Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore E-Book.. กนกพร มะลิฉิม เลขที่ 1

E-Book.. กนกพร มะลิฉิม เลขที่ 1

Published by kanokporn.malichim, 2022-03-05 15:25:28

Description: E-Book.. กนกพร มะลิฉิม เลขที่ 1

Search

Read the Text Version

2 รายงาน เรอื่ ง นวัตกรรม คอมพิวเตอร์และอินเทอรเ์ นต็ ทางการศึกษา จดั ทำโดย นางสาวกนกพร มะลฉิ ิม รหสั นสิ ิต 64655001-2 นกั ศกึ ษาประกาศนียบัณฑิตวิชาชพี ครู รุน่ ท7่ี หอ้ ง5 เสนอ ดร.กฤษฎาพนั ธ์ พงษ์บรบิ ูรณ์ รายงานเล่มนเี้ ปน็ สว่ นหนึ่งของรายวชิ านวัตกรรมและเทคโนโลยีสารสนเทศเพอ่ื การศึกษา คณะศึกษาศาสตรแ์ ละศิลปศาสตร์

3 คำนำ รายงานเล่มนี้จัดทำขึ้นเพื่อเป็นส่วนหนึ่งของวิชานวัตกรรมและเทคโนโลยีสารสนเทศทาง การศึกษา เพื่อให้ได้ศึกษาหาความรู้ในเรื่องความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับนวัตกรรมและเทคโนโลยี สารสนเทศ ความสำคัญนวัตกรรมและเทคโนโลยีสารสนเทศ การนำนวัตกรรมเทคโนโลยีมา ประยุกตใ์ ช้ในการจดั การศึกษา และได้ศกึ ษาอย่างเข้าใจเพื่อเปน็ ประโยชนก์ บั การเรยี น ผจู้ ัดทำหวงั ว่า รายงานเล่มน้จี ะเป็นประโยชนก์ ับผอู้ ่าน หรอื นกั เรยี น นกั ศกึ ษา ทกี่ ำลังหา ข้อมลู เร่ืองน้อี ย่หู ากมีขอ้ แนะนำหรอื ขอ้ ผดิ พลาดประการใด ผู้จัดทำขอตอ้ งขออภัยมา ณ ทีน่ ด้ี ้วย กนกพร มะลฉิ ิม

สารบัญ 4 เร่อื ง หน้า บทที่ 1 นวตั กรรมทางการศึกษา 1 2 1.1 ความเป็นมาของนวัตกรรมทางการศึกษา 3 4 1.2 ความหมายของนวัตกรรมการศึกษา 7 1.3 แนวคิดพ้นื ฐานของนวตั กรรมทางการศกึ ษา 11 1.4 ประเภทของนวตั กรรมการศกึ ษา 18 1.5 ลักษณะของนวัตกรรม 1.6 นวตั กรรมทางการศกึ ษาทีส่ ำคญั ของไทยในปจั จบุ นั 25 1.7 การเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยที มี่ ีผลต่อสถานศกึ ษา 27 บทที่ 2 ความรเู้ บอื้ งต้นเก่ยี วกับเทคโนโลยสี ารสนเทศ 27 28 2.1 ความรู้เบอ้ื งตน้ เก่ียวกับเทคโนโลยสี ารสนเทศ 29 33 2.2 ความสำคญั ของสารสนเทศ 33 35 2.4 บทบาทของสารสนเทศ 37 2.4 วิวัฒนาการของสารสนเทศ 38 2.5 คอมพิวเตอร์และอนิ เทอรเ์ น็ต 48 2.6 สาเหตุท่ที ำให้เกดิ สารสนเทศ 49 2.7 คุณลกั ษณะของสารสนเทศทด่ี ี 50 2.8 คุณภาพของสารสนเทศ 51 2.9 ประโยชน์ของระบบสารสนเทศ 53 2.10 การสบื ค้น และรับสง่ ข้อมลู แฟ้มข้อมูล 56 56 และสารสนเทศเพอื่ ใช้ในการจัดการเรยี นรู้ 57 2.11 ความหมายของขอ้ มูล 2.12 กรรมวิธกี ารจัดการข้อมูล 2.13 หลกั เกณฑก์ ารประเมินผลลัพธ์ หรือผลผลิต 2.14 เทคโนโลยีสอื่ สารโทรคมนาคม 2.15 เทคโนโลยีสารสนเทศกบั การใชช้ วี ติ ในสังคมปัจจุบนั 2.16 ความสำคญั ของเทคโนโลยีสารสนเทศ 2.17 องคป์ ระกอบของระบบเทคโนโลยสี ารสนเทศ 2.18 ผลของเทคโนโลยีสารสนเทศ

สารบัญ (ตอ่ ) 5 เรอ่ื ง หน้า บทท่ี 3 คอมพิวเตอร์และอนิ เทอร์เน็ตกับเทคโนโลยสี ารสนเทศ 3.1 ส่อื การเรียนรู้ 69 3.2 การออกแบบนวตั กรรมและเทคโนโลยสี ารสนเทศเพอื่ การเรยี นรู้ 71 3.3 แหลง่ เรียนรู้และเครอื ขา่ ย เพอื่ การเรยี นรู้ 78 3.4 ประเภทแหลง่ เรียนรูแ้ ละเครือข่ายการเรยี นรู้ 79 3.5 ความสำคญั ของแหล่งเรียนรแู้ ละเครือข่ายการเรียนรู้ 81 3.6 การจดั การเรียนรู้บนเครือขา่ ยอนิ เทอร์เนต็ 82 3.7 ระบบการสบื คน้ ผ่านเครอื ข่ายเพอื่ การเรียน 85 3.8 ประโยชน์ของการรับ-ส่งขอ้ มลู ทางจดหมายอิเล็กทรอนิกส์ 89 3.9 การวเิ คราะห์ปญั หาทเ่ี กดิ จากการใช้นวัตกรรม 90 93 ข้อสอบทา้ ยบท 100 บรรณานกุ รม

1 บทท่ี 1 นวตั กรรมทางการศึกษา

1 บทท่ี 1 นวตั กรรมทางการศกึ ษา ความเป็นมาของนวัตกรรมทางการศกึ ษา คำว่า นวัตกรรม เป็นศัพท์บัญญัติท่ีใช้แทนคำยืม ภาษาองั กฤษว่า “innovation” ซึ่งมรี ากศัพท์จาก ภาษา ละติน “innovare” ความหมายของ innovation ตาม Collins Cobuild Advance Learner’s English Dictionary (2006 : 748) หมายถึง a new thing or a new method of doing something แปล ความได้ว่า innovation คือ สิ่งใหม่ๆ หรือวิธีการในการทำสิง่ ใดสิ่งหนึ่ง ราชบัณฑิตยสถาน (2556 : 610) ได้ บัญญัติศัพท์โดยใช้คำจากภาษาบาลี “นวตา” ประสมกับคำภาษาสันสกฤต “กรม” ขึ้นเป็น คำภาษาไทยว่า “นวตั กรรม” และให้ความหมายว่า น. การกระทำ หรือสิ่งท่ที ำใหม่ หรอื แปลกจากเดิม ซึ่งอาจจะ เปน็ ความคิด วิธีการ หรืออุปกรณ์ เป็นต้น กล่าวได้ว่า นวัตกรรม หมายถึง สิ่งใหม่หรือความคิดใหม่ที่ต่างจากสิ่ง หรือ ความคิดที่มีอยู่เดิม แต่ในปัจจุบันนี้มีการใช้คำว่า นวัตกรรมอย่างแพร่หลาย ความหมายของนวัตกรรมจึง เปลีย่ นไปเปน็ ความหมายในทางท่กี วา้ งย่งิ ข้นึ นวตั กรรม เป็นคำท่ีคอ่ นข้างจะใหมใ่ นวงการศึกษาของไทย คำนี้ เปน็ ศัพทบ์ ัญญตั ิของคณะกรรมการ พิจารณาศัพท์วิชาการศึกษา กระทรวงศึกษาธิการ มาจากภาษาอังกฤษว่า Innovation มาจากคำกริยาว่า innovate แปลวา่ ทำใหม่ เปล่ยี นแปลงใหเ้ กิดส่งิ ใหม่ ในภาษาไทยเดิมใชค้ ำว่า “นวกรรม” ต่อมาพบว่าคำน้ีมี ความหมายคลาดเคลอ่ื น จงึ เปล่ยี นมาใชค้ ำว่า นวตั กรรม (อา่ นวา่ นะ วัด ตะ กำ) หมายถึงการนำสง่ิ ใหมๆ่ เข้า มาเปล่ียนแปลงเพมิ่ เตมิ จากวิธีการทีท่ ำอยเู่ ดมิ เพอื่ ใหใ้ ช้ได้ผลดีย่ิงขึน้ ดังนัน้ ไม่วา่ วงการหรอื กจิ การใด ๆ ก็ตาม เมื่อมีการนำเอาความเปลี่ยนแปลงใหมๆ่ เข้ามาใช้เพื่อปรบั ปรุงงานใหด้ ีขึ้นกว่าเดิมก็เรียกไดว้ ่าเป็นนวัตกรรม ของวงการนั้น ๆ เช่นในวงการศึกษานำเอามาใช้ ก็เรียกว่า “นวัตกรรมการศึกษา” (Educational Innovation) สำหรบั ผู้ทกี่ ระทำ หรอื นำความเปลี่ยนแปลงใหม่ ๆ มาใช้นี้ เรียกว่าเป็น “นวัตกร” (Innovator) ทอมสั ฮิวช์ (Thomas Hughes) ไดใ้ ห้ความหมายของ “นวัตกรรม” ว่า เปน็ การนำวิธีการใหม่ ๆ มา ปฏบิ ัติหลงั จากไดผ้ ่านการทดลองหรอื ได้รับการพฒั นามาเปน็ ขั้น ๆ แลว้ เริ่มตงั้ แตก่ ารคิดค้น (Invention) การ พัฒนา (Development) ซ่ึงอาจจะเป็นไปในรปู ของ โครงการทดลองปฏบิ ตั กิ ่อน (Pilot Project) แลว้ จงึ นำไป ปฏบิ ตั จิ รงิ ซง่ึ มีความแตกต่างไปจากการปฏิบัตเิ ดิมทเ่ี คยปฏิบัติมา

2 มอร์ตัน (Morton,J.A.) ให้ความหมาย “นวัตกรรม” ว่าเป็นการทำให้ใหม่ขึ้นอีกครั้ง(Renewal) ซ่ึง หมายถึง การปรับปรุงสิ่งเก่าและพัฒนาศักยภาพของบุคลากร ตลอดจนหน่วยงาน หรือองค์การนั้น ๆ นวัตกรรม ไม่ใช่การขจัดหรอื ล้มล้างสงิ่ เกา่ ใหห้ มดไป แตเ่ ปน็ การ ปรับปรุงเสรมิ แตง่ และพฒั นา กิดานนั ท์ มลิทอง (2540) ได้กลา่ วไวว้ า่ นวตั กรรมเปน็ แนวความคิด การปฏิบตั ิ หรือสิง่ ประดษิ ฐใ์ หม่ ๆ ทยี่ ังไม่เคยมีใชม้ าก่อนหรือเป็นการพัฒนาดดั แปลงจากของเดมิ ทมี่ ีอยู่แลว้ ใหท้ นั สมยั และใช้ไดผ้ ลดยี ่งิ ข้นึ เมอ่ื นำนวัตกรรมมาใช้จะช่วยให้การทำงานนั้นได้ผลดีมีประสิทธิภาพและประสิทธิผลสูงกว่าเดิม ทั้งยังช่วย ประหยัดเวลาและแรงงานไดด้ ว้ ย สามารถสรปุ ไดว้ า่ นวตั กรรมหมายถึง ความคิดและการกระทำใหม่ ๆ ที่ไม่เคยมมี าก่อนหรือการ พัฒนาดัดแปลงจากของเดิมให้ดขี ้นึ และเมือ่ นำมาใช้งานกท็ ำใหง้ านมีประสิทธภิ าพมากขึ้น เมื่อนำนวัตกรรมมา ใช้ในการศึกษาเรากเ็ รยี กว่านวัตกรรมการศึกษา ความหมายของนวัตกรรมการศึกษา นวัตกรรมการศกึ ษา (Educational Innovation) หมายถงึ นวัตกรรมทีจ่ ะชว่ ยให้การศึกษา และการ เรียนการสอนมีประสิทธภิ าพดียิง่ ขึน้ ผู้เรียนสามารถเกิดการเรียนรู้อยา่ งรวดเรว็ มีประสิทธิผลสงู กว่าเดิม เกิด แรงจูงใจในการเรียน ในแวดวงของการปฏิรูปการศึกษาจึงมีนักวิชาการคิดค้นรูปแบบของการเรียนการสอน เพอ่ื ให้นักเรียนมสี ่วนร่วมมากข้นึ ในทน่ี ้จี ะขอกล่าวถงึ นวตั กรรมการศึกษาทกี่ ำลังถูกจับตามอง ไดแ้ ก่ 1.นวัตกรรมทางด้านหลักสูตร เป็นการใช้วิธีการใหม่ๆ ในการพัฒนาหลักสูตรให้สอดคล้องกับ สภาพแวดล้อมในท้องถิ่นและตอบสนองความต้องการของบุคคล โดยออกแบบหลักสูตรให้สอดคล้องกับ ความกา้ วหนา้ ทางด้านเทคโนโลยเี ศรษฐกิจและสงั คมของประเทศและของโลก และสามารถทำการบูรณาการ จากองค์ความรู้ในสาขาต่างๆ มาประกอบหลักสูตรให้เข้ากับคุณธรรม จริยธรรม โดยมุ่งให้ผู้เรียนเป็นคนดีมี คณุ ธรรม นอกจากน้ยี งั มีหลักสูตรรายบุคคลสำหรับผูเ้ รียนแต่ละประเภท หลกั สตู รกิจกรรมและประสบการณ์ที่ ม่งุ เนน้ กระบวนการในการจัดกิจกรรมและประสบการณใ์ ห้กบั ผูเ้ รยี นเพอ่ื นำไปสู่ความสำเร็จ หลักสูตรทอ้ งถิ่นท่ี ต้องการกระจายการบริหารจัดการออกสู่ท้องถิ่น เพื่อให้สอดคล้องกับศิลปวัฒนธรรมสิ่งแวดล้อมและความ เป็นอยู่ของประชาชนท่ีมีอยูใ่ นแต่ละท้องถิ่น แทนที่หลักสูตรในแบบเดิมที่ใช้วิธีการรวมศูนย์การพัฒนาอยู่ใน สว่ นกลาง

3 2.นวตั กรรมการเรียนการสอน คอื ส่ิงใหม่ๆ ทส่ี ร้างข้นึ มาเพอ่ื ช่วยแกป้ ัญหาเก่ียวกบั การเรยี นการสอน หรือพัฒนาให้ผเู้ รียนเกิดการเรียนรูอ้ ยา่ งมปี ระสิทธิภาพ ไดแ้ ก่ แนวคดิ รปู แบบ วิธกี าร กระบวนการ ส่อื ต่างๆ ทเ่ี กีย่ วกบั การศกึ ษาเป็นการใช้ระบบในการปรบั ปรุงและคดิ คน้ พฒั นาวธิ ีสอนแบบใหมๆ่ เปน็ การใช้วธิ กี ารสอน หรอื เทคนิคการสอนในรูปแบบต่างๆ ท่ีนักการศกึ ษาไดค้ ิดค้นเพ่อื พฒั นาการดา้ นการเรยี นรใู้ ห้แกผ่ ู้เรียนทัง้ ใน ดา้ นความรู้ ทักษะกระบวนการ และเจตนคติ ทส่ี ามารถตอบสนองการเรียนรายบุคคล การสอนแบบผ้เู รียน เป็นศนู ยก์ ลาง การเรียนแบบมีสว่ นรว่ ม การเรียนรู้แบบแก้ปญั หา การพฒั นาวธิ ีสอนจำเป็นต้องอาศัยวิธกี าร และเทคโนโลยีใหมๆ่ เข้ามาจัดการและสนบั สนุนการเรียนการสอน 3.นวตั กรรมสื่อการสอน เนอ่ื งจากมคี วามกา้ วหน้าทางเทคโนโลยี คอมพวิ เตอรเ์ ครือข่าย และเทคโนโลยี โทรคมนาคม ทำให้นักการศึกษาพยายามนำศักยภาพของเทคโนโลยีเหล่านีม้ าใช้ในการผลิตสื่อการเรียนการ สอนใหม่ๆ จำนวนมากมาย นวัตกรรมสื่อการสอน ได้แก่ คอมพวิ เตอรช์ ว่ ยสอน (CAI) มัลติมีเดยี (Multimedia) การประชุมทางไกล (Teleconference) ชุดการสอน (Instructional Module) วีดิทัศน์แบบมีปฏิสัมพันธ์ (Interactive Video) แนวคดิ พืน้ ฐานของนวตั กรรมทางการศกึ ษา ปัจจัยสำคญั ที่มีอิทธิพลอย่างมาก ตอ่ วิธกี ารศกึ ษา ไดแ้ ก่แนวความคดิ พ้นื ฐานทางการศกึ ษาท่ี เปลยี่ นแปลงไป อนั มีผลทำใหเ้ กิดนวตั กรรมการศึกษาท่ีสำคญั ๆ พอจะสรุปได้ 4 ประการ คอื 1. ความแตกต่างระหวา่ งบุคคล (Individual Different) การจดั การศกึ ษาของไทยไดใ้ ห้ ความสำคัญในเร่ืองความแตกตา่ งระหวา่ งบคุ คลเอาไวอ้ ย่างชัดเจนซง่ึ จะเห็นไดจ้ ากแผนการศึกษาของชาติ ให้ มงุ่ จัดการศึกษาตามความถนัดความสนใจ และความสามารถ ของแตล่ ะคนเปน็ เกณฑ์ ตวั อยา่ งท่ีเห็นไดช้ ัดเจน ได้แก่ การจัดระบบหอ้ งเรียนโดยใชอ้ ายุเปน็ เกณฑ์บ้าง ใช้ความสามารถเปน็ เกณฑ์บ้าง นวัตกรรมที่เกิดขึน้ เพอ่ื สนองแนวความคดิ พ้ืนฐานนี้ เชน่ - การเรียนแบบไมแ่ บง่ ช้นั (Non-Graded School) - แบบเรยี นสำเร็จรูป (Programmed Text Book) - เครือ่ งสอน (Teaching Machine) - การสอนเป็นคณะ (TeamTeaching) - การจัดโรงเรยี นในโรงเรยี น (School within School) - เครอ่ื งคอมพิวเตอรช์ ่วยสอน (Computer Assisted Instruction)

4 2. ความพร้อม (Readiness) เดิมทีเดียวเชื่อกันว่า เด็กจะเริ่มเรียนได้ก็ต้องมีความพร้อมซึ่งเป็น พัฒนาการตามธรรมชาติ แตใ่ นปัจจุบันการวจิ ยั ทางดา้ นจิตวทิ ยาการเรียนรู้ ช้ีให้เห็นวา่ ความพร้อมในการเรียน เป็นสิ่งที่สร้างขึ้นได้ ถ้าหากสามารถจัดบทเรียน ให้พอเหมาะกับระดับความสามารถของเด็กแต่ละคน วิชาท่ี เคยเชื่อกันว่ายาก และไม่เหมาะสมสำหรับเด็กเล็กก็สามารถนำมาให้ศึกษาได้ นวัตกรรมที่ ตอบสนอง แนวความคดิ พ้นื ฐานนีไ้ ดแ้ ก่ ศนู ย์การเรยี น การจดั โรงเรยี นในโรงเรยี น นวตั กรรมทีส่ นองแนวความคิดพ้ืนฐาน ด้านนี้ เช่น - ศูนย์การเรยี น (Learning Center) - การจดั โรงเรียนในโรงเรยี น (School within School) - การปรับปรงุ การสอนสามชัน้ (Instructional Development in 3 Phases) 3. การใชเ้ วลาเพอื่ การศกึ ษา แตเ่ ดมิ มาการจดั เวลาเพือ่ การสอน หรือตารางสอนมักจะจัดโดยอาศยั ความสะดวกเปน็ เกณฑ์ เช่น ถอื หน่วยเวลาเป็นชัว่ โมง เทา่ กันทุกวชิ า ทุกวนั นอกจากนน้ั กย็ งั จดั เวลาเรียนเอาไว้ แน่นอนเป็นภาคเรียน เป็นปี ในปจั จบุ ันได้มคี วามคิดในการจดั เปน็ หน่วยเวลาสอนให้สัมพันธ์กบั ลักษณะของ แตล่ ะวชิ าซง่ึ จะใช้เวลาไม่เทา่ กนั บางวชิ าอาจใช้ช่วงสน้ั ๆ แตส่ อนบ่อยครง้ั การเรียนก็ไม่จำกัดอยแู่ ตเ่ ฉพาะใน โรงเรยี นเท่าน้ัน นวัตกรรมทส่ี นองแนวความคิดพ้นื ฐานด้านน้ี เช่น - การจดั ตารางสอนแบบยืดหยุ่น (Flexible Scheduling) - มหาวทิ ยาลยั เปิด (Open University) - แบบเรียนสำเร็จรปู (Programmed Text Book) - การเรียนทางไปรษณีย์ 4. ประสิทธิภาพในการเรียน การขยายตัวทางวิชาการ และการเปลี่ยนแปลงของสังคม ทำให้มีส่ิง ต่างๆ ที่คนจะต้องเรียนรู้เพิ่มขึ้นมาก แต่การจัดระบบการศึกษาในปัจจุบันยังไม่มีประสิทธิภาพเพียงพอจึง จำเป็นต้องแสวงหาวิธีการใหม่ที่มีประสิทธิภาพสูงขึ้น ทั้งในด้านปัจจัยเกีย่ วกบั ตัวผู้เรียน และปัจจัยภายนอก นวัตกรรมในด้านนที้ ่ีเกิดขน้ึ เชน่ - มหาวทิ ยาลยั เปิด

