1หน่วยการเรยี นรูท้ ี่ ระบบการทางานของอวยั วะ
สาระการเรยี นรู ้ 1 ระบบอวยั วะตา่ ง ๆ ของรา่ งกาย และระบบประสาท (Nervous System) 2 ระบบสบื พนั ธุ ์ (Reproductive System) 3 ระบบตอ่ มไรท้ ่อ (Endocrine System) และความสมั พนั ธข์ องการ ทางาน ของระบบต่าง ๆ ในรา่ งกาย
““การทางานของระบบตา่ ง ๆ ของรา่ งกาย ประสานสมั พนั ธก์ นั ในทกุ ระบบ ดงั น้ันจงึ ตอ้ งดแู ลรกั ษาระบบตา่ ง ๆ ใหท้ างาน ไดต้ ามปกติ เพอื่ ใหเ้ กดิ ความสมดลุ ของสขุ ภาพในการดารงชวี ติ
ระบบอวยั วะตา่ ง ๆ ของรา่ งกายจาแนก ไดก้ รี่ ะบบ ?
ระบบประสาท ระบบตอ่ มไรท้ อ่ Nervous System Endocrine System ระบบหายใจ ระบบไหลเวยี นเลอื ด Respiratory System Circulatory System ระบบผวิ หนงั ระบบย่อยอาหาร Integumentary System Digestive System ระบบสบื พนั ธุ ์ ระบบขบั ถา่ ยปัสสาวะ Reproductive System Urinary System ระบบโครงกระดูก ระบบกลา้ มเนือ้ Skeletal System Muscular System
ระบบประสาท NERVOUS SYSTEM
ความสาคญั ของระบบประสาท เป็ นระบบทเี่ ป็ น ทาหนา้ ทรี่ บั รกั ษาความสมดลุ ศนู ยก์ ลางควบคมุ ความรสู ้ กึ ตลอดจน ของรา่ งกายให ้ และประสานการ ทางานของรา่ งกาย ควบคมุ ความคดิ สามารถดารงชวี ติ สตปิ ัญญา การ ไดอ้ ย่างปกติ เรยี นรตู ้ า่ ง ๆ
การทางานของระบบประสาท การทางานของระบบประสาท ประกอบดว้ ย สมอง ไขสนั หลงั เสน้ ประสาทในรา่ งกาย และอวยั วะรบั ความรสู ้ กึ ระบบประสาทแบ่งออกเป็ น 3 สว่ น คอื 1 ระบบประสาทสว่ นกลาง 2 ระบบประสาทสว่ นปลาย 3 ระบบประสาทอตั โนมตั ิ
ระบบประสาทส่วนกลาง ประกอบดว้ ย สมอง (brain) ไขสนั หลงั (spinal cord) เป็ นศนู ยก์ ลางควบคมุ และประสาน การทางานของรา่ งกายทงั้ หมด
ระบบประสาทส่วนกลาง สมอง (brain) • บรรจอุ ยภู่ ายในกะโหลกศรี ษะ • สมองของมนุษยจ์ ะเจรญิ เตบิ โตสงู สดุ ภายในอายุ 5 ปี แรก • สมองแบง่ ออกเป็ น 2 ชนั้ คอื - สมองชนั้ นอก เรยี กวา่ เนือ้ เทา (Gray Matter) - สมองชนั้ ใน เรยี กวา่ เนือ้ ขาว (White Matter)
