Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore ขอบฟ้าใหม่แห่งการเรียนรู้สู่การสร้างสรรค์อนาคต_1544650016

ขอบฟ้าใหม่แห่งการเรียนรู้สู่การสร้างสรรค์อนาคต_1544650016

Published by pla_enter2, 2019-09-12 08:00:23

Description: ขอบฟ้าใหม่แห่งการเรียนรู้สู่การสร้างสรรค์อนาคต_1544650016

Search

Read the Text Version

38 ขอบฟ้าใหมแ่ หง่ การเรยี นรสู้ ูก่ ารสร้างสรรค์อนาคต จากดาวดวงอื่น อีกท้ังยังเป็นดาวท่ีเล็กมาก จึงนามาสู่การจัดให้ดาวพลูโตเป็นเพียง ดาวเคราะห์แคระเท่านั้น จากตัวอย่างน้ีจะเห็นว่า ความรู้เปลี่ยนแปลงได้จาก กระบวนการเรียนรู้ การเรียนรู้ยุคใหม่ให้ความสาคัญต่อกระบวนการเรียนรู้มากกว่า ผลผลิต (product) ของการเรียนรู้เพียงเท่านั้นเพราะถ้าผู้เรียนได้ใช้กระบวนการ เรียนรู้อย่างหลากหลายและมีประสิทธิภาพแล้ว ผลผลิตของการเรียนรู้ย่อมเป็นไป ตามท่ีต้องการเสมอ ในทางกลับกัน หากไม่ให้ความสาคัญกับกระบวนการเรียนรู้ แต่ให้ความสาคัญกับผลผลิตของการเรียนรู้ ผู้เรียนมีแนวโน้มที่จะคัดลอกผลงาน ของผู้อื่นมาเป็นของตน เพราะผู้เรียนไม่ทราบวิธีการและข้ันตอน (กระบวนการ เรียนรู้)ที่จะนาไปสู่ผลผลิตที่ต้องการ กล่าวง่ายๆ คือ ผู้เรียนทราบว่าผลผลิต เปน็ อยา่ งไร (ผูส้ อนบอกและยกตัวอยา่ ง) แต่ไมท่ ราบวา่ จะต้องทาอย่างไร ดงั นัน้ กระบวนการเรียนรู้จึงเป็นสิง่ สาคัญทผี่ สู้ อนจาเปน็ ต้องพัฒนา ให้เกิดขึ้นกับผู้เรียน โดยบูรณาการไปกับเนื้อหาสาระ จัดกิจกรรมการเรียนรู้ โดยให้ผู้เรียนไดม้ ีโอกาสใช้กระบวนการเรียนรู้ทห่ี ลากหลาย ถือว่าเป็นการเตรียมความ พร้อมสาหรับการเรยี นร้แู ละพฒั นาตนเองในอนาคต 2.2 ประเภทของกระบวนการเรียนรู้ ผู้สอนใช้กระบวนการเรียนรู้เป็นตัวตั้ง กิจกรรมเป็นตัวตาม การใช้ กระบวนการเรยี นรูเ้ ปน็ ข้ันตอนหลกั จะช่วยทาใหผ้ ู้เรียนปฏิบตั ิกิจกรรมต่างๆ อย่างเป็น ระบบและเกิดการเรียนรู้ในท่ีสุด กระบวนการท่ีใช้ในการออกแบบกิจกรรม แบ่งเป็น 3 กลุ่มดังนี้ 1) กระบวนการทางสมอง (Cognitive) 2) กระบวนการทักษะปฏิบัติ (Psycho-motor) 3) กระบวนการทางเจตคติ (Affective)

39ขอบฟา้ ใหมแ่ ห่งการเรียนรูส้ ู่การสร้างสรรคอ์ นาคต 1) กระบวนการทางสมอง / การรคู้ ิด (Cognitive) เป็นกระบวนการเรียนรู้ท่ีมุ่งพัฒนาผู้เรียนทางด้านความรู้ความเข้าใจ และการคดิ ขน้ั สูง มีหลายกระบวนการดังนี้ กระบวนการสร้างความรูค้ วามเข้าใจ 1) ขน้ั สงั เกต / ตระหนกั 2) ขั้นวางแผนปฏิบัติ 3) ขน้ั ลงมือปฏบิ ัติ 4) ขั้นพฒั นาความรู้ความเขา้ ใจ 5) ขั้นสรุป กระบวนการสร้างความคดิ รวบยอด 1) ขน้ั สงั เกต / รับรู้ 2) ขน้ั จาแนกความแตกต่าง 3) ขน้ั หาลกั ษณะรว่ ม 4) ขนั้ ระบุช่อื ความคิดรวบยอด 5) ขน้ั ทดสอบและนาไปใช้ กระบวนการสรา้ งความคดิ วิจารณญาณ 1) ขั้นสงั เกต / รบั รู้ 2) ขน้ั อธบิ าย 3) ขั้นรบั ฟัง 4) ขั้นเช่อื มโยงความสัมพันธ์ 5) ขั้นวจิ ารณ์ 6) ขั้นสรปุ

40 ขอบฟา้ ใหมแ่ ห่งการเรยี นร้สู กู่ ารสรา้ งสรรคอ์ นาคต กระบวนการเรียนรูท้ างภาษา 1) ข้ันทาความเข้าใจสญั ลักษณ์ ส่ือ รปู ภาพ เครื่องหมาย 2) ขัน้ สร้างความคิดรวบยอด 3) ขั้นสื่อสารความคดิ 4) ขน้ั พฒั นาความสามารถ กระบวนการฟงั 1) ฟงั แลว้ จับประเดน็ 2) ฟงั แล้ววเิ คราะห์ 3) ตีความ 4) ประเมนิ คุณค่า กระบวนการวิเคราะห์ 1) การจาแนก 2) การจดั หมวดหมู่ 3) การสรุปอย่างสมเหตุผล 4) การประยุกต์ใช้ในสถานการณใ์ หม่ 5) การคาดการณบ์ นพ้นื ฐานข้อมลู กระบวนการตัดสนิ ใจ 1) กาหนดปญั หา 2) วิเคราะหแ์ ยกแยะประเด็น 3) กาหนดทางเลือก จดั ลาดบั ประเมิน 4) วางแผนทางเลอื กทเี่ ป็นประโยชน์ เพื่อให้ไดผ้ ลการตดั สินใจทด่ี ี

41ขอบฟา้ ใหม่แห่งการเรยี นรสู้ กู่ ารสรา้ งสรรค์อนาคต กระบวนการสืบเสาะหาความรู้ 1) ขน้ั สรา้ งความสนใจ 2) ขนั้ สารวจค้นหา 3) ขั้นอธิบายและลงข้อสรปุ 4) ขน้ั ขยายความรู้ 5) ขนั้ ประเมิน กระบวนการเรียนรู้โดยใชก้ ารวิจยั 1) กาหนดปญั หา 2) เกบ็ รวบรวมข้อมูล 3) วิเคราะห์ข้อมลู 4) สรุปผล 5) แลกเปลี่ยนเรียนรู้ ทกั ษะกระบวนการทางคณติ ศาสตร์ 1) การแก้ปัญหา 2) การให้เหตผุ ล 3) การสือ่ สารสื่อความหมายทางคณิตศาสตร์ 4) การเชือ่ มโยง 5) ความคิดสร้างสรรค์ กระบวนการแกป้ ญั หา 1) แสดงความเข้าใจปญั หา 2) วางแผนและลงมือปฏบิ ตั ิ 3) ใชค้ วามพยายามในการทางาน 4) อธิบายวธิ กี ารแกป้ ัญหา 5) แสดงผลการทางานได้อย่างชัดเจน

42 ขอบฟา้ ใหมแ่ ห่งการเรยี นร้สู กู่ ารสร้างสรรคอ์ นาคต กระบวนการสื่อสาร สอ่ื ความหมาย และการนาเสนอ 1) ใช้ภาษาและสัญลกั ษณ์ทางคณติ ศาสตร์ ในการสือ่ สาร สอ่ื ความหมาย และนาเสนอ 2) จัดระบบและเช่อื มโยงความคิดทางคณิตศาสตร์ 3) สอื่ สารความคิดทางด้านคณิตศาสตร์อย่างต่อเนอื่ ง กระบวนการเช่อื มโยง 1) สร้างแรงจูงใจใหผ้ ้เู รียนเกิดความสนใจ 2) เชอื่ มโยงข้อมลู ภายในกับขอ้ มูลภายนอก 3) เชือ่ มโยงเครื่องหมายสญั ลักษณ์ 4) เช่ือมโยงประสบการณ์กับสิ่งแวดลอ้ ม 5) สรา้ งความเข้าใจและฝึกฝนจนเกดิ ความรู้ ทักษะ กระบวนการคิดสร้างสรรค์ 1) วิเคราะหแ์ นวคิดและจดั กลมุ่ 2) สังเคราะห์และสร้างแนวคิดใหม่ 3) ทบทวนแนวคิดใหม่ 4) ตกแตง่ ความคิดใหม่ให้สมบูรณ์ กระบวนการทางประวตั ิศาสตร์ 1) รวบรวมและคดั เลือกหลักฐาน 2) วเิ คราะห์และประเมนิ คุณคา่ หลักฐาน 3) ตคี วามหมายหลักฐาน 4) สังเคราะห์ขอ้ มลู

43ขอบฟา้ ใหม่แหง่ การเรียนรู้สกู่ ารสรา้ งสรรคอ์ นาคต 2) กระบวนการทักษะปฏบิ ัติ (Psycho-motor) ทกั ษะกระบวนการ 9 ขั้น 1) ขั้นตระหนักในปญั หาและความจาเป็น 2) ขน้ั คดิ วเิ คราะห์ วจิ ารณ์ 3) ขนั้ สร้างทางเลือกทห่ี ลากหลาย 4) ขน้ั ประเมนิ และเลือกทางเลือก 5) ขน้ั ปฏบิ ัติ 6) ข้ันปฏิบตั ดิ ้วยความชนื่ ชม 7) ขน้ั ประเมนิ ผลระหวา่ งปฏบิ ัติ 8) ขั้นปรบั ปรงุ ให้ดีข้ึนอยู่เสมอ 9) ขั้นประเมนิ ผลรวมเพื่อให้เกดิ ความภาคภูมิใจ ทกั ษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ 1) สงั เกต 2) การวัด 3) จาแนกประเภท 4) การหาความสัมพันธ์ระหว่างสเปส – สเปส และ สเปส – เวลา 5) การคานวณ 6) การจดั กระทาและส่อื ความหมายข้อมลู 7) การลงความเห็นขอ้ มูล 8) การพยากรณ์ 9) การตง้ั สมมติฐาน 10) การกาหนดนิยามเชงิ ปฏิบตั ิการ 11) การกาหนดและควบคมุ ตวั แปร 12) การทดลอง 13) การตีความหมายและลงสรุปข้อมูล

44 ขอบฟา้ ใหม่แห่งการเรยี นร้สู ่กู ารสร้างสรรค์อนาคต กระบวนการฟงั 1) ได้ยนิ ได้ยนิ แหลง่ ของเสียง ประสาทหูจะรับเสียง 2) รบั รู้ สมองจาแนกเสยี งไปตามลกั ษณะโครงสร้างไวยากรณ์ 3) ข้นั เข้าใจ สมองทาความเข้าใจ วิเคราะห์ ตคี วามเปน็ ความหมาย 4) ขนั้ พิจารณา พิจารณาสารที่ได้รบั มาเช่ือถือได้หรือไม่ 5) การนาไปใช้ นาส่งิ ที่มีความรู้ความเขา้ ใจไปใช้ให้เกดิ ประโยชน์ กระบวนการอ่าน 1) เตรยี มการอ่าน 2) อ่าน 3) แสดงความคิดเห็น 4) อา่ นสารวจ 5) ขยายความคิด กระบวนการอา่ น 1) การรับรู้คา - รูจ้ ักและจารปู คาได้ สามารถอา่ นออกเสยี งได้ 2) การเขา้ ใจประโยคหรือสารท่อี า่ น - การแปลความ การตีความได้ 3) การตอบสนองต่อสาร เม่ือเข้าใจสาระ - มีความคดิ เห็นด้วย ไม่เหน็ ดว้ ย พอใจ ไมพ่ อใจ

45ขอบฟา้ ใหมแ่ ห่งการเรียนรู้สู่การสร้างสรรคอ์ นาคต 4) การบรู ณาการความคิด - การรวบรวมสรุปความคดิ มาผสมผสานเปรยี บเทยี บกับ ประสบการณ์เดมิ - สมองจะเลือกรับและจดจาเฉพาะสง่ิ ที่ต้องการ กระบวนการกลุ่ม 1) ขน้ั กาหนดเป้าหมาย 2) ขนั้ วางแผน 3) ขนั้ คน้ หาคาตอบ 4) ขั้นประเมินผล 5) ขน้ั ประยุกต์ใช้ กระบวนการสร้างผลงานจิตกรรม 1) เตรยี มเฟรม 2) รา่ งภาพ 3) เขียนภาพลายเสน้ 4) ระบายสีในกลุ่มน้าหนกั สี 5) ปดิ ทองคาเปลวในส่วนทตี่ ้องการ 6) แต้มสโี ดยรวมข้ันตอนสดุ ท้าย กระบวนการเทคโนโลยี 1) กาหนดปัญหา 2) รวบรวมข้อมูล 3) แสวงหาวิธกี ารแกป้ ญั หา 4) เลือกวิธกี าร 5) ออกแบบและปฏิบตั กิ าร 6) ทดสอบ

46 ขอบฟา้ ใหม่แหง่ การเรียนรู้สกู่ ารสรา้ งสรรค์อนาคต 7) ปรับปรุงแก้ไข 8) ประเมินผล กระบวนการทางาน 1) วิเคราะห์งาน 2) วางแผนการทางาน 3) ปฏิบัตติ ามขน้ั ตอน 4) ประเมนิ ผล กระบวนการสรา้ งทักษะการปฏิบัติ 1) สงั เกต / รับรู้ 2) ทาตามแบบ 3) ทาเองโดยไม่มแี บบ 4) ฝกึ ใหช้ านาญ กระบวนการสรา้ งและการปฏิบัติ 1) ขั้นสังเกต / รับรู้ 2) ข้นั ทาตามแบบ 3) ขนั้ ทาเองโดยไม่มแี บบ 4) ขนั้ ฝกึ ให้ชานาญ กระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ 1) ตัง้ คาถาม / การกาหนดปัญหา 2) สร้างสมมติฐาน 3) เก็บรวบรวมข้อมูล 4) วเิ คราะห์และแปลความหมาย 5) ลงข้อสรุปและการสื่อสาร

47ขอบฟา้ ใหมแ่ หง่ การเรียนรู้สกู่ ารสรา้ งสรรคอ์ นาคต องคป์ ระกอบของดนตรี (element of music) 1) ทานอง 2) จงั หวะ 3) เสยี งประสาน 4) สสี นั ของเสยี ง 5) เนื้อดนตรี ทศั นธาตุ ปัจจัยการมองเหน็ ส่วนท่ีประกอบกนั เป็นภาพ 1) จดุ 2) เสน้ 3) น้าหนกั ทรี่ า่ ง 4) รปู ทรง 5) รูปรา่ ง 6) สี 7) ลกั ษณะพ้นื ผิว องคป์ ระกอบของนาฏศิลป์ 1) จังหวะ 2) ทานอง 3) การเคล่ือนไหว 4) อารมณ์ความร้สู ึก 5) ภาษาทา่ 6) นาฏศัพท์ 7) รูปแบบการแสดง 8) การแตง่ กาย 9) การตบี ท

48 ขอบฟา้ ใหม่แหง่ การเรียนร้สู กู่ ารสร้างสรรค์อนาคต กระบวนการทางประวตั ศิ าสตร์ 1) รวบรวมและคัดเลือกหลักฐาน 2) วเิ คราะหแ์ ละประเมนิ คณุ คา่ หลกั ฐาน 3) ตีความหมายหลักฐาน 4) สังเคราะห์ข้อมูล 3) กระบวนการทางเจตคติ (Affective) กระบวนการสรา้ งความตระหนัก 1) ขนั้ สังเกต / รับรู้ 2) ข้ันวิจารณ์ 3) ขั้นสรุป กระบวนการสร้างเจตคติ 1) ขั้นสังเกต / รบั รู้ 2) ขั้นวิเคราะห์ 3) ขั้นสรุป กระบวนการสรา้ งคา่ นยิ ม 1) ขั้นสังเกตและตระหนกั 2) ขั้นประเมนิ เชิงเหตุผล 3) ขนั้ กาหนดคา่ นยิ ม 4) ขน้ั วางแผนปฏิบตั ิ 5) ขั้นปฏิบตั ิดว้ ยความชน่ื ชม

49ขอบฟา้ ใหมแ่ ห่งการเรยี นรู้สู่การสรา้ งสรรคอ์ นาคต 2.3 ความเช่ือมโยงระหว่างกระบวนการเรียนรแู้ ละกิจกรรมการเรยี นรู้ “กระบวนการเรียนรู้ทดี่ ี นาไปสู่ผลลัพธ์ทต่ี ้องการ” ความเชื่อมโยงระหว่างกระบวนการเรียนรู้และกิจกรรมการเรียนรู้ หมายความว่า การคัดสรรกระบวนการเรียนรู้ที่มีประสิทธิภาพและกาหนดกิจกรรม ก า ร เรี ย น รู้ ใ ห้ ส อ ด ค ล้ อ ง กั บ ก ร ะ บ ว น ก า ร เรี ย น รู้ แ ล ะ ธ ร ร ม ช า ติ ข อ ง ผู้ เรี ย น นาไปดาเนนิ การจดั กิจกรรมการเรียนรู้จนผเู้ รยี นบรรลุผลลัพธก์ ารเรยี นรู้ กระบวนการเรียนรู้มีความเป็นอิสระจากเน้ือหาสาระ (content free) คือ สามารถใช้กระบวนการเรียนรู้ใดๆ ได้โดยไม่มีข้อจากัดว่าจะต้องใช้กระบวนการ เรียนรู้กับเนื้อหาสาระใดเนื้อหาสาระหนึ่งเท่านั้น เช่น กระบวนการวิเคราะห์ สามารถ ใช้กับกับเน้ือหาสาระคณิตศาสตร์ ภาษาไทย สังคมศกึ ษา ประวัติศาสตร์ ศิลปะ ดนตรี กีฬา สุขศึกษา เป็นต้น ปัจจัยสาคัญท่ีช่วยให้การคัดสรรกระบวนการเรียนรู้ต่างๆ มาใช้ได้อย่างมี ประสิทธิภาพ คือ ผู้สอนต้องมีความชัดเจนว่าต้องการให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้หรือ บรรลุผลลัพธ์การเรียนรู้อะไร ซ่ึงผู้สอนควรกาหนดไว้ล่วงหน้าก่อนท่ีจะเลือก กระบวนการเรียนรู้ หากผู้สอนเลือกกระบวนการเรียนรู้ไม่สอดคล้องกับผลลัพธ์ การเรียนรู้ ย่อมทาให้ผู้เรียนไม่เกิดการเรียนรู้ตามผลลัพธ์ท่ีกาหนด เช่น ต้องการให้ ผู้เรียนบรรลุผลลัพธ์การเรียนรู้เก่ียวกับการสร้างสรรค์นวัตกรรม แต่ใช้กระบวนการ สืบเสาะแสวงหาความรู้ มาเป็นกระบวนการเรียนรู้ อย่างนี้จะทาให้ผู้เรียนไม่บรรลุผล ลัพธ์การเรียนรู้ท่ีเป็นการสร้างสรรค์นวัตกรรม ดังนั้นผู้สอนจาเป็นต้องเลือกใช้ กระบวนการเรียนรู้ ให้สอดคล้องกับผลลัพธ์การเรียนรู้ เม่ือเลือกกระบวนการเรียนรู้ ได้แล้วจะนาไปสู่การออกแบบกิจกรรมการเรียนรู้ตามขั้นตอนของกระบวนการเรียนรู้ เรียกวา่ สาระและกิจกรรม (Process as the content) ดงั กรณศี ึกษาต่อไปนี้

50 ขอบฟ้าใหมแ่ ห่งการเรยี นรูส้ กู่ ารสร้างสรรคอ์ นาคต กรณีศึกษา: การใชก้ ระบวนการเรียนรใู้ นการออกแบบกิจกรรมการเรียนรู้ หน่วยการเรยี นรู้ การทางานบ้าน ช้ันประถมศึกษาปที ี่ 3 เวลา 1 ช่ัวโมง 1. ผลการเรยี นรู้ (learning outcomes) วิเคราะห์หลักการทางานบ้าน ขั้นตอนการทางาน อุปกรณ์อานวยความ สะดวก มที ักษะกระบวนการคิดวเิ คราะห์ มีวินัย และรบั ผิดชอบในการทางาน 2. ความคิดรวบยอดหลกั (main concept) บรเิ วณภายใน บริเวณภายนอก รบั ผิดชอบ การทา ขนั้ ตอนการทางาน งานบ้าน มีวนิ ยั อปุ กรณ์อานวย ความสะดวก กระบวนการ คิดวเิ คราะห์ 3. หวั ขอ้ สาระการเรยี นรู้ (sub concept และ topic) 3.1 การทางานบ้าน 3.2 บริเวณภายใน - การทาความสะอาดห้อง - หอ้ งนอน

51ขอบฟา้ ใหม่แห่งการเรยี นรู้สูก่ ารสร้างสรรค์อนาคต - ห้องครัว - ห้องน้า - หอ้ งพักผ่อน และ - เครอ่ื งนุ่งห่มและของใช้ 3.3 บริเวณภายนอก - พน้ื ที่รอบบา้ น - สนาม - ตน้ ไม้ - ทางเดิน 3.4 อปุ กรณอ์ านวยความสะดวก - ไมก้ วาด - ถงั - ไมถ้ ูบ้าน - กะละมัง - ไม้ขนไก่ - นา้ ยาทาความสะอาด - ผ้าขีร้ ว้ิ 3.5 ขัน้ ตอนการทางาน - การเตรยี มอุปกรณ์เครอ่ื งใช้ - วางแผนการทางาน - ศึกษาวิเคราะห์ลกั ษณะของทจ่ี ะดูแลทาความสะอาด - ดาเนนิ ตามขั้นตอนที่วางแผน - สังเกตดูแลความสะอาดและความเรียบร้อย

52 ขอบฟ้าใหมแ่ หง่ การเรียนรู้ส่กู ารสรา้ งสรรค์อนาคต 4. สมรรถนะ 1) ความสามารถในการคิด 2) ความสามารถในการแก้ปญั หา 5. คุณลักษณะอนั พึงประสงค์ 1) มวี ินัย 2) มคี วามรบั ผิดชอบในการทางาน 6. จุดประสงค์การเรียนรู้ 1) วเิ คราะห์ขน้ั ตอนการทาความสะอาดบ้านท้ังบรเิ วณภายในและภายนอกได้ 2) วเิ คราะห์ลักษณะอุปกรณท์ ่ีใชท้ าความสะอาดแต่ละบรเิ วณพน้ื ท่ีได้ 3) วิเคราะห์และแสดงขน้ั ตอนการทาความสะอาดบา้ นไดอ้ ยา่ งมีความรับผิดชอบ 4) มวี นิ ัยในการดูแลและจัดเก็บอุปกรณห์ ลงั ทาความสะอาดบ้านเสร็จ 7. กจิ กรรมการเรยี นรู้ (ใชก้ ระบวนการวเิ คราะห์ 5 ข้ันตอน) 7.1 การจาแนก 1) ผู้สอนใหผ้ เู้ รียนดสู ภาพวิถีชวี ิตภายในบา้ นและนอกบ้านท่ัวๆ ไป 2) ผู้เรียนร่วมกันวิเคราะห์เหตุผลและความจาเป็นและประโยชน์ของการ ทางานบา้ น 3) ผเู้ รียนรว่ มกนั ศกึ ษาขั้นตอนการทาความสะอาดบ้านในลักษณะต่างๆ * กจิ กรรมข้อท่ี 1 – 3 ตอบสนองจดุ ประสงคข์ ้อท่ี 1 7.2 การจดั หมวดหมู่ 4) ผเู้ รยี นแบ่งกลุ่มตามความสนใจทจี่ ะทางานบ้าน 5) ผู้เรยี นแต่ละกลุ่มวางแผนการทางานบา้ น 6) ผเู้ รยี นวิเคราะหอ์ ปุ กรณท์ ่ีจะใช้ให้เหมาะสมกบั บา้ นและพ้ืนท่ี * กิจกรรมขอ้ ท่ี 4 – 6 ตอบสนองจุดประสงคข์ ้อท่ี 1 และ 2

53ขอบฟ้าใหมแ่ หง่ การเรยี นรูส้ ู่การสร้างสรรคอ์ นาคต 7.3 การสรุปอยา่ งสมเหตสุ มผล 7) ผู้เรียนร่วมกันแลกเปล่ียนเรียนรู้และสรุปขั้นตอนและพ้ืนที่ก่อนท่ีจะ ลงมือทางานบา้ น * กิจกรรมขอ้ ท่ี 7 บรรลุจดุ ประสงค์ข้อท่ี 1 และ 2 7.4 การประยกุ ต์ใชใ้ นสถานการณใ์ หม่ 8) ผูเ้ รยี นร่วมกนั ทางานบา้ นจากสถานการณจ์ าลองทผ่ี สู้ อนกาหนดขนึ้ 9) ผู้เรียนร่วมกันทาความสะอาดและจดั เกบ็ วสั ดุอุปกรณ์ 10) ผเู้ รยี นร่วมกนั ประเมินผลการทางานบ้านและสะท้อนผล * กิจกรรมข้อที่ 8 - 10 บรรลุจุดประสงค์ข้อท่ี 3 และ 4 7.5 การคาดการณ์บนพน้ื ฐานของข้อมลู 11) ผเู้ รยี นรว่ มกนั วางแผนการทางานบ้านตามสถานการณ์สมมติท่ีกาหนด 12) ผู้เรยี นแลกเปลยี่ นเรยี นร้ถู งึ จุดดแี ละจดุ ที่ต้องปรบั ปรงุ ของแผน 13) ผเู้ รยี นปรับปรงุ แผนการทางานบา้ นตามข้อเสนอแนะของแต่ละกลุ่ม * กจิ กรรมข้อที่ 11 - 13 บรรลุจุดประสงค์ข้อท่ี 1, 2 และ 3 8. สือ่ การเรยี นรู้ / แหล่งเรียนรู้ 1) รูปภาพบ้าน 2) อปุ กรณ์ทาความสะอาด 3) หอ้ งเรยี น 4) หอ้ งปฏบิ ัตกิ าร 5) บริเวณโรงเรยี น 6) แหลง่ สบื ค้นทาง Internet

54 ขอบฟา้ ใหมแ่ ห่งการเรียนรสู้ ูก่ ารสร้างสรรค์อนาคต 9. การออกแบบวิธกี ารและเครือ่ งมือประเมินผล จดุ ประสงคก์ ารเรียนรู้ วธิ ีการวัด เครอ่ื งมือวดั แหลง่ ขอ้ มูล เกณฑ์ การทดสอบ การประเมนิ 1. สามารถอธิบายขนั้ ตอน การทาความสะอาดบ้าน การทดสอบ แบบทดสอบ ผู้เรยี น 70% ท้งั บรเิ วณภายใน และภายนอกได้ การสงั เกต แบบทดสอบ ผู้เรยี น 70% การตรวจ 2. วเิ คราะหล์ กั ษณะอุปกรณ์ ผลงาน แบบสังเกต ผู้เรยี น 70% ทใ่ี ช้ทาความสะอาด การสังเกต 80% แต่ละบรเิ วณพน้ื ที่ได้ แบบประเมิน ผลงาน 70% ผลงาน ผู้เรยี น 3. วิเคราะห์และแสดงข้ันตอน การทาความสะอาด แบบสงั เกต บ้านไดอ้ ยา่ งมีความ รับผดิ ชอบ 4. มวี ินัยในการดูแล และจัดเกบ็ อุปกรณ์ หลงั ทาความสะอาดบ้าน

55ขอบฟ้าใหม่แหง่ การเรียนรสู้ ู่การสรา้ งสรรคอ์ นาคต 10. บันทึกหลังการจัดการเรียนรู้ (ระบุพฤติกรรมการเรียนรู้ของผู้เรียนในประเด็น ต่อไปน้ี) 1. ความรู้ที่ลกึ ซึ้ง (deep knowledge) ............................................................................................................................. ........... ....................................................................................................................... ................. ............................................................................................................................. ........... 2. การถักทอความรู้ (weaving)/ การสังเคราะห์ ............................................................................................................................. ........... ....................................................................................................................... ................. ............................................................................................................................. ........... 3. คณุ ลกั ษณะอนั พงึ ประสงค์ ........................................................................................................................................ ............................................................................................................................. ........... ........................................................................................................................................ 4. สิ่งที่ผสู้ อนคิดว่าเปน็ จุดแขง็ ของการจัดการเรยี นรู้ ............................................................................................................ ............................ ............................................................................................................................. ........... .......................................................................................... .............................................. 5. สงิ่ ท่ผี ู้สอนตอ้ งพัฒนา ............................................................................................................................. ........... ........................................................................................................................................ ............................................................................................................................. ...........

56 ขอบฟา้ ใหมแ่ หง่ การเรียนรูส้ ู่การสร้างสรรคอ์ นาคต บันทึกหลังการจัดการเรียนรู้ หมายถึง การระบุพฤติกรรมของผู้เรียน ที่เกิดข้ึนหลังจากได้ผ่านกระบวนการจัดการเรียนการสอนแต่ละหน่วยที่เป็นภาพรวม เพื่อเป็นฐานข้อมูล (based – line data) ในการพัฒนาผู้เรียน การปรับปรุงการวาง แผนการจดั การเรยี นรขู้ องครู รวมทั้งเป็นแนวทางให้ครทู าวจิ ัยในช้ันเรยี น ความหมายของหัวข้อบนั ทึกหลังการสอน 1. ความรู้ท่ีลึกซึ้ง (deep knowledge) หมายถึง ความรู้ความเข้าใจ ท่ีเป็นความคิดรวบยอดหลัก (main concept) ซึ่งเกิดข้ึนกับผู้เรียนจากการประเมิน หรอื การทดสอบ เมื่อไดเ้ รยี นร้ใู นแต่ละหนว่ ย ตามเกณฑ์ท่คี รูกาหนด 2. กระบวนการคิดที่นาความรู้ไปใช้หรือถักทอความรู้ / การสังเคราะห์ (weaving) หมายถึง ความสามารถของผู้เรียนในด้านกระบวนการคิด การนาความรู้ ไปใช้ โดยวดั และประเมินจากการสงั เกตการณ์ทางานหรอื การทากจิ กรรม 3. คุณลักษณะอันพึงประสงค์ หมายถึง ผลการประเมินด้านคุณลักษณะ อันพึงประสงค์ท่ีกาหนดไว้ ในแต่ละหน่วยการเรียนรู้ ท่ีมีข้อมูลมาจากเคร่ืองมือ การประเมินท่เี ป็นระบบและชัดเจน 4. แนวทางการพัฒนาผู้เรียนและปรับปรุงแผนการสอน หมายถึง การระบุสภาพและประเด็นที่เป็นจุดเด่นของการสอนของครู และประเด็นของการ วธิ กี ารพัฒนาผู้เรยี นและแผนการสอน 4.1 สิ่งท่ีผู้สอนคิดว่าเป็นจุดแข็งของการเรียนการสอนที่ช่วยให้ผู้เรียน เกดิ การเรยี นรไู้ ด้รวดเร็วและชัดเจน 4.2 สิ่งที่ผู้สอนต้องพัฒนา จุดอ่อนของการออกแบบและการดาเนิน กจิ กรรม รวมทั้งวธิ กี ารประเมิน

57ขอบฟ้าใหม่แห่งการเรียนรู้ส่กู ารสร้างสรรค์อนาคต แนวทางการบันทึกหลังการสอน 1. ความร้ทู ี่ลึกซึ้ง (deep knowledge) ระบุผลที่ผู้เรียนผ่านการประเมินด้านความคิดรวบยอดหลัก (main concept) ตามเกณฑ์ทก่ี าหนด 2. กระบวนการคิดท่นี าความร้ไู ปใชห้ รือถกั ทอความรู้ / การสังเคราะห์ (weaving) ระบุการใช้กระบวนการคิดของผู้เรียนท่ีนาไปใช้ในการทางานหรือการปฏิบัติ กิจกรรมการเรยี นรู้ 3. คณุ ลักษณะอันพงึ ประสงค์ ระบุพฤตกิ รรมของคุณลักษณะอันพึงประสงค์ที่กาหนดไว้ในหน่วยการเรียนรู้ ซึง่ มขี อ้ มลู มาจากผลการประเมินทชี่ ัดเจน 4. ส่งิ ทีผ่ ู้สอนคิดวา่ เป็นจุดแข็งของการจดั การเรยี นรู้ ระบุแนวปฏิบัติท่ีดีหรือเทคนิควิธีการท่ีทาให้การจัดการเรียนรู้ประสบ ความสาเร็จ ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ตามจุดประสงค์การเรียนรู้ท่ีกาหนดไว้ หรือปัจจัยที่ สนับสนนุ อ่นื ๆ 5. แนวทางการพฒั นาผู้เรยี นและปรับปรุงแผนการสอน ระบุสภาพและประเด็นท่ีเป็นจุดเด่นของการสอนของครูและประเด็นของ วิธีการพัฒนาผู้เรยี นและแผนการสอน

58 ขอบฟา้ ใหม่แห่งการเรียนรสู้ กู่ ารสร้างสรรคอ์ นาคต แบบประเมินความมีวินยั คาชีแ้ จง 1. แบบประเมินน้ีมีผปู้ ระเมิน 3 ฝ่าย คือ ตนเอง เพ่อื น และครู ขอ้ มูลการ ประเมินมาจาก 3 ฝ่าย เพอื่ พจิ ารณาในการตัดสนิ ผลการประเมิน 2. เขยี นระดบั คะแนนลงในชอ่ งผลการประเมนิ ดังน้ี 1 คะแนน หมายถึง แสดงพฤติกรรมเม่อื ไดร้ ับคาสงั่ 2 คะแนน หมายถึง แสดงพฤติกรรมเม่ือได้รบั การกระตนุ้ 3 คะแนน หมายถงึ แสดงพฤติกรรมด้วยตนเอง ผลการประเมนิ ชื่อ – สกุล ตั้งใจ ปฏิบตั ิงาน อดทน รบั ผิดชอบ รวม ในการ บรรลุ ต่อสง่ิ ย่วั ยุ ต่อตนเอง เรียนรู้ เปา้ หมาย และส่วนรวม

59ขอบฟ้าใหม่แหง่ การเรยี นรูส้ กู่ ารสร้างสรรคอ์ นาคต แบบประเมนิ ความรบั ผิดชอบ คาชี้แจง เขียนคะแนนความรับผิดชอบในการทางานแต่ละด้านลงในช่องผลการ ประเมนิ 1 คะแนน หมายถึง แสดงพฤติกรรมเมือ่ ได้รับคาสั่ง 2 คะแนน หมายถึง แสดงพฤติกรรมเมอื่ ไดร้ ับการกระตุ้น 3 คะแนน หมายถึง แสดงพฤติกรรมดว้ ยตนเอง ผลการประเมนิ ชือ่ – สกลุ ตั้งใจ ทางาน ปฏบิ ตั งิ าน งานเสร็จ รวม ทางาน เปน็ เตม็ ความ ตรงเวลา ทไี่ ดร้ บั ข้ันตอน สามารถ มอบหมาย

60 ขอบฟ้าใหมแ่ หง่ การเรียนรสู้ ู่การสรา้ งสรรค์อนาคต แบบประเมินการคดิ วิเคราะห์ คาชแี้ จง 1. แบบสังเกตนี้ใช้สังเกตพฤติกรรมของผู้เรียนเกี่ยวกับการคิดวิเคราะห์ ซึ่งใช้ประเมินระหว่างการเรียนรู้และหลังการเรียนรู้ โดยผู้เรียน เพื่อน ผู้สอน และผเู้ กีย่ วขอ้ ง 2. เขียนคะแนนในช่องผลการประเมินที่สังเกตพบจากพฤติกรรม ของผูเ้ รยี น ผลการประเมนิ การ การจัด การสรุป การ การ ชอ่ื – สกลุ จาแนก หมวดหมู่ อยา่ ง ประยุกต์ใช้ คาดการณ์ รวม ในสถานการณ์ สมเหตุ ใหม่ บนพนื้ สมผล ฐานขอ้ มูล

61ขอบฟ้าใหม่แห่งการเรียนรู้ส่กู ารสรา้ งสรรคอ์ นาคต เกณฑ์การให้คะแนนการคดิ วิเคราะห์

62 ขอบฟา้ ใหม่แหง่ การเรยี นรู้สู่การสร้างสรรคอ์ นาคต แบบทดสอบความเขา้ ใจในการทางานบ้าน คาช้แี จง จงตอบคาถามและใหเ้ หตผุ ลเก่ยี วกับการทางานบา้ นดังตอ่ ไปน้ี 1. ระบคุ วามแตกต่างระหว่างบรเิ วณภายในและบริเวณภายนอกของบ้าน ............................................................................................................................. ........... ............................................................................................................................. ........... .............................................................................................................. .......................... ............................................................................................................................. ........... 2. เพราะเหตใุ ดการทางานบ้านจึงเปน็ หน้าท่คี วามรับผดิ ชอบของสมาชิกในบ้านทุกคน ............................................................................................................................. ........... ....................................................................................................................... ................. ............................................................................................................................. ........... ..................................................................................................... ................................... 3. จงอธิบายถึงประโยชน์และข้อจากดั ของขนั้ ตอนการทางานบา้ น ............................................................................................................................. ........... ........................................................................................................................................ ............................................................................................................................. ........... .................................................................................................................................... .... 4. จงวเิ คราะหข์ อ้ ดีข้อเสยี ของการใชอ้ ปุ กรณ์อานวยความสะดวกทาความสะอาดบ้าน ........................................................................................................................................ ............................................................................................................................. ........... ............................................................................................................................. ........... ....................................................................................................................... .................

63ขอบฟา้ ใหม่แหง่ การเรียนรู้สกู่ ารสร้างสรรค์อนาคต จากที่ได้แสดงตัวอย่างการออกแบบกิจกรรมการเรียนรู้ท่ีเน้นกระบวนการ เรียนรู้ โดยใช้กระบวนการวิเคราะห์ ประกอบด้วย 5 ขั้นตอน การออกแบบกิจกรรม การเรียนรู้ดังกล่าว ได้กาหนดกิจกรรมการเรียนรู้ตามแต่ละข้ันตอนของกระบวนการ เรียนรู้ทั้ง 5 ข้นั ตอน ดังน้ี 1) การจาแนก มี 3 กิจกรรมการเรยี นรู้ ตอบสนองจุดประสงคก์ ารเรียนรู้ 1 ข้อ 2) การจดั หมวดหมู่ มี 3 กิจกรรมการเรยี นรู้ ตอบสนองจดุ ประสงค์การเรียนรู้ 2 ขอ้ 3) การสรปุ อยา่ งสมเหตสุ มผล มี 1 กิจกรรมการเรยี นรู้ ตอบสนองจุดประสงค์การเรียนรู้ 2 ข้อ 4) การประยกุ ตใ์ ช้ในสถานการณใ์ หม่ มี 3 กิจกรรมการเรียนรู้ ตอบสนองจุดประสงค์การเรียนรู้ 2 ขอ้ 5) การคาดการณบ์ นพ้ืนฐานขอ้ มลู มี 3 กจิ กรรมการเรียนรู้ ตอบสนองจดุ ประสงคก์ ารเรียนรู้ 3 ข้อ จะเห็นไดว้ า่ การออกแบบกิจกรรมการเรียนร้โู ดยใช้กระบวนการเรียนรนู้ ้ัน แต่ละข้ันตอนของกระบวนการเรียนรู้ จะมีกิจกรรมการเรียนรู้ท่ีสอดคล้องกับแต่ละ ขั้นตอนมารองรับ ซึ่งกิจกรรมการเรียนรู้เหล่าน้ีผู้สอนสามารถกาหนดข้ึนได้อย่าง สอดคล้องกับธรรมชาตแิ ละความต้องการของผู้เรยี น ในแต่ละขั้นตอนของกระบวนการเรียนรู้ จะมีกิจกรรมการเรียนรู้มารองรับ ก่ีกิจกรรมก็ได้ตามความเหมาะสม และกิจกรรมการเรียนรู้เหล่านั้นจะต้องสามารถ ตอบสนองจดุ ประสงค์การเรยี นรู้ได้อย่างชดั เจน โดยมีทางเลือกดังนี้

64 ขอบฟา้ ใหม่แหง่ การเรียนรู้สูก่ ารสรา้ งสรรค์อนาคต - 1 กิจกรรมการเรยี นรู้ ตอบสนองหลายจดุ ประสงค์การเรยี นรู้ - 1 กจิ กรรมการเรยี นรู้ ตอบสนอง 1 จดุ ประสงคก์ ารเรยี นรู้ - หลายกจิ กรรมการเรยี นรู้ ตอบสนองหลายจดุ ประสงค์การเรียนรู้ - หลายกิจกรรมการเรียนรู้ ตอบสนอง 1 จดุ ประสงค์การเรียนรู้ ในทางปฏิบัติผู้สอนควรออกแบบกิจกรรมการเรียนรู้ให้สั้นและกระชับ ทากิจกรรมการเรยี นรู้น้อยๆ แต่ตอบสนองจุดประสงคก์ ารเรียนรไู้ ด้มาก ซึ่งจะทาให้ ผู้เรียนมีเวลาที่จะใช้สมาธิและการมีจิตใจจดจ่อ (minds-on) อยู่กับกิจกรรม การเรียนรู้เหล่าน้ัน นอกจากน้ีกิจกรรมการเรียนรู้ท่ีไม่มากเกินไป ยังเป็นสิ่งจูงใจให้ ผู้เรียนมุ่งม่นั พยายามท่ีจะทาให้สาเร็จอีกดว้ ย กล่าวโดยสรุปแล้ว กระบวนการเรียนรู้มีความสาคัญต่อการเรียนรู้ ในอนาคตของผู้เรียน ซ่ึงผู้สอนต้องบูรณาการกับเน้ือหาสาระและแปลงไปเป็น กิจกรรมการเรยี นรทู้ ีม่ คี ุณภาพ และสง่ มอบการเรียนร้ทู ี่ดีทส่ี ุดสาหรับผู้เรียน ผู้สอนเลอื กใช้กระบวนการเรียนรู้ เป็นกรอบการออกแบบกจิ กรรมการเรียนรู้ ทีน่ าไปสู่การบรรลผุ ลลพั ธ์

65ขอบฟา้ ใหมแ่ หง่ การเรียนร้สู ูก่ ารสรา้ งสรรค์อนาคต 2.4 กระบวนการเรียนรู้เอ้อื ต่อ Personalized Learning ก า รเรี ย น รู้ ใน ปั จ จุ บั น มี ลั ก ษ ณ ะ เป็ น ก า ร เรี ย น รู้ ส่ ว น บุ ค ค ล (personalized learning) คือ เป็นการเรียนรู้ท่ีผู้เรียนใช้กระบวนการเรียนรู้ตามท่ี ผูเ้ รยี นถนัดเพอ่ื ให้บรรลุผลลพั ธ์การเรยี นรู้ท่ผี ู้เรียนตอ้ งการ ผู้สอนเปิดโอกาสให้ผู้เรียนวิเคราะห์และเลือกใช้กระบวนการเรียนรู้ ท่ีผเู้ รียนถนัดตามแบบการเรยี นรู้ learning style ของแต่ละคน แต่ยงั คงมีเป้าหมาย การเรียนรู้เดียวกัน เมือ่ ผู้เรียนได้ใช้กระบวนการเรยี นรู้ทตี่ นเองถนัด จะสามารถเรียนรู้ ส่ิงต่างๆ ไดด้ ยี ่งิ ข้ึน การเรียนรู้ส่วนบุคคล เป็นวิธีการเรียนรู้ของผู้เรียนยุคใหม่ที่มีเคร่ืองมือ หรืออุปกรณ์ช่วยในการเรียนรู้มากมาย และอุปกรณ์เหล่านั้น สามารถเชื่อมต่อกับ อินเทอร์เน็ตความเร็วสูง ได้ในทุกสถานท่ีทาให้สามารถ ผู้เรียนสามารถเข้าถึงข้อมูล ความรู้ต่างๆ ได้อย่างรวดเร็ว อยากเรียนรู้เรื่องใดก็สามารถเรียนรู้ได้ทันทีต่างจากอดีต ท่ีการเรียนรู้ต้องเรียนจากผู้สอนเป็นหลัก จึงทาให้ขาดโอกาสท่ีจะใช้กระบวนการ เรยี นรู้ของตนเองไดอ้ ยา่ งเต็มท่ี ปัจจุบันแตกต่างจากอดีตผู้เรียนแต่ละคนมีส่ิงที่ตนเองสนใจและต้องการ เรียนร้ทู แ่ี ตกตา่ งกนั อีกท้ังผู้เรียนยังมีกระบวนการเรียนรทู้ ีไ่ มเ่ หมอื นกนั อีกดว้ ย ดงั นั้น ผู้สอนในยุคปัจจุบันจึงไม่สามารถบังคับหรือกาหนดวิธีการเรียนรู้ให้กับผู้เรียน เหมือนกันทุกคนได้อีกต่อไป ผู้สอนจะต้องเปลี่ยนแนวคิดและวิธีการในการจัดการ เรียนรู้ให้ผู้เรียนเรียนรู้ด้วยตนเองในส่ิงท่ีผู้เรียนสนใจหรือต้องการอยากเรียนรู้ ใช้วิธีการหรือกระบวนการเรียนรู้ของผู้เรียนเอง พ้ืนที่ของการเรียนรู้จะเปลี่ยนจาก ห้องเรียนในโลกความเป็นจริง ไปเป็นห้องเรียนในโลกเสมือน ห้องเรียนออนไลน์ มากขนึ้

66 ขอบฟา้ ใหมแ่ หง่ การเรียนรสู้ ู่การสรา้ งสรรค์อนาคต กระบวนการเรียนรจู้ ะช่วยตอบโจทยก์ ารเรยี นรู้ส่วนบุคคลในยุคปัจจุบัน ได้อย่างแท้จริง เพราะกระบวนการเรียนรู้ไม่มีข้อจากัดในเร่ืองของเวลาและสถานที่ น่ันหมายความว่า ผู้เรียนสามารถใช้กระบวนการเรียนรู้ของตนเองได้ตลอดเวลา โดยไม่มีข้อจากัดว่าจะใช้เม่ือไหร่ ใช้ที่ใด เพราะข้อจากัดเหล่าน้ีตอบโจทย์ได้ด้วย อินเตอร์เน็ตความเร็วสูง และ Smart Phone มีครูอยู่ในโลกออนไลน์ อยากรู้อะไร หรืออยากทาอะไรให้เป็น คาตอบอยู่ในโลกออนไลน์ท่ีผู้เรียนสามารถเข้าถึงได้หากใช้ กระบวนการเรียนรู้ทเี่ หมาะสม 2.5 แนวทางการใช้กระบวนการเรียนรู้ การนากระบวนการเรียนรู้ต่างๆ ดังที่ได้กล่าวมาข้างต้นไปใช้ออกแบบ กจิ กรรม การเรียนรู้ มีขอ้ ตกลงในการนาไปใชค้ ือ 1) ถ้านากระบวนการเรยี นรใู้ ดมาจะตอ้ งนามาทกุ ขนั้ ตอน 2) หา้ มสลบั ข้ันตอนของกระบวนการเรียนรู้ 3) สามารถสอดแทรกกระบวนการเรียนรตู้ ่างๆ เขา้ กนั ได้ นอกจากนี้ในแต่ละขั้นตอนของกระบวนการเรียนรู้ จาเป็นต้องออกแบบ กจิ กรรมการเรียนรู้ให้ผู้เรียนเปน็ ผู้ปฏิบตั ิกจิ กรรมนั้นด้วยตนเอง แทนที่ผู้สอนจะเป็น ผ้ปู ฏบิ ัตเิ สียเอง กิจกรรมการเรียนรู้เหล่านั้นควรเป็นกิจกรรมที่ผู้เรียนอยากปฏิบัติด้วย เพราะหากผู้เรียนไม่อยากปฏิบัติจะไม่เกิดประโยชน์ เพราะสภาวะทางอารมณ์ ของผูเ้ รียนไมพ่ ร้อมจะเรียนรู้และไม่อยากทากจิ กรรม

67ขอบฟ้าใหมแ่ หง่ การเรียนร้สู ู่การสรา้ งสรรคอ์ นาคต ในระหว่างท่ีผู้เรียนปฏบิ ัติกจิ กรรมในแต่ละขั้นตอนของกระบวนการเรียนรู้ ผู้สอนควรทาหน้าท่ีเป็นโค้ช (coaching) ให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้สูงสุดโดยการ ใช้คาถามกระตุ้นการคิด การให้คาช้ีแนะ การตรวจสอบความเข้าใจของผู้เรียน (checking for understanding) การให้ข้อมูลย้อนกลับ (feedback) และการให้ ขอ้ มลู เพ่ือการเรียนรตู้ อ่ ยอด (feed - forward) สาหรับบทบาทของผู้เรียนในการปฏิบัติกิจกรรมการเรียนรู้ในแต่ละ ขั้นตอนของกระบวนการเรียนรู้น้ัน ควรปฏิบัติกิจกรรมการเรียนรู้ด้วยความ กระตือรือร้น มีความมุ่งม่ัน มีวินัย ตลอดจนมีการช่วยเหลือซ่ึงกันและกัน โดยการ แสดงบทบาทเหล่านี้จะต้องมาจากการมีแรงจูงใจภายใน ที่ผู้สอนเป็นผู้กระตุ้น ใหเ้ กิดขน้ึ อยา่ งต่อเนอื่ งตลอดระยะเวลาการปฏบิ ตั กิ ิจกรรมการเรยี นรู้ ผสู้ อนเลอื กใช้กระบวนการเรยี นรู้ ให้สอดคล้องกับประเภทของสาระสาคญั และธรรมชาติของผ้เู รยี น

68 ขอบฟ้าใหม่แห่งการเรยี นรูส้ กู่ ารสรา้ งสรรคอ์ นาคต บรรณานุกรม วิชัย วงษ์ใหญ่ และมารุต พัฒผล. (2556). จากหลักสูตรแกนกลางสู่หลักสูตรสถานศึกษา: กระบวนทัศนใ์ หมก่ ารพัฒนา. (พิมพ์คร้ังท่ี 6). กรงุ เทพฯ: จรลั สนทิ วงศก์ ารพมิ พ์. วิชัย วงษ์ใหญ่ และมารุต พัฒผล. (2558). การโค้ชเพื่อการรู้คิด. (พิมพ์คร้ังท่ี 5). กรุงเทพฯ: จรลั สนทิ วงศก์ ารพิมพ.์ Bray, Barbara., and McClaskey, Kathleen. (2017). How to Personalize Learning: A Practical Guide for Getting Started and Going Deeper. California: Corwin. Costa, Arthur L. and Garmston, Robert J. (2002). Cognitive Coaching A Foundation for Renaissance Schools. 2nded. Massachusetts: Christopher – Gordon Publishers, Inc. Kallick,Bena., and Zmuda, Allison. (2017). Students at the Center: Personalized Learning with Habits of Mind. Alexandria, VA: Association of Supervision and Curriculum Development. Marzano, Robert J. and Simms, Julia. (2012). Coaching Classroom Instruction: The Classroom Strategies Series. Bloomington: Marzano Research Laboratory. Rickabaugh,James.(2016). Tapping the Power of Personalized Learning: A Roadmap for School Leaders. Alexandria, VA: Association of Supervision and Curriculum Development. Sheninger, Eric C. (2017). Learning Transformed: 8 Keys to Designing Tomorrow’s Schools, Today. Alexandria, VA: Association of Supervision and Curriculum Development.

บทที่ 3 ทักษะการสร้างสรรค์และนวัตกรรม 3.1 ความหมายของทกั ษะการสรา้ งสรรค์และนวัตกรรม ทักษะการสร้างสรรค์และนวัตกรรม เป็นทักษะหนึ่งในทักษะของผู้เรียน ในศตวรรษท่ี 21 ที่ผู้เรียนจำเป็นต้องได้รับกำรพัฒนำเพื่อให้สำมำรถประกอบอำชีพ และดำรงชวี ิตในโลกอนำคตไดอ้ ย่ำงมีคณุ ภำพ จัดเปน็ ทักษะเชิงประยุกต์ (apply skill) ทักษะกำรสร้ำงสรรค์และนวัตกรรม เป็นควำมชำนำญหรือควำมสำมำรถ ในกำรใช้กระบวนการทางความคิดสร้างสรรค์ โดยใช้จินตนำกำรและกำรถ่ำยทอด ใช้ทักษะในกำรสร้ำงสิ่งท่ีมีเอกลักษณ์ของตน จนทาให้เกิดส่ิงใหม่หรือนวัตกรรม ที่ทำขน้ึ ใหมห่ รอื พัฒนำตอ่ ยอดขน้ึ จำกของเดมิ นวัตกรรมอาจอยู่ในรูปแบบของความคิด วิธีการ ผลิตภัณฑ์ หรือ ส่ิงประดิษฐ์ต่างๆ โดยอำจเป็นส่ิงใหม่ทั้งหมดหรือใหม่เพียงบางส่วน และอาจใหม่ ในบริบทใดบริบทหนึ่งหรอื ในชว่ งเวลาใดเวลาหน่งึ ทักษะการสร้างสรรค์และนวัตกรรมของผู้เรียน เป็นทักษะกำรใช้ กระบวนกำรคิดสร้ำงสรรค์ของผู้เรียน โดยใชค้ วำมรูแ้ ละจินตนำกำรของตนเองนาไปสู่ การสร้างสรรค์นวัตกรรมต่างๆ ที่อยู่ในรูปของวิธีการ เทคนิค การปฏิบัติงาน ตลอดจนส่ิงประดิษฐ์ที่จับต้องได้ ท่ีมำจำกแนวคิด แรงบันดำลใจ แนวคิดที่แปลกใหม่ ของผู้เรยี น

70 ขอบฟ้ำใหมแ่ ห่งกำรเรยี นร้สู ู่กำรสรำ้ งสรรคอ์ นำคต 3.2 พื้นฐานของทกั ษะการสรา้ งสรรค์และนวตั กรรม ทักษะการสร้างสรรค์และนวัตกรรมมีความคิดสร้างสรรค์เป็นพ้ืนฐาน ทีส่ ำคัญซงึ่ ควำมคิดสร้ำงสรรค์ คือ ควำมสำมำรถในกำรคิดริเร่ิมเพื่อกำรแก้ปญั หำหรือ พัฒนำสิ่งใหม่ข้ึน (รำชบัณฑิตยสถำน. 2555) โดยใช้วิธีการคิดที่หลากหลาย เช่น กำรคิดคล่อง กำรคิดยืดหยุ่น กำรคิดริเริ่ม และกำรคิดอย่ำงละเอียดลออ (Torrance. 1977) ทฤษฎีท่ีเกี่ยวกับควำมคิดสร้ำงสรรค์น้ันมีอยู่หลำยทฤษฎี เช่น ทฤษฎี โครงสร้างทางสติปัญญาของ Guilford ท่ีระบุว่ำควำมคิดสร้ำงสรรค์มีองค์ประกอบ 3 มิติ ดังนี้ (Guilford. 1988) 1) มิติด้านกระบวนการคิด เป็นกระบวนกำรที่สมองจัดกระทำกับ ข้อมูลต่ำงๆ เพื่อสร้ำงควำมรู้ควำมเข้ำใจ ควำมจำ กำรคิดในมุมมองที่หลำกหลำย กำรคดิ ลงสรปุ และกำรคดิ เชงิ ประเมิน 2) มิติด้านเน้ือหา เป็นสิ่งเร้ำที่ก่อให้เกิดกระบวนกำรคิด ได้แก่ ภำพ สัญลักษณ์ ภำษำ พฤติกรรม 3) มิติด้านผลผลิตของการคิด เป็นผลท่ีเกิดจำกกำรใช้กระบวนกำร คดิ ท่อี ย่บู นพ้ืนฐำนของเนอื้ หำหรือส่ิงเร้ำ ทฤษฎีองค์ประกอบของความคิดสร้างสรรค์ของ Frank Williams (Williams. 1969) ระบุว่ำกำรจัดกำรเรียนรู้ที่เสริมสร้ำงควำมคิดสร้ำงสรรค์ ประกอบดว้ ย มิตดิ ้านเนื้อหา มิตดิ ้านการจดั การเรยี นรู้ และมิตดิ า้ นพฤตกิ รรมผู้เรยี น

71ขอบฟ้ำใหม่แห่งกำรเรยี นรสู้ กู่ ำรสร้ำงสรรค์อนำคต โดยมิติด้านเนื้อหา เป็นกำรสอดแทรกการคิดสร้างสรรค์ไว้ในทุกเนื้อหำ สำระกำรเรียนรู้ ส่วนมิติด้ำนกำรจัดกำรเรียนรู้น้ันมีอยู่ 18 แนวทำงกำรจัดกำรเรียนรู้ ที่เสรมิ สรำ้ งกำรคิดสรำ้ งสรรค์ สว่ นมิตดิ า้ นพฤติกรรมผู้เรียน เรียกว่ำ Williams’ Taxonomy แบง่ เป็น 2 ลักษณะ คือ 1) ลักษณะการรู้คิดของผู้เรียน ได้แก่ กำรคิดคล่อง กำรคิดยืดหยุ่น กำรคิดริเร่ิม กำรคิดละเอียดลออ และ 2) คุณลักษณะส่วนบุคคล ได้แก่ ควำมอยำกรู้ อยำกเห็น ควำมกล้ำเส่ียง ควำมอยำกทำส่ิงที่มีความซับซ้อน (complexity) และ กำรชอบใช้ควำมคิดและจนิ ตนำกำร สำหรับควำมคิดสร้ำงสรรค์ได้มีกำรศึกษำค้นคว้ำวิจัยมำเป็นระยะเวลำ ยำวนำน มีข้อค้นพบหลำยประกำรโดยเฉพำะผลกำรวิจัยทำงด้ำนกำรพัฒนำควำมคิด สรำ้ งสรรคข์ องผูเ้ รียนระดับต่ำงๆ งำนวิจัยของ สมพร หลิมเจริญ (2552) ได้พัฒ นำหลักสูตรเสริม เพ่ือเสริมสรำ้ งควำมคิดสรำ้ งสรรค์ของผู้เรียนระดับมัธยมศึกษำปีที่ 1 – 3 ทำให้ผเู้ รียน มีพัฒนำกำรของควำมคิดสร้ำงสรรค์ท่ีสูงข้ึน สำหรับกำรวิจัยครั้งนี้ผู้วิจัยได้นำแนวคิด ทฤษฎีโครงสร้ำงทำงสติปัญญำของ Gulidford มำใช้ในกำรเสริมสร้ำงศักยภำพของ ผู้สอน โดยกระตุ้นให้ผู้สอนนำไปพัฒนำทักษะกำรคิดสร้ำงสรรค์ของผู้เรยี น นำไปใช้ใน ลักษณะของกำรบูรณำกำรไปกับกำรจัดกำรเรียนรู้ในชั้นเรียนของตนเองตำมปกติ ไม่ แยกสอนออกมำตำ่ งหำก โดยให้ควำมสำคัญกับมิตขิ องกำรคิดสร้ำงสรรค์ 3 ด้ำน ไดแ้ ก่ ด้ำนกระบวนกำรคิด ด้ำนเน้ือหำของกำรคิด และด้ำนผลผลิตของกำรคิด โดยในส่วน ของกระบวนกำรคิดได้นำแนวคิดของ Williams’ Taxonomy ด้ำนลักษณะกำรรู้คิด 4 ประกำร ได้แก่ กำรคิดคล่อง กำรคิดยืดหยุ่น กำรคิดริเร่ิม และกำรคิดละเอียดลออ มำใช้ในกิจกรรมกระตุ้นกำรคิดของผู้เรียน นอกจำกนี้ผู้สอนยังแสดงบทบำท กำรกระตุ้นผู้เรียนให้ใช้ศักยภำพด้ำนกำรคิดสร้ำงสรรค์ ได้แก่ ควำมอยำกรู้อยำกเห็น

72 ขอบฟำ้ ใหม่แหง่ กำรเรียนรสู้ กู่ ำรสรำ้ งสรรค์อนำคต ควำมกล้ำเส่ียง ควำมอยำกทำสิ่งท่ีมีควำมซับซ้อนและกำรใช้ควำมคิดและจินตนำกำร ของผ้เู รียน ความคิดสร้างสรรค์และนวัตกรรม (creative and innovation) น้ัน มำจำกสมองใช้ควำมหลำกหลำยของประสบกำรณ์ กำรสะสมควำมคิดใหม่ๆ ผู้สอน จะต้ องเปิ ด พื้ น ท่ี ให้ กับ ผู้ เรีย น โด ยขจั ด ควำมเคย ชิ น ห รือ พ้ื น ท่ี แ ห่งค วามป ล อด ภั ย (comfort zone) โดยใช้กระบวนกำรโคช้ ให้ผเู้ รยี นเกิดควำมมัน่ ใจ สำมำรถรู้คิด และ เตบิ โตอยา่ งมสี ่วนร่วม (inclusive growth) 3.3 การคดิ ทนี่ าไปสูก่ ารสรา้ งสรรคแ์ ละนวตั กรรม นวัตกรรม คือ สิ่งท่ีทาขึ้นใหม่หรือพัฒนาขึ้นซึ่งอำจอยู่ในรูปแบบของ ควำมคิด วิธีกำร กำรกระทำ หรือสิ่งประดิษฐ์ต่ำงๆ โดยสิ่งน้ันอำจเป็นสิ่งใหม่ทั้งหมด หรือใหม่เพียงบางส่วนและอำจใหม่ในบริบทใดบริบทหน่ึงหรือในช่วงเวลาใดเวลา หนึ่ง โดยท่ัวไปนวัตกรรมเป็นสิ่งใหม่ทก่ี ำลังอยู่ในกระบวนกำรพิสูจน์ทดสอบหรือได้รับ กำรยอมรับนำไปใช้บ้ำงแล้วแต่ยังไม่แพร่หลำยหรือเป็นส่วนหน่ึงของระบบปกติ (รำชบณั ฑิตยสถำน. 2555) นวัตกรรมเกิดขึ้นได้จากการใช้ความคิดสร้างสรรค์ ซึ่งมีกระบวนกำรคิด 6 ข้ันตอน ก่อนเริ่มกิจกรรมกำรพัฒนำนวัตกรรมใดๆ (Department of Education, Employment and Workplace Relations. 2009) ดังน้ี 1) การคิดวิเคราะหค์ วามตอ้ งการนวัตกรรม 2) การสังเคราะห์ความคดิ ทน่ี าไปสู่นวัตกรรม 3) การแสวงหาความร่วมมอื ในการพฒั นานวตั กรรม

73ขอบฟำ้ ใหมแ่ หง่ กำรเรียนรูส้ กู่ ำรสรำ้ งสรรคอ์ นำคต 4) การสะทอ้ นความคดิ รว่ มกัน 5) การลงสรปุ ความคิด 6) การประเมนิ ความคิด โดยท่ีแนวความคดิ หรอื idea จะเป็นจุดเร่มิ ต้นของกำรใช้กระบวนกำรคิด ทน่ี ำไปสู่กำรสร้ำงสรรคน์ วัตกรรม (Chell and Athayde. 2009) บุคคลท่ีมีจิตนวัตกรรม (creative mind) จะมีคุณลักษณะท่ีสำคัญดังนี้ (Halligan. 2009) 1) มองกิจกรรมต่างๆ วา่ เปน็ โอกาสของการเรยี นรู้ 2) มองเหน็ ปญั หาทต่ี อ้ งไดร้ บั การแกไ้ ขดว้ ยนวตั กรรม 3) เชือ่ มโยงความคิดไดด้ ี 4) กาหนดเปา้ หมายที่ทา้ ทายความสามารถของตนเองได้ 5) มวี นิ ัยในตนเองในการดาเนินการตา่ งๆ 3.4 องค์ประกอบของทักษะการสรา้ งสรรคแ์ ละนวัตกรรม ทักษะการสร้างสรรค์และนวัตกรรมมีองค์ประกอบหลัก 3 ประกำร ดังน้ี (Williams. 1969, Torrance. 1977, Guilford. 1988, Anderson and Krathwohl. 2001, Department of Education, Employment and Workplace Relations. 2009, Griffith University. 2011, Partnership for 21st century skills. 2011, Beers. 2013)

74 ขอบฟ้ำใหมแ่ ห่งกำรเรียนรสู้ ูก่ ำรสร้ำงสรรคอ์ นำคต 1) การคิดอย่างสรา้ งสรรค์ (think creatively) 2) การทางานร่วมกบั บุคคลอ่ืนอยา่ งสร้างสรรค์ (work creatively with others) 3) การสรา้ งนวัตกรรมใหเ้ กดิ ผลสาเรจ็ (implement innovation) โดยแต่ละองคป์ ระกอบมีพฤติกรรมบง่ ชีด้ ังต่อไปน้ี 1. การคดิ อยา่ งสรา้ งสรรค์ 1.1 คดิ รเิ ร่มิ ในสงิ่ ทเี่ ปน็ ประโยชน์ 1.2 ใชเ้ ทคนคิ วธิ ีกำรคดิ อย่ำงหลำกหลำย 1.3 ใชค้ วำมคดิ ที่อยบู่ นพนื้ ฐำนของข้อมูลและควำมรู้ 1.4 แสดงควำมคิดของตนเองต่อผอู้ น่ื ได้อยำ่ งมปี ระสทิ ธิภำพ 1.5 ประเมนิ และปรบั ปรุงควำมคดิ ของตนเอง 2. การทางานรว่ มกับบคุ คลอ่ืนอย่างสร้างสรรค์ 2.1 สื่อสำรควำมคดิ ของตนเองกบั ผอู้ ่นื ได้อย่ำงมปี ระสิทธภิ ำพ 2.2 เปดิ รบั และตอบสนองควำมคดิ เหน็ ใหม่ๆ ของบุคคลอื่น 2.3 คิดริเร่มิ ในกำรปฏิบตั งิ ำนและปรับใหส้ อดคล้องกบั บรบิ ท 2.4 ทำงำนร่วมกับบุคคลอน่ื ด้วยควำมรว่ มมือร่วมใจ 2.5 แลกเปลย่ี นเรยี นรูก้ ับบุคคลอ่นื เพ่อื ควำมสำเร็จของงำน 2.6 เคำรพควำมคิดของคนอ่ืน

75ขอบฟำ้ ใหม่แหง่ กำรเรยี นรสู้ ูก่ ำรสรำ้ งสรรค์อนำคต 3. การสรา้ งสรรค์นวัตกรรมใหส้ าเร็จ 3.1 วำงแผนดำเนินกำรพัฒนำนวตั กรรมจำกคิดคิดสร้ำงสรรค์ 3.2 พัฒนำนวัตกรรมตำมแผนทก่ี ำหนดไว้อยำ่ งมีประสทิ ธภิ ำพ 3.3 ประเมนิ คณุ ภำพของนวตั กรรมท่พี ัฒนำข้ึน 3.4 ปรับปรงุ แกไ้ ขจดุ บกพรอ่ งของนวตั กรรมใหด้ ขี ึน้ 3.5 การจดั การเรยี นรู้ทเ่ี สริมสรา้ งทกั ษะการสรา้ งสรรค์และนวัตกรรม กำรจัดกำรเรียนรู้ที่เสริมสร้ำงทักษะกำรสร้ำงสรรค์และนวัตกรรม ของ ผู้เรียนใช้แนวทางการจัดการเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียนเป็นสาคัญ และการจัดการเรียนรู้ ท่เี ปดิ โอกาสให้ผเู้ รยี นมีสว่ นรว่ มอยา่ งท่วั ถึง (Hondzel. 2013) โดยใช้วิธีการจัดการเรียนรู้แบบใช้ปัญหาเป็นฐาน (problem – based learning) การจัดการเรียนรู้โดยใช้โครงงานเป็นฐาน (project – based learning) โดยผู้สอนเปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้เรียนรู้ร่วมกัน กำรนำประเด็นปัญหำที่เกิดขึ้นจริง ในสังคมและชุมชนมำเป็นจุดเร่ิมต้นของกำรเรียนรู้ ผู้สอนจัดกิจกรรมการเรียนรู้ที่ให้ ผู้เรียนร่วมกันใช้ความคิดและจินตนาการบนพื้นฐานของความรู้ที่ นาไปสู่ การสรา้ งสรรคน์ วตั กรรม (Bell. 2010, Rotherham and Willingham. 2010) การเรียนรู้โดยการลงมือปฏิบัติ โดยผู้สอนจะต้องมีควำมรู้ควำมสำมำรถ ทเ่ี ออื้ ต่อกำรพฒั นำทักษะกำรสรำ้ งสรรคแ์ ละนวตั กรรม ดังน้ี (McGinn. 2007) 1) มคี วามรเู้ ก่ียวกบั ปัจจัยทที่ าให้ผู้เรียนเกิดการเรยี นรู้ 2) การสะทอ้ นผลการปฏบิ ัติ 3) การปรับวิธีการจดั การเรยี นรู้ให้สอดคลอ้ งกบั บรบิ ท

76 ขอบฟำ้ ใหมแ่ ห่งกำรเรยี นรูส้ ่กู ำรสรำ้ งสรรค์อนำคต 4) การสร้างสัมพนั ธภาพทด่ี ที ี่ส่งเสริมการเรียนรู้กบั ผเู้ รยี น 5) การจัดกิจกรรมการเรียนรู้และการประเมินผลท่ีหลากหลาย นอกจำกนี้การจัดการเรียนรู้ท่ีเสริมสร้างทักษะการสร้างสรรค์และ นวัตกรรม มีหลักกำรสำคัญอยู่ 9 ประกำร ท่ีผู้สอนควรดำเนินกำรอย่ำงต่อเน่ือง ดังนี้ (Saavedra and Opfer. 2012) 1) สอดคลอ้ งกบั วถิ ีชวี ิตของผเู้ รยี น 2) กระตุ้นให้ผู้เรยี นใช้กระบวนการคดิ 3) พฒั นาทกั ษะการคิดข้ันพนื้ ฐานและการคิดขัน้ สงู 4) ส่งเสรมิ ใหผ้ เู้ รยี นถ่ายโยงการเรียนรู้ 5) พัฒนากระบวนการเรยี นรู้ 6) แกไ้ ขความเข้าท่คี ลาดเคลื่อนของผ้เู รียน 7) ใช้กระบวนการเรยี นร้รู ่วมกนั ระหว่างผู้สอนกับผเู้ รียน 8) ใชเ้ ทคโนโลยสี นับสนนุ การเรยี นรู้ 9) กระตนุ้ ความคดิ สรา้ งสรรคข์ องผู้เรยี น

77ขอบฟำ้ ใหมแ่ หง่ กำรเรยี นรู้สูก่ ำรสรำ้ งสรรคอ์ นำคต นอกจำกน้ีผู้สอนควรจัดบรรยากาศของการเรียนรู้ให้มีความท้าทาย มีอิสระทางความคิด มีทรัพยำกรสนับสนุน และผู้สอนให้กำรส่งเสริมผู้เรียนอย่ำง ต่อเน่ือง (Adams. 2005) อีกท้ังยังต้องยึดหลักกำรจัดบรรยากาศการเรียนรู้ท่ีเอื้อต่อ การพัฒนาทักษะการสร้างสรรค์และนวัตกรรม ดงั ต่อไปน้ี (McGinn. 2007) 1) การเรียนรู้ในลักษณะชุมชนแห่งการเรียนรู้ระหว่างผู้สอนกับ ผูเ้ รียนและผ้เู รียนกับผ้เู รยี น 2) สง่ เสรมิ วนิ ยั ในตนเองของผเู้ รยี น 3) เสริมสร้างปฏสิ มั พนั ธ์ที่ดีระหว่างกัน 4) ผู้เรียนมีอิสระในการเลือกใช้วิธีการเรียนรู้และกระบวนการ เรียนรูข้ องตนเอง 5) ผู้สอนใช้การสะท้อนผลการปฏิบัติเพ่ือการปรับปรุงและพัฒนา แก่ผู้เรียน 6) การใหผ้ ลย้อนกลบั อย่างสรา้ งสรรค์ ผู้สอนควรวิเคราะห์ธรรมชาติของผู้เรียนและใช้รูปแบบการจัดการเรียน การสอนให้สอดคล้องกับผู้เรียน ซ่ึงจะส่งผลทำให้ผู้เรียนเกิดกำรพัฒนำทักษะกำร สร้ำงสรรค์และนวัตกรรมได้อย่ำงมีประสิทธิภำพ ตลอดจนกำรจัดบริบทของการ เรียนร้แู ละกาหนดโจทย์ของการเรยี นร้ทู ี่ส่งเสริมทกั ษะการสรา้ งสรรค์และนวตั กรรม เป็นส่ิงสำคัญท่ีช่วยพัฒนำทักษะของผู้เรียนได้เช่นเดียวกัน (Chell and Athayde. 2009)

78 ขอบฟำ้ ใหมแ่ หง่ กำรเรยี นรสู้ ู่กำรสรำ้ งสรรคอ์ นำคต การส่งเสริมให้ผู้เรียนมีทักษะการสร้างสรรค์และนวัตกรรม จำเป็นที่ กระบวนการจัดการเรียนการสอนจะต้องมีความสร้างสรรค์ เรียกว่ำ Creative Pedagogy ซง่ึ ประกอบด้วย 3 องคป์ ระกอบดังนี้ (Lin. 2011) 1) การสอนอยา่ งสรา้ งสรรค์ (creative teaching) 2) การเรยี นรู้อยา่ งสรา้ งสรรค์ (creative learning) 3) การสอนท่สี ง่ เสรมิ การสร้างสรรค์ (teaching for creativity) ควำมสัมพันธ์ระหว่ำงองค์ประกอบต่ำงๆ ท้ังสำมองค์ประกอบของ Creative pedagogy แสดงได้ดังแผนภำพตอ่ ไปนี้ แผนภำพ 2 Creative pedagogy ที่สง่ เสริมทักษะกำรสร้ำงสรรคแ์ ละนวตั กรรม

79ขอบฟำ้ ใหม่แห่งกำรเรยี นรสู้ ่กู ำรสร้ำงสรรค์อนำคต นอกจำกนี้แล้วการจัดการเรียนรยู้ ังต้องบูรณาการทักษะการสร้างสรรค์ และนวัตกรรมร่วมกับเน้ือหาสาระต่างๆ ให้ผู้เรียนได้เรียนรู้และพัฒนำทักษะกำร สร้ำงสรรค์และนวัตกรรมอย่ำงต่อเน่ือง โดยยึดหลักกำรบูรณำกำร 3 ประกำร ดังน้ี (Beers. 2013) 1) การเชื่อมโยงเนื้อหาสาระกับสถานการณ์ที่เกิดข้ึนจริงรอบตัว ผู้เรียน เหตุกำรณ์ท่ีเกิดขึ้นในสังคมและชุมชน ซึ่งช่วยทำให้ผู้เรียนมีมุมมองแบบองค์ รวม กำรคดิ เชอื่ มโยง ซง่ึ เปน็ พน้ื ฐำนของกำรคดิ สรำ้ งสรรค์ 2) การเช่ือมโยงสาระสาคัญ (main concepts) ต่างๆ ให้ผู้เรียน ได้นำไปใช้ในกำรสร้ำงสรรค์นวัตกรรมต่ำงๆ ร่วมกับเพื่อนในชั้นเรียนตลอดจนบุคคล อ่นื ๆ 3) การส่งเสรมิ สนับสนุนและกากับติดตามกระบวนการเรียนรูแ้ ละ กระบวนการคิดของผู้เรียน และกระตุ้นส่งเสริมให้ผู้เรียนใช้ทักษะกำรสร้ำงสรรค์และ นวตั กรรมอย่ำงตอ่ เน่อื ง ใน ร ะ ห ว่ ำ ง ก ำ ร จั ด ก ำ ร เรี ย น รู้ ผู้ ส อ น ท า ห น้ า ท่ี เป็ น โ ค้ ช ก า ร รู้ คิ ด (cognitive coaching) การสร้างแรงบันดาลใจ (inspiration) ตลอดจนการสร้าง แรงจูงใจ (motivation) ให้กับผู้เรียนอย่ำงต่อเน่ือง เพื่อให้มีควำมมุ่งม่ันท่ีจะใช้ ควำมคิดและกำรสร้ำงสรรค์นวัตกรรมต่ำงๆ จนประสบควำมสำเร็จ (Chell and Athayde. 2009)

80 ขอบฟ้ำใหมแ่ หง่ กำรเรียนรสู้ ูก่ ำรสรำ้ งสรรคอ์ นำคต 3.6 การจดั การเรยี นรทู้ เ่ี สรมิ สร้างทักษะการสรา้ งสรรค์และนวัตกรรม การจดั การเรียนร้แู บบบูรณาการ การจัดการเรียนรู้แบบบูรณาการ หมายถึง การนาความรู้ท่ีครบวงจร ในเรื่องใดเร่ืองหนึ่งที่มาจากการนาความคิดรวบยอดหลักต่างๆ รวมท้ังสมรรถนะ และคุณ ลักษ ณ ะมาเชื่อมโยงกัน อย่างเป็น ระบ บ จัดกิจกรรมกำรเรียนรู้ อย่ำงสอดคล้องกับจุดประสงค์กำรเรียนรู้ตำมควำมสนใจ ควำมต้องกำรของผู้เรียน โดยมีผู้สอนเป็นผู้เอื้ออำนวยควำมสะดวกและโค้ชกำรเรียนรู้ เพ่ือให้ผู้เรียนเกิดกำร เรียนรู้ตำมผลกำรเรียนรทู้ ่ีกำหนด กำรออกแบบหน่วยกำรเรียนรู้เป็นกำรนำคำอธิบำย สำระกำรเรียนรู้มำวิเครำะห์ควำมคิดรวบยอดหลัก ร่วมกับกระบวนกำรเรียนรู้ ส่ือ และแหล่งเรียนรู้ เวลำเรียน และกำรวัดประเมนิ ผล (วิชัย วงษ์ใหญ่ และ มำรตุ พัฒผล. 2556) การจัดการเรยี นรู้แบบบูรณาการทีม่ ปี ระสิทธภิ าพ มีตัวช้วี ัดดังต่อไปน้ี 1) สง่ เสริมกระบวนการเรียนรู้ทเ่ี ชอื่ มโยงกับวถิ ชี ีวติ ของผู้เรียน 2) เช่ือมโยงการเรียนรู้สาระสาคัญที่สอดคล้องกับมำตรฐำนกำร เรยี นร้คู วบคู่กับกำรพัฒนำสมรรถนะและคุณลักษณะอันพึงประสงค์ 3) นาสาระสาคัญที่เรียนรู้มาประยุกต์ใช้ในกำรแก้ปัญหำและกำร ดำรงชีวติ 4) ส่งเสริมการพัฒนากระบวนการคิดข้ันสูง เช่น คิดวิเครำะห์ คิด สงั เครำะห์ คดิ อย่ำงมีวิจำรณญำณ คดิ สร้ำงสรรค์ 5) ส่งเสริมการพัฒนาทักษะการเรียนรู้ กำรศึกษำค้นคว้ำ สืบค้น กำรแลกเปล่ยี นเรียนรู้

81ขอบฟ้ำใหม่แหง่ กำรเรียนรู้สกู่ ำรสรำ้ งสรรค์อนำคต 6) ส่งเสริมการเรียนรู้ด้วยตนเองของผู้เรียน โดยกำรออกแบบกำร จัดกำรเรียนรู้แบบบูรณำกำรที่ดี ควรมีควำมสอดคล้องกับควำมต้องกำร ควำมสนใจ และควำมถนัดของผู้เรยี น ปัจจัยกำหนดที่ต้องพจิ ำรณำในการออกแบบหน่วยการเรียนรู้ 3 ประกำร ไดแ้ ก่ 1) ธรรมชาตขิ องผูเ้ รียน 2) สาระสาคญั 3) สมรรถนะและคณุ ลักษณะอนั พึงประสงค์ โดยท่ีการบูรณาการเป็นการเช่ือมโยงความคิดรวบยอดต่างๆ แล้วนำไป ออกแบบกิจกรรมกำรเรียนรูแ้ ละประเมินผล โดยทั่วไปมี 4 แนวทำงดังนี้ (กรมวชิ ำกำร กระทรวงศกึ ษำธกิ ำร. 2544) 1) การบูรณาการโดยผู้สอนคนเดียว ผู้สอนดำเนินกำรจัดกำรเรียนรู้ โดยเชอื่ มโยงสำระสำคญั ตำ่ งๆ โดยจดั กระบวนกำรเรยี นรดู้ ว้ ยตนเองเพยี งคนเดียว 2) การบูรณาการแบบคู่ขนาน ผู้สอนตั้งแต่สองคนขึ้นไปร่วมกัน จดั กำรเรียนรู้โดยกำรวิเครำะหส์ ำระสำคัญให้สอดคล้องเชอื่ มโยงซ่ึงกันและกัน 3) การบูรณาการแบบสหวิทยาการ กำรบูรณำกำรในลักษณะนีเ้ ป็น กำรนำสำระสำคัญจำกหลำยกลุม่ สำระมำเชือ่ มโยงเพ่ือจดั กำรเรยี นรู้ 4) การบูรณาการแบบโครงการ ผู้สอนจัดกำรเรียนรู้โดยบูรณำกำร สำระสำคัญต่ำงๆ เป็นโครงกำร โดยผู้เรียนและผู้สอนรว่ มกันสร้ำงสรรค์โครงกำรอย่ำง สอดคล้องกับสำระสำคัญท่ีกำหนดไว้ ใช้เวลำเรียนอย่ำงต่อเนื่องกันจนครบ ทกุ สำระสำคญั

82 ขอบฟ้ำใหมแ่ ห่งกำรเรยี นร้สู ูก่ ำรสร้ำงสรรค์อนำคต การจัดการเรียนรูต้ ามแนวทฤษฎคี อนสตรัคติวิสต์ซมึ (Constructivism) Constructivism เป็นทฤษฎกี ำรเรียนรู้ที่ได้อธิบำยว่ำบคุ คลสำมำรถสร้ำง ควำมรู้ควำมเข้ำใจของตนเองต่อส่ิงต่ำงๆ จำกกำรมีปฏิสัมพันธ์กันระหว่ำง ประสบกำรณ์ท่ไี ดร้ บั กบั กระบวนกำรคดิ ของตน แนวคิด Constructivism นำเสนอโดย Jean Piaget ประมำณปี ค.ศ. 1929 กำรจัดกำรเรียนรู้ตำมแนวทฤษฎีคอนสตรัคติวิสต์ซึมมีจุดเน้นให้ผู้เรียน มีประสบการณ์การเรียนรู้อย่างหลากหลายจนสามารถสร้างความรู้ความเข้าใจ เนื้อหาสาระได้ด้วยตนเอง (Piaget. 1929, Good. and Brophy. 1994, Richardson. 2003, Cooperstien. andKocevar. 2004, Giesen. 2004, Baker. McGraw. andPeterson. 2009) การเรียนรู้ตามแนวทฤษฎีคอนสตรัคติวิสต์ซึม มีหลักกำรที่สำคัญ ดังตอ่ ไปนี้ (Good and Brophy. 1994, Baker. McGraw. and Peterson. 2009) 1) ผู้เรียนทุกคนสามารถสร้างความรู้ความเข้าใจของตนเองได้ จำกกำรมปี ฏิสัมพนั ธก์ ับสิง่ แวดลอ้ ม 2) การเรียนรู้ใหม่เกิดมาจากความรู้เดิมท่ีมีอยู่โดยกระบวนกำร Assimilation และ Accommodation ที่ Piaget ไดอ้ ธิบำยไว้ 3) การมปี ฏสิ ัมพนั ธก์ บั สังคมจะเปน็ ปจั จยั ช่วยสง่ เสริมกำรเรยี นรู้ 4) การปฏิบัติกิจกรรมการเรียนรู้ตามสภาพจริงจะทำให้เกิดกำร เรียนร้อู ย่ำงมคี วำมหมำย

83ขอบฟ้ำใหม่แห่งกำรเรยี นรสู้ ่กู ำรสร้ำงสรรคอ์ นำคต การจัดการเรียนรู้ตามแนวทฤษฎีคอนสตรัคติวิสต์ซึม เป็นกำรเรียนรู้ ทผี่ ู้เรียนได้ลงมือปฏิบัติกิจกรรมการเรียนรตู้ ่างๆ โดยใช้กระบวนกำรสืบเสำะแสวงหำ ควำมรู้ กำรทดลอง กำรสร้ำงสรรค์ กำรแก้ปัญหำ ตลอดจนกำรแลกเปลี่ยนเรียนรู้ กับบุคคลอื่น โดยผู้สอนมีบทบาทเป็นผู้เอื้ออานวยความสะดวกในการเรียนรู้ โดยกำรวำงแผนกำรเรียนรู้ กำรจัดเตรียมทรัพยำกรกำรเรียนรู้ และกำรจัดบรรยำกำศ กำรเรยี นรู้ นอกจำกนี้ยังเป็นโค้ชการรู้คิดใหก้ ับผู้เรยี น โดยใช้การตงั้ คาถามให้ผู้เรียน คดิ มากกว่าการบอกความรู้และการตอบคาถามของผูเ้ รียน (Cooperstien. and Kocevar. 2004, Giesen. 2004, Baker. McGraw. andPeterson. 2009) บทบำทของผู้สอนในกำรจัดกำรเรียนรู้ตำมแนวทฤษฎีคอนสตรัคติวิสต์ซึม มีดังน้ี (Cooperstien. and Kocevar. 2004, Giesen. 2004, Baker. McGraw. and Peterson. 2009) 1) ออกแบบกจิ กรรมกำรเรยี นรใู้ หส้ อดคลอ้ งกบั ธรรมชำตขิ องผเู้ รียน 2) สง่ เสรมิ และสนับสนุนให้ผู้เรียนประสบควำมสำเรจ็ ในกำรเรยี นรู้ 3) กระตุ้นให้ผูเ้ รยี นใชก้ ำรเรยี นรู้จำกกำรลงมือปฏบิ ตั จิ ริงดว้ ยตนเอง 4) จัดบรรยำกำศกำรเรียนรู้ทั้งบรรยำกำศทำงกำยภำพ บรรยำกำศ ทำงสงั คม และบรรยำกำศทำงจติ วทิ ยำให้เอื้อตอ่ กำรเรยี นรู้ 5) จัดให้ผเู้ รียนใชว้ ิธีกำรเรยี นรู้ทีห่ ลำกหลำย 6) โคช้ กำรเรียนรู้ใหก้ ับผูเ้ รยี น 7) สะทอ้ นผลกำรเรยี นรู้เพือ่ กำรปรับปรุงและพัฒนำ

84 ขอบฟำ้ ใหมแ่ หง่ กำรเรยี นรสู้ ู่กำรสรำ้ งสรรคอ์ นำคต ส่วนแนวทำงการประเมินผลการเรียนรู้ในการจัดการเรียนรู้ตามแนว ทฤษฎีคอนสตรัคติวิสต์ซึม มุ่งเน้นการประเมินตามสภาพจริง ลักษณะของกำร ประเมินเป็นแบบบูรณำกำรกำรประเมินทั้งด้ำนควำมรู้ ควำมคิด สมรรถนะ และ คุณลักษณะของผู้เรียน ใช้กิจกรรมการประเมินท่ีสอดคล้องกับกิจกรรมการเรียนรู้ ผู้สอนนำผลกำรประเมินมำให้ข้อมูลย้อนกลับแก่ผู้เรียนท้ังกำรให้ผลย้อนกลับ เพ่ือกระตุ้นกำรเรียนรู้ การให้ข้อมูลย้อนกลับเพ่ือการเรยี นรู้ตอ่ ยอดอยำ่ งสรำ้ งสรรค์ 3.7 การคดิ ซับซ้อนปจั จยั ความสาเร็จของการสร้างสรรค์นวัตกรรม นวัตกรรมมีตัวบ่งช้ี 3 ประกำร คือ 1) ใหม่ 2) มีประโยชน์ และ 3) มีคน ต้องกำร ดังน้ันกำรสร้ำงสรรค์นวัตกรรมจึงควรมุ่งตอบสนองตัวบ่งช้ีทั้ง 3 ประกำร ซ่ึงจำเป็นต้องใช้กระบวนกำรคิดอย่ำงหลำกหลำย มีจุดมุ่งหมำยของกำรคิด เช่ือมโยง ข้อมูลสำรสนเทศ ออกแบบระบบของนวัตกรรม กำรสะท้อนผลเพื่อกำรปรับปรุงและ พัฒนำ ซง่ึ เรียกว่ำ การคดิ ซบั ซ้อน (complexity) การคิดซับซ้อน (complexity thinking) คือ การคิดที่ใช้กระบวนการ คิดอย่างหลากหลายเพื่อกำรบรรลุเป้ำหมำยที่กำหนดไว้ โดยใช้ความรู้และข้อมูล สารสนเทศต่างๆ ท่ีเช่ือมโยงกันอย่ำงเป็นระบบหลายระบบ แต่ละระบบ มีความสัมพันธ์กัน นำไปสู่การแก้ไขปัญหาอย่างบูรณาการ การสร้างสรรค์ นวัตกรรม และมกี ำรสะท้อนขอ้ มลู ยอ้ นกลบั เพื่อกำรปรับปรงุ และพัฒนำ ลักษณะของการคดิ ซบั ซ้อน 1. มเี ปำ้ หมำยกำรคิดทีช่ ัดเจน 2. เชอ่ื มโยงข้อมลู ต่ำงๆ อย่ำงเปน็ ระบบ 3. เชือ่ มโยงควำมสัมพนั ธก์ นั ภำยในระบบ

85ขอบฟ้ำใหมแ่ ห่งกำรเรียนรู้สูก่ ำรสร้ำงสรรคอ์ นำคต 4. เชื่อมโยงควำมสัมพันธก์ ันระหวำ่ งระบบแตล่ ะระบบ 5. เชือ่ มโยงขอ้ มลู กนั เป็นเครอื ข่ำยไมแ่ ยกส่วน 6. ใช้กระบวนกำรคดิ ในเรอ่ื งใดเรื่องหนงึ่ อยำ่ งหลำกหลำย 7. คิดอย่ำงเป็นขั้นเปน็ ตอน เชอ่ื มโยงผลลพั ธ์กำรคิดสืบเนื่องต่อกัน 8. ใชว้ ธิ ีกำรทหี่ ลำกหลำยเพือ่ กำรแกป้ ญั หำหรอื สร้ำงสรรค์นวัตกรรม 9. ใหข้ อ้ มลู ย้อนกลับเพอ่ื กำรปรับปรุงและพฒั นำ โลกปัจจุบันมีความสลับซับซ้อนสูง ไม่ว่ำจะเป็นทำงด้ำนเศรษฐกิจ กำรศึกษำ กำรเมือง เทคโนโลยี ภัยพิบัติทำงธรรมชำติ เป็นต้น ดังนั้นการจัดการ เรียนรู้ท่ีสามารถพัฒนาผู้เรียนให้มีทักษะหรือความสามารถในการคิดอย่างซับซ้อน เพรำะเป็นปัจจัยท่ีส่งเสริมให้สามารถดารงชีวิตได้อย่างมีคุณภาพ อีกท้ังยังสำมำรถ นำควำมรู้ไปใช้ในกำรแก้ปัญหำต่ำงๆ อย่ำงมีประสิทธิภำพ บูรณำกำร ตลอดจน การสรา้ งสรรค์นวตั กรรมที่เปน็ ประโยชนต์ อ่ ชุมชนและสงั คม ก า รจั ด ก าร เรี ย น รู้ แ บ บ แ ย ก ส่ ว น อ งค์ ค ว าม รู้ โด ย ข ำด ก ำรบู ร ณ ำก ำ ร จะไม่สามารถพัฒนาการคิดอย่างซับซ้อนให้กับผู้เรียนได้ ผู้เรียนจะมีลักษณะนิสัย คิดแบบแยกส่วน ขำดทกั ษะกำรคิดอย่ำงซับซ้อนท่มี ีลกั ษณะเป็นกำรคดิ แบบบูรณำกำร กำรคิดอย่ำงซับซ้อนมีควำมสำคัญหลำยประกำรซ่ึงหำกพิจรณำถึงกำรคิด เพ่ือกำรดำรงชีวิตในโลกปัจจบุ ัน กำรคิดอยำ่ งซบั ซ้อนมคี วำมสำคัญดงั นี้ 1. ตัดสินใจท่ีจะกระทาหรือไม่กระทาสิ่งต่างๆ ได้อย่างถูกต้อง จำกกำรท่ีคิดเช่ือมโยงข้อมูลสำรสนเทศต่ำงๆ ข้อเท็จจริงที่ปรำกฏจะทำให้วิเครำะห์ ได้ว่ำส่ิงที่ควรกระทำคืออะไร ส่ิงที่ไม่ควรกระทำคืออะไร เช่น กำรตัดสินใจเลือกซ้ือ อำหำรเพื่อกำรบริโภค คนท่ีมีทักษะกำรคิดอย่ำงซับซ้อน จะเลือกบริโภคอำหำรท่ีเป็น

86 ขอบฟำ้ ใหม่แห่งกำรเรียนร้สู กู่ ำรสร้ำงสรรคอ์ นำคต ประโยชน์ต่อร่ำงกำย เพรำะมองเห็นว่ำอำหำรที่รับประทำนเข้ำไป คือเหตุปัจจัย สขุ ภำพดใี นระยะยำว เปน็ ต้น 2. แก้ปัญหาท่ีมีความสลับซับซ้อนได้ตรงจุด สืบเนื่องจำกกำร วิเครำะห์ปัญหำออกเป็นระบบๆ แต่ละระบบมีควำมเสถียรภำยใน และระหว่ำงระบบ มีควำมสัมพันธ์กัน เห็นวงจรของปัญหำทั้งระบบ นำไปสู่กำรแก้ไขปัญหำอย่ำงตรงจุด และเป็นกำรแก้ไขปัญหำท่ีต้นเหตุอย่ำงแท้จริง มีควำมย่ังยืน เช่น ปัญหำสุขภำพท่ีมี สำเหตุมำจำกกำรบริโภคอำหำรไม่ถูกสุขลักษณะ โรคอ้วน โรคควำมดันโลหิตสูง เบำหวำน แกไ้ ขไดด้ ้วยกำรเปล่ียนพฤตกิ รรมกำรบริโภคและออกกำลงั กำย เปน็ ตน้ 3. ทางานอย่างเป็นระบบและมีประสิทธิภาพ จำกกำรที่สำมำรถ วิเครำะห์ระบบงำนย่อยต่ำงๆ ที่มีควำมเช่ือมโยงกันภำยใน และควำมสัมพันธ์ของงำน ระบบย่อยไปเป็นระบบงำนทง้ั หมด ซ่ึงองค์กรธุรกิจจำเปน็ ต้องออกแบบธุรกจิ ให้มีควำม เป็นระบบดังกล่ำว เพ่ือให้เป็นธุรกิจที่เบำและไร้น้ำหนัก แต่สำมำรถสร้ำงสรรค์ ผลิตภัณฑ์ท่ีมีคุณภำพตอบสนองควำมต้องกำรของผู้บริโภคได้ อีกทั้งยังเป็นเงื่อนไข สำคัญของกำรประสบควำมสำเรจ็ ขององค์กรอีกด้วย 4. สร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์และนวัตกรรมได้ดีสืบเน่ืองจำกกำรคิด อย่ำงซับซ้อนต้องนำองค์ควำมรู้ต่ำงๆ ท่ีมีอยู่ในฐำนข้อมูลขนำดใหญ่ หรือ big data มำเชื่อมโยงกนั อยำ่ งเปน็ ระบบ ผสมผสำนควำมคิดสร้ำงสรรค์ จินตนำกำร แรงบันดำล ใจ ผนวกกับมีควำมมุ่งม่ันพยำยำมพัฒนำผลผลิต และนวัตกรรมที่ตอบสนองควำม ต้องกำรของผู้บริโภคได้จนประสบควำมสำเร็จ เช่น กำรผลิตโทรศัพท์ smart phone ทส่ี ำมำรถแสดงผลพร้อมกันได้ 2 จอภำพในเคร่ืองเดียวกนั เพ่ือตอบสนองควำมต้องกำร ของลกู คำ้ ทม่ี ีสไตลก์ ำรทำงำน multi - tasking เปน็ ตน้

87ขอบฟำ้ ใหมแ่ ห่งกำรเรยี นรู้สกู่ ำรสรำ้ งสรรค์อนำคต 5. บรู ณาการงานต่างๆ เข้าดว้ ยกันไดอ้ ย่างลงตวั จำกกำรทวี่ ิเครำะห์ งำนต่ำงๆ ว่ำมีระบบเป็นอย่ำงไร เกี่ยวข้องสัมพันธ์กับงำนอื่นๆ อย่ำงไร ทำให้เห็นวิธี กำรบูรณำกำรงำนเหล่ำน้ันได้อย่ำงลงตัว ทำให้ลดเวลำกำรทำงำนแต่เพิ่มผลผลิต ตำมหลักกำร 80 – 20 ของพาเรสโต คือ การทาน้อยแต่ได้ผลมาก ในทำงตรงข้ำม หำกไม่มีทักษะกำรคิดซบั ซ้อน จะต้องใชเ้ วลำในกำรทำงำนต่ำงๆ มำกขน้ึ แต่ได้ผลผลิต เท่ำเดิมหรือลดลง เพรำะขำดกำรบูรณำกำร กำรบูรณำกำรงำนในส่วนน้ียังสำมำรถ นำไปใชใ้ นการจดั การชวี ิตตนเอง (self - life management) ได้อีกด้วย ผู้เรียนทีม่ ีทักษะกำรคิดซบั ซอ้ น มคี ณุ ลกั ษณะทสี่ ำคัญดงั ตอ่ ไปนี้ ดา้ นการคดิ 1. กำหนดจุดมุง่ หมำยของกำรคิดไดอ้ ย่ำงชดั เจน 2. คิดอยำ่ งเปน็ ระบบเป็นขนั้ เป็นตอน 3. ใชก้ ระบวนกำรคดิ อยำ่ งหลำกหลำย 4. คิดเช่ือมโยงจำกส่ิงหนึ่งไปส่สู ง่ิ อื่นๆ 5. ใชเ้ หตผุ ลตรวจสอบควำมคิด ด้านการจดั การข้อมูล 1. ใชข้ อ้ มูลสำรสนเทศในกำรคดิ 2. แยกแยะและจัดระบบขอ้ มูลออกเป็นประเภทต่ำงๆ 3. วเิ ครำะห์ประโยชนแ์ ละควำมน่ำเชอื่ ถอื ของข้อมูล 4. วิเครำะห์ควำมสมั พันธข์ องขอ้ มลู สำรสนเทศตำ่ งๆ ได้ 5. เชื่อมโยงสำรสนเทศและนำไปใชง้ ำนได้ตำมควำมต้องกำร 6. สังเครำะห์ข้อมูลสำรสนเทศเป็นองคค์ วำมรูท้ ่ีใช้งำนได้