5 - การเรียนทางวทิ ยุ การเรยี นทางโทรทัศน์ - การเรียนทางไปรษณีย์ แบบเรียนสำเรจ็ รูป - ชุดการเรียน ประเภทของนวัตกรรมการศกึ ษา พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 ได้มีบทบัญญัติที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีการศึกษา และนวัตกรรมการศึกษาไว้หลายมาตรา มาตราที่สำคัญ คือ มาตรา 67 รัฐต้องส่งเสริมให้มีการวิจัยและ พัฒนาการผลิตและการพัฒนาเทคโนโลยีเพือ่ การศึกษา รวมทั้งการติดตาม ตรวจสอบและประเมนิ ผลการใช้ เทคโนโลยีเพื่อการศึกษา เพื่อให้เกิดการใช้ที่คุ้มค่าและเหมาะสมกับกระบวนการเรียนรู้ของคนไทยและใน มาตรา 22 \"การจัดการศึกษาต้องยึดหลกั ว่าผเู้ รียนทกุ คนมีความสามารถเรยี นรู้และพฒั นาตนเองได้และถือว่า ผู้เรยี นมีความสำคญั ท่ีสุด กระบวนการจดั การศกึ ษาตนเองได้และถือว่าผู้เรียนมีความสำคัญท่สี ุด กระบวนการ จัดการศึกษาต้องส่งเสริมให้ผู้เรียนสามารถพฒั นาตามธรรมชาติและเตม็ ตามศักยภาพ\" การดำเนินการปฏิรปู การศึกษาให้สำเร็จได้ตามที่ระบุไว้ในพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 ดังกล่าว จำเป็นต้อง ทำการศกึ ษาวจิ ยั และพฒั นานวัตกรรมการศกึ ษาใหมๆ่ ทจ่ี ะเข้ามาช่วยแกไ้ ขปัญหาทางการศึกษาท้ังในรูปแบบ ของการศกึ ษาวจิ ัย การทดลองและการประเมินผลนวัตกรรมหรือเทคโนโลยีทน่ี ำมาใชว้ ่ามีความเหมาะสมมาก น้อยเพียงใด นวัตกรรมที่นำมาใชท้ งั้ ท่ีผ่านมาแลว้ และทจี่ ะมีในอนาคตมีหลายประเภทขึน้ อย่กู บั การประยุกต์ใช้ นวัตกรรมในด้านตา่ งๆ ในทน่ี ีจ้ ะขอกลา่ วคือ นวัตกรรม 5 ประเภท คอื 1.นวตั กรรมทางดา้ นหลักสตู ร นวัตกรรมทางด้านหลักสูตรเป็นการใช้วิธีการใหม่ๆในการพัฒนาหลักสูตรให้สอดคล้องกับ สภาพแวดล้อมในท้องถิ่นและตอบสนองความต้องการสอนบุคคลให้มากขึ้นเนื่องจากหลักสูตรจะต้องมีการ เปลี่ยนแปลงอยู่เสมอเพื่อให้สอดคล้องกับความก้าวหน้าทางด้านเทคโนโลยีเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ

6 และของโลก นอกจากนก้ี ารพฒั นาหลักสตู รยงั มีความจำเปน็ ที่จะต้องอย่บู นฐานของแนวคิดทฤษฎีและปรัชญา ทางการจัดการสัมมนาอีกด้วย การพัฒนาหลักสูตรตามหลักการและวิธีการดังกล่าวต้องอาศัยแนวคิดและ วิธีการใหม่ๆ ที่เป็นนวัตกรรมการศึกษาเข้ามาช่วยเหลือจัดการให้เป็นไปในทิศทางที่ต้องการ นวัตกรรม ทางด้านหลักสูตรในประเทศไทย ได้แก่ การพัฒนาหลักสูตรดังตอ่ ไปน้ี 1.หลกั สูตรบูรณาการ เป็นการบูรณาการสว่ นประกอบของหลักสูตรเข้าดว้ ยกันทางดา้ นวทิ ยาการ ในสาขาต่างๆ การศึกษาทางด้านจริยธรรมและสังคม โดยมุง่ ใหผ้ ู้เรียนเป็นคนดีสามารถใชป้ ระโยชนจ์ ากองค์ ความรู้ในสาขาตา่ งๆ ให้สอดคลอ้ งกบั สภาพสงั คมอย่างมจี รยิ ธรรม 2.หลักสูตรรายบุคคลเป็นแนวทางในการพัฒนาหลักสูตรเพื่อการศึกษาตามอัตภาพเพื่อ ตอบสนองแนวความคิดในการจัดการศึกษารายบุคคล ซึง่ จะตอ้ งออกแบบระบบเพ่ือรองรับความก้าวหน้าของ เทคโนโลยดี า้ นตา่ งๆ 3.หลักสูตรกิจกรรมและประสบการณ์ เป็นหลักสตู รท่มี ุ่งเน้น กระบวนการในการจดั กิจกรรมและ ประสบการณ์ให้กับผู้เรียนเพื่อนำไปสู่ความสำเร็จเช่นกิจกรรมที่ส่งเสริมให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมในบทเรียน ประสบการณก์ ารเรยี นรจู้ ากการสืบคน้ ด้วยตนเอง เปน็ ตน้ 4.หลักสูตรท้องถิ่นเป็นการพัฒนาหลักสูตรที่ต้องการกระจายการบริหารจัดการออกสู่ท้องถิ่น เพื่อให้สอดคล้องกับศิลปวัฒนธรรมสิ่งแวดล้อมและความเป็นอยู่ของประชาชนท่ีมีอยู่ในแตล่ ะท้องถิ่น แทนที่ หลกั สูตรในแบบเดิมที่ใช้วธิ ีการรวมศูนยก์ ารพัฒนาอยใู่ นสว่ นกลาง 2. นวตั กรรมการเรยี นการสอน เปน็ การใชว้ ิธรี ะบบในการปรับปรุงและคิดคน้ พฒั นาวิธีสอนแบบใหม่ๆ ที่สามารถตอบสนองการ เรียนรายบุคคล การสอนแบบผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง การเรียนแบบมีส่วนร่วม การเรียนรู้แบบแก้ปัญหา การ พัฒนาวิธีสอนจำเป็นต้องอาศัยวิธีการและเทคโนโลยีใหม่ๆ เข้ามาจัดการและสนับสนุนการเรียนการสอน ตวั อย่างนวตั กรรมท่ใี ชใ้ นการเรียนการสอน ไดแ้ ก่ การสอนแบบศูนยก์ ารเรยี น การใชก้ ระบวนการกลมุ่ สัมพันธ์ การสอนแบบเรยี นรรู้ ่วมกัน และการเรียนผ่านเครอื ข่ายคอมพวิ เตอร์และอนิ เทอรเ์ น็ต การวิจยั ในชนั้ เรยี น ฯลฯ 3. นวตั กรรมสอ่ื การสอน เนื่องจากมีความก้าวหน้าของเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ คอมพิวเตอร์เครือข่ายและเทคโนโลยี โทรคมนาคม ทำให้นักการศึกษาพยายามนำศักยภาพของเทคโนโลยีเหล่านีม้ าใช้ในการผลิตสื่อการเรียนการ สอนใหม่ๆ จำนวนมากมาย ท้ังการเรียนดว้ ยตนเองการเรยี นเป็นกลุ่มและการเรยี นแบบมวลชน ตลอดจนส่ือที่ ใช้เพื่อสนบั สนนุ การฝกึ อบรม ผา่ นเครือขา่ ยคอมพิวเตอร์ตวั อยา่ ง นวัตกรรมส่อื การสอน ได้แก่ - คอมพิวเตอร์ชว่ ยสอน (CAI) - มลั ตมิ ีเดีย (Multimedia) - การประชุมทางไกล (Teleconference)

7 - ชุดการสอน (Instructional Module) - วดี ิทศั นแ์ บบมปี ฎสิ ัมพนั ธ์ (Interactive Video) 4. นวัตกรรมการประเมินผล เป็นนวัตกรรมทีใ่ ช้เป็นเคร่ืองมือเพื่อการวัดผลและประเมินผลได้อย่างมีประสิทธิภาพและทำได้ อย่างรวดเร็ว รวมไปถึงการวิจัยทางการศึกษา การวิจัยสถาบัน ด้วยการประยุกต์ใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์มา สนบั สนุนการวดั ผล ประเมนิ ผลของสถานศึกษา ครู อาจารย์ ตวั อยา่ ง นวตั กรรมทางดา้ นการประเมนิ ผล ได้แก่ - การพัฒนาคลังข้อสอบ - การลงทะเบียนผ่านทางเครอื ขา่ ยคอมพวิ เตอร์ และอินเตอรเ์ นต็ - การใช้บัตรสมาร์ทการด์ เพ่อื การใชบ้ รกิ ารของสถาบันศึกษา - การใช้คอมพิวเตอร์ในการตดั เกรด 5. นวัตกรรมการบรหิ ารจดั การ เป็นการใช้นวัตกรรมที่เกี่ยวข้องกับการใช้สารสนเทศมาช่วยในการบริหารจัดการ เพื่อการ ตัดสนิ ใจของผบู้ รหิ ารการศึกษาใหม้ ีความรวดเรว็ ทนั เหตกุ ารณ์ ทนั ตอ่ การเปลี่ยนแปลงของโลก นวัตกรรมการศึกษาที่นำมาใช้ทางด้านการบริหารจะเกี่ยวข้องกับระบบการจัดการฐานข้อมูลใน หน่วยงานสถานศกึ ษา เช่น ฐานขอ้ มลู นักเรียน นักศกึ ษา ฐานข้อมูล คณะอาจารย์และบุคลากร ในสถานศึกษา ด้านการเงิน บัญชี พัสดุ และครุภัณฑ์ ฐานข้อมูลเหล่านี้ตอ้ งการออกระบบท่ีสมบรู ณม์ ีความปลอดภยั ของข้อมูล สงู นอกจากนี้ยังมีความเกี่ยวข้องกับสารสนเทศภายนอกหน่วยงาน เช่น ระเบียบปฏิบัติ กฎหมาย พระราชบญั ญตั ิ ที่เกีย่ วกบั การจัดการศึกษา ซ่ึงจะต้องมีการอบรม เก็บรักษาและออกแบบระบบการสืบค้นที่ดี พอซึ่งผู้บริหารสามารถสืบค้นข้อมูลมาใช้งานได้ทันทีตลอดเวลา การใช้นวัตกรรมแต่ละด้านอาจมีการ ผสมผสานที่ซ้อนทับกันในบางเรื่อง ซึ่งจำเป็นต้องมีการพัฒนาร่วมกันไปพร้อมๆ กันหลายด้าน การพัฒนา ฐานข้อมลู อาจต้องทำเป็นกลมุ่ เพอ่ื ใหส้ ามารถนำมาใช้รว่ มกันไดอ้ ย่างมปี ระสทิ ธภิ าพ ลกั ษณะของนวัตกรรม - เป็นสงิ่ ใหม่ท่ีไม่เคยมผี ใู้ ดเคยทำมาก่อนเลย - ส่ิงใหม่ที่เคยทำมาแลว้ ในอดีตแตไ่ ด้มกี ารร้ือฟ้นื ข้ึน มาใหม่

8 - ส่งิ ใหม่ทมี่ ีการพัฒนามาจากของเก่าที่มีอยู่เดมิ ลักษณะของนวัตกรรม 1.นวตั กรรมใหมอ่ ยา่ งสนิ้ เชงิ (Radical Innovation) หมายถึง ขบวนการเสนอส่ิงใหม่ท่ีใหม่อย่าง แท้จริง สู่สังคม โดยการเปลี่ยนแปลงค่านยิ ม (value), ความเชื่อ (belief ) เดิม ตลอดจนระบบคุณค่า(value system)ของสังคม อยา่ งสนิ้ เชิง ตัวอยา่ งเช่นอินเตอรเ์ น็ต (Internet) จดั วา่ เปน็ นวัตกรรมหนง่ึ ในยุคโลกข้อมูล ข่าวสาร การนำเสนอระบบอินเตอร์เน็ต ทำใหค้ ่านิยมเดิมท่ีเช่ือว่า โลกขอ้ มลู ข่าวสารจำกัดอยู่ ในวงเฉพาะท้ัง ในด้านเวลา และ สถานทีน่ ้ัน เปล่ียนไป อินเตอร์เน็ตเปิดโอกาส ให้ความสามารถในการเขา้ ถึงข้อมูลไรข้ ีดจำกัด ทง้ั ในดา้ นของเวลา และระยะทาง การเปลย่ี นแปลงในคร้ังน้ี ทำใหร้ ะบบคณุ ค่าของข้อมลู ข่าวสาร เปลี่ยนแปลง ไป บางคนเชื่อว่า อินเตอร์เน็ตจะเข้ามาแทนที่ระบบการส่งข้อมูลข่าวสารในระบบเดิม อย่างสิ้นเชิงในไม่ช้า อาทิเชน่ ระบบไปรษณีย์ 2.นวตั กรรม ที่มลี กั ษณะค่อยเปน็ ค่อยไปเปน็ ขบวนการการคน้ พบ (discover) หรอื คดิ คน้ สิง่ ใหม่ (invent)โดยการประยุกต์ ใช้แนวคิดใหม่ (new idea) หรือ ความรู้ใหม่ (new knowledge) ที่มีลักษณะ ต่อเนื่องไม่สิ้นสุด โดยการประยุกต์ใช้ แนวคิดใหม่ หรือความรู้ใหม่ ของมนุษย์ และการค้นค้น เทคนิค (technique) หรอื เทคโนโลยี (technology) ใหม่ นวัตกรรมท่มี ลี ักษณะคอ่ ยเป็นค่อยไป จึงมลี ักษณะของการ สะสมการเรียนรู้ (cumulative learning) อยใู่ นบรบิ ท ของสังคมหนงึ่ ในปัจจบุ ันสังคมไดเ้ ปล่ียนแปลงไปอย่าง มาก เพราะผลของขบวนการโลกาภวิ ัตน์ ทำให้สังคมมีลกั ษณะไร้ขอบเขต (borderless) เปน็ สงั คมของชาวโลก ทมี่ คี วามหลากหลายทางด้านสงั คมวฒั นธรรมและการเมือง ส่งผลให้นวตั กรรม มแี นวโน้มท่จี ะเป็น ขบวนการ ค้นพบใหม่อยา่ งตอ่ เน่ืองในระดับนานาชาติ มากกว่า ทีจ่ ะเปน็ นวัตกรรมใหมโ่ ดยส้นิ เชิง สำหรับสังคมหนึง่ ๆ สุคนธ์ สินธพานนท์ (2553 : 8) กล่าวว่า นวัตกรรมทางการศึกษา ควรมีคุณลักษณะซึ่งพอสรุปได้ ดงั ต่อไปน้ี 1.เป็นส่ิงใหมเ่ ก่ียวกบั การศึกษาทัง้ หมด เช่น วธิ ีการสอนใหมๆ่ สอ่ื การสอนใหม่ๆ ซ่งึ ไมเ่ คยมีใครทำมากอ่ น

9 2.เป็นสิ่งใหม่เพียงบางส่วน เช่น มีการผลิตชุดการสอนรูปแบบใหม่ แต่ยังคงมีรูปแบบเดิมเป็น หลักอยู่ ตัวอย่างเช่น มีบัตรเนื้อหา บัตรความรู้ บัตรทดสอบ แต่มีการเพิ่มบัตรฝึกทักษะความคิด บัตรงาน สำหรบั ผู้เรียน เปน็ ตน้ 3.เปน็ ส่งิ ใหม่ทยี่ ังอย่ใู นกระบวนการทดลองว่ามีประสิทธภิ าพในการนำไปใชม้ ากนอ้ ยเพียงไร เช่น การนำปรชั ญาเศรษฐกจิ พอเพียงบรู ณาการเข้าไปในการจดั กจิ กรรมการเรยี นการสอนทกุ รายวชิ า 4.เป็นส่งิ ใหมท่ ี่ได้รบั การยอมรับและนำไปใช้บา้ งแล้วแตย่ ังไม่แพร่หลาย เชน่ แหล่งการเรียนรูท้ ้องถน่ิ มวี นอุทยานอยูใ่ นท้องถนิ่ น้ันแต่เนอ่ื งจากมีอปุ สรรคเก่ยี วกับการเดนิ ทางจงึ ยงั ไมเ่ ป็นท่ี นิยมของสถานศกึ ษาตา่ งๆ 5.เปน็ สิง่ ที่เคยปฏิบตั มิ าแล้วคร้ังหนึ่งแตไ่ ม่คอ่ ยไดผ้ ลเนือ่ งจากขาดปัจจัย สนับสนุนต่อมาได้นำมาปรับปรุงใหมท่ ดลองใชแ้ ละเผยแพร่จดั วา่ เปน็ นวตั กรรมได้ ในกรณีที่สิ่งนั้นได้นำมาใช้จนกลายเป็นสิ่งปกติของระบบงานนั้นก็ไม่จัดว่าเป็นนวัตกรรม เช่น การ จัดทำบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนของโรงเรียนเมฆวิทยา เป็นนวัตกรรมของโรงเรียนที่ผู้บริหารสนใจและ สนับสนนุ ให้ทกุ กลุ่มสาระการเรียนรู้ ผลติ บทเรียนคอมพวิ เตอร์ช่วยสอนทกุ ระดับชน้ั จนกลายเป็นสื่อการสอน ชนิดหนงึ่ ของโรงเรียน จงึ ไมเ่ รียกคอมพวิ เตอรช์ ว่ ยสอนวา่ เป็นนวัตกรรมอีกต่อไป นคร ละลอกน้ำ (สัมภาษณ์) กล่าวว่า คุณลักษณะของนวตั กรรมทางการศึกษา คอื นวัตกรรมท่ีผ่าน วิธีระบบวิเคราะห์ออกมาแล้ว ทดลองและพัฒนาแล้วนำมาใช้ในวงกว้างแต่ยังไม่เป็นปกติวิสัยมีผลยืนยันว่า ใชไ้ ด้จรงิ แกป้ ญั หาไดจ้ ริงสามารถยนื ยนั ด้วยข้อมลู มหาศาล ราตรี (2552) ได้กลา่ ววา่ นวตั กรรมทางการศึกษามีลักษณะ ดงั น้ี 1)เปน็ สงิ่ ประดิษฐ์หรอื วิธีการใหม่ - คิดหรือทำขน้ึ ใหม่ - เกา่ จากทีอ่ น่ื พึ่งนำเขา้ - คัดแปลงปรบั ปรงุ ของเดมิ - เดิมไม่เหมาะแต่ปัจจุบนั ใช้ได้ดี - สถานการณเ์ อื้ออำนวยทำให้เกิดสิง่ ใหม่ 2) เป็นสิง่ ไดร้ ับการตรวจสอบหรือทดลองและพัฒนา 3) นำมาใช้หรือปฏิบัตไิ ดด้ ี 4) มีการแพร่กระจายออกส่ชู ุมชน จิราพร (2552) ได้กล่าววา่ นวัตกรรมทางการศึกษามีลกั ษณะ ดงั น้ี 1) เป็นส่งิ ใหม่ทไ่ี ม่เคยมีผใู้ ดเคยทำมาก่อนเลย 2) ส่งิ ใหม่ทเ่ี คยทำมาแล้วในอดตี แตไ่ ดม้ ีการร้ือฟ้ืนขึน้ มาใหม่

10 3) สิ่งใหม่ท่ีมกี ารพัฒนามาจากของเก่าท่ีมอี ยเู่ ดิม 4) เป็นส่งิ ที่อย่ใู นระหว่างการทดลอง กระบวนการการสรา้ งและพัฒนานวตั กรรม 5 ขั้นตอน ขน้ั ตอนท่ี 1 การศกึ ษาเอกสารแนวคิดหลักการ เป็นขั้นตอนของการสำรวจว่าในทางวิชาการมีพัฒนาเร่ืองนี้ไวว้ ่าอย่างไร มีใครที่เคยประสบปัญหา การพัฒนาการเรียนรู้หรือการบริหารสถานศึกษาเช่นเดียวกันนี้มาก่อน และคนที่หาปัญหาเช่นเดียวกันนี้มี แนวทางในการแก้ไขปญั หาน้ใี นหอ้ งเรยี นของตนเองอย่างไร เพื่อใหไ้ ด้แนวคิดและแนวทางท่ีจะนำมาแก้ปัญหา ของตนเองตอ่ ไป 1.1 การแลกเปลย่ี นเรียนรูแ้ ละการแสวงหาแนวคิดและหลกั การ 1.2 การศึกษาเอกสารงานวิจัยและประสบการของผู้เกย่ี วขอ้ ง ขั้นตอนที่ 2 การเลือกและการวางแผนสร้างนวัตกรรม โดยพิจารณาเลือกจากลักษณะของ นวตั กรรมการเรียนรทู้ ีด่ ี ดงั นี้ 2.1 เปน็ นวตั กรรมการเรยี นร้ทู ี่ตรงกบั ความต้องการและความจำเป็น 2.2 มีความหน้าเชื่อถือและเป็นไปได้สูงที่จะสามารถแก้ปัญหา และพัฒนาการเรียนรู้ของ ผเู้ รียน 2.3 เปน็ นวัตกรรมที่มีแนวคดิ หรือหลกั การทางวิชาการรองรับจนนา่ เช่อื ถอื 2.4 สามารถนำไปใช้ในหอ้ งเรียนได้จริง ใชไ้ ดง้ ่าย สะดวกตอ่ การใชแ้ ละการพัฒนานวัตกรรม 2.5 มีผลการพิสูจน์เชิงประจักษ์ว่าได้ใช้ในสถานการณ์จริงแล้วสามารถแก้ปัญหาหรือพฒั นา คุณภาพการจดั การเรยี นรไู้ ด้อยา่ งน่าเพ่งิ พอใจ ขั้นตอนที่ 3 สร้างและพัฒนานวัตกรรม จากแผนการสร้างนวัตกรรม ครูต้องศึกษาถึงรายละเอียดของนวัตกรรมที่จะสร้างและดำเนินการ ตามขน้ั ตอน เชน่ การสร้างนวตั กรรมท่เี ป็นชดุ การเรียนรู้ ครอู าจดำเนินการสรา้ งตามข้ันตอนตอ่ ไปน้ี เช่น

11 – วิเคราะหจ์ ุดประสงคก์ ารเรยี นรู้ – กำหนดและออกแบบชุดการเรยี นรู้ดว้ ยตนเอง – ออกแบบสือ่ เสรมิ – ลงมอื ทำ – ตรวจสอบคณุ ภาพคร้งั แรกโดยผู้เชี่ยวชาญ – ทดลองใช้ระยะสั้นเพอ่ื ปรับปรงุ เนื้อหาสาระ – นำไปใชเ้ พื่อแก้ปญั หาหรือการพฒั นาการเรียนรู้ ข้นั ตอนที่ 4 การหาประสิทธภิ าพของนวตั กรรม ขั้นตอนนี้เปน็ ข้ันตอนที่พิสูจนว์ ่านวัตกรรมที่สร้างข้ันนั้นเมื่อนำไปใช้จะไดผ้ ลตามที่ต้องการหรือไม่ สามารถแกป้ ญั หาในชัน้ เรียนหรอื พฒั นาผู้เรยี นได้จรงิ หรือไม่การประสิทธิภาพของนวตั กรรมมหี ลายวธิ ี เช่น 4.1 การตรวจสอบโดยผู้เชย่ี วชาญ 4.2 การบรรยายคณุ ภาพ 4.3 การคำนวณคา่ รอ้ ยละของผ้เู รียน 4.4 การหาประสทิ ธฺ ภิ าพของนวัตกรรม 4.5 การประเมนิ สื่อมัลติมเี ดีย ขน้ั ตอนที่ 5 ปรับปรุงนวตั กรรม หลงั จากท่ีหาประสิทธภิ าพของนวัตกรรมที่สร้างข้ัน ไม่ว่าจะโดยวธิ ีการใดก็ตามควรนำความคิดเห็น หรือข้อเสนอแนะเล่านั้นมาปรับปรุงนวัตกรรมให้มีคุณภาพเหมาะสมที่จะนำไปใช้ในห้องเรียนได้มากขึ้น โดยเฉพาะค่าหาประสทิ ธิภาพโดยการให้ผเู้ ชย่ี วชาญชว่ ยตรวจและการบรรยายคุณภาพก่อนการทดลองใช้และ หลังการทดลองใช้กับผู้เรียนกลุม่ เลก็ จะทำให้ได้ข้อมูลท่ีชัดเจนและเปน็ รายละเอียดท่ีจะปรับปรุงนวัตกรรมได้ ง่ายข้นึ ข้นั ตอนการพฒั นานวัตกรรมทางการศึกษา ทศิ นา แขมมณี (2548) ได้ใหห้ ลักการพฒั นานวัตกรรมทางการศกึ ษาไว้พอสรุปได้ดังนี้ 1. การระบุปญั หา (Problem) ความคดิ ในการพัฒนานวัตกรรมนัน้ สว่ นใหญ่จะเร่ิมจากการ มองเห็นปัญหา และตอ้ งการแกไ้ ขปัญหานั้นใหป้ ระสบความสำเร็จอยา่ งมีคณุ ภาพ 2. การกำหนดจุดมุ่งหมาย (Objective) เมื่อกำหนดปัญหาแล้วก็กำหนดจุดมุ่งหมายเพ่ือ จดั ทำหรือพัฒนานวัตกรรมให้มีคณุ สมบัติ หรอื ลักษณะตรงตามจุดม่งุ หมายที่กำหนดไว้ 3. การศึกษาขอ้ จำกัดตา่ งๆ (Constraints) ผพู้ ัฒนานวัตกรรมทางดา้ นการ เรียนการสอนตอ้ งศึกษาข้อมลู ของปญั หาและขอ้ จำกัดทีจ่ ะใชน้ วตั กรรมนั้น เพ่ือประโยชนใ์ นการนำไปใชไ้ ด้จริง

12 4. การประดิษฐค์ ดิ ค้นนวตั กรรม (Innovation) ผจู้ ัดทำหรือพฒั นานวัตกรรมจะต้องมีความรู้ ประสบการณ์ ความริเริม่ สรา้ งสรรค์ ซึ่งอาจนำของเก่ามาปรับปรงุ ดัดแปลง เพ่อื ใชใ้ นการแกป้ ัญหาและทำให้มี ประสทิ ธิภาพมากขน้ึ หรืออาจคิดค้นขึน้ มาใหม่ทั้งหมด นวัตกรรมทางการศกึ ษามรี ูปแบบแตกตา่ งกนั ข้นึ อยู่กบั ลักษณะปัญหาหรือวัตถุประสงค์ของนวัตกรรมนั้น เช่นอาจมีลักษณะเป็นแนวคิด หลักการ แนวทาง ระบบ รูปแบบ วิธกี าร กระบวนการ เทคนิค หรือสง่ิ ประดิษฐ์ และเทคโนโลยี เปน็ ต้น 5 การทดลองใช้ (Experimentation) เม่ือคดิ ค้นหรือประดิษฐน์ วัตกรรมทางการศึกษาแล้ว ต้องทดลองนวัตกรรม ซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นเพื่อเป็นการประเมินผลและปรับปรุงแก้ไขผลการทดลองจะทำให้ได้ ข้อมูลนำมาใช้ในการปรับปรุงและพัฒนานวัตกรรมต่อไป ถ้าหากมีการทดลองใช้นวัตกรรมหลายครัง้ ก็ยอ่ มมี ความมัน่ ใจในประสทิ ธภิ าพของนวัตกรรมนัน้ 6 การเผยแพร่ (Dissemination) เมอ่ื มัน่ ใจนวัตกรรมทสี่ ร้างขน้ึ มีประสิทธภิ าพ แลว้ กส็ ามารถนำไปเผยแพรใ่ หเ้ ปน็ ท่รี ูจ้ กั นคร ละลอกน้ำ (สมั ภาษณ์) กล่าวว่า การพฒั นานวัตกรรมทางการศึกษาเริ่มตน้ จากปัญหาท่ีพบ ในการสอนจึงรวบรวมปัญหาและสร้างนวัตกรรมขึ้นเพื่อนำไปพัฒนาระบบการสอนใหม่ และทดลองใ ช้ นวัตกรรมนำไปปรบั ปรงุ และพฒั นาจนสามารถแกไ้ ขปญั หาที่พบไดจ้ รงิ นวัตกรรม แบ่งออกเป็น 3 ระยะ คือ ระยะที่ 1 มีการประดิษฐ์คิดค้น (Innovation) หรือเป็นการปรุงแต่งของเก่าให้เหมาะสมกับ กาลสมัย ระยะท่ี 2 พัฒนาการ (Development) มีการทดลองในแหล่งทดลองจัดทำอยู่ในลักษณะของ โครงการทดลองปฏิบัติก่อน (Pilot Project) ระยะที่ 3 การนำเอาไปปฏิบัติในสถานการณ์ทั่วไป ซึ่งจัดว่าเป็นนวัตกรรมขั้นสมบูรณ์ นวัตกรรมทางการศึกษาทส่ี ำคญั ของไทยในปัจจบุ นั นวตั กรรม เป็นความคิดหรือการกระทำใหม่ๆ ซึง่ นักวชิ าการหรือผู้เชี่ยวชาญในแต่ละวงการจะมีการ คิดและทำสงิ่ ใหมอ่ ยูเ่ สมอ ดงั นั้น นวัตกรรมจึงเปน็ ส่ิงท่เี กดิ ขน้ึ ใหมไ่ ดเ้ รอื่ ย ๆ สิง่ ใดท่คี ิดและทำมานานแล้วก็ถือ ว่าหมดความเป็นนวัตกรรมไป โดยจะมีสิ่งใหม่มาแทน ในวงการศึกษาปัจจุบัน มีสิ่งที่เรียกว่า นวัตกรรมทาง

13 การศกึ ษา หรอื นวตั กรรมการเรียนการสอน อยเู่ ปน็ จำนวนมาก บางอย่างเกดิ ขนึ้ ใหม่ บางอย่างมีการใช้มา หลายสบิ ปีแลว้ แต่ก็ยงั คงถอื วา่ เปน็ นวัตกรรม เนอื่ งจากนวตั กรรมเหล่านนั้ ยงั ไมแ่ พรห่ ลายเปน็ ท่ีรจู้ ักทัว่ ไปในวง การศึกษา ประเภทของการใชน้ วัตกรรมการศึกษาในประเทศไทย ประเภทของนวัตกรรมการศึกษาพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 ได้มีบทบัญญัติที่ เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีการศึกษาและนวตั กรรมการศึกษาไว้หลายมาตรา มาตราที่สำคัญ คือ มาตรา 67 รัฐ ต้องส่งเสริมให้มีการวิจัยและพัฒนาการผลิตและการพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อการศึกษา รวมทั้งการติดตาม ตรวจสอบและประเมินผลการใช้เทคโนโลยีเพื่อการศึกษา เพื่อให้เกิดการใช้ที่คุ้มค่าและเหมาะสมกับ กระบวนการเรียนรขู้ องคนไทยและในมาตรา 22 \"การจัดการศกึ ษาตอ้ งยึดหลกั วา่ ผู้เรียนทกุ คนมีความสามารถ เรียนรู้และพัฒนาตนเองได้และถือว่าผู้เรียนมีความสำคัญที่สุด กระบวนการจดั การศึกษาตนเองได้และถือวา่ ผู้เรยี นมีความสำคญั ทสี่ ุด กระบวนการจดั การศกึ ษาตอ้ งส่งเสริมใหผ้ ูเ้ รยี นสามารถพัฒนาตามธรรมชาติและเต็ม ตามศักยภาพ\" การดำเนินการปฏิรูปการศึกษาใหส้ ำเร็จได้ตามทีร่ ะบุไว้ในพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 ดังกล่าว จำเป็นต้องทำการศึกษาวิจัยและพัฒนานวัตกรรมการศึกษาใหม่ๆ ที่จะเข้ามาช่วยแก้ไข ปญั หาทางการศกึ ษาทงั้ ในรูปแบบของการศึกษาวิจัย การทดลองและการประเมินผลนวัตกรรมหรือเทคโนโลยี ที่นำมาใช้ว่ามีความเหมาะสมมากน้อยเพียงใด นวัตกรรมที่นำมาใช้ทั้งที่ผ่านมาแล้วและที่จะมีในอนาคตมี หลายประเภทข้ึนอยู่กบั การประยกุ ตใ์ ชน้ วัตกรรมในดา้ นตา่ งๆ ในท่ีนจ้ี ะขอกลา่ วคอื นวตั กรรม 5 ประเภท คอื 1. นวัตกรรมทางด้านหลักสูตร นวัตกรรมทางด้านหลักสูตร เป็นการใช้วิธีการใหม่ๆ ในการพัฒนาหลักสูตรให้สอดคล้องกับ สภาพแวดล้อมในท้องถิ่นและตอบสนองความต้องการสอนบุคคลให้มากขึ้น เนื่องจากหลักสูตรจะต้องมีการ เปลี่ยนแปลงอยู่เสมอเพื่อให้สอดคล้องกับความก้าวหนา้ ทางด้านเทคโนโลยีเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ และของโลก นอกจากนีก้ ารพัฒนาหลักสตู รยงั มคี วามจำเป็นทจ่ี ะต้องอย่บู นฐานของแนวคิดทฤษฎีและปรัชญา ทางการจัดการสัมมนาอีกด้วย การพัฒนาหลักสูตรตามหลักการและวิธีการดังกล่าวต้องอาศัยแนวคิดและ วิธีการใหม่ๆ ที่เป็นนวัตกรรมการศึกษาเข้ามาช่วยเหลือจัดการให้เป็นไปในทิศทางที่ต้องการ นวัตกรรม ทางด้านหลกั สตู รในประเทศไทย ไดแ้ ก่ การพัฒนาหลกั สตู รดังต่อไปนี้ 1.1 หลักสูตรบูรณาการ เป็นการบูรณาการส่วนประกอบของหลักสูตรเข้าด้วยกันทางด้าน วทิ ยาการในสาขาต่างๆ การศกึ ษาทางดา้ นจริยธรรมและสังคม โดยมงุ่ ให้ผู้เรียนเปน็ คนดีสามารถใช้ประโยชน์ จากองค์ความรใู้ นสาขาตา่ งๆ ใหส้ อดคลอ้ งกบั สภาพสงั คมอย่างมีจริยธรรม 1.2 หลักสูตรรายบุคคล เป็นแนวทางในการพัฒนาหลักสูตรเพือ่ การศึกษาตามอัตภาพ เพื่อ ตอบสนองแนวความคิดในการจัดการศึกษารายบุคคล ซึ่งจะต้องออกแบบระบบเพื่อรองรับความก้าวหน้าของ เทคโนโลยดี า้ นตา่ งๆ

14 1.3 หลักสูตรกิจกรรมและประสบการณ์ เป็นหลักสูตรที่มุ่งเน้น กระบวนการในการจัด กิจกรรมและประสบการณ์ให้กับผู้เรียนเพื่อนำไปสู่ความสำเร็จ เช่น กิจกรรมท่ีส่งเสริมใหผ้ ู้เรียนมีส่วนร่วมใน บทเรียน ประสบการณ์การเรยี นรจู้ ากการสบื คน้ ดว้ ยตนเอง เป็นตน้ 1.4 หลักสูตรท้องถิ่น เป็นการพัฒนาหลักสูตรที่ต้องการกระจายการบริหารจัดการออกสู่ ทอ้ งถิน่ เพือ่ ใหส้ อดคลอ้ งกับศิลปวฒั นธรรมส่ิงแวดลอ้ มและความเปน็ อยขู่ องประชาชนท่มี ีอยู่ในแต่ละท้องถิ่น แทนที่หลักสูตรในแบบเดิมทใี่ ชว้ ธิ กี ารรวมศูนย์การพฒั นาอยู่ในสว่ นกลาง 2. นวตั กรรมการเรียนการสอน เป็นการใช้วิธีระบบในการปรับปรงุ และคิดค้นพฒั นาวิธีสอนแบบใหม่ๆ ที่สามารถตอบสนองการ เรียนรายบุคคล การสอนแบบผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง การเรียนแบบมีส่วนร่วม การเรียนรู้แบบแก้ปัญหา การ พัฒนาวิธีสอนจำเป็นต้องอาศัยวิธีการและเทคโนโลยีใหม่ๆ เข้ามาจัดการและสนับสนุนการเรียนการสอน ตัวอย่างนวตั กรรมทีใ่ ชใ้ นการเรียนการสอน ไดแ้ ก่ การสอนแบบศูนยก์ ารเรียน การใช้กระบวนการกลุม่ สัมพันธ์ การสอนแบบเรยี นรรู้ ว่ มกัน และการเรียนผ่านเครอื ขา่ ยคอมพวิ เตอร์และอินเทอร์เนต็ การวจิ ัยในชั้นเรยี น ฯลฯ 3. นวัตกรรมสอ่ื การสอน เนื่องจากมีความก้าวหน้าของเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ คอมพิวเตอร์เครือข่ายและเทคโนโลยี โทรคมนาคม ทำให้นักการศึกษาพยายามนำศักยภาพของเทคโนโลยีเหล่านีม้ าใช้ในการผลิตสื่อการเรียนการ สอนใหมๆ่ จำนวนมากมาย ทง้ั การเรยี นดว้ ยตนเองการเรยี นเปน็ กลุ่มและการเรยี นแบบมวลชน ตลอดจนส่ือที่ ใช้เพ่ือสนบั สนนุ การฝกึ อบรม ผา่ นเครือขา่ ยคอมพิวเตอร์ตวั อย่าง นวตั กรรมส่ือการสอน ไดแ้ ก่ - คอมพวิ เตอรช์ ่วยสอน (CAI) - มลั ตมิ ีเดีย (Multimedia) - การประชมุ ทางไกล (Teleconference) - ชุดการสอน (Instructional Module) - วีดีทัศน์แบบมีปฏิสมั พันธ์ (Interactive Video) 4. นวัตกรรมทางด้านการประเมินผล เป็นนวัตกรรมที่ใช้เป็นเครื่องมือเพื่อการวัดผลและประเมินผลได้อย่างมีประสิทธิภาพและทำได้ อย่างรวดเรว็ รวมไปถึงการวิจัยทางการศึกษา การวิจัยสถาบัน ด้วยการประยุกตใ์ ช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์มา สนับสนุนการวัดผล ประเมนิ ผลของสถานศกึ ษา ครู อาจารย์ ตัวอยา่ ง นวตั กรรมทางดา้ นการประเมินผล ได้แก่ - การพัฒนาคลังข้อสอบ - การลงทะเบียนผา่ นทางเครอื ข่ายคอมพวิ เตอร์ และอนิ เตอร์เนต็ - การใช้บัตรสมารท์ การด์ เพอ่ื การใช้บรกิ ารของสถาบันศึกษา - การใช้คอมพิวเตอร์ในการตดั เกรด

15 5. นวัตกรรมการบริหารจัดการ เป็นการใช้นวัตกรรมที่เกี่ยวข้องกับการใช้สารสนเทศมาช่วยในการบริหารจัดการ เพื่อการ ตัดสินใจของผู้บริหารการศึกษาให้มีความรวดเร็วทันเหตุการณ์ ทันต่อการเปลี่ยนแปลงของโลกนวัตกรรม การศึกษาที่นำมาใช้ทางด้านการบริหารจะเกี่ยวข้องกับระบบการจัดการฐานข้อมูลในหน่วยงานสถานศึกษา เช่น ฐานข้อมูล นักเรียน นักศึกษา ฐานข้อมูล คณะอาจารย์และบุคลากร ในสถานศึกษา ด้านการเงิน บัญชี พสั ดุ และครภุ ัณฑ์ ฐานขอ้ มูลเหลา่ น้ีต้องการออกระบบทส่ี มบูรณ์มีความปลอดภยั ของขอ้ มลู สงู นอกจากนี้ยังมีความเกี่ยวข้องกับสารสนเทศภายนอกหน่วยงาน เช่น ระเบียบปฏิบัติ กฎหมาย พระราชบญั ญตั ิ ทเ่ี ก่ียวกบั การจัดการศกึ ษา ซ่งึ จะต้องมกี ารอบรม เกบ็ รกั ษาและออกแบบระบบการสืบค้นที่ดี พอซ่ึงผู้บรหิ ารสามารถสบื ค้นข้อมลู มาใช้งานได้ทันทีตลอดเวลาการใชน้ วัตกรรมแต่ละด้านอาจมกี ารผสมผสาน ทีซ่ ้อนทับกนั ในบางเรอื่ ง ซง่ึ จำเปน็ ต้องมกี ารพัฒนาร่วมกนั ไปพร้อมๆ กนั หลายด้าน การพฒั นาฐานข้อมูลอาจ ต้องทำเปน็ กลมุ่ เพื่อใหส้ ามารถนำมาใช้ร่วมกันได้อยา่ งมปี ระสทิ ธิภาพ นวตั กรรมทางการศกึ ษาต่างๆ ท่ีกล่าวถงึ กนั มากในปัจจบุ นั E-learning หมายถึง การเรียนทางอิเล็กทรอนิกส์ หรือ e-Learning รูปแบบการเรียนการสอน ซึ่งใช้การถ่ายทอดเนื้อหา(delivery methods) ผ่านทางอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ไม่ว่าจะเป็น คอมพิวเตอร์ เครอื ขา่ ยอนิ เทอร์เน็ต อินทราเน็ต เอ็กซทราเน็ต หรอื ทางสญั ญาณโทรทัศน์ หรอื สญั ญาณดาวเทียม และใช้ รูปแบบการนำเสนอเนื้อหาสารสนเทศในรูปแบบต่าง ๆ ซึ่งอาจอยู่ในรูปแบบการเรียนที่เราคุ้นเคยกันมา พอสมควร เช่น คอมพิวเตอร์ช่วยสอน(Computer-Assisted Instruction) การสอนบนเว็บ (Web-Based Instruction) การเรียนออนไลน์ (On-line Learning) การเรียนทางไกลผ่านดาวเทียม หรืออาจอยู่ในลักษณะ ทย่ี ังไมค่ ่อยเปน็ ท่แี พร่หลายนกั เชน่ การเรยี นจากวิดีทศั น์ตามอธั ยาศยั (Video On-Demand) เปน็ ตน้ อย่างไรก็ดี ในปัจจุบัน เมื่อกล่าวถึง e-Learning คนส่วนใหญ่จะหมายเฉพาะถึง การเรียนเนื้อหา หรือสารสนเทศซึ่งออกแบบมาสำหรับการสอนหรือการอบรม ซึ่งใช้เทคโนโลยีของเว็บ (Web Technology) ในการถา่ ยทอดเนือ้ หา และเทคโนโลยีระบบการบรหิ ารจดั การการเรยี นรู้ (Learning Management System) ในการบริหารจัดการการเรียนรู้ของผู้เรียนและงานสอนด้านต่างๆ โดยผู้เรียนที่เรียนจาก e-Learning นี้ สามารถศึกษาเนื้อหาในลักษณะออนไลน์ นอกจากนี้ เนื้อหาสารสนเทศของ e-Learning จะถูกนำเสนอโดย อาศัยเทคโนโลยีมัลติมีเดีย (Multimedia Technology) และเทคโนโลยีเชิงโต้ตอบ (Interactive Technology)จากความหมายที่คนส่วนใหญน่ ิยาม e-Learning น้นั จำเป็นตอ้ งทำความเข้าใจให้ชัดเจนว่า e- Learningไม่ใชเ่ พียงแค่การสอนในลกั ษณะเดิม ๆ และนำเอกสารการสอนมาแปลงใหอ้ ยใู่ นรปู ดิจิตลั และนำไป วางไว้บนเว็บ หรือระบบบริหารจัดการการเรียนรู้เท่านั้น แต่ครอบคลุมถึง กระบวนการในการเรียนการสอน หรือการอบรมท่ีใช้เครือ่ งมือทางดา้ นเทคโนโลยีสารสนเทศ เพื่อให้เกดิ ความยดื หยุ่นทางการเรียนรู้ (flexible learning) สนับสนุนการเรียนรู้ในลักษณะที่ผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง (learner-centered) และการเรียนใน

16 ลักษณะตลอดชีวิต (life-long learning) ซึ่งอาศัยการเปลี่ยนแปลงด้านกระบวนทัศน์ (paradigm shift) ของ ทั้งกระบวนการในการเรียนการสอนด้วย นอกจากนี้ e-Learning ไม่จำเป็นต้องเป็นการเรียนทางไกลเสมอ คณาจารย์สามารถนำไปใชใ้ นลักษณะการผสมผสาน (blended) กับการสอนในช้ันเรียนได้ ลักษณะสำคัญของ e-Learning (Feature of e-Learning) ที่ดี ควรจะประกอบไปด้วยลักษณะสำคัญ 4 ประการ ดังนี้ 1. ทุกเวลาทุกสถานที่ (Anywhere, Anytime) หมายถึง e-Learning ควรต้องช่วยขยายโอกาส ในการเข้าถึงเนื้อหาการเรียนรู้ของผู้เรียนได้จริง ในที่นี้หมายรวมถึง การที่ผู้เรียนสามารถเรียกดูเนื้อหาตาม ความสะดวกของผเู้ รยี น เช่น ผู้เรียนมีการเข้าถึงเครอ่ื งคอมพิวเตอรท์ ่เี ชอื่ มต่อกบั เครือข่ายได้อยา่ งยืดหย่นุ 2. มลั ติมีเดีย (Multimedia) หมายถึง e-Learning ควรต้องมกี ารนำเสนอเน้อื หาโดยใช้ประโยชน์ จากสอื่ ประสมเพือ่ ช่วยในการประมวลผลสารสนเทศของผเู้ รยี นเพ่อื ให้เกิดความคงทนในการจดจำและ/หรือ การเรียนร้ไู ด้ดขี ึน้ 3. การเช่อื มโยง (Non-linear) หมายถงึ e-Learning ควรต้องมีการนำเสนอเน้ือหาในลักษณะท่ีไม่ เปน็ เชงิ เสน้ ตรง กล่าวคอื ผูเ้ รยี นสามารถเขา้ ถงึ เน้อื หาตามความต้องการ โดย e-Learning จะต้องจดั หาการ เช่อื มโยงที่ยดื หยนุ่ แกผ่ ู้เรียน นอกจากนี้ยงั หมายถึงการออกแบบให้ผูเ้ รียนสามารถเรียนได้ตามจงั หวะ(pace) การเรยี นของตนเองดว้ ย เช่น ผ้เู รียนทเี่ รียนชา้ สามารถเลอื กเนือ้ หาท่ีตอ้ งการเรยี นซำ้ ได้บ่อยครงั้ ผเู้ รยี นทเ่ี รียน ดสี ามารถเลอื กท่ีจะข้ามไปเรียนในเนือ้ หาท่ตี อ้ งการไดโ้ ดยสะดวก 4. การโต้ตอบ (Interaction) หมายถึง e-Learning ควรตอ้ งมีการเปิดโอกาสใหผ้ ู้เรยี นโต้ตอบ(มี ปฏิสมั พันธ์) กับเนื้อหา หรือกบั ผู้อน่ื ได้ กล่าวคอื 1) e-Learning ควรตอ้ งมกี ารออกแบบกจิ กรรมซ่งึ ผู้เรียนสามารถโต้ตอบกบั เน้อื หา (InteractiveActivities) รวมทง้ั มกี ารจัดเตรยี มแบบฝกึ หดั และแบบทดสอบใหผ้ ู้เรยี นสามารถตรวจสอบความ เข้าใจด้วยตนเองได้ 2) e-Learning ควรต้องมีการจัดหาเครื่องมือในการให้ช่องทางแก่ผู้เรียนในการ ติดตอ่ สื่อสาร(Collaboration Tools) เพ่ือการปรกึ ษา อภปิ ราย ซักถาม แสดงความคิดเห็นกับผู้สอน วิทยากร ผเู้ ช่ียวชาญ หรอื เพือ่ น ๆ ร่วมชัน้ เรียนโดยในส่วนของการโต้ตอบนี้ จะต้องคำนึงถึงการใหผ้ ลป้อนกลับที่ทันต่อ เหตุการณ์ (ImmediateResponse) ซึ่งอาจหมายถึง การที่ผู้สอนต้องเขา้ มาตอบคำถามหรือให้คำปรึกษาแก่ ผู้เรียนอย่างสม่ำเสมอและทันเหตุการณ์ รวมถึง การที่ e-Learning ควรต้องมีการออกแบบให้มีการทดสอบ การวัดผล และการประเมินผล ซึ่งสามารถให้ผลป้อนกลับโดยทันทีแก่ผู้เรียน ไม่ว่าจะอยู่ในลักษณะของ แบบทดสอบก่อนเรยี น (pre-test) หรอื แบบทดสอบหลังเรยี น (posttest) ก็ตาม ขอ้ ได้เปรียบ และข้อจำกัดของ e-Learning (advantage of e-Learning) ประโยชนท์ ีไ่ ด้รับจากการนำ e-Learning ไปใช้ในการเรียนการสอนมี ดังนี้