ระบบประสาทส่วนกลาง สมอง (brain) แบง่ เป็ น 3 สว่ น สมองสว่ นหนา้ สมองสว่ นกลาง สมองสว่ นทา้ ย (Forebrain) (Midbrain) (Hindbrain) • เซรบี รมั (Cerebrum) • เซรเี บลลมั • ทาลามสั (Cerebellum) (Thalamus) • พอนส ์ (Pons) • ไฮโปทาลามสั • เมดลั ลา ออบลอง (Hypothalamus) กาตา (Medulla Oblongata)
ระบบประสาทส่วนกลาง สมอง สมองสว่ นหนา้ (forebrain) ไฮโปทาลามสั (Hypothalamus) เซรบี รมั (Cerebrum) ศนู ยค์ วบคมุ • ทาหน้าที่ดา้ นความทรงจา • อณุ หภมู ขิ องรา่ งกาย ความฉลาด ไหวพรบิ • การเตน้ ของหวั ใจ • ความดนั เลอื ด • เป็ นศูนยร์ บั ความรูส้ ึกในการ • ความหวิ มองเห็น การไดย้ ิน การได ้ • การนอนหลบั กลนิ่ และการรบั รส • การหลง่ั ฮอรโ์ มนของตอ่ มไรท้ ่อ • การหลง่ั นา้ ยอ่ ยจากกระเพาะอาหาร ทาลามสั (Thalamus) • ความสมดลุ ของนา้ ในรา่ งกาย • การแสดงออกทางอารมณ์และ • ศู น ย ์รับ แ ล ะ ถ่ า ย ท อ ด ความรสู ้ กึ ไปยงั เซรบี รมั ความรสู ้ กึ ตา่ ง ๆ
ระบบประสาทส่วนกลาง สมอง สมองสว่ นกลาง (midbrain) สมองสว่ นกลาง (midbrain) • ทาหนา้ ทเี่ กยี่ วกบั การเคลอื่ นไหวของ ลกู ตาและม่านตา
ระบบประสาทส่วนกลาง สมอง สมองสว่ นทา้ ย (hindbrain) เซรเี บลลมั พอนส ์ (Pons) (Cerebellum) • ควบคุมการเคีย้ วอาหาร การหล่งั น้าลาย • ดูแลการทางานของส่วน การหายใจ การฟัง ต่า ง ๆ ใน ร่า ง ก า ย แ ล ะ ระบบกลา้ มเนือ้ ต่าง ๆ ให ้ • การเคลอื่ นไหวกลา้ มเนือ้ บรเิ วณใบหนา้ ประสานสมั พนั ธก์ นั • สะพานเชอื่ มระหวา่ งสมองกบั ไขสนั หลงั • ควบคุมการทรงตัวของ เมดลั ลา ออบลองกาตา รา่ งกาย (Medulla Oblongata) • หรอื เรยี กวา่ กา้ นสมองสว่ นทา้ ย • ศู น ย ค์ ว บ คุ ม ก า ร ท า ง า น ข อ ง ร ะ บ บ ป ร ะ ส า ท อั ตโ น มั ติ ต่ า ง ๆ เ ช่ น ก า ร ห า ยใ จ ก า รไ ห ล เ วี ย น เ ลื อ ด การเตน้ ของหวั ใจ การไอ การจาม
ระบบประสาทส่วนกลาง ไขสนั หลงั (spinal cord) ไขสนั หลงั (spinal cord) • ส่วนที่ต่อจากกา้ นสมองส่วนทา้ ยลงไปตาม แนวชอ่ งกระดกู สนั หลงั • มคี วามยาวประมาณ 16 – 18 นิว้ • เป็ นตวั เชอื่ มในการรบั กระแสประสาทจากสว่ น ตา่ ง ๆ ของ • รา่ งกายส่งต่อไปยงั สมอง และรบั จากสมอง สง่ ไปยงั อวยั วะตา่ ง ๆ ของรา่ งกาย • ควบคมุ ปฏกิ ิรยิ ารเี ฟล็กซ ์ (Reflex Action)
ระบบประสาทส่วนกลาง ไขสนั หลงั (spinal cord) ปฏกิ ิรยิ ารเี ฟลก็ ซ ์(Reflex Action) • คอื การตอบสนองสงิ่ เรา้ อยา่ งกะทนั หนั โดยไม่ตอ้ งรอคาสง่ั จากสมอง • เชน่ เมอื่ มอื ไปถกู ของรอ้ นคนเราจะกระตกุ มอื หนีทนั ที
ระบบประสาทส่วนปลาย ประกอบดว้ ย เสน้ ประสาทสมอง (Cranial Nerves) ทาหนา้ ทนี่ าความรสู ้ กึ จากสว่ นตา่ ง ๆ ของ เสน้ ประสาทไขสนั หลงั (Spinal Nerves) รา่ งกายเขา้ สรู่ ะบบ ประสาทสว่ นกลางและ สง่ กลบั ไปยงั อวยั วะตา่ ง ๆ
ระบบประสาทส่วนปลาย เสน้ ประสาทสมอง (Cranial Nerves) • ของมนุษยม์ ี 12 คู่ • ทอดมาจากสมองผ่านรตู า่ ง ๆ ของกะโหลกศรี ษะ • เสน้ ประสาทสมอง - บางคจู่ ะทาหนา้ ทรี่ บั ความรสู ้ กึ - บางคจู่ ะทาหนา้ ทเี่ กยี่ วกบั การเคลอื่ นไหว - บางคู่จะทาหนา้ ทที่ งั้ รบั ความรูส้ กึ และเกยี่ วกบั การ เคลอื่ นไหว
ระบบประสาทส่วนปลาย บรเิ วณคอ 8 คู่ เสน้ ประสาทไขสนั หลงั • ของมนุษยม์ ี 31 คู่ (Spinal Nerves) • เป็ นเสน้ ประสาททแี่ ตกออกมาจากไขสนั บรเิ วณอก 12 คู่ หลงั บรเิ วณเอว 5 คู่ • เสน้ ประสาททกุ คเู่ ป็ นเสน้ ประสาทรวม คอื บรเิ วณกระเบนเหน็บ 5 คู่ รบั ความรสู ้ กึ และเกยี่ วกบั การเคลอื่ นไหว บรเิ วณกน้ กบ 1 คู่ • เป็ นระบบประสาททอี่ ยู่นอกอานาจจติ ใจ ทาหนา้ ทคี่ วบคมุ อวยั วะตา่ ง ๆ ทที่ างานได ้ ด ว้ ย ตัว เ อ ง เ ช่น ก า ร เ ต น้ ข อ ง หัวใ จ การทางานของอวยั วะภายใน
ระบบประสาทอัตโนมัติ • มีการทางานอยู่นอกอานาจจิตใจ โ ด ย ป ร บั เ ป ลี่ย น ก า ร ท าง า น ข อ ง อวยั วะต่าง ๆ ใหท้ างานเหมาะสมกบั สภาวะรา่ งกายทเี่ ป็ นอยู่ • แบ่งการทางานออกเป็ น 2 สว่ น ระบบประสาทพาราซมิ พาเทตกิ Parasympathetic nervous system ระบบประสาทซมิ พาเทตกิ Sympathetic nervous system
ร ะ บ บ ป ร ะ ส า ท อ ัตโ น ม ัติ ระบบประสาท ระบบประสาท พาราซมิ พาเทตกิ ซมิ พาเทตกิ ค ว บ คุ ม ก า ร ส ะ ส ม เป็ น ร ะ บ บ ที่ท า ใ ห ้ พลังงาน และการ ร่ า ง ก า ย พ ร ้อ ม ทางานของอวัยวะ สาหรบั เผชญิ ภาวะ ภ า ยใ นใ ห ้อ ยู่ ใ น อั น ต ร า ย ห รื อ สภาพการทางาน ฉุกเฉิน ปกติ
ระบบประสาทอัตโนมัติ ระบบประสาททง้ั สองระบบนีจ้ ะทางานรว่ มกนั เพอื่ รกั ษาความ สมดลุ ของรา่ งกายใหส้ ามารถดารงชวี ติ ไดอ้ ยา่ งปกติ เมอื่ เผชญิ กบั ภาวะฉุกเฉิน เชน่ ไฟไหม้ หรอื ประสบอบุ ตั เิ หตุ ระบบประสาทซมิ พาเทตกิ จะทาใหร้ า่ งกายตนื่ ตวั เพอื่ เ ต รีย ม พ ร อ้ ม ที่ จ ะ แ ก ้ไ ข ปั ญ ห า ห รือ ห นี จ า ก สถานการณเ์ หลา่ นั้น เมอื่ รา่ งกายพน้ จากภาวะฉุกเฉินไปแลว้ ระบบประสาท พาราซมิ พาเทตกิ จะชว่ ยทาใหร้ า่ งกายกลบั คนื สู่ภาวะ ปกติ
การสรา้ งเสรมิ และดารงประสิทธิภาพการทางานของระบบประสาท 2. 3. หลกี เลยี่ งพฤตกิ รรมที่ หลกี เลยี่ งการใช ้ ทาลายการทางานของ สารเสพตดิ และดมื่ สมอง เครอื่ งดมื่ แอลกอฮอล ์ 1. 4. ระมดั ระวงั และ นอนหลบั ป้ องกนั การเกดิ พกั ผ่อนใหเ้ พยี งพอ อบุ ตั เิ หตุ
การสรา้ งเสรมิ และดารงประสิทธิภาพการทางานของระบบประสาท 6. 7. ดแู ลการไดย้ นิ ออกกาลงั กายเป็ น หลกี เลยี่ งทมี่ เี สยี งดงั ประจาอย่างสม่าเสมอ และการใชห้ ฟู ังนาน 5. 8. ดแู ล รบี พบแพทยถ์ า้ มคี ว ผดิ ปกตเิ กยี่ วกบั ระบ และถนอม ประสาท การใชส้ ายตา
การสรา้ งเสรมิ การทางานของระบบประสาท 1 รบั ประทานอาหารทบี่ ารงุ สมอง อาหารทมี่ วี ติ ามนิ บี 1 ไทอะ อาหารทมี่ วี ติ ามนิ บี 12 อาหารทมี่ สี ารโอเมกา 3 อาหารทมี่ สี ารทอรนี มนี (Thiamine) โคบาลามนิ (Cobalamin) (Omega 3) (Taurine)
การสรา้ งเสรมิ การทางานของระบบประสาท 2 การฝึ กสมอง หรอื นิวโรบกิ ส ์ เอ็กเซอรไ์ ซส ์ ปิ ดตาทากจิ กรรมเดมิ ๆ ปิ ดไฟในหอ้ ง เปลยี่ นเสน้ ทาง ทากจิ กรรม เพอื่ เปลยี่ นความเคยชนิ และใชม้ อื คลาทาง กลบั บา้ น พฒั นาสมอง
สรุป ระบบประสาท ความสาคญั การทางาน การดารงประสทิ ธภิ าพ ศนู ยก์ ลางควบคมุ รา่ งกาย ระบบประสาท ระบบประสาท ระบบประสาท การดแู ลและป้ องกนั (8ขอ้ ) รบั ความรสู ้ กึ ความคดิ สว่ นกลาง สว่ นปลาย อตั โนมตั ิ การสรา้ งเสรมิ ระบบประสาท รกั ษาความสมดลุ ของรา่ งกาย อาหารบารงุ สมอง การฝึ กสมอง สมอง ไขสนั หลงั เสน้ เสน้ พารา ซมิ ประ ประ ซมิ พาเท สมองส่วนหนา้ สาท สาท พาเท ตกิ สมองสว่ นกลาง สมอง ไขสนั ตกิ สมองส่วนทา้ ย หลงั
ระบบสืบพันธุ ์ REPRODUCTIVE SYSTEM
การสบื พนั ธขุ ์ องมนุษยเ์ กดิ ขนึ้ โดยการรว่ มเพศ ซงึ่ ตอ้ งอาศยั อวยั วะสาคญั ของระบบสบื พนั ธุ ์ แบ่งเป็ น ระบบสบื พนั ธเุ ์ พศชาย ระบบสบื พนั ธเุ ์ พศหญงิ
ระบบสืบพันธุเ์ พศชาย อวยั วะสบื พนั ธภุ ์ ายใน อวยั วะสบื พนั ธภุ ์ ายนอก ของเพศชาย ของเพศชาย
ระบบสืบพันธุเ์ พศชาย อวัยวะสืบพันธุภ์ ายใน ท่อนาตวั อสจุ ิ (Vas กระเพาะปัสสาวะ deferens) ถงุ นา้ อสจุ ิ (Seminal Vesicle) ทอ่ ปัสสาวะ ตอ่ มลกู หมาก (Urethra) (Prostate gland) อณั ฑะ (Testis) หลอดสรา้ งอสจุ ิ
ระบบสืบพันธุเ์ พศชาย อวัยวะสืบพันธุภ์ ายใน อณั ฑะ (Testis) ทอ่ นาตวั อสจุ ิ • มีขนาดยาว 4 ซม. กวา้ ง 2.5 ซม. หนา 2 ซม.อยู่ในถุงอณั ฑะ หลอดสรา้ งอสจุ ิ ทง้ั สองขา้ ง • ภายในเป็ นหลอดเล็ก ๆ ขดไปขด ลกู อณั ฑะ มา มหี นา้ ทสี่ รา้ งตวั อสจุ ิ • อสจุ เิ ป็ นเซลลส์ บื พนั ธจุ ์ ะถูกสรา้ ง ขนึ้ เมอื่ ยา่ งเขา้ สวู่ ยั รนุ่ ชาย • ตัว อ สุ จิมีข น า ด เ ล็ ก ม า ก ม อ ง ไม่เห็นดว้ ยตาเปลา่ อณั ฑะ (Testis)
ระบบสืบพันธุเ์ พศชาย อวัยวะสืบพันธุภ์ ายใน ถงุ นา้ อสจุ ิ (Seminal Vesicle) • กระตุน้ ใหเ้ กดิ การผลิตของเหลวเพื่อลาเลยี งสู่ หลอดเก็บอสจุ ิ (Epididymis) • สรา้ งสารอาหารเลยี้ งอสุจิ โดยถุงน้าอสุจมิ เี ป็ น ถุงทีเ่ ชอื่ มตดิ กบั หลอดเก็บอสุจแิ ละอยู่บรเิ วณ ขา้ งกระเพาะปัสสาวะ • ตวั อสุจจิ ะถูกฟักไวน้ าน 6 สปั ดาหจ์ นกระท่งั แข็งแรงและพรอ้ มทจี่ ะผสมกบั ไขไ่ ดต้ อ่ ไป
ระบบสืบพันธุเ์ พศชาย อวัยวะสืบพันธุภ์ ายใน ท่อนาตวั อสจุ ิ (Vas deferens) • เป็ นทอ่ อยถู่ ดั จากกา้ นอณั ฑะ • ทาหน้าที่เป็ นทางผ่านของตวั อสุจิ ท่อนาตวั อสุจิจะผ่านเขา้ สู่ช่องทอ้ ง แลว้ มารวมกับ ถงุ น้าอสจุ ิ ผ่านตอ่ มลกู หมากตอ่ กบั ท่อปัสสาวะ เพอื่ นาตวั อสจุ อิ อกสภู่ ายนอก
ระบบสืบพันธุเ์ พศชาย อวัยวะสืบพันธุภ์ ายใน • อยู่ตอนตน้ ของท่อปัสสาวะ ทาหนา้ ทหี่ ลง่ั สารที่ มฤี ทธเิ ์ ป็ นเบส (Base) ออ่ นๆ • ช่วยลดความเป็ นกรดในท่อ ปั สสาวะ และ ในชอ่ งคลอดของฝ่ ายหญงิ • สารนี้ช่วยใหต้ วั อสุจิแข็งแรงและว่องไว ขณะ เ ค ลื่ อ น เ ข ้า ไ ป ใ น ท่ อ ปั ส ส า ว ะ ป น กั บ นา้ เลยี้ งตวั อสจุ ิ ตอ่ มลกู หมาก (Prostate gland)
ระบบสืบพันธุเ์ พศชาย อวัยวะสืบพันธุภ์ ายใน ท่อปัสสาวะ (Urethra) • เป็ นท่อนาน้าปัสสาวะจากกระเพาะ ปัสสาวะไปสู่ภายนอกและยงั เป็ น ทางผ่านของน้าอสจุ ิ
ระบบสืบพันธุเ์ พศชาย อวัยวะสืบพันธุภ์ ายนอก องคชาติ (Testis) ทวารหนัก ถงุ อณั ฑะ (Scrotum)
ระบบสืบพันธุเ์ พศชาย อวัยวะสืบพันธุภ์ ายนอก ถงุ อณั ฑะ (Scrotum) • เป็ นถุงของผิวหนังที่ห่อหุม้ อัณฑะ หอ้ ยอย่ดู า้ นนอกของรา่ งกาย • มหี นา้ ทปี่ รบั อณุ หภูมใิ หพ้ อเหมาะกบั การสรา้ งอสจุ ิ • เพราะอณุ หภมู ใิ นรา่ งกายสงู เกนิ ไปไม่ เหมาะตอ่ การสรา้ งอสจุ ิ
ระบบสืบพันธุเ์ พศชาย อวัยวะสืบพันธุภ์ ายนอก องคชาติ (Testis) • เป็ นอวยั วะเพศชายใชส้ บื พนั ธุ ์ • มี ลัก ษ ณ ะ เ ป็ น รู ป ท ร ง ก ร ะ บ อ ก ประกอบดว้ ยกลา้ มเนื้อมีลักษณะ คลา้ ยฟองนา้ • เป็ นทางผ่านของปัสสาวะ,นา้ อสจุ ิ • เมอื่ มอี ารมณท์ างเพศจะแข็งตวั • บรเิ วณปลายองคชาตเป็ นจดุ รวมของ เ ส ้น ป ร ะ ส า ทไ ว ต่ อ ก า ร ก ร ะ ตุ้น ความรสู ้ กึ ทางเพศ
ระบบสืบพันธุเ์ พศหญิง อวยั วะสบื พนั ธภุ ์ ายใน อวยั วะสบื พนั ธภุ ์ ายนอก ของเพศหญงิ ของเพศหญงิ
ระบบสืบพันธุเ์ พศหญิง อวัยวะสืบพันธุภ์ ายใน ท่อนาไข่ (uterine tube) รงั ไข่ (ovary) มดลกู (uterus) ชอ่ งคลอด (vagina) กระเพาะปัสสาวะ ทวารหนัก ปากทอ่ ปัสสาวะ
ระบบสืบพันธุเ์ พศหญิง อวัยวะสืบพันธุภ์ ายใน รงั ไข่ (ovary) • อยใู่ นชอ่ งเชงิ กราน มขี นาดประมาณเท่าหวั แม่มอื • มหี นา้ ทสี่ รา้ งไขส่ กุ เดอื นละ1 เซลล ์ โดยมกี ารตกไขท่ กุ ๆ 28 วนั โดยสลบั กนั ระหวา่ งรงั ไขข่ า้ งซา้ ยกบั รงั ไขข่ า้ ง ขวา • ไข่ใบแรกจะสุกเมือ่ เด็กหญิงย่างเขา้ สู่วยั รุน่ สงั เกตได ้ จากการเรมิ่ มปี ระจาเดอื นครงั้ แรก
ระบบสืบพันธุเ์ พศหญิง อวัยวะสืบพันธุภ์ ายใน ทอ่ นาไข่ (uterine tube) • เป็ นท่อทีเ่ ป็ นทางนาไข่ซงึ่ สรา้ งจากรงั ไข่ไปสู่ โพรงมดลกู • ปลายหนึ่ งเปิ ดสู่ช่องทอ้ งใกล ้ ๆ กับรงั ไข่ อกี ปลายหนึ่งเปิ ดเขาสมู่ มุ บนของโพรงมดลกู
ระบบสืบพันธุเ์ พศหญิง อวัยวะสืบพันธุภ์ ายใน มดลกู (uterus) • เป็ นอวยั วะทมี่ ผี นังเป็ นกลา้ มเนือ้ เรยี บหนา ยนื่ จากช่องคลอดขึน้ บนไปขา้ งหน้าอยู่เหนื อ กระเพาะปัสสาวะ • เป็ นทสี่ าหรบั การตง้ั ครรภ ์ สามารถขยายตวั ได ้ มากตามการเจรญิ เติบโตของเด็กและจะหด กลบั สสู่ ภาพปกตภิ ายหลงั คลอดแลว้ • ป ร ะ ก อ บ ด ้ว ย 3 ส่ ว น คื อ ตั ว ม ด ลู ก ปากมดลกู และปี กมดลกู
ระบบสืบพันธุเ์ พศหญิง อวัยวะสืบพันธุภ์ ายใน ตวั มดลกู • เป็ นบรเิ วณทสี่ าหรบั ใหท้ ารกเจรญิ เตบิ โต • กอ่ นทจี่ ะมกี ารตกไข่หรอื ตงั้ ครรภผ์ นังมดลูกมกี ารขยายตวั เพอื่ เตรยี มที่ จะรบั ไขท่ ผี่ สมแลว้ • ถา้ ไม่ไดร้ บั การผสมจากอสุจิผนังมดลูกก็จะค่อย ๆ เสื่อมลงและ มกี ารบบี ตวั เพอื่ ขบั ออกมาเป็ นประจาเดอื น (menstruation) ปากมดลกู • สว่ นปลายแคบสน้ั อยดู่ า้ นลา่ งตดิ กบั ชอ่ งคลอด • เป็ นทสี่ าหรบั ใหอ้ สจุ ผิ ่านเขา้ สมู่ ดลกู ปี กมดลกู • สว่ นบนเป็ นทอ่ แคบและยาวอยูข่ า้ งละอนั • ต ร ง ป ล า ย เ ปิ ด เ ป็ น ช่อ ง เ ห มื อ น แ ต ร ส า ห ร ับ ปั๊ มไ ข่ จ า ก ร ังไ ข่ และเป็ นทางผ่านของไขไ่ ปสตู่ วั มดลกู
ระบบสืบพันธุเ์ พศหญิง อวัยวะสืบพันธุภ์ ายใน ชอ่ งคลอด (vagina) • เป็ นชอ่ งชน้ั กลา้ มเนือ้ ทยี่ นื่ ออกมาจากบรเิ วณปาก มดลกู • ป า ก ช่อ ง ค ล อ ด จ ะ ถู ก ล ้อ ม ร อ บไ ป ด ้ว ย เ ยื่อ บุ พรหมจรรย ์ (Hymen) • ในระหว่างการมีเพศสัมพันธผ์ ูช้ ายจะสอดใส่ องคชาตเขา้ สู่ชอ่ งคลอด ชอ่ งคลอดจะขยายและ หลง่ั สารลอ่ ลนื่ เพอื่ ลดแรงเสยี ดสที เี่ กดิ ขนึ้ • อสจุ เิ ดนิ ทางไปยงั ไขแ่ ละทาใหเ้ กดิ การตงั้ ครรภ ์ • เป็ นทางผ่านที่ใหก้ าเนิดทารกและทางออกของ ประจาเดอื น
ระบบสืบพันธุเ์ พศหญิง อวัยวะสืบพันธุภ์ ายนอก แคมใหญ่ แคมเล็ก คลติ อรสิ (Clitoris) (Labia majora) (Labia minora) • ประกอบดว้ ยเนื้อเยื่อที่แข็งตวั ได ้ • เป็ นรอยนูนของผวิ หนัง ค ล า้ ย อ ง ค ช า ตใน เพศ ช า ย แ ต่ • ทางหลงั ของรอยนูนทง้ั 2 ขา้ งเขา้ • เป็ นรอยนูนของผิวหนังอยู่ดา้ นใน ขนาดเล็กกวา่ มาก แคมใหญ่ ไปชดิ กนั ทหี่ นา้ รทู วารหนัก • ยาวประ มาณ 2.5 เซนติเมต ร • ทางหน้าของรอยนู นกวา้ งและ • ไม่มไี ขมนั ในเยอื่ ใตผ้ วิ หนัง มหี นา้ ทนี่ าความรสู ้ กึ ทางเพศ • ปลายล่างของแคมเล็กแนบชดิ กบั ประสานกบั อีกขา้ งหนึ่ง เรยี กว่า ร อ ย นู น หั ว ห น่ า ว ห รื อ เ นิ น ดา้ นในของแคมใหญ่ หวั หน่าว • ชอ่ งระหวา่ งแคมเล็กจะมรี ูเปิ ดของ • เยอื่ ใตห้ นังมไี ขมนั มาก • ช่วงระหว่างแคมใหญ่ เรียกว่า ทอ่ ปัสสาวะและปากชอ่ งคลอด รอ่ งพเู ดนตลั (Pudendal Cleft)
การสรา้ งเสรมิ และดารงประสิทธิภาพการทางานของระบบสืบพันธุ ์ อาศยั ปัจจยั สาคญั 3 ประการ ดแู ลรกั ษาความ รจู ้ กั หลกี เลยี่ ง สงั เกตความผดิ ปกติ สะอาดรา่ งกายอย่าง อนั ตรายจากการ เกยี่ วกบั ลกั ษณะและ บอบชา้ อกั เสบ และ ถกู ตอ้ ง หนา้ ทขี่ องอวยั วะ ตดิ เชอื้ สบื พนั ธขุ ์ องตนเอง ตงั้ แตร่ ะยะแรก ๆ
การดูแลของเพศชาย 1 ควรทาความสะอาดอวยั วะเพศทกุ วนั ดว้ ยนา้ และสบแู่ ลว้ เชด็ ใหแ้ หง้ บรเิ วณคอหยกั และใตห้ นังหมุ้ ปลายอวยั วะเพศตอ้ งทาความสะอาดเป็ นพเิ ศษ 2 หลกี เลยี่ งการสาส่อนทางเพศ เพราะถุงยางอนามยั ไม่สามารถป้ องกนั โรคตดิ ต่อ ทางเพศสมั พนั ธไ์ ดร้ อ้ ยเปอรเ์ซน็ ต ์ 3 ทาความสะอาดอวยั วะเพศทกุ ครงั้ ภายหลงั มเี พศสมั พนั ธ ์
การดูแลของเพศชาย 4 ไม่ควรฉีดยาหรอื นาสงิ่ แปลกปลอมเขา้ ไปทอี่ วยั วะเพศ เพราะจะทาใหเ้ กดิ การตดิ เชอื ้ 5 ควรหลกี เลยี่ งการดมื่ เครอื่ งดมื่ แอลกอฮอลแ์ ละการใชส้ ารเสพตดิ เพราะจะ ทาใหข้ าดสตอิ าจนาไปสกู่ ารมเี พศสมั พนั ธโ์ ดยไม่ตง้ั ใจ 6 หากมคี วามผดิ ปกตกิ บั อวยั วะเพศใหร้ บี ปรกึ ษาแพทยโ์ ดยดว่ น
Search