวนหนว่ ยกติ ทจี่ ะรับเทยี บโอนตามความเหมาะสม การพิจารณาการเทียบโอน สามารถดาเนินการได้ ดังน้ี ๑. พิจารณาจากหลักฐานการศึกษา และเอกสารอืน่ ๆ ท่ีใหข้ ้อมูลแสดงความรู้ ความสามารถของผู้เรียน ๒. พิจารณาจากความรู้ ความสามารถของผู้เรียนโดยการทดสอบด้วยวิธีการต่าง ๆ ทั้งภาคความรู้และ ภาคปฏิบตั ิ ๓. พจิ ารณาจากความสามารถและการปฏิบตั ใิ นสภาพจรงิ การเทียบโอนผลการเรียนให้เป็นไปตาม ประกาศ หรือ แนวปฏบิ ตั ิ ของกระทรวงศึกษาธิการ อภธิ ำนศัพท์ ทศั นศิลป์ โครงสร้ำงเคลอื่ นไหว (mobile)
๑๑๑ เป็นงานประติมากรรมที่มีโครงสร้างบอบบางจัดสมดุลด้วยเส้นลวดแข็งบาง ๆ ท่ีมีวัตถุรูปร่าง รูปทรงต่าง ๆ ท่ี ออกแบบเช่ือมติดกบั เสน้ ลวด เปน็ เคร่ืองแขวนท่ีเคลอ่ื นไหวได้ดว้ ยกระแสลมเพยี งเบา ๆ งำนสอื่ ผสม (mixed media) เป็นงานออกแบบทางทัศนศิลป์ที่ประกอบด้วยหลายสื่อโดยใช้วัสดุหลาย ๆ แบบ เช่น กระดาษ ไม้ โลหะ สร้าง ความผสมกลมกลืนดว้ ยการสรา้ งสรรค์ จงั หวะ (rhythm) เป็นความสัมพันธ์ของทัศนธาตุ เช่น เส้น สี รูปร่าง รูปทรง น้าหนักในลักษณะของการซ้ากัน สลับไปมา หรือ ลักษณะลื่นไหล เคล่ือนไหวไม่ขาดระยะจังหวะท่ีมีความสัมพันธ์ต่อเน่ืองกันจะช่วยเน้นให้เกิดความเด่น หรือทาง ดนตรีก็คอื การซา้ กันของเสียงในช่วงเท่ากันหรือแตกต่างกนั จังหวะให้ความรู้สกึ หรือความพอใจทางสุนทรียภาพใน งานศลิ ปะ ทศั นธำตุ (visual elements) สิ่งที่เป็นปจั จัยของการมองเห็นเปน็ ส่วนต่าง ๆ ท่ีประกอบกันเป็นภาพ ได้แก่ เส้น น้าหนัก ท่ีวา่ ง รูปร่าง รูปทรง สี และลกั ษณะพ้นื ผวิ ทศั นยี ภำพ (perspective) วิธเี ขยี นภาพของวัตถใุ หม้ องเหน็ ว่ามรี ะยะใกล้ไกล ทัศนศิลป์ (visual art) ศิลปะท่รี บั รู้ไดด้ ้วยการเหน็ ไดแ้ ก่ จติ รกรรม ประติมากรรม ภาพพิมพ์ และงานสร้างสรรคอ์ ่ืน ๆ ทรี่ ับรดู้ ้วยการเห็น ภำพปะตดิ (collage) เป็นภาพที่ทาขึ้นด้วยการใช้วัสดุต่าง ๆ เช่น กระดาษ ผ้า เศษวัสดุธรรมชาติ ฯลฯ ปะติดลงบนแผ่นภาพด้วยกาว หรอื แป้งเปยี ก วงสธี รรมชำติ (color circle) คือวงกลมซึ่งจัดระบบสีในแสงสีรุ้งที่เรียงกันอยู่ในธรรมชาติ สีวรรณะอุ่น จะอยู่ในซีกท่ีมีสีแดงและเหลือง ส่วนสี วรรณะเย็นอยู่ในซกี ที่มสี ีเขียว และสมี ่วง สีคตู่ รงขา้ มกนั จะอย่ตู รงกนั ข้ามในวงสี วรรณะสี (tone) ลกั ษณะของสีท่ีแบ่งตามความรูส้ ึกอุน่ หรือเย็น เช่น สีแดง อยใู่ นวรรณะอุ่น (warm tone) สีเขียวอยู่ในวรรณะเย็น (cool tone) สีค่ตู รงขำ้ ม (complementary colors) สีที่อยู่ตรงกันข้ามกันในวงสีธรรมชาติเป็นคู่สีกัน คือ สีคู่ที่ตัดกันหรือต่างจากกันมากท่ีสุด เช่น สีแดงกับสีเขียว สี เหลืองกบั สมี ่วง สนี ้าเงนิ กับสีสม้ องคป์ ระกอบศิลป์ (composition of art) วชิ าหรือทฤษฎที ีเ่ กีย่ วกับการสร้างรปู ทรงในงานทัศนศลิ ป์ ดนตรี กำรดำเนนิ ทำนอง (melodic progression) ๑. การกา้ วเดนิ ไปข้างหนา้ ของทานอง ๒. กระบวนการดาเนินคอรด์ ซงึ่ แนวทานองขยับทีละขั้น ควำมเขม้ ของเสียง (dynamic) เสียงเบา เสียงดัง เสยี งท่ีมคี วามเข้มเสียงมากกย็ ่ิงดงั มากเหมือนกับ loudness ดน้ สด
๑๑๒ เป็นการเล่นดนตรีหรือขับร้อง โดยไม่ได้เตรียมซ้อมตามโน้ตเพลงมาก่อน ผู้เล่นมีอิสระในการกาหนดวิธีปฏิบัติ เครื่องดนตรแี ละขบั รอ้ ง บนพ้นื ฐานของเนื้อหาดนตรที ี่เหมาะสม เช่น การบรรเลง ในอัตราความเร็วท่ียืดหยนุ่ การ บรรเลงด้วยการเพิ่มหรอื ตดั โน้ตบางตวั บทเพลงไลเ่ ลยี น (canon) แคนอน มาจากภาษากรีก แปลว่า กฎเกณฑ์ หมายถึงรูปแบบบทเพลงที่มีหลายแนวหรือดนตรีหลายแนว แต่ละ แนวมีทานองเหมือนกัน แต่เร่ิมไม่พร้อมกันแต่ละแนว จึงมีทานองท่ีไล่เลียนกันไปเป็นระยะเวลายาวกว่าการเลียน ท่ัวไป โดยทั่วไปไม่ควรต่ากว่า ๓ ห้อง ระยะข้ันคู่ระหว่างสองแนว ท่ีเลียนกันจะห่างกันเป็นระยะเท่าใดก็ได้ เช่น แคนอนคู่สอง หมายถึง แคนอนที่แนวทั้งสอง เริ่มที่โน้ตห่างกนั เป็นระยะคู่ ๕ และรกั ษาระยะคู่ ๕ ไปโดยตลอดถือ เปน็ ประเภทของลลี าสอดประสานแนวทานองแบบเลียนท่มี ีกฎเกณฑเ์ ขม้ งวดทสี่ ุด ประโยคเพลง (phrase) กลุ่มทานอง จังหวะท่ีเรียบเรียงเชื่อมโยงกันเป็นหนว่ ยของเพลงท่ีมีความคิดจบสมบูรณ์ในตัวเอง มักลงท้ายด้วยเค เดนซ์ เป็นหน่วยสาคัญของเพลง ประโยคเพลงถำม - ตอบ เปน็ ประโยคเพลง ๒ ประโยคที่ตอ่ เน่ืองกันลีลาในการตอบรบั – ส่งล้อ – ลอ้ เลียนกัน อยา่ งสอดคลอ้ ง เป็นลักษณะ คล้ายกันกับบทเพลงรูปแบบ AB แต่เป็นประโยคเพลงส้ัน ๆ ซ่ึงมักจะมีอัตราความเร็วเท่ากันระหว่าง ๒ ประโยค และความยาวเทา่ กนั เชน่ ประโยคเพลงที่ ๑ (ถาม) มีความยาว ๒ ห้องเพลง ประโยคเพลงท่ี ๒ (ตอบ) ก็จะมคี วาม ยาว ๒ หอ้ งเพลง ซ่งึ จะมลี ลี าตา่ งกัน แตส่ อดรบั กนั ไดก้ ลมกลนื ผลงำนดนตรี ผลงานท่สี รา้ งสรรค์ขึ้นมาโดยมคี วามเก่ยี วขอ้ งกบั การนาเสนองานทางดนตรี เช่น บทเพลง การแสดงดนตรี เพลงทำนองวน (round) เพลงที่ประกอบด้วยทานองอย่างน้อย ๒ แนว ไลเ่ ลยี นทานองเดยี วกนั แตต่ า่ งเวลาหรอื จังหวะ สามารถไล่เลยี นกัน ไปได้อยา่ งต่อเน่อื งจนกลับมาเริ่มต้นใหมไ่ ด้อกี ไม่มีวนั จบ รปู ร่ำงทำนอง (melodic contour) รูปรา่ งการขึ้นลงของทานอง ทานองที่สมดลุ จะมีทศิ ทางการขึ้นลงทีเ่ หมาะสม สสี นั ของเสยี ง ลักษณะเฉพาะของเสียงแต่ละชนิดท่ีมีเอกลักษณ์เฉพาะต่างกัน เช่น ลักษณะเฉพาะของสีสันของเสียงผู้ชายจะมี ความทุ้มต่าแตกต่างจากสีสันของเสียงผู้หญิง ลักษณะเฉพาะของสีสันของเสียง ของเด็กผู้ชายคนหนึ่งจะมีความ แตกต่างจากเสยี งเด็กผู้ชายคนอ่นื ๆ องคป์ ระกอบดนตรี (elements of music) สว่ นประกอบสาคญั ท่ที าให้เกิดเสียงดนตรี ได้แกท่ านอง จังหวะ เสียงประสาน สสี นั ของเสยี ง และเน้อื ดนตรี อตั รำควำมเรว็ (tempo) ความช้า ความเร็วของเพลง เช่น อัลเลโกร(allegero) เลนโต (lento) ABA สัญลกั ษณ์บอกรปู แบบวรรณกรรมดนตรีแบบตรบี ท หรือเทอร์นารี (ternary) ternary form สังคีตลักษณ์สามตอน โครงสร้างของบทเพลงท่ีมีส่วนสาคัญขยับทีละข้ันอยู่ ๓ ตอน ตอนแรกและตอนท่ี ๓ คือ ตอน A จะเหมือนหรือคล้ายคลึงกันท้ังในแง่ของทานองและกุญแจเสียง ส่วนตอนที่ ๒ คือ ตอน B เป็นตอนที่ แตกต่างออกไป ความสาคัญของสังคีตลักษณ์น้ี คือ การกลับมา ของตอน A ซึ่งนาทานองของส่วนแรกกลับมาใน
๑๑๓ กุญแจเสียงเดิมเป็นสังคีตลักษณ์ท่ีใช้มากที่สุดโดยเฉพาะในเพลงร้อง จึงอาจเรียกว่า สังคีตลักษณ์เพลงร้อง (song form) ก็ได้ นำฏศิลป์ กำรตีบท การแสดงท่าราตามบทร้อง บทเจรจาหรือบทพากย์ควรคานึงถึงความหมายของบท แบ่งเป็นการตีบท ธรรมชาติ และการตบี ทแบบละคร กำรประดิษฐท์ ่ำ การนาภาษาท่า ภาษานาฎศิลป์ หรือ นาฏยศัพท์มาออกแบบ ให้สอดคล้องสมั พันธก์ ับจงั หวะทานอง บทเพลง บท ร้อง ลีลา ความสวยงาม นำฏยศัพท์ ศัพท์เฉพาะทางนาฎศิลป์ ที่ใช้เกี่ยวกับการเรียกท่ารา กิริยาท่ีแสดงมีส่วนศีรษะใบหน้าและไหล่ ส่วนแขนและมือ ส่วนของลาตัว ส่วนขาและเทา้ บคุ คลสำคัญในวงกำรนำฎศิลป์ เปน็ ผู้เชยี่ วชาญทางนาฎศลิ ป์ และภมู ิปญั ญาทอ้ งถิ่นที่สร้างผลงาน ภำษำทำ่ การแสดงท่าทางแทนคาพดู ใชแ้ สดงกริ ิยาหรอื อริ ิยาบถ และใชแ้ สดงถงึ อารมณภ์ ายใน สว่ นขำและเทำ้ กริ ยิ าแสดง เชน่ กระทบ ยืดยุบ ประเท้า กระดกเท้า กระทุง้ จรด ขยับ ซอย วางสน้ ยกเท้า ถัดเทา้ สว่ นแขนและมือ กิริยาท่ีแสดง เชน่ จบี ตั้งวง ลอ่ แกว้ มว้ นมอื สะบดั มอื กรายมือ ส่ายมือ ส่วนลำตวั ท่แี สดง เชน่ ยกั ตัว โย้ตัว โยกตัว ส่วนศีรษะใบหนำ้ และไหล่ กริ ิยาที่แสดง เช่น เอียงศรี ษะ เอยี งไหล่ กดไหล่ กลอ่ มไหล่ กลอ่ มหน้า สิ่งทเี่ คำรพ ในสาระนาฎศลิ ป์มสี ิ่งทเ่ี คารพสบื ทอดมา คือ พ่อแก่ หรือพระพรตฤษี ซ่งึ ผู้เรียนจะต้อง แสดงความเคารพ เมื่อเร่ิม เรียนและกอ่ นแสดง องคป์ ระกอบนำฎศิลป์ จงั หวะและทานองการเคล่อื นไหว อารมณ์และความรสู้ ึก ภาษาทา่ นาฎยศัพท์ รูปแบบของการแสดง การแตง่ กาย องค์ประกอบละคร การเลือกและแต่งบท การเลือกผู้แสดง การกาหนดบุคลิกของผู้แสดง การพัฒนารูปแบบของ การแสดง การปฏบิ ตั ิตนของผแู้ สดงและผ้ชู ม
๑๑๔ ภำคผนวก
๑๑๕ คณะที่ปรกึ ษำ ภทั รโสตถิ ผู้อานวยการโรงเรยี นชมุ ชนประชาธปิ ตั ย์วทิ ยาคาร ๑. นางสาวกันยาภัทร เวยี งจนั ทร์ รองผู้อานวยการกลุ่มบริหารงานวชิ าการ ๒. นางวรี วลั ย์ น้อยวรรณะ รองผูอ้ านวยการกลุ่มบริหารงานบคุ คล ๓. นางสุมนา อดทน รองผู้อานวยการกลมุ่ บริหารงานท่วั ไป ๔. นางสาวจันทมิ า คณะผจู้ ดั ทำ ตราชู หวั หน้ากล่มุ สาระการเรียนรู้ศิลปะ ครูกลมุ่ สำระกำรเรียนร้ศู ิลปะ คงชนะ รองหวั หนา้ กลมุ่ อรรถกฤษณ์ กรรมการ ๑. นางสาวสมฤดี ผวิ อ่อน กรรมการ ๒. นายชาญชยั เชยเดช กรรมการและเลขานุการ ๓. นายธนัทภัทร ๔. นายวรพงศ์ ๕. นางสาวฤดี
๑๑๖ บรรณำนกุ รม กระทรวงศึกษาธกิ าร. (๒๕๔๔). หลกั สตู รกำรศกึ ษำขัน้ พ้นื ฐำน พทุ ธศกั รำช ๒๕๔๔ . กรงุ เทพฯ: โรงพมิ พค์ รุ ุสภาลาดพร้าว. สภาพฒั นาการเศรษฐกจิ และสงั คมแหง่ ชาต.ิ (๒๕๔๙). แผนพฒั นำเศรษฐกิจและสังคมแห่งชำติ ฉบบั ท่ี ๑๐. สานกั งานเลขาธกิ ารสภาการศกึ ษา. (๒๕๔๗). ข้อเสนอยทุ ธศำสตร์กำรปฏริ ปู กำรศกึ ษำ. กรงุ เทพฯ: เซ็นจูร่ี. สานักนายกรฐั มนตรี, สานกั งานคณะกรรมการการศึกษาแห่งชาติ. (๒๕๔๒). พระรำชบัญญัติกำรศึกษำ แห่งชำติ พ.ศ. ๒๕๔๒. กรงุ เทพฯ: โรงพมิ พ์องค์การรบั สง่ สนิ คา้ และพัสดุภณั ฑ์ (ร.ส.พ.). สานักผู้ตรวจราชการและตดิ ตามประเมนิ ผล. (๒๕๔๘). กำรติดตำมปญั หำอปุ สรรคกำรใช้หลักสตู ร กำรศึกษำขนั้ พ้ืนฐำน พ.ศ. ๒๕๔๔. บันทกึ ที่ ศธ ๐๒๐๗/ ๒๖๙๒ ลงวนั ท่ี ๑๙ กนั ยายน ๒๕๔๘. สานกั วิชาการและมาตรฐานการศกึ ษา. (๒๕๔๖ ก.). สรุปผลกำรประชมุ วิเครำะห์หลกั สูตรกำรศกึ ษำ ขัน้ พ้นื ฐำน. ๒๗-๒๘ ตลุ าคม ๒๕๔๖ โรงแรมตรัง กรงุ เทพฯ. (เอกสารอัดสาเนา). สานกั วชิ าการและมาตรฐานการศึกษา. (๒๕๔๖ ข.). สรุปควำมเหน็ จำกกำรประชมุ เสวนำหลักสูตร กำรศึกษำขัน้ พืน้ ฐำน ๕ จดุ . พฤศจกิ ายน ๒๕๔๖ (เอกสารอดั สาเนา). สานักวชิ าการและมาตรฐานการศกึ ษา. (๒๕๔๘ ก). รำยงำนกำรวิจยั กำรใช้หลักสตู รกำรศกึ ษำ ขัน้ พ้นื ฐำนตำมทศั นะของผสู้ อน. กรงุ เทพฯ: โรงพมิ พ์องค์การรบั สง่ สินคา้ และพัสดภุ ัณฑ์ (ร.ส.พ.). สานักวิชาการและมาตรฐานการศึกษา. (๒๕๔๘ ข.). รำยงำนกำรวิจัยโครงกำรวิจัยเชิงทดลอง กระบวนกำร สร้ำงหลักสูตรสถำนศึกษำแบบอิงมำตรฐำน. กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์องค์การรับส่งสินค้าและพัสดุภัณฑ์ (ร.ส.พ.). สวุ มิ ล ว่องวาณชิ และ นงลกั ษณ์ วริ ชั ชัย. (๒๕๔๗). กำรประเมนิ ผลกำรปฎริ ปู กำรเรียนรู้ ตำม พระรำชบัญญัตกิ ำรศกึ ษำแหง่ ชำติ พ.ศ. ๒๕๔๒ พหุกรณีศกึ ษำ. เอกสารการประชุมทาง วิชาการการวิจยั เก่ียวกับการปฏิรูปการเรยี นรู้ โดยสานกั งานเลขาธิการสภาการศึกษา กระทรวง ศกึ ษาธิการ วนั ท่ี ๑๙- ๒๐ กรกฎาคม ๒๕๔๗. สานกั งานเขตพ้ืนทก่ี ารศกึ ษาประถมศกึ ษาปทุมธานเี ขต๒. “รกั ษ์ปทมุ ” กรอบสำระกำรเรียนรู้ท้องถนิ่ กลุม่ นเิ ทศ ตดิ ตามและประเมนิ ผลการจัดการศึกษา สพป.ปท.๒ เอกสารเผยแพรล่ าดับท่ี ....../๒๕๖๓ Kittisunthorn, C., (๒๐๐๓). Standards-based curriculum: The first experience of Thai teachers. Doctoral Dissertation, Jamia Islamia University, Delhi, India. Nutravong, R., (๒ ๐ ๐ ๒ ) . School-based curriculum decision-making: A study of the Thailand reform experiment. Doctoral Dissertation, Indiana University, Bloomington. U.S.A.
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119