17 1. e-Learning ชว่ ยใหก้ ารจดั การเรียนการสอนมปี ระสทิ ธิภาพมากยิ่งขนึ้ เพราะการถ่ายทอด เนอ้ื หาผา่ นทางมัลติมีเดยี สามารถทำใหผ้ ู้เรยี นเกิดการเรียนร้ไู ด้ดกี ว่าการเรียนจากสื่อข้อความเพียงอย่างเดียว หรือจากการสอนภายในห้องเรียนของผู้สอนซึ่งเน้นการบรรยายในลักษณะ Chalk and Talk แต่เพียงอย่าง เดียวโดยไม่ใช้สื่อใด ๆ ซึ่งเมื่อเปรียบเทียบกับ e-Learning ที่ได้รับการออกแบบและผลิตมาอย่างมีระบบ e- Learning สามารถช่วยทำใหผ้ ู้เรยี นเกิดการเรียนร้ไู ดอ้ ยา่ งมปี ระสทิ ธิภาพมากกว่า ในเวลาทเี่ ร็วกว่า นอกจากน้ี ยังเป็นการสนับสนุนให้เกิดการเรียนรู้ที่ผู้เรียนเป็นศูนย์กลางได้เป็นอย่างดี เพราะผู้สอนจะสามารถใช้ e- Learning ในการจัดการเรียนการสอนที่ลดการบรรยาย (lecture)ได้ และสามารถใช้ e-Learning ในการ จัดการเรียนการสอนที่เน้นให้ผู้เรียนได้เป็นผู้รับผิดชอบในการจัดการเรียนรู้ด้วยตนเอง ( autonomous learning) ไดด้ ียง่ิ ขนึ้ 2. e-Learning ช่วยทำให้ผู้สอนสามารถตรวจสอบความก้าวหน้าพฤติกรรมการเรียนของ ผู้เรียนได้อย่างละเอียดและตลอดเวลา เนื่องจาก e-Learning มีการจัดหาเครื่องมือที่สามารถทำให้ผู้สอน ตดิ ตามการเรียนของผ้เู รยี นได้ 3. e-Learning ช่วยทำให้ผู้เรียนสามารถควบคุมการเรยี นของตนเองได้ เน่อื งจากการนำเอา เทคโนโลยี Hypermedia มาประยุกต์ใช้ ซึ่งมีลักษณะการเชื่อมโยงข้อมูลไม่ว่าจะเป็นในรูปของข้อความ ภาพนิ่ง เสียงกราฟิก วิดีโอ ภาพเคลื่อนไหว ที่เกี่ยวเนื่องกันเข้าไว้ด้วยกันในลักษณะที่ไม่เป็นเชิงเส้น (Non- Linear) ทำให้ Hypermedia สามารถนำเสนอเนื้อหาในรูปแบบใยแมงมุมได้ ดังนั้นผู้เรียนจึงสามารถเข้าถึง ขอ้ มูลใดกอ่ นหรอื หลังกไ็ ด้ โดยไมต่ ้องเรียงตามลำดบั และเกดิ ความสะดวกในการเข้าถึงของผเู้ รยี นอกี ด้วย 4. e-Learning ช่วยทำให้ผู้เรียนสามารถเรียนรู้ได้ตามจังหวะของตน (Self-paced Learning) เนือ่ งจากการนำเสนอเนื้อหาในรปู แบบของ Hypermedia เปดิ โอกาสใหผ้ ู้เรยี นสามารถควบคุมการ เรียนรู้ของตนในด้านของลำดับการเรยี นได้ (Sequence) ตามพื้นฐานความรู้ ความถนัด และความสนใจของ ตน นอกจากนี้ผเู้ รยี นยังสามารถ ทดสอบทักษะตนเองกอ่ นเรยี นได้ทำให้สามารถช้ชี ัดจุดออ่ นของตน และเลือก เน้ือหาให้เขา้ กับรปู แบบการเรยี นของตัวเอง เช่นการเลอื กเรียนเน้ือหาเฉพาะบางส่วนท่ีต้องการทบทวนได้ โดย ไม่ต้องเรียนในส่วนที่เขา้ ใจแลว้ ซ่ึงถอื ว่าผูเ้ รียนได้รบั อสิ ระในการควบคุมการเรยี นของตนเอง จงึ ทำใหผ้ ู้เรียนได้ เรียนรู้ตามจงั หวะของตนเอง 5. e-Learning ช่วยทำให้เกดิ ปฏิสัมพนั ธร์ ะหวา่ งผู้เรียนกับครผู ู้สอน และกบั เพอื่ น ๆ ได้ เน่อื งจาก e- Learning มีเครื่องมือต่าง ๆ มากมาย เช่น Chat Room, Web Board, E-mail เป็นต้น ที่เอื้อต่อการโต้ตอบ (Interaction) ที่หลากหลาย และไม่จำกัดว่าจะต้องอยู่ในสถาบันการศึกษาเดียวกัน (Global Choice) นอกจากนนั้ e-Learning ที่ออกแบบมาเปน็ อย่างดีจะเออ้ื ใหเ้ กิดปฏิสมั พันธ์ระหว่างผู้เรียนกับเนื้อหาได้อย่างมี ประสิทธภิ าพ เช่น การออกแบบเนือ้ หาในลกั ษณะเกม หรอื การจำลอง เปน็ ต้น

18 ข้อจำกดั 1. ผู้สอนที่นำ e-Learning ไปใช้ในลักษณะของสื่อเสริม โดยไม่มีการปรับเปลี่ยนวิธีการสอนเลย กล่าวคือ ผู้สอนยังคงใช้แตว่ ิธีการบรรยายในทุกเน้ือหา และสั่งให้ผู้เรียนไปทบทวนจาก e-Learning หาก e- Learning ไม่ไดอ้ อกแบบให้จงู ใจผูเ้ รยี นแลว้ ผเู้ รยี นคงใช้อยูพ่ ักเดยี วก็เลกิ ไปเพราะไม่มีแรงจงู ใจใด ๆ ในการใช้ e-Learning กจ็ ะกลายเปน็ การลงทุนทไ่ี ม่คุม้ ค่าแต่อยา่ งใด 2. ผู้สอนจะต้องเปลี่ยนบทบาทจากการเป็นผู้ให้ (impart) เนื้อหาแก่ผู้เรียน มาเป็น (facilitator) ผู้ช่วยเหลือและใหค้ ำแนะนำตา่ ง ๆ แก่ผู้เรียน พร้อมไปกับการเปิดโอกาสให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรูด้ ้วยตนเอง จาก e-Learning ท้ังนี้ หมายรวมถึง การท่ผี ้สู อนควรมีความพร้อมทางด้านทักษะคอมพิวเตอร์และรับผิดชอบ ตอ่ การสอนมีความใส่ใจกับผูเ้ รียนโดยไมท่ งิ้ ผูเ้ รยี น 3. การลงทุนในด้านของ e-Learning ต้องครอบคลมุ ถึงการจัดการให้ผู้สอนและผ้เู รียนสามารถเข้าถึง เนื้อหาและการติดต่อสื่อสารออนไลน์ได้สะดวก สำหรับ e-Learning แล้ว ผู้สอนหรือผู้เรียนที่ใช้รูปแบบการ เรียนในลักษณะนี้จะต้องมีสิ่งอำนวยความสะดวก (facilities) ต่าง ๆ ในการเรียนที่พร้อมเพรียงและมี ประสิทธิภาพ เช่น ผู้สอนและผู้เรียนสามารถติดต่อสื่อสารกับผู้อื่นได้ และสามารถเรียกดูเนื้อหาโดยเฉพาะ อย่างยิ่งในลักษณะมัลตมิ ีเดีย ได้อย่างครบถ้วน ด้วยความเร็วพอสมควร เพราะหากปราศจากข้อได้เปรยี บใน การติดต่อสื่อสารและการเขา้ ถึงเนอื้ หาไดส้ ะดวก รวมทง้ั ข้อไดเ้ ปรยี บสอื่ อน่ื ๆ ในลักษณะในการนำเสนอเนอ้ื หา เชน่ มลั ตมิ เี ดยี แลว้ นน้ั ผเู้ รียนและผ้สู อนกอ็ าจไมเ่ ห็นความจำเป็นใด ๆ ท่ีตอ้ งใช้ e-Learning ระดับของสอื่ สำหรับ e-Learning (Level of media for e-Learning) การถา่ ยทอดเน้อื หาสามารถ แบง่ ไดเ้ ป็น 3 ลกั ษณะดว้ ยกนั กล่าวคอื 1. ระดบั เน้นข้อความออนไลน์ (Text Online) หมายถงึ เนื้อหาของ e-Learning ในระดบั น้ี จะอย่ใู นรปู ของข้อความเป็นหลัก e-Learning ในลกั ษณะน้จี ะเหมือนกับการสอนบนเว็บ (WBI) ซึ่งเน้นเนอ้ื หา ทเี่ ปน็ ขอ้ ความ ตวั อักษรเป็นหลัก ซ่ึงมีข้อดี ก็คือการประหยดั เวลาและค่าใชจ้ า่ ยในการผลิตเน้ือหาและการ บรหิ ารจัดการการเรียนรู้ 2. ระดับรายวิชาออนไลน์เชิงโตต้ อบและประหยัด (Low Cost Interactive Online Course)หมายถงึ เนอื้ หาของ e-Learning ในระดบั นี้จะอยูใ่ นรูปของตัวอกั ษร ภาพ เสยี ง และวดิ ีทัศน์ ท่ผี ลติ ขนึ้ มาอย่างง่าย ๆ ประกอบการเรียนการสอน e-Learning ในระดบั หนึ่งและสองน้ี ควรจะตอ้ งมีการพัฒนา LMS ท่ีดี เพอ่ื ชว่ ยผูใ้ ชใ้ นการสรา้ งและปรบั เน้ือหาใหท้ ันสมยั ได้อย่างสะดวกด้วยตนเอง 3. ระดบั รายวิชาออนไลน์คุณภาพสงู (High Quality Online Course) หมายถึง เนื้อหาของ e-Learning ในระดับน้ีจะอยู่ในรปู ของมัลติมีเดียทม่ี ีลักษณะมอื อาชีพ กล่าวคือ การผลิตตอ้ งใช้ทีมงานในการ

19 ผลติ ทปี่ ระกอบด้วย ผู้เชย่ี วชาญเนือ้ หา (content experts) ผูเ้ ช่ียวชาญการออกแบบการสอน (instructional designers) และ ผู้เช่ียวชาญการผลติ มัลตมิ ีเดีย (multimedia experts) ระดับของการนำ e-Learning ไปใช้ในการเรยี นการสอนสามารถทำได้ 3 ระดับ ดังนี้ 1. ใช้ e-Learning เปน็ สอื่ เสริม (Supplementary) หมายถงึ การนำ e-Learning ไปใช้ใน ลักษณะส่ือเสริม กล่าวคือ นอกจากเนอ้ื หาที่ปรากฏในลักษณะ e-Learning แลว้ ผู้เรียนยังสามารถศึกษา เนื้อหาเดียวกนั นี้ในลกั ษณะอ่ืน ๆ เช่น จากเอกสาร(ชที ) ประกอบการสอน จากวดิ ีทัศน์ (Videotape) ฯลฯ การใช้ e-Learning ในลกั ษณะนเี้ ท่ากับว่าผู้สอนเพียงตอ้ งการใช้ e-Learning เป็นอกี หนงึ่ ทางเลือกสำหรบั ผเู้ รียนในการเขา้ ถงึ เน้อื หาเพือ่ ให้ประสบการณพ์ เิ ศษเพิ่มเติมแก่ผูเ้ รียนเท่านั้น 2. ใช้ e-Learning เป็นสื่อเติม (Complementary) หมายถึงการนำ e-Learning ไปใช้ใน ลกั ษณะเพิม่ เตมิ จากวิธกี ารสอนในลักษณะอนื่ ๆ เช่น นอกจากการบรรยายในหอ้ งเรียนแลว้ ผู้สอนยังออกแบบ เนอื้ หาให้ผู้เรียนเขา้ ไปศึกษาเน้ือหาเพ่มิ เติมจาก e-Learning โดยเน้อื หาท่ีผู้เรยี นเรยี นจาก e-Learning ผู้สอน ไมจ่ ำเป็นต้องสอนซำ้ อีก แตส่ ามารถใช้เวลาในชน้ั เรยี นในการอธิบายในเนื้อหาท่ีเข้าใจไดย้ าก ค่อนข้างซับซ้อน หรอื เป็นคำถามท่มี ีความเขา้ ใจผดิ บอ่ ย ๆ นอกจากนี้ ยงั สามารถใชเ้ วลาในการทำกิจกรรมทีเ่ น้นใหผ้ เู้ รียนได้เกิด การคดิ วเิ คราะห์แทนได้ ในความคดิ ของผู้เขียนแล้วในมหาวิทยาลยั เชยี งใหมข่ องเรา เมอื่ ได้มีการลงทุนในการ นำ e-Learning ไปใช้กับการเรียนการสอนแล้วอย่างน้อยควรตั้งวัตถุประสงค์ในลักษณะของสื่อเติม (Complementary) มากกว่าแค่เพยี งเป็นส่ือเสริม(Supplementary) เพื่อให้เกิดความคุ้มทุน นอกจากน้ีอาจ ยังไมเ่ หมาะสมที่จะใช้ในลักษณะแทนที่ผู้สอน (Replacement) ตัวอย่างการใช้ในลกั ษณะสือ่ เติม เช่น ผู้สอน มอบหมายให้ผู้เรียนศึกษาเนื้อหาด้วยตนเองจาก e-Learning ในวัตถุประสงค์ใดวัตถุประสงค์หนึ่งก่อนหรือ หลงั การเขา้ ช้นั เรยี น รวมท้ัง ใหก้ ำหนดกิจกรรมท่ีทดสอบความเข้าใจของผเู้ รียนในเนื้อหาดงั กล่าวใน session การเรียนตามปรกติ เป็นต้น ทั้งนี้เพื่อให้เหมาะสมกบั ลักษณะของผู้เรียนของเรา ซึ่งยังต้องการคำแนะนำจาก ครผู ้สู อน รวมท้งั การทผ่ี ู้เรยี นส่วนใหญ่ยังขาดการปลูกฝงั ให้มีความใฝร่ ้โู ดยธรรมชาติ 3. ใช้ e-Learning เป็นสื่อหลัก (Comprehensive Replacement) หมายถึงการนำ e- Learning ไปใช้ในลักษณะแทนที่การบรรยายในห้องเรียน ผู้เรียนจะต้องศึกษาเนื้อหาทั้งหมดออนไลน์ และ โตต้ อบกับเพือ่ นและผเู้ รียนอน่ื ๆ ในช้นั เรยี นผา่ นทางเครือ่ งมือติดต่อส่ือสารต่าง ๆ ที่ e- Learning จัดเตรียม ไว้ ในปัจจุบันแนวคิดเกี่ยวกับการนำ e-Learning ไปใช้ในต่างประเทศจะอยู่ในลักษณะlearning through technology ซึ่งหมายถึง การเรียนรู้โดยมุ่งเน้นการเรียนในลักษณะมีส่วนร่วมของผู้เกี่ยวข้องไม่ว่าจะเป็น ผู้สอน ผู้เรียน และผู้เชี่ยวชาญอื่น ๆ (Collaborative Learning) โดยอาศัยเทคโนโลยีในการนำเสนอเนื้อหา และกิจกรรมต่าง ๆ ซึ่งต้องการการโต้ตอบผ่านเครื่องมือสื่อสารตลอด โดยไม่เน้นทางด้านของการเรียนรู้ รายบุคคลผ่านสื่อ (courseware) มากนัก ในขณะที่ในประเทศไทยการใช้ e-Learning ในลักษณะสื่อหลัก เช่นเดียวกับต่างประเทศนั้น จะอยู่ในวงจำกัด แต่การใช้ส่วนใหญ่จะยงั คงเป็นในลักษณะของ learning with

20 technology ซึ่งหมายถึง การใช้ e-Learning เป็นเสมือนเครื่องมือทางเลือกเพื่อให้ผู้เรียนเกิดความ กระตือรอื ร้น สนกุ สนาน พร้อมไปกับการเรียนรู้ในชั้นเรยี น การเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีทม่ี ีผลต่อสถานศึกษา สถานศึกษาในยุคปัจจุบันมี การเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อมเป็นอย่างมาก อิทธิพลของความ เจริญกา้ วหน้าทางวิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี ทำให้สภาพแวดลอ้ มทางการเรยี นและสถานการณข์ องการเรียน การสอนแตกต่างไปจากเดิม การเปลี่ยนแปลงที่เกิ ดขึ้นมีผลกระทบต่อการบริหารและการจัดการ สภาพแวดล้อม ทางการเรยี นซึง่ จำเป็นต้องเปลีย่ นแปลงตามไปดว้ ย สภาพแวดลอ้ มทางการเรียนในสถานศึกษา ปัจจุบันถูกกำหนดด้วยเทคโนโลยีที่ได้มี การพิจารณานำเข้ามาใช้ การนำเทคโนโลยีเข้ามาใช้ทำให้เกิดการ เปล่ียนแปลงที่มผี ลตอ่ สถานศึกษาอยา่ ง นอ้ ย 3 ประการ ได้แก่ 1. เทคโนโลยีเปล่ยี นแปลงวถิ ีชวี ติ (Technology alters orientation.) สถานศึกษา สภาพของผเู้ รียน และผู้สอนได้รบั อิทธพิ ลจากเทคโนโลยีมีลกั ษณะของการใช้ชวี ติ ในฐานะผู้เรียน และผูส้ อนเปล่ียนไป วิถีชีวติ ของทั้งผู้เรยี นและผสู้ อนผกู พนั และขนึ้ อย่กู บั เทคโนโลยมี ากขนึ้ เชน่ วนั นี้ไฟดบั งดจ่ายกระแสไฟฟ้า นกั เรยี นไม่ สามารถทนน่ังในห้องเรยี นที่รอ้ นอบอา้ วได้ เชน่ เดียวกบั ครทู ไ่ี ม่สามารถทำการสอนได้ เพราะเคร่ืองฉายภาพ จากคอมพิวเตอร์ไมท่ ำงาน ส่อื ต่างๆ ทผี่ ู้สอนเตรยี มมาไม่สามารถนำมาใช้ได้ และมกี ารเรียนการสอนภาคนอก เวลาซง่ึ มกั จะสอนในเวลากลางคนื คงไมม่ กี ารจดุ เทยี น หรอื จดุ ตะเกียงเพอื่ การเรียนการสอน ส่ิงเหล่านแี้ สดงให้ เหน็ ถงึ วิถีชีวิตของการเปน็ ผูเ้ รียนและการเปน็ ผสู้ อนใน สถานศึกษาเปลย่ี นแปลงไปจากเดมิ และผกู พันกบั เทคโนโลยีมากขึน้ จนบางท่านอาจคิดวา่ เทคโนโลยีมีอทิ ธพิ ลในการ กำหนดวิถีชวี ิตไมเ่ พยี งการเปล่ยี นแปลงวิถี ชวี ิตเท่าน้นั 2. เทคโนโลยีเปลี่ยนแปลงวิธีการ (Technology alters techniques.) วิธีการเรียนการสอนใน สถานศึกษาปัจจุบันมีหลายรูปแบบหลายลักษณะ และในจำนวนรูปแบบต่างๆ ของการเรียนเหล่าน้ัน จำเป็นต้องพึ่งพาเทคโนโลยี เช่น การเรียนการสอนทางไกลแบบสองทาง การเรียนด้วยสื่อโทรทัศน์ผ่าน ดาวเทียม หรือรปู แบบของการเรียนการสอนทไ่ี ม่จำเป็นต้องมีชั้นเรียนให้ผเู้ รียนเรยี น ได้ดว้ ยตนเองจากแหล่ง วิทยบริการที่มีอยู่หรือจากชุดการเรียนที่ทำขึ้นสำหรับ ผู้เรียนลักษณะนี้โดยเฉพาะ นอกจากนี้เทคนิควิธีการ

21 เรียนการสอน การประเมนิ ผล ยงั เปล่ยี นแปลงไปจากเดิมท่ีมคี รูเป็นศูนยก์ ลาง กลายเปน็ ผ้เู รยี นเป็นศูนย์กลาง ของการเรียนมากขึ้น 3. เทคโนโลยีเปลี่ยนแปลงสถานการณ์ของการเรียน (Technology alters situations of learning.) การเปลยี่ นแปลงสถานการณข์ องการเรยี นในสถานศึกษา เปน็ สภาพใหมท่ ่ีเกิดขึ้นพร้อมๆ กับนำเทคโนโลยใี หม่ เข้ามาใช้ สถานการณ์ของการเรียนการสอนในสภาพของส่ิงแวดล้อมในสถานศกึ ษาที่เตม็ ไปดว้ ย เทคโนโลยีเพ่ือ ชว่ ยการเรยี นรูจ้ ะมบี รรยากาศของการเรียน เงอื่ นไขในการเรียน ที่แตกต่างจากเดมิ ผูเ้ รยี นสามารถเลือกเรียน ในสถานการณ์และเงอ่ื นไขทีต่ นเองตอ้ งการไดม้ ากข้นึ สถานการณ์ท่ีทำให้เกดิ การเรียนร้ไู มจ่ ำเป็นตอ้ งสร้างขน้ึ ด้วยครูผสู้ อน เท่านน้ั อย่างแต่กอ่ น แต่เทคโนโลยีสามารถจะสรา้ งสถานการณข์ องการเรยี นใหเ้ กิดขนึ้ ได้และมี ความหลาก หลายอกี ด้วย จากผลของการเปลย่ี นแปลงโดยมีเทคโนโลยีเปน็ ตัวกำหนดดัง กลา่ วขา้ งตน้ ทำให้สภาพแวดล้อม ทางการเรียนในสถานศกึ ษาตอ้ งมกี ารวางแผนและจดั การกับ เทคโนโลยที ี่เป็นตวั กำหนดนนั้ อย่างมี ประสิทธิภาพและให้เกดิ ประสิทธภิ าพ สูงสุด เพ่อื เปน็ แนวทางท่ีจะนำไปสู่การจัดการศึกษาอยา่ งมคี ุณภาพ ท่ี สถานศึกษาทกุ แห่งต้องการใหเ้ กิดขึน้ แนวโนม้ การเปลย่ี นแปลงท่สี ำคัญท่เี กดิ จากเทคโนโลยี แนวโน้มการเปล่ียนแปลงของสงั คมโลก เทคโนโลยสี ารสนเทศทำให้การกระจายข้อมูลข่าวสารเป็นไป อย่างรวดเร็ว ทุกทิศทาง และมีระบบตอบสนอง ด้วยเหตุนี้ผลกระทบต่อการเปลี่ยนแปลงทางด้านเศรษฐกิจ การเมอื ง และสังคม ผลของความก้าวหนา้ ทางด้านเทคโนโลยสี ารสนเทศทำให้เกดิ แนวโน้มการเปลี่ยนแปลงท่ี สำคัญหลายดา้ น แนวโน้มท่ีสำคญั ทเี่ กิดจากเทคโนโลยีท่ีสำคัญและเป็นทีก่ ลา่ วถึงกนั มาก ดังน้ี 1) เทคโนโลยีสารสนเทศ ทำให้สังคมเปลี่ยนจากสังคมอุตสาหกรรมมาเป็นสังคมสารสนเทศ สภาพ ของสังคมโลกได้เปลี่ยนแปลงมาแล้วสองครั้ง จากสังคมความเป็นอยู่แบบเร่ร่อนมาเป็นสังคมเกษตรที่มีการ เพาะปลูกและสรา้ งผลิตผลทางการเกษตร ทำให้มีการสร้างบา้ นเรือนเป็นหลักแหล่ง ต่อมามีความจำเปน็ ต้อง ผลิตสินค้าให้ได้ปริมาณมากและต้นทนุ ถูก จึงต้องหันมาผลิตแบบอุตสาหกรรม ทำให้สภาพความเป็นอยู่ของ มนุษยเ์ ปล่ยี นแปลงมาเป็นสงั คมเมือง มีการรวมกลุ่มอยู่อาศยั เป็นเมือง มีอุตสาหกรรมเปน็ ฐานการผลิต สังคม อุตสาหกรรมได้ดำเนินการมาจนถึงปัจจุบัน และเข้าสู่สังคมสารสนเทศ การดำเนินธุรกิจใช้สารสนเทศอย่าง กว้างขวาง เกิดคำใหม่ว่า ไซเบอร์สเปซ มีการดำเนินกิจกรรมต่างๆ เช่น การพูดคุยผ่านอินเทอร์เน็ต การซื้อ สนิ ค้าและบรกิ าร ฯลฯ 2) เทคโนโลยสี ารสนเทศ เป็นเทคโนโลยีแบบตอบสนองตามความตอ้ งการของผู้ใช้แต่ละคน เชน่ การ ดโู ทรทัศน์ วิทยุ เมอ่ื เราเปดิ เคร่ืองรับโทรทัศนห์ รอื วทิ ยุ เราไมส่ ามารถเลอื กตามความตอ้ งการได้ หากไม่พอใจก็

22 ทำได้เพียงเลอื กสถานีใหม่ แนวโน้มจากน้ีไปจะมกี ารเปลีย่ นแปลงในลักษณะท่ีเรียกว่า on demand เราจะมี โทรทัศน์และวิทยุแบบเลือกดู เลือกฟังได้ตามความต้องการ หากระบบการศึกษาจะมีระบบ education on demand คือสามารถเลือกเรียนตามต้องการได้ การตอบสนองตามความต้องการ เป็นหนทางที่เป็นไปได้ เพราะเทคโนโลยีมีพัฒนาการทก่ี า้ วหน้าจนสามารถนำระบบสอื่ สารมาตอบสนองตามความต้องการของมนุษย์ 3) เทคโนโลยีสารสนเทศ ทำให้เกิดสภาพการทำงานแบบทุกสถานที่ และทุกเวลา เมื่อการสื่อสาร ก้าวหน้าและแพร่หลายขึ้น การโต้ตอบผ่านเครือข่ายทำให้มีปฏิสัมพันธไ์ ด้ เกิดระบบการประชุมทางวีดิทัศน์ ระบบประชมุ บนเครอื ขา่ ย ระบบโทรศึกษา ระบบการคา้ บนเครือข่าย ลกั ษณะของการดำเนนิ งานเหล่าน้ี ทำให้ ผู้ใชข้ ยายขอบเขตการดำเนินกิจกรรมไปทกุ หนทกุ แหง่ ตลอด 24 ชั่วโมง เราจะเหน็ จากตัวอยา่ งทม่ี ีมานานแล้ว เช่น ระบบเอทีเอ็ม ทำให้การเบิกจ่ายได้เกือบตลอดเวลา และกระจายไปใกล้ตัวผู้รับบริการมากข้ึน และด้วย เทคโนโลยีที่ก้าวหน้าข้ึน การบริการจะกระจายมากยิ่งขึ้นจนถึงที่บ้าน ในอนาคตสังคมการทำงานจะกระจาย จนงานบางงานอาจนงั่ ทำทีบ่ ้านหรอื ที่ใดกไ็ ด้ และเวลาใดกไ็ ด้ 4) เทคโนโลยีสารสนเทศ ทำให้ระบบเศรษฐกิจเปลี่ยนจากระบบท้องถิ่นไปเป็นเศรษฐกจิ โลก ระบบ เศรษฐกิจซึ่งแต่เดิมมีขอบเขตจำกัดภายในประเทศ ก็กระจายเป็นเศรษฐกิจโลก ทั่วโลกจะมีกระแสการ หมนุ เวยี นแลกเปลยี่ นสินค้า บรกิ ารอยา่ งกว้างขวางและรวดเร็ว เทคโนโลยีสารสนเทศมีส่วนเออ้ื อำนวยให้การ ดำเนินการมีขอบเขตกว้างขวางมากยงิ่ ข้ึน ระบบเศรษฐกิจของทกุ ประเทศในโลกเชอื่ มโยงและมีผลกระทบต่อ กนั 5) เทคโนโลยสี ารสนเทศ ทำให้องคก์ รมลี ักษณะผกู พนั หนว่ ยงานภายในเปน็ แบบเครือข่ายมากข้นึ แต่ เดมิ การจัดองค์กรมีการวางเป็นลำดับข้ัน มสี ายการบังคบั บัญชาจากบนลงล่าง แตเ่ มือ่ การสอ่ื สารแบบสองทาง และการกระจายข่าวสารดีขึ้น มกี ารใชเ้ ครอื ข่ายคอมพิวเตอร์ในองค์กรผูกพันกันเปน็ กลุ่มงาน มีการเพิ่มคุณค่า ขององค์กรด้วยเทคโนโลยีสารสนเทศ การจัดโครงสรา้ งขององคก์ รจงึ ปรับเปล่ียนจากเดิม และมีแนวโน้มที่จะ สรา้ งองคก์ รเปน็ เครอื ข่ายท่ีมลี ักษณะการบังคับบัญชาแบบแนวราบมากขน้ึ หนว่ ยธุรกจิ จะมขี นาดเล็กลง และ เชอ่ื มโยงกันกับหนว่ ยธรุ กจิ อืน่ เป็นเครือข่าย โครงสรา้ งขององคก์ รจงึ เปลยี่ นแปลงไปตามกระแสของเทคโนโลยี 6) เทคโนโลยีสารสนเทศ ก่อให้เกิดการวางแผนการดำเนินการระยะยาวขึ้น อีกทั้งยังทำให้วิถีการ ตัดสินใจรอบคอบมากข้ึน แต่เดิมการตัดสินปัญหาอาจมีหนทางให้เลือกได้น้อย เช่น มีคำตอบเดียว ใช่ และ ไมใ่ ช่ แตด่ ้วยข้อมูลข่าวสารที่สนับสนนุ การตัดสินใจ ทำให้วิถีความคิดในการตัดสนิ ปัญหาเปลี่ยนไป ผู้ตัดสินใจ มีทางเลือกได้มากและมคี วามรอบครอบในการตัดสนิ ปัญหาได้ดีขนึ้ 7) เทคโนโลยีสารสนเทศ เป็นเทคโนโลยีเดียวที่มีบทบาทที่สำคัญในทุกวงการ ดังนั้นจึงมีผลต่อการ เปลี่ยนแปลงทางสังคม วัฒนธรรม ศีลธรรม การศึกษาเศรษฐกิจและการเมืองไดอ้ ย่างมาก ลองนึกดวู ่าขณะนี้ เราสามารถชมข่าว ชมรายการทีวี ที่ส่งกระจายผ่านดาวเทียมของประเทศต่างๆ ได้ทั่วโลก เราสามารถรับรู้

23 ขา่ วสารได้ทนั ที เราใช้เครือขา่ ยอินเทอร์เน็ตในการส่ือสารระหว่างกนั และติดต่อกบั คนได้ท่ัวโลก จึงเป็นที่แน่ ชดั ว่าแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรม เศรษฐกิจ สงั คม และการเมืองจึงมีลักษณะเป็นสงั คมโลกมากขนึ้ ปญั หาและอุปสรรคในการใชน้ วัตกรรมและเทคโนโลยีทางการศกึ ษา สภาพปัจจุบนั และปญั หาการใช้เทคโนโลยีการศึกษาในประเทศไทย จากความเจริญก้าวหน้าทางวิทยาการจึงทำให้กระบวนการจัดการศึกษาต้องเปลี่ยนแปลง ตามไปด้วยอย่างต่อเนือ่ ง ดังนั้นเทคโนโลยีการศกึ ษาไม่วา่ จะเปน็ สื่อวัสดุอุปกรณป์ ระเภทต่างๆรวมท้ังเทคนิค วธิ ีการและแหล่งสนับสนนุ การเรยี นรู้ต้องเปล่ียนแปลงตามไปดว้ ยเชน่ กัน คอมพวิ เตอร์ ได้เข้ามามีอิทธิพลและ มีบทบาทต่อการจัดการศกึ ษาอย่างเดน่ ชัดมากย่งิ ขึ้น และดเู หมือนว่าจะเป็นส่อื ที่นา่ สนใจและเป็นสอ่ื ที่ต้องการ ของหลายฝ่ายที่เกี่ยวข้องกับการจัดการศึกษาทุกๆระดับ ทั้งนี้สังคมคาดหวังว่าสื่อยุคใหม่หรือนวัตกรรม ทางการสอนที่แปลกใหม่และมีความหลากหลายเหล่านั้นจะช่วยเสริมสร้างประสิทธิภาพและประสิทธิผล ทางการเรยี นรแู้ ละการจัดการศึกษาโดยรวมในที่สุด หากมองยอ้ นหลงั สักหน่อย จะพบวา่ เราเรมิ่ จาก การไม่มี อยากมี แลว้ ไดม้ ี ตดิ ตามดว้ ยใช้ไมค่ อ่ ยเปน็ แลว้ ก็ใชเ้ ป็นกันมากขนึ้ แต่ไดป้ ระโยชน์ มแี ก่นสารสาระหรือไมเ่ ป็น เรือ่ งน่าคิด สว่ นมากจะเข้าลกั ษณะใชเ้ ป็น แต่ไม่ค่อยไดป้ ระโยชน์ ดทู ก่ี ลุม่ เยาวชนก็แล้วกันวา่ เขากำลังทำอะไร กันอยู่กับอินเตอร์เน็ต เสียเวลาและทรัพยากรไปเท่าไร และได้อะไรตอบแทนกลับมา ส่วนมากจะเข้าข่ายไร้ สาระมากกวา่ ปญั หาทพี่ บในการใชน้ วตั กรรมการศึกษา 1. ปัญหาด้านบุคลากร บุคลากรขาดความรู้ความเข้าใจในการผลิตสื่อประกอบการจัด กจิ กรรม บุคลากรขาดประสบการณ์ในการใช้ส่ือนวัตกรรมทางการศกึ ษา ไม่เข้าใจและรูจ้ กั วิธีการใช้นวัตกรรม ที่ทางโรงเรียนจัดทำขน้ึ ขาดความชำนาญในการใช้นวัตกรรม ขาดสอื่ ประกอบการเรยี น บคุ ลากรส่วนใหญ่ให้ ความร่วมมือในการใช้นวัตกรรม แต่ขาดความต่อเนื่องแนวทางแก้ไข คือ สร้างความตระหนัก ความ รบั ผดิ ชอบในสว่ นทยี่ งั บกพรอ่ งทางนวตั กรรมของบุคลากร สง่ เสรมิ ให้เขา้ ร่วมการอบรมสัมมนา สง่ เสริมใหเ้ กิด การศกึ ษาด้วยตนเอง เพ่อื ใหค้ วามรแู้ ละประสบการณใ์ นการใชส้ ่อื นวตั กรรมทางการศกึ ษาที่มากขึน้ 2. ปญั หาดา้ นวสั ดุ อปุ กรณ์ และงบประมาณ เกีย่ วกับนวัตกรรม คือ ขาดงบประมาณในการ พัฒนานวัตกรรม ขาดวัสดุ – อุปกรณ์และงบประมาณที่จะพัฒนาสื่อนวัตกรรม การจัดหา การใช้ การดูแล รักษาและขาดงบจัดหาสื่อทันสมัย แนวทางการแก้ไข เพิ่มงบประมาณให้เพียงพอ ให้หน่วยงานที่มีส่วน เกี่ยวข้องจัดหางบประมาณสนับสนุน สำนักงานเขตพื้นที่ต้องช่วยดูแลและให้ความช่วยเหลือจัดสรร งบประมาณได้ เพื่อใช้ในการพัฒนานวัตกรรมใหม้ ีคณุ ภาพดีย่ิงขึ้น และระดมทรัพยากรที่มีในท้องถิ่น มาช่วย สนับสนุน 3. ปัญหาด้านสภาพแวดล้อม และสถานที่การใช้นวัตกรรม สภาพแวดล้อมโดยท่ัวไปยังไม่ เหมาะสมกับการใชส้ ื่อ เนื่องจากความยุง่ ยากและไม่คล่องตัว มีสถานที่ไม่เป็นสัดส่วน ไม่มีห้องท่ีใชเ้ พื่อเกบ็

24 รักษาสื่อ นวตั กรรมเป็นการเฉพาะ ทำให้การดแู ลทำไดย้ ากและขาดการพฒั นาที่ตอ่ เนอ่ื ง แนวทางการแก้ไข คือ ใช้สื่อนวัตกรรมตามความเหมาะสมของเนื้อหาวิชาตามความยากง่ายของเนื้อหา จัดทำห้องสื่อเคลื่อนที่ แบง่ สื่อไปตามหอ้ งใหค้ รูรับผิดชอบ ควรจัดหาห้องเพื่อการนเ้ี ปน็ การเฉพาะ 4. ปญั หาดา้ นสภาพการเรียนการสอน เดก็ มีความแตกตา่ งกันดา้ นสติปญั ญา และด้าน รา่ งกาย ปญั หาครอบครวั แตกแยก เด็กอาศยั อยู่กับญาติ มเี นอ้ื หาวิชาทม่ี ากและสาระ การเรยี นการสอนแต่ ละครัง้ ไมต่ ่อเน่อื ง นกั เรียนบางคนไมส่ บายใจในกิจกรรม และทำไมจ่ ริงจงั จงึ มีผลต่อการจดั กจิ กรรม นกั เรยี น ตอ้ งเข้าคิวรอนานกับนวัตกรรมบางชนิด และสภาพการเรยี นการสอน ครูยังยึดวธิ กี ารสอนแบบเดิม คือ บรรยายหนา้ ชั้นเรียน แตสว่ นใหญ่มีแนวโน้มในการพัฒนาทดี่ ีขึน้ ครูยังไม่มีการนำสื่อนวัตกรรมมาใชใ้ นการ จัดการเรยี นการสอนอย่างต่อเนอ่ื ง แนวทางการแกไ้ ข คือ จัดกลมุ่ ให้เพือ่ นช่วยเพือ่ น คอยกำกับแนะนำ ช่วยเหลอื จดั ครูเข้าสอนตามประสบการณ์ความถนดั ควรจัดอบรมเพอื่ ให้ความรู้ จัดทำนวตั กรรมที่มีโอกาส เปน็ ไปได้ และสรา้ งการมีส่วนร่วมจากชุมชน สอนเพิม่ เติมนอกเวลา และจดั การสอนแบบรวมชั้น โดยใช้ กระบวนการเรยี นการสอนตามช่วงชั้น 5. ปัญหาดา้ นการวดั ผลและประเมนิ ผล คือ บุคลากรขาดความร้ใู นการท่ีจะนำสอื่ นวตั กรรม มาใช้ในการวดั ผลและประเมินผล นกั เรียนที่ไม่ค่อยสนใจหรอื ไมช่ อบกิจกรรมก็จะมีผลต่อการจดั ผลประเมินผล ขาดนวตั กรรมสอ่ื คอมพวิ เตอร์ อนิ เตอร์เน็ต การวดั ประเมินผล ครูสว่ นใหญ่ยังใชว้ ิธีการทำแบบทดสอบ แบบปรนัย แนวทางการแกไ้ ข จัดทำแบบสอบถามสุ่มเปน็ รายบคุ คล เพศชาย หญงิ เนน้ นักเรยี นได้ฝกึ ปฏบิ ตั ิ จรงิ และสร้างองคค์ วามรู้ดว้ ยตนเอง จัดแบบทดสอบท่หี ลากหลาย ทัง้ แบบปรนยั และอัตนยั และประเมนิ ผล ตามสภาพจริง ประเมนิ ผลงานจากแฟม้ สะสมงาน ปัญหา อปุ สรรค การใชเ้ ทคโนโลยีสารสนเทศและการสอื่ สารของสถานศึกษา 1. ด้านการกระจายโครงสรา้ งพ้นื ฐานเพอ่ื การศกึ ษา มสี ถานศกึ ษาจำนวนหนึง่ ที่โทรศพั ท์ยงั เขา้ ไม่ถึง และคอมพวิ เตอร์ยงั ไมม่ หี รอื มีแต่ไม่เพียงพอตอ่ ความต้องการ และที่มอี ยกู่ ข็ าดการบำรุงรักษา รวมทั้ง ไมอ่ ยใู่ นสภาพทใ่ี ชก้ ารได้ แสดงใหเ้ หน็ ว่าโครงสร้างพื้นฐานเพอ่ื การศกึ ษาโดยเฉพาะคู่สายโทรศัพท์ยังมบี รกิ าร ไมท่ ั่วถงึ อาจจะเปน็ ไปไดว้ า่ สถานศกึ ษาเหลา่ นอ้ี ยู่ในทอ้ งถ่นิ ทห่ี า่ งไกล ดังนน้ั สถานศกึ ษาต้องรบี ดำเนนิ การ เพราะเป็นพ้นื ฐานท่จี ำไปสู่ระบบอนิ เทอรเ์ นต็ 2. ด้านการใชเ้ ทคโนโลยีสารสนเทศเพือ่ พฒั นาการเรยี นรู้ ครใู ช้เทคโนโลยสี ารสนเทศและ การสื่อสารเพ่อื พัฒนาทักษะวชิ าชพี ครูน้อยมาก และคอมพิวเตอรม์ จี ำนวนไม่พอกับความต้องการทีค่ รจู ะใช้ แสดงให้เหน็ วา่ ครยู งั ตอ้ งไดร้ บั การพัฒนาด้านการใชเ้ ทคโนโลยีสารสนเทศ อีกเปน็ จำนวนมาก และ สถานศกึ ษาก็ต้องจัดหาคอมพวิ เตอร์ใหเ้ พียงพอตอ่ ความตอ้ งการของครู

25 3. ด้านการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเพื่อพัฒนาการบริหารจัดการและ ให้บริการทางการศึกษา สถานศกึ ษายงั ขาดรูปแบบระบบสารสนเทศ ผู้บริหารให้มีความรู้ความเข้าใจในการ ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารในระดับเบื้องต้น แสดงให้เห็นว่าสถานศึกษายังไม่มีระบบข้อมูล สารสนเทศที่เป็นรูปธรรมที่ชัดเจน ผู้บริหารต้องได้รับการพัฒนาด้านการใช้เทคโนโลยีสารเสนเทศและการ ส่อื สารเพื่อใหเ้ กดิ ความตระหนักและเห็นความสำคัญของการใชเ้ ทคโนโลยีสารสนเทศและการสือ่ สารที่จะนำมา พัฒนาการบรหิ ารจดั การและการบรกิ ารทางการศึกษา 4. ดา้ นการผลิตและพฒั นาบคุ ลากรด้านการใชเ้ ทคโนโลยีสารสนเทศ การพัฒนาตนเองของ ครูด้านการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศยังขาดความต่อเนื่อง บางคนใน 3 ปีที่ผ่านมายังไม่เคยไปเข้ารับการ ฝึกอบรมด้านการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเลย แสดงให้เห็นว่า ครูได้รบั การพัฒนาด้านการใช้ เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารยงั ไม่ทวั่ ถงึ เพราะมีครอู ีกจำนวนหนึ่งท่ใี นรอบ 3 ปที ผี่ ่านมายังไม่เคยได้รับ การอบรมดา้ นการใชเ้ ทคโนโลยีสารสนเทศและการส่อื สารเลย

26 บทที่ 2 ความร้เู บือ้ งตน้ เก่ียวกบั เทคโนโลยีสารสนเทศ

27 บทท่ี 2 ความร้เู บ้ืองต้นเกี่ยวกับเทคโนโลยสี ารสนเทศ ความหมายของสารสนเทศ เทคโนโลยีสารสนเทศ (Information Technology: IT) หรือเทคโนโลยีสารสนเทศและการ สื่อสาร (Information and Communication Technologies: ICTs) ก็คือ เทคโนโลยีสองด้าน หลัก ๆ ที่ ประกอบด้วยเทคโนโลยีระบบคอมพิวเตอร์ และ เทคโนโลยีสือ่ สารโทรคมนาคมท่ีผนวกเข้าด้วยกัน เพื่อใช้ใน กระบวนการจัดหา จัดเกบ็ สรา้ ง และเผยแพรส่ ารสนเทศในรปู ต่าง ๆ ไมว่ า่ จะเปน็ เสียง ภาพ ภาพเคลื่อนไหว ข้อความหรือตัวอักษร และตัวเลข เพื่อเพ่ิมประสทิ ธิภาพ ความถูกต้อง ความแม่นยำ และความรวดเร็วให้ทัน ต่อการนำไปใช้ประโยชน์ เทคโนโลยีสารสนเทศ คือ เทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับการจัดเก็บประมวลผล และเผยแพร่ สารสนเทศ ซึ่งรวมแลว้ ก็คอื เทคโนโลยคี อมพิวเตอร์ และเทคโนโลยกี ารสือ่ สารโทรคมนาคม หรือ Computer and Communications ที่นิยมเรียกกันย่อ ๆ ว่า C & C อย่างไรก็ตาม มีแนวโน้มท่ีจะนับเทคโนโลยีอื่น ๆ ที่ เป็นองค์ประกอบของ C & C และเกี่ยวเนื่องเข้ามาเป็นเทคโนโลยีสารสนเทศด้วย เช่นเทคโนโลยีไมโคร อเิ ลก็ ทรอนกิ ส์ เทคโนโลยีระบบอตั โนมตั ิ เทคโนโลยีการพมิ พ์ เทคโนโลยีสำนักอัตโนมัติ เทคโนโลยีการศึกษา เทคโนโลยีสารสนเทศ (Information Technology : IT) หมายถึง การนำวิทยาการท่ี กา้ วหน้าทางด้านคอมพิวเตอรแ์ ละการสือ่ สารมาสร้างมลู ค่าเพ่ิมให้กับสารสนเทศ ทำใหส้ ารสนเทศมีประโยชน์ และใชง้ านได้กวา้ งขวางมากข้ึน เทคโนโลยสี ารสนเทศรวมถึงการใช้เทคโนโลยีด้านต่างๆ ในการรวบรวมจัดเก็บ ใช้งาน ส่งต่อ หรือสื่อสารระหว่างกัน เทคโนโลยีสารสนเทศเกี่ยวข้องโดยตรงกับเครื่องมือเครื่องใช้ในการ จัดการสารสนเทศ ได้แก่ เครื่องคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์รอบข้าง ขั้นตอนวิธีการดำเนินการซึ่งเกี่ยวข้องกบั ซอฟตแ์ วร์ เก่ยี วขอ้ งกบั ข้อมลู บุคลากร และกรรมวิธีการดำเนินงานเพอ่ื ใหข้ อ้ มลู เกดิ ประโยชนส์ งู สดุ ปัจจุบันหน่วยงานต่าง ๆ ทั้งภาครัฐและเอกชนได้นำเทคโนโลยีสารสนเทศ ไปประยุกต์กัน อย่างกวา้ งขวาง งานประยกุ ตท์ ี่สำคัญอย่างหน่งึ กค็ ือ การสรา้ งระบบสารสนเทศแบบต่าง ๆ มีการนำเคร่ืองมือ และอุปกรณ์ เช่น คอมพิวเตอร์ ระบบการส่ือสารโทรคมนาคมไปใช้ในหนว่ ยงานหรือธุรกิจต่าง ๆ มุ่งไปทีก่ าร

28 คิดค้นวิธีการจัดเกบ็ ข้อมลู จากแหลง่ ข้อมลู การจัดระบบข้อมูลให้ผูใ้ ช้สามารถใชข้ ้อมูลร่วมกันได้อย่างรวดเรว็ รวมถงึ การจัดทำรายงาน ตลอดจนการจดั ทำผลลพั ธ์ของข้อมูลใหส้ ามารถค้นคนื ไดอ้ ยา่ งมีประสิทธภิ าพ วิเศษศักดิ์ โคตรอาษา (2542) ได้ให้ความหมายของ ระบบสารสนเทศ (Information System) หมาย ถึง ขบวนการประมวลผลข่าวสารที่มีอยู่ให้อยู่ในรูปของข่าวสารที่เป็นประโยชน์สูง สุด เพื่อ เปน็ ขอ้ สรุปทีใ่ ช้สนบั สนนุ การบริหารและการตัดสนิ ใจท้ังในระดับปฏิบตั ิ การ ระดับกลาง และระดับสูง ระบบ สารสนเทศจึงเป็นระบบที่ได้จัดต้ังขนึ้ เพื่อปฏิบตั กิ ารเกย่ี วกับข้อมูลตังตอ่ ไปนี้ 1. รวบรวมข้อมูลทัง้ ภายใน ภายนอก ซึง่ จำเป็นต่อหน่วยงาน 2. จดั กระทำเก่ียวกบั ข้อมูลเพ่ือให้เปน็ สารสนเทศที่พรอ้ มจะใช้ประโยชนไ์ ด้ 3. จดั ใหม้ ีระบบเก็บเปน็ หมวดหมู่ เพ่ือสะดวกต่อการค้นหาและนำไปใช้ 4. มีการปรับปรุงขอ้ มลู เสมอ เพื่อให้อยใู่ นภาพที่ถูกต้องทันสมัย ซาเรซวคิ และวดู (Saracevic and Wood 1981 : 10) ได้ให้คำนิยามสารสนเทศไว้ 4 นยิ ามดังน้ี 1. Information is a selection from a set of available message, a selection which reduces uncertainty. สารสนเทศ คอื การเลอื กสรรจากชุดของขา่ วสารที่มอี ยู่ เปน็ การเลือกทีช่ ว่ ย ลดความไมแ่ นน่ อน หรือกล่าวได้ว่า สารสนเทศ คือ ขอ้ มูลทไ่ี ด้มีเลือกสรรมาแล้ว (เปน็ ข้อมูลท่มี ีความแน่นอน แลว้ ) จากกลุ่มของข้อมลู ทีม่ อี ยู่ 2. Information as the meaning that a human assigns to data by means of conventions used in their presentation. สารสนเทศ คอื ความหมายท่ีมนุษย์ (สงั่ ) ให้แก่ ขอ้ มูล ด้วย วธิ กี ารนำเสนอท่เี ป็นระเบยี บแบบแผน 3. Information is the structure of any text-which is capable of changing the image-structure of a recipient. (Text is a collection of signs purposefully structured by a sender with the intention of changing the image-structure of recipient) สารสนเทศ คือ โครงสรา้ ง ของขอ้ ความใดๆ ท่สี ามารถเปล่ยี นแปลงโครงสรา้ ง ทาง จนิ ตภาพ (ภาพลกั ษณ์) ของผู้รบั (ขอ้ ความ หมายถงึ ที่รวมของสญั ลักษณต์ ่างๆ มีโครงสรา้ งท่ีมี จุดมงุ่ หมาย โดยผู้ส่งมเี ป้าหมายทีจ่ ะ เปลี่ยนแปลงโครงสร้างทาง จินตภาพ (+ความรู้สึกนกึ คิด) ของผู้รบั (สาร) 4. Information is the data of value in decision making. สารสนเทศ คือ ข้อมลู ทมี่ ีค่า ในการตดั สนิ ใจ

29 นอกจากนัน้ ยังมีความหมายทีน่ า่ สนใจดังนี้ สารสนเทศ คือ ข้อมูลที่มีการปรับเปลี่ยน (Convert) ด้วยการจัดรูปแบบ (Formatting) การ กลน่ั กรอง (Filtering) และการสรปุ (Summarizing) ให้เป็นผลลพั ธ์ท่ีมี รูปแบบ (เชน่ ขอ้ ความ เสียง รูปภาพ หรือวีดิทศั น์) และเนอ้ื หาที่ตรงกับ ความต้องการ และเหมาะสมตอ่ การนำไปใช้ (Alter 1996 : 29, 65, 714) สารสนเทศ คือ ตวั แทนของข้อมูลทผี่ ่านการประมวลผล (Process) การจัดการ (Organized) และการผสมผสาน (Integrated) ให้เกิดความเข้าใจอยา่ งถอ่ งแท้ (Post 1997 : 7) สารสนเทศ คอื ขอ้ มูลที่มคี วามหมาย (Meaningful) หรือเปน็ ประโยชน์ (Useful) สำหรับ บางคนท่ีจะใช้ชว่ ยในการ ปฏิบัติงานและการจัดการ องค์การ (Nickerson 1998 : 11) สารสนเทศ คอื ข้อมูลทม่ี ีความหมาย (Schultheis and Sumner 1998 : 39) สารสนเทศ คอื ข้อมลู ที่มคี วามหมายเฉพาะภายใต้บริบท (Context) ทเ่ี กย่ี วข้อง (Haag, Cummings and Dawkins 2000 : 20) สารสนเทศ คอื ขอ้ มูลที่ผ่านการปรับเปลีย่ น (Converted) มาเปน็ สิ่งที่มคี วาม หมาย (meaningful) และเป็น ประโยชน์ (Useful) กบั เฉพาะบคุ คล (O’Brien 2001 : 15) สารสนเทศ คอื ขอ้ มลู ทผ่ี า่ นการประมวลผล หรือขอ้ มลู ท่ีมีความหมาย (McLeod, Jr. and Schell 2001 : 12) สารสนเทศ คือ ขอ้ มูลที่ได้รับการจัดระบบเพอื่ ให้มีความหมายและมคี ณุ ค่าสำหรับ ผู้ใช้ (Turban, McLean and Wetherbe 2001 : 7) สารสนเทศ คือ ที่รวม (ชุด) ขอ้ เท็จจรงิ ทไ่ี ด้มีการจัดการแล้ว ในกรณเี ช่น ข้อเท็จจริงเหล่านั้น ได้มีการเพ่ิมคุณคา่ ภายใตค้ ุณคา่ ของขอ้ เทจ็ จริงนนั้ เอง (Stair and Reynolds 2001 : 4) สารสนเทศ คือ ขอ้ มูลท่ไี ด้รับการประมวลผล หรือปรุงแต่ง เพอื่ ใหม้ ีความหมาย และเป็น ประโยชนต์ อ่ ผูใ้ ช้ (เลาว์ดอน และเลาว์ดอน 2545 : 6) สารสนเทศ คือ ขอ้ มูลทไี่ ด้รบั การประมวลผลใหอ้ ยู่ในรูปแบบทมี่ ีความหมายตอ่ ผู้รับ และมี คุณค่าอนั แทจ้ รงิ หรอื คาดการณว์ า่ จะมคี ่าสำหรับการดำเนินงาน หรือการตัดสนิ ใจใน ปัจจุบัน หรืออนาคต (ครรชิต มาลยั วงศ์ 2535 : 12) สารสนเทศ คอื เรอ่ื งราว ความรู้ต่างๆ ที่ได้จากการนำข้อมลู มาประมวลผลด้วยวิธีการอย่าง ใดอยา่ งหนง่ึ และมี การผสมผสานความรู้ หรือหลักวชิ าที่เก่ยี วข้อง หรือความคดิ เห็น ลงไปด้วย (กัลยา อุดม วิทติ 2537 :3) สารสนเทศ คือ ข้อความรู้ทป่ี ระมวลได้จากขอ้ มูลต่าง ๆ ท่เี กีย่ วข้องในเรอ่ื งนน้ั จนได้ ข้อสรุป เป็นขอ้ ความรทู้ ่ี สามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้ โดยเน้นท่ีการเกิดประโยชน์ คอื ความรู้ทเี่ กิดข้ึนเพ่ิมขึน้ กับผ้ใู ช้ (สุชาดา กรี ะนนั ท์ 2542 : 5)

30 สารสนเทศ คอื ขา่ วสาร หรอื การช้ีแจงข่าวสาร (ปทีป เมธาคณุ วุฒิ 2544 : 1) สารสนเทศ คือ ข้อมลู ท่ีผา่ นการประมวลผล ผ่านการวเิ คราะห์ หรอื สรปุ ให้อยู่ในรปู ทม่ี ี ความหมายที่สามารถนำไป ใช้ประโยชนไ์ ด้ตามวัตถุประสงค์ (จติ ติมา เทียมบญุ ประเสริฐ 2544 : 4) สารสนเทศ คือ ผลลพั ธ์ทเ่ี กดิ จากการประมวลผลข้อมลู ดบิ ทถ่ี กู จัดเก็บไว้อย่างเปน็ ระบบ ที่ สามารถนำไป ประกอบการทำงาน หรือสนบั สนนุ การตัดสินใจของผู้บรหิ าร ทำให้ผู้บริหารสามารถแกไ้ ขปัญหา หรอื ทางเลอื กในการ ดำเนนิ งานอยา่ งมีประสทิ ธภิ าพ (ณัฏฐพนั ธ์ เขจรนนั ทน์ และไพบลู ย์ เกียรตโิ กมล 2545 : 40) สารสนเทศ คือ ข้อมลู ทไี่ ดผ้ ่านการประมวลผล หรือจดั ระบบแล้ว เพอื่ ให้มีความหมายและ คณุ ค่าสำหรบั ผู้ใช้ (ทพิ วรรณ หลอ่ สวุ รรณรตั น์ 2545 : 9) สารสนเทศ คือ ผลลัพธ์ที่ได้จากการประมวลผลของข้อมูลดิบ (Raw Data) ประกอบไปดว้ ย ข้อมูลต่างๆ ที่เป็น ตัวอักษร ตัวเลข เสียง และภาพ ที่นำไปใช้สนับสนุนการ บริหารและการตัดสินใจของ ผบู้ รหิ าร (นภิ าภรณ์ คำเจรญิ 2545 : 14) สรปุ สารสนเทศ คอื ข้อมูล ขา่ วสาร ขา่ ว ขอ้ เทจ็ จรงิ ความคดิ เห็น หรอื ประสบการณ์ อยู่ใน รูปแบบที่แตกต่างกันออกไป เช่น ตัวอักษร ตัวเลข รูปภาพ เสียง สัญลักษณ์ หรือกลิ่น ที่ถูกนำมาผ่าน กระบวนการประมวลผล ดว้ ยวธิ ีการที่ เรยี ก วา่ กรรมวิธจี ดั การขอ้ มลู (Data Manipulation) และผลที่ได้อาจ แสดงผลออกมาในรูปแบบของสื่อประเภทต่าง เช่น หนังสือ วารสาร หนังสือพิมพ์ แผนที่ แผ่นใส ฯลฯ และ เปน็ ผลลพั ธ์ที่ผูใ้ ช้สามารถนำไปใช้ประโยชน์ไดอ้ ย่างถูกต้อง ตรงและทันกับความต้องการหรอื สารสนเทศ คือ ผลลัพธ์ที่มีความถูกต้อง ตรงตามต้องการ และทันต่อความต้องการของผู้ใช้ หรือผู้ที่เกี่ยวข้อง เป็นผลลัพธ์ที่ ได้มาจากการนำขอ้ มูลมาประมวลผลดว้ ยกรรมวธิ ีจัดการข้อมูลหรือ สารสนเทศ คือ ผลลพั ธท์ ไี่ ดม้ าจากการนำ ข้อมูลมาประมวลผลด้วยกรรมวิธีจดั การขอ้ มูล ซึ่งจะต้องเป็น ผลลัพธ์ที่มี คุณสมบัติถูกตอ้ ง ตรงตามต้องการ และทันต่อความต้องการของผ้ใู ช้ หรือผทู้ ีเ่ กยี่ วขอ้ ง ความสำคัญของสารสนเทศ สารสนเทศไดก้ ลายมาเป็นปจั จยั สำคัญตอ่ การดำเนินชวี ิตของคนในสังคมปจั จุบัน ในองคก์ รตา่ งๆ สารสนเทศไดก้ ลายเปน็ ทรัพย์สินอนั มีคา่ จนมคี ำกล่าวว่าสารสนเทศ คือ อำนาจ (Information is power)

31 ใครทม่ี สี ารสนเทศมากกจ็ ะสามารถควบคุมหรอื ต่อรองได้ ฝ่ายที่มสี ารสนเทศมากกวา่ มักจะได้เปรยี บค่แู ข่ง เสมอ จนอาจนำไปสยู่ ุค “ สงครามขอ้ มูลข่าวสาร ” ได้ ดังนัน้ สารสนเทศจึงมปี ระโยชนม์ ากมาย เช่น ชว่ ยลดความอยากรู้ คลายความสงสยั ช่วยแก้ปญั หา ช่วยวางแผนและการตดั สินใจได้อย่างถกู ต้อง สารสนเทศจงึ ช่วยพฒั นาบคุ คล ช่วยการปฏิบัติงาน ช่วยในการ ดำเนินชีวติ ซ่งึ สง่ ผลตอ่ การพัฒนาสงั คมและประเทศ สารสนเทศจงึ มคี วามสำคัญตอ่ บุคคล องค์กร และสังคม ดังน้ี 1. ความสำคัญของสารสนเทศตอ่ บุคคลและต่อองค์กร ในชวี ติ ประจำวนั ไม่วา่ จะเป็นการศกึ ษา การประกอบอาชพี หรือการดำรงชพี สารสนเทศมี บทบาทต่อมนุษย์มากเกนิ กว่าท่บี างคนตระหนกั ถงึ ในด้านการปฏิบัตงิ านและในการจัดการ สารสนเทศทีถ่ ูกตอ้ งนบั เปน็ องค์ประกอบสำคญั โดยเฉพาะการแก้ปัญหา การตดั สนิ ใจ และการปฏบิ ตั ิงานใหบ้ รรลวุ ัตถปุ ระสงค์ไดอ้ ย่างมปี ระสิทธภิ าพ 2. ความสำคญั ของสารสนเทศตอ่ สังคม สารสนเทศมคี วามสำคัญตอ่ สังคม 2 ด้าน คอื ดา้ นการปกครอง และด้านการพฒั นา ด้านการเมืองการปกครอง สารสนเทศจำเป็นต่อการดำเนนิ ชีวติ และการตดั สินใจของ ประชาชนอันเปน็ พืน้ ฐานของสงั คม ผปู้ กครองจงึ ตอ้ งจัดการใหป้ ระชาชนทุกคนสามารถเข้าถงึ สารสนเทศที่ ต้องการได้ จึงจะเกดิ การบริหารทโ่ี ปร่งใส เปน็ สังคมประชาธิปไตย ไม่เกิดความวุ่นวาย ในด้านการพัฒนา สารสนเทศมีความสำคญั ยิ่งทง้ั ในการเตรยี มแผนพฒั น าและการปฏบิ ัติ ตามแผน เช่น สารสนเทศเกยี่ วกับชุมชน สารสนเทศเกีย่ วกับส่งิ แวดล้อม สารสนเทศเกี่ยวกบั การเมืองการ ปกครอง สารสนเทศเก่ยี วกับเทคนคิ การแกป้ ัญหา สารสนเทศเพอื่ สนับสนนุ งานวิจยั หรอื การประดิษฐ์ซึง่ จะ ช่วยในการพัฒนาตอ่ ไป บทบาทของสารสนเทศ การนำสารสนเทศไปใช้ 3 ด้าน ดงั นี้ (จิตตมิ า เทียมบญุ ประเสรฐิ 2544 : 5) ด้านการวางแผน ดา้ น การตัดสนิ ใจ และ ด้านการดำเนนิ งาน นอกจากนน้ั สารสนเทศยงั มีบทบาท ในเชิงเศรษฐกิจ ดงั น้ี (ประภาวดี สืบสนธ์ 2543 : 7-8) 1. ชว่ ยลดความเสยี่ งในการตดั สนิ ใจ (Decision) หรอื ชว่ ยชแ้ี นวทางในการแก้ไขปญั หา (Problem Solving) 2. ชว่ ย หรอื สนับสนุนการจดั การ (Management) หรือการดำเนนิ งานขององค์การ ใหม้ ี ประสิทธภิ าพและเกดิ ประสิทธผิ ลมากข้นึ

32 3. ใชท้ ดแทนทรพั ยากร (Resources) ทางกายภาพ เช่น กรณกี ารเรียนทางไกล ผ้เู รยี นท่ี เรยี นนอกหอ้ งเรยี น จริง สามารถเรียนรูเ้ รื่องต่างๆ เช่นเดียวกับ หอ้ งเรยี นจรงิ โดยไมต่ ้องเดนิ ทางไปเรยี นท่ี ห้องเรยี นนน้ั 4. ใชใ้ นการกำกบั ตดิ ตาม (Monitoring) การปฏิบตั ิงานและการตัดสินใจ เพอื่ ดู ความกา้ วหนา้ ของงาน 5. สารสนเทศเป็นชอ่ งทางโน้มน้าว หรอื ชักจงู ใจ (Motivation) ในกรณขี องการโฆษณาที่ทำ ให้ผู้ชม, ผู้ฟัง ตดั สินใจ เลอื กสินค้า หรือบรกิ ารนัน้ 6. สารสนเทศเป็นองค์ประกอบสำคัญของการศกึ ษา (Education) สำหรบั การเรียนรู้ ผ่านสือ่ ประเภทต่างๆ 7. สารสนเทศเป็นองคป์ ระกอบสำคญั ท่ีสง่ เสริมวัฒนธรรม และสนั ทนาการ (Culture & Recreation) ในด้าน ของการเผยแพร่ในรปู แบบต่างๆ เช่น วดี ทิ ัศน์ โทรทัศน์ ภาพยนตร์ เปน็ ต้น 8. สารสนเทศเปน็ สินค้าและบรกิ าร (Goods & Services) ท่ีสามารถซอ้ื ขายได้ 9. สารสนเทศเปน็ ทรัพยากรท่ตี ้องลงทุน (Investment) จึงจะได้ผลผลิตและบริการ เพอ่ื เปน็ รากฐานของการ จัดการ และการดำเนนิ งาน วิวัฒนาการของสารสนเทศ ในระบบสารสนเทศนนั้ จะมีการนำเสนอข้อมูลต่างๆ มาประมวลผลให้ข้อมูลนน้ั เป็นประโยชน์ต่อการ นำไปใช้งานในอดีตที่ยังไม่มี คอมพิวเตอร์ก็ยังมีเครื่องมืออื่นมาช่วยในการประมวลผลข้อมูลและช่วยในการ สร้างผลผลิตได้ จนถึงปัจจุบันได้มีการนำเอาคอมพิวเตอร์มาช่วยในการประมวลผลข้อมู ล ก็ทำให้ระบบ สารสนเทศนพ้ี ัฒนาไปได้มากข้ึน ชว่ ยให้การดำรงชีวติ ของมนุษย์ดีขึน้ ในโลกของเราไดม้ ีการนำเสนอเคร่ืองมือ

33 มา ชว่ ยในการดำรงชวี ติ มากมาย จนปจั จบุ ันน้นั ถือได้วา่ เป็นยคุ ของเทคโนโลยสี ารสนเทศ หากแบ่งวิวฒั นาการ ของยคุ สารสนเทศจะแบ่งได้ดงั นี้ - โลกยุคกสกิ รรม (Agriculture Age) ยคุ นน้ี ับต้งั แต่กอ่ นปี ค.ศ. 1800 ถอื วา่ เป็นยคุ ทีก่ ารดำเนิน ชีวิตของมนุษย์ขึ้นอยู่กับการทำนา ทำสวน ทำไร่ โลกในยุคนี้ยังมีการซื้อขายสนิ ค้าระหว่างกัน แต่ก็ถือวา่ เป็น สนิ คา้ เกษตรกรเปน็ หลัก มีการนำเคร่ืองมอื เครื่องทนุ่ แรงมาใชใ้ หไ้ ด้ผลผลิตดขี ้ึน ในระบบหน่งึ ๆ จะมีผู้ร่วมงาน เปน็ ชาวนา ชาวไร่เป็นหลกั - ยุคอุตสาหกรรม (Industrial Age) ยุคนี้นับตั้งแต่ปี ค.ศ. 1800 เป็นต้นมา โดยในประเทศ อังกฤษได้นำเครื่องจกั รกลมาชว่ ยงานทางดา้ นการเกษตร ทำให้มีผลผลิตมากขึน้ และมีผู้ร่วมงานในระบบมาก ขนึ้ เร่มิ มีโรงงานอตุ สาหกรรม เร่ิมมีคนงานในโรงงาน ตอ่ มาการนำเคร่ืองจักรมาใช้งานนไี้ ด้ขยายไปสู่ประเทศ ตา่ งๆ และไดม้ กี ารแปรรปู ผลิตผลทางดา้ นการเกษตรออกมามากขน้ึ และเคร่อื งจกั รกลก็เป็นเครื่องมือท่ีทำงาน ร่วมกับมนุษย์ และเริ่มมีโรงงานอุตสาหกรรมมากขึ้น ซึ่งทำให้โลกของเรามีทั้งภาคอุตสาหกรรม และภาค เกษตรกรรมควบคูก่ นั ไป - ยุคสารสนเทศ (Information Ago) ยุคนี้นับตั้งแต่ประมาณปี ค.ศ.1957 จากที่การทำงานของ มนุษย์มีทั้งด้านการเกษตรและด้านอตุ สาหกรรมรม ทำให้คนงานต้องมีการสื่อสารกนั มากขึน้ ต้องมีความร้ใู น การใช้เคร่ืองจกั รกล ตอ้ งมีการจัดการขอ้ มลู เอกสาร ขอ้ มูลสำนกั งาน งานด้านบัญชี จึงทำใหม้ ีคนงานส่วนหน่ึง มาทำงานในสำนักงาน คนงานเหล่านี้ถือว่าเป็นผู้ที่มีความรู้และต้องทำหนา้ ที่ประสานงานระหว่าง ฝ่ายผลิต และลูกคา้ ทำใหม้ ีการพัฒนาเครอื่ งมอื ต่างๆ มาชว่ ยในการประมวลผล จัดการให้ระบบงานมีประสทิ ธิภาพดีข้ึน ทำใหเ้ กิดการใชเ้ คร่ืองมอื ทางสารสนเทศขน้ึ มา ซึ่งถือวา่ เปน็ จดุ เริ่มตน้ ของเทคโนโลยีสารสนเทศ เมื่อเขา้ สยู่ คุ สารสนเทศ องค์กรต่างๆ ทีน่ ำเทคโนโลยีส่ือสารมาใช้ในการจัดการงานประจำวัน จะ ทำงานได้สำเร็จเร็วขึ้น การผลิตทำได้เร็วขึ้น เนื่องจากผู้ผลิตสามารถประมวลผลข้อมูลต่างๆได้รวดเร็วขึ้น มี การนำระบบอตั โนมัติด้านการผลติ มาใช้ มีระบบบัญชี และมีโปรแกรมทีท่ ำงานเฉพาะดา้ นมากขึ้น

34 คอมพวิ เตอรแ์ ละอนิ เทอรเ์ น็ต เครื่องคอมพวิ เตอร์ เปน็ อุปกรณ์อเิ ล็กทรอนกิ สอ์ ยา่ งหนึ่งทีใ่ ช้สำหรับชว่ ยในการประมวลผลข้อมูล โดยจะทำงานตามคำสัง่ ที่เก็บเอาไว้หน่วยความจำ เพื่อประมวลผลข้อมูล สื่อสารและเคลื่อนยา้ ยข้อมลู ไปยัง ส่วนตา่ งๆ ในระบบเทคโนโลยีสารสนเทศนัน้ จะมกี ารปอ้ นขอ้ มูลต่างๆ ให้กับคอมพิวเตอร์ประมวลผล เพ่ือให้ เอาพุตออกมาเป็นข้อมูลข่าวสารที่เป็นประโยชน์ต่อการใช้งาน ตัวอย่างเช่น ในการประมวลผลการสอบของ นักเรียน ข้อมูลที่เข้าไปทางอินพุตอาจเป็นคะแนนสอบต่างๆ คะแนนการบ้าน คะแนนเวลาเรียนจากนั้นให้ ระบบสารสนเทศประมวลผลตามกฎเกณฑ์ท่ีตง้ั เอาไว้ และใหเ้ อาตพ์ ตุ ออกมาเปน็ เกรดและคะแนนรวมเป็นตน้ ขบวนการทำงานของระบบสารสนเทศนั้นจะประกอบด้วย 3 ส่วนคือ การนำข้อมูลเข้าสู่ระบบ (Input) ประมวลผล (Processing) และให้ข้อมูลผลลัพธ์ออกมาทางเอาต์พุต (Output) โดยในระหว่างการ ประมวลผลของระบบสารสนเทศนั้นอาจมกี ารรับส่งข้อมูลระหว่างอนิ พุตเอาต์พุตอยู่ตลอดเวลา ข้อมูลที่เป็น ผลลัพธ์ทางเอาต์พุตอาจมีการนำกลับไปปรับปรุงข้อมูลที่เข้ามา ทางอินพุต เรียกว่าวงจรการประมวลผล สารสนเทศ (information processing cycle) ซึ่งขั้นตอนการทำงานต่างๆ จะถูกโปรแกรมอยู่ในเครื่อง คอมพวิ เตอร์ ตวั เครอื่ งคอมพิวเตอรป์ ระกอบดว้ ยวงจรไฟฟา้ อิเล็กทรอนิกสจ์ ะเรียกฮาร์ดแวร์ (Hard ware)โดย มสี ่วนประกอบทีส่ ำคัญคือ อุปกรณอ์ นิ พตุ อุปกรณ์เอาต์พุต ระบบประมวลผล หนว่ ยเก็บขอ้ มูล และอุปกรณ์ สือ่ สารต่าง อปุ กรณอ์ นิ พุต อุปกรณ์อนิ พตุ เปน็ ส่วนทีใ่ ช้รับข้อมูลและคำส่งั จากภายนอกเข้าสู่เครือ่ ง คอมพิวเตอรเ์ พ่ือนำไป ประมวลผล ไดแ้ ก่ แป้นพิมพ์ เมาส์ สแกนเนอร์ อปุ กรณ์อินพุตนจี่ ะเปลี่ยนขอ้ มลู ที่มนุษยเื ข้าใจไปเป็นรหัส ขอ้ มลู ที่เคร่อื ง คอมพิวเตอร์เขา้ ใจ อปุ กรณ์เอาต์พตุ เป็นส่วนท่ีใชแ้ สดงผลลพั ธจ์ าการประมวลผลออกมาในรปู แบบตา่ งๆ ทมี่ นษุ ย์ต้องการ ได้แก่ จอภาพ ลำโพง และเครื่องพมิ พ์โดยอปุ กรณ์เอาต์พุตนจ้ี ะทำหนา้ ทเ่ี ปลย่ี นรหัสขอ้ มลู ที่ คอมพวิ เตอร์เขา้ ใจ ออกมาเปน็ ข้อมูลท่ีมนุษย์เข้าใจ หนว่ ยประมวลผล เมื่อเข้าสู่ระบบแล้ว หน่วยประมวลผลจะทำหนา้ ที่ประมวลผลตามคำสงั่ หรือโปรแกรมทก่ี ำหนด ไว้ โดยโปรแกรมท่กี ำหนดไว้ โดยโปรแกรมและขอ้ มูลต่างๆ จะถูกเก็บเอาไวใ้ นหนว่ ยความจำ เมอ่ื หน่วย ประมวลผลทำงานเสรจ็ แลว้ ก็จะเกบ็ ข้อมลู ลงหน่วยเกบ็ ขอ้ มูลหรอื สง่ ผลลัพธ์ทไี่ ด้ออกมาทางเอาต์พุต อปุ กรณเ์ ก็บขอ้ มูล

35 อปุ กรณเ์ ก็บข้อมูลเปน็ อุปกรณท์ ใ่ี ชเ้ ก็บขอ้ มูลหรอื คำส่ังต่างๆที่จะตอ้ งใช้ ในอนาคต ตวั อยา่ ง ของหน่วยเกบ็ ข้อมูลได้แก่ การ์ดความจำ แผ่นซดี ี หรือดวี ดี ี หนว่ ยความจำแบบ USB Flash Drive อุปกรณ์สื่อสาร อุปกรณ์ส่ือสารประเภทนม้ี ีไว้ใหค้ อมพิวเตอร์สามารถรับหรือสง่ ข้อมลู ให้ คอมพิวเตอรเ์ คร่ือง อ่นื ๆ ไดโ้ ดยการส่ือสารนี้อาจสง่ ผ่านทางสายเคเบิล ตวั อย่างอปุ กรณส์ อื่ สารได้แก่ โมเดม็ ประเภทของคอมพวิ เตอร์ เคร่อื งคอมพิวเตอร์นัน้ สามารถจำแนกได้หลายประเภท ข้ึนกับขนาด ประสิทธภิ าพ และลักษณะ การใชง้ าน โดยทว่ั ไป คอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล หรือ ซีพี (Personal Computer) เป็นเครื่องคอมพิวเตอร์ที่มใี ช้งานกนั ทั่ว เป็นแบบตั้งโต๊ะที่เหมาะสำหรับใช้งานในบ้าน ในสำนักงานราคาไม่แพง ที่นิยมใช้กันมีอยู่สองตระกูลคือ PC-Compatible ที่มีต้นแบบเปน็ คอมพิวเตอร์ของบริษัท IBM และคอมพวิ เตอรต์ ระกลู Apple คอมพิวเตอร์ แบบ Apple คอมพิวเตอร์แบบ PC มีการผลิตออกมาหลายรุ่นหลายแบบโดยส่วนใหญ่และวจะใช้โปรแกรม ระบบปฏิบัติการ Windows ส่วนคอมพิวเตอร์ Apple จะใช้โปรแกรมระบบปฏิบัติการของ Macintosh ที่ เรยี กว่า Mac OS คอมพวิ เตอรโ์ น้ตบุ๊ก (Notebook Computer) เปน็ คอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลขนาดเล็กท่ีมีน้ำหนัก เบา สะดวกกับการเคลื่อนย้ายไปยังที่ต่างๆ คอมพิวเตอร์แบบนี้อาจเรียกได้ว่าเป็น Mobile computer สามารถใช้พลังงานไฟฟ้าทั่วไปเหมือนพลังงานจากแบตเตอรี่ได้ ในปัจจุบันคอมพิวเตอร์ประเภทนี้อาจมี ประสิทธิภาพสูงไม่แพ้แบบคอมพิวเตอร์แบบ พีซี แต่หากเปรียบกับพีซีที่มีประสิทธิภาพเท่ากันแล้ว คอมพิวเตอร์แบบโน้ตบุกจะมีราคาสงู กวา่

36 คอมพิวเตอร์แบบพกพา (Handheld Computer) เป็นคอมพิวเตอร์ขนาดเล็กที่เหมาะสำหรับ พกพาไปทต่ี า่ งๆ เน่อื งจากเครอื่ งมีขนาดเล็กจึงไม่เหมาะที่จะออกแบบคีย์บอร์ดไว้บนตัวเคร่ือง แต่ใช้ปากกาที่ เรียกวา่ สไตลสั (Stylus) เป็นอุปกรณส์ ำหรับปอ้ นขอ้ มูล คอมพิวเตอร์ประเภทน้ีสามารถใช้งานพ้ืนฐานทั่วไป ได้ รับส่ง email และใช้ในการสื่อสารได้ เครื่องคอมพิวเตอร์ประเภทนี้จะรวมถึงคอมพิวเตอร์แบบ PDA (Personal Digital Assistant) หรอื พีดีเอ ที่ใชก้ ันท่วั ไป ปัจจบุ ันคอมพวิ เตอรป์ ระเภทนี้ยงั มกี ล้องถ่ายภาพติด มาบนตัวเคร่ืองดว้ ย ชนิดของคอมพวิ เตอร์ 1) ไมโครคอมพวิ เตอร์ (microcomputer) 2) สถานีงานวิศวกรรม (engineering workstation) 3) มินิคอมพิวเตอร์ (minicomputer) 4) เมนเฟรมคอมพวิ เตอร์ (mainframe computer) 5) ซเู ปอรค์ อมพวิ เตอร์ (supercomputer) หรอื คอมพิวเตอรป์ ระสิทธภิ าพสูง (high performance computer) สาเหตุที่ทำให้เกิดสารสนเทศ 1. เมือ่ มีวทิ ยาการความรู้ หรอื ส่งิ ประดษิ ฐ์ หรือผลติ ภัณฑ์ใหม่ๆ พร้อมกันน้ัน กจ็ ะเกิด สารสนเทศมา พรอ้ มๆ กันดว้ ย จากนั้นกจ็ ะมีการเผยแพร่ หรือกระจายสารสนเทศ เกีย่ วกบั วทิ ยาการความรหู้ รือสง่ิ ประดิษฐ์ ผลติ ภัณฑ์ ชนดิ นน้ั ๆไปยัง แหล่งตา่ งๆ ทเ่ี กย่ี วขอ้ ง 2. เทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ เปน็ เครือ่ งมอื สำคัญในการผลิตสารสนเทศ เน่อื งจากมี ความสะดวกในการ ปอ้ น ขอ้ มูล การปรบั ปรุงแกไ้ ข การทำซำ้ การเพิ่มเตมิ ฯลฯ ทำให้มีความ สะดวกและง่ายตอ่ การผลิต สารสนเทศ 3. เทคโนโลยีสื่อสารยุคใหม่มีความเร็วในการสือ่ สารสูงข้ึน สามารถเผยแพรส่ ารสนเทศ จากแหล่งหน่งึ ไปยัง สถานทตี่ ่างๆ ทวั่ โลกในเวลาเดยี วกันกบั เหตุการณ์ท่เี กดิ ขึ้นจริง อกี ทัง้ สามารถสง่ ผา่ นขอ้ มูลได้อยา่ ง หลากหลาย รปู แบบ พรอ้ มๆ กันในเวลาเดยี วกัน 4. เทคโนโลยกี ารพิมพท์ ีม่ ีความสามารถในการผลิตสารสนเทศสูงขึ้น สามารถผลิตสารสนเทศได้คร้ัง ละจำนวน มากๆ ในเวลาสั้นๆ มีสสี ันเหมือนจรงิ ทำใหม้ ีปริมาณสารสนเทศใหมๆ่ เกิดขน้ึ อยู่ตลอดเวลา 5. ผใู้ ช้มีความจำเป็นต้องใช้สารสนเทศเพอ่ื การศกึ ษา เพอื่ การคน้ คว้าวจิ ยั เพ่ือการ พฒั นาคุณภาพ ชวี ิต เพ่ือการ ตดั สนิ ใจ เพื่อการแกไ้ ขปญั หา เพอื่ การปฏิบตั ิงาน หรอื ปรบั ปรงุ ประสิทธิภาพการปฏิบัตงิ าน, การบริหารงาน ฯลฯ 6. ผูใ้ ช้มีความตอ้ งการใช้สารสนเทศ เพอ่ื ตอบสนองความสนใจ ตอ้ งการทราบแหล่งท่อี ยูข่ อง สารสนเทศ ตอ้ งการเขา้ ถึงสารสนเทศ ตอ้ งการสารสนเทศท่มี าจากต่างประเทศ ตอ้ งการสารสนเทศอย่าง หลากหลาย หรือต้องการ สารสนเทศอย่างรวดเรว็ เป็นตน้

37 คณุ ลักษณะของสารสนเทศทดี่ ี ในการจัดการเพื่อให้องค์การบรรลุถึงประสิทธิผลและประสิทธิภาพที่องค์การตั้งไว้นั้น ดังที่กล่าว มาแล้วว่าข้อมูลและสารสนเทศเป็นปัจจัยหนง่ึ ท่ีมคี วามสำคญั อย่างมากต่อทกุ องค์การ ทัง้ นี้สารสนเทศท่ีดีควร มีลกั ษณะ ดังตอ่ ไปน้ี 1. ความเทยี่ งตรง (Accuracy) สารสนเทศขององค์การที่ดีจะต้องมีความเท่ียงตรงและเช่อื ถอื ได้ โดย ไม่ให้มีความคลาดเคลื่อนหรือมีความคลาดเคลื่อนน้อยที่สุด ดังนั้นประสิทธิผลของการตัดสินใจจึงขึ้นอยูก่ ับ ความถกู ต้องหรอื ความเท่ยี งตรง ย่อมส่งผลกระทบทำให้การตดั สินใจมคี วามผิดพลาดตามไปดว้ ย 2. ทันต่อความต้องการใช้ (Timeliness) นอกเหนือจากสารสนเทศขององค์การจะต้องมีความ เท่ียงตรงหรือความถูกตอ้ งแล้ว ยังจะต้องมีคณุ สมบัติของการท่ีสามารถนำสารสนเทศมาใช้ได้ทันทีเม่ือต้องการ ใชข้ อ้ มูล หรอื เพื่อการตัดสินใจ ทั้งนีเ้ น่อื งจากเหตกุ ารณ์ต่าง ๆ ทางการบรหิ ารท้ังภายในและภายนอกองค์การ มกี ารเคลอ่ื นไหวเปลยี่ นแปลงอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะสารสนเทศดา้ นการขาย การผลติ ตลอดจนด้านการเงิน ถ้าผู้บริหารได้รับมาล่าช้า ก็จะส่งผลกระทบต่อประสิทธิภาพและประสิทธิผลของการตัดสินใจ หรือการ ดำเนนิ งานของผู้บริหารท่จี ะลดลงตามไปด้วย 3. ความสมบรู ณ์ (Completeness) สารสนเทศขององค์การท่ดี ี จะตอ้ งมีความสมบูรณ์ที่จะช่วยทำให้ การตัดสินใจเป็นไปด้วยความถูกต้อง การมีสารสนเทศที่มีปริมาณมาก ไม่ได้หมายถึงการที่จะช่วยเพิ่ม ประสิทธิผลของการดำเนินงาน สารสนเทศที่มีมากเกินไปอาจเปน็ สารสนเทศที่ไมม่ ีความสำคัญ เช่นเดียวกับ การมีสารสนเทศที่มปี รมิ าณน้อยเกนิ ไป กอ็ าจทำให้ไมไ่ ด้สารสนเทศที่สำคญั ครบเพียงพอทุกด้านที่จะนำไปใช้ ได้อย่างมีประสิทธิผล และมีประสิทธิภาพ แต่ทั้งนี้มิไดห้ มายความว่าจะต้องรอใหม้ ีสารสนเทศครบถ้วน 100 เปอร์เซ็นต์ก่อนจึงจะทำการตัดสินใจได้ เช่น จะตัดสินใจเกี่ยวกับอัตราการใช้สินค้า ปริมาณสินค้าคงเหลือ ราคาต่อหน่วย แหล่งผู้ผลติ คา่ ใช้จ่ายในการสั่งซ้อื ค่าใช้จ่ายในการเกบ็ รกั ษา ระยะเวลารอคอยของสินค้าแต่ละ ชนิด ดงั น้นั จะตัดสินใจเก่ียวกับการบรหิ ารสินค้าคงเหลือให้มีประสิทธิภาพ ก็จำเป็นท่ีจะต้องได้รับสารสนเทศ ในทกุ เรื่อง การขาดไปเพยี งบางเรื่องจะสง่ ผลกระทบตอ่ การตัดสินใจอย่างมากเปน็ ตน้ จากตวั อยา่ งจะเห็นได้ว่า ไม่ได้หมายความว่ามีสารสนเทศมากเฉพาะในบางด้าน ขณะที่สารสนเทศในบางดา้ นไม่มีหรือมีไม่เพียงพอตอ่ การตดั สนิ ใจ แตจ่ ะตอ้ งไดร้ ับสารสนเทศทส่ี ำคญั ครบในทกุ ด้านทท่ี ำการตัดสินใจ 4. การสอดคล้องกับความต้องการของผู้ใช้ (Relevance) สารสนเทศขององค์การที่ดีจะต้องมี คุณลักษณะที่สำคัญอีกประการหน่ึงก็คือ จะต้องตอบสนองต่อความต้องการของผู้ใช้ที่จะนำไปใช้ในการ ตดั สินใจได้ ดังนน้ั ในการท่ีองค์การจะออกแบบและพฒั นาระบบสารสนเทศในองคก์ ารน้ัน การสอบถามความ ต้องการของสารสนเทศที่ผูใ้ ช้ต้องการเป็นปัจจัยที่มคี วามสำคัญอย่างมาก เช่น สนเทศในการบริหารการผลติ การตลาด และการบริหารทรพั ยากรมนุษย์ เปน็ ต้น

38 5. ตรวจสอบได้ (Verifiability) สารสนเทศที่ดีควรมีคุณลักษณะที่สามารถจะตรวจสอบได้โดยเฉพาะ แหล่งที่มา การจัดรูปแบบการวิเคราะห์ข้อมูลที่ใช้ ทั้งนี้เพื่อให้การตัดสินใจได้เกิดความรอบครอบ การที่ ผูบ้ ริหารมองเห็นสารสนเทศบางเรอ่ื งแล้วพบวา่ ทำไมจงึ มีคา่ ท่ีตำ่ เกนิ ไป หรือสงู เกนิ ไป อาจต้องตรวจสอบความ ถูกตอ้ งของสารสนเทศทไี่ ดม้ า ทั้งน้ีก็เพื่อมิใหก้ ารติดสินใจเกิดความผดิ พลาด คุณลักษณะดังกล่าวขา้ งต้น มีความสำคัญอย่างยิ่งที่ผู้บริหารงานบุคคลจะตอ้ งพยายามจัดระบบให้มี ความพร้อมครบถ้วนและพร้อมที่จะใช้งานได้ ปัญหาสำคัญที่องค์การส่วนมากมักจะต้องเผชิญ คือ การไม่ สามารถสนองข้อมูลทีเ่ กี่ยวกับบุคคลให้ทนั กับความจำเป็นใช้ในการทีจ่ ะต้องดำเนินการหรือตัดสนิ ปัญหาบาง ประการ ดงั เชน่ ถา้ หากมเี หตุเฉพาะหนา้ ท่ีต้องการบคุ คลทมี่ ี คุณสมบตั อิ ย่างหน่งึ ในการบรรจเุ ข้าตำแหนง่ หน่ึง อยา่ งรวดเร็วในเวลาอันส้ัน ซงึ่ หากผู้จัดเตรียม ขอ้ มลู จะต้องใชเ้ วลาประมวลข้ึนมานานเปน็ เดอื นก็ย่อมถือได้ ว่า ข้อมูลท่สี นองให้นั้นช้ากวา่ เหตกุ ารณ์ หรอื ในอกี ทางหนง่ึ บางครั้งแมจ้ ะเสนอขอ้ มลู ได้อย่างรวดเร็ว แต่เป็น ขอ้ มลู ทเ่ี ป็นรายละเอียดมากเกนิ ไปที่ไม่อาจพิจารณาแยกแยะคุณสมบัตทิ ่ีสำคัญ หรอื ข้อมูลท่ีสำคัญที่เกี่ยวข้อง กบั บุคคลอยา่ งเด่นชดั กย็ ่อมทำใหก้ ารใชข้ อ้ มูลนน้ั เปน็ ไปดว้ ยความยากลำบาก นอกจากลักษณะที่ดีของสารสนเทศดังกลา่ วข้างต้นแล้ว ยังมีคุณสมบัติที่แอบแฝงของสารสนเทศอกี บางลักษณะที่สมั พันธก์ ับระบบสารสนเทศ และวิธีการดำเนินงานของระบบ สารสนเทศ ซึ่งจะมีความสำคัญ แตกต่างกันไปตามลกั ษณะงานเฉพาะอยา่ ง ซงึ่ ไดแ้ ก่ 1. ความละเอียดแม่นยำ คือ สารสนเทศจะต้องมีความละเอียดแม่นยำในการวัดข้อมูล ให้ ความเชอ่ื ถอื ได้สงู มรี ายละเอยี ดของขอ้ มลู และแหล่งที่มาของขอ้ มลู ทถี่ กู ต้อง 2. คุณสมบัติเชงิ ปริมาณ คอื ความสามารถที่จะแสดงออกมาในรปู ของตวั เลขได้ และสามารถ เปรยี บเทียบในเชงิ ปรมิ าณได้ 3. ความยอมรับได้ คือ ระดับความยอมรับได้ของกลุ่มผู้ใช้สารสนเทศอย่างเดียวกัน สารสนเทศควรมีลักษณะเดียวกันในกลุ่มผู้ใช้งาน หรือใกล้เคียงกันโดยสามารถใช้ร่วมกันได้ เช่น การใช้ เครือ่ งมือเพ่ือวัดคุณภาพการผลิตสินค้า เคร่อื งมือดังกล่าวจะตอ้ งเปน็ ท่ียอมรับไดว้ ่าสามารถวัดค่าของคุณภาพ ไดอ้ ยา่ งถูกต้อง 4. การใช้ได้ง่าย คือ ความสามารถนำไปใช้งานได้ง่าย สะดวกและรวดเร็ว ทั้งในส่วนของ ผูบ้ รหิ ารและผปู้ ฏบิ ัติงาน 5. ความไม่ลำเอียง ซึ่งหมายถึง ไม่เป็นสารสนเทศที่มีจุดประสงค์ที่จะปกปิดข้อเท็จจริง บางอยา่ ง ซง่ึ ทำให้ผใู้ ชเ้ ข้าใจผดิ ไปจากความเปน็ จรงิ หรอื แสดงขอ้ มูลทีผ่ ดิ จากความเป็นจรงิ 6. ชดั เจน ซง่ึ หมายถึง สารสนเทศจะตอ้ งมีความคลุมเครือนอ้ ยที่สุด สามารถทำความเข้าใจ ได้งา่ ย

39 คณุ ภาพของสารสนเทศ คณุ ภาพของสารสนเทศ จะมีคณุ ภาพสงู มาก หรือน้อย พจิ ารณาที่ 3 ประเดน็ ดังนี้ (Bentley 1998 : 58-59) 1. ตรงกบั ความต้องการ (Relevant) หรอื ไม่ โดยดวู า่ สารสนเทศนนั้ ผู้ใช้สามารถนำไปใช้เพิ่ม ประสิทธิภาพได้ มากกว่าไม่ใช้สารสนเทศ หรือไม่ คุณภาพของสารสนเทศ อาจจะดูที่มันมีผลกระทบต่อ กิจกรรมของผใู้ ช้ หรอื ไม่ อย่างไร 2. น่าเชอื่ ถือ (Reliable) เพียงใด ความนา่ เชื่อถือมีหัวขอ้ ท่ีจะใช้พิจารณา เช่น ความทันเวลา (Timely) กับผู้ใช้ เมื่อ ผู้ใช้จำเป็นต้องใช้มีสารสนเทศนั้น หรือไม่ สารสนเทศที่นำมาใช้ต้องมีความถูกต้อ ง (Accurate) สามารถพสิ จู น์ (Verifiable) ได้ว่าเปน็ ความจริง ดว้ ยการวิเคราะห์ข้อมลู ทีเ่ กี่ยวขอ้ ง เป็นต้น 3. สารสนเทศนั้นเข้มแข็ง (Robust) เพียงใด พิจารณาจากการที่สารสนเทศสามารถเคลื่อน ตัวเองไปพร้อมกับกาลเวลาที่เปลี่ยนไป (Rigorous of Time) หรือพิจารณาจากความอ่อนแอของมนุษย์ (Human Frailty) เพราะมนุษย์ อาจทำความผิดพลาดในการป้อนข้อมูล หรือการประมวลผลข้อมูล เพราะฉะนั้นจะต้องมีการควบคุม หรือตรวจสอบ ไม่ให้มีความผิดพลาดเกิดข้ึน หรือพิจารณาจากความ ผิดพลาด หรือล้มเหลวของระบบ (System Failure) ที่จะส่งผล เสียหายต่อสารสนเทศได้ ดังนั้นจงึ ต้องมีการ ป้องกันความผิดพลาด (ที่เนื้อหา และไม่ทันเวลา) ที่อาจเกิดขึ้นได้ หรือ พิจารณาจากการเปลี่ยนแปลง การ จดั การ (ข้อมูล) (Organizational Changes) ทอ่ี าจจะสง่ ผลกระทบ (สร้างความเสียหาย) ต่อสารสนเทศ เช่น โครงสรา้ ง แฟม้ ขอ้ มูล วธิ ีการเขา้ ถงึ ขอ้ มูล การรายงาน จักตอ้ งมีการป้องกนั หากมีการ เปลี่ยนแปลงในเรื่อง ดังกล่าว นอกจากน้ันซวาสส์ (Zwass 1998 : 42) กล่าวถงึ คุณภาพของสารสนเทศจะมีมากนอ้ ยเพยี งใดขึ้นอยู่กบั การ ทนั เวลา ความสมบรู ณ์ ความกะทดั รัด ตรงกบั ความตอ้ งการ ความถูกต้อง ความเท่ียงตรง (Precision) และ รูปแบบท่เี หมาะสม ในเรอ่ื งเดียวกนั โอไบรอ์ นั (O’Brien 2001 : 16-17) กลา่ วว่าคุณภาพของสารสนเทศ พิจารณาใน 3 มิติ ดังน้ี 1. มติ ดิ ้านเวลา (Time Dimension) - สารสนเทศควรจะมีการเตรียมไวใ้ ห้ทันเวลา (Timeliness) กบั ความตอ้ งการของผ้ใู ช้ - สารสนเทศควรจะตอ้ งมคี วามทันสมัย หรอื เป็นปัจจุบัน (Currency) - สารสนเทศควรจะตอ้ งมีความถ่ี (Frequency) หรือบ่อย เท่าท่ีผูใ้ ช้ต้องการ - สารสนเทศควรมเี รือ่ งเกย่ี วกับช่วงเวลา (Time Period) ตัง้ แตอ่ ดตี ปัจจุบัน และ อนาคต

40 2. มติ ดิ ้านเน้อื หา (Content Dimension) - ความถกู ตอ้ ง ปราศจากขอ้ ผิดพลาด - ตรงกับความตอ้ งการใช้สารสนเทศ - สมบรู ณ์ ส่ิงที่จำเปน็ จะตอ้ งมีในสารสนเทศ - กะทดั รดั เฉพาะท่จี ำเป็นเทา่ น้ัน - ครอบคลุม (Scope) ทง้ั ด้านกว้างและดา้ นแคบ (ด้านลึก) หรือมจี ุดเนน้ ทัง้ ภายในและ ภายนอก - มีความสามารถ/ศกั ยภาพ (Performance) ที่แสดงให้เห็นได้จากการวดั คา่ ได้ การบ่ง บอกถึงการพัฒนา หรอื สามารถเพม่ิ พนู ทรพั ยากร 3. มิตดิ า้ นรปู แบบ (Form Dimension) - ชัดเจน งา่ ยต่อการทำความเข้าใจ - มีท้ังแบบรายละเอียด (Detail) และแบบสรุปย่อ (Summary) - มกี ารเรียบเรยี ง ตามลำดับ (Order) - การนำเสนอ (Presentation) ท่ีหลากหลาย เชน่ พรรณนา/บรรยาย ตวั เลข กราฟกิ และอื่น ๆ - รปู แบบของสอื่ (Media) ประเภทตา่ ง ๆ เช่น กระดาษ วดี ทิ ศั น์ ฯลฯ สว่ นสแตรแ์ ละเรย์โนลด์ (Stair and Reynolds 2001 : 7) กล่าวถึง คณุ คา่ ของสารสนเทศขึ้นอยูก่ ับ การที่ สารสนเทศนน้ั สามารถชว่ ยให้ผู้ที่มีหนา้ ทีต่ ัดสนิ ใจทำให้เป้าหมายขององคก์ ารสมั ฤทธิผ์ ลไดม้ ากนอ้ ย เพียงใด หาก สารสนเทศ สามารถทำให้บรรลุเปา้ หมายขององคก์ ารได้ สารสนเทศนน้ั ก็จะมคี ณุ คา่ สูงตามไป ด้วย ประโยชน์ของระบบสารสนเทศ ปัจจุบันเทคโนโลยสี ารสนเทศไดร้ บั ความสนใจนำมาใชง้ านในหลายลกั ษณะและเกือบทุกธุรกิจ โดยท่ี พฒั นาการของเทคโนโลยีสารสนเทศไดส้ ง่ ผลกระทบในวงกว้างไปทกุ วงการทั้งภาคเอกชนและราชการ ระบบ สารสนเทศชว่ ยสรา้ งประโยชน์ต่อการดำเนินงานขององค์กรไดด้ งั นี้ 1. ช่วยให้ผู้ใช้สามารถเข้าถึงสารสนเทศที่ต้องการได้อย่างรวดเร็วและทันต่อเหตุการณ์ เนื่องจากข้อมูลถูกจัดเก็บและบริหารอย่างเป็นระบบ ทำให้ผู้บริหารสามารถเข้าถึงข้อมูลได้อย่างรวดเร็วใน รปู แบบที่เหมาะสมและสามารถนำขอ้ มลู มาใช้ประโยชนท์ นั ตอ่ ความตอ้ งการ 2. ช่วยในการกำหนดเป้าหมายกลยุทธ์และการวางแผนปฏิบัตกิ าร โดยผู้บริหารสามารถนำ ข้อมูลที่ได้จากระบบสารสนเทศมาช่วยในการวางแผนและกำหนดเป้าหมายในการดำเนินงานเนื่องจาก

41 สารสนเทศถูกรวบรวมและจัดการอย่างเป็นระบบ ทำให้มีประวัติของข้อมูลอย่างต่อเนื่อง สามารถที่จะบ่งช้ี แนวโน้มของการดำเนนิ งานวา่ น่าจะเป็นไปในลักษณะใด 3. ช่วยในการตรวจสอบการดำเนินงาน เมอ่ื แผนงานถกู นำไปปฏิบัติในชว่ งระยะเวลาหน่ึง ผู้ ควบคุมจะต้องตรวจสอบผลการดำเนินงานโดยนำข้อมูลบางส่วนมาประมวลผลเพื่อประกอบการประเมิน สารสนเทศที่ได้จะแสดงใหเ้ หน็ ผลการดำเนินงานว่าสอดคล้องกบั เป้าหมายทต่ี ้องการเพียงไร 4. ช่วยในการศึกษาและวิเคราะห์สาเหตูของปัญหา ผู้บริหารสามรถใช้ระบบสารสนเทศ ประกอบการศึกษาและการค้นหาสาเหตุ หรือข้อผิดพลาดที่เกิดขึ้นในการดำเนินงาน ถ้าการดำเนินงานไม่ เปน็ ไปตามแผนทว่ี างไว้ โดยอาจจะเรียกข้อมลู เพ่ิมเติมออกมาจากระบบ เพอื่ ให้ทราบว่าความผิดพลาดในการ ปฏบิ ัตงิ านเกิดขน้ึ จากสาเหตุใด หรอื จัดรปู แบบสารสนเทศในการวเิ คราะหป์ ญั หาใหม่ 5. ช่วยให้ผู้ใช้สามารถวิเคราะห์ปัญหาหรืออุปสรรคทเี่ กิดขึ้น เพ่ือหาวิธคี วบคุม ปรับปรุงและ แก้ไขปัญหา สารสนเทศที่ได้จากการประมวลผลจะช่วยให้ผู้บริหารวิเคราะห์ว่าการดำเนินงานในแต่ละ ทางเลอื กจะชว่ ยแกไ้ ขหรอื ควบคมุ ปัญหาทเ่ี กิดขึ้นได้อย่างไร ธุรกิจตอ้ งทำอย่างไรเพอื่ ปรับเปล่ยี นหรอื พัฒนาให้ การดำเนนิ งานเปน็ ไปตามแผนงานหรือเป้าหมาย 6. ช่วยลดค่าใช้จ่าย ระบบสารสนเทศที่มีประสิทธิภาพช่วยให้ธุรกิจลดเวลา แรงงาน และ ค่าใช้จ่ายในการทำงานลง เนื่องจากระบบสารสนเทศสามารถรับภาระงานที่ต้องใช้แรงงานจำนวนมาก ตลอดจนช่วยลดขั้นตอนในการทำงาน ส่งผลให้ธุรกิจสามารถลดจำนวนคนและระยะเวลาในการประสานงาน ให้น้อยลง โดยผลงานที่ออกมาอาจเท่าหรือดีกว่าเดิม ซึ่งจะเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพและศักยภาพในการ แข่งขันของธรุ กิจ จากทกี่ ลา่ วมาจะเหน็ ได้วา่ ระบบสารสนเทศมีความสำคัญในการบรหิ ารจัดการภายในองค์กร เพราะทำให้การทำงานมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นโดยเฉพาะอย่างยิ่งในปัจจุบันสิ่งแวดล้อมโลกมีการ เปลีย่ นแปลงอยู่ตลอดเวลาและมีการแขง่ ขนั ทางธรุ กิจสูงองคก์ รที่มรี ะบบการบรหิ ารงานท่มี ีประสิทธิภาพและ เขา้ ถงึ ขอ้ มลู ไดเ้ รว็ เทา่ น้นั ถงึ จะอยู่รอดได้ในปัจจบุ ันดงั นน้ั ผบู้ รหิ ารขององค์กรนับว่าเป็นผู้ที่มบี ทบาทในการที่จะ พัฒนาระบบสารสนเทศของตนเองให้มีความทันสมัยและนำมาใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพเพราะปัจจุบันการ นำเอาเทคโนโลยีสารสนเทศมาใช้ในวงการธุรกิจก็เพื่อลดต้นทุนการผลิต สนับสนุนการตัดสินใจในการ บริหารงานและใช้ในการแข่งขันทางธรุ กิจ เพื่อก่อให้เกิดประโยชน์ในด้านต่างๆสำหรับองค์กร นอกจากนี้ยัง สร้างความแขง็ แกรง่ ทางดา้ นธรุ กจิ เพ่ิมประสิทธภิ าพในการผลติ สนิ ค้าและบรกิ าร เพิ่มขดี ความสามารถในการ แข่งขนั นำไปสู่เศรษฐกจิ ยคุ ใหม่ต่อไปในอนาคต การสบื คน้ และรบั สง่ ข้อมูล แฟ้มขอ้ มูล และสารสนเทศเพ่อื ใชใ้ นการจัดการเรยี นรู้ การสบื ค้นขอ้ มูล

42 การนำความรู้เก่ยี วกับอนิ เทอรเ์ น็ต มาประยุกตใ์ ช้ในการศกึ ษาหาความรู้ ได้แก่ การสืบคน้ ขอ้ มลู ทาง อินเทอร์เนต็ โดยการใช้งานอินเทอรเ์ นต็ เกีย่ วกับการศึกษานีจ้ ะสามารถแบ่งเนือ้ หาออกเป็น 3 ระดบั ดงั นี้ 1. การสบื คน้ ข้อมูลทางอนิ เทอรเ์ นต็ 2. การนำขอ้ มลู จากอินเทอร์เนต็ มาใชง้ าน 3. การสร้างแหล่งข้อมลู ดว้ ยตนเอง การคน้ คว้าด้วยการใช้ Search Engine การใชง้ านงานอนิ เทอร์เน็ตที่นยิ มใชก้ ันอย่างมาก จะไดแ้ ก่การเขา้ เยี่ยมชมเวบ็ ไซตต์ ่างๆ เพือ่ หาความรู้ แตก่ ารเข้าเย่ียมชมนั้น ในกรณีทเี่ รารู้วา่ เวบ็ ไซต์เหล่าน้ันมีชือ่ วา่ อะไร เน้ือหาของเว็บ มุ่งเน้นเก่ียวกบั ส่งิ ใด เรา สาสามารถท่ีจะเข้าเย่ยี มชมไดท้ ันที่ แต่ในกรณที ี่เราไมท่ ราบชอ่ื เวบ็ เหลา่ น้นั แตเ่ รามีความตอ้ งการท่ีจะคน้ หา เนอื้ หาบางอย่าง มวี ธิ ีการจะเขา้ สืบค้นข้อมูลได้ โดยการใชค้ วามสามารถของ Search Engine Search Engine จะมหี น้าที่รวบรวมรายชื่อเว็บไซต์ต่างๆ เอาไว้ โดยจัดแยกเปน็ หมวดหมู่ ผู้ใชง้ าน เพียงแตท่ ราบหวั ขอ้ ทต่ี อ้ งการค้นหาแลว้ ป้อน คำหรือข้อความของหัวข้อนนั้ ๆ ลงไปในชอ่ งที่กำหนด คลกิ ปุม่ คน้ หา เท่านน้ั ขอ้ มลู อยา่ งยอ่ ๆ และรายชือ่ เวบ็ ไซต์ทเี่ กย่ี วข้องจะปรากฏให้เราเข้าไปศึกษาเพ่ิมเติมได้ทันที Search Engine แต่ละแห่งมวี ธิ กี ารและการจดั เก็บฐานข้อมลู ท่ีแตกต่างกันไปตามประเภทของ Search Engine ที่แตล่ ะเวบ็ ไซต์นำมาใชเ้ ก็บรวบรวมขอ้ มูล ดังน้ันการท่ีจะเขา้ ไปหาขอ้ โดยวธิ กี าร Search น้นั อยา่ งน้อยเราจะตอ้ งทราบว่า เว็บไซตท์ ี่จะเขา้ ไปใชบ้ รกิ าร ใชว้ ธิ กี ารหรอื ประเภทของ Search Engine อะไร เนอื่ งจากแต่ละประเภทมีความละเอยี ดในการจัดเกบ็ ขอ้ มูลต่างกนั ไป การคน้ หาขอ้ มลู ทางอนิ เตอรเ์ นต็ ผ้คู นจะนิยมใหเ้ วบ็ ไซตห์ ลักๆ ในการค้นหาข้อมูลที่ต้องการ มีหลักๆ 3 เว็บไซต์คือ Google (กลู เกลิ้ ) www.google.co.th Yahoo (ยาฮ)ู www.yahoo.com

43 Bing (บิง้ ค)์ www.bing.com รับ-สง่ ขอ้ มูล หมายถึง การส่งข้อมูลหรือข่าวสาร จากผู้ส่งต้นทางไปยังผู้รับปลายทางที่อยู่ห่างไกล โดยผ่านช่อง ทางการสื่อสารเพ่ือเป็นสื่อกลางในการส่งข้อมูล ซึ่งอาจจะเป็นแบบใชส้ าย หรือไม่ใช้สายก็ได้ ส่วนข้อมูลหรอื ขา่ วสารน้ันอาจจะเป็นข้อความ เสยี ง ภาพเคลื่อนไหว หรือขอ้ มูลท่เี ปน็ มัลตมิ ีเดยี กไ็ ด้ ดังนั้นการส่ือสารข้อมูล จึงเป็นสว่ นหนึง่ ของการสื่อสารโทรคมนาคม โดยเน้นการสง่ ผา่ นข้อมลู โดยใช้ระบบคอมพวิ เตอร์และเครือข่าย เป็นหลกั การรบั -ส่งขอ้ มูลผา่ นเครือข่ายอนิ เทอรเ์ นต็

44 การโอนถา่ ย (Transmission) ขอ้ มลู หรอื การแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างผู้ส่งต้นทางกับผู้รับปลายทาง ทั้งข้อมูลประเภท ข้อความ รูปภาพ เสียง หรือข้อมูลสื่อผสมโดยผู้ส่งต้นทางส่งข้อมูลผ่านอุปกรณ์ อิเล็กทรอนิกส์หรือคอมพิวเตอร์ ซึ่งมีหน้าที่แปลงข้อมูลเหล่านั้นให้อยู่ในรูปสัญญาณทางไฟฟ้า (Electronic data) จากนั้นถึงสง่ ไปยงั อุปกรณ์หรอื คอมพิวเตอรป์ ลายทาง 1. ผูส้ ่ง เปน็ ส่งิ ท่ที ำหน้าที่ส่งข้อมูลข่าวสารออกไปยังจุดหมายปลายทางท่ีต้องการ ซ่ึงอาจเป็นบุคคล หรืออุปกรณ์ เชน่ เครือ่ งคอมพวิ เตอร์ โทรศพั ท์ เปน็ ต้น 2. ข้อมูลข่าวสาร เปน็ ส่งิ ทีผ่ ู้สง่ ต้องการส่งไปให้ผรู้ บั ทอี่ ยู่ปลายทางซ่ึงอาจเปน็ เสียง ข้อความหรือภาพ เพอื่ ส่ือสารใหเ้ กดิ ความเข้าใจตรงกัน 3. สื่อกลาง หรือช่องทางการสื่อสาร เป็นสิ่งที่ช่วยให้ข้อมูลข่าวสารเดินทางจากผู้ส่งไปยังผู้รับได้ โดยสะดวก ซงึ่ มหี ลายรปู แบบ ดังนี้ * สายสัญญาณชนิดตา่ งๆ เช่น สายโทรศพั ท์ สายเคเบลิ เสน้ ใยแกว้ นำแสง เป็นต้น * คล่ืนสัญญาณชนดิ ตา่ งๆ เชน่ คลนื่ วทิ ยุ คล่ืนไมโครเวฟ คลื่นแสง คลนื่ อินฟราเรด * อปุ กรณ์เสรมิ ชนิดต่างๆ เช่น เสาอากาศวทิ ยุ เสาอากาศโทรศพั ท์ ดาวเทยี ม โมเด็ม 4. ผู้รับ เป็นสิ่งที่ทำหน้าที่รับข้อมูลข่าวสารจากผู้ส่ง ซึ่งส่งผ่านสื่อกลางชนิดต่างๆ เช่น เครื่อง คอมพวิ เตอร์ โทรศัพท์ โทรทศั น์ วทิ ยุ เป็นต้น การที่จะส่งข้อมูลข่าวสารจากผู้ส่งไปยังผู้รับได้อย่างมีประสิทธิภาพนั้น จะขาดส่วนประกอบใด ส่วนประกอบหนงึ่ ท่ีกล่าวมาแลว้ ไม่ได้ และตอ้ งรู้จักเลือกใช้อปุ กรณ์และวธิ ีการใหเ้ หมาะสมกับลักษณะงาน แฟม้ ขอ้ มูล แฟ้มข้อมลู , ไฟล์ (File) คือ การเก็บ หรือ รวบรวมข้อมลู ท่บี ันทึกไว้เป็น ระเบียน (record) ใน Auxiliary Storage คะ่ โดยการเก็บขอ้ มูลทม่ี ีประสทิ ธภิ าพตอ้ งมีการบำรุงรักษาขอ้ มูล และอพั เดทใหท้ นั สมัย ดว้ ย function ตา่ งๆ ดังน้ี Add Record (การเพม่ิ ) Change Record (การเปล่ียนแปลง) Delete Record (การลบ) แฟม้ ขอ้ มูล (File) คอื การเก็บ หรือ รวบรวมขอ้ มูลที่บนั ทกึ ไว้ เป็น ระเบียน (record) ใน Auxiliary Storage ระเบยี น (Record) คอื การรวมเขตขอ้ มูล ทสี่ มั พันธ์กันไวด้ ว้ ยกนั เขตขอ้ มลู (Field) คือ ข้อมลู ชุดหนงึ่ เชน่ ชอื่ นามสกุล รหัสประจำตัวประชาชน เปน็ ตน้ Add Record คือการเพมิ่ ข้อมลู ใหม่ลงไปในแฟ้มข้อมูล เชน่ การเปดิ บัญชใี หม่ทธ่ี นาคาร ต้องมกี ารเพิม่ รายละเอียด ของ record ใหม่เข้าไปในฐานขอ้ มูล ซึง่ มขี ัน้ ตอนดงั ตอ่ ไปนี้


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook