Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore เอกสารประกอบการเรียน เรื่องอาณาจักร

เอกสารประกอบการเรียน เรื่องอาณาจักร

Published by noomai935, 2017-12-21 23:51:01

Description: ใช้ประกอบในการเรียนการสอนวิชาวิทยาศาสตร์
โดย นางสาวพัชราพร จุลมณี

Keywords: อาณาจักร,วิทยาศาสตร์

Search

Read the Text Version

Division Hepatophyta (หรือ Class Hepaticopsida หรือ Hepaticae) พืชในกลมุ่ นีไ้ ด้แก่ Liverworts ซงึ่ ได้ชื่อมาจากความเช่ือวา่ จะสามารถนามารักษาโรคตบั ได้ เน่ืองด้วยมีรูปร่างคล้ายตบั ของมนษุ ย์ (liver = ตบั wort = พชื สมนุ ไพร) มีประมาณ 6,000-10,000 ชนิด ลกั ษณะของ Liverworts พบได้ทงั้ แบบท่ีเป็นแผ่นแบน ๆ สีเขียวเรียกวา่ Thallus ท่ีด้านลา่ งจะมี Rhizoid ทาหน้าที่ยดึ เกาะและดดู แร่ธาตุ แตบ่ างชนิดมีลกั ษณะคล้ายมอสเช่น Leafy liverwort ซง่ึ มตี งั้ แต่ขนาดเล็กอาจมีเส้นผ่าศนู ย์กลางเลก็ กวา่ 5 มิลลิเมตร ต้นที่พบทวั่ ไปจะเป็นต้นแกมมีโตไฟต์ บางครัง้ จะพบชนั้ cuticleและสปอร์ท่ีมีผนงั หนาซงึ่ เป็นลกั ษณะการปรับตวั ของ Liverworts เพื่อที่จะสามารถอาศยั อย่บู นบกได้แกมมีโตไฟต์ แบง่ เป็น 2 แบบ คือ1. Leafy liverworts เป็น Liverworts ท่ีเป็นเส้นสาย มีลกั ษณะคล้ายมอส มีใบ 3 แถว มีสมมาตรแบบBilateral symmetry Leafy ลเิ วอร์เวิร์ทประมาณ 80 % จะเป็น leafy-Liverwortsอาศยั ในบริเวณที่มีปริมาณนา้ มากเช่น Porella2. Thallus liverworts เป็น Liverworts ท่ีมีลกั ษณะเป็นแผ่นแบนคล้ายริบบนิ ้(Ribbon-like) เช่นMarchantia แผ่นทลั ลสั สามารถแตกเป็นคซู่ ง่ึ เรียกการแตกแขนงแบบนีว้ ่าDichotomous branching

สปอร์โรไฟต์ สปอร์โรไฟต์ไมม่ ีปากใบ รูปร่างคอ่ นข้างกลม ไม่มีก้าน ยดึ ตดิ กบั แกมมีโตไฟต์จนกวา่ จะแพร่กระจายสปอร์(Shed spores) (ซ้าย) Thallus liverworts และ (ขวา) Leafy liverworts

การสืบพันธ์ุ สามารถสบื พนั ธ์แุ บบอาศยั เพศได้โดย แกมมีโตไฟต์ของลเิ วอร์เวริ ์ทหลายชนิดจดั เป็นUnisexaulเชน่ Marchantia สร้าง Archegoniophores รูปร่างคล้ายร่มบริเวณด้านลา่ งของ Archegoniophores จะมี Archegonium ย่ืนออกมาสว่ น Antheridium สร้างบริเวณด้านบนของ Antheridiophores สว่ นลเิ วอร์เวริ ์ทชนิดอื่นมีโครงสร้างงา่ ยกวา่ Marchantia เช่นใน Riccia สร้างAntheridium และ Archegoniumในทลั ลสั เดยี วกนั สว่ นการสืบพนั ธ์แุ บบไม่อาศยั เพศทาโดยการสร้าง Gemma cup ภายในมี Gemma หรือ Gemmaeมีรูปร่างคล้ายไข่ หรือรูปดาว หรือคล้ายเลนส์ซง่ึ จะหลดุ จาก Gemma cup เมื่อได้รับนา้ ฝน เม่ือGemmae หลดุ ไป สามารถเจริญเป็นต้นใหม่ได้ หรืออาจเกิดจากการขาดของต้นเดิมเนือ้ เยื่อท่ีหลดุ จากต้นสามารถเจริญเป็นต้นใหมไ่ ด้เช่นกนั

ระยะ Sporophyte ของ Liverworts

(ซ้าย) Antheridiophores และ (ขวา)Archegoniophores

Division Anthocerophyta หรือ Class Anthocerotopsida พืชในกลมุ่ นี ้เรียกรวมวา่ Hornworts เป็นกลมุ่ ท่ีเลก็ ท่ีสดุ ในไบรโอไฟต์ มีประมาณ 6 สกลุ 100ชนิด ชนิดท่ีมกั ถกู ใช้เป็นตวั อยา่ งในการศกึ ษาในประเทศไทย คอืAnthocerosHornworts มีลกั ษณะที่แตกตา่ งจากไบรโอไฟต์อื่น ๆ คอื1. สปอร์โรไฟต์รูปร่างเรียวยาวคล้ายเขาสตั ว์สเี ขียว และมี intercalarymeristemซง่ึ ทาให้สปอร์โรไฟต์สามารถเจริญได้อยา่ ง ไมจ่ ากดั2. Archegonium ฝังตวั อยใู่ นแกมมีโตไฟต์ มีโครงสร้างท่ีคล้ายกบั ปากใบ(stomata like structure) ซงึ่ จะไมพ่ บในกลมุ่ อ่ืน3. เซลล์ที่ทาหน้าที่ในการสงั เคราะห์ด้วยแสงมีคลอโรพลาสต์ 1 เม็ด และมีอาหารสะสมเป็น pyrenoidเหมือนกบั สาหร่ายสีเขียวและ Isoetes (vascular plant)แกมมีโตไฟต์

แกมมีโตไฟต์ แกมมีโตไฟต์รูปร่างกลมหรือคอ่ นข้างรี แบน สีเขียว ป็นโครงสร้างที่งา่ ย ๆ เม่อืเทียบกบั แกมมโี ตไฟต์ในกลมุ่ Bryophyte ด้วยกนั Hornworts สว่ นใหญ่เป็น unisexual สร้างอวยั วะสืบพนั ธ์ุบริเวณด้านบนของทลั ลสั การสืบพนั ธ์ุแบบไมอ่ าศยั เพศเกิดขนึ ้ โดยการขาดเป็นท่อน (Fragmentation) สปอร์ โรไฟต์ สปอร์โรไฟต์ของฮอร์นเวิร์ทมีความแตกตา่ งจากสปอร์โรไฟต์ของชนิดอ่ืนมาก มีลกั ษณะเฉพาะคอื รูปร่างคล้ายกบั เขาสตั ว์ สีเขียว ยาวประมาณ 1-4 cm ภายมีเนือ้ เยื่อที่แบง่ ตวั ให้ spores

ระยะ Sporophyte ของ HornwortsAnthocerossp.

Division Bryophyta หรือ Class Musci หรือ Bryopsida พชื ในกลุ่มน้ีไดแ้ ก่มอส (True moss) ซ่ึงมีมากกวา่ 14,000 ชนิด สามารถเจริญไดท้ วั่ ไปเช่น ตามเปลือกไม้ พ้นื ดิน กอ้ นหินแกมมีโตไฟตม์ อสมีวงชีวติ แบบสลบั โดยมีระยะแกมมีโตไฟตเ์ ด่นกวา่ สปอร์โรไฟต์ ดงั น้นั ตน้ ท่ีพบทวั่ ไป จึงเป็นตน้ แกมมีโตไฟตซ์ ่ึงส่วนใหญ่มีทลั ลสั สีเขียวเป็นตน้ ต้งั ตรงเรียก Leafy shoot อดั ตวั กนั แน่นคลา้ ยพรม ไม่มีใบ ลาตน้ และรากที่แทจ้ ริง แต่มีส่วนที่คลา้ ยลาตน้ และใบมาก มี Rhizoid ทาหนา้ ท่ียดึ กบั พ้ืนดินหรือวตั ถุท่ีเจริญสปอร์โรไฟต์สปอร์โรไฟตอ์ าศยั อยบู่ นแกมมีโตไฟตต์ ลอดชีวติ ประกอบดว้ ยส่วนสาคญั คือ Foot ใชย้ ดึ กบัแกมมีโตไฟต์ มี Seta หรือ Stalk เป็นกา้ นชู ยาว เพอ่ื ชู Sporangium หรือ capsuleส่วน capsule เป็นส่วนที่มีความสาคญั ท่ีสุด มีฝาเปิ ดหรือ operculum อยดู่ า้ นบน และจะเป็ดออกเมื่อแคปซูลแก่ operculum จะถูกห่อหุมดว้ ย calyptra เป็นเยอ่ื บาง ๆ ช่วยป้องกนั อนั ตรายใหก้ บั capsule แตมกั จะหลุดไปเม่ืออายมุ ากข้ึน ถดั จาก operculum จะเป็นเน้ือเยอ่ื ที่มีการสร้าง spore เซลลใ์ นช้นั น้ีแบ่งตวั แบบไมโอซิสไดส้ ปอร์ เม่ือสปอร์โรไฟต์แก่ operculum จะเปิ ดใหเ้ ห็น peristome teeth ลกั ษณะคลา้ ยซี่ฟัน

มีคุณสมบตั ิไวตอ่ ความช้ืน(Hygroscopic) เมื่ออากาศแหง้ ความช้ืนในอากาศนอ้ ยperistme teeth จะกางออก ทาใหด้ ีดสปอร์ออกมาดว้ ย และจะมว้ นตวั เขา้ ไปภายในcapsule เม่ือความช้ืนในอากาศมาก เมื่อสปอร์ตกไปในที่ ๆ มีสภาพแวดลอ้ มท่ีเหมาะสม ก็จะงอกไดท้ นั ที ซ่ึงจะงอกเป็นเส้นสาย สีเขียวที่เรียกวา่ protonema ลกั ษณะคลา้ ยสาหร่ายสีเขียวมาก พืชตวั แทนที่ใชใ้ นการศึกษาพืชกลุม่ น้ีคือ มอส Sphagnum หรือ Peat moss หรือBox moss หรือขา้ ตอกฤษี ขา้ วตอกพระร่วง พืชชนิดน้ีประกอบดว้ ยเซลลส์ องแบบคือเซลล์ท่ีมีชีวิตทาหนา้ ที่ในการสังเคราะห์อาหารดว้ ยแสง และเซลลท์ ี่ตายแลว้ ซ่ึงทาหนา้ ท่ีในการเกบ็ กกัน้า ซ่ึงอาจเกบ็ ไดม้ ากถึง 200 เท่า อยา่ งไรกต็ ามมีส่ิงมีชีวิตท่ีถูกเรียกวา่ มอสแต่ไม่ไดอ้ ยใู่ นกลุม่ น้ีมากมายเช่น Sea moss(สาหร่ายสีแดง) Reindeer moss Oak moss (Lichens) Club moss(Lycopodium) และ Spanish moss (พืชดอก)

โครงสร้ างของมอส

วงชวี ิตของมอส

พืชมที ่อลำเลยี ง (Vascular Plants) พืชท่ีมีทอลาเลียงเป็นพืชกลุ่มที่พบมากท่ีสุดคือ ประมาณ 250,000 ชนิด พชื กลุ่มน้ีแตกตา่ งจากกลุ่มไบรโอไฟตค์ ือ มีขนาดใหญ่ อาศยั อยบู่ นพ้ืนดินที่ไม่จาเป็นตอ้ งช้ืนแฉะมากเป็นส่วนใหญ่ มีการพฒั นาเน้ือเยอื่ ไปเป็นใบท่ีทาหนา้ ท่ีรับพลงั งานแสง มีรากท่ีช่วยในการยดึ เกาะและดูดน้าและแร่ธาตุตา่ ง ๆ มีการพฒั นาระบบท่อลาเลียง (Vascular system) และเพ่ือเป็นการช่วยค้าจุนท่อลาเลียงของพืชจึงตอ้ งมีเน้ือเยอื่ ท่ีเสริมใหค้ วามแขง็ แรงคือ Ligninifiedtissue ซ่ึงพบในผนงั เซลลช์ ้นั ที่สอง (Secondary wall) เน้ือเยอ่ื ลาเลียงสามารถลาเลียงน้าและสารอาหารไปยงั ส่วนต่าง ๆ ของพืชไดต้ ลอดทุกส่วนของพืช นอกจากน้นั เน้ือเยอ่ืผวิ ยงั ทาหนา้ ท่ีแลกเปล่ียนแกส็ และป้องการสูญเสียน้าไดอ้ ยา่ งมีประสิทธิภาพพืชใน DivisionTracheopphyta มีมากมายหลายชนิดจึงแบ่งยอ่ ยเป็น 5 Subdivision คือ1. Subdivision Psilopsida (หวายทะนอย)2. Subdivision Locopsida (ตีนตุก๊ แก)3. Subdivision Sphenopsida (หญา้ หางมา้ )4. Subdivision Pteropsida (เฟิ น)5. Subdivision Spermopsida (พชื มีเมลด็ )

Subdivision Psilopsida พชื ในดวิ ิชนั่ ยอ่ ยนีส้ ว่ นใหญ่สญู พนั ธ์ไุ ปหมดแล้ว เหลืออยเู่ พียง 3 ชนิด คือ สกลุ Psilotum 2 ชนิดคือPs. nudum (L.) Pal. และ Ps. complanatum Sw. และสกลุ Tmesipteris (ในประเทไทยพบเฉพาะPsilotum ในช่ือของหวายทะนอย หรือ Whisk fern สว่ น Tmesipteris มกั พบอิงอาศยักบั พืชอื่นเช่น treefern ไม่นิยมปลกู นามาปลกู ) ท่อลาเลียงในลาต้นของ Psilotum เป็นแบบprotostele พืชชนิดนีม้ ีทอ่ ลาเลยี งเฉพาะในสว่ นของลาต้น จึงจดั วา่ ไม่มีรากและใบที่แท้จริง มีไรซอยด์ ไมม่ ีใบแตจ่ ะมีใบเกลด็ หรือสเกล (Scale)เลก็ ๆ อย่บู นลาต้น มีลาต้นใต้ดินขนาดเลก็ ลาต้นแตกเป็นคู่ หรือDichotomous branching สร้างSporangia อบั สปอร์เกิดอยบู่ นลาต้นหรือก่ิงตรงบริเวณมมุ ซง่ึSporangia ประกอบด้วย 3 Sporangiaเชื่อมติดกนั เรียก Synangium ภายในเกิดการแบง่ เซลล์แบบไมโอซสิ ได้สปอร์ สปอร์มีชนิดเดยี วคือมีลกั ษณะเหมือนกนั ทงั้ หมด (Homospore) เม่ือสปอร์งอกเกิดเป็นแกมมีโตไฟต์ขนาดเลก็ สีนา้ ตาลอาศยั อย่ใู นดิน หรืออาจมีหลายรูปแบบเช่นรูปร่างทรงกระบอกมีการแตกแขนง และมีเชือ้ ราเข้ามาอาศยั อย่รู ่วมกนั โดยเชือ้ ราเอือ้ ประโยชน์ให้กบั แกมมีโตไฟต์โดยชว่ ยดดู ซมึ สารไนเตรทฟอสเฟตและสารอินทรีย์อื่น ๆ ให้กบั แกมมีโตไฟต์ แกมมีโตไฟต์จะสร้าง Antheridium ซงึ่ จะทาหน้าท่ีสร้าง Sperm และ Archegonium ซง่ึ จะทาหน้าท่ีสร้าง Eggแล้วมีการผสมพนั ธ์กุ นั ได้ต้นSporophyte ต้นใหม่

ระยะแกมมีโตไฟต์ของ หวายทะนอย

(ซ้าย) หวายทะนอยระยะสปอโรไฟต์ (ขวา) อบั สปอร์ของหวายทะนอย

Subdivision Lycopsida พืชใน Subdivision นีม้ ีท่อลาเลยี งในสว่ นของ ลาต้น ใบ และราก ซง่ึ เกิดตงั้ แตย่ คุ ดีโวเนียน แม้จะสญูพนั ธ์ไุ ปแล้วหลายชนิดแตย่ งั สามารถพบได้บ้างในปัจจบุ นั เชน่ LycopodiumSelaginellaPhylloglossumIsoetes ชนิดพนั ธ์ทุ ่ีพบในประเทศไทยเช่น สามร้อยยอด (Lycopodium cernuum L.) ช้องนางคลี่(Lycopodium phlegmaria L.) หางสิงห์ (Lycopodium squarrosumForst.)Selaginella involutaSpreng. Selaginella roxburghii Spreng.Lycopodium หรือท่ีเรียกกนั ทวั่ ไปวา่ Club moss Ground pine หญ้าสามร้อยยอด และช้องนางคลี่มกั พบตามชายป่าดบิ แล้งหรือดบิ ชืน้ ท่ีเหน็ ทวั่ ไปเป็นต้นในระยะสปอร์โรไฟต์ อาจดารงชีวติ เป็นอีพิไฟต์(Epiphyte) หรือขนึ ้ บนดนิ ลาต้นมีทงั้ ลาต้นใต้ดิน และเหนือดิน ลาต้นเหนือดนิ มีขนาดเลก็ เรียว มีทงั้ ตรงหรือคบื คลานแผไ่ ปตามผิวดิน แตกกิ่งแบบ 2 แฉก มีราก แตกก่ิงแบบ 2 แฉก มใี บขนาดเลก็(Microphyll)จานวนมาก เรียงตวั ติดกบั ลาต้นแบบวนเป็นเกลยี ว หรือวนเป็นวง หรือตรงข้าม สืบพนั ธ์โุ ดยการสร้างสปอร์เป็นสปอร์ชนิดเดียวเหมือนกนั หมด สปอร์อย่ภู ายในอบั สปอร์ซงึ่ อย่บู นใบสปอโรฟิล(Sporophyll) โดยอย่ใู นซอกใกลก็ บั ฐานใบ สปอโรฟิลมีขนาดตา่ ง ๆ กนั ถ้ามีขนาดเลก็ มากก็จะอย่รู วมอดักนั อย่บู นแกนเดยี วกนั เกิดเป็นโครงสร้างเรียกว่า สโตรบิลสั (Strobilus หรือ Cone) ซงึ่ อาจมีก้านชหู รือไม่มีก้าน สปอร์มีจานวนมากขนาดเลก็

ผนงั สปอร์มีลวดลายคลา้ ยตาขา่ ย อาจมีการสืบพนั ธุ์แบบไม่ใชเ้ พศโดยการสร้าง Gemmaeคือกลุ่มเซลล์ ซ่ึงจะเจริญงอกข้ึนเป็นตน้ สปอโรไฟตต์ น้ ใหม่ส่วนสปอร์จะปลวิ ไปตกตามดินแลว้เจริญเป็นตน้ แกมีโตไฟต์ ซ่ึงมีการสร้างท้งั แอนเทอริเดียม ซ่ึงทาหนา้ ท่ีสร้างสเปิ ร์ม และมีอาร์คีโกเนียม ซ่ึงสร้างไข่ เมื่อมีการผสมพนั ธุ์กนั กจ็ ะไดต้ น้ สปอโรไฟตต์ น้ ใหม่ แกมมีโตไฟตท์ ี่อยใู่ ต้ดินจะอยรู่ ่วมกบั ราไมคอร์ไรซา ส่วนท่ีอยเู่ หนือดินเรียกวา่ Prothallus Lycopodium

สว่ น Selaginella เป็นพืชขนาดกลางหรือขนาดเลก็ มีลกั ษณะคล้ายคลงึ กบั Lycopodium มีการแตกก่ิงก้านมากแตกกิ่งแบบ 2 แฉก ลาต้นอาจตงั้ ตรงหรือแผ่ปกคลมุ ดิน ใบมีขนาดเลก็ เรียงตวั ติดกบั ลาต้นแบบวนเป็นเกลยี ว หรือเรียงเป็นแถว 4 แถว มีลิกิวล์ (Ligule) อย่ทู ี่ฐานของใบแตล่ ะใบและที่ด้านบนใบด้วย มีรากเป็นรากวิสามญั รากแตกแขนงแบบ 2 แฉก แตกออก จากกิ่งเพอ่ื ทาหน้าท่ียดึ พยงุ ลาต้นซง่ึ เรียกวา่ ไรโซฟอร์(Rhizophore) สืบพนั ธ์โุ ดยการสร้างสปอร์ สปอร์มี 2 ชนิด (Heterospore) คือ ไมโครสปอร์(Microspore) ซง่ึ มีขนาดเลก็ และเมกาสปอร์(Megaspore) ซงึ่ มีขนาดใหญ่ สปอร์ทงั้ สองชนิดนีจ้ ะสร้างอย่ภู ายในอบั สปอร์คนละอบั อบั สปอร์อย่ทู ี่ซอกใบ สปอโรฟิล ซงึ่ จะเรียงตวั อยบู่ นแกนท่ีปลายก่ิงสปอโรฟิลอาจเรียงกนั หลวม ๆ หรือเรียงติดกนั แน่นก็ได้ โดยตดิ ท่ีแกนกลางเรียงตวั เป็น 4 แถว แต่ละแถวจะเห็นเป็นสนั ออกมาเป็น 4 สนั เป็นโครงสร้างท่ีเรียกวา่ สโตรบิลสั ในแตล่ ะสโตรบลิ สั จะมีทงั้ อบั สปอร์ท่ีสร้างเมกาสปอร์ ซงึ่ มกั จะอยสู่ ว่ นลา่ งของชอ่ สโตรบิลสั สว่ นอบั สปอร์ท่ีสร้างไมโครสปอร์มกั อยสู่ ่วนบนของชอ่ สโตรบิลสัอบั สปอร์ที่สร้างเมกาสปอร์ ซงึ่ มกั มีสเี ขียวแกมขาวจะสร้างเมกาสปอร์ทีมีขนาดใหญ่และมีจานวน 4 เซลล์ต่อ 1อบั สว่ นอบั สปอร์ท่ีสร้างไมโครสปอร์ ซงึ่ มกั เป็นสีส้มแดงจะสร้าง ไมโครสปอร์จานวนมากและมีขนาดเลก็ อาจมีการสบื พนั ธ์แุ บบไมใ่ ช้เพศโดยการสร้างบลั บลิ (Buibil) หรือเกิดการหกั ของลาต้นงอกเป็นต้นใหม่ สว่ นการสบื พนั ธ์แุ บบใช้เพศ เกิดโดยสเปิร์มท่ีเกิดจากไมโครสปอร์จะเข้าผสมกบั ไข่ในเมกาสปอร์ แล้วได้เป็นต้นสปอร์โรไฟต์ต้นใหม่

Selaginella

Subdivision Sphenopsida พืชในกลมุ่ นีท้ ่ีมีชีวิตอย่เู หลอื เพียงสกลุ เดยี วคือ Equisetum หรือท่ีรู้จกั กนั ทว่ั ไปในช่ือของ Horsetailหญ้าหางม้า หรือหญ้าถอดปล้อง ชนิดที่พบในไทยคือ Equisetum debile Roxb. ซง่ึ พบมากในเขตร้อนชมุ่ ชืน้ และหนาวเยน็ เนือ้ เยื่อผิวมีสว่ นประกอบประเภทซิลกิ า สมยั ก่อนนามาใช้ขดั ถชู ามให้มีความเงางาม Equisetumมีทอ่ ลาเลยี งทงั้ ในใบ ดอก ราก ลาต้นใต้ดนิ ที่เป็น Rhizome สามารถแตกแขนงไปได้มาก ซงึ่ บางครัง้ พบวา่ เป็นปัญหาสาหรับเกษตรกร เพราะการทาลายจะทาลายได้เฉพาะลาต้นที่อยเู่ หนือดนิสว่ นลาต้นใต้ดนิ ก็ยงั คงมีชีวิตอย่แู ละสามารถแตกเป็นต้นใหม่ได้สว่ นของลาต้นมีสเี ขียวใช้ในการสงั เคราะห์ด้วยแสง ใบมีลกั ษณะเป็นเกลด็ ติดกนั เรียงตวั รอบข้อหญ้าหางม้าที่เห็นทวั่ ไปเป็นต้นสปอร์โรไฟต์ท่ีมีอายปุ ีเดียวหรือหลายปี ลาต้นมีทงั้ ลาต้นเหนือดนิ และลาต้นใต้ดนิ ลาต้นเหนือดินเป็นลาต้นตงั้ ตรงมีข้อปลอ่ งชดั เจน ตามผิวลาต้น จะมีรอยเว้าลกึ เป็นร่องยาวตามความยาวของลาต้น ผิวของลาต้นมกั สากเพราะมีทรายจบั เกาะ ตรงบริเวณข้อของลาต้นจะมีสเกล ซง่ึ มลี กั ษณะคล้ายใบเลก็ ๆ แห้ง ๆ สีนา้ ตาล ตดิ อยโู่ ดยเรียงตวั รอบข้อ (Whorled)ที่ข้อยงั มีการแตกกิ่งซงึ่ ก็แตกแบบรอบข้อเชน่ เดยี วกนั โดยแตกออกมาเรียงสบั หวา่ งกบั สเกล ภายในลาต้นจะกลวงยกเว้นบริเวณข้อจะตนั สบื พนั ธ์โุ ดย การสร้างสปอร์ภายในอบั สปอร์ สปอรท่ีสร้างเป็น ชนิดเดยี วกนั หมดและมีจานวนมาก อบั สปอร์จะเกิดอยบู่ นปลายสดุ ของกิ่ง โดยเกิดอยรู่ ่วมกนั เป็นกลมุ่ บนโครงสร้างที่เรียกว่าสปอแรนจิโอฟอร์(Sporangiophore)

ซง่ึ มีรูปร่างคล้ายโล่ ด้านหน้าเห็นเป็น 6 เหล่ยี ม สว่ นด้านในจะมีอบั สปอร์ท่ีไม่มีก้านตดิ อยปู่ ระมาณ 5-10 อบั ตอ่1 สปอแรนจิโอฟอร์ ซง่ึ สปอแรนจิโอฟอร์จานวนมากนีจ้ ะติดอย่กู บั แกนกลางของสโตรบิลสั (Strobilus) อบัสปอร์จะแตกตามยาว สปอร์มีขนาดเลก็ ภายในมีคลอโรฟิล ที่ผนงั สปอร์จะมีเนือ้ เย่ือยาว คล้ายริบบนิ ้ 4 แถบเจริญออกมาแล้วพนั อย่รู อบสปอร์เรียกว่า อีเทเลอร์ (Elater) จะชว่ ยในการกระจายของสปอร์ เมื่อสปอร์ปลวิไปตกตามพืน้ ดนิ ก็จะงอกเป็นต้นแกมีโตไฟต์ขนาดเลก็ ซง่ึ มีแอนเทอริเดียม ทาหน้าท่ีสร้างสเปิร์ม และอาร์คโี กเนียมทาหน้าท่ีสร้างไข่ สเปิร์มเข้าผสมกบั ไขแ่ ล้วเจริญขนึ ้ เป็นต้นสปอรโรไฟต์ตอ่ ไป โครงสร้ างของ หญ้าหางม้า

หญ้าหางม้า

Subdivision Pteropsida พืชในกลมุ่ นีไ้ ด้เฟิน มีสมาชิกประมาณ 12,000 ชนิด จดั เป็นกลมุ่ ท่ีใหญ่ท่ีสดุ ในพืชกลมุ่ ไม่มีเมล็ด มีความหลากหลายมาก บางชนดิ พบอยใู่ นเขตร้อน บางชนดิ อย่ใู นเขตอบอนุ่ หรือแม้กระทงั่ ทะเลทราย จานวนชนิดของเฟินเร่ิมลดลงเนื่องจากความชืน้ ท่ีลดลงและเนื่องจากเฟินเป็นพืชท่ีมีความหลากหลายมาก บางสกลุ มีใบขนาดใหญ่ที่สดุ ในอาณาจกั รพืช เช่น Marattia เป็นสกลุ หนง่ึ ของเฟินต้น มีใบยาวถงึ 9 เมตร กว้างประมาณ 4.5เมตร นอกจากนีย้ งั มี เฟินสกลุ อ่ืนท่ีอาศยั อยใู่ นนา้ เช่น Salvinia(จอกหหู น)ู และ Azolla (แหนแดง) มีใบขนาดเลก็ มาก สว่ นเฟินที่นิยมนามาเป็นตวั อยา่ งในการศกึ ษาถึงลกั ษณะทว่ั ไปของเฟินมกั อยใู่ น OrderFilicales มีสมาชิกประมาณ 10,000 เชน่ Pteridium aquilinum

Marattia salicina(ซ้าย) จอกหหู นู (ขวา) แหนแดง

เฟินท่ีขนึ ้ อยทู่ ว่ั ไปนนั ้ เป็นต้นสปอร์โรไฟต์ เป็นพืชที่มีทอ่ ลาเลยี งแตไ่ มม่ ีแคมเบียมและเนือ้ ไม้ ลกั ษณะทวั่ ไปของฟินคือ มีราก เป็นรากท่ีแตกออกจากลาต้นจงึ เจริญเป็นรากวิสามญั (Adventition root)มีลาต้นเรียกวา่ ไรโซม (Rhizome) ใช้เรียกทงั ้ ต้นท่ีอยใู่ ต้ดนิ หรือเหนือดินก็ได้ ไรโซมอาจมีลกั ษณะตงั้ตรงหรือวางทอดขนานกบั ดนิ หรืออาจไหลไปตามผิวดิน การเกิดใบและรากบนไรโซมจะมี 2 แบบคือแบบที่ใบและรากเกิดอยคู่ นละด้านของไรโซม โดยจะอยฝู่ ่ังตรงข้ามกบั บนไรโซมเรียกวา่ Dorsiventralconstruction และแบบท่ี 2เป็นแบบที่ไรโซมจะตงั้ ตรง สว่ นใบและรากจะติดอยรู่ อบไรโซมนนั้ เรียกวา่Radial construction ใบเรียกว่าฟรอน (Frond) มีทงั ้ เส้นใบแตกแบบไดโคโทมสั และแบบร่างแห ใบเจริญจากลาต้นใต้ดินหรือเหง้าซงึ่ มี 2 แบบคอื ใบเดี่ยว และใบประกอบมีลกั ษณะพเิ ศษคอื มีความแกอ่ อ่ นในใบ ๆ เดียวกนั นนั ้ ไม่เทา่ กนั โคนใบจะแก่กวา่ ปลายใบจะออ่ นกว่า ทาให้ปลายใบม้วนงอเข้าหาโคนใบเรียกวา่ Circinate vernation (การเจริญไมเ่ ทา่ กนั เกิดจาก ผิวด้านลา่ งเจริญเร็วกวา่ด้านบน) Circinate vernation ในเฟิ น

ใบเฟิ นบางชนิดทาหนาท่ีขยายพนั ธุ์เช่น บริเวณปลายสุดของใบเกิดเป็นเน้ือเยอื่ เจริญและแบ่งตวั ใหพ้ ืชตน้ ใหม่เรียกเฟิ นแบบน้ีวา่ Walking fern (Asplenium rhizophllum ) Walking fern นอกจากนีใ้ บเฟินยงั มีลกั ษณะพิเศษอีกอยา่ งคือไมส่ ร้างสตรอบลิ สั แตบ่ ริเวณด้านท้องใบสร้างสปอร์ สปอร์อย่ภู ายใน Sporangia ซงึ่ Sporangia อาจอยรู่ วมกนั เป็นกลมุ่ เรียกวา่ Sorus (พหพู จน์ : Sori) บางชนิดจะมีเยื่อบางห้มุ ซอรัสไว้ เรียกเย่ือนีว้ า่ Indusium การสบื พนั ธ์ุ จะมีพชื ต้นสปอโรไฟต์ เดน่ กวา่ แกมีโตไฟต์ต้นสปอโรไฟต์จะสร้างอบั สปอร์ ซง่ึ ภายในมีสปอร์ อบั สปอร์เกิดอยดู่ ้านหลงั ใบ (Abaxial surface หรือLower surface) สปอร์เฟินท่ีมีรูปร่างคล้ายกนั เรียก Homospores แตล่ ะ Sporangia ล้อมรอบด้วยกลมุ่ เซลล์ท่ีเรียกวา่ Annulus ซง่ึ มผี นงั หนาไม่เท่ากนั ผนงั ด้านนอกบางมาก และแตกออกเม่ืออากาศแห้งทาให้สปอร์กระจายไปได้ สปอร์จะงอกเป็น Protonema เจริญเป็นแกมมีโตไฟต์รูปร่างคล้ายรูปหวั ใจ(Heartshaped)ยดึ กบั ดินโดยใช้ Rhizoid แกมมีโตไฟต์สร้างอวยั วะสบื พนั ธ์ทุ งั้ 2เพศ จงึ จดั เป็นMonoecious โดยArchegonium เกิดบริเวณรอยเว้าตรงกลางของหวั ใจ (Apical notch) ฝังลงในแกมมีโตไฟต์ สว่ นAntheridium เกิดบริเวณด้านบน สเปิร์มว่ายมาผสมกบั ไขท่ ่ี Archegoniumเกิดเป็นสปอร์โรไฟต์หลงั จากนนั้ แกมมีโตไฟต์จะสลายไป

Sori ของเฟิ นวงชวี ิตของเฟิ น

เฟิ นท่ีสร้ าง เชน่ แหนแดง) มีใบขนาดเลก็ มาก อีกสกลุได้แก่ (ผกั แวน่ ) จดั เป็นเฟินนา้ สว่ นของรากฝังอยใู่ นโคลนมีเพียงใบเทา่ นนั้ ท่ียื่นขนึ ้ มาเหนือนา้ สปอร์จะถกู สร้างในโครงสร้างท่ีเรียกวา่Sporocarp ของ (ซ้าย) จอกหหู นู (ขวา) แหนแดง

Subdivision Spermopsida เป็นกลุ่มพืชที่มีท่อลาเลียง และมีเมลด็ ซ่ึงจดั วา่ มีววิ ฒั นาการสูงสุด สามารถจาแนกไดเ้ ป็น กลุ่มพชืดอกในคลาส Angiospermae และกลุ่ม Gymnosperm ซ่ึงประกอบดว้ ยพืชในคลาสPteridospermaeCycadae Gingkoae Coniferae และ Gnetopsida พชื เหล่าน้ีไม่มีดอก แต่มีเมลด็ แบบ Nake seedเน่ืองจาก ovule ไม่มีรังไข่ห่อหุม้ มี Heterosporeสร้าง Strobilus หรือ Cone แบบแยกเพศ Cone เพศผเู้ รียกวา่ Staminate cone ส่วนCone เพศเมียเรียกวา่ Pistillate cone การปฏิสนธิจะเกิดข้ึนเพียงคร้ังเดียวใน Xylemมีเทรคีต ไม่มีเวสเซล Class Pteridospermae : เป็นพชื ที่มีลกั ษณะโบราณ (Primitive) ใบมีลกั ษณะคลา้ ยเฟิ น เมลด็ เกิดข้ึนที่ส่วนของใบ จึงเรียกพืชกลุ่มน้ีวา่ Seed fern ลาตน้ ส่วนใหญ่มีเน้ือไม้ ไม่พบในปัจจุบนั แต่พบไดใ้ นยคุ ดีโวเนียน และยคุ คาร์บอนิเฟอรัสตวั อยา่ งสกลุ ท่ีพบเช่น Neuropteris และEmplectopteris

(ซ้าย) ฟอสซลิ ของ Neuropteris (ขวา) Emplectopteris

Class Cycadae : เป็นพชื ท่ีเรียกทวั่ ไปวา่ Cycads หรือปรง พบไดต้ ้งั แต่ยคุ Permian และแพร่กระจายมากในยคุ Jurassic ในปัจจุบนั เหลือประมาณ 9 สกลุ 100 ชนิด ชอบข้ึนในเขตร้อน พบทวั่ ไปในป่ าเตง็ รัง ในประเทศไทยพบ 1 สกลุ คือ Cycad เช่น C. rumpii (ปรงทะเล) C. siamensis (มะพร้าวเต่า) C. circinalis(มะพร้าวสีดา) C. micholitzii (ปรง) พชื ในกลุ่มน้ีเป็นพชื บก มีลกั ษณะคลา้ ยพวกปาลม์ ลาตน้ ตรง ไม่มีการแตกก่ิง อาจมีลาตน้ ใตด้ ิน หรือลาตน้ อยใู่ ตด้ ินท้งั หมด มีแต่ใบที่โผล่ข้ึนเหนือดินเป็นกอมีการเติบโตชา้ มากโดยทวั่ ไปสูงประมาณ 1 เมตรแต่บางชนิดอาจสูงถึง 18 เมตร ใบเป็นใบประกอบแบบขนนกติดกบั ลาตน้ แบบวนเป็นเกลียว ใบมกั เป็นกระจุกอยทู่ ่ียอดลาตน้ ท่ีลาตน้ ส่วนล่าง ๆ จะเห็นรอยแผลเป็นท่ีกา้ นใบเก่าร่วงไป ใบจะมีอายยุ นื ติดทนนาน ใบอ่อนมีลกั ษณะคลา้ ยใบเฟิ ร์นคือ มว้ นงอ โดยปลายใบยอ้ ยจะมว้ นงอเขา้หาแกนกลางของกา้ นใบ มีการสร้างสปอร์ 2 ชนิดคือ ไมโครสปอร์ จะเกิดอยใู่ นไมโครสปอแรนเจียม ซ่ึงอยบู่ นไมโครสปอโรฟิ ล และอยกู่ นั เป็นกลุ่มในสโตรบิลสั เพศผู้ (Male strobilus) ส่วนเมกาสปอร์จะอยใู่ นเมกาสปอแรนเจียมซ่ึงเกิดอยบู่ นเมกาสปอโรฟิ ลและอยรู ่วมกนั เป็นกลุ่มเรียกวา่ สโตรบิลสั เพศเมีย (Femalestrobilus) จะทาหนา้ ท่ีสร้างเมกาสปอร์ ซ่ึงสโตรบิลสั เพศผแู้ ละสโตรบิลสั เพศเมียจะแยกกนั อยคู่ นละตน้(Dioecious plant)โดยมกั เกิดอยทู่ ่ียอดลาตน้ เม่ือไข่ในเมกาสปอแรนเจียมไดร้ ับการผสมกจ็ ะเจริญเป็นเมลด็ ปรงมีรากแกว้ ขนาดใหญม่ ีระบบรากแขน และอาจพบ Nastoc หรือ Anabaena อาศยั อยรู่ ่วมดว้ ยวงชีวติ เป็นแบบสลบั Sporophyte มีขนาดใหญเ่ ป็นท่ีอยขู่ อง Gametophyte

(ซ้าย) C. circinalis (ขวา) C. siamensis (ซ้าย) โคนตวั ผู้ (ขวา)โคนตวั เมีย

Class Ginkgoae : พืชกลุ่มน้ีไดแ้ ก่ แป๊ ะก๊วย (Ginkgo biloba ) หรือที่เรียกวา่ Maldenhairtree จดั เป็นLiving fossil อีกชนิดหน่ึงพบไดต้ ้งั แต่ยคุ Permian ปัจจุบนั พบเป็นพชื พ้ืนเมืองในจีนและญี่ป่ ุน และเจริญแพร่พนั ธุเขา้ สู่ยโุ รปและอเมริกาในบริเวณอบอุ่นถึงหนาว พชื ในกลุ่มน้ีเป็นพชื ขนาดใหญ่สูงถึง 100 ฟุต มีก่ิงกา้ นสาขา เน้ือไมไ้ ม่มีเวสเซล (Vessel) ไซเลมทีเทรคีต ใบเป็นใบเดี่ยวรูปพดั ท่ียอดของปลายใบมกั เวา้ ลึกเขา้ มาในตวั แผน่ ใบ ทาใหด้ ูเหมือนตวั แผน่ ใบแยกเป็น 2 ส่วน (Bifid) เสน้ ใบเห็นชดั วา่ มีการแยกสาขาแบบแยกเป็น 2 แฉก (Dichotomous) แต่จะไม่เป็นร่างแห ใบติดกบั กิ่งแบบสลบั ใบแป๊ ะก๊วย

ก่ิงบนลาตน้ จะมี 2 ชนิดคือ ก่ิงยาว (Long shoot) เป็นก่ิงที่มีใบธรรมดาไม่มีการสร้างอวยั วะท่ีใชใ้ นการสืบพนั ธุ์ ส่วนก่ิงอีกชนิดหน่ึงคือ ก่ิงส้นั (Spur shoot) จะเป็นก่ิงส้นั ๆ มีใบติดอยเู่ ป็นกลุ่ม และมีการสร้างอวยั วะท่ีใชใ้ นการสืบพนั ธุค์ ือ อวยั วะสร้างเซลลส์ ืบพนั ธุ์เพศผเ้ กิดบนช่องสโตรบิลสั เพศผู้ และอวยั วะสร้างเซลล์สืบพนั ธุเ์ พศเมียเกิดบนช่องสโตรบิลสั เพศเมีย ซ่ึงสโตรบิลสั ท้งั สองชนิดน้ีจะเกิดอยคู่ นละตน้ กนั จึงแยกเป็นตน้เพศผแู้ ละตน้ เพศเมีย สโตรบิลสั เพศผมู้ ีลกั ษณะเป็นช่อยาวแบบแคทกิน ไม่มีแบรค บนช่อจะมีใบสปอโรฟิ ลจานวนมาก ซ่ึงแต่ละใบเปล่ียนแปลงไปมีลกั ษณะเป็นกา้ นชูที่ปลายกา้ นมีอบั สปอร์เพศผู้ 2 อบั ติดอยู่ ส่วนสโตรบิลสั เพศเมียมีลกั ษณะเป็นกา้ นยาว ปลายสุดเห็นโอวลู ติดอยู่ 2 อนั ซ่ึงมกั จะเป็นหมนั เสีย 1 อนั เม่ือโอวลู น้ีไดร้ ับการผสมกจ็ ะเจริญเป็นเมลด็ มีลกั ษณะคลา้ ยผล เพราะภายนอกมีเน้ือนุ่มตน้ อ่อนภายในเมลด็ มีใบเล้ียง 2ใบ (ซ้าย) ผล (ขวา) Strobilus ของแป๊ ะก๊วย

Class Coniferae : พืชสว่ นใหญ่ในคลาสนีถ้ กู เรียกวา่ Conifer ได้แกส่ นชนิดตา่ ง ๆ ท่ีแพร่กระจายมาตงั้ แต่ยคุ Triassic และ Jurassic จนถงึ ปัจจบุ นั พบได้ตงั้ แตเ่ ขตหนาวขวั้ โลกจนถงึ เขตอบอนุ่ และบนภเู ขาสงู ในเขตร้อนอยา่ งประเทศไทยเช่น สนสามใบหรือสนเก๊ียะ สนสองใบ เป็นต้น สว่ นใหญ่พืชกลมุ่ นีเ้ป็นพืชท่ีมคี วามสาคญั ทางเศรษฐกิจและเป็นทีร่ ู้จกั กนั ดหี ลายชนิดเช่น Pine Spruce Fir Cedar Juniper LarchHemlock Cypress YewRedwoodพืชในกลมุ่ นีเ้นือ้ ไมม่ ีการเจริญขนั้ ท่ีสอง ใบเรียงตวั ตดิ กบั ลาต้นแบบวนเป็นเกลียวหรือตรงข้าม ใบมกั มีรูปร่างเป็นรูปเข็ม บางชนิดใบมีลกั ษณะเป็นเกลด็ ใบสีเขียว ระบบรากเป็นรากแก้วมกั พบ Mycorhyza ทรี่ ากด้วยไซเลมประกอบด้วยเทรคีตเป็นสว่ นใหญ่ คอร์เทกซขื องต้นมกั มีนา้ มนั หรือยางทม่ี กี ลิน่ เฉพาะ ในการสืบพนั ธ์พุ บวา่สโตรบิลสั เพศผ้แู ละสโตรบิลสั เพศเมียมกั เกิดอย่บู นต้นเดียวกนั (Monoecious) สโตรบิลสั เพศเมยี ประกอบด้วยสเกล (Megasporophyll) ทาหน้าทส่ี ร้างโอวลู (Ovuliferous scale) ในแตล่ ะสโตรบิลสั มีสเกลหลายอนั แต่ละสเกลมกั มีโอวลู 2 อนั สว่ นสโตรบิลสั เพศผ้จู ะประกอบด้วยสเกล (Microsporophyll)จานวนมาก แตล่ ะสเกลจะมีการ สร้างละอองเกสรตวั ผ้อู ย่ภู ายในถงุ (Pollensac) เม่ือโอวลู ได้รับการผสมจะเจริญเป็นเมลด็ ทภี่ ายในมีต้นออ่ นท่ีมีใบเลีย้ งตงั้ แต่ 2 ใบจนถงึ เป็นจานวนมาก Redwood และ Larch ในฤดูต่าง ๆ

(ซ้าย) ใบสน (ขวา) ใบยวิ (ซ้าย) โคนตวั ผู้ (ขวา)โคนตวั เมีย

Class Gnetopsida : เป็นพชื กลุ่มเลก็ ๆ ท่ีมีสมาชิกเพียง 3 สกลุ คือ Gnetum Ephedra และWelwitshiaมีลกั ษณะบางอยา่ งคลา้ ยคลึงกบั พืชดอก จึงจดั เป็น Gymnosperm ท่ีมีววิ ฒั นาการสูงสุดส่วนใหญพ่ บในเขตแห่งแลง้ หรือทะเลทราย บางชนิดพบในเขตร้อนพชื ในกลุ่มน้ีมีท้งั ไมพ้ มุ่ ไมเ้ ล้ือย ใบเป็นใบเดี่ยวติดกบั ลาตน้ แบบตรงขา้ มหรือเรียงรอบขอ้ เน้ือไมม้ ีการเจริญข้นั ท่ีสองและมี Vessel โดยทว่ั ไปจะแยกเป็นตน้ เพศผแู้ ละตน้ เพศเมีย มีการสร้างอวยั วะสร้างเซลลส์ ืบพนั ธุ์เพศเมียบนช่องสโตรบิลสั เพศเมียซ่ึงมีโอวลู แต่ละโอวลู มีนูเซลลสั (Nucellus) ลอ้ มรอบเซลลส์ ีบพนั ธุเ์ พศผสู้ ร้างบนช่อสโตรบิลสั เพศผู้ ผสมพนั ธุแ์ ลว้ ได้เมลด็ ที่ตน้ อ่อนภายในเมลด็ มีใบเล้ียง 2 ใบตวั อยา่ งของพืชกลุ่มน้ีท่ีพบในประเทศไทยเช่น มะเม่ือย Gnetumgnemon L. วงศน์ ้ีเป็นวงศท์ ่ีพืชมีลกั ษณะเจริญที่สุด พืชมีลกั ษณะเป็นไมเ้ ล้ือยหรือไมย้ นื ตน้ เน้ือไมม้ ีการเจริญข้นั ที่สอง ใบเดี่ยวแผก้ วา้ ง มีเสน้ ใบเรียงตวั เป็นร่างแห ใบติดกบั ลาตน้ แบบตรงขา้ ม ตน้ แยกเป็นตวั เพศผแู้ ละตน้ เพศเมีย สโตรบิลสั มีลกั ษณะคลา้ ยช่อดอกแบบสไปค์ พืชวงศน์ ้ีมีลกั ษณะใกลเ้ คียงคลา้ ยใบเล้ียงคูม่ าก (ซ้าย) Ephedra (ขวา) Welwitschia

Class Angiospermae : หรือ บางตาราจดั ไว้ใน Division Magnoliophyta หรือเรียกอีกชื่อวา่ Anthophyta (Angiosperms) พชื มีท่อลาเลียงจาแนกออกเป็น 2 กลมุ่ หรือ 2 คลาส คือ คลาสMagnoliopsida (Dicotyledons) และคลาส Liliopsida (Monocotyledons) โดยพืชทงั้ สองกลมุ่ มีความแตกต่างกนั ดงั ตารางเปรียบเทียบส่งิ ท่เี ปรียบเทยี บ Magnoliopsida (Dicotyledons) Liliopsida (Monocotyledons)เอมบริโอ เอมบริโอมีใบเลีย้ ง 2 ใบ สว่ นใหญ่เจริญเหนือดนิ เมลด็ เอมบริโอมใี บเลีย้ ง 1 ใบ สว่ นใหญ่เจริญใต้ดนิ อาจมีหรือไมม่ เี อนโดสเปิร์ม เมลด็ มี เอนโดสเปิร์มรูปแบบการเจริญเติบโต เป็นพืชล้มลกุ หรือพืชมเี นือ้ ไม้ สว่ นใหญ่เป็นพืชล้มลกุใบดอก เส้นใบแบบร่างแห เส้นใบแบบขนานระบบท่อลาเลียง กลบี ดอก 4 หรือ 5 กลีบ หรือทวีคณู กลีบดอก 3 กลีบ หรือทวีคณู ของ 3 ของ 4 หรือ 5ระบบราก สว่ นใหญไมม่ แี คมเบียม จงึ ไมม่ ีการเจริญขนั ้ ที่ สว่ นใหญ่มแี คมเบยี ม จงึ มีการเจริญขนั ้ ที่ 2 การเรียงตวั 2 การเรียงตวั ของทอ่ ลาเลียงกระจดั กระจายไม่ ของทอ่ ลาเลยี งเป็น เป็นระเบียบ ระเบยี บ รากเป็นระบบรากฝอย รากเป็นระบบรากแก้ว

พืชในคลาสนีเ้ป็นพืชมีดอก (Flowering plants) มีประมาณ 300,000 ชนิดอยไู่ ด้ทวั่ ไปทกุ แหง่ หน บางชนิดมีอายเุ พียงฤดกู าลเดียว บางชนิดอายยุ ืนหลายร้อยปี บางชนิดมีขนาดใหญ่เกือบ 10 เมตรเชน่ ยคู าลิปตสั แตบ่ างชนิดมีขนาดเลก็ มากเช่น ผา หรือไข่นา้(Wolffia ) ผา

อาณาจักรสัตว์ (KINGDOM ANIMALIA) สงิ่ มีชีวติ หลายเซลล์ ประกอบด้วยเซลล์ชนิดยแู คริโอต การจาแนกเป็นไฟลมั ตา่ งๆใช้ลกั ษณะสาคญั คือ จานวนชนั้ ของเนือ้ เย่ือ ชอ่ งภายในตวั ปล้องขา ลาตวั ชนิดของทอ่ ทางเดนิ อาหาร สมมาตร (symmetry) ของลาตวัชนดิ ของระบบไหลเวียน และการพฒั นาของระบบอื่นๆ แบง่ ออกเป็นสอง ซบั คิงดอม (Subkingdom) คือซบั คิงดอมพาราซวั (Parazoa) ได้แก่ฟองนา้ และซบั คิงดอมเมทาซวั (Metazoa) ได้แก่สตั ว์อ่ืนๆที่เหลือ ซงึ่แบง่ ยอ่ ยเป็นไฟลมั ตา่ งๆมากถงึ 30 ไฟลมั ในปัจจบุ นั แตท่ ี่สาคญั มี 9 ไฟลมั คือ1. ไฟลมั พอริเฟอรา (Phylum Porifera)2. ไฟลมั ซเี ลนเทอราตา (Phylun Coelenterata)3. ไฟลมั แพลทิเฮลมนิ ทีส (Phylum Platyhelminthes)4. ไฟลมั เนมาโทดา (Nematoda)5. ไฟลมั แอนเนลดิ า (Phylum Annelida)6. ไฟลมั มอลลสั กา (Phylum Mollusca)7. ไฟลมั อาร์โทรโพดา (Phylum Arthropoda)8. ไฟลมั อีไคโนเดอร์มาตา (Phylum Echinodermata)9. ไฟลมั คอร์ดาตา (Phylum Chordata)

1.ไฟลมั พอริเฟอรำ (Phylum Porifera) ไฟลมั พอริเฟอรา (Phylum Porifera) เป็นสตั ว์หลายเซลล์ ไมม่ ีสมมาตรลาตวั เป็นรูพรุน มีชอ่ งนา้ เข้าและช่องนา้ ออก มีโครงร่างแขง็ หรือเป็นเส้นใยโปรตนีเช่น ฟองนา้ แก้ว สกลุ Euplectella ฟองนา้ นา้ จืด สกลุ Spongillaฟองนา้ ถตู วั สกลุ Spongia ฟองนา้ ฟองนา้ นา้ จดืโครงสร้ างของฟองนา้

2.ไฟลมั ซีเลนเทอรำตำ (Phylun Coelenterata)ไฟลมั ซีเลนเทอราตา (Phylun Coelenterata)เป็นสตั ว์ท่ีมีเนือ้ เยื่อสองชนั้ มีสมมาตรแบบ รัศมี(radial symmetry)มีทอ่ ทางเดินอาหาร แตไ่ มม่ ีชอ่ งตวั มีเซลล์ไนโดไซต์(cnidocyte)สร้างเขม็ พิษ(nematocyst) แบง่ เป็นสามชนั้ (Class)ไฮดรา 2.1 ชนั้ ไฮโดรชวั (Class Hydrozoa) ได้แก่ ไฮดรา(Hydra)แมงกะพรุน ไฟ (Physalia) 2.2 ชนั้ ไซโฟซวั ( Class Scyphozoa) ได้แก่ แมงกะพรุนหนงั (Aurelia) แมงกะพรุนไฟ (Chironex) 2.3 ชนั้ แอนโทซวั (Class Anthozoa) ได้แก่ ปะการัง (coral) ปะการังเขา กวาง (Acrepora) กลั ปังหา(sea fan) ส่งิ มีชีวติ ใน ชัน้ แอนโทซัวแมงกะพรุน

3.ไฟลมั แพลทเิ ฮลมนิ ทสี (Phylum Platyhelminthes) ไฟลมั แพลทิเฮลมนิ ทีส (Phylum Platyhelminthes) ได้แกห่ นอนตวั แบนมีเนือ้ เย่ือสามชนั้ ไมม่ ีชอ่ งตวั มีสมมาตรแบบด้านข้าง (bilateralsymmetry)มีระบบยอ่ ยอาหาร (บางชนิดไมม่ ี) แบง่ เป็นสามชนั้ 3.1 ชนั้ เทอร์เบลลาเรีย (Class Turbellaria) ได้แก่ พลานาเรีย (Dugesia) พลานาเรีย

4.ไฟลมั เนมำโทดำ (Nematoda) ไฟลมั เนมาโทดา (Nematoda) ได้แก่ หนอนตวั กลม มีเนือ้ เย่ือสามชนั้ มีสมมาตรแบบด้านข้าง มีชอ่ งตวั เทียม (pseudocoet) เชน่ พยาธิไส้เดือน(Ascaris lumbricoides)โรคเท้าช้าง (Brugia malayi) พยาธิไส้เดอื น

5.ไฟลมั แอนเนลดิ ำ (Phylum Annelida) ไฟลมั แอนเนลดิ า (Phylum Annelida)หนอนปล้อง ลาตวั แบง่ เป็นปล้องชดั เจน มีเนือ้ เย่ือสามชนั้ มีสมมาตรแบบด้านข้าง มีชอ่ งตวั ที่แท้จริง (coelom) มีระบบไหลเวียนและระบบประสาทแบง่ เป็นสามชนั้5.1 ชนั ้ โพลีคีตา(Class Polychaeta)ได้แก่ แมเ่ พรียง (Nereis) หนอนฉตั ร (tube worm)แมเ่ พรยี ง หนอนฉตั ร

5.2 ชนั้ โอลโิ กคตี า (Class Oligochaeta)ได้แก่ ไส้เดือนดิน (Pheretima) 5.3 ชนั้ ไฮรูดเิ นีย (Class Hirudinea) ได้แก่ ปลงิ (leech) ทากดดู เลือด (landleech)วงชีวติ ไส้เดือนดนิ ทากดดู เลอื ด ปลงิ นา้ จดื

6.ไฟลมั มอลลสั กำ (Phylum Mollusca) ไฟลมั มอลลสั กา (Phylum Mollusca)ลาตวั น่ิมมกั มีเปลือกหุม้ เน้ือเยอื่ สามช้นั มีสมมาตรดา้ นขา้ งมีช่องตวั ลดรูปจนมีขนาดเลก็ มีระบบไหลเวยี นและระบบประสาทแบ่งเป็นหา้ช้นั 6.1 ช้นั แอมฟิ นิวรา (Class Amphineura) ไดแ้ ก่ ล่ินทะเล (chiton) 6.2 ช้นั แกสโทรโพดา (Class Gastropoda) ไดแ้ ก่ หอยกาบเด่ียว (snail)หอยทาก (slug) ทากทะเล (nudibranch)ล่นิ ทะเล ทากทะเล

7.ไฟลมั อำร์โทรโพดำ (Phylum Arthropoda) ไฟลมั อาร์โทรโพดา (Phylum Arthropoda)สตั ว์ที่มีลาตวั แบง่ เป็นปล้องมีโครงร่างภายนอกหรือเปลือกปกคลมุ ขาตอ่ เป็นข้อๆ สมมาตรแบบด้านข้างมีระบบไหลเวียนและระบบประสาทแบง่ เป็น สองซบั ไฟลมั คือ เคลเิ ซอราตา (Chelicerata) ได้แก่แมงดาทะเล และแมงมมุ และซบั ไฟลมั แมนดิบลู าตา (Mandibulata)เชน่ ก้งุ ู ปู ตะขาบกิง้ กือ แบง่ เป็นชนั้ดงั นี ้ 7.1 ไซโฟซรู ิดา (Class Xiphosurida) ได้แก่ แมงดาจาน (Tachypleus gigas) แมงดาจาน

8. ไฟลมั อไี คโนเดอร์มำตำ (Phylum Echinodermata) ไฟลมั อีไคโนเดอร์มาตา (Phylum Echinodermata)เป็นสตั ว์ทะเลทงั้ หมด ผิวหนงั มีหนาม ตวัออ่ นมีสมมาตรด้านข้าง ตวั เตม็ วยั มีสมมาตรรัศมีมีระบบนา้ ใช้ในการเคลื่อนที่มีระบบไหลเวยี น ระบบประสาทและระบบทอ่ ทางเดินอาหาร จาแนกเป็นห้าชนั้ 8.1 ชนั้ แอสเทอรอยเดยี (Class Asteroidea) ได้แก่ ปลาดาว หรือดาวทะเล (star fish) 8.2ไคนอยเดยี (Class Crinoidea) เชน่ ดาวขนนก (feather star) พลบั พลงึ ทะเล (sea lilly)ดาวทะเล ดาวขนนก พลับพลงึ ทะเล


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook