Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore AnnualDHF__2015FINAL

AnnualDHF__2015FINAL

Published by sukanya111, 2018-03-29 11:54:44

Description: AnnualDHF__2015FINAL

Search

Read the Text Version

● อาเจียนมาก/ปวดท้องมาก ● กระหายน�้ำตลอดเวลา ● ซึม ไมด่ ่มื นำ้� ● มอี าการชอ็ ก หรอื impending shock คอื มอื เทา้ เยน็ , กระสบั กระสา่ ย รอ้ งกวนมากในเดก็ เลก็ , ตวั เยน็ เหงอ่ื ออก ตวั ลาย,ปัสสาวะน้อยลง หรือไม่ปสั สาวะ 4-6 ช่วั โมง, ความประพฤติเปลย่ี นแปลง เชน่ พูดไม่รเู้ รื่อง เพอ้ เอะอะโวยวายขอ้ ควรระวังในการรักษาผูป้ ว่ ยผ้ใู หญ่ 1. โรคประจ�ำตวั เร้อื รงั (underlying diseases) ตอ้ งค�ำนึงถึงโรคประจาตวั เรอ้ื รัง (underlying diseases) ซ่ึงจะพบในผูใ้ หญ่มากกวา่ ในเด็ก โดยเฉพาะโรค coronary heartdisease, peptic ulcer, hypertension, DM, cirrhosis, chronic kidney diseases เปน็ ต้น 2. การเพม่ิ ขน้ึ ของ liver transaminase ผู้ป่วยไข้เดงกี และไข้เลือดออกเดงกีในผู้ใหญ่ มักพบมีการเพิ่มขึ้นของ liver transaminase (พบได้มากกว่าร้อยละ 90) โดยมักมีการเพ่ิมขึ้นของค่า ALT มากกว่า AST แต่มักไม่พบว่าผู้ป่วยมีอาการตาเหลือง ค่า AST/ALT มักเพิ่มสูงขึ้นเกือบทุกรายใน 48 ช่วั โมงก่อนไข้จะลดลงและพบสูงสดุ ในชว่ ง 7-9 วนั หลังมีไขแ้ ละจะลดลงส่ปู กตใิ น 2-3 สัปดาห์ ผูป้ ่วยบางรายมีอาการรุนแรงและ มภี าวะตบั วายจนเปน็ สาเหตขุ องการเสยี ชวี ติ ได้ ดงั นน้ั แพทยค์ วรระมดั ระวงั การใหย้ าทม่ี ผี ลตอ่ ตบั แกโ่ ดยเฉพาะในผปู้ ว่ ยทม่ี คี า่ AST/ALT สงู เชน่ยาลดไข้ ยาแกอ้ าเจยี นบางชนดิ ยารกั ษาโรคกระเพาะ ผปู้ ว่ ยทมี่ อี าการปวดทอ้ งมาก และมปี ระวตั ปิ วดทอ้ งอยเู่ ปน็ ประจา/มปี ระวตั เิ ปน็โรคกระเพาะ อาจพิจารณาให้ยา alum milk , proton pump รับประทาน 3. ภาวะตาเหลือง (jaundice) ภาวะตาเหลอื งพบไดไ้ มบ่ อ่ ยแพทยจ์ าเปน็ ตอ้ งใหก้ ารวนิ จิ ฉยั แยกโรคจากการตดิ เชอ้ื อนื่ ๆ เสมอ เชน่ การตดิ เชอ้ื ในทางเดนิ นา้ ดีตบั อกั เสบไวรสั อาการแพย้ า ผปู้ ว่ ยทม่ี อี าการเหลอื งไดเ้ ลก็ นอ้ ยแบบ unconjugated hyperbilirubinemia อาจเกดิ จากภาวะ hemolysisจากโรคเลอื ด เชน่ thalassemia, hemoglobinopathy (เชน่ HbH disease) ในกรณที ผี่ ปู้ ว่ ยทม่ี ภี าวะ conjugated hyperbilirubinemiaต้องคดิ ถึงการมีภาวะแทรกซ้อน เชน่ การมภี าวะตบั วาย ตบั ออ่ นอักเสบ การมกี ารตดิ เชอื้ แบคทีเรียในทางเดนิ นา้ ดหี รอื ถุงน้าดอี กั เสบ(acalculus cholecystitis) และการมีการติดเชื้ออืน่ ๆ ร่วมกับการติดเช้ือไขเ้ ลือดออก (เชน่ การตดิ เชอื้ แบคทเี รยี มาลาเรีย) 4. การติดเชือ้ ชนิดอนื่ รว่ มด้วยในผู้ปว่ ยติดเชอ้ื ไวรสั เดงกี (dual infection) อาจพบการตดิ เชอื้ ชนิดอ่นื รว่ มดว้ ยในผ้ปู ว่ ยติดเชอื้ ไวรัสเดงกี (dual infection) มกั สงสัยในผู้ปว่ ยทม่ี อี าการผิดแผกออกไปเชน่ ไขน้ านมากกวา่ 10 วนั ทอ้ งเสยี ตาเหลอื ง อาการปวดทอ้ งนาน พบไขข้ น้ึ ใหมห่ ลงั จากไขล้ งแลว้ การตรวจพบเมด็ เลอื ดขาว มากกวา่10,000 ตัว/ลบ.มม. (>10x109/L) รว่ มกบั การมี neutrophilia, ตรวจพบ band form ของ neutrophil พบวา่ การตดิ เชือ้ ร่วมกนั น้ีอาจเป็นการติดเช้ือท่ีเกิดร่วมกันต้ังแต่ระยะแรก หรืออาจเป็นการติดเช้ือที่เกิดข้ึนภายหลังโดยเฉพาะการติดเชื้อในโรงพยาบาล (nosocomial infection) 5. ภาวะเลอื ดออกจากอวยั วะภายใน (internal hemorrhage) ต้องคิดถึงภาวะเลือดออกจากอวัยวะภายในโดยเฉพาะผู้ป่วยทม่ี ีคา่ Hct ลดลงรวดเร็ว พิจารณาเตรียมเลือด เกลด็ เลอื ดและพจิ ารณาให้โดยเรว็ ถ้าอาการไม่ดีขนึ้ หลังใหส้ ารนา้ ทางเสน้ เลือด (IV fluid) ไปในปริมาณที่มากพอสมควรแลว้ 6. ผปู้ ่วย DSS ผูใ้ หญม่ กั ไดร้ ับการวนิ จิ ฉัยผดิ พลาดเปน็ septic shock เนื่องจากผู้ป่วยจะมารบั การรักษาช้า มคี วามอดทนสูง เม่ือมาโรงพยาบาลจะมีอาการหนักมาก มภี าวะแทรกซ้อน มีตับวายโดยมีไตวายรว่ มด้วย เนอ่ื งจากมีภาวะช็อกนาน ดังนั้นการตรวจ labs. จะไมเ่ หมอื นผู้ป่วยไข้เลอื ดออกทัว่ ไป โดยมกั จะมไี ขส้ ูงหลังจากที่มีภาวะช็อกนาน มี leukocytosis, มี PMN เพ่ิมมากขึ้น และมี Hct ในระดับปกติ เนื่องจากร่างกายมีภาวะ stress จึงมี stress hormone เชน่ corticosteroid, adrenalin หลัง่ ออกมามาก จึงท�ำให้พบการเปลย่ี นแปลงของ WBC ดังกล่าว และมี concealedbleeding เพราะมีภาวะชอ็ กนาน จึงไม่พบ rising Hct การตรวจหา evidence of plasma leakage (pleural effusion or ascites)โดยการตรวจร่างกายหรือ radio-imaging ในระยะแรกจะยาก เช่น ตรวจ portable CXR หรือในท่านอน จะไม่สามารถเหน็ pleuraleffusion ไดอ้ ยา่ งชดั เจน ในกรณเี ชน่ นกี้ ารตรวจ portable ultrasound จะชว่ ยไดม้ าก ถา้ ไมส่ ามารถตรวจได้ การดู serum albumin จะชว่ ยไดม้ าก โดยถา้ ผปู้ ว่ ยทว่ั ไป ถา้ มี albumin < 3.5 กรมั % (หรอื < 4 กรมั %ในผปู้ ว่ ยอว้ น) ถอื เปน็ indirect evidence of plasma คู่มอื วชิ าการโรคติดเชอ้ื เดงกแี ละโรคไข้เลือดออกเดงกี 39 ด้านการแพทยแ์ ละสาธารณสุข

leakage ได้ซึ่งช่วยในการวนิ ิจฉัย DSS ได้ การตรวจ LFT อาจจะชว่ ยในการวนิ จิ ฉยั แยกโรคได้ โดยทผี่ ูป้ ว่ ย DSS จะมี ระดับ albuminต่�ำ และมี AST/ALT ข้ึนสูงผิดปกติอย่างรวดเร็ว ในขณะที่ผู้ป่วย septic shock จะมีค่า albumin ในระดับปกติ และ AST/ALT มักไม่สูงมาก การตรวจ ESR ท่ีได้ผลรวดเรว็ อาจจะชว่ ยแยก DSS จาก septic shock ไดโ้ ดยที่ DSS จะมคี ่า ESR ต�่ำมาก (0-5 ซม./ชม.) สว่ น septic shock จะมคี ่า ESR สงู มากกวา่ 30 มม./ชม. การวินิจฉยั แยกโรค DSS จาก septic shock ในระยะแรกส�ำคญั มากเพราะการดแู ลรักษาจะตา่ งกันมาก ปริมาณ IV fluid resuscitation ใน DSS จะน้อยมากเม่อื เทยี บกับ septic shock ทสี่ �ำคญั ทส่ี ดุ คือการให้เลือดในรายท่ีมี concealed internal bleedingสรปุ แนวการดแู ลรักษาผู้ปว่ ยติดเชื้อไวรสั เดงกีในผใู้ หญ่ 1. พบว่าผู้ป่วยผู้ใหญ่ส่วนใหญ่มักมาพบแพทย์ด้วยปัญหาเร่ืองไข้ซึ่งในกรณีที่แพทย์ไม่ได้คิดถึงโรคนี้โดยเฉพาะในระยะแรกๆ ของโรคอาจทาให้ให้การรกั ษาไมเ่ หมาะสมรว่ มท้ังการนาไปสกู่ ารเกิดภาวะแทรกซอ้ นได้ 2. แพทย์ผู้ดูแลควรเฝ้าระมัดระวังอาการแทรกซ้อนท่ีพบได้ในผู้ป่วยผู้ใหญ่ที่มีไข้เดงกีและไข้เลือดออก เช่น เลือดออกผิดปกติโดยเฉพาะในชว่ งทผ่ี ูป้ ว่ ยมีเกลด็ เลือดต่า ภาวะชอ็ กในผ้ปู ่วยไขเ้ ลอื ดออก (grade III และ IV) พบไดใ้ นผู้ใหญแ่ ละวัยรุ่น การปรับอตั ราการใหส้ ารนา้ (intravenous fluid) กอ็ าจปรับโดยอาศยั การติดตามอาการทางคลนิ กิ การติดตามค่า Hct การตรวจดปู ริมาณปัสสาวะและค่าความถ่วงจาเพาะของปสั สาวะของผู้ป่วย 3. ควรตรวจ liver transaminase ในผู้ป่วยผู้ใหญ่ท่ีติดเชื้อไวรัสเดงกี โดยเฉพาะผู้ป่วยที่สงสัยว่ามีตับอักเสบหรือมีประวัติ รบั ประทานยาลดไขพ้ าราเซตตามอลมากกวา่ 2 กรมั ตอ่ วนั ในกรณที คี่ า่ AST/ALT สงู แพทยค์ วรระมดั ระวงั ในการใชย้ าเพอื่ ลดไขแ้ ละยาตา่ งๆ แก่ผูป้ ว่ ยการจดั มมุ ผปู้ ว่ ยไข้เลือดออกเดงกที ่ีตกึ ผปู้ ว่ ยนอก ในชว่ งทมี่ กี ารระบาด ควรจดั ตง้ั Dengue Corner ส�ำหรบั ผปู้ ว่ ยทสี่ งสยั การตดิ เชอ้ื เดงกี หรอื ผปู้ ว่ ยทเ่ี ปน็ DF หรอื DHF ทบ่ี รเิ วณตกึ ผู้ป่วยนอก เพื่อการดูแลอย่างใกล้ชิดและให้ค�ำแนะน�ำแก่ผู้ปกครองเก่ียวกับโรคไข้เลือดออกเดงกี หน่วยน้ีอาจจะรับผู้ป่วยที่ยังวินิจฉัยไมไ่ ดแ้ นน่ อน โดยตดิ ตามดกู ารเปลย่ี นแปลงของอาการและการเปลยี่ นแปลงทางหอ้ งปฏบิ ตั กิ าร (CBC, WBC, Platelet, Hct) ซง่ึ จะชว่ ยลดจ�ำนวนการรบั ผ้ปู ว่ ยทไ่ี มใ่ ชไ่ ข้เลือดออกเดงกีหรือผู้ปว่ ยไขเ้ ลือดออกเดงกีท่ไี มร่ นุ แรงไดเ้ ปน็ อยา่ งดี ขอ้ บ่งชใ้ี นการรบั ผูป้ ่วยไวใ้ นโรงพยาบาล ● อ่อนเพลียมาก รับประทานอาหารและด่ืมน้ำ� ไมไ่ ด้ หรอื อาเจียนมาก ● เลอื ดออกมาก ● WBC ≤ 5,000 เซลล/์ ลบ.มม.+lymphocytosis + platelet ≤ 100,000 เซลล/์ ลบ.มม. และผูป้ ว่ ยมอี าการอ่อนเพลยีรบั ประทานอาหารไมค่ อ่ ยได้ อาเจยี นมาก (ผู้ปว่ ยบางรายที่มี WBC มากกวา่ 5,000 เซลล/์ ลบ.มม. และมี platelet สูงกวา่ 100,000เลก็ น้อย ควรไดร้ บั การพิจารณารบั ไวส้ ังเกตอาการเช่นกนั ) ● platelet < 100,000 เซลล์/ลบ.มม. และ/หรอื Hct เพมิ่ ขึ้นจากเดิม 10-20% ▪ คา่ เฉลยี่ Hct ของประชากรอายตุ ่างๆ - อายุ < 1 ปี = 30-35% - อายุ > 1-10 ปี = 35-40% - อายุ > 10 ปี = 38-42% - ผู้ใหญ่ ผู้หญงิ = 38-42% - ผ้ใู หญ่ ผู้ชาย = 42-48% ● ไข้ลงและอาการเลวลง หรืออาการไม่ดขี นึ้ มอี าการออ่ นเพลียมาก ● อาเจยี นมากหรอื ปวดท้องมาก ● มอี าการชอ็ กหรือ impending shock ▪ ไขล้ งและชพี จรเร็วผิดปกติ ▪ Capillary refill > 2 วนิ าที40 คู่มือวชิ าการโรคตดิ เชือ้ เดงกแี ละโรคไข้เลอื ดออกเดงกี ดา้ นการแพทย์และสาธารณสขุ

▪ ตัวเย็นชน้ื เหงอื่ ออก ตัวลาย กระสับกระส่าย ▪ Pulse pressure ≤ 20 mmHg. โดยไม่มี hypotension เช่น 100/80, 90/70 mmHg. ▪ Hypotension หรอื postural hypotension ▪ ปสั สาวะนอ้ ยลง หรือไมป่ ัสสาวะเป็นเวลานาน 4-6 ช่ัวโมง ● มีการเปลี่ยนแปลงของการรสู้ ติ เช่น ซมึ หรือเอะอะโวยวาย หรือพดู จาหยาบคาย (ตอ้ งนึกถงึ วา่ ผู้ปว่ ยนา่ จะมอี าการทางสมองร่วมด้วย) ● ผู้ปกครองกงั วลมาก หรือไม่สามารถติดตามดแู ลผู้ป่วยอย่างใกล้ชดิ ได้ หรอื บา้ นอย่ไู กลข้อบง่ ช้ใี นการรบั ผู้ป่วยไว้ในโรงพยาบาล ● ผู้ป่วยอายุน้อยกวา่ 1 ปี /ผปู้ ว่ ยสูงอาย/ุ ผูป้ ่วยท้อง ● ผ้ปู ่วยท่มี ภี าวะชอ็ กรนุ แรง ● ผู้ปว่ ยอว้ น ● ผู้ป่วยท่มี เี ลือดออกมาก ● ผปู้ ่วยทีม่ อี าการทางสมอง หรือมีอาการผิดปกติ ● ผ้ปู ่วยที่มโี รคประจ�ำตัว เชน่ G-6-PD deficiency, Thalassemia, โรคหัวใจ โรคไต เป็นต้น ● ผู้ป่วยทร่ี บั ส่งต่อการคดั กรองผู้ป่วยในขณะท่มี กี ารระบาดของโรคไข้เลือดออก ในขณะทมี่ กี ารระบาดของโรคไขเ้ ลอื ดออก จะมจี �ำนวนผปู้ ว่ ยทมี่ ไี ขม้ ารบั การตรวจรกั ษาทโ่ี รงพยาบาลจ�ำนวนมาก จนเกนิ จ�ำนวนแพทย์/พยาบาลท่ีมีอยู่ในภาวะปกติ ต้องมีการคัดกรองและแยกผู้ป่วยที่น่าจะมีอาการหนักให้แพทย์และพยาบาลที่มีความเช่ียวชาญ/ประสบการณม์ ากกว่าไดด้ ผู ้ปู ่วย โดยใชเ้ กณฑต์ อ่ ไปนี้ 1) ไข้ > 3 วนั 2) มี luekopenia และ/หรือ Thrombocytopenia คู่มือวชิ าการโรคตดิ เชอ้ื เดงกแี ละโรคไข้เลือดออกเดงกี 41 ดา้ นการแพทย์และสาธารณสุข

ภาพที่ 5.2 การตรวจตดิ ตามผ้ปู ่วยท่สี งสยั วา่ จะตดิ เช้อื ไวรสั เดงกที ่ตี ึกผ้ปู ่วยนอก42 คมู่ อื วชิ าการโรคตดิ เช้อื เดงกแี ละโรคไขเ้ ลอื ดออกเดงกี ดา้ นการแพทยแ์ ละสาธารณสุข

3) มี warning signs โดยผ้ปู ว่ ยกลมุ่ เสย่ี งตอ้ งได้รับการดูแลโดยผูท้ มี่ ีประสบการณ์เรว็ กวา่ ผู้ป่วยทไี่ มใ่ ชก่ ลุม่ เสีย่ งเอกสารอา้ งอิง1. ศิรเิ พ็ญ กัลยาณรจุ มกุ ดา หวังวรี วงศ์ วารณุ ี วชั รเสวี แนวทางการวินจิ ฉยั และรกั ษาโรคไขเ้ ลือดออกเดงกี ฉบบั เฉลมิ พระเกยี รติ 80 พรรษามหาราชนิ ี สถาบนั สขุ ภาพเดก็ แหง่ ชาตมิ หาราชนิ ี กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสขุ พิมพ์ครั้งที่ 2 พ.ศ. 25562. วารณุ ี วัชรเสวี รศนา วลีรัตนาภา รุ่งนภา ธนาสมบรู ณ์ และคณะ. แนวทางการพยาบาลผู้ปว่ ยไขเ้ ลือดออก ฉบับ 60 ปี โรงพยาบาลเดก็ สถาบนั สขุ ภาพ เดก็ แห่งชาติ กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสขุ : โรงพิมพช์ มุ นุมสหกรณ์การเกษตรแหง่ ประเทศไทย จ�ำกดั . 25573. WHO SEARO Comprehensive Guidelines for the Prevention and Control of Dengue and Dengue Hemorrhagic Fever. Revised and Expanded Edition, 20114. World health Organization. Dengue hemorrhagic fever: diagnosis, treatment, prevention and control. 2nd ed. Geneva: WHO, 1997.5. Dengue, guidelines for diagnosis, treatment, prevention and control. Geneva, Switzerland: World Health Organization, 2009. 6. World health Organization. Handbook for clinical management of dengue. Geneva: WHO, 20127. Tantawichien T. Dengue fever and dengue haemorrhagic fever in adolescents and adults. Paediatric Int Child Health 2012; 32(S1):22-7.8. Kalayanarooj S, Rimal HS, Andjaparidze A, et al. Clinical intervention and molecular characteristics of a dengue hemorrhagic fever outbreak in Timor Leste, 2005. Am J Trop Med Hyg 2007;77: 534-7.9. Kalayanarooj S. The Southeast Asia Regional Office (WHO) Guidelines for Clinical Management of Dengue Hemorrhagic Fever. In: Gubler DG, Ooi EE, Vasudevan S, Farrar J, eds. Dengue and Dengue Hemorrhagic Fever. Second Edition. CAB International 2014, UK.10. Kalayanarooj S, Vangveeravong M, Vatcharasaevee V, eds. Clinical Practices Guidelines of Dengue, Dengue Hemorrhagic fever for Asian Economic Community. Bangkok Medical Publisher 2014, Bangkok. คูม่ ือวิชาการโรคติดเช้ือเดงกแี ละโรคไข้เลอื ดออกเดงกี 43 ด้านการแพทย์และสาธารณสขุ

บทที่ 6 วัคซีนไขเ้ ลือดออก ศ.ดร. นพ.สธุ ี ยกสา้ น เชอ้ื ไวรัสเดงกีเปน็ RNA viruses, family Flaviviridae, genus Flavivirus แบง่ ได้เปน็ 4 serotypes จากการศึกษาเรียงล�ำดับสารพันธุกรรม พบวา่ มีความหลากหลายของสายพันธุต์ ่าง ๆของไวรัสเดงกมี าก ท�ำให้มีการจ�ำแนกเชื้อไวรัสแตล่ ะ serotypes ออกไปอีก 3-5 subtypes ความส�ำคญั ของโรคเดงกีเรม่ิ ในชว่ งสงครามโลกครงั้ ที่ 2 เม่อื พ.ศ. 2488 (ค.ศ. 1945) เมื่อมีการระบาดของโรค อยา่ งรนุ แรงในจงั หวดั นางาซากแิ ละพน้ื ทใ่ี กลเ้ คยี งในประเทศญปี่ นุ่ ปจั จบุ นั ไวรสั เดงกไี ดแ้ พรก่ ระจายในประเทศเขตรอ้ นและกง่ึ เขตรอ้ นทง้ั ในเอเชียตะวนั ออกเฉียงใต้ แปซฟิ ิกตะวนั ออก บางสว่ นของแอฟริกา อเมรกิ ากลางและอเมริกาใต้ โดยมยี ุง Aedes เปน็ พาหะส�ำคัญในการน�ำโรค ส�ำหรบั ประเทศไทย มีรายงานของโรคไขเ้ ดงกคี รั้งแรกในปี พ.ศ. 2492 (ค.ศ. 1949) บัดนเ้ี ปน็ เวลากวา่ 60 ปี แลว้ ที่โรคเดงกี ได้แพร่ในประเทศของเราท้ังแบบ endemic และ epidemic ท�ำให้มีผู้ป่วยรวมกันนับล้านคน และมีจ�ำนวนหน่ึงที่เสียชีวิตก่อนวัย อันสมควร ในระยะ 10 ปที ผี่ ่านมา ประเทศไทยมีผู้ป่วยราว 50,000-100,000 คน เปน็ ประจ�ำทกุ ปี การกระจายของโรคเคยพบอตั ราป่วยสูงสุดในเด็กอายุ 5-9 ปี ปจั จบุ ันอัตราปว่ ยสูงสดุ พบในเด็กอายสุ งู ขนึ้ และมผี ใู้ หญ่เปน็ โรคเดงกเี พมิ่ มากข้ึนเชน่ กันทกุ ๆ ปีจะพบมี ไวรสั เดงกีทง้ั 4 serotypes หมนุ เวียนอยูใ่ นธรรมชาตเิ ปน็ ประจ�ำ อัตราส่วนของแต่ละ serotype อาจแปรเปลย่ี นไปไดบ้ ้างในแตล่ ะปีท�ำให้สถานการณข์ องโรคมคี วามยืดเยอ้ื และเปน็ ภาระด้านเศรษฐกจิ (economic burden) ของประเทศเป็นอยา่ งมาก รายงานบทนี้เป็นการรวบรวมประสบการณ์ของทีมงานวิจัยของศูนย์วิจัยและพัฒนาวัคซีน มหาวิทยาลัยมหิดล ร่วมกับทีมงานวิจัยในเครือข่ายท้ังในประเทศและต่างประเทศ ในการพัฒนาวัคซีนเดงกีชนิดเช้ือเป็นอ่อนฤทธ์ิ ซ่ึงด�ำเนินการมาเป็นเวลากว่า 25 ปี ซงึ่ สามารถดูรายละเอยี ดจากบทความภาษาไทย (1-9) และบทความภาษาองั กฤษ (10-23) และงานตพี มิ พ์ทผ่ี า่ นมา (24-56) ประสบการณ์ท่ไี ด้รบั จากการท�ำวจิ ยั ท�ำใหม้ กี ารตงั้ เปา้ หมายในการพฒั นาวคั ซนี เดงกชี นดิ รวมเขม็ เดยี ว ในขณะเดยี วกนั กส็ ามารถสรา้ งสมดลุ ของภมู คิ มุ้ กนัต่อตา้ นไวรัสเดงกีได้ท้งั 4 ชนิดในผทู้ ไ่ี ดร้ ับวคั ซนีวคั ซนี ไขเ้ ลือดออกเดงกีเชื้อเปน็ แต่ออ่ นฤทธิเ์ พาะเลี้ยงในสมองหน ู ในระยะเร่มิ ตน้ มกี ารพัฒนาวัคซนี เดงกเี ช้ือเปน็ ชนดิ แรก โดยใชส้ มองหนเู ป็นฐาน กลา่ วคอื ในปี พ.ศ. 2488 (ค.ศ. 1945) Sabinและ Schlesinger (57) ท�ำการพัฒนาวัคซีน Dengue 1 (Hawaii strain) จากน้ันได้ท�ำการทดสอบความปลอดภัยและประสิทธิภาพภมู ิคุ้มกันในอาสาสมคั ร 36 คน ในจ�ำนวนน้มี ี 16 คน ทีไ่ ด้รับการท�ำ challenged study โดยฉดี ดว้ ย wild type Dengue 1 virus ให้แก่ผเู้ คยไดร้ ับวคั ซีน ตอ่ มาในปี พ.ศ. 2493 (ค.ศ. 1950) Schlesinger ท�ำการเพาะเล้ียงไวรสั เดงกีใน chick embryo (58) พบว่าหากให้วคั ซีนเดงกผี สมกับวัคซนี ไขเ้ หลือง (Yellow fever) จะมี interference phenomenon เกิดข้ึน ในปี พ.ศ. 2495 (ค.ศ. 1952) มีการพัฒนา Dengue 2 (New Guinea C strain) ในสมองหนู59-60 เมือ่ ฉีดเช้ือเขา้ ไปในสมองลิงเพ่ีอตรวจสอบความปลอดภัย พบว่าไวรัสท�ำให้มีพยาธิสภาพเกิดขึ้นในเนื้อสมองลิง ส่งผลให้ต้องยุติการพัฒนาวัคซีนเดงกีโดยใช้สมองหนไู ปในที่สุด44 คมู่ อื วิชาการโรคตดิ เชอื้ เดงกีและโรคไขเ้ ลอื ดออกเดงกี ด้านการแพทยแ์ ละสาธารณสขุ

วัคซีนไขเ้ ลือดออกเดงกีเช้อื เป็นแตอ่ ่อนฤทธ์พิ ฒั นาโดยใชเ้ ซลล์เพาะเลี้ยง ในปี พ.ศ. 2479 (ค.ศ. 1936) Lloyd, Theiler และ Nicci รายงานเชือ้ ไวรสั Yellow fever มคี ุณสมบตั คิ ลายความรุนแรงลงเมอื่ เพาะเลย้ี งไวรัสในเซลลเ์ พาะเลี้ยง (61) ตอ่ มาท�ำให้มกี ารคน้ พบ Yellow fever 17D vaccine ซึ่งเปน็ วคั ซนี ทีด่ แี ละมีความปลอดภยัมากในปี พ.ศ.2492 (ค.ศ. 1949) Enders, Weller และ Robbin คน้ พบเทคโนโลยกี ารเพาะเล้ยี งเซลล์เนื้อเยอื่ (62) สง่ ผลให้มีการค้นพบวคั ซนี ชนดิ เชอื้ เปน็ แตอ่ อ่ นฤทธอิ์ กี หลายชนดิ ในเวลาตอ่ มา รวมทงั้ การใชเ้ ซลลเ์ พาะเลยี้ งทค่ี วามปลอดภยั สงู กวา่ ในการพฒั นางานวคั ซนีแทนการใชส้ มองหนู ในปี พ.ศ. 2514 (ค.ศ. 1971) สถาบนั วจิ ยั วอลเตอรร์ ดี แหง่ กองทพั บกสหรฐั ฯ (US, Walter Reed Army Institute of Research)ท�ำการพัฒนาวคั ซีนเดงกที ัง้ 4 ชนดิ โดยท�ำให้เช้ือไวรสั เกิด mutation ด้วยสารเคมี ต่อจากนนั้ จงึ ท�ำการคดั เลือก clone ชนดิ smallplaque สถาบันดังกลา่ วใชเ้ วลารว่ ม 10 ปี คือ ปี พ.ศ. 2518-28 (ค.ศ. 1975-85) ในการพัฒนาวัคซีนเดงกีเช้อื เป็นโดยใชเ้ ทคนิคน ้ี รวมทง้ั ท�ำการทดสอบในคน (63-70) พบวา่ วคั ซนี เดงกี ชนดิ ที่ 1 และ 3 ยงั ออ่ นฤทธิ์ (attenuate) ไมพ่ อและสามารถกอ่ ใหเ้ กดิ โรคไขเ้ ดงกไี ด้วัคซนี เดงกี ชนิดที่ 2 มีความปลอดภัย แตส่ รา้ งภูมิคุม้ กันไดใ้ นระดับตำ�่ ๆ ส�ำหรับวัคซีนเดงกี ชนดิ ที่ 4 นัน้ เช้อื ไวรัสไมส่ ามารถกระตนุ้ภูมิค้มุ กนั ในคนได้ สถาบนั วจิ ัยวอลเตอร์รีดแหง่ กองทัพบกสหรฐั (US, Water Reed Army Institute of Research, WRAIR) จึงได ้ ขอ้ สรปุ และยุตกิ ารพฒั นาวัคซีนเดงกีเชือ้ เปน็ แต่ออ่ นฤทธโิ์ ดยวธิ ีนี้ไปในทีส่ ุดประวัติก่อนการพัฒนาวัคซีนไข้เลือดออกในประเทศไทย การพฒั นาวคั ซนี ไขเ้ ลอื ดออกโดยศาสตราจารย์ เกยี รตคิ ณุ ดร. นายแพทยณ์ ฐั ภมรประวตั หิ รอื อาจารยณ์ ฐั และทมี งานวจิ ยั ของไทยเรม่ิ เกดิ ขนึ้ จากความสนใจศกึ ษาทางพยาธวิ ทิ ยา (Pathology) ของโรคไขเ้ ลอื ดออกในคนของอาจารยณ์ ฐั และทมี งานของมหาวทิ ยาลยั มหดิ ลได้แก่ คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี คณะวิทยาศาสตร์และคณะเวชศาสตร์เขตร้อน น�ำไปสูก่ ารวิจัยและพฒั นาวัคซีนไขเ้ ลือดออก (DEN VAC) ซง่ึ สามารถศึกษารายละเอียดได้จากเหตกุ ารณส์ �ำคญั กอ่ นน�ำไปสกู่ ารพฒั นาวัคซีนไขเ้ ลอื ดออกในประเทศไทย(3-4)งานพฒั นาวคั ซีนไขเ้ ลือดออกเดงกเี ช้ือเปน็ แตอ่ ่อนฤทธิ์ ของศนู ยว์ จิ ัยและพฒั นาวคั ซนี มหาวทิ ยาลยั มหดิ ล จากการประชมุ Research Study Group ขององค์การอนามัยโลกทกี่ รงุ นิวเดลี ประเทศอนิ เดีย ใน ปี พ.ศ. 2520 (ค.ศ. 1977)ทป่ี ระชมุ ไดแ้ นะน�ำใหพ้ ฒั นาวคั ซนี เดงกขี น้ึ มาส�ำหรบั ใชย้ บั ยง้ั การแพรก่ ระจายและควบคมุ โรค ในการนม้ี หาวทิ ยาลยั ฮาวาย (ProfessorDr. Scott B. Halstead) รับผดิ ชอบในการพัฒนาวัคซีนเดงกีในระยะแรกเร่ิมโดยใช้ primary dog kidney (PDK) cells มกี ารฝึกอบรมบคุ ลากรและสง่ มอบไวรัสเดงกี PDK passage ท่ี 5-10 ให้แก่นักวจิ ยั ของมหาวิทยาลยั มหดิ ล ซึง่ มีศาสตราจารย์ เกยี รติคณุ ดร. นายแพทย์ณัฐ ภมรประวัติ เป็นผู้วิจัยหลัก เพ่ือท�ำการศึกษารายละเอียดเกี่ยวกับคุณสมบัติของเชื้อไวรัสรุ่นต่างๆ ใน PDK และคัดเลือก วัคซนี เดงกีชนดิ ตน้ แบบเพ่อื ใช้ในการทดสอบในคน (ดตู ารางท่ี 6.1)ตารางท่ี 6.1 รายละเอยี ดของเชอ้ื ไวรสั เดงกที ศ่ี นู ยว์ จิ ยั และพฒั นาวคั ซนี ไดร้ บั จากมหาวทิ ยาลยั ฮาวาย และ วคั ซนี เดงกตี วั เลอื กทหี นว่ ยงานพฒั นา ในเวลาตอ่ มาสายพันธ์ไุ วรสั เซลล์ทีใ่ ช้เพาะเลยี้ ง ไวรัสเดงกที ี่พัฒนา ไวรสั เดงกที ีพ่ ฒั นา ไวรัสเดงกที ่ี ในมหาวทิ ยาลัยฮาวาย ในศนู ย์วิจัยและพฒั นาวคั ซีน มหาวทิ ยาลยั มหิดลคดัDENV 1 (16007) PDK PDK 1-10 มหาวิทยาลัยมหิดล เลือกศกึ ษาในคนDENV 2 (16681) PDK PDK 1-10 PDK11-43 PDK13,20,30,43DENV 3 (16562) PGMK(1) PGMK 1-5 PDK11-60DENV 4 (1036) PDK PDK 1-10 PGMK 6-50 PDK 53 PDK11-60 PGMK 30 FRhL-3(2) PDK48(1) PGMK = Primary Green monkey kidney cells, (2) FRhL = Fetal Rhesus lung cells คู่มอื วิชาการโรคตดิ เชือ้ เดงกีและโรคไข้เลือดออกเดงกี 45 ด้านการแพทย์และสาธารณสขุ

ในชว่ งสมยั นนั้ พบวา่ PDK เปน็ เซลลท์ เ่ี หมาะส�ำหรบั การผลติ วคั ซนี หดั และหดั เยอรมนั ในประเทศสหรฐั อเมรกิ า โครงการนจ้ี งึ น�ำ PDK cells มาใช้ attenuateไวรสั เดงกี การท�ำ serial passage ใน PDK หรือ PGMK cells ขบวนการนก้ี อ่ ให้เกิดการเปลยี่ นแปลงของไวรสั ทเ่ี พาะเลย้ี งแตล่ ะรนุ่ แบบคอ่ ยเปน็ คอ่ ยไป โดย PDK cells จะคดั กรองเลอื กเฉพาะบาง subpopulation ของไวรสั เดงกเี ทา่ นนั้ให้เติบโตต่อไปได้ จากการตรวจล�ำดับสายพันธุกรรมของเช้ือเดงกีพบว่าหลังจากการเพาะเชื้ออย่างต่อเนื่องใน PDK cells มีการเปลยี่ นแปลงของไวรสั ทร่ี ะดบั พนั ธกุ รรมเกดิ ขนึ้ หลายจดุ รวมทง้ั แสดงการเปลย่ี นแปลงทางกายภาพใหเ้ หน็ ชดั เจน เชน่ การเปลย่ี นขนาดของ plaque การลดศักยภาพในการเจรญิ เติบโตในยงุ จาก 100% เหลอื เพยี ง 1% เปน็ ตน้ (24) เมอื่ มหาวทิ ยาลยั มหดิ ลคดั เลอื กไวรสั เดงกตี วั เลอื ก (candidate dengue virus) ทง้ั 4 serotypes ไดแ้ ลว้ คณะผวู้ จิ ยั ไดใ้ ชร้ ะบบการเตรยี มวัคซีนชนดิ Seed Lot system มกี ารท�ำ general safety tests และ monkey neurovirulence safety tests โดยศาสตราจารย์ เกยี รตคิ ณุ ดร. ศภุ กจิ องั ศภุ ากรและทมี งานวจิ ยั (26-28,33) มคี ณะกรรมการกลน่ั กรอง (Peer Review) ขององคก์ ารอนามยั โลก(WHO/SEARO) ประชมุ พจิ ารณาความกา้ วหนา้ ของงานวจิ ยั เปน็ ประจ�ำทกุ ปี รวม 12 ปี มหาวทิ ยาลยั มหดิ ลไดท้ �ำการตรวจสอบ safetyและ immunogenicity ของ candidate dengue vaccines ในอาสาสมัครผู้ใหญ่และอาสาสมัครเด็กจ�ำนวนหลายร้อยคน (ดูบญั ชีวคั ซนี ในตารางที่ 6.2)ตารางท่ี 6.2 บญั ชีวัคซนี เดงกีชนดิ เชอ้ื เป็นแตอ่ อ่ นฤทธิท์ ่มี หาวทิ ยาลัยมหิดลนำ�ไปทดสอบในอาสาสมคั รผใู้ หญ่ และเด็ก Dengue virus (DEN) passage ● Monovalent DENV 1 PDK 13, 20, 30 และ 43 ● Monovalent DENV 2 PDK 53I. ● Monovalent DENV 3 PGMK 30/FRhL-3 ● Monovalent DENV 4 PDK 48 ● Bivalent DENV 1 PDK 13 + DENV 2 PDK 53II. ● Bivalent DENV 1 PDK 13 + DENV 4 PDK 48III. ● Bivalent DENV 2 + 4 ● Trivalent DENV 1 PDK 13 + DENV 2 PDK 53 + DENV 4 PDK 48IV. ● Tetravalent DENV 1 PDK 13 + DENV 2 PDK 53 + DENV 3 PGMK30/F3 + DENV 4 PDK 48 สรปุ ผลของการทดสอบในอาสาสมคั รพบว่าวัคซนี DENV-1 PDK 13 มปี ระสิทธิภาพดี DENV-2 PDK 53 มปี ระสทิ ธภิ าพดมี ากDENV-3 PGMK30/FRhL-3 ยังมีความสามารถก่อโรคได้ จ�ำต้องปรบั ปรุงแก้ไข และ DENV-4 PDK 48 มีประสทิ ธิภาพดี 10 ท�ำให้ คณะผู้วิจยั ต้องปรบั ปรงุ แกไ้ ขวคั ซนี เดงกีชนดิ ที่ 3 ให้ส�ำเร็จกอ่ นน�ำมารวมกับวัคซีนเดงกชี นิดอ่ืนศกั ยภาพ ปัญหา และอปุ สรรค ของการพัฒนาวัคซีนไข้เลือดออกเดงกีเชื้อเป็นอ่อนฤทธ์ิ จากรายงานการพฒั นาวคั ซีนเดงกีทัง้ 4 serotypes ในประเทศไทย ซึง่ ผา่ นขบวนการพฒั นาไวรสั จนอ่อนฤทธิ์ มีการฉีดทดสอบในอาสาสมัครทั้งผู้ใหญ่และอาสาสมัครเด็ก (อายุ 5-12 ปี) พบว่าวัคซีนมีความปลอดภัยและสร้างภูมิคุ้มกันได้ดี 3 serotypes เม่ือ น�ำวัคซีนทั้ง 3 ชนิดมารวมฉีดในเข็มเดียวกันก็ยังมีความปลอดภัยและสามารถสร้างภูมิคุ้มกันในอาสาสมัครครบท้ัง 3 serotypes ที่ฉีดเข้าไปเช่นกัน หลกั การนเี้ ปน็ การค้นพบและรายงานให้เหน็ เป็นครงั้ แรกของโลกว่ามีความเปน็ ไปได้ที่จะฉีดวัคซนี เดงกรี วมกันได้อย่างนอ้ ย 3 ชนดิ ในเข็มเดยี ว (29) ขณะนที้ มี งานวจิ ยั ของมหาวทิ ยาลยั มหดิ ลสามารถพฒั นาไวรสั เดงกี serotype 3 ใหอ้ อ่ นฤทธเ์ิ ชน่ เดยี วกบั ไวรสั เดงกี serotype อน่ื ๆเป็นผลส�ำเรจ็ แลว้ จากการติดตามอาสาสมัครท่ีได้รบั วคั ซีนเดงกขี องมหาวทิ ยาลยั มหดิ ลชุดแรกๆ ทัง้ 4 ชนิด จ�ำนวน 150 คน เปน็ ระยะเวลานาน 8-10 ปี กพ็ บว่าอาสาสมคั รทุกคนมคี วามปลอดภัย 54 ไมม่ ีผู้ได้รับวัคซนี รายใดป่วยเป็นโรคไข้เลอื ดออกเลย ท�ำใหไ้ ด้ขอ้ สรุปเบ้ืองตน้ วา่ ภูมคิ มุ้ กนั ที่เกดิ ขน้ึ จากการใช้วัคซนี เชอื้ เป็นแตอ่ อ่ นฤทธ์ิจะอยใู่ นร่างกายไดน้ าน และอาจป้องกนั โรคไข้เลือดออกได้46 คู่มือวชิ าการโรคติดเชื้อเดงกีและโรคไขเ้ ลอื ดออกเดงกี ดา้ นการแพทย์และสาธารณสุข

เมื่อพิจารณาโดยภาพรวม ประเทศไทยมีศักยภาพในการคิดค้นนวัตกรรมวัคซีนเดงกี มีการร่วมงานอย่างใกล้ชิดระหว่างหน่วยงานของมหาวิทยาลัยและหน่วยงานของกระทรวงสาธารณสุข ในการทดสอบวัคซีนภาคสนามระยะที่ 1 และ 2 องค์ความรู้ที่เกิดขึ้น ในการพัฒนาวคั ซนี เดงกที ี่ผ่านมา สามารถน�ำมาใชใ้ นการปรบั ปรุงพฒั นาวคั ซนี รนุ่ ต่อๆ มาให้มีประสิทธิภาพดีขึน้ สง่ ผลใหท้ ีมงานวจิ ยัของประเทศไทยมศี กั ยภาพในการพฒั นาวคั ซนี เดงกตี วั เลอื กทง้ั 4 serotype ใหส้ �ำเรจ็ ภายในระยะเวลาอนั สนั้ เชอ่ื วา่ วคั ซนี เดงกอี อ่ นฤทธ์ิท่ีใช้หลักการนี้ก่อให้เกิดภูมิคุ้มกันต่อต้านเช้ือไวรัสเดงกีหลากหลายสายพันธุกรรมมากกว่าวัคซีนเดงกีท่ีพัฒนาโดยวิธีอื่น เพราะม ี neutralizing antibody ท่ีจ�ำเพาะต่อไวรัสเดงกีครบท้ัง 4 ชนิด รวมทั้งภูมิคุ้มกันชนิดย่อยอื่นๆ ท่ีเกิดจากส่วนอ่ืนๆ ของไวรัสเดงก ี (นอกเหนอื จากสว่ น envelop) ตามความยาวเตม็ เส้นพันธกุ รรมของเชอื้ ไวรสั เดงกี อย่างไรกต็ าม ประเทศไทยยังมปี ญั หาและอปุ สรรคในการพฒั นาวคั ซนี ให้ครบวงจรอกี มาก เชน่ เรายังไมม่ โี รงงานวคั ซีนตน้ แบบมาตรฐาน GMP เป็นต้น ส่ิงต่างๆ เหล่าน้ียังคงเป็นปัญหาและอุปสรรคท�ำให้ศักยภาพด้านวัคซีนของไทยไม่ก้าวไปข้างหน้าตรงตาม เปา้ หมายท่ีวางไว้เอกสารอ้างองิ1. สธุ ี ยกสา้ น วัคซนี ไข้เลอื ดออก ใน : สวี กิ า แสงธาราทพิ ย์ ทพิ วัลย์ บญุ มา บรรณาธิการ โรคไข้เลือดออก ฉบบั ประเกียรณก พิมพ์ครัง้ ที่ 2 กรงุ เทพฯ โรงพิมพ์ ชมุ นุมสหกรณ์การเกษตรแห่งประเทศไทย 2545; 21-9.2. ณฐั ภมรประวัติ อรุณี ทรัพย์เจริญ สุธี ยกสา้ น Live attenuated tetravalent dengue vaccine แพทยสภาสาร 2546; 32 : 69-73.3. สธุ ี ยกส้าน งานพฒั นาวคั ซีนไขเ้ ลอื ดออกในประเทศไทย (live – attenuated tetravalent dengue vaccine development in Thailand) ใน : พรรณพิศ สุวรรณกลุ ธรี ะพงษ์ ตัณฑวิเชยี ร ชษุ ณา สวนกระต่าย บรรณาธกิ าร การฉดี วัคซีนปอ้ งกันโรค ในประเทศไทย : ปัจจบุ ันสูอ่ นาคต กรุงเทพฯ บี.บ.ี การพิมพ์ 2547; 309-18.4. สธุ ี ยกสา้ น ศกั ยภาพงานวคั ซนี ในประเทศไทยและงานพฒั นาวคั ซนี ไขเ้ ลอื ดออกทเี่ กดิ จากเชอื้ ไวรสั เดงกขี องมหาวทิ ยาลยั มหดิ ล ใน : อารยิ า สนิ ธจุ รยิ วตั ร บุนนาค บรรณาธิการ หนงั สอื อนสุ รณ์แหง่ ชีวิต กรงุ เทพฯ ดา่ นสุธาการพิมพ์ 2547; 240-7.5. อรุณี ทรัพย์เจริญ การทดสอบวคั ซีนป้องกนั โรคไข้เลอื ดออกทพี่ ฒั นาโดยมหาวทิ ยาลัยมหิดล ใน : อารยิ า สนิ ธุจริยวตั ร บุนนาค บรรณาธิการ หนงั สอื อนุสรณแ์ หง่ ชวี ิต กรงุ เทพฯ ด่านสุธาการพมิ พ์ 2547; 248-52.6. อรุณี ทรพั ยเ์ จรญิ วัคซีนปอ้ งกนั โรคตดิ เชอื้ ไวรัสเดงกี ใน : วรศกั ดิ์ โชติเลอศักดิ์ จฑุ ารัตน์ เมฆมลั ลิกา ชษิ ณุ พันธเ์ จรญิ ทวี โชติพทิ ยสนุ นท์ อุษา ทศิ ยา กร กรุงเทพฯ บริษทั ธนาเพลส จ�ำกัด 2548; 229-37.7. ประเสริฐ เออื้ วรากลุ อรณุ ี ทรัพย์เจรญิ สธุ ี ยกส้าน วัคซีนเดงกี ใน : ศขุ ธิดา อุบล จันทพงษ์ วะสี บรรณาธกิ าร ไข้เลอื ดออกเดงกี กรุงเทพฯ ส�ำนักพมิ พ์ หมอชาวบา้ น 2549; 231-47.8. สธุ ี ยกส้าน การพัฒนาวคั ซนี เดงกีชนิดเชอื้ เปน็ อ่อนฤทธ์ขิ องประเทศไทย : ความกา้ วหนา้ ปญั หา โอกาส วารสารโรคติดตอ่ โดยแมลง 2553; 6 : 1-6.9. จรุง เมอื งชนะ การน�ำวคั ซนี ไขเ้ ลอื ดออกมาบรรจใุ นโครงการสรา้ งเสรมิ ภูมคิ ุ้มกันโรคในประเทศไทย วารสารโรคตดิ ตอ่ โดยแมลง 2553; 6 : 35-48.10. Yoksan S. WHO’s efforts for the development of a dengue vaccine. Dengue Bull 2008; 32 : 1-16.11. Russell PK. New and improved vaccine against yellow fever, Japanese encephalitis and dengue In : Woodrow GC, Levine MM. New generation vaccines. New York, Marcel Dekker, Inc 1990; 459-66.12. Kanesa-thasan N, Putnak R, Hoke Jr CH. New and improved vaccines for dengue, Japanese encephalitis and yellow fever viruses. In : Levine MM, Woodrow GC, Kaper JB, Cobon GS. eds. New generation vaccines. 2nd ed. revised and expanded. New York, Marcel Dekker, Inc. 1997; 587-606.13. Pervikov Y. Development of dengue vaccine. Dengue Bull 2000; 24 : 71-6.14. Halstead SB. Global perspectives on dengue research Dengue Bull. 2000; 24 : 77-82.15. Kinney RM, Huang CY-H. Development of new vaccines against dengue fever and Japanese encephalitis. Intervirol 2001; 44 : 176-97.16. Swaminathan S, Khanna N. Viral vaccines for dengue : The present and future. Dengue Bull 2003; 27 : 181-91.17. Thomas SJ. Dengue and dengue vaccine development :Update 2003 ใน : พรรณพศิ สุวรรณกลู ธรี ะพงษ์ ตัณฑวิเชยี ร ชษุ ณา สวนกระต่าย บรรณาธิการ การฉดี วคั ซนี ปอ้ งกันโรคในประเทศไทย : ปจั จุบันสู่อนาคต กรุงเทพฯ บ.ี บี. การพมิ พ์ 2547; 171-94.18. Edelman R. Dengue and dengue vaccines. J Infect Dis 2005; 191 : 650-3. คู่มอื วชิ าการโรคตดิ เชือ้ เดงกแี ละโรคไข้เลือดออกเดงกี 47 ดา้ นการแพทยแ์ ละสาธารณสุข

19. Plianbangchang S. Role of WHO in South-East Asia in dengue prevention and control including dengue vaccine development. ใน : ศขุ ธดิ า อบุ ล จนั ทพงษ์ วะสี บรรณาธกิ าร ไขเ้ ลอื ดออกเดงกี กรงุ เทพฯ ส�ำนกั พมิ พห์ มอชาวบา้ น 2549; 248-64.20. Halstead SB, Vaughn DW. Dengue vaccines. In : Plotkins S. Orenstein W, Offit P. eds. Vaccines. 5th ed. Phidadelphia, Sauders Elsevier. 2008; 1155-61.21. Nossal GJV. Dengue vaccines In : Paul WE. ed. Fundamental immunology 6th ed. Philadelphia, Lippincott Willams & Wilkins 2008; 1276-7.22. Vaughn DW, Scherer JM, Sun W. Resistance to infection. In : Halstead SB. ed. Dengue. London Imperial College Press 2008; 123-69.23. Vaughn DW, Whitehead SS, Durbin AP. Dengue. In : Barrett ADT, Stanberry LR. eds. Vaccines for biodefense and emerging and neglected diseases. Amsterdam, Elsevier 2009; 287-324.24. Yoksan S, Bhamarapravati N, Halstead SB. Dengue virus vaccine development : study on biological markers of uncloned dengue 1-4 viruses serially passaged in primary kidney cell. In : George TD. ed. Proceedings of the Fourth Symposium of Arbovirus Re- search in Australia. Brisbane, Australia 1986; 35-7.25. Bhamarapravati N, Yoksan S, Chayaniyayothin T, Angsubhakorn S, Bunyaratvej. Immunization with a live attenuated dengue-2 virus candidate vaccine (16681-PDK53) : clinical immunological and biological responses in adult volunteers. Bull WHO 1987; 65 : 189-95.26. Angsubhakorn S, Moe JB, Marchette NJ, Latendresse JR, Palumbo NE, Yoksan S, Bhamarapravati N. Neurovirulence detection of dengue virus using rhesus and cynomolgus monkey. Journal of Virological Methods 1987; 18:13-24.27. Angsubhakorn S, Moe JB, Marchette NJ, Palumbo NE, Yoksan S, Bhamarapravati N. Neurovirulence effect dengue-2 virus on the rhesus (Macaca mulatta) brain and spinal cord. Southeast Asian J Trop Med Pub Hlth 1987; 18:52-5.28. Angsubhakorn S, Yoksan S, Bhamarapravati N, Moe JB, Marchette NJ, Pradermwong A, Sahaphong S. Dengue-4 vaccine: neuro- virulence, viraemia and immune responses in rhesus and cynomolgus monkeys. Trans Roy Soc Trop Med Hyg 1988; 82:746-9.29. Bhamarapravati N, Yoksan S. Study of bivalent dengue vaccine in volunteers. Lancet 1989; May 13: 1077.30. Yoksan S, Bhamarapravati N. Evaluation of biological markers for live attenuated dengue vaccines. Southeast Asian J Trop Med Pub Hlth 1990; 21 : 708-9.31. Bhamarapravati N, Yoksan S. The clinical trial of trivalent dengue vaccine. Southeast Asian J Trop Med Pub Hlth 1990; 21 : 709.32. Blok J, McWilliam SM, Butler HC, Gibbs AJ, Weiller G, Herring BL, Hemsley AC, Aaskov JG, Yoksan S, Bhamarapravati N. Compar- ison of a dengue-2 virus and its candidate vaccine derivative: sequence relationships with the flaviviruses and other viruses. Virol 1992; 187:573-90.33. Angusbhakorn S, Yoksan S, Pradermowng A, Nitatpattana N, Sahaphong S, Bhamarapravati N. Dengue-3 (16562) PGMK33 Vaccine: Neurovirulence, viremia and immune responses in Macaca fascicularis. Southeast Asian J Trop Med Pub Hlth 1994; 25:554-9.34. Dharakul T, Kurane I, Bhamarapravati N, Yoksan S, Vaughn V, Hoke CH, Ennis FA. Dengue virus-specific memory T cell responses in human volunteers receiving a live attenuated dengue virus type 2 candidate vaccine. J Infect Dis 1994; 170:23-7.35. Khin MM, Jirakanjanakit N, Yoksan S, Bhamarapravati N. Infection, dissemination, transmission and biological attributes of den- gue-2 PDK53 candidate vaccine virus after oral infection in Aedes aegypti. Am J Trop Med Hyg 1994; 51:864-9.36. Vaughn DW, Hoke CH, Yoksan S, La Chance R, Innis BL, Rice R, Bhamarapravati N. Testing of a dengue-2 live attenuated vaccine (strain 16681 PDK-53) in ten American volunteers. Vaccine. 1996; 14:329-36.37. Taweechaisupapong S, Sriurairatana S, Angsubhakorn S, Yoksan S, Bhamarapravati N. In vivo and in vitro studies on the morpho- logical change in the monkey epidermal Langerhans cells following exposure to dengue-2 (16681) virus. Southeast Asian J Trop Med Pub Hlth 1996; 27:664-72.38. Taweechaisupapong S, Sriurairatana S, Angsubhakorn S, Yoksan S, Khin MM, Sahaphong S, Bhamarapravati N. Langerhans cell density and serological changes following intradermal immunisation of mice with dengue-2 virus. J Med Microbiol 1996; 45:138-45.39. Bhoopat L,Bhamarapravati N, Attasiri C, Yoksan S, Chaiwan B, Khunamornpong S, Sirisanthana V. Immunohistochemical charac- terization of a new monoclonal antibody reactive with dengue virus-infected cell in frozen tissue using immunoperoxidase technique. Asian Pacific J Allerg Immunol 1996; 14:107-13.40. Jirakanjanakit N, Sanohsomneing T, Yoksan S, Bhamarapravati N. The micro-focus reduction neutralization test for determining dengue and Japanese encephalitis neutralizing antibodies in volunteers vaccinated against dengue. Trans Roy Soc Trop Med Hyg 1997; 91:614-7.41. Bunyaratvej A, Butthep P, Yoksan S, Bhamarapravati N. Dengue viruses induce cell proliferation and morphological changes of endothelial cells. Southeast Asian J Trop Med Hlth 1997; 28(sup): 32-7.48 ค่มู ือวชิ าการโรคตดิ เชอ้ื เดงกีและโรคไข้เลอื ดออกเดงกี ดา้ นการแพทยแ์ ละสาธารณสุข

42. Bhamarapravati N, Yoksan S. Live attenuated tetravalent dengue vaccine. In : Gubler DJ, Kuno G. eds. Dengue and dengue hemorrhagic fever. Wallingford. CAB International 1997; 367-77.43. Jirakanjanakit N, Khin MM, Yoksan S, Bhamarapravati N. The use of Toxorhynchites splendens for identification and quantitation of serotypes contained in the tetravalent live attenuated dengue vaccine. Vaccine 1999; 17: 6,597-601.44. Jirakanjanakit N, Khin MM, Yoksan S, Bhamarapravati N. Dynamics of susceptibility and transmissibility of the live attenuated candidate vaccines, dengue-1 PDK13, dengue-3 PGMK30F3, and dengue-4 PDK48 after oral infection in Aedes aegypti. Am J Trop Med Hyg 1999; 61:672-676.45. Bhamarapravati N, Yoksan S. Live attenuated tetravalent dengue vaccine. Vaccine 2000; 18:44-7.46. Rabablert J, Dharakul T, Yoksan S, Bhamarapravati N. Dengue virus specific T cell responses to live attenuated monovalent dengue-2 and tetravalent dengue vaccines. Asian Pacific J Allergy and Immunol 2000; 18:227-35.47. Sabchareon A, Lang J, Chanthavanich P, Yoksan S, Forrat R, Attanath P, Sirivichayakul C, Pengsaa K, Pojjaroen-Anant C, Choke- jindachal W, Jagsudee A, Saluzzo JF, Bhamarapravati N. Safety and Immunogenicity of tetravalent live-attenuated dengue vaccines in Thai adult volunteers: Role of serotype concentration, ratio, and multiple doses. Am J Trop Med Hyg 2002; 66:264-272.48. Monath TP, McCarthy K, Bedford P, Johnson DO, Nichols R, Yoksan S, Marchesani R, Knauber M, Wells K, Arroyo J, Guirakhoo F. Clinical proof of principle for ChimeriVaxTM recombinant live, attenuated vaccines against flavivirus infections. Vaccine 2002; 20:1004-18.49. Bhamarapravati N, Sabchareon A, Yoksan S. Live attenuated, tetravalent dengue vaccine. Bull Thai Med Council 2003; (แพทยสภา สาร) 2546; 32:69-73.50. Monath TP, Guirakhoo F, Nichols R, Yoksan S, Schrader R, Murphy C, Blum P, Woodward S, McCarthy K, Mathis D, Johnson C, Bedford P. Chimeric live, attenuated vaccine against Japanese encephalitis (ChimeriVax-JE): Phase 2 clinical trials for safety and immunogenicity, effect of vaccine dose and schedule, and memory response to challenge with inactivated Japanese enceph- alitis antigen. J Infec Dis 2003; 188: 1213-30.51. Sabchareon A, Lang J, Chanthavanich P, Yoksan S, Forrat R, Attanath P, Sirivichayakul C, Pengsaa K, Pojjaroen-Anantc, Chambon- neau L, Saluzzo JF, Bhamarapravati N. Safety and immunogenicity after a three dose regimen of two tetravalent live-attenuat- ed dengue vaccines in five to twelve year – old year old Thai children. Pediat Infect Dis J 2004; 23:99-109.52. Guy B, Chanthavanich P, Gimenez S, Sirivichayakul C, Sabchareon A, Begue S, Yoksan S, Luxemburger C, Lang J. Evaluation by flow cytometry of antibody-dependent enhancement (ADE) of dengue infection by sera from Thai children immunized with a live-attenuated tetravalent dengue vaccine. Vaccine 2004; 22:3563-74.53. Kitchener S, Nissen M, Nasveld P, Forrat R, Yoksan S, Lang J, Saluzzo J-F. Immunogenicity and safety of two live-attenuated tetravalent dengue vaccine formulations in healthy Australian adults. Vaccine 2006; 24 : 1238-41.54. Chanthavanich P, Luxemburger C, Sirivichayakul D, Lapphra K, Pengsaa K, Yoksan S, Subchareon A, Lang J. Immune responses and occurrence of dengue infection in Thai children three to eight years after vaccination with live attenuated tetravalent dengue vaccine. Am J Trop Med Hyg 2006; 75 : 26-8.55. Rabablert J, Yoksan S. Attenuated D2 16681-PDK53 vaccine : defining humoral and cell mediated immunity. Current Phamar- ceutical Design 2009; 15 : 1203-11.56. Morrison D, Legg TJ, Billings CW, Forrat R, Yoksan S, Lang J. A Novel tetravalent dengue vaccine is well tolerated and immunogenic against all 4 serotypes in flavivirus-naive adults. J infect Dis 2010; 201 : 370-7.57. Sabin AB, Schlesinger RW. Production of immunity to dengue with virus modified by propagation in mice. Science 1945; 101: 640-2.58. Schlesinger RW. Propagation in chick embryos of the Hawaiian strain of dengue virus. I. Sustained serial passage in eggs after one hundred and one intracerebral passages in mice. Am J Hyg 1950; 51: 248-54.59. Schlesinger RW, Frankel JW. Adaptation of the “New Guinea B” strain of dengue virus to suckling and to adult Swiss mice. Am J Trop Med 1952; 1: 66-77.60. Meiklejohn G, England B, Lennette EH. Propagation of dengue virus strains in unweaned mice. Am J Trop Med 1952; 1: 51-8.61. Lloyd W, Theiler M, Nicci NI, Modification of virulence of yellow fever virus by cultivation in tissues in vitro. Trans Roy Soc Trop Med Hyg 1936; 29: 481-529.62. Enders JF, Weller TH, Robbin FC. Cultivation of the Lansing strain of poliomyelitis virus in cultures of various human embryonic tissues. Science 1949; 109: 85-7.63. Eckels KH, Brandt WE, Harrison VR, McCown JM, Russell PK. Isolation of a temperature sensitive dengue-2 virus under conditions suitable for vaccine development. Infect Immun 1976; 14: 1221-7. คูม่ ือวชิ าการโรคตดิ เช้ือเดงกีและโรคไขเ้ ลือดออกเดงกี 49 ด้านการแพทย์และสาธารณสุข

64. Eckels KH, Harrison VR, Summers PL, Russell PK. Dengue-2 vaccine : preparation from a small plaque virus clone. Infect Immun 1980; 27: 175-80.65. Bancroft WH, Top FH Jr, Eckels KH, Anderson JH, McCown JM, Russell PK. Dengue-2 vaccine : virological, immunological and clinical response of six yellow fever-immune recipients. Infect Immun 1981; 31: 698-703.66. Scott RM, Eckels KH, Bancroft WH, Summers PL, McCown JM, Anderson JH, Russell PK. Dengue-2 vaccine : dose response in volunteers in relation to yellow fever immune status. J Infect Dis 1983; 148: 1055-60.67. Bancroft WH, Scott RM, Eckels KH, Hoke CH, Simms TE, Jesrani KD, Summers PL, Dubois DR, Tsoulos D, Russell PK. Dengue-2 vaccine : reactogenicity and immunogenicity in soldiers. J Infect Dis 1984; 149: 1005-10.68. Eckels KH, Scott RM, Bancroft WH, Brown J, Dubois DR, Summers PL, Russell PK, Halstead SB. Selection of attenuated dengue 4 viruses by serial passage in primary kidney cells V. Human response to immunization with a candidate vaccine prepared in fetal rhesus lung cells. Am J Trop Med Hyg 1984; 33: 684-9.69. McKee KT Jr, Bancroft WH, Eckels KH, Redfield RR, Summers PL, Russell PK. Lack of attenuation of a candidate dengue-1 vaccine (45AZ5) in human volunteers. Am J Trop Med Hyg 1987; 36: 435-42.70. Innis BL, Eckels KH, Kraiselburd E, Dubois DR, Meadors GF, Gubler DJ, Burke DS, Bancroft WH. Virulence of a live dengue virus vaccine candidate : a possible new marker of dengue virus attenuation. J Infect Dis 1988; 158: 876-80.50 ค่มู ือวิชาการโรคตดิ เชอ้ื เดงกแี ละโรคไขเ้ ลอื ดออกเดงกี ด้านการแพทยแ์ ละสาธารณสขุ

บทที่ 7 ยงุ ลายพาหะนำ�โรคไข้เลอื ดออกศ.ดร. ธรี ภาพ เจรญิ วริ ิยภาพรศ.ดร. ชำ�นาญ อภิวฒั นศรดร. คณจั ฉรยี ์ ธานิสพงศ์ยุงลายพาหะน�ำโรคไขเ้ ลอื ดออก ยุงลายเป็นแมลงจ�ำพวกหน่ึง ในประเทศไทยมียุงลายมากกว่า 100 ชนิด แต่ที่เป็นพาหะน�ำโรคไข้เลือดออกมีอยู่ 2 ชนิด คือ ยงุ ลายบ้าน (Aedes aegypti) และยงุ ลายสวน (Aedes albopictus) โดยยุงลายบ้านจะเปน็ พาหะหลักในการน�ำโรคไขเ้ ลือดออกและยงุ ลายสวนเปน็ พาหะรอง ยงุ ลายมลี กั ษณะการเจรญิ เตบิ โตแบบสมบรู ณ์ (complete metamorphosis) (รปู ท่ี 7.1) ทม่ี รี ะยะการเจรญิเตบิ โต 4 ระยะ คอื ระยะไข่ ระยะลกู นำ�้ ระยะดกั แด้ และตวั เตม็ วยั ซงึ่ ในแตล่ ะระยะการเจรญิ เตบิ โตจะมรี ปู รา่ งและลกั ษณะทแี่ ตกตา่ งกนั ภาพที่ 7.1 วงจรชีวติ ของยงุ ลายบ้าน ทีม่ า : สำ�นักโรคตดิ ตอ่ น�ำ โดยแมลงระยะไข่ ลักษณะของไข่ยุงลายบ้านและยุงลายสวน คล้ายกันมากจนไม่สามารถแยกชนิดได้ คือมีลักษณะคล้ายกับซิการ์ ด้านยาววัดได้ประมาณ 609 ไมครอน ด้านกว้างประมาณ 192 ไมครอน (19) ส่วนปลายด้านหนา้ ของไข่ค่อนข้างกลมมนและเรียวยาวมาทางด้านท้ายไขท่ ว่ี างใหม่ๆจะมีสีขาว เปลอื กนม่ิ สีจะเขม้ ข้ึนในเวลาต่อมาและเปลอื กไข่จะแข็งข้ึนภายใน 24 ชัว่ โมง โดยทัว่ ไปไขข่ องยุงลายยงั เจรญิเตบิ โตไมส่ มบรู ณเ์ ตม็ ทต่ี อ้ งใชเ้ วลาสกั ระยะ กอ่ นทย่ี งุ เพศเมยี จะวางไขก่ จ็ ะปลอ่ ยสเปริ ม์ ทเี่ กบ็ ไวใ้ นถงุ เกบ็ สเปริ ม์ เขา้ ไปตามทอ่ น�ำไขแ่ ละ คมู่ อื วชิ าการโรคตดิ เชอื้ เดงกีและโรคไขเ้ ลือดออกเดงกี 51 ด้านการแพทย์และสาธารณสุข

เขา้ ไปภายในไขท่ ีไ่ ด้รับการพัฒนาการเจรญิ การเติบโต ขณะที่วางไขล่ งในแหลง่ เพาะพนั ธ์กุ จ็ ะเกดิ ขบวนการแบง่ เซลล์ (karyogeny) ข้ึนและเร่มิ ขบวนการพฒั นาการเจรญิ ไปเปน็ ตวั อ่อนที่สมบรู ณ์ ซงึ่ การเปลย่ี นแปลงสภาพของตวั ออ่ นภายในไขจ่ ะเกดิ ข้ึนระหวา่ งการผสมที่อยภู่ ายในไขจ่ นถงึ ระยะการฟกั เปน็ ตวั ออ่ น ดงั นนั้ ยงุ ลายจงึ วางไขเ่ ปน็ แนวเหนอื ระดบั นำ้� เลก็ นอ้ ย โดยประมาณ 1 เซนตเิ มตร เพอ่ื ใหไ้ ข่ที่อยูใ่ นระยะที่มีการพัฒนาความสมบรู ณ์ไดร้ ับความชน้ื จนกระท่งั ไข่คอ่ ยๆ แห้ง ซึ่งไข่ทีแ่ หง้ และภายในมตี วั อ่อนทีไ่ ด้รับการพฒั นาอยา่ งสมบรณู เ์ ตม็ ทจี่ งึ พรอ้ มทจ่ี ะฟกั ไดท้ นั ทเี มอ่ื มนี ำ�้ ทว่ มถงึ ลกั ษณะการวางไขข่ องยงุ ลายจะวางไขฟ่ องเดย่ี วๆ อยรู่ วมกนั เปน็ กลมุ่ ยงุ เพศเมยีวางไขค่ รง้ั ละประมาณ 100 ฟอง ยงุ ลายจะวางไขม่ ากนอ้ ยเปน็ จงั หวะใน 24 ชวั่ โมง โดยอาศยั จงั หวะทแ่ี สงลดนอ้ ยลงในเวลาเยน็ระยะลกู น�้ำและดกั แด้ ไข่ยุงลายท่ีมีการเจริญอย่างสมบูรณ์ เมื่อมีน�้ำท่วมถึงจะเริ่มฟักออกเป็นลูกน้�ำ การเจริญเติบโตของลูกน�้ำยุงลายมี 4 ระยะ ซงึ่ แตล่ ะระยะจะมกี ารเจรญิ เตบิ โตอยา่ งตอ่ เนอื่ งโดยการลอกคราบ เมอื่ ลกู นำ�้ ระยะท่ี 4 ลอกคราบจะเขา้ สรู่ ะยะทเ่ี รยี กวา่ ดกั แด้ “ตวั โมง่ ”การเจรญิ เตบิ โตของยงุ ในระยะท่เี ป็นลกู นำ�้ และตัวโม่ง มักจะเรียกรวมระยะนี้ว่า “ระยะตวั ออ่ น (Immature stage)” และเป็นระยะการเจรญิ เตบิ โตทีต่ อ้ งอาศัยอยูใ่ นน�้ำตลอดเวลาระยะลูกน�ำ้ ลูกน้�ำยุงลายทั้งสองชนิดมีลักษณะเรียวยาว มีส่วนหัวที่เล็กกว่าส่วนอกมาก ส่วนท้องยาวเรียวประกอบด้วยปล้อง 10 ปล้อง และส่วนปลายของปล้องท้องจะมีท่อส�ำหรับใช้หายใจ (siphon) ลูกน�้ำยุงลายบ้านและลูกน้�ำยุงลายสวนมีลักษณะที่คล้ายคลึงกันมากไม่สามารถแยกไดด้ ว้ ยตาเปลา่ ต้องอาศัยการจ�ำแนกภายใต้กล้อง stereo compound การจ�ำแนกชนดิ ของลูกน้ำ� ยุงลายทั้งสองชนิดจะอาศยั ความแตกตา่ งของจ�ำนวนเสน้ ขน (ventral brush or seta) ทอ่ี ยทู่ ส่ี ว่ นปลายของปลอ้ งทอ้ งปลอ้ งสดุ ทา้ ย โดยลกู นำ�้ ยงุ ลายบา้ นจะมกี ระจกุ ขนยาว สว่ นยงุ ลายสวนจะมกี ระจกุ ขนสน้ั และลกั ษณะของหนามแหลมบน comb scale ทอ่ี ยสู่ ว่ นบนของปลอ้ งทอ้ งสว่ นทา้ ยในลกู น�้ำยงุ ลายบ้านจะมีหนามแหลมแยกเปน็ แฉก สว่ นหนามแหลมในยงุ ลายสวนจะไม่แยกเปน็ แฉก (รูปท่ี 7.2) ในระยะทีเ่ ปน็ ลูกน้ำ� จะใช้เวลาประมาณ 6-8 วนั อาจมากหรือน้อยกว่านขี้ ึ้นอยู่กบั อุณหภูมิ อาหารและความหนาแนน่ ของลูกน�้ำภายในภาชนะน้ันๆ ลูกนำ้� ยุงลายจะใชท้ ่อหายใจ (siphon) ทมี่ ีลักษณะเรียวยาว เกาะท�ำมมุ กับผวิ นำ้� โดยท่ีล�ำตัวตั้งเกอื บตรงกบั ผวิ น้ำ� ลกู นำ้� ยงุ ลายเคลอื่ นไหวอยา่ งวอ่ งไว ลกั ษณะการวา่ ยนำ�้ คลา้ ยกบั การเลอื้ ยของงู ไมช่ อบแสงสวา่ งอาหารของลกู นำ�้ จะเปน็ อนิ ทรยี ส์ ารและอาหารอน่ื ๆทมี่ อี ยใู่ นภาชนะนน้ั ๆ เชน่ ตะไครน่ ำ้� เศษอาหารทห่ี ลน่ ลงไป แบคทเี รยี และพวกสตั วเ์ ซลลเ์ ดยี ว หรอื สตั วท์ มี่ ขี นาดเลก็ ๆ ทอี่ าศยั อยใู่ นนำ้� ภาพที่ 7.2 ลักษณะท่ีแตกตา่ งของลกู นำ�้ ยุงลายบา้ นและลกู น�ำ้ ยุงลายสวน ทมี่ า : ส�ำนักโรคตดิ ตอ่ น�ำโดยแมลงระยะดกั แด้ หลังจาการลอกคราบของลกู นำ้� ครั้งที่ 4 จะเขา้ ส่รู ะยะดักแด้ หรือเรยี กวา่ “ตวั โมง่ ” มลี กั ษณะคลา้ ยกบั เลขหนึง่ ไทยโดยทีส่ ่วนหวั ติดกบั ส่วนอกมองเห็นชดั เจน ตรงส่วนหวั จะมที ่อหายใจสีเขม้ ลกั ษณะคลา้ ยแตร (trumpet) ดกั แดม้ ักเกาะนิง่ กับผิวน้�ำเพื่อรับเอาออกชเิ จนจากอากาศ โดยใชท้ อ่ หายใจและสว่ นหลงั ของทอ้ งปลอ้ งแรก เกาะกบั ผวิ นำ้� โดยทสี่ ว่ นอกไมแ่ ตะกบั ผวิ นำ�้ จงึ ท�ำใหเ้ กดิ เปน็ ชอ่ งว่างระหว่างส่วนอกและผิวน้�ำ ในระยะการเจริญเติบโตนี้จะไม่กินอาหาร และเคล่ือนไหวน้อย แต่เม่ือถูกรบกวนจะด�ำด่ิงลงได้ผิวน้�ำ ได้อยา่ งรวดเร็ว และกลับข้ึนมาบนผิวน�้ำอกี คร้งั ในเวลาอนั สนั้ ระยะดกั แด้ประมาณ 1–2 วัน52 คู่มือวิชาการโรคตดิ เช้อื เดงกแี ละโรคไข้เลอื ดออกเดงกี ด้านการแพทย์และสาธารณสุข

การเจริญเติบโตของยุงลายเม่ืออยู่ในสภาพพื้นที่หรือสภาพแวดล้อมต่างกันจะมีความแตกต่างกันข้ึนอยู่กับหลายปัจจัย เชน่ ปรมิ าณอาหาร อุณหภูมิ ความชนื้ และความส้ันยาวของกลางวัน-กลางคืน โดยทอ่ี ุณหภมู แิ ละความชื้นจะเปน็ ปจั จัยส�ำคัญต่อการเจรญิ เตบิ โตในทกุ ระยะการเจรญิ เติบโตของยงุ ลาย เชน่ การเจรญิ เติบโตท่สี มบรู ณ์ของตวั ออ่ นยงุ ลายภายในไขต่ อ้ งใช้ระยะเวลาในการเจรญิ เตบิ โตสนั้ ที่สดุ 2 วนั ซงึ่ ตอ้ งอยใู่ นสภาพอณุ หภมู แิ ละความชน้ื ทเ่ี หมาะสม (24±2 องศาเซนเซยี ส และสมั พทั ธ์ 70±10%) จงึ พรอ้ มท่ีจะฟักอย่างทันทีเม่ือมีน้�ำท่วมถึง และไข่ท่ีเจริญเติบโตจนสมบูรณ์เมื่ออยู่ในสภาพแห้ง ไข่จะสามารถทนอยู่ได้ ประมาณ 2–8 เดือน แตต่ อ้ งอยใู่ นอณุ หภมู แิ ละความชนื้ ทเี่ หมาะสม และไขท่ สี่ มบรู ณน์ น้ั จะสามารถฟกั ออกมาเปน็ ตวั ไดเ้ มอื่ มนี ำ้� ทว่ มถงึ อาจมอี ตั ราการฟกั ตวัสูงมากกว่า 90% เม่ืออยู่ในสภาพธรรมชาติลูกน้�ำยุงลายสามารถเจริญเติบโตได้ในช่วงอุณหภูมิค่อนข้างกว้าง อุณหภูมิท่ีเหมาะสม ต่อการเจริญเติบโตจะประมาณ 25 ± 2 องศาเซนเซียส และเม่อื อุณหภูมิสูงข้ึน ลูกยุงลายเจรญิ เตบิ โตเปน็ ตวั ยุงไดเ้ รว็ ขึ้น แต่อณุ หภมู ิต้องไมส่ งู กว่า 30 องศาเซนเซียส ซ่ึงจะใชร้ ะยะเวลาในการเจริญเติบโตประมาณ 7–11 วนั โดยประมาณและลกู น�ำ้ ยุงเพศผู้จะสามารถเจริญเตบิ โตได้เรว็ กวา่ ลูกน้�ำเพศเมียประมาณ 1-2 วัน เช่นเดยี วกบั ระยะดกั แด้ อณุ หภูมทิ ี่สูงสามารถท�ำให้ดกั แดล้ อกคราบเป็นตวั เต็มวัยไดเ้ ร็วภายใน 1 วัน ซึ่งสองปัจจยั หลังนีน้ อกจากจะมผี ลตอ่ ระยะเวลาการเจรญิ เตบิ โตในระยะลูกน้�ำแล้ว ยงั สง่ ผลต่อความสามารถในกินอาหาร การค้นหาเหยื่อ และการวางไข่ ของยุงเพศเมียในระยะตัวเต็มวัยด้วย และเม่ือเข้าสู่ระยะตัวเต็มวัยอุณหภูมิ ความชื้น แหลง่ อาหาร และศตั รใู นธรรมชาตจิ ะเปน็ ปจั จยั รว่ มทสี่ �ำคญั ทม่ี ผี ลตอ่ ตวั เตม็ วยั ทงั้ การอยรู่ อด และพฤตกิ รรมทแ่ี สดงออกตา่ งๆ ของตวั เตม็ วยัตัวเตม็ วัย ยุงลายเป็นสัตว์ที่มีโครงสร้างที่เป็นผนังแข็งปกคลุมอยู่ภายนอก (exoskeleton) ผนังเซลด้านนอกสุดท่ีมีลักษณะแข็ง เรียกว่าcuticle ซ่งึ เป็นสว่ นท่ที �ำให้แมลงคงรูปร่างอยู่ได ้ ลักษณะโครงสร้างภายนอกของแบ่งออกเป็น 3 สว่ น มองเห็นชดั เจน คอื สว่ นหวั ส่วนอก และส่วนทอ้ ง ตวั เต็มวยั มขี นาดล�ำตวั ยาวประมาณ 4-6 มิลลเิ มตร มีเกลด็ สีด�ำสลบั ขาวตามล�ำตวั รวมทัง้ ส่วนหวั และ สว่ นอกดว้ ย มีขา 3 คู่ (6 ขา) อยู่ทส่ี ่วนอก ขามีสดี �ำสลับขาวเปน็ ปล้องๆ ทีข่ าหลงั บริเวณปลายปล้องสุดท้ายมีสขี าวตลอด มปี กี ที่เห็นได้ชดั เจน 1 คู่อยู่บริเวณส่วนอก ลักษณะของปีกบางใส มีเกล็ดเล็กๆ บนเส้นปีก ลักษณะของเกล็ดแคบและยาว บนขอบหลังของปีกมีเกล็ดเล็กๆ เป็นชายครยุ นอกจากนย้ี ังมีอวัยวะท่ีท�ำหน้าทเี่ กี่ยวกบั การทรงตวั (เรียกว่า halters) 1 คู่ อยู่ใกล้กับปกี มปี ากยาว ลกั ษณะปากเปน็แบบแทงดดู เสน้ หนวดประกอบดว้ ยปลอ้ งสนั้ ๆ 14-15 ปลอ้ ง ทรี่ อยตอ่ ระหวา่ งปลอ้ งมขี นขน้ึ อยโู่ ดยรอบ ซง่ึ ลกั ษณะของขนทหี่ นวดยงุ ลายสามารถใช้จ�ำแนกเพศของยงุ ได้ ยงุ เพศผเู้ ส้นขนเหล่านค้ี ่อนขา้ งยาว (ใช้รบั คลนื่ เสยี งท่ีเกดิ จากการขยบั ปกี ของยงุ ตวั เมยี ) มองดูคลา้ ยพู่ขนนก สว่ นในยงุ เพศเมยี เสน้ ขนทร่ี อยตอ่ ระหวา่ งปลอ้ งจะสน้ั กวา่ และมจี �ำนวนนอ้ ยกวา่ เรยี กวา่ หนวดแบบเสน้ ดา้ ย แมว้ า่ ตวั เตม็ วยั ของยุงลายท้ังสองชนิด มีขนาดและสีท่ีไม่แตกต่างกันมากนัก แต่ยุงลายแต่ละชนิดจะมีลักษณะเด่นๆ ที่แตกต่างกันท่ีสามารถจ�ำแนกชนิดดว้ ยลกั ษณะภายนอกไดด้ ว้ ยตาเปลา่ คอื ตวั เตม็ วยั ของยงุ ลายบา้ น มปี ลอ้ งทอ้ งและขาสขี าวสลบั ด�ำ ทต่ี รงสว่ นอกดา้ นหลงั จะมเี กลด็ ขนสีขาวเรียงกัน คล้ายกับรูปเคียว 2 อัน ซ่ึงต่างจากยุงลายสวนมีลักษณะท่ีเด่นชัด คือ มองเห็นสีด�ำสลับแถบสีขาว ได้เห็นชัดเจนกว่า ยุงลายบ้าน โดยเฉพาะบริเวณด้านข้างของล�ำตัวและส่วนขา จะมีแถบด�ำสลับขาวชัดเจน บนสันอกด้านหลังจะสังเกตเห็นแท่งขีด ตรงขนาดใหญส่ ีขาวชัดเจน (รูปท่ี 7.3) ภาพท่ี 7.3 ลักษณะความแตกต่างระหวา่ งตัวเต็มวยั ยงุ ลายบา้ นและยุงลายสวน ทม่ี า : ส�ำนักโรคตดิ ตอ่ น�ำโดยแมลง คมู่ อื วชิ าการโรคติดเชอ้ื เดงกแี ละโรคไขเ้ ลอื ดออกเดงกี 53 ดา้ นการแพทย์และสาธารณสขุ

ยุงตัวเต็มวัยเมื่อลอกคราบจากดักแด้ใหม่ๆ จะยังไม่สามารถบินได้ทันทีต้องเกาะนิ่งอยู่บนผิวน�้ำ ใช้เวลาประมาณ 1-2 ชั่วโมง เพอื่ ยดื รยางคต์ า่ งๆ บนสว่ นหวั ออก และใหเ้ ลอื ดฉดี เขา้ ไปตามเสน้ ปกี จงึ จะสามารถยดื ปกี ออกและแขง็ พอจะบนิ ได้ เมอื่ ยงุ บนิ ไดก้ พ็ รอ้ มทจ่ี ะหาอาหารและผสมพนั ธ์ุ โดยปกตยิ งุ เพศผจู้ ะลอกคราบออกมากอ่ นตวั เมยี 1-2 วนั เนอื่ งจากยงุ เพศผตู้ อ้ งใชเ้ วลาประมาณ 24 ชวั่ โมงเพอื่ ปรบั ใหอ้ วยั วะสบื พนั ธห์ุ มนุ ตวั ไปครบ 180 องศากอ่ น จงึ จะพรอ้ มในการผสมพนั ธ์ุ ยงุ เพศเมยี จะผสมพนั ธเ์ุ พยี งครงั้ เดยี วและสามารถวางไข่ได้ตลอดชีวิต หลังจากผสมพันธุ์แล้วยุงเพศเมียจะหาเลือดกิน (ปกติภายใน 24 ช่ัวโมงหลังลอกคราบออกมาจากดักแด้) อาหารของยุงลายทงั้ สองเพศ คือ น้ำ� หวานจากเกสรของดอกไมห้ รอื นำ้� จากผลไม้ โดยใชเ้ ป็นแหล่งพลงั งานส�ำหรบั การบนิ ส่วนยงุ ลายเพศเมียต้องกินเลือดคนหรือสัตว์เลือดอุ่น เพ่ือน�ำโปรตีนในเลือดไปพัฒนาไข่ให้เจริญเติบโต และตามปกติยุงลายบ้านและยุงลายสวน จะชอบกนิ เลอื ดคนมากกวา่ เลอื ดสตั ว์ หลงั จากกนิ เลอื ดแลว้ 2-3 วนั ยงุ ลายเพศเมยี กจ็ ะหาทว่ี างไข่ ยงุ เพศผมู้ อี ายขุ ยั สนั้ ประมาณ 6-7 วนั เทา่ นนั้สว่ นยงุ เพศเมยี มอี ายขุ ยั นานกวา่ หากมอี าหารสมบรู ณ์ อณุ หภมู แิ ละความชน้ื พอเหมาะ ยงุ ลายเพศเมยี อาจอยไู่ ดน้ านประมาณ 30-45 วนัชีวนสิ ยั ของยงุ ลาย ยงุ ลายชนดิ ทมี่ คี วามใกลช้ ดิ กบั คนทสี่ �ำคญั คอื ยงุ ลายบา้ น และยงุ ลายสวน แตย่ งุ ลายบา้ นมคี วามใกลช้ ดิ กบั คนมากกวา่ ยงุ ลายสวนนอกจากนชี้ ีวนสิ ยั หรอื พฤตกิ รรมของยงุ ยังเปน็ ปจั จัยส�ำคญั ในการระบาดของโรค อยา่ งเชน่ พฤตกิ รรมการออกหากนิ และการกนิ เลอื ดของยงุ โดยเฉพาะยงุ ทม่ี เี ชอ้ื จะเปน็ สาเหตสุ �ำคญั ทท่ี �ำใหเ้ กดิ การแพรร่ ะบาดของโรค และหากชว่ งเวลาการออกหากนิ มคี วามสมั พนั ธ์ หรอืสอดคลอ้ งกบั ชว่ งเวลาในการท�ำกจิ กรรมของคนกจ็ ะมโี อกาสทท่ี �ำใหเ้ กดิ การสมั ผสั ระหวา่ งคนกบั ยงุ (man-mosquito contact) มากขน้ึซ่งึ โอกาสที่จะเกิดการแพรร่ ะบาดของโรคกจ็ ะมากเช่นกนั โดยทวั่ ไปยงุ ลายออกหากนิ ในเวลากลางวนั แตถ่ า้ ในชว่ งเวลากลางวนั ยงุ ลายไมไ่ ดก้ นิ เลอื ดหรอื กนิ เลอื ดไมอ่ ม่ิ ยงุ ลายกอ็ าจออกหากนิ เลอื ดในเวลาพลบคำ�่ หรอื กลางคนื ดว้ ย หากในหอ้ งนนั้ หรอื บรเิ วณนนั้ มแี สงสวา่ งเพยี งพอ ชว่ งเวลาทพ่ี บยงุ ลายไดม้ ากทส่ี ดุ มี 2 ชว่ งในเวลาเช้าและในเวลาบา่ ยถึงเย็น บางรายงานระบุวา่ ช่วงเวลาท่ียงุ ลายออกหากินมากทสี่ ดุ คือ 09.00-11.00 น. และ 13.00-14.30 น.แต่บางรายงานกร็ ะบแุ ตกตา่ งกนั ออกไป เชน่ 06.00-07.00 น. และ 17.00-18.00 น. ทง้ั นข้ี นึ้ กบั ว่าท�ำการศึกษาในฤดูกาลใด จากการศกึ ษาพฤติกรรมการกัดของยงุ ลายบ้าน ทกี่ รงุ เทพฯ พบวา่ จะกดั ในเวลากลางวนั ชว่ งเวลาท่ีมีการกดั มากได้แก่ 09.00-10.00 น. และ16.00-17.00 น. ซึ่งพบว่าผลการศึกษาพฤติกรรมการกัดของยุงลายสวนก็เป็นช่วงเวลาท่ีเข้ากัดใกล้เคียงกัน เช่น การศึกษาที่จังหวัดสงขลาและสตูล พบวา่ ยุงลายสวนเพศเมยี ในพืน้ ทส่ี วนยางพารา เข้ากดั คนมากทสี่ ุดในชว่ งเวลา 06.00-07.00 น. และสูงสดุ อีกครั้งเม่ือเวลา 17.00-18.00 ใน ซง่ึ ตา่ งจากทศี่ กึ ษาในสวนผลไม้ ทพี่ บวา่ ยงุ ลายสวนเขา้ กดั มากทส่ี ดุ เวลา 06.00-11.00 และลดลงเรอ่ื ยจนถงึ ชว่ งพลบคำ�่ (5)อย่างไรก็ตามยงุ ลายท้ังสองชนดิ มคี วามชอบเข้ากัดเหยท่ือยในและนอกบา้ นแตกตา่ งกนั ยุงลายบา้ นชอบกดั คนในบ้านส่วนยงุ ลายสวนชอบกดั คนนอกบา้ น มเี พยี งสว่ นนอ้ ยทเ่ี ขา้ มากดั คนในบา้ น ยงุ ลายไมช่ อบแสงแดดและลมแรง ดงั นน้ั จงึ ออกหากนิ ไมไ่ กลจากแหลง่ เพาะพนั ธ์ุโดยทว่ั ไปมกั บนิ ไปครง้ั ละไมเ่ กนิ 50 เมตร นอกจากน้ี จะพบวา่ มยี งุ ลายชกุ ชมุ มากในฤดฝู น ชว่ งหลงั ฝนตกชกุ เพราะอณุ หภมู แิ ละความชนื้เหมาะแกก่ ารแพร่พนั ธุ์ ส่วนในฤดอู ื่นๆ จะพบวา่ ความชกุ ชมุ ของยุงลายลดลงเล็กนอ้ ย แหลง่ เกาะพกั ของยงุ ลายบา้ น จะอยภู่ ายในบา้ น จากการศกึ ษาแหลง่ เกาะพกั ของยงุ ลายในบา้ นเรอื นพบวา่ ยงุ เพศเมยี รอ้ ยละ 90 ชอบเกาะพักตามสิง่ ห้อยแขวนต่างๆ ในบา้ น มเี พยี งร้อยละ 10 เท่าน้ันที่พบเกาะพกั อย่ตู ามข้างฝาบา้ น จากการศึกษาแหล่งเกาะพักของยงุ ลายภายในบา้ นเรอื นทจี่ งั หวดั ระยอง (1) พบวา่ ยงุ ลายเกาะพกั ตามเสอ้ื ผา้ หอ้ ยแขวนรอ้ ยละ 66.5 เกาะตามมงุ้ และเชอื กมงุ้ รอ้ ยละ 15.7 สง่ิ หอ้ ยแขวนอนื่ ๆรอ้ ยละ 15.3 และพบเพยี งรอ้ ยละ 2.5 เทา่ นนั้ ทเี่ กาะพกั ตามขา้ งฝา สว่ นยงุ ลายสวนจะเกาะพกั นอกบา้ นเปน็ สว่ นใหญ่ มกั พบในบรเิ วณรอบๆบ้าน ตามพมุ่ ไมเ้ ต้ยี ต้นหญา้ ท่ซี ง่ึ ไม่มแี สงแดด และมีความช้ืน จากการศึกษาในประเทศมาเลเซยี พบวา่ ยุงลายสวนมีแหล่งเกาะพกั ส่วนใหญ่อยนู่ อกบา้ น ซ่งึ บรเิ วณนน้ั เปน็ ทท่ี ี่สะอาด และมักเกาะพักในบริเวณสวนยาง สว่ นในประเทศจีน พบวา่ ยงุ ชนิดน้จี ะเกาะพกั ตามมุ้งในครวั หอ้ งวาดภาพ ตามคอกหมู และหญา้ หรอื วชั พชื ทอ่ี ยตู่ ามทอ้ งทงุ่ (15)ส�ำหรบั ยงุ ลายสวนในประเทศอเมรกิ า ชอบเกาะพกั ตามตน้ ไมช้ ายปา่ (20)แหล่งเพาะพนั ธ์ุของยงุ ลาย ยงุ ลายจะวางไขต่ ามภาชนะขงั นำ้� ทม่ี นี ำ�้ นงิ่ และใส นำ�้ ฝนมกั เปน็ นำ้� ทยี่ งุ ลายชอบวางไขม่ ากทสี่ ดุ ดงั นนั้ แหลง่ เพาะพนั ธข์ุ องยงุ ลายจะเป็นภาชนะที่สามารถขังน้�ำได้ทุกชนิด ไม่ว่าจะเป็นภาชนน้�ำขังที่มนุษย์สร้างขึ้นและภาชนะธรรมชาติ และแม้ว่าจะเป็นภาชนะท่ีม ี นำ�้ ขงั เพยี งเลก็ นอ้ ยกต็ าม ยงุ ลายกส็ ามารถวางไขไ่ ด้ ซงึ่ นำ�้ ทย่ี งุ ลายชอบและเหมาะส�ำหรบั การวางไข่ คอื บรเิ วณนำ�้ ทใ่ี ส นง่ิ และไมเ่ นา่ เสยียงุ ลายจะวางไขต่ ดิ แนน่ กบั พนื้ ผวิ ของภาชนะบรเิ วณทอี่ ยใู่ นระดบั เหนอื นำ�้ เลก็ นอ้ ย โดยเฉพาะพน้ื ผวิ ภาชนะทม่ี ลี กั ษณะขรุ ขระไขข่ องยงุลายจะติดแน่น และสามารถทนทานอยไู่ ดน้ าน เมื่อมีนำ�้ ทว่ มถงึ ก็จะสามารถฟกั เป็นตัวอ่อนได้ในเวลาอันรวดเร็ว54 ค่มู ือวชิ าการโรคตดิ เช้อื เดงกีและโรคไข้เลือดออกเดงกี ด้านการแพทย์และสาธารณสุข

แหลง่ เพาะพนั ธขุ์ องยงุ ลายบ้าน สว่ นใหญ่พบภายในบา้ น และบรเิ วณรอบๆใกล้บา้ น จากการส�ำรวจแหล่งเพาะพนั ธุข์ องยุงลายชนิดนี้พบว่าร้อยละ 64.52 เป็นภาชนะเก็บขังน้�ำที่อยู่ภายในบ้านและร้อยละ 35.53 เป็นภาชนะเก็บขังน�้ำที่อยู่นอกบ้าน นอกจาก โอ่งนำ�้ แล้วยังมีภาชนะอ่ืนๆ ถังซีเมนต์ใส่น้�ำ บ่อคอนกรีตในห้องน�ำ้ จานรองกนั มด ตมุ่ นำ้� กนิ น้�ำใช้ ทีร่ องน้�ำทิ้งใต/้ หลงั ตู้เยน็ ท่ีรองน้�ำทิง้ในเครือ่ งท�ำน�้ำเยน็ แจกนั โถน�้ำเลยี้ งไมป้ ระดับ กระป๋อง รางน้ำ� ฝน จานรองกระถางต้นไม้ เป็นต้น แหลง่ เพาะพนั ธข์ุ องยงุ ลายสวน จะพบในบรเิ วณนอกบา้ นทไี่ กลออกไปจากตวั บา้ น ซงึ่ บรเิ วณทพ่ี บจะสมั พนั ธก์ บั บรเิ วณทมี่ ี ตน้ ไม้มรี ่มเงา ไมม่ แี สงแดดสอ่ ง และมีความชน้ื อย่างเชน่ บรเิ วณที่เปน็ สวน ยงุ ลายสวนสามารถวางไขไ่ ด้ดีในบรเิ วณทีม่ ีน้ำ� ขงั เพียงเล็กน้อยโดยเฉพาะนำ้� ขงั ทมี่ เี ศษใบไมป้ ะปน เชน่ กระถางปลกู ตน้ ไมท้ ม่ี นี ำ้� ขงั ถว้ ยรองนำ�้ ยางในสวนยาง รอยแตกตามซอกหนิ โพรงตน้ ไม้ รตู ามตน้ ไม้เชน่ รขู องสตั วก์ ดั แทะ พวกกระรอก รอยแตกของเปลอื กไม้ ตน้ ไผท่ ถี่ กู ตดั กาบดอกมะพรา้ ว ลกู มะพรา้ วทถ่ี กู สตั วก์ ดั เปน็ รู กะลามะพรา้ วใบมะพร้าว ใบตาล ใบปาลม์ กาบดอกหมาก ใบไม้รว่ งบนิ พ้นื ดิน ดอกไม้ พชื ที่มกี าบใบขนาดใหญ่ เชน่ พลับพลึง ปาลม์ ปักษาสวรรค์จานรองกระถาง แจกนั ดอกไม้ เช่น แจกนั ใส่ดอกไม้ตามศาลพระภมู หิ รอื ตามสสุ าน พื้นคอนกรตี ตามนอกบ้านท่ีมีน้ำ� ทว่ มขงั รางน�้ำฝนลังไม้เก็บของ ภาชนะใสน่ �้ำใหส้ ตั ว์เล้ยี งกนิ ของเลน่ เด็ก ผ้าใบพลาสติก ตะกรา้ ถาด อปุ กรณ์เครือ่ งมอื ถงั นำ้� ฝาปดิ ถงั น�้ำ ถังน้ำ� มันหรือตุ่มนำ�้ ทค่ี ว�่ำ ตุม่ ใส่น้�ำ เศษวสั ดุเหลือใช้ที่สามารถขังนำ�้ เช่น ถาดโฟมใส่อาหาร ถุงพลาสตกิ กระป๋องน้�ำอัดลม เศษกระเบื้องถ้วยชามขอบปากไห ยางรถยนตท์ ่ีไมใ่ ช้ ถุงเพาะช�ำตน้ ไม้ เป็นตน้การแพรก่ ระจายของยงุ ลายในประเทศไทย ยงุ ลายบา้ นเปน็ ยงุ ทมี่ แี หลง่ ก�ำเนดิ เดมิ อยใู่ นทวปี แอฟรกิ า ตอ่ มายงุ นไ้ี ดแ้ พรไ่ ปยงั ประเทศตา่ งๆ ระหวา่ งเสน้ รงุ้ ท่ี 40º เหนอื และใต้โดยติดไปกับพาหนะท่ีใช้ในการคมนาคมโดยเฉพาะอย่างย่ิงทางเรือ ส�ำหรับประเทศไทยไม่มีใครทราบแน่นอนว่ายุงลายได้เข้ามาแพร่พันธุ์ต้ังแต่เม่ือใด แต่มีรายงานปรากฏในวารสารวิทยาศาสตร์เกี่ยวกับการพบยุงลายในประเทศไทยเป็นครั้งแรกเมื่อปีพ.ศ. 2450 โดย F.V. Theobald เขา้ ใจวา่ ในระยะตน้ ๆ ยงุ ลายจะแพรพ่ นั ธอ์ุ ยเู่ ฉพาะเมอื งใหญ่ ตอ่ มาในปี พ.ศ. 2508 จากรายงานของ J.E. Scanlonระบุว่ายุงลายมไิ ดจ้ �ำกดั อยู่เฉพาะในเมืองใหญๆ่ แต่พบอยูท่ ว่ั ไปทุกเมอื งรวมท้ังในชนบทตามภาคตา่ งๆ ของประเทศไทย จะยกเว้นกแ็ ต่เฉพาะชนบทที่แยกตัวออกจากเส้นทางคมนาคมเท่าน้ัน จากการศึกษาของสมเกียรติ บุญญะบัญชา (1) ที่ดอยปุยจังหวัดเชียงใหม่ พบว่า การแพร่กระจายของยุงลายจะถูกจ�ำกัดโดยความสูงของพื้นที่คือจะไม่พบยุงลายบ้านที่ระดับความสูง 1,000 ฟุตจากระดับน้�ำทะเล ตา่ งจากยงุ ลายสวนซงึ่ สามารถพบไดท้ กุ ระดบั ความสงู แมก้ ระทง่ั บนยอดเขาสงู 6,000 ฟตุ อยา่ งไรกต็ าม เมอ่ื ไมน่ านมานม้ี รี ายงาน จากบางประเทศวา่ สามารถพบยงุ ลายบา้ นไดท้ ร่ี ะดบั ความสงู มากกวา่ 7,000 ฟตุ แลว้ ทเี่ ปน็ เชน่ นเ้ี นอ่ื งจากอณุ หภมู บิ นภเู ขาสงู ขนึ้ ท�ำให ้ ยุงลาย สามารถแพรพ่ ันธไุ์ ด้ ในขณะทย่ี งุ ลายสวนเปน็ ยงุ ทมี่ ถี น่ิ ก�ำเนดิ ในแถบเขตปา่ รอ้ นชนื้ (tropical forest) แถบเอเชยี ตะวนั ออกเฉยี งใต้ (Southeast Asia)ในหมู่เกาะทางตะวันตกของมหาสมุทรแปซิฟกิ (Pacific Ocean) และแถบมหาสมุทรอนิ เดยี (Indian Ocean) (7) จึงนบั ได้วา่ เป็นยุงประจ�ำถนิ่ ของประเทศไทยมาเปน็ เวลานาน จากนนั้ เรม่ิ ส�ำรวจพบวา่ ยงุ ชนดิ นไ้ี ดก้ ระจายไปในพนื้ ทเ่ี ขตอบอนุ่ ในทวปี เอเชยี (WHO, 1980)ตอ่ มาพบวา่ ยงุ ลายสวนไดก้ ระจายไปยงั พนื้ ทต่ี า่ งๆ ทวั่ โลกอยา่ งนอ้ ย 36 ประเทศ (8) และเปน็ พาหะน�ำโรคไชเ้ ลอื ดออกทส่ี �ำคญั ในหลายประเทศโดยเฉพาะประเทศในเขตหนาว อย่างเช่น อเมรกิ า และประเทศในแถบยโุ รบเอกสารอา้ งองิ1. สมเกยี รติ บญุ ญะบญั ชา. ชวี วทิ ยาและนวิ ศวทิ ยาของยงุ ลายในประเทศไทย. (เอกสารประกอบการบรรยาย), กองกฏี วทิ ยาทางการแพทย,์ กรมวทิ ยาศาสตร์ การแพทย.์ , 25352. กองโรคตดิ ตอ่ ทัว่ ไป. รายงานการส�ำรวจความชกุ ชมุ ของยุงลาย. (เอกสารประกอบการบรรยาย), กรมควบคุมโรคตดิ ตอ่ , 25353. กองโรคตดิ ต่อทั่วไป. โรคไขเ้ ลอื ดออก. ใน : งานควบคมุ โรคตดิ ต่อทัว่ ไป. พมิ พ์คร้งั ที่ 1. กรุงเทพฯ. : ชมุ นุมสหกรณ์การเกษตรแหง่ ประเทศไทย, 25354. คณะผ้เู ชยี่ วชาญด้านโรคติดตอ่ ที่น�ำโดยแมลง. 2532. โรคไข้เลอื ดออก. ใน : ชูศักด์ิ ประสทิ ธิสุข, กรองทอง ทิมาสาร, มาลนิ ี ประสิทธสิ ขุ , ปญั จมา ชยั ประสิทธกิ ุล. บรรณาธิการ. รายงานวชิ าการโรคตดิ ตอ่ ท่ีน�ำโดยแมลง. พิมพค์ รง้ั ท่ี 1. กรุงเทพฯ : กองมาลาเรีย, 25355. สุวิข ธรรมปาโล วริ ัช วงคห์ ิรญั รัตน์ โสภาวดี มลุ เมฆ และวาสนิ ี ศรปี ล้อง. เวลาการออกหากินของยงุ ลายสวน ในสวนยางพาราและสวนผลไม้ ภาคใต้ ตอนล่าง. วารสารส�ำนักโรคตดิ ตอ่ น�ำโดยแมลง 2552. 3(2): 1 – 6.6. องอาจ เจรญิ สขุ , รายงานการพบลกู นำ้� ยงุ ลายในทอ่ ระบายนำ�้ โสโครก. วารสารกรมวทิ ยาศาสตรก์ ารแพทย,์ 2520. 19 (4) : 253–254.7. Belkin, J. N. The mosquitoes of the south Pacific (Diptera:Culicidae). Vol 1. and 2. Berkeley and Los Angeles. Univ. of Callifornia Press., 1962. 608 and 412 pp. ค่มู ือวิชาการโรคติดเชื้อเดงกีและโรคไข้เลอื ดออกเดงกี 55 ด้านการแพทยแ์ ละสาธารณสุข

8. Benedict, M. Q, R. S. Levine, W. A. Hawley and L. P. Lounibos. Spread of the tiger: global risk of invasion of the mosquito Aedes albopictus. Vector-borne Zoonotic Dis. 2007 7:76 – 85.9. Benenson, A.S., Editor. 1990. Dengue Fever. In : Control of Communicable Diseases in Man.15th Edition, American Public Health Association, Washington, D.C., 199010. Calado, D. C., and M. A. Navarro-Silva. Influência da temperatura sobre a longevidade, fecundidadee atividade hematofágica de Aedes (Stegomyia) albopictus Skuse, 1894 (Diptera, Culicidae) sob condições de laboratório. Rev. Brasil. Entomol. 2002 46: 93–98.11. Christophers, S.R. Aedes aegypti (L.), The Yellow Fever Mosquito: Its Life History, Bionomics and Structure. Cambridge University Press, London., 196012. Cleman, A. N.a. The biology of mosquito: development, nutrition and reproduction. 2nd ed. Vol 1. CABI publishing London United Kingdom., 200013. Enserink M. A mosquito goes global. Science. 2008 320: 864 – 866.14. Hawley, W. A. 1988. The biology of Aedes albopictus. J Am Mosq Control Assoc. 1988 4 (Suppl. 1):1-40.15. Ho, B. C, K. L. Chan and Y. C. Chan. III. Control of Aedes vector. The biology and bionomic of Aedes albopidu s (Skusc). In: Y C. Chan al. (eds). Vector Control in South Asia. Proceedings Ist SEAMEO Workshop, 15-17 August 1972, Singapore.16. James, M.T., and Harwood, R.F. Entomology in Human and Animal Health. 7th Edition Toronto : Macmillan Publishing., 197917. Juliano, S.A. and Lounibos L.P. Ecology of invasive mosquitoes: effects on resident species and on human health. Ecol Lett. 2005 8(5): 558–574.18. Kamimura, K., I. T. Matsusei, H. Takashi, J. Komuka, T. Fukuda, K. Suzuki, M. Aratani, Y. Sffraill and M. Mogi. Effect of temperature on the development of Aedes aegypti and Aedes albopictus. Med. Entomol. Zool. 2002 53: 53–58.19. Linley, J. R. and G. Clark. Egg of A and protein content of mosquitoes. J. Am. Mosq. Control Assoc. 1989; 5 (2): 180-182.20. Linley, J. R. Tergal spines of Mansonia titillans and Ma. dyari (Diptera: Culicidae) and their effect on a leaf surface during ovipo- sition. J. med. Ent. 1989; 26 (5): 402-40621. Niebyski, M. L. Bionomics of Aedes albopiclus (Skusc) in Potosi, Missouri. Department of Biological Sciences, University of Notre Dame, Notre Dame, Indiana. Doctoral dissertation., 199222. Reinert, J.F., Harbach, R.E. and L. J. Kitching. Phylogeny and classification of Aedini (Culicidae: Diptera) based on morphological characters of all life stages. Zoological Journal of the Linnean Society. 2004.142: 289–36823. Swanson, J., M. Lancaster, J. Anderson, M. Crandell, L. Haramis, P. Grimatad and U. Kitron. Overwintering and Establishment of Aedes albopictus (Diptera: Culicidae) in an Urban La Crosse Virus Enzootic Site in Illinois., 200024. World Health Organization. Equipment for vector control, 3rd ed. Geneva. World Health Organization, 199056 คมู่ อื วิชาการโรคติดเชอื้ เดงกแี ละโรคไข้เลอื ดออกเดงกี ดา้ นการแพทย์และสาธารณสุข

การส�ำ รบวจทยทงุ ลี่ า8ยศ.ดร. ธรี ภาพ เจริญวิรยิ ภาพรศ.ดร. ช�ำ นาญ อภิวฒั นศรขนิษฐา ปานแกว้ การส�ำรวจยุงลายมีวัตถุประสงค์เพื่อทราบว่าในพ้ืนที่นั้นมียุงลายอยู่หรือไม่ และระดับความชุกชุม หรือความหนาแน่นของประชากรยุงลายมีมากน้อยเพียงใด นอกจากน้ีการส�ำรวจยังท�ำให้ทราบว่ายุงลาย มีการกระจายตัวทางภูมิศาสตร์อย่างไร การส�ำรวจท�ำให้ทราบแหลง่ ทอี่ ย่หู ลักๆ ของลูกน้ำ� ซึ่งขอ้ มูลทาง กฏี วิทยาทไ่ี ดจ้ ากการส�ำรวจสามารถน�ำมาพจิ ารณาเพอ่ื ทราบปัจจัยเสีย่ งของการแพรเ่ ชอื้ โรคไขเ้ ลอื ดออกในพนื้ ที่ เพอื่ ตรวจสอบความตา้ นทานของยงุ ตอ่ สารฆา่ แมลงทใี่ ช้ นอกจากนยี้ งั มปี ระโยชนท์ งั้ ในดา้ นการควบคมุก�ำกับการปฏิบัติงาน การประเมินประสิทธิภาพในการควบคุมโรค และเป็นข้อมูลเพื่อประกอบการวางแผนเกี่ยวกับวิธีด�ำเนินการ การเลือกใชส้ ารฆ่าแมลงท่ีเหมาะสม คณุ ภาพและปริมาณงาน ช่วงเวลาในการด�ำเนินการพ่นสารฆ่าแมลง เปน็ ตน้ รวมทั้งยังสามารถใช้เปน็ ขอ้ มลู ประกอบการพจิ ารณาจดั สรรงบประมาณและทรพั ยากรเพอื่ การควบคมุ โรคเพอื่ ใหส้ อดคลอ้ งกบั สภาพปญั หาในแตล่ ะพนื้ ทไี่ ด้อกี ดว้ ย ในการประเมินผลการปฏิบัติงานนั้นมักใช้วิธีส�ำรวจแหล่งเพาะพันธุ์ของยุงลายทั้งในระยะก่อน และหลังการด�ำเนินการควบคุมยุงลาย การส�ำรวจความชุกชุมของยุงลายกระท�ำได้หลายวิธีในทุกระยะของวงจรชีวิต ต้ังแต่การส�ำรวจความชุกชุมของตัวยุงลาย การส�ำรวจไข่ การส�ำรวจลูกน้�ำ และการส�ำรวจ ตัวโม่ง การจะเลือกส�ำรวจระยะใดของวงจรชีวิตยุงลายและใช้วิธีการใดน้ันขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์ของการส�ำรวจ โดยทั่วไปควรเป็นวธิ ีท่ีเรียบง่าย ไมต่ ้องเสียคา่ ใช้จ่ายสงู และสะดวกในการปฏบิ ัติงาน การส�ำรวจยุงลายพาหะน�ำโรคไข้เลือดออก ท�ำให้ทราบถึงพ้ืนที่เส่ียงต่อการระบาด ระดับและการเปล่ียนแปลงของประชากรรวมท้งั แหลง่ เพาะพนั ธส์ �ำคัญ เพ่ือใชส้ �ำหรบั วางแผน และประเมนิผลการควบคุมท่ไี ดด้ �ำเนินการในพน้ื ท่ไี ด้ วธิ กี ารส�ำรวจยุงพาหะโรค ไขเ้ ลอื ดออกทใ่ี ชโ้ ดยทว่ั ไป แบง่ ออกเปน็ การส�ำรวจยงุ ตวั เตม็ วยั (adult mosquito) การส�ำรวจไขย่ งุ (egg) และการส�ำรวจลกู นำ้� ยงุ (larva)การเลอื กพ้นื ทีส่ �ำรวจ จ�ำนวนพนื้ ทสี่ �ำรวจจะมกี พ่ี นื้ ทข่ี น้ึ อยกู่ บั วตั ถปุ ระสงคข์ องการส�ำรวจ ตลอดจนขดี ความสามารถ (จ�ำนวนคน เวลา งบประมาณ ฯลฯ)ของทมี ท่จี ะเขา้ ปฏบิ ัติงาน รวมท้ังขอบเขตความรบั ผดิ ชอบของหนว่ ยงานเจ้าของโครงการส�ำรวจยงุ ลาย เมื่อเลือกจังหวัดท่ีจะเข้าด�ำเนินการเฝ้าระวังยุงลายได้แล้ว ข้ันตอนต่อไปคือการเลือกอ�ำเภอ ต�ำบล และหมู่บ้าน ตามล�ำดับ โดยใช้ขอ้ มูลอตั ราปว่ ยตอ่ ประชากรแสนคนเฉลย่ี 3-5 ปขี องอ�ำเภอ ต�ำบล และหมู่บ้าน ตามล�ำดบั เปน็ เกณฑ์ในการเลอื กเช่นเดยี วกับการเลอื กจังหวดั เมอ่ื เลือกอ�ำเภอได้แล้วใหท้ �ำการเลอื กเขตเมอื ง (ซึง่ หมายถึงเทศบาลและสขุ าภิบาล) ที่จะท�ำการส�ำรวจกอ่ น จากนั้นจงึ เลอื กต�ำบลและหมบู่ า้ นซงึ่ เปน็ เขตชนบท จ�ำนวนอ�ำเภอ (รวมทงั้ ต�ำบลและหมบู่ า้ น) ทจ่ี ะเขา้ ส�ำรวจขนึ้ อยกู่ บั ปจั จยั หลายๆ อยา่ ง ตงั้ แต่วัตถปุ ระสงคข์ องการเฝ้าระวังยุงลาย (เช่น เพ่ือทราบการเปล่ยี นแปลงตามฤดูกาลของประชากรยงุ ลายในพ้นื ท่นี ้นั หรอื เพ่อื ประเมนิ ผลการควบคมุ โรค ฯลฯ) ตลอดจนขอ้ จ�ำกดั เกย่ี วกบั ทมี ส�ำรวจ (เชน่ จ�ำนวนเจา้ หนา้ ท่ี จ�ำนวนพาหนะ จ�ำนวนวนั ปฏบิ ตั งิ าน ฯลฯ) อยา่ งไรกต็ ามควรท�ำการส�ำรวจใหค้ รอบคลมุ พน้ื ทม่ี ากที่สดุ เพ่อื ใหไ้ ดข้ ้อมูลท่ีสามารถน�ำมาใชป้ ระโยชน์ได้ การคดั เลอื กบา้ นส�ำหรบั การส�ำรวจในหมบู่ า้ นขนาดเลก็ ควรส�ำรวจทกุ ๆ บา้ น แตถ่ า้ เปน็ หมบู่ า้ นขนาดใหญ่ หรอื พน้ื ทท่ี มี่ ลี กั ษณะบา้ นทค่ี ลา้ ยกนั ควรส�ำรวจไมต่ ำ�่ กวา่ 45-60 หลงั คาเรอื น หรอื ใชต้ วั เลขจากตารางที่ 1 โดยควรสมุ่ ส�ำรวจบา้ นอยา่ งเปน็ ระบบ (Systemetic คมู่ อื วิชาการโรคติดเชอ้ื เดงกแี ละโรคไข้เลือดออกเดงกี 57 ด้านการแพทยแ์ ละสาธารณสุข

Random sampling) เชน่ หมู่บา้ น ก. มี 300 หลังคาเรือน ตอ้ งการส�ำรวจ 100 หลังคาเรือน รปู แบบการส�ำรวจคือ ส�ำรวจ 1 บา้ น เวน้ 300/100=3 บา้ น เพอื่ ใหไ้ ดต้ วั อยา่ ง ของบา้ นกระจายทว่ั ทงั้ หมบู่ า้ น แตถ่ า้ การส�ำรวจในเขตเมอื ง การส�ำรวจควรใหก้ ระจายครอบคลมุบ้านทุกประเภท เช่น บ้านพกั ตกึ แถว ร้านคา้ ชุมชนแออดัตารางที่ 8.1 จำ�นวนบา้ นทคี่ วรส�ำ รวจสำ�หรบั การสำ�รวจลูกนำ�้ ยุงลาย จาก WHO (2004) (4)จำ�นวนบ้านทง้ั หมดในพื้นท่ี ค่าจริงดชั นี House Index ในพืน้ ท่ี 100 200 >1% >2% >5% 300 95 78 45 400 155 105 51 500 189 117 54 211 124 55 1,000 225 129 56 2,000 258 138 57 5,000 277 143 58 10,000 290 147 59 Infinite 294 148 59 299 149 59 1. การส�ำรวจยงุ ลายตวั เตม็ วยั จากอุปนิสัยของยุงลายเพศเมียท่ีชอบอาศัยอยู่ภายในบ้านและชอบกัดกินเลือดคนตลอดจนมักดูดเลือดคนในช่วงเวลากลางวนั โดยมชี ว่ งทพี่ บยงุ ลายมากดั กนิ เลอื ดคนมาก ทส่ี ดุ คอื 08:00-11:00 น. และพบอกี ในชว่ งเวลา 13:00-17:00 น.การส�ำรวจความชกุ ชมุของยุงลายตวั เตม็ วยั ท�ำได้หลายวิธีเชน่ 1.1 การส�ำรวจความชุกชุมของยุงลายตวั เตม็ วัยโดยการจบั ยุงลายขณะเกาะพกั (indoor resting rate) ตามสถานทีต่ ่างๆภายใน บา้ น เชน่ เส้อื ผ้าห้อยแขวน ม้งุ เชือก ฯลฯ อาจใชห้ ลอดดดู (Aspirator) สวิงโฉบยงุ และเคร่อื งดดู ยงุ ท่ีดดั แปลงจากเครือ่ งดดูฝนุ่ จบั ยงุ ลายในบา้ น โดยใชเ้ วลาจบั ยงุ บา้ นละ 15 นาที แลว้ จงึ ส�ำรวจบา้ นหลงั ตอ่ ไป น�ำยงุ ลายทจ่ี บั ไดน้ �ำมารวบรวมแยกเพศแลว้ ค�ำนวณหาจ�ำนวนยุงที่จับได้ต่อบ้านต่อชั่วโมง ใช้วิธีการส�ำรวจดังกล่าวในกรณีมีการระบาดของโรคไข้เลือดออกในพื้นที่น้ัน คงเป็นการเสี่ยงท ี่ จะใชว้ ิธคี นเปน็ เหย่อื ล่อ ท้งั หมดท่เี กาะพกั จากนั้นน�ำข้อมลู มาค�ำนวณ Resting Rate (RR) - จ�ำนวนยุง (ทง้ั สองเพศ) ท่ีจบั ไดต้ ่อบ้าน Net Index (NI) - จ�ำนวนยงุ ตัวเมียท่ีจับได้ต่อคน-ช่ัวโมง โดยการใชส้ วิง Parous Rate (PR) - จ�ำนวนยุงตัวเมยี (ท่เี คยวางไขแ่ ล้ว) ทจี่ ับได้ตอ่ บ้านต่อคน 1.2 การส�ำรวจยงุ ตัวเตม็ วัยโดยใชค้ นเป็นเหย่อื ลอ่ ควรอยูใ่ นช่วงเวลา 08:00-11:00 น. อุปกรณ์ที่ใช้คอื ไฟฉาย หลอดแกว้หรอื หลอดพลาสติกจบั ยุงขนาดเส้นผา่ ศนู ย์กลางประมาณ 3 ซม. สงู ประมาณ 5-9 ซม. ส�ำลีส�ำหรับอุดปากหลอด แบบส�ำรวจ ตลอดจนถงุ เพือ่ ใชใ้ ส่อุปกรณ์ดงั กล่าว วธิ กี ารขออนญุ าตเจ้าของบ้านเพื่อเข้าไปน่งั จับยงุ เลอื กสถานที่ทีค่ าดว่าพบยุงลายอยู่ชกุ ชมุ เช่น บรเิ วณที่ไม่มีแสงสวา่ งมากนกั ลมไมแ่ รง ไม่มกี ารจุดยากันยงุ หรอื พน่ สารเคมีก�ำจดั แมลง ส�ำหรับการส�ำรวจโดยใช้คนเป็นเหย่อื ลอ่ น้ี เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติต้องน่ังโดยพับขากางเกงให้สูงเหนือเข่า พับแขนเสื้ออยู่เหนือข้อศอก เพ่ือล่อยุงลายให้มาเกาะกัด เมื่อมียุงเร่ิมบินมาเกาะส่องดว้ ยไฟฉาย ใชห้ ลอดจบั ยงุ ครอบไปทตี่ วั ยงุ แลว้ อดุ ปากหลอดดว้ ยส�ำลี ปฏบิ ตั เิ ชน่ นจี้ นครบบา้ นละ 20 นาที และจดบนั ทกึ จ�ำนวนยงุ ลายทจี่ บั ได้ แตล่ ะเพศเสรจ็ แลว้ จงึ ยา้ ยไปปฏบิ ตั บิ า้ นหลงั ตอ่ ไป โดยทว่ั ไปเจา้ หนา้ ทคี่ นหนง่ึ จบั ยงุ ได้ 4-6 หลงั ตอ่ วนั จากนนั้ น�ำขอ้ มลู มาค�ำนวณ อตั ราการกัด (Biting Rate) = จ�ำนวนยุงลายตัวเมยี ท่จี บั ได้ต่อคนตอ่ ช่วั โมง อตั ราการเกาะกดั (Landing Rate) = จ�ำนวนยงุ ลายท่ีจบั ได้ทง้ั หมดตอ่ คนต่อชวั่ โมง 1.3 การจับยงุ ลายตัวเตม็ วยั อีกวิธีหนงึ่ คอื การใช้กบั ดกั แบบใชแ้ สง กับดักท่เี หมาะส�ำหรบั ยุงลายตวั เต็มวัย ควรเป็นชนิดทสี่ ามารถปลอ่ ยคารบ์ อนไดออกไซดอ์ อกมาลอ่ ยงุ ลายได้ รวมทงั้ มกี ารใชส้ ตี ดั กนั (ขาว-ด�ำ) จะดงึ ดดู ยงุ ลายไดด้ กี วา่ นอกจากนยี้ งั มกี ลอ่ ง58 คมู่ ือวชิ าการโรคติดเชือ้ เดงกแี ละโรคไขเ้ ลือดออกเดงกี ด้านการแพทยแ์ ละสาธารณสขุ

ส�ำหรับล่อใหย้ ุงลายเข้าไปเกาะพกั เพอ่ื น�ำมานบั จ�ำนวนหาความชุกชุมในภายหลังได้ นอกจากน้ียังมีรายงานการใช้ BG trap ส�ำหรับดักยงุ ลายตวั เต็มวยั พบว่าสามารถใช้ในการส�ำรวจยงุ ตัวเต็มวัยได้ แตม่ ขี อ้ จ�ำกดั คือ ตอ้ งใช้ไฟฟา้ ในการท�ำงาน และราคาสงู 2. การส�ำรวจลูกน้ำ� ยุงลาย การส�ำรวจความชกุ ชมุ ของลกู นำ้� ยงุ ลายมวี ตั ถปุ ระสงคห์ ลกั คอื เพอ่ื ตรวจสอบแหลง่ ทอี่ ยขู่ องลกู นำ�้ และเพอ่ื พจิ ารณาวา่ ความชุกชุมของลูกน�้ำเปลี่ยนแปลงไปหรือไม่หลังจากด�ำเนินการควบคุมแล้ว วิธีการส�ำรวจที่ใช้เป็นมาตรฐานโดยการแนะน�ำจากองค์การอนามยั โลก (WHO) คอื วิธสี �ำรวจแบบ Visual Larval Survey เป็นการส�ำรวจลูกน�้ำยงุ ลายทมี่ ีจดุ ประสงคเ์ พียงส�ำรวจ และนบั จ�ำนวนภาชนะทีม่ นี ้�ำขงั ว่า พบหรือไมพ่ บลูกนำ�้ ยงุ ลาย ไมว่ ่าจะพบลกู น้�ำยุงลายระยะใดก็ตาม รวมทัง้ ตวั โมง่ เพยี ง 1 ตวั ก็ใหถ้ อื วา่ ภาชนะนน้ั มีลูกน้�ำ ใชส้ มมติฐานจากประชากรของยงุ ลายมคี วามสมั พนั ธก์ บั จ�ำนวนภาชนะขังน้ำ� ท่พี บลกู น้�ำยงุ ลาย โดยทัว่ ไปลูกน�ำ้ ทีพ่ บในภาชนะขงั นำ้� สะอาดสว่ นใหญม่ กั จะเปน็ ลกู นำ้� ยงุ ลาย แตเ่ พอ่ื ความถกู ตอ้ งของขอ้ มลู ทสี่ �ำรวจจงึ ควรรจู้ กั ลกั ษณะส�ำคญั ของลกู นำ�้ ยงุ ลายทสี่ ามารถใชจ้ �ำแนกชนดิ อย่างครา่ วๆ ในภาคสนามคอื ลักษณะของทอ่ หายใจ สน้ั และอ้วนปอ้ ม ความยาวประมาณ 1.5 ถงึ 2 เท่าของความกวา้ งและขณะเคลื่อนทใ่ี นน้�ำจะมีลกั ษณะเปน็ รปู ตัว S หรือเลข 8 การส�ำรวจยุงลายพาหะโรคไข้เลอื ดออก (Survey of DHF Vectors) แหลง่ เพาะพันธขุ์ องยงุ ลาย พบในภาชนะขังนำ้� สะอาดทีม่ นษุ ย์สรา้ งขึ้น บริเวณรอบและภายในบ้านเช่น ตุ่มน้ำ� จานรองขาตกู้ ันมด แจกัน กระปอ๋ ง ยางรถยนต์ กะลา บ่อคอนกรีตเป็นตน้ ดงั นั้นผ้สู �ำรวจต้องมคี วามละเอียดในการตรวจหาแหลง่ เพาะพันธ์ขุ องยงุ ลายไม่เวน้ แมแ้ ต่ภาชนะขังน�ำ้ ขนาดเลก็ เช่น ขวดเล็ก เศษขยะ กะลา ทีม่ ีนำ้� ขงั อปุ กรณท์ ่ใี ช้ ไฟฉายและแบบส�ำรวจลูกน้ำ� ยุงลาย วิธีการความร่วมมือระหว่างเจ้าบ้านและเจ้าหน้าที่มีความส�ำคัญในการส�ำรวจ ดังน้ันพนักงานส�ำรวจควรอธิบายแนะน�ำตัวเองแจ้งจดุ ประสงค์ในการส�ำรวจพร้อมทั้งขออนญุ าตเจา้ ของบา้ นและเพ่อื ความสะดวกรวดเรว็ ในการปฏิบตั งิ าน ควรสอบถามเจา้ ของบา้ นถึงต�ำแหน่งที่ต้ังของภาชนะขงั น้ำ� ต่าง ๆ เมือ่ พบภาชนะขงั น้ำ� ให้ใชไ้ ฟฉายส่องดภู ายในภาชนะแล้วบันทกึ ผลการส�ำรวจว่าพบหรือไม่พบลกู นำ้� ส�ำหรบั ภาชนะทไ่ี มม่ นี ำ�้ ขงั ไมบ่ นั ทกึ ลงในแบบส�ำรวจ การจดบนั ทกึ ในแบบส�ำรวจ ควรจดทกุ ครง้ั หลงั จากทไ่ี ดต้ รวจดภู าชนะนน้ั ๆแลว้ โดยปกตเิ จา้ หนา้ ทสี่ �ำรวจหนึง่ คนควรให้ส�ำรวจบ้านประมาณ 30 หลังการวเิ คราะห์ข้อมูลและการแปลผลข้อมลู หลงั จากส�ำรวจท�ำการใหเ้ กบ็ รวบรวมขอ้ มลู เพอื่ หาจ�ำนวนภาชนะทสี่ �ำรวจ จ�ำนวนภาชนะทพี่ บลกู นำ�้ ยงุ ลาย จ�ำนวนบา้ นทสี่ �ำรวจจ�ำนวนบ้านที่ส�ำรวจพบลกู น้ำ� ยงุ ลาย เพอ่ื การค�ำนวณค่าดชั นี 1. House Index (HI) หรือ Premise Index หมายถงึ จ�ำนวนบ้านทีส่ �ำรวจพบลกู น�้ำใน 100 บ้าน HI = จ�ำนวนบ้านที่ส�ำรวจพบลกู น้�ำยงุ ลาย x 100 จ�ำนวนบ้านท่สี �ำรวจท้ังหมด 2. Container Index (CI) หรอื Receptacle Index หมายถงึ จ�ำนวนภาชนะทส่ี �ำรวจพบลกู นำ�้ ยุงลายใน 100 ภาชนะ CI = จ�ำนวนภาชนะทส่ี �ำรวจพบลกู น้ำ� ยงุ ลาย x 100 จ�ำนวนภาชนะทส่ี �ำรวจทัง้ หมด 3. Breteau Index (BI) หมายถงึ จ�ำนวนภาชนะท่สี �ำรวจพบลกู นำ้� ใน 100 บา้ น BI = จ�ำนวนภาชนะทีส่ �ำรวจพบลกู น้ำ� ยุงลาย x 100 จ�ำนวนบ้านท่สี �ำรวจทงั้ หมด 4. Stegomyia Index (SI) หมายถงึ จ�ำนวนภาชนะทส่ี �ำรวจพบลูกน้�ำต่อประชากร 1,000 คน SI = จ�ำนวนภาชนะท่ีส�ำรวจพบลูกน้ำ� ยุงลาย x 1000 จ�ำนวนประชากรคนทง้ั หมดในพน้ื ท่ี 3. การส�ำรวจไข่ยุงลาย จากอุปนิสัยของยุงลายทีช่ อบวางไข่ดา้ นข้างของภาชนะเหนือระดบั น�้ำเลก็ น้อย จึงมกี ารพฒั นากับดกั ไข่ยงุ ลายขึน้ เพอ่ื ใชใ้ นการส�ำรวจความชุกชุมของยุงลาย ถ้าพบไข่ยุงลายสูง ความชุกชุมของยุงลายควรสูงเช่นกัน การส�ำรวจวิธีน้ีเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพ ไม่ต้องใชก้ �ำลงั คนมาก และสามารถตรวจผลการปฏบิ ตั ิงานไดโ้ ดยสะดวกอุปกรณ์ กบั ดักไขย่ ุงลาย ประกอบดว้ ย ภาชนะใสน่ ้�ำ เชน่ ขวด คู่มือวชิ าการโรคตดิ เช้ือเดงกีและโรคไข้เลอื ดออกเดงกี 59 ดา้ นการแพทย์และสาธารณสุข

แกว้ ทาสดี �ำ ภาชนะ เครอื่ งเคลอื บดนิ เผา ถว้ ยพลาสตกิ สดี �ำ มเี สน้ ผา่ ศนู ยก์ ลางประมาณ 3 นว้ิ สงู ประมาณ 5 นวิ้ วสั ดทุ ใ่ี ชส้ �ำหรบั ใหย้ งุ ลายวางไขท่ เ่ี รยี กวา่ “Paddle” เชน่ แผน่ ไมอ้ ดั ฟางทม่ี ดี า้ นหนงึ่ เรยี บอกี ดา้ นหนงึ่ ขรขุ ระ ผา้ ลายสอง มขี นาดกวา้ งประมาณ ¾ นวิ้ ความยาวเทา่ กบั ความสงู ของ ภาชนะ หรอื ใชถ้ ว้ ยพลาสตกิ สดี �ำ ขนาดเสน้ ผา่ ศนู ยก์ ลางประมาณ 4.5 นว้ิ ใสก่ ระดาษกรองขนาดกวา้ ง 2 นว้ิ ยาว 11 นวิ้ให้ยุงวางไข่ วิธีการ น�ำ Paddle ไปวางตั้งแนบกับภาชนะด้านในถ้าเป็นไม้อัดฟางให้ด้านขรุขระอยู่ ด้านนอก หนีบด้วยไม้หนีบหรือคลิป กบั ปากภาชนะ เตมิ นำ�้ สะอาดลงไปในภาชนะสงู ประมาณ 1-2 นว้ิ จากขอบดา้ นบน หรอื ถา้ ใชถ้ ว้ ยพลาสตกิ ใหใ้ สก่ ระดาษกรองแลว้ เตมิ นำ�้ สะอาดลงไป ประมาณคร่งึ ถว้ ย แล้วน�ำไปวางไว้ในสถานทเ่ี หมาะสมกบั การวางไข่ของยงุ ลาย เช่นใตต้ ู้กับ ขา้ ว ข้างตุ่มน�ำ้ ทค่ี ่อนข้างมืดมีลมสงบ ควรวางกับดักไข่ยุงลายอย่างน้อยหนึ่งอันในบริเวณ บ้านหรือนอกบ้านตามสถานที่ที่เหมาะสม ถ้าต้องการวางไว้ในบ้าน กับดกั ไข่ยุงลายทุกๆ อนั ทวี่ างในพน้ื ทคี่ วรวางไว้ในบ้านท้งั หมด วางท้งิ ไว้อย่างน้อย 2 วนั ส�ำหรบั จ�ำนวนวนั ท่วี างกับ ดกั ไข่ยงุ ลายตอ้ งเทา่ กนั ในการส�ำรวจแตล่ ะพ้นื ที่ จากนนั้ จงึ เก็บ Paddle หรอื กระดาษกรองใส่ ถงุ พลาสตกิ ถุงละ 1 อนั เพอ่ื น�ำไปตรวจนับจ�ำนวนไข ่ ยงุ ลายด้วยกลอ้ งจลุ ทรรศนน์ �ำข้อมูลมา ค�ำนวณหาอัตราการพบไข่ยงุ ลาย อัตราการพบไขย่ งุ ลาย (Percent positive trap) คือจ�ำนวนกบั ดักไข่ท่ตี รวจพบไข่ยงุ ลายใน 100 อัน Percent positive trap = จ�ำนวนกับดักไขท่ ีพ่ บไข่ยงุ ลาย x 100 จ�ำนวนกบั ดกั ไข่ที่วางท้ังหมด คา่ เฉลยี่ จ�ำนวนไข่ยุงลายต่อ 1 กับดักไข่ (Average egg per trap) มคี ่าเทา่ กบั Average egg per trap = จ�ำนวนไข่ยงุ ลายทีน่ ับได้ จ�ำนวนกบั ดักไข่ท่ีวางทั้งหมดการน�ำขอ้ มูลไปใชป้ ระโยชน์ คา่ ดชั นที ไี่ ดจ้ ากการส�ำรวจท�ำใหท้ ราบถงึ ความชกุ ชมุ ของยงุ ลายพาหะไขเ้ ลอื ดออกในพน้ื ทน่ี นั้ ๆทที่ �ำการส�ำรวจวา่ มากนอ้ ยเพยี งใดการน�ำค่าดัชนีไปใช้ประโยชน์น้ันข้ึนกับการก�ำหนดวัตถุประสงค์ของการส�ำรวจ เช่น การด�ำเนินโครงการถ่ายทอดแนวทางการด�ำเนินงานเรง่ รดั อ�ำเภอเพอ่ื เฝา้ ระวงั ปอ้ งกนั ควบคมุ โรคไขเ้ ลอื ดออกอยา่ งเขม้ แขง็ มกี จิ กรรมให.้ สคร. ด�ำเนนิ การประเมนิ คา่ ดชั นลี กู นำ้� ยงุ ลาย 3คือก่อนฤดูกาลระบาด ฤดูกาลระบาด และหลังฤดูกาลระบาด รอบใน 1 ปี วัตถุประสงค์เพ่ือน�ำข้อมูลจากการประเมินที่ได ้ มาใช้การประเมินสถานการณ์ และวางแผนการควบคุม ซึ่งส�ำหรับประเทศไทยยังไม่มีการก�ำหนดค่าดัชนีต่างไว้ว่าแน่ชัดว่าถ้าค่าดัชนี มคี ่าเท่าไรแลว้ ต้องมกี จิ กรรมหรอื ต้องด�ำเนินการใดๆ การใช้คาดคะเนการระบาดของโรคไข้เลือดออก คือการน�ำค่าดัชนีเหล่านี้มาสัมพันธ์กับจ�ำนวนผู้ป่วย เพ่ือพิจารณาว่าระดับ คา่ ดชั นีเท่าใดท่มี แี นวโนม้ วา่ จะพบ/ไม่พบผูป้ ว่ ย ซง่ึ แต่ละประเทศจะตอ้ งพจิ ารณาก�ำหนดระดับค่าดชั นขี องตนเอง ส�ำหรับประเทศไทยนน้ั จติ ตแิ ละคณะ ไดท้ �ำการศกึ ษาไวจ้ ากขอ้ มลู 14 จงั หวดั รวม 64 หมบู่ า้ นพบวา่ รอ้ ยละ 78.75 ของพน้ื ทท่ี มี่ อี บุ ตั กิ ารณข์ องโรคไขเ้ ลอื ดออก มคี า่ BI (โดยเฉลย่ี ) มากกว่า 100 สว่ นในพืน้ ทที่ ม่ี ีค่า BI (โดยเฉลย่ี ) ตำ่� กวา่ 50 มกั ไม่มีรายงานผู้ป่วย นอกจากน้ีกรมวิทยาศาสตร์ การแพทย์ก�ำหนดค่าดชั นี HI (House Index) BI (Breteau Index) BR (Biting Rate) ดังน้ี - HI > 10 จดั เปน็ พื้นท่เี ส่ียงสูงตอ่ โรคไข้เลือดออก ส่วนพืน้ ทเี่ สย่ี งต�่ำ คา่ HI <1 - BI > 50 จัดเปน็ พน้ื ท่เี สี่ยงสูงต่อโรคไขเ้ ลือดออก BI < 5 จัดเป็นพืน้ ทเ่ี สี่ยงตำ่� - BR > 2 จดั เปน็ พ้นื ทเ่ี สี่ยงสูงต่อโรคไข้เลือดออก สว่ นพ้นื ท่เี ส่ียงต�่ำค่า BR < 0.2 องคก์ ารอนามยั โลกก�ำหนดคา่ HI < 1.0% ในกรณที ดี่ �ำเนนิ การก�ำจดั ยงุ ลายพาหะในพนื้ ที่ คอื เมอ่ื มกี ารก�ำจดั ยงุ ลายในพนื้ ทเี่ สรจ็ส้นิ แลว้ เมื่อส�ำรวจลกู น้ำ� ยงุ ลายในพน้ื ทดี่ งั กล่าวทกุ หลงั คาเรือน คา่ HI จะตอ้ งนอ้ ยกว่า 1.0% เอกสารอา้ งองิ1. กรมวทิ ยาศาสตรก์ ารแพทย.์ กระทรวงสาธารณสขุ . ชวี วทิ ยา นเิ วศวทิ ยา และการควบคมุ ยงุ ในประเทศไทย.บรษิ ทั หนงั สอื ดวี นั จ�ำกดั . กรงุ เทพฯ. 2544. 126 หนา้ .2. กรมควบคมุ โรคตดิ ตอ่ . กระทรวงสาธารณสขุ . โรคไขเ้ ลอื ดออกฉบบั ประเกยี รณก. ชมุ นมุ สหกรณก์ ารเกษตรแหง่ ประเทศไทย : กรงุ เทพฯ. 2545. 160 หนา้ .3. World Health Organization. Dengue guidelines for diagnosis, treatment, prevention and control. 2009. 147 pp.4. WHO/SEARO.Global strategic Framework for in teqrated Vector Management 15 pp. WHO/SEARO 2004; Decision. making for the judicious use of insechcides. Facilitator’s guide. 115 pp.60 คู่มอื วชิ าการโรคตดิ เชื้อเดงกแี ละโรคไขเ้ ลือดออกเดงกี ดา้ นการแพทย์และสาธารณสขุ

บทที่ 9 หลกั การควบคมุ ยุงพาหะน�ำ โรค และการจดั การพาหะนำ�โรคแบบผสมผสานศ.ดร. ธีรภาพ เจรญิ วริ ยิ ภาพรศ.ดร. ชำ�นาญ อภวิ ฒั นศรบุญเสริม อ่วมอ่อง การจดั การพาหะน�ำโรคแบบผสมผสาน(IntegratedVectorManagementหรอื IVM) คอื การเลอื กใชว้ ธิ กี ารตา่ งๆในการควบคมุ ยงุ พาหะตามความเหมาะสมของบรบิ ทแตล่ ะพนื้ ท่ี โดยค�ำนึงถึงสภาพแวดล้อม ความพึงพอใจของประชาชนในท้องถิ่น ความเป็นไปได้ของ งบประมาณ ชนิดของยุงพาหะและส่ิงส�ำคัญคือ การมีส่วนร่วมของคนในชุมชนต้องตระหนักถึงสภาพปัญหาของโรคไข้เลือดออก เกิดความรับผดิ ชอบต่อปัญหาท่ีเกิดข้ึนในชมุ ชนของตนเอง พร้อมท้งั หาวิธกี ารแกไ้ ข ซง่ึ ปัญหาของโรคไข้เลือดออกเป็นเรอ่ื งท่เี ก่ียวขอ้ งกบั พฤตกิ รรมและสง่ิ แวดลอ้ ม ดงั นน้ั การด�ำเนนิ งาน ปอ้ งกนั และควบคมุ โรคไขเ้ ลอื ดออก จงึ ตอ้ งปรบั เปลย่ี นใหส้ อดคลอ้ งกบั สถานการณ์ของโรคทีเ่ ปล่ยี นแปลงไป โดยเน้นใหป้ ระชาชนเห็นความส�ำคญั และถอื เปน็ ภารกจิ ทีต่ ้องช่วยกนั กระตนุ้ และชกั น�ำให้ประชาชน องค์กรชมุ ชน ตลอดจนเครือขา่ ยสุขภาพใหม้ ีส่วนรว่ มอย่างจริงจงั และตอ่ เนื่อง จึงเปน็ กจิ กรรมส�ำคญั ทต่ี ้องเรง่ รดั ด�ำเนนิ การ เพือ่ ลดปัญหาการแพร่ระบาดของโรคไขเ้ ลือดออกท่มี มี าอยา่ งตอ่ เนื่อง การควบคุมยงุ พาหะน�ำโรคไขเ้ ลือดออกในปจั จบุ นั ทไี่ ดผ้ ล คือการควบคมุ ยงุ พาหะน�ำโรคใหน้ อ้ ยลง ท�ำไดโ้ ดยการควบคุมแหลง่เพาะพนั ธก์ุ ารก�ำจดั ยงุ ตวั เตม็ วยั และลกู นำ้� ซง่ึ มหี ลายวธิ ดี ว้ ยกนั แตว่ ธิ ที เี่ ปน็ ทนี่ ยิ มใชม้ ากคอื การใชส้ ารเคมี เนอ่ื งจากเหน็ ผลอยา่ งรวดเรว็แต่จากการใช้อย่างต่อเนื่องอาจท�ำให้เกิดการต้านทานต่อสารเคมี โดยเฉพาะยุงที่มีนิสัยหากินและเกาะพักในบ้าน เช่น ยุงลายบ้าน ในประเทศไทยมกี ารตา้ นทานตอ่ เพอรม์ ิทรินกระจายทวั่ ภูมภิ าคของประเทศไทย และมแี นวโนม้ ต้านทานตอ่ สารเคมอี ีกหลายชนดิ เช่นเฟนโิ ตรไธออน เดลตา้ มทิ รนิ ไซฟลทู รนิ ฯลฯ เปน็ ตน้ นอกจากนผี้ ลกระทบจากการใชส้ ารเคมี ปจั จบุ นั เปน็ ทย่ี อมรบั และตระหนกั กนั ดวี า่การใช้สารเคมีควบคุมยุงพาหะน�ำโรค นอกจากจะก่อให้เกิดปัญหายุงต้านทานต่อสารเคมีแล้ว ยังเกิดปัญหาการตกค้างของสารเคมี ในสภาพแวดลอ้ ม สัตว์และอาหาร นอกจากน้ันยังอาจมีผลตอ่ การเปน็ โรคผื่นแพ้ โรคทางเดนิ หายใจ เปน็ ตน้ ดังนนั้ เพ่ือลดผลกระทบท่ีเกิดข้ึนจากการควบคุมยุงพาหะน�ำโรค จ�ำเป็นต้องอาศัยการจัดการพาหะน�ำโรคแบบผสมผสาน โดยได้รับความร่วมมือจากทุกภาคสว่ นท่เี กี่ยวขอ่ งในชุมชนหลกั การป้องกันและควบคุมยงุ พาหะน�ำโรค มาตรการป้องกันควบคุมโรคที่ส�ำคัญ ได้แก่ ป้องกันคนไข้และคนปกติไม่ให้ถูกยุงกัด ก�ำจัดยุงและลูกน้�ำ ลดแหล่งเพาะพันธุ์ ไม่ใหย้ ุงสามารถแพรพ่ ันธ์ุเพิม่ ความหนาแนน่ ได้วัตถปุ ระสงคข์ องการปอ้ งกนั และควบคุมยงุ พาหะน�ำโรค 1. ลดความความชกุ ชมุ ของพาหะน�ำโรค หมายถงึ การใชม้ าตรการตอ่ ยงุ เพอ่ื ใหค้ วามชกุ ชมุ ของยงุ พาหะตำ่� ลง จนลดโอกาสการแพรเ่ ชือ้ โรคลงได้ 2. ลดอายุยงุ พาหะน�ำโรค โดยทว่ั ไปยงุ ตัวเมียทว่ั ๆ ไป จะมอี ายุประมาณ 1 เดอื น หากสามารถลดอายขุ องยงุ ใหส้ น้ั ลงโอกาสทจี่ ะแพรเ่ ช้อื ก็จะลดลงเชน่ กัน และหากลดอายใุ หส้ ั้นกวา่ 1 สัปดาห์ โอกาสท่ียุงจะแพร่เชื้อไดต้ ำ�่ มาก 3. ลดการสมั ผสั ระหวา่ งคนและพาหะน�ำโรค วธิ กี ารแพรโ่ รคตดิ ตอ่ ทนี่ �ำโดยแมลง สว่ นใหญเ่ กดิ จากการถกู ยงุ กดั หากปอ้ งกนัไมใ่ หถ้ ูกยงุ กดั ได้จะเปน็ การป้องกนั โรคไดเ้ กอื บรอ้ ยเปอรเ์ ซน็ ต์ คู่มือวิชาการโรคติดเชอื้ เดงกีและโรคไข้เลือดออกเดงกี 61 ด้านการแพทยแ์ ละสาธารณสขุ

วิธกี ารป้องกนั และควบคมุ พาหะน�ำโรค จากวงชีวิตของยุงพาหะน�ำโรคซ่ึงประกอบไปด้วย ระยะไข่ ระยะตัวอ่อน ระยะตัวโม่งและระยะตัวเต็มวัย สามารถแบ่งกลุ่ม การควบคุมไดเ้ ปน็ 2 กลุม่ ใหญๆ่ คือการควบคุมระยะตวั ออ่ นและการควบคมุ ระยะตัวเต็มวัย ส�ำหรบั การระยะตวั ออ่ น ได้แก่ การก�ำจัดลูกน�ำ้ และลดแหลง่ เพาะพันธจ์ุ ะมีส�ำคญั และมปี ระสิทธภิ าพสงู หากสามารถท�ำได้ถูกต้อง ครอบคลมุ และทนั เวลา การควบคุมลกู น�้ำ ยงุ ลายเป็นยงุ ทว่ี างไขใ่ นภาชนะขงั น�้ำทส่ี รา้ งขน้ึ หรือตามเศษวัสดุ ขยะ บรเิ วณใกล้เคยี งกบั แหลง่ หากนิ เลือดโดยทั่วไปรัศมไี มเ่ กิน 500 เมตร ดังน้นั มาตรการก�ำจดั ควรด�ำเนินการ ควรด�ำเนนิ การกบั แหล่งเพาะพนั ธจุ์ ะครอบคลุมและรวดเร็วกว่าซง่ึ จ�ำเปน็ ตอ้ งด�ำเนนิ การใหถ้ กู ตอ้ ง ครอบคลมุ และทนั เวลาอยา่ งตอ่ เนอื่ งทกุ สปั ดาห์ โดยเนน้ ทชี่ มุ ชนและครวั เรอื นตอ้ งมสี ว่ นรว่ มด�ำเนนิการ วิธีการก�ำจัดลูกน�้ำที่ส�ำคัญได้แก่ ได้แก่ การลดแหล่งเพาะพันธุ์ การควบคุมทางกายภาพ การควบคุมโดยชีววิธี การใช้สารเคมีจลุ นิ ทรยี ห์ รอื สารยบั ยง้ั การเจรญิ เตบิ โต สามารถลดความหนาแนน่ ของลกู นำ�้ ยงุ และตวั เตม็ วยั ได้ แตไ่ มส่ ามารถลดอายขุ ยั และการสมั ผสัระหว่างคนกับยุงพาหะได้ การก�ำจัดควบคุมลูกน้�ำยุงต้องท�ำทุกระยะการแพร่โรค ทั้งก่อนการระบาด ระหว่างการระบาดและหลัง การระบาด (อ่านรายละเอียดเพิ่มบทที่ 11 และ 12) การควบคมุ ตวั ยงุ การควบคุมยุงพาหะน�ำโรคควรด�ำเนินการควบคมุ ระยะลกู นำ�้ แต่บางคร้ังมีข้อจ�ำกัดในการด�ำเนนิ การ ดังนั้นหากไมส่ ามารถก�ำจดั ลกู น�ำ้ ยุงได้ จ�ำเป็นอย่างยงิ่ ท่จี ะตอ้ งก�ำจดั ตวั ยุงโดยอาจใชว้ ิธที างกายภาพหรือวธิ ีกล เช่น การใชส้ ารซกั ลา้ ง การใช้ไมต้ บไฟฟา้ นอกจากนน้ั อาจปอ้ งกนั ตนเองจากยงุ กดั เชน่ การใชม้ งุ้ ลวด การใชม้ งุ้ การใชพ้ ชื ไลย่ งุ แตห่ ากไมส่ ามารถหยดุ ยงั้ การแพรโ่ รคได้หากจ�ำเปน็ ตอ้ งใชส้ ารเคมคี วรใชเ้ ทา่ ทจี่ �ำเปน็ เชน่ สารเคมชี บุ วสั ดแุ ขวน เพอื่ ลอ่ ใหย้ งุ มาเกาะวสั ดทุ แี่ ขวนนนั้ สารเคมนี น้ั มฤี ทธฆิ์ า่ ยงุ หรอืสารเคมีบางชนิดจะมีฤทธิ์ในการขับไล่ยุงให้ออกนอกบ้านด้วย ส�ำหรับการพ่นยูแอลวีหรือการพ่นหมอกควัน ให้ด�ำเนินการเฉพาะ เพอื่ การควบคมุ โรคเมอ่ื เกดิ โรค การด�ำเนนิ การอยา่ งรวดเรว็ ทนั เวลา ถกู ตอ้ งทางเทคนคิ และครอบคลมุ รอบบา้ นผปู้ ว่ ยรศั มี 100-200 เมตรเม่ือพบผู้ปว่ ยจะสามารถหยดุ ยั้งการแพร่โรคได้รวดเร็ว (อ่านรายละเอียดเพ่มิ บทที่ 11 และ 12) การใช้สารเคมีควบคุมยุงพาหะน�ำโรคมาอย่างต่อเนื่อง ก่อให้เกิดการต้านทานต่อสารเคมีโดยเฉพาะยุงที่มีนิสัยหากินและเกาะพักในบ้าน เช่น ยุงลายบ้านในประเทศไทยมีการต้านทานต่อเพอร์มิทรินกระจายท่ัวภูมิภาคของประเทศไทย และมีแนวโน้มต้านทาน ตอ่ สารเคมอี ีกหลายชนิดเช่น เฟนิโตรไธออน เดลต้ามทิ รนิ ไซฟลูทรนิ เป็นตน้ ดงั น้ันการเลอื กใช้สารเคมีจ�ำเป็นต้องติดตามสถานการณ์การตา้ นทานของยงุ ต่อสารเคมีด้วย ผลกระทบจาการใชส้ ารเคมี ปจั จุบันเป็นท่ยี อมรับและตระหนกั กันดวี า่ การใชส้ ารเคมีควบคมุ ยงุ พาหะน�ำโรคนอกจากจะก่อให้เกิดปญั หายุงต้านทานตอ่ สารเคมีแลว้ ยงั เกิดปญั หาการตกค้างในสภาพแวดล้อม สัตว์และอาหาร นอกจากน้นั ยังอาจมีผลตอ่ การเปน็โรคผน่ื แพ้ โรคทางเดนิ หายใจ เปน็ ตน้ ผใู้ ชส้ ารเคมจี �ำเปน็ ตอ้ งตระหนกั ตอ่ ปญั หาดงั กลา่ ว จงึ ตอ้ งพจิ ารณาการใชส้ ารเคมตี ง้ั แต่ การเลอื กชนดิ สารเคมี การก�ำหนดคณุ ลักษณะ การตรวจสอบคณุ ภาพ การน�ำไปใชใ้ หถ้ กู ตอ้ งทางเทคนคิ การป้องกันตนเองของผดู้ �ำเนินการและประชาชนกลุ่มเป้าหมาย เพอ่ื ใหไ้ ดร้ บั ผลกระทบจากการใชส้ ารเคมนี ้อยที่สดุ ดังน้ันเพ่ือลดผลกระทบที่เกิดข้ึนจากการควบคุมยุงพาหะน�ำโรค จ�ำเป็นต้องอาศัยการจัดการพาหะน�ำโรคแบบผสมผสาน โดยได้รับความร่วมมือจากทุกภาคส่วนการจดั การยุงพาหะน�ำโรคแบบผสมผสาน (Integrated Vector Management) ในปี ค.ศ. 2007 องค์การอนามยั โลกได้ใหน้ ยิ าม Integrated Vector Management (IVM) คอื กระบวนการตดั สนิ ใจอย่างมีเหตุผลเพื่อให้มีการใช้ทรัพยากรอย่างเหมาะสมในการควบคุมพาหะน�ำโรค เพ่ือลดหรือหยุดยั้งการแพร่เช้ือโรค โดยมีองค์ประกอบ ท่ี ส�ำคัญคือ มีกระบวนการตัดสินใจอย่างมีเหตุผล มีความคุ้มค่าและยั่งยืน มีด�ำเนินการภายใต้กฎระเบียบและวิธีการท่ีเหมาะสม มกี ารสนบั สนนุ จากผู้มสี ว่ นเกี่ยวขอ้ งและผมู้ ีส่วนได้ส่วนเสยี มีตัวชี้วดั ท่ีชดั เจน การจดั การยงุ พาหะน�ำโรคแบบผสมผสานจะกอ่ ใหเ้ กดิ ประโยชน์ กลา่ วคอื เกดิ ความรว่ มมอื ระหวา่ ง ภาคสว่ นทเี่ กย่ี วขอ้ งกบั การจัดการยุงพาหะน�ำโรค เช่น หน่วยงานสาธารณสุข องค์กรปกครองส่วนท้องถ่ิน สถาบันการศึกษา หน่วยงานด้านการเกษตรและ สงิ่ แวดลอ้ ม และประชาชนในทอ้ งถน่ิ รว่ มคดิ รว่ มท�ำ การใชท้ รพั ยากรในการควบคมุ ยงุ พาหะน�ำโรคทมี่ อี ยอู่ ยา่ งเหมาะสม อาจเปน็ เครอ่ื งมอื หรอืภูมิปัญญาท้องถิ่น เกิดการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ และเห็นผลการปฏิบัติด้วยตนเอง ก่อให้เกิดทัศนคติท่ีดีต่อการควบคุมยุงพาหะน�ำโรค และลดการใช้สารเคมคี วบคุมยงุ พาหะน�ำโรค62 คมู่ อื วชิ าการโรคตดิ เชอื้ เดงกแี ละโรคไข้เลือดออกเดงกี ด้านการแพทย์และสาธารณสุข

ในปี 2552 ได้มีการประชมุ วิเคราะหส์ ถานการณ์การด�ำเนินการจดั การยุงพาหะน�ำโรคแบบผสมผสานของประเทศไทย พบวา่ขณะนี้การด�ำเนินการเป็นการควบคมุ ยงุ พาหะน�ำโรคแบบผสมผสานยงั ขาดการจัดการที่เปน็ ระบบ ดังน้นั จึงมีการวางกรอบการจัดการพาหะน�ำโรคส�ำหรบั ประเทศไทย โดยมวี ตั ถปุ ระสงคเ์ พอื่ ใหช้ มุ ชนมสี ว่ นรว่ มตอ่ การควบคมุ ยงุ พาหะน�ำโรค เพมิ่ ประสทิ ธภิ าพการควบคมุยุงพาหะน�ำโรค เพื่อน�ำมาตรการท่เี หมาะสมมาผสมผสานอยา่ งเป็นระบบ โดยค�ำนงึ ถงึ ความปลอดภยั ตอ่ คน สตั ว์ ส่ิงแวดลอ้ ม และ ใชส้ ารเคมอี ยา่ งสมเหตสุ มผล การจัดการยุงพาหะน�ำโรคแบบผสมผสานควรเร่มิ ท่ีองคก์ รปกครองสว่ นทอ้ งถ่นิ เนอ่ื งจาก 1)การควบคมุ ยงุ พาหะน�ำโรคแบบผสมผสานเปน็ การแกป้ ญั หาในทอ้ งถนิ่ การด�ำเนนิ การโดยสว่ นกลางอาจจะไมเ่ หมาะสมกบั ทอ้ งถนิ่ 2) องค์กรปกครองส่วนทอ้ งถ่นิ ทราบ พน้ื ท่ี ปญั หา วฒั นธรรมและสังคม วิถชี ีวิตในท้องถนิ่ 3) องคก์ รปกครองส่วนท้องถ่ิน เปน็ หนว่ ยงานของรฐั ท่ีใกลช้ ิดและเขา้ ถงึ ประชาชนมากทีส่ ุด 4) องค์กรปกครองส่วนทอ้ งถน่ิ มีบทบาทหนา้ ท่ตี ้องด�ำเนนิ การควบคมุ แมลงพาหะน�ำโรคในพื้นท่ีรับผิดชอบ 5) องค์กรปกครองสว่ นท้องถิ่น มงี บประมาณและทรัพยากรดา้ นการควบคุมยงุ หาหะน�ำโรค 6) องค์กรปกครองส่วนท้องถน่ิ สามารถระดมทรัพยากรและความร่วมมอื ไดม้ ากกว่าหน่วยงานอื่นข้นั ตอนการจดั การยงุ พาหะน�ำโรคแบบผสมผสานของท้องถนิ่ เมื่อพิจารณาเห็นว่าองค์กรปกครองส่วนท้องถ่ิน ควรเป็นเจ้าภาพหลักในการจัดการพาหะน�ำโรคแบบผสมผสานน้ัน ควรม ี ขนั้ ตอนการด�ำเนินการดังตอ่ ไปนี้ 1. ทบทวนกรอบและศักยภาพการด�ำเนินงานของท้องถิ่น องค์กรปกครองส่วนท้องถ่ิน ควรได้พิจารณาว่ามีกรอบการด�ำเนินงานและศักยภาพต่อการจัดการพาหะน�ำโรค มากน้อยเพยี งใดจะต้องพัฒนาศักยภาพการด�ำเนินงานอย่างไรบ้าง 1.1 กรอบการด�ำเนินงานของทอ้ งถนิ่ (อ�ำนาจหนา้ ท่ี) กฎหมาย ทใ่ี หอ้ �ำนาจและหนา้ ทแ่ี กอ่ งคก์ รปกครองสว่ นทอ้ งถน่ิ ใชบ้ งั คบั ครอบคลมุ โดยทว่ั ไป ทเ่ี กย่ี วขอ้ งกบั การควบคมุยุงพาหะน�ำโรค เช่น 1) พระราชบัญญตั เิ ทศบาล พ.ศ.2496, พระราชบญั ญตั สิ ภาต�ำบลและองคก์ ารบรหิ ารสว่ นต�ำบล พ.ศ. 2537 2) พระราชบัญญตั ิก�ำหนดแผนและขน้ั ตอนการกระจายอ�ำนาจใหแ้ กอ่ งคก์ รปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ. 2542 1.2 นโยบายดา้ นสาธารณสุข การควบคุมแมลงน�ำโรค องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นควรพิจารณานโยบายด้านสาธารณสุข ว่าจะจัดการพาหะน�ำโรคได้อย่างไร จากนโยบาย น�ำไปสกู่ ารจัดท�ำงบประมาณประจ�ำปเี พือ่ สนบั สนุนการจัดการพาหะน�ำโรค 1.3 นโยบายสิ่งแวดลอ้ ม การจดั การพาหะน�ำโรค จ�ำเปน็ ตอ้ งอาศยั ความรว่ มมอื จากหลายภาคสว่ น การจดั การสง่ิ แวดลอ้ มทเ่ี หมาะสม จะชว่ ยลดแหลง่ เพาะพนั ธข์ุ องยงุ พาหะน�ำโรคไดม้ าก ดงั นน้ั ควรมกี ารจดั ท�ำนโยบายดา้ นสง่ิ แวดลอ้ มทเี่ ออื้ อ�ำนวยตอ่ การจดั การพาหะน�ำโรค และสามารถน�ำไปจดั ท�ำขอ้ บญั ญตั ทิ อ้ งถนิ่ ภายใตก้ ฎหมายหลายฉบบั เชน่ พระราชบญั ญตั กิ ารสาธารณสขุ พ.ศ. 2535 และ พระราชบญั ญตั ิการสาธารณสขุ (ฉบบั ที่ 2) พ.ศ. 2550 1.4 นโยบายทางด้านเกษตร การผลิตทางการเกษตรท่ีดีและเหมาะสม หรือ Good Agriculture Practices (GAP) หมายถึง แนวทางในการท�ำ การเกษตร เพ่ือให้ไดผ้ ลผลติ ทม่ี ีคณุ ภาพดตี รงตามมาตรฐานทกี่ �ำหนด ได้ผลผลิตสูงคมุ้ คา่ การลงทนุ และขบวนการผลิตจะต้องปลอดภยัตอ่ เกษตรกรและผบู้ รโิ ภค มกี ารใชท้ รพั ยากรทเ่ี กดิ ประโยชนส์ งู สดุ เกดิ ความยง่ั ยนื ทางการเกษตรและไมท่ �ำใหเ้ กดิ มลพษิ ตอ่ สง่ิ แวดลอ้ มโดยหลกั การน้ีไดร้ ับการก�ำหนดโดยองคก์ ารอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติ (FAO) นอกจากนัน้ ยังมีหลักการจดั การศัตรพู ืชแบบผสมผสาน (Integrated Pest Management) หากน�ำหลกั การเหลา่ นมี้ าใชร้ ว่ มกบั การจัดการพาหะน�ำโรคแบบผสมผสาน จะส่งผลดีต่อการเกษตร สาธารณสุขและสิง่ แวดลอ้ ม คู่มือวชิ าการโรคติดเชอ้ื เดงกแี ละโรคไข้เลือดออกเดงกี 63 ด้านการแพทย์และสาธารณสุข

2. วเิ คราะหส์ ถานการณ์โรคติดตอ่ น�ำโดยยุงพาหะน�ำโรคและการควบคมุ ยุงพาหะน�ำโรคในท้องถ่นิ 2.1 วเิ คราะห์สถานการณ์โรคติดตอ่ น�ำโดยยุง องค์กรปกครองส่วนท้องถ่ิน ควรจัดท�ำข้อมูลโรคติดต่อน�ำโดยแมลงท่ีส�ำคัญ ได้แก่ ไข้เลือดออก ไข้ปวดข้อยุงลาย ไขม้ าลาเรยี โรคเทา้ ชา้ ง ในพน้ื ทรี่ บั ผดิ ชอบ ซง่ึ ในการวเิ คราะหส์ ถานการณค์ วรประสานงานกบั หนว่ ยงานสาธารณสขุ ทอี่ ยใู่ นพน้ื ท่ี ไดแ้ ก่ส�ำนกั งานสาธารณสขุ อ�ำเภอ สถานอี นามยั ศนู ยค์ วบคมุ โรคตดิ ตอ่ น�ำโดยแมลง และหนว่ ยงานอนื่ ๆ ทเี่ กยี่ วขอ้ งเพอื่ วเิ คราะหส์ ถานการณ์ร่วมกัน ใหไ้ ดข้ ้อมลู ท่คี รอบคลมุ ปัญหาทกุ ดา้ น สามารถน�ำมาวางแผน ก�ำหนดมาตรการในการแกไ้ ขปัญหาในพื้นที่ โดยสถานการณ์ท่ีวิเคราะห์ควรรู้ในเร่ืองต่างๆ เช่น กลุ่มอายุผู้ป่วย เพศ อาชีพป่วย ตลอดจนวิเคราะห์อาชีพเสี่ยง ฤดูกาลแพร่เช้ือ สภาพส่ิงแวดล้อม ในพ้นื ทที่ ีเ่ ออื้ ต่อการเกิดโรค การกระจายตัวของโรคตามพ้ืนท่อี ย่อู าศัยและแหลง่ แพร่เชื้อ มาตรการทด่ี �ำเนนิ การอยแู่ ลว้ ในพ้นื ทีน่ น้ั ๆ ข้อมูลต่างๆ เหล่านี้รวบรวมได้จากหน่วยงานสาธารณสุขที่เก่ียวข้อง เช่น โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพต�ำบล ศูนย์โรคติดต่อ น�ำโดยแมลง ส�ำนกั งานปอ้ งกนั ควบคมุ โรค ส�ำนกั โรคติดต่อน�ำโดยแมลง เป็นตน้ 2.2 วิเคราะหส์ ถานการณก์ ารแพร่กระจายของยงุ พาหะน�ำโรคในทอ้ งถนิ่ องค์กรปกครองส่วนท้องถ่ิน ควรรวบรวมข้อมูลการกระจายตัวของพาหะน�ำโรคในพื้นที่รับผิดชอบ เพ่ือประกอบการวางแผนควบคมุ แมลงน�ำโรค ขอ้ มลู ท่ีควรรวบรวม ไดแ้ ก่ ชนิดยุงพาหะน�ำโรค แหลง่ เพาะพนั ธ์ุยงุ พาหะทีส่ �ำคญั ในทอ้ งถน่ิ ตามสภาพความเปน็ จรงิ ชวี วทิ ยาทส่ี �ำคญั ของแมลงพาหะน�ำโรค ไดแ้ ก่ การวางไข่ ชนดิ เหยอื่ เวลาและแหลง่ หากนิ ระยะบนิ การเกาะพกั อายขุ ยั เปน็ ตน้ 2.3 สถานการณก์ ารตา้ นทานต่อสารเคมขี องพาหะน�ำโรคชนิดนน้ั ๆ ข้อมลู ต่างๆ เหล่านอี้ าจรวบรวมไดจ้ ากหน่วยงานสาธารณสขุ ท่เี กี่ยวข้อง เช่น ศนู ยโ์ รคตดิ ต่อน�ำโดยแมลง ส�ำนักงานป้องกันควบคมุ โรค ส�ำนกั โรคติดต่อน�ำโดยแมลง มหาวิทยาลัยต่างๆ เป็นตน้ 2.4 วิเคราะหว์ ธิ กี ารควบคมุ ยงุ พาหะน�ำโรคท่ีใชอ้ ยใู่ นชมุ ชน การควบคุมพาหะน�ำโรคส่วนใหญ่เป็นมาตรการที่ภาครัฐก�ำหนดข้ึนมา ให้ท้องถิ่นหรือประชาชนน�ำไปใช้ ปัญหาของการควบคมุ พาหะน�ำโรคอยา่ งหนงึ่ คอื ขาดน�ำวธิ กี ารควบคมุ ไปปฏบิ ตั หิ รอื ไดร้ บั การยอมรบั จากชมุ ชน ซงึ่ อาจเกดิ จากปจั จยั หลายประการดว้ ยกนั เชน่ ไมม่ คี วามรใู้ นการน�ำไปใช้ กลวั วา่ หากน�ำไปใชจ้ ะมอี นั ตรายเกดิ ขนึ้ ไมช่ อบ รงั เกยี จ ท�ำไดย้ าก ไมส่ ะดวก เบอื่ ตอ้ งท�ำบอ่ ยๆ ไม่มีความคงทนถาวร เสียเวลา ไม่เป็นไปตามวถิ ีชวี ิต ขนบธรรมเนียมประเพณี ศาสนา ขาดความรว่ มมอื จากชมุ ชน การน�ำมาตรการหรอื นโยบายการควบคมุ พาหะน�ำโรคมาใช้ เกดิ จากการศกึ ษาขอ้ มลู ในภาพกวา้ ง แตย่ งั มวี ธิ กี ารควบคมุยุงพาหะวิธีการอื่นๆ ท่ีใช้เฉพาะท้องถ่ิน เนื่องจาก อาจจะเกิดจากภูมิปัญญาท้องถิ่น วิธีการน้ันมีข้อดีหรือข้อจ�ำกัดเฉพาะท้องถิ่น การยอมรบั จงึ ไม่สามารถน�ำไปใช้ไดอ้ ย่างแพร่หลาย ดังน้ันจ�ำเปน็ ตอ้ งพิจารณา วธิ กี ารควบคมุ พาหะน�ำโรคทใ่ี ชอ้ ยใู่ นชมุ ชน รวมท้ังภมู ปิ ัญญาท้องถ่ินทใ่ี ช้ วธิ ีการ วัสดทุ ี่ใช้ควบคมุ ยงุ ทม่ี อี ยใู่ นทอ้ งถน่ิ รวมทงั้ ปญั หาอปุ สรรคในการควบคมุ แมลงน�ำโรค เชน่ ความรว่ มมอื ปญั หาดา้ นสงั คม ปญั หาดา้ นเศรษฐกจิ เปน็ ตน้ การรวบรวมขอ้ มลู การควบคมุ พาหะน�ำโรคทใี่ ชใ้ นชมุ ชน จะเปน็ ทางเลอื ก เพอื่ น�ำเสนอตอ่ ชมุ ชนในการน�ำไปใชป้ ระโยชน์ตวั อยา่ งการควบคมุ ยุงพาหะน�ำโรคในชมุ ชน เชน่ - การควบคมุ โดยชีววิธี เช่น ใช้ปลาหางนกยูง ปลาแกมบเู ชยี ปลาหัวตะกวั่ ปลากระด่ี ปลาบู่ มวนวน มวนกรรเชยี งลูกน�้ำยุงยักษ์ ตวั อ่อนด้วงเหน่ียง ไรน้�ำจืด - การใสส่ ารปรับสภาพน้ำ� เช่น เกลอื แกง น้�ำส้มสายชู ปูนแดง ก�ำมะถนั - การปรบั ปรุงสิ่งแวดลอ้ ม การใส่ทรายหรือการใส่ผา้ ในจานรองกระถาง การใช้น้�ำมนั - การใชส้ มนุ ไพรไลย่ ุง - การใช้กับดกั แสงไฟ กลอ่ งดกั ยงุ 3. ก�ำหนดเป้าประสงค์ องค์กรปกครองสว่ นท้องถิ่น ควรไดม้ ีการก�ำหนดเปา้ ประสงคข์ องหนว่ ยงานในการควบคมุ โรค เป้าประสงคค์ วรไปในทิศทางเดียวกับกระทรวงสาธารณสุข แตอ่ าจมีเปา้ ประสงคเ์ พม่ิ เติมตอกเหนือไปอีก ได้แก่ - ลดแหล่งเพาะพนั ธุ์ อาจเป็นการลดดัชนีลกู น้�ำยงุ ลายทง้ั หมด หรอื ลดจ�ำนวนแหลง่ เพาะพันธุ์ทีส่ �ำคญั64 คมู่ อื วิชาการโรคตดิ เชื้อเดงกีและโรคไข้เลือดออกเดงกี ดา้ นการแพทย์และสาธารณสขุ

- ลดการสัมผัสระหว่างยงุ พาหะน�ำโรคกบั คน โดยใหค้ นมีโอกาสถกู ยงุ กดั ลดลง - ลดโรค อาจเป็นการลดโรคโดยภาพรวมหรือเฉพาะกลุ่ม เช่น นักเรียน กลุ่มอาชีพต่างๆ พ้ืนที่เฉพาะแห่งที่เป็น กล่มุ เส่ยี ง เป็นตน้ - ท�ำใหช้ ุมชนมีส่วนรว่ มในกจิ กรรมต่างๆ ส่งิ ส�ำคัญ คือ เม่อื ด�ำเนินการเสรจ็ สิ้นแล้วอยากเห็นอะไร อย่างไรก็ดีการก�ำหนดเปา้ ประสงคต์ อ้ งสามารถวดั ผลได้ 4. กระบวนการจดั การยงุ พาหะน�ำโรค (Implementation process) 4.1 จดั ล�ำดับความส�ำคญั โรคติดต่อน�ำโดยยงุ องค์กรปกครองส่วนท้องถ่ิน ควรได้พิจารณาโรคติดต่อน�ำโดยแมลงที่มีความส�ำคัญและก่อให้เกิดปัญหาในท้องถ่ิน สว่ นใหญจ่ ะเปน็ โรคไขเ้ ลอื ดออก บางพนื้ ทม่ี โี รคปวดขอ้ ยงุ ลาย ไขม้ าลาเรยี และโรคเทา้ ชา้ ง ในงบประมาณทมี่ อี ยอู่ ยา่ งจ�ำกดั ควรพจิ ารณาใหค้ วามเขม้ ข้นด�ำเนินการตามความส�ำคญั โดยใช้ขอ้ มูลวิเคราะหส์ ถานการณโ์ รคตดิ ต่อน�ำโดยยุงจากข้อ 2.1 4.2 จดั แบ่งพน้ื ท่ีเส่ยี งตอ่ โรคติดตอ่ น�ำโดยยุง เมอ่ื เหน็ วา่ โรคตดิ ตอ่ น�ำโดยแมลงโรคใดทมี่ คี วามส�ำคญั ตอ้ งด�ำเนนิ การกอ่ น ใหจ้ ดั แบง่ พน้ื ทต่ี ามความเสยี่ ง เนอ่ื งจากพน้ื ที่รบั ผดิ ชอบอาจมีความเส่ยี งต่อการเกดิ โรคแตกตา่ งกันไป มาตรการที่ใชอ้ าจแตกต่างกันไปดว้ ย การแบง่ พน้ื ที่อาจแบง่ เป็นหมบู่ า้ นหรือกล่มุ บา้ นเปน็ ต้น โดยใชข้ อ้ มลู วิเคราะหส์ ถานการณ์โรคตดิ ตอ่ น�ำโดยแมลงจากข้อ 2.1 และ วเิ คราะห์ สถานการณ์การแพรก่ ระจายของพาหะน�ำโรคในท้องถน่ิ จากขอ้ 2.2 4.3 คดั เลอื กพ้ืนทท่ี จ่ี ะด�ำเนินการจัดการยงุ พาหะน�ำโรค การด�ำเนนิ การหากไมส่ ามารถท�ำไดค้ รอบคลมุ ทกุ หมบู่ า้ นขององคก์ รปกครองสว่ นทอ้ งถน่ิ ใหค้ ดั เลอื กเพยี งบางกลมุ่ บา้ นหรอื บางหมบู่ ้าน เกณฑ์การคดั เลือกชุมชนทจ่ี ะด�ำเนินการจดั การพาหะน�ำโรคแบบผสมผสาน ไดแ้ ก่ ชุมชนตระหนกั ตอ่ ปัญหาโรคตดิ ต่อน�ำโดยแมลง ผู้น�ำชุมชนให้ความส�ำคัญต่อการจัดการพาหะน�ำโรคแบบผสมผสาน สมาชิกชุมชนมีทัศนคติท่ีดีต่อการจัดการพาหะน�ำ โรคแบบผสมผสาน 4.4 พจิ ารณาทางเลือกในการควบคมุ ยุงพาหะน�ำโรค การควบคมุ ยุงพาหะน�ำโรค มมี ากมายหลายวิธีการ ไดแ้ ก่ การควบคมุ โดยวธิ กี ล วิธที างกายภาพ ชีววธิ ี ตลอดจนการใช้สารเคมี ซงึ่ แตแ่ ละวธิ กี ารมปี ระโยชน์ ความสะดวก ผลดแี ละขอ้ จ�ำกดั ทแ่ี ตกตา่ งกนั ไป ดงั นน้ั จ�ำเปน็ ตอ้ งน�ำทางเลอื กทงั้ หมดมาพจิ ารณาเพอื่ เลอื กวธิ ที เี่ หมาะสมกบั ทอ้ งถน่ิ โดยค�ำนงึ ถงึ มติ ิ ดา้ น ประสทิ ธภิ าพ สงิ่ แวดลอ้ ม เศรษฐกจิ สงั คม ของแตล่ ะพนื้ ท่ี ทางเลอื กทส่ี �ำคญั ๆ ไดแ้ ก่ 4.5 เลือกวิธกี ารควบคุมยงุ พาหะน�ำโรค อยา่ งเหมาะสม หลักการจัดการพาหะน�ำโรคแบบผสมผสาน Integrated Vector Management (IVM) คือ กระบวนการตัดสินใจ อยา่ งมเี หตผุ ลเพอ่ื ใหม้ กี ารใชท้ รพั ยากรอยา่ งเหมาะสมในการควบคมุ พาหะน�ำโรค เพอื่ ลดหรอื หยดุ ยงั้ การแพรเ่ ชอื้ โรค ดงั นนั้ กระบวนการตดั สนิ ใจอยา่ งมเี หตผุ ลจะตอ้ งประกอบดว้ ยการตดั สนิ ใจรว่ มกนั ของสมาชกิ ชมุ ชนรวมทงั้ ทป่ี รกึ ษาโดยพจิ ารณาจากความรแู้ ละขอ้ มลู ทมี่ ี ทงั้ ความรู้ จากขอ้ มลู ทางวชิ าการและภมู ปิ ญั ญาทอ้ งถนิ่ ภายใตค้ วามเชอ่ื อยา่ งสมเหตสุ มผลวา่ สามารถควบคมุ พาหะน�ำโรคได้ ใชท้ รพั ยากรอย่างเหมาะสม โดยเฉพาะทรพั ยากรในท้องถน่ิ ซึง่ ส่งผลกระทบต่อคน สตั ว์ สง่ิ แวดล้อมนอ้ ย 4.5.1 กระบวนการในการเลือกมาตรการท่ีเหมาะสมมาใช้ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น จะต้องเป็นเจ้าภาพในการควบคุมยุงพาหะน�ำโรคในท้องถ่ิน โดยวิธีการควบคุม ไดก้ ลา่ วไวแ้ ลว้ ตอนตน้ ปจั จยั ทเ่ี กย่ี วขอ้ งกบั การเลอื กใชไ้ ดแ้ ก่ ความรคู้ วามเขา้ ใจ ความปลอดภยั วถิ ชี วี ติ ของชมุ ชน การยอมรบั ของชมุ ชนค่าใชจ้ า่ ย ความถ่ีในการใช้ แนวทางการคดั เลือกประกอบไปด้วย - คัดเลือกวธิ กี ารโดยกระบวนการชุมชนมสี ว่ นรว่ ม - ช้ีแจง ประชาสมั พนั ธ์ใหช้ มุ ชนเข้าใจ - ขอ้ มูลสถานการณโ์ รคตดิ ต่อน�ำโดยแมลง และพาหะน�ำโรคในท้องถน่ิ - ความจ�ำเปน็ ท่ีต้องรว่ มกนั ควบคุมแมลงน�ำโรคในทอ้ งถ่ิน ค่มู อื วชิ าการโรคตดิ เช้อื เดงกีและโรคไขเ้ ลอื ดออกเดงกี 65 ดา้ นการแพทย์และสาธารณสุข

- ความจ�ำเปน็ ทต่ี อ้ งใชก้ ฎระเบยี บมาใชร้ ว่ มกบั การควบคมุ แมลงน�ำโรค กฎระเบยี บตา่ งๆ ไดแ้ ก่ กตกิ าชมุ ชนท่กี �ำหนดขึน้ โดยไมอ่ ยภู่ ายใต้กฎหมาย เชน่ การกเู้ งินกองทนุ , ข้อบญั ญัติ ทก่ี ฎหมายให้อ�ำนาจตราใช้บังคบั ในทอ้ งถ่นิ เชน่ การควบคมุแหล่งเพาะพนั ธุ์ยุงลาย - พจิ ารณาทางเลอื กใหค้ รบถว้ น วา่ มที างเลอื กอะไรบา้ ง มขี อ้ ดี ขอ้ จ�ำกดั ของแตล่ ะมาตรการ สามารถใชห้ ลายวธิ ีร่วมกนั อยา่ งเปน็ ระบบ โดยค�ำนึงถงึ ล�ำดับการใช้ เวลา สถานท่ีหรือใชพ้ ร้อมกนั - เลอื กวธิ กี ารควบคมุ ยงุ พาหะน�ำโรค โดยอาจใชแ้ ตกตา่ งกนั แตล่ ะหมบู่ า้ น แตล่ ะหมบู่ า้ น โดยมาตรการเหลา่น้ัน อะไรเป็นสิ่งท่ีองค์กรปกครองส่วนท้องถ่ินสนับสนุน อะไรเป็นส่ิงท่ีประชาชนต้องด�ำเนินการหรือจัดหาเอง และอะไรเป็นส่ิงที่ต้อง ได้รบั การสนับสนนุ จากภายนอก 4.5.2 ข้อพจิ ารณาในการเลือกใชก้ ารควบคุมพาหะน�ำโรคหลายวธิ กี ารร่วมกนั การควบคมุ ยงุ พาหะน�ำโรค จ�ำเปน็ ตอ้ งใชห้ ลายวธิ มี าผสมผสานกนั เพอ่ื ใหเ้ กดิ ประโยชนส์ งู สดุ การใชห้ ลายวธิ กี ารมารว่ มกนั มขี ้อควรพิจารณาคอื - ตอ้ งไมเ่ ปน็ วธิ กี ารทกี่ อ่ ใหเ้ กดิ ผลกระทบทางลบตอ่ แตล่ ะวธิ กี ารทน่ี �ำมาใช้ สามารถเขา้ กนั ได้ เชน่ การใชไ้ รนำ้� กินลกู น้ำ� ยงุ ลาย ตอ้ งไม่ใชท้ รายเทมีฟอสในแหล่งน�้ำเดยี วกนั เนื่องจากทรายเทมฟี อสจะเป็นอันตรายต่อไรน้ำ� - หลีกเล่ียงวิธีการท่ีลดประสิทธิภาพของวิธีการใดวิธีการหน่ึงที่น�ำมาใช้ เช่นการใช้ไรน�้ำกินลูกน้�ำยุงลาย ตอ้ งไมใ่ สป่ ลาหางนกยูงในแหลง่ น้ำ� เดยี วกนั เนื่องจากปลาหางนกยงู จะกินไรน้ำ� ดว้ ย - ไม่ควรเป็นวิธีการซ้�ำซ้อน เกินความจ�ำเป็นและเป็นการเพ่ิมค่าใช้จ่าย ไม่ควรใช้ทรายเทมีฟอสควบคู่กับ สารยบั ยงั้ การเจรญิ เติบโตหรอื แบคทีเรยี กนิ ลูกนำ�้ ในแหล่งน้ำ� เดยี วกนั - หากจ�ำเปน็ ตอ้ งใชว้ ธิ กี ารทกี่ อ่ ใหเ้ กดิ ผลในการลดประสทิ ธภิ าพซง่ึ กนั และกนั ใหพ้ จิ ารณาเวลาและสถานท่ี ทจี่ ะตอ้ งใช้ 4.6 ก�ำหนดข้ันตอนการด�ำเนนิ การควบคมุ พาหะน�ำโรค 4.6.1 ก�ำหนดขัน้ ตอนแตล่ ะวิธี ข้ันตอนการด�ำเนนิ การจ�ำเปน็ ต้องก�ำหนดหรอื วางแผนไว้ล่วงหน้าพร้อมกับมีเคร่อื งมือก�ำกับโดยค�ำนงึ ถึง 1) วธิ กี ารทใ่ี ชใ้ นการควบคมุ แมลงน�ำโรค มหี ลายชนดิ ตามทไ่ี ดก้ ลา่ วไวต้ อนตน้ การด�ำเนนิ การจะตอ้ งถกู ตอ้ งทางเทคนคิท้ังวิธีการและอัตราการใช้ 2) พนื้ ทหี่ รอื กลมุ่ เปา้ หมาย การด�ำเนนิ การอาจจะควบคมุ บางแหลง่ เพาะพนั ธ์ุ บางพน้ื ท่ี ตามความเหมาะสม หรอืใช้กับบางกลุ่มอาชีพก็ได้ เช่น การป้องกันตนเองไม่ให้ถูกยุงกัด โดยใช้ยาทากันยุงควรใช้ในกลุ่มผู้ประกอบอาชีพนอกบ้านยามค�่ำคืน ทไ่ี มส่ ามารถใช้มงุ้ กางนอนเวลาค�่ำคนื ได้ เปน็ ต้น 3) เวลาและความถใ่ี นการด�ำเนนิ การ บางมาตรการอาจตอ้ งท�ำทกุ สปั ดาห์ บางมาตรการอาจตอ้ งท�ำทกุ ปี หรอื ไมจ่ �ำเปน็ต้องท�ำทกุ ปี นอกจากนัน้ จะตอ้ งทันเวลาเพอื่ ไม่ให้เกิดการแพรร่ ะบาดโรคอีกดว้ ย 4) ผดู้ �ำเนนิ การ การควบคมุ พาหะน�ำโรคตอ้ งเกดิ จากความรว่ มมอื ทกุ ระดบั ตงั้ แตร่ ะดบั ครวั เรอื น ชมุ ชน หมบู่ า้ น ต�ำบล 5) ผสู้ นับสนนุ เพอ่ื ให้การด�ำเนนิ งานเปน็ ไปตามหลักวชิ าการ และครอบคลมุ พน้ื ทเี่ ป้าหมาย 6) ส่งิ สนบั สนนุ ทรัพยากร ท้งั ความรู้ วสั ดุ ส่ิงของ งบประมาณและอตั ราก�ำลัง 7) วิธกี ารประเมนิ ผล ต้องมีการวางแผนวิธกี ารประเมนิ ผลให้เหมาะสมกับการด�ำเนินการนนั้ ๆ 8) ผ้ปู ระเมนิ ผล ตอ้ งใชผ้ ูม้ ีความรแู้ ละประสบการณ์ในเรอื่ งดงั กลา่ ว 9) ความถใี่ นการประเมนิ ผล ตามความจ�ำเป็นและความเหมาะสมของทรัพยากร 4.6.2 บูรณาการขนั้ ตอน มาตรการตา่ งๆ ท่นี �ำมาใชส้ ามารถรว่ มขั้นตอนในการด�ำเนนิ การได้ เช่น 1) การเตรยี มความพรอ้ มดา้ นบคุ ลากร ท้ังผู้ด�ำเนินการ ผสู้ นบั สนนุ ผูป้ ระเมินผล 2) จดั หาวัสดุและงบประมาณ ด�ำเนินการโดยชมุ ชน องค์กรปกครองสว่ นท้องถิ่น จากหน่วยงานภายนอก เช่นสว่ นราชการอน่ื ๆ องค์กรระหวา่ งประเทศ องค์กรภาคเอกชน (NGO)66 คมู่ ือวชิ าการโรคตดิ เชื้อเดงกีและโรคไขเ้ ลอื ดออกเดงกี ดา้ นการแพทย์และสาธารณสขุ

3) การบรหิ ารจดั การตอ้ งมกี ารบรหิ ารทรพั ยากร ดา้ นบคุ ลากร วสั ดุ อปุ กรณท์ เ่ี หมาะสม บางสถานการณอ์ าจตอ้ งมีการประสานความรว่ มมือ หมนุ เวียน 5. การตดิ ตามและประเมนิ ผลการจดั การพาหะน�ำโรค 5.1 ตดิ ตามการด�ำเนนิ งาน (Monitoring) ในกระบวนการบริหารจัดการโครงการ การติดตามการด�ำเนินงานถือว่าเป็นข้ันตอนท่ีส�ำคัญขั้นตอนหนึ่งท่ีจะสามารถระบถุ งึ ความส�ำเรจ็ ของการด�ำเนนิ งานทผี่ า่ นมาได้ การตดิ ตามการด�ำเนนิ งานการจดั การพาหะน�ำโรค คอื การตดิ ตามการด�ำเนนิ งานตามขั้นตอนทีก่ �ำหนดไว้ ได้แก่ 5.1.1 ทบทวนกรอบและศกั ยภาพการด�ำเนนิ งานของทอ้ งถน่ิ กฎระเบยี บทอ้ งถนิ่ ทมี่ อี ยู่ ซงึ่ เออ้ื อ�ำนวยตอ่ การควบคมุ แมลงน�ำโรค มวี ตั ถปุ ระสงคเ์ พอ่ื ก�ำหนดหรอื คน้ หาเครอื่ งมอืที่ใช้การควบคุมพาหะน�ำโรค โดยการติดตามจากเอกสารรายงานการทบทวนกฎ ระเบียบ ข้อบัญญัติขององค์กรปกครองส่วนท้องถ่ิน ท่ีบังคับใช้อยู่ในปัจจุบัน เก่ียวกับการควบคุมแมลงน�ำโรค ซึ่งด�ำเนินการภายใต้กฎหมายท่ีมอบอ�ำนาจและหน้าที่ให้องค์กรปกครอง ส่วนท้องถ่ินด�ำเนนิ การ และขอ้ บญั ญัติทอ่ี งค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นบัญญัติขนึ้ เพ่อื บงั คบั ใช้เฉพาะทอ้ งถน่ิ ของตนเอง 5.1.2 วิเคราะห์สถานการณ์โรคตดิ ตอ่ น�ำโดยแมลงและการควบคมุ แมลงน�ำโรคในทอ้ งถน่ิ มวี ตั ถปุ ระสงคเ์ พอื่ ทราบขนาดและความรนุ แรงของปญั หาเกย่ี วกบั โรคตดิ ตอ่ ทรี่ ะบาดในพน้ื ที่ พาหะน�ำโรคตดิ ตอ่และวธิ กี ารควบคมุ พาหะน�ำโรคทช่ี มุ ชนใหก้ ารยอมรบั และปฏบิ ตั ิ ทง้ั นก้ี ารตดิ ตามการวเิ คราะหส์ ถานการณส์ ามารถตดิ ตามไดจ้ ากเอกสารการวเิ คราะห์สถานการณท์ ี่องคก์ รปกครองส่วนท้องถิ่นและหนว่ ยงานสาธารณสขุ ในพ้ืนทีร่ ว่ มกันจดั ท�ำข้นึ 5.1.3 ก�ำหนดเปา้ ประสงค์ เพอื่ ก�ำหนดเป้าหมายการด�ำเนนิ งานของหน่วยงาน โดยค�ำนึงถงึ การมสี ่วนร่วม 5.1.4 การด�ำเนินการตามกระบวนการจัดการพาหะน�ำโรค เปน็ การรวบรวมขอ้ มลู จากข้อ 5.1.1 ถงึ 5.1.3 เพ่ือก�ำหนดวิธีการจดั การ โดยค�ำนึงถงึ ความส�ำคัญของโรคตดิ ตอ่(ขนาดและความรนุ แรงของปญั หา รวมถงึ ผลกระทบตอ่ ประชาชนทเี่ กยี่ วขอ้ ง) จากนนั้ น�ำมาก�ำหนดพนื้ ทเ่ี สยี่ ง (เฉพาะหมบู่ า้ น หรอื กลมุ่ บา้ น)คัดเลือกพ้ืนท่ีที่จะด�ำเนินกร (ในกรณีท่ีไม่สามารถด�ำเนินการให้ครอบคลุมพื้นที่เสี่ยงได้) ก�ำหนดมาตรการการควบคุมพาหะน�ำโรค ท่ีเหมาะสมกบั ชุมชน ทัง้ นีก้ ารตดิ ตามการด�ำเนินงานโดยการสงั เกต หรอื โดยใชแ้ บบสอบถามจากประชาชนในพนื้ ทดี่ �ำเนนิ การ การติดตามผลการด�ำเนินงานในลักษณะน้ีเป็นการติดตามกระบวนการ ขั้นตอนการด�ำเนินงานว่าได้ด�ำเนินการครบถ้วนตามขั้นตอนท่ีระบุไว้หรือไม่เท่าน้ัน ผู้ติดตามอาจจ�ำเป็นต้องเพิ่มการติดตามเชิงคุณภาพร่วมด้วย คือนอกจากด�ำเนินการ ครบถว้ นแล้ว ต้องด�ำเนินการถูกตอ้ งตามแนวทางท่ีก�ำหนดไวด้ ้วย การตดิ ตามการด�ำเนนิ การควบคมุ แมลงน�ำโรค ควรตดิ ตามในแงเ่ ทคนคิ การด�ำเนนิ การ ชว่ งเวลาในการด�ำเนนิ การความครอบคลุมของพ้ืนท่ีด�ำเนินการควบคุมแมลงน�ำโรค เช่น ร้อยละของบ้านหรือกระท่อมที่สามารถด�ำเนินการควบคุมแมลงน�ำโรคปริมาณการใชต้ ่อหลงั คาเรือนหรอื พืน้ ท่ี 5.2 ประเมนิ ผลลพั ธ์ (Outcome) คือ การประเมินผลท่ีเกิดข้ึนจากการด�ำเนินการตามขั้นตอนที่ก�ำหนดไว้ (ในข้อ 5.1) ภายใต้สมมุติฐาน หากด�ำเนิน การครบถ้วนตามขั้นตอนแล้ว จะเกิดผลจากการด�ำเนินงานท่ีดี ตัวอย่างเช่น แนวทางการควบคุมการระบาดของโรคไข้เลือดออก หากด�ำเนินการตามข้ันตอนท่ีก�ำหนดไว้ครบถ้วน ความหนาแน่นของยุงจะลดลง หรือความหนาแน่นของลูกน�้ำยุงจะลดลง จะส่งผล สกู่ ารบรรลเุ ปา้ ประสงคข์ องการด�ำเนนิ งาน การประเมนิ ผลลพั ธใ์ นดา้ นการลดจ�ำนวนลกู นำ�้ หรอื ยงุ ตวั เตม็ วยั สามารถพจิ าณาไดจ้ ากดชั นีทางกีฏวทิ ยาดังน้ี ● ดชั นสี �ำหรบั ลกู น้�ำยงุ เชน่ - Breteau Index (BI) จ�ำนวนภาชนะทีพ่ บลูกน�้ำยงุ ลายในบ้าน 100 หลังคาเรือน - Container Index (CI) ร้อยละของภาชนะท่พี บลูกน้�ำยุงลาย - House Index (HI) ร้อยละของบ้านที่พบลกู น้�ำยุงลาย - Pupal Index (PI) จ�ำนวนตวั โม่งยงุ ลายในบ้าน 100 หลงั คาเรอื น คู่มอื วิชาการโรคตดิ เชื้อเดงกีและโรคไขเ้ ลือดออกเดงกี 67 ด้านการแพทย์และสาธารณสุข

● ดัชนีส�ำหรับยุงตัวเตม็ วัย เช่น - Biting Rate (BR) จ�ำนวนยุงตวั เมียท่ีจบั ได้ต่อคนตอ่ หน่วยเวลา - Landing Rate) จ�ำนวนยงุ ตัวผ้แู ละตัวเมยี ที่เข้าเกาะต่อคนต่อหนว่ ยเวลา - Resting Rate (RR) จ�ำนวนยุง (ทง้ั สองเพศ) ทจ่ี บั ได้ต่อบา้ น - Parous Rate (PR) รอ้ ยละของยงุ ตัวเมียท่เี คยวางไขแ่ ล้วที่จับได้ 5.3 ประเมนิ ผลกระทบ (Impact) คือการประเมินการด�ำเนินงานเทียบกับเป้าประสงค์ที่ระบุไว้ ผลกระทบของโครงการมักเป็นผลที่เกิดในระยะยาว เปน็ เปา้ หมายสงู สดุ ในการด�ำเนนิ งาน เปน็ ผลจากการเกดิ ผลลพั ธห์ ลายๆ ตวั สว่ นใหญผ่ ลกระทบจะเกดิ จากการมสี ว่ นรว่ มของประชาชนและการด�ำเนินการอย่างย่ังยืนต่อเนื่อง เช่น การลดการระบาดของโรคในชุมชน เป็นผลมาจากการลดจ�ำนวนหรือความหนาแน่นของลูกน�้ำยุงและของยุงตวั เต็มวัย ซ่งึ เปน็ ผลจากการด�ำเนนิ การตามมาตรการควบคมุ พาหะน�ำโรค การติดตามและประเมินผล จะสามารถตอบค�ำถามเกี่ยวกับประโยชน์หรือผลสัมฤทธิ์ของการด�ำเนินงาน ความคุ้มค่า ต่อการลงทุนของโครงการ/กิจกรรมได้อย่างชัดเจน สอดคล้องกับองค์ประกอบของการจัดการพาหะน�ำโรคแบบผสมผสานท่ีเน้นการ มกี ระบวนการตดั สนิ ใจอยา่ งมเี หตผุ ล มคี วามคมุ้ คา่ และยง่ั ยนื ด�ำเนนิ การภายใตร้ ะเบยี บและวธิ กี ารทเ่ี หมาะสม และไดร้ บั การสนบั สนนุจากผมู้ สี ว่ นเกยี่ วขอ้ งและผมู้ สี ว่ นไดส้ ว่ นเสยี ขนั้ ตอนการด�ำเนนิ งานจะท�ำใหเ้ กดิ ผลลพั ธท์ พี่ งึ ประสงค์ น�ำไปสกู่ ารเกดิ ผลกระทบทตี่ อ้ งการตามวัตถุประสงค์ของการด�ำเนนิ งานปญั หาอุปสรรคของการจัดการพาหะน�ำโรคแบบผสมผสาน การจดั การพาหะน�ำโรคแบบผสมผสาน เปน็ กระบวนการทต่ี อ้ งอาศยั ความรว่ มมอื จากทกุ ภาคสว่ นทเี่ กยี่ วขอ้ ง จากประสบการณ์ท่ผี ่านมา มีปัญหาต่างๆ ในการด�ำเนินการไก้แก่ 1. ผู้มีสว่ นเก่ยี วข้องหลายภาคส่วนยงั ไมเ่ ข้าใจหลกั การจัดการจดั การพาหะน�ำโรคแบบผสมผสาน 2. องค์กรปกครองสว่ นท้องถน่ิ ยงั ไม่พรอ้ มในการเปน็ เจ้าภาพ 3. ขอ้ มลู ทางระบาดวทิ ยายังไม่ถูกน�ำมาใช้อยา่ งจริงจัง 4. การวเิ คราะหส์ ถานการณข์ องโรคและพาหะน�ำโรคยงั ไม่ชัดเจน 5. การก�ำหนดเปา้ ประสงคว์ ดั ผลส�ำเรจ็ ของงานไม่ชัดเจน 6. การวางแผนงานยงั ไมค่ รอบคลมุ และรัดกุม 7. ผรู้ ับผดิ ชอบยงั ไมส่ ามารถด�ำเนินการได้ตามแผนท่วี างไว้ 8. ขาดการประเมนิ ผลตามแผนงานท่วี างไว้ 9. ขาดความร่วมมอื จากผมู้ สี ว่ นได้สว่ นเสียและชุมชนเอกสารอา้ งองิ1. ส�ำนกั โรคตดิ ตอ่ น�ำโดยแมลง. แนวทางการจดั การพาหะน�ำโรคแบบผสมผสานส�ำหรบั องคก์ รปกครองสว่ นทอ้ งถนิ่ โรงพมิ พช์ มุ นมุ สหกรณก์ ารเกษตรแหง่ ประเทศไทย 2555. 138 หนา้2. WHO/SEARO. Global Strategic Framework for Integrated Vector Management. 15 pp. WHO/SEARO. 2004. Decision-making for the judicious use of insecticides. Facilitator’s guide. 2004. 115 pp.3. WHO. Pesticides and their application for the control of vectors and pests of public health importance sixth edition., 2006. 114 pp.4. WHO/SEARO. Report of the Regional Workshop to Implement Integrated Vector Management (IVM), Vector Control Research Centre – VCRC, India, 18th to 21st December 2006, Puduchery and Tricchy, Tamil Nadu, India. 2008. 47 pp.5. WHO/SEARO. Framework for Implementing Integrated Vector Management (IVM) at district Level in the South-East Asia Region. A step-by-step Approach. 2008. 30 pp.6. WHO/SEARO. 2009. Development of a global action plan for integrated vector management (IVM) Report of a WHO Consultation. Geneva, Switzerland 1–3 December 2008. 30 pp.7. WHO/SEARO. 2010. Regional Consultation on Integrated Approach to Malaria Control. Colombo, Sri Lanka, 26-29 October 2009. 41 pp.68 คู่มือวชิ าการโรคติดเช้อื เดงกีและโรคไขเ้ ลอื ดออกเดงกี ดา้ นการแพทย์และสาธารณสุข

บทที่ 10 มาตรการทางกายภาพและชีวภาพในการควบคุม ยงุ พาหะน�ำ โรคไข้เลือดออกศ.ดร. ธรี ภาพ เจริญวิรยิ ภาพรศ.ดร. ชำ�นาญ อภวิ ัฒนศรศริ พิ ร ยงชัยตระกูล โรคไขเ้ ลือดออก (Dengue Haemorhagic Fever หรอื DHF) เป็นโรคติดตอ่ น�ำโดยแมลงท่ีมยี งุ ลายเปน็ พาหะ เป็นปัญหาทางสาธารณสุขที่ส�ำคัญของประเทศเกือบทั่วโลก และประเทศไทยวัคซีนส�ำหรับป้องกันโรคไข้เลือดออกอยู่ระหว่างการทดลองภาคสนามดงั นน้ั ความส�ำคญั ในการปอ้ งกนั โรคจงึ อยทู่ ก่ี ารควบคมุ ยงุ พาหะเปน็ มาตรการหลกั ซงึ่ จะใหไ้ ดผ้ ลโดยสมบรู ณต์ อ้ งด�ำเนนิ การทงั้ ในระยะทีเ่ ปน็ ลกู นำ�้ และระยะทเ่ี ป็นตัวเต็มวยั วิธีการควบคุมหรือก�ำจดั ยุงพาหะน�ำโรคมหี ลายวธิ ี อาจแบ่งเปน็ 3 วธิ ี คือ 1. วธิ ที างกายภาพ (Physical control) 2. วิธีทางชีวภาพ (Biological control) 3. วิธีทางเคมภี าพ (Chemical control) การเลือกใช้ต้องพิจารณาความเหมาะสมกับปัจจัยต่างๆ เช่นระยะตัวเต็มวัย ระยะลุกน้�ำ ประเภทของแหล่งเพาะพันธุ ์ ความปลอดภัยตอ่ มนุษย์ สตั ว์เลีย้ งและสิง่ แวดลอ้ มดา้ นความสะดวกในการใช้ ด้านคา่ ใชจ้ ่าย เป็นต้น ซง่ึ แหลง่ เพาะพนั ธบ์ุ างแหง่ อาจใชเ้ พยี งวธิ กี ารใดวธิ กี ารหนงึ่ กจ็ ะสามารถควบคมุ และก�ำจดั ลกู นำ�้ ยงุ ลายไดผ้ ลดแี ตแ่ หลง่ เพาะพนั ธ์ุบางแหง่ จ�ำเปน็ ตอ้ งใชว้ ธิ กี ารหลายๆวธิ รี ว่ มกนั เปน็ การบรหิ ารจดั การพาหะน�ำโรคแบบผสมผสาน (Integrated Vector Management หรอื IVM) ซงึ่ ในบทนจ้ี ะกลา่ วถงึ การใชว้ ธิ ที างกายภาพและวธิ ที างชวี ภาพในการควบคมุ พาหะน�ำโรค ในสว่ นวธิ ที างเคมภี าพจะกลา่ วถงึ ในบทที่ 11 1. วธิ ที างกายภาพ (Physical control) เปน็ การควบคมุ ก�ำจดั ยงุ พาหะน�ำโรคแบบงา่ ยๆ เนน้ การจดั การสงิ่ แวดลอ้ มเปน็ ส�ำคญัมีวิธีการต่างๆ พอสรปุ ไดด้ ังนี้ 1.1 การจดั การทางดา้ นสภาพแวดลอ้ มเพอ่ื การควบคมุ ยงุ พาหะ แบง่ ความส�ำคญั การเปน็ แหลง่ เพาะพนั ธแ์ุ ละความจ�ำเปน็ใชป้ ระโยชนข์ องภาชนะขงั นำ้� ในชวี ติ ประจ�ำวนั แยกไดเ้ ปน็ แหลง่ เพาะพนั ธใ์ุ นภาชนะหลกั แหลง่ เพาะพนั ธใ์ุ นภาชนะรอง และแหลง่ เพาะพนั ธุ์ ในภาชนะเศษวัสดทุ ี่ไมใ่ ชแ้ ล้ว ก. แหล่งเพาะพันธุ์ในภาชนะหลัก ได้แก่ ภาชนะเก็บกักน้�ำกินน้�ำใช้ประจ�ำวัน เช่น ตุ่มถังพลาสติก ถังน�้ำมันภาชนะซีเมนตก์ อ่ ในหอ้ งน้�ำ เป็นต้น 1) ใช้ขันตักลูกน�้ำและตัวโม่งที่ชอบขึ้นมาหายใจบนผิวน�้ำเป็นกลุ่มๆ ตามมุมใดมุมหนึ่งท้ิงไป โดยเอียงปากขันและ กดผิวนำ้� ลงไปตามแนวผนงั ภาชนะ น�้ำจะไหลทะลักดดู เอาตัวออ่ น ยุงเข้ามาในขนั ไดอ้ ยา่ งสะดวก 2) ใช้กระชอน ตักลูกนำ�้ และตัวโม่งทิง้ เพ่อื ลดจ�ำนวนลูกน้�ำยุงลายในโอง่ น�ำ้ บ่อซีเมนตเ์ ก็บนำ้� ในห้องน้ำ� ห้องส้วม ฯลฯใหล้ ดน้อยลงมากที่สุดและอยา่ งรวดเร็ว 3) ใช้กาลักน้ำ� และระบบน�้ำวน ดูดถ่ายลกู น�ำ้ และตัวโม่งออกจากภาชนะได้หมดภายใน 5-10 นาที 4) การใช้ขนั ดกั ลกู น้�ำ ลอยไวใ้ นโอง่ น�ำ้ หรอื บอ่ ซีเมนตเ์ กบ็ นำ้� ทป่ี ิดฝาไม่ได้เม่ือลูกนำ�้ ท่ีลงไปหากินทีก่ น้ โอ่งหรือก้นบอ่ซีเมนต์ลอยตัวข้ึนมาเพ่ือหายใจท่ีผิวน้�ำลูกน้�ำจะลอยตัวข้ึนมาบริเวณใต้ขันน้�ำซึ่งเป็นเงามืดเข้าไปในปากกรวยและออกมาอยู่ในขันน�้ำ เมอื่ เราใช้หอ้ งนำ้� และพบวา่ มลี กู นำ้� อยู่ในขันก็ใชน้ ำ�้ ในขันนัน้ ราดสว้ มไป ค่มู อื วิชาการโรคตดิ เชอื้ เดงกีและโรคไขเ้ ลือดออกเดงกี 69 ด้านการแพทย์และสาธารณสุข

5) การปดิ ปากภาชนะเกบ็ นำ�้ ดว้ ยผา้ ตาขา่ ยไนล่อน ฝาอะลูมิเนยี มหรือวสั ดอุ นื่ ใดท่ีสามารถปิดปากภาชนะเกบ็ นำ�้ นนั้ไดอ้ ย่างมิดชิดจนยงุ ลายไม่สามารถเล็ดลอดเข้าไปวางไขไ่ ด้ 6) ควำ�่ ภาชนะทีว่ างนอกบ้านท่ไี ม่ใช้ประโยชนแ์ ล้ว เพ่ือไม่ใหเ้ ปน็ ทขี่ งั น�้ำและกลายเปน็ แหลง่ เพาะพนั ธ์ุ ข. แหลง่ เพาะพันธใ์ุ นภาชนะรอง ไดแ้ ก่ภาชนะขังน�ำ้ ขนาดเลก็ ทใ่ี ช้ประโยชน์อืน่ ๆ นอกเหนือจากการใชอ้ ุปโภค บริโภคเช่น แจกนั วัสดุเล้ยี งพลูดา่ ง ไม้ประดับ ถ้วยหลอ่ ขาตกู้ ับข้าวจานรองกระถางต้นไม้เปน็ ตน้ 1. ใชก้ ระดาษทิชชูหรอื เศษผา้ อดุ ช่องว่างระหวา่ งกา้ นไม้ท่ีปากแจกนั เพ่ือป้องกนั ยงุ ลงไปไขแ่ ละ ก�ำจดั ยุงทเ่ี กดิ มาใหมไ่ มใ่ ห้ออกมาได้ 2. การหม่ันเปลีย่ นน�้ำทกุ 7 วนั วิธีนเ้ี หมาะส�ำหรับภาชนะเล็กๆทเ่ี กบ็ นำ้� ไม่มาก เช่นแจกนั ดอกไมส้ ด ท้ังท่เี ปน็ แจกนัที่หิง้ บชู าพระ แจกนั ทศี่ าลพระภูมหิ รือแจกนั ประดบั ตามโต๊ะ รวมทั้งภาชนะและขวดประเภทต่างๆ ทใ่ี ช้เล้ยี งต้นพลูดา่ งพลฉู ลุ ออมทองไผก่ วนอมิ ฯลฯ 3. การใสท่ รายธรรมดาในจานรองกระถางต้นไมใ้ ห้ลึกประมาณ 3 ใน 4 สว่ นของความลึกของจานรองกระถางตน้ ไม้น้ันเพื่อให้ทรายดูดซึมน�้ำส่วนเกินจากการรดน�้ำต้นไม้ไว้ซ่ึงเป็นวิธีที่เหมาะส�ำหรับกระถางต้นไม้ท่ีใหญ่และหนักส่วนต้นไม้กระถางเล็กอาจใชว้ ิธีเทน�้ำที่ขังอยู่ในจานรองกระถางต้นไมท้ ิ้งไปทกุ 7 วนั 4. ใช้ผงซกั ฟอก ใส่ในถ้วยหล่อน�้ำขาตู้กับข้าว หรอื จานรองกระถางตน้ ไม้ปรมิ าณ 1 ชอ้ นโตะ๊ ต่อความจนุ ำ้� 2 ลติ ร 5. ใช้เกลือแกง ใสใ่ นถว้ ยหล่อน้�ำขาตกู้ บั ข้าว 6. ใชข้ ผ้ี ง้ึ จาระบี นำ้� มนั เครอื่ ง นำ�้ มนั เหลอื ใชท้ ารอบขาตกู้ บั ขา้ วทง้ั 4 เพอ่ื ปอ้ งกนั มดไตข่ นึ้ มา แทนการใชน้ ำ้� หลอ่ ขาตู้ 7. การเตมิ น้�ำเดอื ดจดั เทใส่ในถ้วยหลอ่ น้ำ� ขาต้กู บั ข้าวทุก 7 วัน วิธีนี้ใช้ได้กับถ้วยหลอ่ ขาตู้กับขา้ วกนั มดซงึ่ ถา้ หากในชว่ ง 7 วันที่ผา่ นมามีลกู นำ้� เกิดขึ้น ลูกน�้ำกจ็ ะถูกน�้ำเดอื ดลวกตายไป ค. แหล่งเพาะพันธุ์ในภาชนะเศษวัสดุท่ีไม่ใช้แล้ว ได้แก่เศษภาชนะวัสดุต่างๆ ที่ไม่ใช้ประโยชน์และทิ้งกระจายอยู่ ท่ัวไปรอบๆ บ้าน เชน่ ขวด ไหแตก กะลา กระป๋อง ฯลฯ ควรเก็บทง้ิ ถมดนิ ทราย ไมใ่ ห้น้�ำขัง ใส่ผงซักฟอก ลงในวสั ดุขงั น้ำ� ทเ่ี คลอื่ นย้ายยาก หรอื ดัดแปลงใช้ประโยชน์ ปจั จบุ ันแหล่งเพาะพนั ธ์ุทีเปน็ ปัญหามาก ในประเทศไทยคอื ยางรถยนต์เกา่ ท่ไี มใ่ ชง้ านแลว้ แตล่ ะปีมียางรถยนต์เก่าเกิดข้ึนประมาณ 1.7 ล้านตัน หากปล่อยท้ิงไว้จะสร้างปัญหาให้กับส่ิงแวดล้อม เช่น เป็นท่ีเพาะพันธ์ยุงลายในฤดูฝนหากถกู เผารวมกับขยะจะท�ำให้เกิดกล่นิ และเขม่าควันด�ำ เปน็ ต้น ภาพท่ี 10.1 ยางรถยนต์ท่ใี ชแ้ ลว้ กองท้ิงตามแหลง่ ประกอบการและบรเิ วณต่างๆ เป็นแหล่งเพาะพนั ธล์ุ กู น�้ำยงุ ลาย ทม่ี า : www.mcot.net/70 คมู่ อื วิชาการโรคติดเช้อื เดงกแี ละโรคไขเ้ ลอื ดออกเดงกี ด้านการแพทยแ์ ละสาธารณสุข

การจัดการยางเหล่านี้ส่วนใหญ่จะเป็นการน�ำไปใช้เป็นเชื้อเพลิงเพ่ือให้ความร้อนในโรงงานปูนซีเมนต์ อีกส่วนหน่ึงมีการน�ำไปดดั แปลงเปน็ เครื่องใชต้ ่างๆ ในชวี ิตประจ�ำวัน ให้เปน็ ประโยชนแ์ ทนการวางทง้ิ ไว้เฉยๆ จะช่วยก�ำจัดแหล่งเพาะพันธ์ยุ ุงได้ดี เชน่ น�ำมาท�ำเปน็ ท่ีปลูกต้นไม้ ทป่ี ลกู พชื ผักสวนครัว เป็นท่ที ิง้ ขยะ เป็นเก้าอ้ี เป็นฐานเสา เป็นร้วั เป็นชงิ ชา้ ทีป่ ีนปา่ ยห้อยโหนส�ำหรับเด็กๆ แต่จะตอ้ งดดั แปลงยางรถยนตเ์ กา่ นนั้ ใหข้ งั นำ้� ไมไ่ ด้ หากจะท�ำเปน็ ทที่ ง้ิ ขยะเปน็ ชงิ ชา้ หรอื เครอื่ งเลน่ ในสนามเดก็ เลน่ สนิ คา้ ตา่ งๆ ถงั ขยะ เกา้ อ้ีแต่จะต้องเจาะรูให้น�้ำระบายไหลออกไปได้ง่ายหากจะท�ำเป็นร้ัวก็ควรฝังดินให้ลึกพอที่ด้านล่างของยางรถยนต์นั้นไม่สามารถขังน�้ำได้เปน็ ตน้ เชน่ ถงั ขยะ รองเทา้ กนั ชนเรอื ฯลฯ ซง่ึ ทผ่ี า่ นมาการน�ำยางรถยนตท์ ใี่ ชแ้ ลว้ ไปผลติ เปน็ เครอื่ งใชเ้ หลา่ นย้ี งั มอี ยนู่ อ้ ยและทา้ ยทส่ี ดุจะกลบั มาเปน็ ขยะอกี ครงั้ วธิ กี ารจดั การไดอ้ ยา่ งยง่ั ยนื และมปี ระโยชนค์ อื การแปรรปู ยางรถยนตเ์ กา่ ดว้ ยกระบวนการไพโรไลซสิ ใหก้ ลายเปน็ กา๊ ซ นำ้� มนั และสารปโิ ตรเคมซี งึ่ นอกจากจะชว่ ยลดปญั หาสง่ิ แวดลอ้ มทเี่ กดิ จากการทงิ้ ยางรถยนตเ์ กา่ แลว้ ยงั เปน็ การเพม่ิ ทางเลอื กของพลงั งานทดแทนอีกดว้ ย ยางรถยนต์เก่าที่มีอยู่เป็นจ�ำนวนมากนี้ บางส่วนอาจน�ำไปดัดแปลงใช้ประโยชน์ได้ทันที ในขณะที่บางส่วนรอการดัดแปลง เปน็ สนิ คา้ ยางรถยนตใ์ นสว่ นนี้จึงควรเกบ็ ในที่รม่ หรอื หาวสั ดุปกคลมุ ให้มิดชิดบางแห่งมยี างรถยนต์เปน็ จ�ำนวนมหาศาลไม่อาจปกคลุมให้มิดชิดท้ังหมดได้ในกรณีน้ีจ�ำเปน็ ตอ้ งฉีดพน่ สารก�ำจดั ลูกน�้ำร่วมด้วยซงึ่ อาจจะเปน็ สารเคมีหรอื สารชีวภาพ ภาพท่ี 10.2 แสดงการดดั แปลงยางรถยนตเ์ กา่ เพอ่ื น�ำไปใช้ประโยชนใ์ นรปู แบบตา่ งๆ ทม่ี า : http://diycozyhome.com/ 1.2 การปรบั ปรงุ เปลยี่ นแปลงสภาพแวดล้อม เปน็ วธิ กี ารควบคมุ พาหะตง้ั แตต่ น้ และไดผ้ ลอยา่ งถาวร วธิ กี ารนจ้ี ะเปน็ ประโยชนส์ �ำหรบั โครงการควบคมุ พาหะทเ่ี กยี่ วขอ้ งกับการสร้าง ระบบการชลประทาน ระบบคูคลองส่งน้�ำเพื่อการเกษตร และการสร้างอ่างเก็บน�้ำการสร้างถนนหนทางต่างๆ วิธีการน้ี จะส�ำเร็จได้ผลขึ้นอยู่กับแหล่งเพาะพันธุ์ของยุงพาหะความยากง่ายในการด�ำเนินการ วิธีการท่ีใช้ได้ผล ได้แก่ การก�ำจัดขยะมูลฝอย การระบายน้�ำเพื่อลดแหล่งเพาะพันธุ์ยุง การก�ำจัดแหล่งเพาะพันธุ์โดยการกลบถม การปรับและควบคุมความเร็วของกระแสน้�ำก็เป็น การเปล่ียนสภาพแวดล้อมเพือ่ การควบคุมยงุ พาหะเชน่ เดยี วกัน 1.3 การท�ำสภาพแวดล้อมใหไ้ ม่เหมาะสม เปน็ วธิ กี ารควบคมุ ยงุ พาหะโดยท�ำสภาพแวดลอ้ มใหไ้ มเ่ หมาะสมทจ่ี ะเปน็ แหลง่ เพาะพนั ธห์ุ วงั ผลในการควบคมุ ระยะสนั้วธิ กี ารทไี่ ดม้ กี ารน�ำมาทดลองใชไ้ ดแ้ กก่ ารจดั การเปลย่ี นแปลงระดบั และความเรว็ ของกระแสนำ้� การถากถางวชั พชื ตา่ งๆ รมิ ล�ำธาร หรอืการปรบั สภาพกรด ดา่ งของนำ้� ใหม้ คี วามไม่เหมาะสมต่อการท่ียงุ ลายจะมาวางไข่ เช่น การใชเ้ กลือแกง นำ�้ สม้ สายชู ผงซกั ฟอก ปูนแดงน�ำ้ สม้ ใสใ่ นจานรองขาตู้กับข้าว เปน็ ตน้ โดยควรใส่อยา่ งสมำ่� เสมอ  และต้องใสใ่ ห้ครอบคลมุ ทุกจานรองขาต้กู บั ข้าว เพือ่ ปอ้ งกนั ยงุ ลายวางไข่ หมั่นตรวจสอบลกู น�้ำทกุ สัปดาห์ คู่มอื วชิ าการโรคตดิ เชอ้ื เดงกแี ละโรคไขเ้ ลือดออกเดงกี 71 ดา้ นการแพทย์และสาธารณสุข

ภาพที่ 10.3 แสดงการส�ำรวจลูกน้ำ� ยุงลายทีข่ าตกู้ บั ขา้ วทุกสัปดาห์ ที่มา : ส�ำนกั โรคตดิ ต่อน�ำโดยแมลงภาพท่ี 10.4 อาสาสมคั รต�ำบลไกรนอก อ�ำเภอกงไกรลาศ จงั หวดั สโุ ขทยั ก�ำลงั ปน้ั ปนู กนิ หมากเพอ่ื น�ำไปตากแหง้ และน�ำไปใสใ่ นโอง่ นำ�้ ใช้ 1.4 การลดการสมั ผสั ระหว่างคน ยงุ พาหะ และเชอื้ โรค เปน็ วธิ กี ารพนื้ ฐานงา่ ยๆ ทมี่ กี ารน�ำมาใชเ้ ชน่ การปอ้ งกนั ตนเองจากยงุ พาหะกดั โดยการใสเ่ สอ้ื ผา้ มดิ ชดิ ทาสารทาปอ้ งกนั ยงุการใช้ยาจุดกันยุง ป้องกันได้โดยใช้สารระเหยออกฤทธิ์ขับไล่ยุง สารออกฤทธ์ิบางชนิดสามารถท�ำให้เกิดอาการแพ้ได้ ในการเลือกซื้อควรตรวจดูสารออกฤทธ์ิอย่างละเอียดควรเลือกสารที่มีอันตรายน้อย เช่นสารในกลุ่มไพรีทรอยด์สังเคราะห์  หรือสารสมุนไพร เพราะค่อนขา้ งปลอดภัยต่อมนุษย์ การสร้างเคร่อื งป้องกันยุงเขา้ ไปกัด เช่น สร้างบา้ นท่มี ีฝาผนังรอบบา้ น การใช้มงุ้ ลวด ติดตามประตูหน้าตา่ ง ซ่งึ จะต้องมีการออกแบบอย่างดี ขนาดของมงุ้ ลวดท่เี หมาะสมคอื 16-18 ต่อน้วิ ก็มีส่วนในการลดอัตราการสมั ผัสระหว่างคนยุงและเชอื้ โรคได้ (รายละเอียดเพิ่มเตมิ ในบทท่ี 12 การปอ้ งกันตนเองจากยงุ พาหะน�ำโรค) ภาพท่ี 10.5 การตดิ มงุ้ ลวดท่ปี ระตูทางเข้าบา้ นเพือ่ ปอ้ งกันบคุ คลในบ้านจากการถกู ยงุ กัด ท่ีมา : ส�ำนกั โรคตดิ ต่อน�ำโดยแมลง72 คู่มือวชิ าการโรคตดิ เชื้อเดงกีและโรคไข้เลอื ดออกเดงกี ดา้ นการแพทยแ์ ละสาธารณสขุ

2. การควบคมุ ยงุ พาหะโดยชวี วิธี การศึกษาในด้านนี้ไดม้ ีผูใ้ หค้ วามสนใจในการศกึ ษาเพิม่ มากขึน้ และเป็นเร่ืองท่สี �ำคัญเรอ่ื งหนึ่งที่ควรให้ความสนใจ เพราะวิธีการควบคุมโดยวิธีน้ีเป็นวิธีการท่ีจะสามารถแก้ปัญหาเก่ียวกับยุงพาหะต้านสารเคมีและสามารถด�ำเนินการได้โดยไม่ส่งผลต่อสภาพแวดล้อมโดยเฉพาะเกีย่ วกับการมสี ว่ นรว่ มของชุมชน โดยน�ำสิง่ มชี วี ิตไปปลอ่ ยใหม้ ีการควบคมุ กันเอง ซึ่งเปน็ เรื่องทสี่ ามารถด�ำเนินการไดม้ กี ารศกึ ษาเพอ่ื คดั เลอื กสงิ่ มชี วี ติ ทจี่ ะน�ำมาควบคมุ พาหะน�ำโรคมานาน พบวา่ สง่ิ มชี วี ติ ทม่ี แี นวโนม้ เปน็ อยา่ งมากทจี่ ะสามารถน�ำมาใช้ ในการควบคมุ พาหะไดเ้ นอ่ื งจากไดผ้ า่ นการทดสอบเกยี่ วกบั ความปลอดภยั ตลอดจนอนั ตรายตอ่ สภาพแวดลอ้ มแลว้ สง่ิ มชี วี ติ เหลา่ นไี้ ดแ้ ก่ 2.1 ปลากนิ ลกู นำ้� (Lavivorous fish) การใชป้ ลาส�ำหรบั ควบคมุ ลกู นำ�้ เปน็ เรอ่ื งทนี่ า่ สนใจยง่ิ และมที างด�ำเนนิ การไดโ้ ดยอาศยั ความรว่ มมอื จากชมุ ชน เปน็ การก�ำจดั ลกู น้ำ� ยงุ ลายทีง่ า่ ยอีกวิธหี นึ่ง เนอื่ งจากอย่ใู นภาชนะ เปน็ เปา้ น่ิง ปลากินลกู นำ�้ ท่ีใช้ เชน่ ปลาหางนกยูง ปลาแกมบเู ซยี ปลาสอดปลาหวั ตะก่วั ปลากดั และปลาอะไรกไ็ ด้ที่กินลกู น�ำ้ เปน็ อาหาร จะขอยกตัวอยา่ งปลาท่ีนิยมในประเทศไทย 2 ชนิด ได้แก่ ปลาหางนกยูง เป็นปลาท่เี ล้ยี งง่ายขยายพนั ธ์เุ รว็ หาซื้อง่าย หรอื ขอจากบา้ นทเ่ี ลยี้ งอยแู่ ล้ว ราคามาแพง ปลาหางนกยูงพันธุ์พ้ืนเมืองของไทยนั้นลวดลายไม่ค่อยสวย แต่ทนทานต่อสภาพแวดล้อมที่ไม่เหมาะสมได้ดีกว่าพันธุ์สวยงามปลาหางนกยูงเป็นปลาน้�ำจืดขนาดเล็กจัดอยู่ใน Family Poeciliidae, Subfamily Poeciliinae, มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Poecilia (Libestes) reticulata ชอ่ื อน่ื ๆ ไดแ้ ก่ guppy , million fish ปลาหางนกยงู มถี น่ิ ก�ำเนดิ ในทวปี อเมรกิ ากลางและอเมรกิ าใตก้ ารทไ่ี ดช้ อื่ วา่ million fish เนอ่ื งจากเปน็ ปลาทแ่ี พรพ่ นั ธใ์ุ นหลายๆ ประเทศ เพอ่ื ใชค้ วบคมุ ลกู นำ�้ ยงู ปจั จบุ นั ปลาหางนกยงู ไดรั บั การปรบั ปรงุ สายพนั ธล์ุ กู ผสมออกมามากมายหลายหลากสี ปลาหางนกยงู จะมีอายุอย่รู ะหวา่ ง 2-5 ปี เม่อื ปลาตวั เมยี อายุได้ 3 เดือนก็สามารถผสมพนั ธไุ์ ด้ และจะออกลูกเปน็ ตวัคร้ังละ 2-120 ตัวทกุ ๆ 4 สปั ดาห์ ตัวเมียมถี ุงเกบ็ น�้ำเชอื้ ของตัวผู้ ซึ่งจะใชผ้ สมกบั ไขไ่ ดน้ านถึง 4 เดือน โดยไม่ตอ้ งผสมพนั ธุ์ครงั้ ทีส่ องลูกปลาท่ีออกมาจากท้องแม่จะสามารถว่ายน้�ำได้ทันทีและจะเร่ิมกินอาหารได้ภายใน 1 ช่ัวโมง ปลาหางนกยูงกินอาหารได้หลายชนิดเช่น ลกู น้ำ� ยุงตัวออ่ นแมลงตา่ งๆ หนอนแดง พชื น�้ำ ตะไครน่ ้ำ� ฯลฯ รวมทั้งลูกของมันเองและลกู ปลาอ่นื ๆดว้ ย ปลาหางนกยูงสามารถอยู่ไดท้ ัง้ ในน้ำ� สะอาดและนำ้� สกปรก ในธรรมชาติจะพบปลาน้ไี ด้ทว่ั ไปตามล�ำหว้ ยฝายน้ำ� ลน้ หนองนำ้� สระน�้ำ อ่างเก็บนำ�้ เป็นต้น จากคณุ สมบตั ทิ ด่ี หี ลายประการ ปลาหางนกยงู จงึ ไดร้ บั ความนยิ มน�ำมาใชใ้ นการก�ำจดั ลกู นำ้� ยงุ ลายใหห้ มดไปจากบา้ นโรงเรยี น ชมุ ชน อาคาร ส�ำนกั งาน ฯลฯ ส�ำหรบั ภาชนะขงั นำ�้ ทไี่ มส่ ามารถปกปดิ ใหม้ ดิ ชดิ หรอื ไมส่ ามารถใชว้ ธิ กี ารอนื่ ๆได้ ใสป่ ลาหางนกยงู2-10 ตวั ตอ่ ภาชนะ กจ็ ะปลอดลกู น�ำ้ ยุงลายนานตราบเทา่ ทป่ี ลานั้นยังมชี วี ิตอย่กู ารคุมก�ำเนิดปริมาณปลาหางนกยูงในภาชนะท�ำได้โดยการใสเ่ ฉพาะปลาตัวผู้ ภาพที่ 10.6 ปลาหางนกยงู ทม่ี ลี วดลายสวยงาม ทมี่ า : http://www.aquaticquotient.com/   คู่มือวชิ าการโรคติดเช้ือเดงกแี ละโรคไข้เลือดออกเดงกี 73 ด้านการแพทยแ์ ละสาธารณสขุ

ปลาแกมบูเชยี   หรอื ปลากนิ ยงุ เป็นปลาพน้ื เมอื งของ ทวปี อเมรกิ าเหนอื มีรปู รา่ งคลา้ ย “ปลาหางนกยูง” แตม่ ีขนาดใหญ่กว่า ปากแหลมกว่าและปลายปากจะเชิดขึ้นด้านบน มีชื่อวิทยาศาสตร์คือ (Gambusiaaffinis) ตัวเมียมีขนาดใหญ่กว่าตัวผู ้ เมื่อโตเต็มท่ีอาจจะมี ขนาดยาวได้ถึง 3 น้ิว ในขณะท่ีปลาตัวผู้มีขนาดยาวเพียง 1.5 นิ้ว ด้านข้างของปลาตัวเมียในที่สว่างจ้าจะเห็น สเี หลอื บๆ ของสเี ขียว สฟี า้ หรอื สีเหลือง ปลาชนดิ นแี้ พรพ่ นั ธไ์ุ ดอ้ ยา่ งรวดเรว็ โดยปกตจิ ะมชี วี ติ ไมเ่ กนิ 12 เดอื น  แตบ่ างตวั อาจมชี วี ติ ถงึ  15 เดอื น เมอ่ื เกดิ ใหมๆ่ลกู ปลามขี นาดยาวประมาณ 7-10 มลิ ลเิ มตร และ สามารถกินลูกน�้ำได้ทนั ที เปน็ ปลาทีก่ นิ อาหารจุมาก โดยปลาตวั เมยี หนง่ึ ตวั อาจกินลกู น�้ำยุงได้หลายร้อยตวั ตอ่ วนั นอกจากลูกน�ำ้ ยงุ แล้ว ยังกนิ แพลงตอน, ตะไครน่ ้ำ� , พชื เซลล์เดียว, ตวั อ่อนแมลงตา่ งๆ มีชีวิตอยู่ได้ทั้งในน้�ำสะอาดและน้�ำสกปรก ในธรรมชาติจะพบปลาแกมบูเชียได้ทั่วไปตามล�ำห้วย หนองน�้ำ สระน�้ำ อา่ งเกบ็ น�้ำ ชศู กั ด์แิ ละคณะ (ในกองกฏี วิทยาทางแพทย์, 2533) รายงานว่า การปล่อยปลาแกมบูเชยี 2 ตวั ต่อตุ่มนำ้� จะให้ประสทิ ธิผล ในการควบคุมยงุ ลายดีท่ีสุด ภาพที่ 10.7 ปลาแกมบเู ชียมีรูปรา่ งคลา้ ยปลาหางนกยูง ทม่ี า : http://www.aquaticquotient.com/   อย่างไรก็ตามในการพิจารณาคดั เลอื กปลาในทอ้ งถนิ่ มาใช้ในการควบคมุ ลกู น�้ำยุง ควรพิจารณาดังตอ่ ไปนี้ ● มีประสทิ ธภิ าพในการควบคมุ ลูกน้ำ� ไดด้ ี ● สามารถด�ำรงชวี ิตอยใู่ นสภาพแวดล้อมแหลง่ เพาะพนั ธยุ์ งุ ไดด้ ี ● สามารถเพาะเล้ียงขยายพนั ธ์ไุ ดง้ ่าย ● ทนทานตอ่ สารเคมกี �ำจดั แมลงสงู ● มีชวี นสิ ัยเหมาะสมในแหลง่ เพาะพนั ธ์ยุ งุ ● สามารถล�ำเลยี งขนสง่ ลกู ปลาไดโ้ ดยไมย่ ากนัก ● มคี วามร่วมมือของชุมชนในการปลอ่ ยปลา ● ประชาชนไมร่ ังเกียจท่ีจะน�ำไปใช้ 2.2 แบคทีเรีย (Bacteria) ตามธรรมชาติ ลกู นำ้� ยุงก็มีภยั ไข้เจบ็ อยู่แล้วเหมือนสง่ิ มชี วิ ิตท่วั ๆ ไป แต่โรคของยุงท่ีเกิดจากเช้ือแบคทีเรยี มักจะท�ำให้การยอ่ ยอาหาร การหายใจ และการหมุนเวยี นโลหิตของลกู นำ้� ยุงผดิ ปรกติไปจากเดิม โอกาสทแ่ี บคทีเรียจะเขา้ ส่ตู ัวลกู น�ำ้ ยุงนน้ั เกิดได้3 ทาง คือ ทางผิวหนัง ทางท่ออากาศ และทางปาก ซึง่ สุดทา้ ยมกั พบเกดิ ขนึ้ มากทส่ี ดุ แบคทีเรียมีผลต่อประสิทธิภาพการท�ำงานของเซลล์สร้างน้�ำย่อยเป็นเหตุให้การย่อยอาหารผิดปรกติ ลูกน�้ำอาจตายได้เพราะสญู เสยี ธาตอุ าหาร   แบคทเี รยี สามารถสรา้ งเอนไซมท์ �ำลายนวิ เคลยี สของเซลลน์ ำ้� ยอ่ ยท�ำใหเ้ ซลลแ์ ตกและมรี รู วั่ ดงั นนั้ เมอื่ เซลล์รอบทอ่ อาหารของลกู นำ้� ยงุ ถกู ท�ำลาย แบคทเี รยี จงึ มโี อกาสทจี่ ะซมึ ผา่ นเขา้ ไปในชอ่ งวา่ งของล�ำตวั ทวจี �ำนวนในระบบเลอื ด (Bacteremia)หรือ ท�ำให้เลอื ดเปน็ พษิ (Septicemia) ในขณะเดียวกัน การซึมผา่ นของของเหลวในระบบทางเดินอาหารและระบบเลือดท�ำใหส้ ภาวะความเป็นกรดเป็นด่างภายในทางเดินอาหารและระบบเลือดเสียสมดุล และเนื่องจากเลือดของแมลงมีคุณสมบัติเป็น buffer ต�่ำมาก ดังนั้นหากระดับความเป็นกรดเป็นด่างในเลือดเปลี่ยนแปลงเพียงเล็กน้อยก็สามารถเป็นเหตุให้เกิดอาการอัมพาตได้เม่ือเป็นโรคมากๆเน้ือเยื่อและอวัยวะต่างๆ ถูกท�ำลาย เกิดการสูญเสียน�้ำจากเซลล์และอาจรุนแรงจนท�ำให้ลูกน้�ำตายได้ในท่ีสุด แบคทีเรียท่ีนิยมน�ำมาพฒั นาท�ำเป็นผลติ ภณั ฑก์ �ำจัดลกู น้�ำยงุ ลาย คอื74 ค่มู ือวชิ าการโรคตดิ เชื้อเดงกีและโรคไขเ้ ลอื ดออกเดงกี ด้านการแพทย์และสาธารณสขุ

แบคทีเรีย B.t.i. (Bacillus thuringiensisvar. israelensisserotype H-14) แบคทีเรียชนิดน็มีประสิทธิภาพด ี ในการก�ำจัดลูกน�้ำยุงลายและลูกน้�ำยุงก้นปล่อง แต่ได้ผลไม่มากนักส�ำหรับการก�ำจัดลูกน้�ำยุงร�ำคาญ ได้รับการผลิตออกจ�ำหน่าย ตามทอ้ งตลาด มชี อื่ การคา้ แตกตา่ งกนั ไปและมหี ลายสตู รใหเ้ ลอื กใชต้ ามความเหมาะสมกบั ชนดิ ของแหลง่ นำ้� และชนดิ ของลกู นำ้� ยงุ เชน่ 1. สตู รเคลอื บเมด็ ทราย ใชไ้ ดก้ บั ภาชนะกกั เกบ็ นำ้� ตา่ งๆเพอื่ ก�ำจดั ลกู นำ้� ยงุ ลาย เนอ่ื งจากลกู นำ้� ยงุ ลายหากนิ ทก่ี น้ ภาชนะ(เป็น bottom feeder) แบคทีเรยี สูตรเคลือบเม็ดทรายจะจมลงสกู่ ้นภาชนะ ลูกน�ำ้ ยุงลายก็จะกินแบคทีเรยี เขา้ ไป เม่อื แบคทีเรยี ผ่านเข้าไปสู่กระเพาะอาหารของลูกน�้ำยุง ที่มีสภาพเป็นด่าง ผลึกสารพิษของแบคทีเรียก็จะแตกตัว ท�ำให้ระบบทางเดินอาหารของลูกน้�ำ เปน็ อัมพาต เยอ่ื บกุ ระเพาะอาหารถกู ท�ำลาย ท�ำให้ ลกู นำ�้ ยุงตายภายใน 24 ชัว่ โมง แบคทเี รียสตู รเคลือบเมด็ ทรายไม่เหมาะทจ่ี ะใชใ้ นแหลง่ นำ�้ ธรรมชาติ เพราะทรายจะจมลงไปกบั โคลนตม ท�ำให้ ประสทิ ธภิ าพลดลง อยา่ งไรกต็ าม บรษิ ทั ผผู้ ลติ ไดย้ กเลกิ การผลติ แบคทเี รยีสตู รเคลือบเม็ดทรายไปแล้ว 2. สตู รของเหลว ใชไ้ ด้กบั ภาชนะกักเกบ็ น้ำ� ตา่ งๆเพื่อก�ำจัดลูกนำ�้ ยุงลาย อัตราทแ่ี นะน�ำให้ใช้ คือ 1 ซซี ี ตอ่ นำ้� 200 ลิตรส�ำหรบั การใชก้ บั แหลง่ นำ้� ธรรมชาตเิ พอ่ื ก�ำจดั ลกู นำ้� ยงุ ร�ำคาญและตวั ออ่ นของรน้ิ นำ้� จดื ชนดิ ตา่ งๆ แนะน�ำใหใ้ ชใ้ นอตั รา 500 ซซี ี ตอ่ พน้ื ท่ี 1 ไร่ 3. สตู รเมด็ ใชไ้ ดก้ บั ภาชนะกกั เกบ็ นำ้� ตา่ งๆเพอื่ ก�ำจดั ลกู นำ้� ยงุ ลาย ส�ำหรบั สตู รเมด็ นจี้ ะใชไ้ ดส้ ะดวก อตั ราทแ่ี นะน�ำใหใ้ ช้คอื 1 เมด็ ตอ่ น้ำ� 1 ตุ่ม/โอง่ เลก็ (200 ลติ ร) ผลิตภัณฑ์ส�ำเรจ็ รูป Bti ชนดิ เม็ดนี้ ท่มี คี วามเขม้ ข้น 500 ITU/mg เม่ือน�ำไปทดสอบประสิทธิภาพเพ่ือใช้ก�ำจัดลูกน้�ำยุงในสภาพจ�ำลองธรรมชาติ พบว่าสามารถควบคุมลูกน้�ำยุงลายในภาชนะขังน�้ำขนาดจุ 160 ลิตร ได้นาน 3 เดือนในภาชนะท่ไี มม่ กี ารเปลี่ยนถา่ ยนำ้� และได้นาน 2 เดอื นในภาชนะทมี่ ีการเปลีย่ นถา่ ยนำ้� ปรมิ าณ 20 % ทุกวนั แบคทีเรยีสูตรเม็ดมีหลายความเข้มขน้ ขน้ึ อยกู่ ับผผู้ ลิตแตล่ ะราย  คาดวา่ เม่อื น�ำผลติ ภณั ฑ์ส�ำเร็จรูป Btiทพ่ี ฒั นาได้นไี้ ปใช้ จะสามารถชว่ ยควบคุมฆ่า/ก�ำจัดลูกน�้ำยุงลาย ซึ่งเป็นพาหะของโรคไข้เลือดออก ผลทางอ้อมที่จะได้รับคือการควบคุมป้องกันการแพร่ระบาดของโรคไข้เลือดออกตามแหล่งชุมชน ซงึ่ มอี ย่ทู ัว่ ทุกภูมภิ าคของประเทศไทย 4. สูตรเคลือบซังข้าวโพด เหมาะส�ำหรับใช้ก�ำจัดลูกน้�ำยุงก้นปล่องในแหล่งน้�ำธรรมชาติ เนื่องจากลูกน้�ำยุงก้นปล่อง มกั หากนิ บริเวณผิวน้ำ� (เปน็ surface feeder) ซงั ข้าวโพดกล็ อยนำ้� ท�ำใหแ้ บคทีเรียกระจายตัวอยู่บริเวณใกลผ้ วิ น�้ำ ลกู น�้ำยุงก้นปลอ่ งจึงมีโอกาสกินแบคทีเรียเข้าไปได้มากกว่า สตู รอื่นๆ อตั ราทแ่ี นะน�ำให้ใช้ คอื 180 กรมั ตอ่ พนื้ ทีผ่ วิ น�ำ้ 100 ตารางเมตร แบคทีเรียสตู รน้ ี ไม่เหมาะทจ่ี ะน�ำมาใช้ก�ำจัดลกู น�้ำยุงลายที่ตอ้ งใส่ลง ในภาชนะกักเกบ็ น�้ำ เพราะเมื่อซงั ขา้ วโพดเปอ่ื ยยยุ่ จะท�ำให้นำ้� เน่าเสยี ได ้การเก็บรกั ษาและข้อควรระวัง ควรเก็บแบคทีเรียก�ำจัดลูกน�้ำไว้ในที่แห้งและเย็น อย่าให้ถูกแสงแดด ความร้อน และความชื้น และควรเก็บให้พ้นมือ เด็ก หา่ งไกล จากอาหารและสตั วเ์ ลย้ี งหากสมั ผสั กบั ดวงตา ควรรบี ลา้ งท�ำความสะอาดดว้ ยนำ�้ ทนั ที การใชง้ านควรสวมถงุ มอื และผา้ ปดิ จมกูเมื่อมกี ารใชง้ าน ภาพที่ 10.8 แสดงแบคทเี รียก�ำจดั ลูกน�้ำชนดิ สูตรเม็ด ทม่ี า : กรมวทิ ยาศาสตรก์ ารแพทย์ กระทรวงสาธารณสขุ คู่มอื วชิ าการโรคตดิ เชอื้ เดงกีและโรคไขเ้ ลอื ดออกเดงกี 75 ดา้ นการแพทยแ์ ละสาธารณสขุ

2.3 รา (Fungi) ไดม้ กี ารศกึ ษาราหลายชนดิ เชน่ Culicinomyceselavosporus, Lagenidiumgiganteum, Tolypocladiumcylindrospormและ Coelomomyces อกี หลายชนดิ การศกึ ษาเกยี่ วกบั เรอื่ งนค้ี าดวา่ จะมคี วามสมั พนั ธเ์ กย่ี วกบั การควบคมุ ลกู นำ�้ ยงุ ในบางสภาพ บางทอ้ งทไ่ี ด้ 2.4 ไสเ้ ดือนฝอย (Nematode) ไสเ้ ดอื นฝอย (mermithid nematodes) เป็นตวั เบยี นของลูกน้�ำโดยตวั ออ่ นของไส้เดือนฝอยจะเขา้ ไปอาศยั อยู่ภายในบริเวณสว่ นอกของลูกน�้ำเมอ่ื เจริญเตบิ โตได้ระยะหนง่ึ แล้วกจ็ ะไชออกมาท�ำให้ลูกน�้ำตาย การศกึ ษาเกย่ี วกบั ไสเ้ ดอื นฝอยสว่ นใหญม่ งุ่ ศกึ ษาเพอื่ น�ำไปใชค้ วบคมุ ยงุ และรน้ิ ด�ำ Simulium sp. มไี สเ้ ดอื นฝอยอยู่ 3 ชนดิทีก่ �ำลังไดร้ บั การสนใจ ศึกษาเป็นพเิ ศษ คือ Romanomermisculicivorax, R. iyengari และ Octomyomermismuspratti พบวา่R. culicivorax มคี วามสามารถในการก�ำจดั ยุงได้หลายชนดิ สามารถด�ำรงชีวิตได้ในหลายสภาวะและเล้ียงขยายพันธไุ์ ดไ้ มย่ าก 2.5 โปรโตซวั (Protozoa) สัตวเ์ ซลล์เดยี วหลายชนิดได้รับการศึกษาเพอ่ื น�ำมาเป็นตัวควบคมุ พาหะ เชน่ Nosemaalgerae แต่พบวา่ โปรโตซวั ชนิดนม้ี คี วามสามารถในการขยายพนั ธต์ุ ำ�่ ในสภาพแหลง่ เพาะพนั ธย์ุ งุ และยงั พบวา่ ตอ้ งใชป้ รมิ าณของสปอรส์ งู ในการควบคมุ ยงุ ซงึ่ ไดผ้ ลไมค่ มุ้ คา่ 2.6 เช้ือไวรสั (Viruses) มีการศึกษาในด้านน้ีจ�ำนวนไม่น้อย เชื้อไวรัสที่พบว่าเป็นตัวการควบคุมพาหะส่วนใหญ่อยู่ในกลุ่มที่มีพิษต่อแมลงได้แก่พวก Nuclear polyhedrosis viruses, Cytoplasmic polyhedrosis viruses และพวก Iridovirusesอยา่ งไรกต็ ามการศกึ ษาในดา้ นน้ีจ�ำเปน็ ตอ้ งมคี วามระมดั ระวงั และต้องใชค้ วามละเอยี ดในการศกึ ษามาก เพราะอาจจะมผี ลกระทบตอ่ มนุษย์สัตว์และสงิ่ แวดลอ้ มได้ 2.7 ตวั ห้ำ� (Invertebrate predators) ตวั หำ้� เป็นศตั รูตามธรรมชาติท่ีสามารถควบคมุ ประชากรของยุงไดเ้ ช่นแมลงเหน่ยี ง, แมลงตบั เตา่ , ไรน�ำ้ จดื หรือโคปปี อด(copepod), ตวั อ่อนแมลงปอ (dragonfly), มวนแมลงดาสวน, ตวั อ่อนแมลงปอ, มวนวนยักษ์, มวนแมลงป่อง ไฮดรา, จ้ิงจก, ตุก๊ แกศตั รธู รรมชาตทิ มี่ กี ารน�ำมาใชใ้ นประเทศไทยไดแ้ ก่ ลูกน้�ำยงุ ยักษ์ (Toxorhychites) ซึ่งบางสกลุ สามารถแพรพ่ นั ธ์ุได้เปน็ จ�ำนวนมากในระยะเวลาสนั้ ยงุ ยกั ษต์ วั เมยี ไมก่ ดั กนิ เลอื ดแตล่ กู นำ้� ของยงุ ยกั ษช์ อบกนิ ลกู นำ�้ ยงุ กน้ ปลอ่ งหรอื ยงุ ร�ำคาญหรอื ยงุ ลายอยา่ งไรกต็ ามไมส่ ามารถใชล้ ูกน้ำ� ยุงยักษ์ร่วมกับฮอรโ์ มนไดเ้ พราะฮอรโ์ มนไปยับยั้งการเจรญิ เติบโตจนกระทัง่ ลูกน�ำ้ ยงุ ยักษต์ าย ลกู นำ�้ ยงุ ยกั ษม์ ศี กั ยภาพในการกนิ ลกู นำ�้ ยงุ ลายดมี าก โดยเฉลยี่ แลว้ ลกู นำ้� ยงุ ยกั ษร์ ะยะท่ี 4 หนงึ่ ตวั สามารถกนิ ลกู นำ�้ ยงุ ลายระยะท่ี 1 ได้ 940 ตวั ตอ่ วนั กนิ ลกู นำ้� ยงุ ลายระยะท่ี 2 ได้ 315 ตวั ตอ่ วนั กนิ ลกู นำ้� ยงุ ลายระยะที่ 3 ได้ 60 ตวั ตอ่ วนั และกนิ ลกู นำ�้ ยงุ ลายระยะที่ 4 ได้ 20 ตวั ตอ่ วนั นอกจากนยี้ งั สามารถกนิ ตวั โมง่ ของยงุ ลายได้ 30 ตวั ตอ่ วนั การน�ำยงุ ยกั ษไ์ ปปลอ่ ยในภาชนะขงั นำ้� เพอ่ื ควบคมุก�ำจัดลูกน�ำ้ ยุงลายน้นั ควรใช้ระยะที่เป็นไข่ เนื่องจากสะดวกแก่การขนสง่ ในระยะทีเ่ ป็นลกู นำ�้ น้นั การขนสง่ ล�ำบาก ตอ้ งใชภ้ าชนะขนสง่จ�ำนวนมาก เพราะถ้าใส่ลูกน�้ำยุงยักษ์ไว้ในภาชนะเดียวกัน ลูกน้�ำยุงยักษ์ก็จะกินกันเอง แต่การปล่อยลูกน�้ำยุงยักษ์มีข้อดีคือสามารถ กินลูกน�้ำยุงลายได้ทันที ในประเทศไทยมีผู้ศึกษาเก่ียวกับการใช้ยุงยักษ์ควบคุมยุงลายหลายท่านด้วยกัน ผลการศึกษาพบว่าสามารถควบคุมยุงลายได้นานหลายสัปดาห์ อย่างไรก็ตาม การควบคุมยุงลายในเขตเมืองโดยการใช้ยุงยักษ์มีข้อจ�ำกัดเนื่องจากตัวยุงยักษ ์ ไม่สามารถแพรพ่ ันธุใ์ นเขตเมอื งไดเ้ พราะขาดแหลง่ อาหาร จ�ำเปน็ ต้องน�ำไขห่ รือลกู น้�ำยุงยักษไ์ ปปลอ่ ยเพิ่มเป็นระยะๆ ภาพท่ี 10.9 ลูกนำ้� ยุงยกั ษ์ก�ำลงั กินลกู น้�ำยงุ ลาย ทม่ี า : กรมวิทยาศาสตรก์ ารแพทย์ กระทรวงสาธารณสขุ76 คู่มือวิชาการโรคตดิ เชอื้ เดงกแี ละโรคไข้เลอื ดออกเดงกี ดา้ นการแพทยแ์ ละสาธารณสุข

2.8 การควบคุมโดยวิธีทางพันธุกรรม (Genetic control) การควบคุมโดยวิธีทางพันธุกรรมเช่นการท�ำให้โครโมโซมของยุงพาหะเปลี่ยนแปลงไปไม่สามารถน�ำเช้ือได้หรือท�ำให ้ ยงุ ไมส่ ามารถสบื พนั ธห์ุ รอื เพมิ่ ปรมิ าณไดว้ ธิ กี ารนไ้ี มท่ �ำใหย้ งุ ตายแตย่ งุ จะถกู ควบคมุ เชน่ ยงุ ตวั ผถู้ กู ท�ำใหเ้ ปน็ หมนั โดยการผา่ นกมั มนั ตรงั สีหรอื โดยใชส้ ารเคมซี ง่ึ จะท�ำใหน้ ำ้� เชอ้ื ในยงุ ตวั ผกู้ ลายพนั ธก์ุ ารใชส้ ารเคมที �ำใหย้ งุ เปน็ หมนั มคี วามยงุ่ ยากนอ้ ยกวา่ การใชก้ มั มนั ตภาพรงั สีแตส่ ารเคมมี กั มพี ษิ ตอ่ สตั วเ์ ลอื ดอนุ่ ท�ำใหเ้ กดิ ปญั หาตอ่ สงิ่ แวดลอ้ มและธรรมชาตเิ สยี สมดลุ ปจั จบุ นั มนี กั วทิ ยาศาสตรห์ ลายทา่ นไดศ้ กึ ษาพบว่าส่ิงมีชวี ิตบางชนิด เชน่ Wolbachiapipientis ซึง่ เป็นแบคทีเรยี ท�ำให้ยงุ เป็นหมนั ได้ในธรรมชาติเอกสารอา้ งอิง1. กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กระทรวงสาธารณสขุ .ชีววทิ ยา นิเวศวทิ ยา และการควบคมุ ยุงในประเทศไทย.บริษทั หนังสือดวี นั จ�ำกดั . กรงุ เทพฯ; 2544.2. กรมควบคมุ โรคตดิ ตอ่ กระทรวงสาธารณสุข. โรคไขเ้ ลือดออก ฉบับประเกียรณก.กรุงเทพฯ: โรงพิมพช์ ุมนมุ การเกษตรแห่งประเทศไทย; 2544.3. กองกีฏวิทยาทางการแพทย์. การทบทวนเทคโนโลยีและรูปแบบการควบคุมยุงลายพาหะน�ำไข้เลือดออกในประเทศไทย พ.ศ. 2501-2532. กรมวิทยาศาสตรก์ ารแพทย,์ กระทรวงสาธารณสุข; 2533.4. เกรียงไกร เลิศทัศนยี .์ การวจิ ัยพื้นฐานและการพัฒนาเทคโนโลยีการผลติ จลุ ินทรยี ฆ์ า่ แมลง Bacillus thuringiensisและ Bacillus sphaericusเพอ่ื ใช ้ ในการควบคมุ ก�ำจดั แมลงส�ำคญั ทางการแพทย.์ Available from: http://www.researchgate.net/publication/ 39024736___Bacillus_thuring- iensis__Bacillus_sphaericus_ [accessed Apr 29, 2015].5. บญุ เสรมิ อว่ มออ่ ง, บรรณาธกิ าร. แนวทางการจดั การพาหะน�ำโรคแบบผสมผสานส�ำหรบั องคก์ รปกครองสว่ นทอ้ งถน่ิ . กรงุ เทพฯ: โรงพมิ พช์ มุ นมุ การเกษตร แหง่ ประเทศไทย; 2555.6. ส�ำนกั โรคตดิ ตอ่ น�ำโดยแมลง. การจดั การยางรถยนตท์ ใ่ี ชแ้ ลว้ เพอื่ การปอ้ งกนั และควบคมุ โรคไขเ้ ลอื ดออก.กรมควบคมุ โรคกระทรวงสาธารณสขุ ; 2548. คมู่ ือวชิ าการโรคติดเช้อื เดงกแี ละโรคไข้เลอื ดออกเดงกี 77 ด้านการแพทย์และสาธารณสขุ

บทท่ี 11 มาตรการทางเคมภี าพในการควบคมุ ยงุ พาหะ ศ.ดร. ธีรภาพ เจริญวิริยภาพ รศ.ดร. ชำ�นาญ อภวิ ฒั นศร ดร. ปติ ิ มงคลางกูร พงศกร สดากร วธิ ที างเคมภี าพ (Chemical control) เป็นการใชส้ ารเคมรี ปู แบบตา่ งๆในการควบคมุ ยุงพาหะน�ำโรค สารเคมที ีน่ �ำมาใชเ้ ปน็สารเคมีก�ำจดั แมลง (Insecticides) ในปัจจบุ นั มกี ารใชก้ ันเปน็ จ�ำนวนมากและถกู จดั ใหเ้ ป็น “วตั ถมุ ีพษิ ” ตามพระราชบัญญตั ิวตั ถุมพี ษิพ.ศ. 2510 ซึ่งอยใู่ นความรับผิดชอบของกระทรวงตา่ งๆ 3 กระทรวง คือ กระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และกระทรวงสาธารณสขุกล่มุ ของสารเคมีก�ำจดั แมลง สารเคมีก�ำจดั แมลงทแ่ี พรห่ ลายและใชก้ ันมากในขณะน้แี บง่ เป็นกลมุ่ ใหญๆ่ ตามโครงสรา้ งและปฏกิ ริ ิยาเคมอี อกเป็น 4 กลุ่มคอื 1. Chlorinated hydrocarbon compounds หรอื Organo-chlorine เป็นกลมุ่ ทป่ี ระกอบดว้ ยธาตไุ ฮโดรเจน (H),คารบ์ อน (C), และคลอรีน (Cl) สารเคมกี ลุ่มนม้ี ีการสลายตัวช้าและพบวา่ มีการสะสมอยู่ตามดนิ นำ้� โดยเฉพาะอยา่ งย่ิงในรา่ งกายของมนษุ ยแ์ ละสตั วเ์ ลยี้ ง สารเคมที รี่ จู้ กั กนั ดแี ละใชก้ นั มากไดแ้ ก่ ดดี ที ี (DDT), ดลี ดรนิ (dieldrin), ออล ดรนิ (aldrin), ทอ็ กซาฟนี (toxaphene),คลอเดน (chlordane), ลนิ เดน (lindane), และแกมมา่ เอชซเี อช (gamma HCH) เปน็ ตน้ แตอ่ ยา่ งไรกต็ ามสารเคมใี นกลมุ่ นี้ ประเทศไทยไมไ่ ด้น�ำมาใชใ้ นงานด้านสาธารณสุขแลว้ เนือ่ งจากมฤี ทธ์ติ กคา้ งยาวนานมากและอาจมบี างชนิดเป็นสารกอ่ มะเร็งได้ กลไกการออกฤทธ์ิ ออกฤทธค์ิ ลา้ ยสารกลมุ่ ไพรที รอยดแ์ ตต่ า่ งกนั ทเ่ี ปน็ ชอ่ งทางเขา้ ออกของโปแตสเซยี มออิ อน (Potassiumchannel) ท�ำให้เกดิ การกระตุ้นของเซลประสาทซ้�ำๆ กัน จนมผี ลท�ำใหแ้ มลงเกิดการชักกระตกุ เป็นอมั พาต และตายในท่ีสดุ 2. Organo-phosphorus compounds (OP) หลังจากท่ีพบว่า Organo-chlorine มีการสะสมและมีพิษตกค้างใน สิง่ แวดล้อมเป็นเวลานาน ท�ำให้เกดิ มลภาวะแกด่ นิ และน้ำ� การใชส้ ารเคมกี �ำจัดแมลงจงึ ได้เปลย่ี นไปใชพ้ วกสารประกอบที่มฟี อสฟอรัสเป็นตวั หลักมากข้นึ และในขณะนีเ้ ปน็ ยคุ ที่มกี ารใช้สารเคมีกลุ่มนีม้ ากทัง้ ในด้านการเกษตรและในวงการสาธารณสขุ แต่การเป็นพษิ เกิดขนึ้ ไดเ้ รว็ กวา่ Organo-chlorine และสลายตวั กเ็ รว็ กวา่ สารเคมใี นกลมุ่ นท้ี ใี่ ชก้ นั มาก ได้ แก่ มาลาไธออน (malathion), เฟนนโิ ตรไธออน(fenitrothion), พริ ิมิฟอสเมธลิ (pirimiphos methyl), และไดคลอวอส (dichlorvos หรือ DDVP) เปน็ ตน้ กลไกการออกฤทธ์ิของสารกลุ่มออร์แกโนฟอสฟอรัส คือ ไปยับยั้งการท�ำงานของเอนไซม์ acetylcholinesterase เม่ือเอนไซม์ถูกจับด้วยโมเลกุลสารออร์แกโนฟอสฟอรัส เอนไซม์น้ันอยู่ในรูปท่ีเรียกว่า phosphorylated enzyme ท�ำให้เอนไซม์ ดังกล่าวหมดสภาพที่จะไปยับยั้งการส่งสารสื่อประสาท (acetylcholine (ACh)) ผลการยับย้ังเอนไซม์ชนิดนี้ท�ำให้มีการสะสมของ สารส่อื ประสาท บรเิ วณรอยตอ่ ระหวา่ งเซลล์ประสาท ทเ่ี รียกวา่ synapse หรือระหว่างเซลลป์ ระสาทกบั กล้ามเนื้อ (neuron/musclejunction) สง่ ผลให้กล้ามเนอื้ ส่นั และชักกระตุกรุนแรงท�ำใหแ้ มลงอัมพาต และตายในทสี่ ุด อยา่ งไรก็ตามการจบั ดังกล่าวถูกปลดปล่อยออกมาได้หากได้รับสารไม่มากเกินไปอย่างต่อเนื่อง ซ่ึงข้อนี้มีความส�ำคัญมากส�ำหรับผู้พ่นสารเคมี เนื่องจากมีโอกาสได้รับพิษ จากสารเคมใี นระหว่างการพน่ ไดห้ ากไมส่ วมชดุ ป้องกันสารอย่างเครง่ ครัด78 คูม่ ือวิชาการโรคติดเชอ้ื เดงกีและโรคไข้เลอื ดออกเดงกี ดา้ นการแพทยแ์ ละสาธารณสุข

3. Carbamate compounds เปน็ สารประกอบอีกกลุ่มหน่ึงท่ีถูกน�ำมาใช้ในการก�ำจัดแมลง อาการเป็นพษิ เกดิ ขึ้นได้เร็วและสลายตวั เรว็ สารเคมกี ลมุ่ น้ี เปน็ เอสเทอรข์ องกรดคารบ์ ามคิ ทร่ี จู้ กั กนั มาก คอื โพรพอ็ กเซอร์ (propoxur), เบนไดโอคารบ์ (bendiocarb),และแลนดรนิ (landrin) เปน็ ตน้ กลไกการออกฤทธ์ิ สารกล่มุ นม้ี ีการออกฤทธ์ิในการควบคมุ แมลงเหมือนสารกลุ่มออร์แกโนฟอสฟอรสั แต่มีการตกค้างในรา่ งกายสน้ั กวา่ จงึ ค่อนขา้ งปลอดภยั มากกวา่ 4. Synthetic pyrethroids เป็นสารเคมีกลมุ่ ทส่ี ังเคราะหข์ ึ้นโดยมคี วามสัมพันธ์ตามโครงสรา้ งของ pyrethrins ซึ่งสกดัได้จาก pyrethrum (ดอกเบญจมาศ) เป็นสารเคมีที่มีความเป็นพิษต่อแมลงสูง แต่มีความเป็นพิษต่อสัตว์เลือดอุ่นต่�ำ อย่างไรก็ตาม สารเคมกี ลุ่มนีม้ ีราคาแพงมากเมอื่ เทยี บกบั สารเคมีกลุ่มอน่ื ๆ ท่เี ปน็ ทีร่ จู้ กั และใชก้ ันมากในขณะน้ี ได้แก่ เดลตาเมธรนิ (deltamethrin),เพอรเ์ มธรนิ (permethrin), เรสเมธรนิ (resmethrin), และไบโอเรสเมธริน (bioresmethrin) เป็นต้น กลไกการออกฤทธ์ิ สารไพรที รอยด์จะรบกวนการท�ำงานของชอ่ งทางเข้าออกของโซเดยี มอิออน (Sodium channels)ท�ำใหป้ ดิ ชา้ ลงกวา่ ปกตดิ งั นนั้ โซเดยี มออิ อนจะมกี ารไหลเขา้ มาในปลายประสาท (Axon) ไดอ้ ยา่ งตอ่ เนอ่ื งท�ำใหเ้ กดิ ประจบุ วกภายในเสน้ประสาทมากและเกิดการผลักดันให้เกิดกระแสประสาทเกินระดับปกติท่ีควรจะเป็น ท�ำให้เกิดการกระตุ้นของเซลประสาทซ�้ำๆ กันเซลประสาทท่ีไดร้ บั ผลกระทบคอื เซลประสาทรับความรูส้ ึก (Sensory neurons), เซลประสาททม่ี หี น้าที่เกี่ยวกบั การหลัง่ สารเคมีและท่ีบริเวณปลายประสาทจะมีความไวต่อพิษของสารไพรีทรอยด์มากเป็นพิเศษ ฤทธ์ิในการฆ่าแมลงจะเกิดข้ึนท่ีปลายประสาทและระบบประสาทส่วนกลาง ส่วนฤทธิ์ในการท�ำให้แมลงสลบจะอยู่บริเวณปลายประสาทเท่านั้น นอกจากนี้การเพ่ิมไซยาไนด์กรุ๊ป (CN)เขา้ ไปในสารไพรที รอยดต์ รงต�ำแหนง่ 3-phenoxybenzyl esters ยงั ชว่ ยท�ำใหเ้ พมิ่ ฤทธขิ์ องสารเคมใี หม้ ากขน้ึ ดว้ ย สารทม่ี ไี ซยาไนดก์ รปุ๊ไดแ้ ก่ Deltamethrin, Cypermethrin และLambda-cyhalothrin เป็นต้น นอกจากสารเคมที ัง้ 4 กลุ่มท่ีไดก้ ลา่ วมาแล้วขา้ งตน้ ยงั มสี ารเคมกี ลมุ่ ยอ่ ยๆ ทใี่ ช้ในการก�ำจัดตัวออ่ นของแมลง ไดแ้ ก่ ก. สารยบั ย้งั การเจริญเติบโต (insect development inhibitor) เปน็ พวก juvenoids หรอื juvenile hormonesได้แก่ methoprene (Altosid®) และ diflubenzuron สารพวกน้จี ะออกฤทธ์ทิ �ำใหต้ วั ออ่ นของแมลงตายหรือมีการเจริญเตบิ โตที่ผิดไปจากปกติ ข. Microbial insecticides ความจริงแล้วสารก�ำจัดแมลงในกลุ่มนี้ไม่ใช่สารเคมี แต่เป็นสารพิษของจุลชีพ (เช่น แบคทีเรีย) ที่สามารถก่อให้เกิดอันตรายแก่ตัวอ่อนของแมลง โดยเฉพาะลูกน้�ำยุง ขณะน้ีกระทรวงวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีและ สิง่ แวดลอ้ ม ได้ร่วมกับทบวงมหาวทิ ยาลยั ก�ำลงั ด�ำเนนิ การศึกษาค้นคว้าทดลองสารพิษจากแบคทเี รีย ตวั แบคทเี รยี ท่สี �ำคญั ทค่ี วรรจู้ ักไว้กค็ อื Bacillus thuringiensis และ Bacillus sphaericusหลักในการพจิ ารณาเลอื กใชส้ ารเคมกี �ำจดั แมลง 1. มปี ระสทิ ธิภาพในการก�ำจดั แมลงสงู 2. มีความเปน็ พิษตอ่ คนและสัตวเ์ ลีย้ งตำ�่ 3. มผี ลกระทบต่อสภาพแวดล้อมต่�ำ คือ ตอ้ งสลายตัวเร็วและมกี ารสะสมในดนิ และนำ้� นอ้ ย 4. มผี ลกระทบต�่ำตอ่ แมลงทีม่ ีประโยชน์ (เช่น ผงึ้ ) และตอ่ ส่งิ มีชีวติ อ่ืนๆ (เชน่ นก กงุ้ และปลา) 5. ราคาไมแ่ พงและหาซอื้ ไดส้ ะดวก 6. ไม่ท�ำให้เกดิ รอยเป้ือนหรือเป็นคราบสกปรกตดิ กับฝาผนังและเคร่ืองเรอื น 7. สามารถใชไ้ ดก้ ับเคร่ืองพน่ ทีม่ ีอยู่และไม่ท�ำใหเ้ ครือ่ งพน่ ผุกร่อนสกึ หรองา่ ยสูตรของสารเคมีก�ำจัดแมลง (Insecticide formulations) สารเคมีก�ำจัดแมลงส่วนใหญ่ละลายได้ดีในสารละลายอินทรีย์ นักวิทยาศาสตร์ได้พัฒนาสารเคมีออกเป็นสูตรต่างๆ กันเพื่อ ใหเ้ หมาะสมกบั วธิ กี ารใชแ้ ละชนดิ ของแมลง ตลอดจนใหเ้ หมาะสมกบั ชนดิ ของเครอ่ื งพน่ ดว้ ย สว่ นสารเคมชี นดิ เทคนคิ ลั เกรด (technical grade)เป็นสูตรทปี่ ระกอบด้วยสารออกฤทธิ์ไม่น้อยกวา่ 90% สารเคมีสตู รอนื่ ๆทม่ี ีจ�ำหนา่ ยในท้องตลาดสรุปไดเ้ ป็น 3 ประเภท คือ 1. ประเภทของแขง็ (solid) ประกอบดว้ ยผงของสารเคมผี สมกบั ผงของสารบางชนดิ ทไ่ี มม่ ฤี ทธท์ิ างเคมี อยใู่ นรปู ของผงละลายนำ�้ (wettable powders หรือ WP) หรือผงเปยี กน้�ำ (water dispersible powders หรอื WDP) เวลาใช้ต้องผสมกับนำ้� แล้วจงึ น�ำไป คูม่ อื วชิ าการโรคตดิ เชือ้ เดงกแี ละโรคไขเ้ ลือดออกเดงกี 79 ดา้ นการแพทยแ์ ละสาธารณสุข

ฉีดพ่น แต่บางครั้งอาจใช้ในรูปของผงฝุ่น (dusts) เช่น การอาบผงฝุ่นให้ไก่เพ่ือก�ำจัดไรไก่ สารเคมีประเภทนี้อาจน�ำมาอัดให้เป็นเม็ด(wettable tablets หรอื WT), เปน็ กอ้ น (lumps) เพ่อื ใช้ใส่ในแหลง่ น�ำ้ เพราะจะท�ำให้จมลงในนำ�้ หรอื อยู่ใต้ผวิ น้�ำไดน้ านขนึ้ , เปน็ กอ้ นลอยน�้ำ (briquettes), เป็นแคปซูล (capsules) ท่ีง่ายต่อการขนส่งและใช้งาน นอกจากน้ีสารเคมียังได้รับการพัฒนาให้อยู่ในสูตร ที่สามารถปลอ่ ยสารออกฤทธอ์ิ อกมาครงั้ ละนอ้ ยๆ (slow-release formulations) เพื่อให้มรี ะยะเวลาในการออกฤทธิ์ได้นานโดยอย่ใู นรูปของทรายเคลอื บสารเคมี (sand granules หรอื GR (เดิมใช้อกั ษรยอ่ วา่ SG)) เช่น ทรายอะเบท เป็นต้น 2. ประเภทของเหลว (liquid) ประกอบด้วยสารเคมีผสมกับสารละลายอินทรีย์ท่ีเหมาะสมและสารท่ีท�ำให้สามารถรวมตัว กับน้�ำได้ เวลาใช้ต้องผสมกับน้�ำมันหรือน้�ำ (ตามค�ำแนะน�ำท่ีระบุไว้ในฉลากข้างภาชนะบรรจุ) สารเคมีประเภทน้ีมีหลายรูปแบบ เชน่ สารละลาย (solution), สารผสมแขวนลอยของน้�ำมนั (emulsifiable concentrations หรือ EC), สารผสมแขวนลอยของผง(suspension concentrations หรอื SC), และฝอยละเอยี ด (spray droplets หรือ ULV) เปน็ ตน้ 3. ประเภทแก๊ส (gas) เพ่ือใช้อบหรือรมให้แมลงตาย เชน่ แบบเปน็ ควัน (smoke) และไอระเหย (vapor)อนั ตรายทีเ่ กดิ จากการใช้สารเคมีก�ำจัดแมลง ในปัจจุบัน ประเทศท่ีก�ำลังพัฒนาส่วนมากโดยเฉพาะอย่างย่ิงในประเทศไทยได้มีการใช้สารเคมีเพ่ือก�ำจัดแมลงเพ่ิมข้ึน อยา่ งมากมาย จึงควรศกึ ษาวิธกี ารใชท้ ถ่ี กู ต้องเพือ่ ใหม้ คี วามปลอดภัยมากทสี่ ุดท้งั ผ้ปู ฏบิ ัตงิ านและประชาชนท่วั ไป สารเคมีก�ำจดั แมลงทกุ ชนดิ ลว้ นแลว้ แตม่ พี ษิ ทง้ั สน้ิ ความเปน็ พษิ ทมี่ ตี อ่ สตั วเ์ ลอื ดอนุ่ และสตั วเ์ ลย้ี งลกู ดว้ ยนม สามารถอธบิ ายไดใ้ นรปู ของความเปน็ พษิ ทเ่ี ขา้ ทางปาก (oral) หรือทางผวิ หนงั (dermal) อย่างเฉยี บพลนั ทีม่ ตี อ่ สัตวท์ ดลอง โดยแสดงเป็นค่า LD 50 ซึ่งมหี น่วยเป็นมลิ ลกิ รัม/นำ�้ หนักรา่ งกาย 1 กโิ ลกรัม ส�ำหรบั องคป์ ระกอบทมี่ อี ิทธพิ ลตอ่ ความเป็นพิษของสารเคมีก�ำจัดแมลงทีเ่ น้นถึงอันตรายจากสารเคมีน้ันไดแ้ ก่ 1. ปรมิ าณสารเคมที ใ่ี ช้ (dosage) การใชใ้ นปรมิ าณทมี่ ากเกนิ กวา่ ทกี่ �ำหนดไว้ ไมเ่ พยี งแตจ่ ะท�ำใหเ้ กดิ อนั ตรายแกร่ า่ งกายเทา่ นน้ัแต่อาจท�ำให้ผู้รบั เสียชวี ติ ได้ 2. รปู แบบ (form) รปู แบบของสารเคมที ใ่ี ชจ้ ะกอ่ ใหเ้ กดิ อนั ตรายแกผ่ รู้ บั แตกตา่ งกนั ไป และขน้ึ อยกู่ บั ทางทส่ี ารเคมเี ขา้ สรู่ า่ งกายดว้ ยตวั อยา่ งเชน่ ไดร้ บั สารเคมเี ขา้ ทางปากจากการกนิ ไดร้ บั สารเคมเี ขา้ ทางผวิ หนงั โดยเขา้ ทางบาดแผลหรอื จากการสมั ผสั ถกู สารเคมโี ดยตรงได้รบั สารเคมเี ข้าทางจมกู จากการสูดหายใจเอาไอหรือควนั เขา้ ไป เปน็ ตน้ 3. การไดร้ บั สารเคมี (exposure) สารเคมีเข้าสูร่ า่ งกายของคนและสตั ว์ได้ 3 ทางดว้ ยกนั คอื 3.1. ทางปาก (ingestion) โดยการกนิ การด่มื หรอื การสบู บุหร่ี 3.2. ทางผิวหนัง (skin absorption) โดยเข้าทางบาดแผลหรือผื่นคันที่สัมผัสถูกกับสารเคมี นอกจากนี้สารเคมีท่ีอยู่ในรูปของเหลวสามารถซึมผ่านผิวหนังได้ดีและรวดเร็วกว่าอยู่ในสภาพอื่นๆ โดยเฉพาะในช่วงอากาศร้อน รูเหง่ือจะเปิดกว้างท�ำให้สารเคมีก�ำจดั แมลงเขา้ สู่ร่างกายไดเ้ ร็วกวา่ ปกติ 3.3. ทางจมูก (inhalation) โดยการสูดหายใจเอาไอระเหยหรอื ควนั เขา้ ไปในปอด ขณะที่ท�ำการพ่นสารเคมี นิยามศพั ท์ที่ควรจะท�ำความเขา้ ใจให้ถกู ตอ้ ง toxicity หมายถึง ความสามารถของสารเคมีที่เป็นเหตุให้เกิดผลร้ายหรือเป็นพิษร้ายและจะแปรตามชนิดและความเข้มข้น ของสารเคมี ซ่งึ มกั แสดงคา่ เปน็ น�้ำหนกั ของสารเคมีต่อน้ำ� หนักสตั ว์ทดลอง hazard หมายถงึ อนั ตรายทเี่ กดิ จากความเปน็ พษิ ของสารเคมแี ละการรบั สารเคมเี ขา้ สรู่ า่ งกายซงึ่ ขนึ้ อยกู่ บั ความเขม้ ขน้ ของสตู รสารเคมี วิธีการใช้ ปริมาณและอัตราการใชส้ ารเคมีในคนและสตั ว์ dosage หมายถงึ จ�ำนวนสารเคมที สี่ ามารถก�ำจดั แมลงเปา้ หมายไดอ้ ยา่ งมปี ระสทิ ธภิ าพ และปลอดภยั ซงึ่ มกั แสดงอตั ราการใช้เปน็ น�ำ้ หนักของสารเคมีต่อพ้นื ทห่ี รอื ต่อปรมิ าตรการจัดระดับอันตรายของสารเคมกี �ำจัดแมลง องค์การอนามัยโลกได้จ�ำแนกสารเคมีก�ำจัดแมลงจ�ำนวนมากกว่า 700 ชนิด ตามความอันตราย (hazard) ของสารเคมีนั้น โดยแบ่งระดับความเปน็ พษิ ออกเป็น 5 ระดับ ดงั นี ้ 1. เป็นอันตรายอยา่ งย่ิง (extremely hazardous) เช่น calcium cyanide, dieldrin 2. เปน็ อนั ตรายสงู (highly hazardous) เช่น aldrin, antu, dichlorvos, fenthion, paris green80 คู่มือวชิ าการโรคตดิ เชื้อเดงกีและโรคไข้เลือดออกเดงกี ด้านการแพทยแ์ ละสาธารณสุข

3. เป็นอนั ตรายปานกลาง (moderately hazardous) เชน่ bendiocarb, BHC, chlorpyrifos, DDT, deltamethrin, HCH,propoxur, pyrethrins, fenitrothion, pirimiphos methyl 4. เปน็ อนั ตรายน้อย (slightly hazardous) 5. ไมม่ ีอนั ตรายเฉียบพลนั ในการใช้งานปกติ (no acute hazard in normal use)มาตรการท่ีควรทราบ เกีย่ วกบั การใช้สารเคมเี พอื่ ลดอนั ตรายจากสารเคมีทใี่ ช้ก�ำจัดแมลง 1. เก็บสารเคมีไว้ในที่มิดชิดให้ห่างจากเด็กและสัตว์เล้ียง ควรเก็บไว้ในตู้หรือในห้องที่สามารถใส่กุญแจได้ และควรจะเก็บไว ้ ในถงุ หรือในภาชนะเดิม ไม่ควรจะแบ่งใสถ่ ุงหรือใส่ในภาชนะอื่น 2. เกบ็ สารเคมใี หห้ ่างจากอาหารทง้ั ของคนและสตั วเ์ ล้ียง 3. ใช้สารเคมีเมอ่ื มคี วามจ�ำเป็นจรงิ ๆ เทา่ นัน้ 4. กอ่ นการใชส้ ารเคมี ตอ้ งอา่ นวธิ ใี ชใ้ นฉลากทตี่ ดิ มากบั ภาชนะบรรจสุ ารเคมใี หเ้ ขา้ ใจดเี สยี กอ่ น รวมทง้ั วธิ กี ารปอ้ งกนั และแกพ้ ษิ 5. อย่าใชส้ ารเคมมี ากเกินกว่าที่ได้แนะน�ำไวใ้ นฉลาก 6. ปิดปากและจมกู ให้มิดชดิ ระวังอย่าหายใจเอาฝุน่ ละอองของสารเคมเี ขา้ ไปในขณะท�ำการผสมหรอื พ่น 7. ระวงั อยา่ ให้สารเคมกี ระเดน็ ถกู ตวั หรอื เขา้ ตา 8. อยา่ รับประทานอาหารหรือสูบบุหร่ีในขณะท�ำการฉดี หรอื พน่ หรือผสมสารเคมี ควรล้างมือ ล้างหน้า และเปลี่ยนเสอ้ื ผ้าทนั ทีหลงั สน้ิ สุดการพน่ 9. ท�ำลายสารเคมที ่ไี มม่ ฉี ลากหรือฉลากเลอะเลือนมองไม่เหน็ ห้ามเดาเปน็ อนั ขาด 10. ระวังอย่าให้สารเคมีปลวิ ลงไปยังไร่ข้างเคียง ทพ่ี ักอาศยั หรือลงในบอ่ นำ�้ เปน็ อันขาด 11. ควรสวมหนา้ กากขณะปฏิบัตงิ าน 12. ท�ำลายภาชนะทใี่ ชบ้ รรจุสารเคมีดว้ ยวิธฝี ังหรือเผาเสียเมื่อใช้สารเคมีน้นั ๆ หมดแลว้การปอ้ งกนั อันตรายจากสารเคมี 1. ผทู้ ท่ี �ำงานเกยี่ วขอ้ งกบั สารเคมคี วรมคี วามระมดั ระวงั ในการปฏบิ ตั งิ านใหม้ าก โดยเฉพาะเมอ่ื จบั ตอ้ งหรอื เมอื่ ท�ำการฉดี พน่ สารเคมี 2. เวลาปฏิบัตงิ านควรมสี ง่ิ ป้องกนั ตัว เช่น สวมเสอื้ ผ้าหนาๆ สวมใสห่ น้ากากปิดปากและจมูกใหม้ ิดชิด 3. ในโรงงานท่ีผลติ และบรรจสุ ารเคมีต้องมกี ารระบายอากาศทด่ี ี 4. มีการติดตามตรวจสุขภาพของผู้ปฏิบัติงานท่ีเกี่ยวข้องกับสารเคมี โดยตรวจดูระดับฟอสฟอรัสในเลือดอย่างสม่�ำเสมอ ควรตรวจปริมาณของเอนไซม์คลอรีเนสเตอเรสในพลาสมาหรือในเลือดของผู้ปฏิบัติงานพ่นสารเคมีประเภท Organo-phosphate ตลอดเวลาด้วยอาการเป็นพิษ เนอ่ื งจากการใช้สารเคมกี �ำจดั แมลงชนดิ ต่างๆ สรปุ ไดด้ ังนี้ ก. พิษจากสารเคมีกลุ่มคลอริเนตเตตไฮโดรคาร์บอน ผู้ท่ีได้รับสารเคมีจะอาเจียน (หากได้รับในประมาณสูง) ท้องร่วง รู้สึก ฟัน่ เฟือนทรี่ ิมฝีปาก ลนิ้ และหน้า เบอื่ อาหาร ชพี จรเตน้ ผิดปกติ ปวดศีรษะ เจ็บคอ ออ่ นเพลีย มอี าการส่ัน (ทีบ่ รเิ วณคอ ศรี ษะ หนงั ตา)มนึ งง ชัก เป็นอมั พาตบางสว่ น หมดสติ และเสียชีวิตได้ ข. พษิ จากสารเคมกี ลมุ่ ออรแ์ กโนฟอสเฟต ผทู้ ไ่ี ดร้ บั สารเคมจี ะเกดิ อาการคลนื่ เหยี น อาเจยี น เปน็ ตะครวิ ทท่ี อ้ ง นำ้� ลายไหลมากปวดศีรษะ เวียนศรี ษะ แน่นหนา้ อกในกรณีท่ีสูดดมเข้าไป นำ�้ มกู ใส ตามัว ม่านตาด�ำเลก็ ลง นำ้� ตาไหล การท�ำงานของกลา้ มเน้อื ผดิ ปกติพดู เลอะเลือน กล้ามเนอ้ื กระตกุ อ่อนเพลยี จิตใจผิดปกติ มนึ งง หายใจล�ำบาก น้ำ� ลายฟูมปาก อาการขาดออกซิเจน ความดนั โลหิตสูงชกั กระตกุ หอบ และเสียชวี ติ ซึง่ อาจเกดิ จากระบบหายใจติดขดั และอื่นๆ คู่มือวชิ าการโรคติดเชื้อเดงกีและโรคไข้เลอื ดออกเดงกี 81 ด้านการแพทย์และสาธารณสขุ

ตารางที่ 11.1 แสดงความเปน็ พิษจากการใช้สารเคมีกำ�จัดแมลง สารเคมี ชนิด ความเปน็ พษิ mg/kg อตั ราการใช้ ความเป็นพษิ แมลงเปา้ หมายDDT ตอ่ แมลงLindaneMalathion CH 113 1-2 gm/m2 สัมผัส ยุงและแมลงคลานFenitrothion CH 100 0.2-0.5 gm/m2 สมั ผสั และหายใจ ยุงและแมลงคลานPirimiphosmethyl OP 2,100 1-2 gm/m2 สัมผสั ยุงและแมลงคลานTemephos 142-693 gm/ha สมั ผัส แมลงวันDeltamethrin OP 503 1-2 gm/m2 สมั ผัสและหายใจ ยงุ และแมลงคลาน 350-580 gm/ha สมั ผสั และหายใจ ยงุ และแมลงวนัPermethrinLambda OP 1,415 1-2 gm/m2 สมั ผัสและหายใจ ยุงและแมลงคลานcyhalothrin 100 gm/ha สัมผัส ยงุ และแมลงวัน OP 8,600 56-112 gm/ha กิน ลูกนำ�้ ยงุ ชนิดตา่ งๆ 0.1 gm/litre กิน ลกู น้ำ� ยุงลาย Py 135 0.05 gm/m2 สมั ผสั ยงุ และแมลงคลาน 0.5-1.0 gm/ha สมั ผสั ยงุ และแมลงวนั Py 4,000 0.5 gm/m2 สมั ผสั ยงุ และแมลงคลาน 5-10 gm/ha สัมผสั ยุงและแมลงวัน Py 1,930 10-30 gm/m2 สัมผสั ยงุ และแมลงคลาน 1-2 gm/ha สัมผัส ยงุ และแมลงวันหมายเหตุ CH = Chlorinated Hydrocarbon Compounds OP = Organo-phosphate Compounds Py = Synthetic Pyrethroidสารเคมีท่ีส�ำนกั งานควบคมุ โรคไข้เลอื ดออกใช้หรอื เคยใช้ในการควบคมุ ยุงพาหะ 1. ทรายก�ำจัดลูกน้�ำ เป็นสารเคมีกลุ่ม Organo-phosphorous Compound ท่ีมีฤทธ์ิในการก�ำจัดลูกน�้ำ (larvicide) มคี วามเข้มขน้ 1% โดยนำ้� หนกั เนือ้ ยาถกู เคลือบไว้บนเม็ดทราย สชูต่ือรทโัว่ คไรปงส(Cรา้oงm(mEmopnirnicaaml eF)or:mTeumlae)p:hCo1s6 (HB2S0I,OA6NPS2I,SIS3O) ชื่อการคา้ อ่นื ๆ : Abathion, Abate, Biothion, Swebate, Nimitex, Ac52, 160, Ent 27156, OMS 786ม ChemfleetSandabate ความคงทน (Stability) : ที่อุณหภูมิ 25ºC เมื่อใส่ทรายเคลือบทีมีฟอสลงในน้�ำ ทรายจะคงสภาพได้นานในน�้ำบริสุทธิ์ และสลายตวั เรว็ ในนำ้� ท่ีมสี ภาพเป็นด่าง หรือกรดคอ่ นข้างสงู และสลายตวั เรว็ ขน้ึ ตามอุณหภูมทิ ส่ี งู ขึน้ ความเปน็ พิษ : ในหนูทดลอง acute oral LD50 ประมาณ 8,600 มก./กก. การใช้ : อัตราการใช้ควบคุมยงุ ลาย 1 กรัม/นำ�้ 10 ลิตร ซงึ่ จะได้สารทีมีฟอสในน้ำ� มีความเข้มข้น 1 ppm. (หมายถงึ สารเคมี1 ส่วน ในนำ้� 1 ล้านสว่ น)82 คู่มอื วิชาการโรคตดิ เชื้อเดงกีและโรคไขเ้ ลือดออกเดงกี ด้านการแพทย์และสาธารณสุข

2. Pirimiphos methyl 1.6% เปน็ สารเคมที ใี่ ช้ในการควบคุมยงุ พาหะ มคี วามเข้มข้นเนอื้ ยา 1.6%-2.0% w/v ชสตูอื่ รทโวั่ คไรปงส(Cรา้oงm(mEmopnirnicaaml efo)rPmiriumlaip)hCo1s1-Hm20etNh3ylO3 P5 ความคงทน (Stability) Pirimiphos methyl มีความคงทนในอณุ หภูมปิ กติ และท่ีอุณหภูมิ 50ºC นาน 3 เดอื น หรอื 80ºCนาน 4 วนั ประสิทธภิ าพจะลดลง 50% (half life) และสลายตัวอย่างรวดเรว็ ที่ 100ºC ความเปน็ พิษ (Toxicity) ในหนทู ดลอง acute oral LD50 ประมาณ 1,415 มก./กก. การใช ้ พน่ ดว้ ยเครอื่ งพน่ หมอกควนั โดยมอี ตั ราการใช้ 150–200 กรมั /10,000 ตารางเมตร หรอื ประมาณ 50–100 มล./หลงั คาเรอื น 3. Sumithion 2% เป็นสารเคมที ใ่ี ช้ในการควบคุมยุงพาหะน�ำโรค โดยใช้ความเข้มขน้ เนือ้ ยา 2% w/v สชูตือ่ รทโั่วคไรปงส(Cร้าoงm(mEmopnirnicaaml efo)rFmenuiltaro) tCh9ioHn12 NO5 P5 ความคงทน (Stability) ในสภาวะอุณหภูมปิ กตจิ ะรกั ษาคุณภาพได้นานประมาณ 2 ปี และจะสลายตวั ไดเ้ ร็วขึ้นในสภาวะความเป็นด่างและอุณหภมู สิ งู ความเปน็ พิษ (Toxicity) ในหนทู ดลอง acute oral LD50 ประมาณ 503 มก./กก. การใช้ พน่ ด้วยเครอื่ งพ่นหมอกควัน โดยมอี ัตราการใช้ 50–100 มล./หลังคาเรอื น 4. Deltacide เป็นสารเคมีกลุ่มสารสังเคราะหไ์ พรีทรอยดท์ ่ีมคี วามเขม้ ข้นสูงใช้ในการก�ำจดั ยงุ พาหะ ตัวยาหลักของเดลตาไซด์คือ Deltamethrin ความเข้มข้น 0.5% w/v และมสี ารเสรมิ ฤทธ์ิ คือ Esbio allethrin กับ Piperonyl Butoxide ความคงทน (Stability) จะสลายตวั เมอ่ื สมั ผสั แสงแดดหรอื ความรอ้ น ความเป็นพษิ (Toxicity) ในหนทู ดลอง acute oral LD50 ประมาณ 135 มก./กก. การใช้ - พน่ ด้วยเครื่องพ่นระบบ ULV ใชน้ ้�ำยาเดลตาไซด์ 1 ลิตร ผสมนำ�้ มันดเี ซลหรือน้�ำบริสทุ ธิ์ 9 ลติ ร จะไดน้ ้�ำยาที่มีความเขม้ ขน้ ของ Deltamethrin 0.05% อตั ราการใชย้ า 50-100 ลติ ร/ตารางกโิ ลเมตร หรอื 150-250 มล./นาที ทคี่ วามเรว็ รถพน่ 5-8 กม./ชม. - พ่นดว้ ยเคร่ืองพ่นหมอกควัน ผสมเดลตาไซด์ 1 ลิตร กับนำ้� มนั ดเี ซลหรอื น�ำ้ บริสทุ ธิ์ 49 ลติ ร จะไดน้ ำ�้ ยาท่มี ีความเข้มขน้ ของ Deltamethrin 0.01% อัตราการใช้ 50-100 ลติ ร/กโิ ลเมตร หรอื 50-100 มล./หลังคาเรือนตารางที่ 11.2 แนวทางการใช้สารเคมีเพื่อควบคุมยุงพาหะ วิธกี ารควบคุม การควบคุมยุงพาหะการพน่ หมอกควนั สารเคมี ยงุ ลาย ยุงร�ำคาญ (Fogging) เวลาพ่น 18.00-20.30 น. ยุงตวั เตม็ วัย พ่นนอกบา้ น 50 ลิตร/ตารางกม. พ่นนอกบา้ น 50 ลติ ร/ตารางกม. ก. ซูมิไธออน 2% เวลาพ่น 09.00-16.30 น. พ่นนอกบา้ น 50 ลติ ร/ตารางกม. ข. พิริมิฟอสเมธลิ 1.6% พน่ ในบ้าน 50-100 มล./ละคร. เครือ่ งพ่นขนาดเลก็ (Swing Fog) ใช้หวั พน่ ขนาด 1.0–1.2 พน่ ในบา้ น 50-100 มล./ละคร. เครื่องพ่นขนาดใหญ่ (SN 100) ใชห้ ัวพ่นขนาด 1.6-2.0วิธีการควบคุม การควบคุมยุงพาหะ ค. เดลตาไซด์หรอื พน่ ในบา้ น 50-100 มล./ละคร. เรซีเจนผสมนำ้� มนั เครือ่ งพ่นขนาดเล็ก (Swing Fog) ดีเซลหรือน�้ำมันก๊าด ใชห้ วั พ่นขนาด 0.8–1.0 อตั ราส่วน 1 : 49 คมู่ อื วิชาการโรคตดิ เช้ือเดงกีและโรคไขเ้ ลือดออกเดงกี 83 ด้านการแพทย์และสาธารณสุข

วิธีการควบคมุ สารเคมี การควบคุมยงุ พาหะ ยงุ ร�ำคาญ ยุงลายการพน่ ฝอยละออง ก. เ ด ล ต า ไ ซ ด ์ ห รื อ เวลาพ่น 06.30-10.30 น. เวลาพน่ 18.00-20.30 น.(ULV) เรซีเจนผสมน้�ำมัน - พ่นนอกบา้ นดว้ ยเคร่อื ง LECO อตั รา 500 - พ่นนอกบ้านด้วยเคร่ือง LECO ดีเซล หรอื น้�ำบรสิ ทุ ธิ์ มล./เฮคตาร์ หรือ150-250 มล./นาที อัตรา 500 มล./เฮคตาร์ หรือ อตั ราสว่ น 1 : 9 - พ่นนอกบ้านด้วยเครอ่ื ง FONTAN ใช้หวั 150-250 มล./นาที ข. มาลาไธออน 96% พน่ 0.3-0.5 อตั ราการใช้ 25-50 มล./ลคร. - พ่นนอกบ้านด้วยเครื่อง FONTAN พรเี มียมเกรด - พ่นนอกบ้านด้วยเคร่ือง LECO ในอัตรา ใช้หัวพ่น 0.3-0.5 อัตราการใช้ 130-150 มล./นาที 25-50 มล./ลคร. - พ่นนอกบ้านด้วยเคร่ือง LECO ในอตั รา 130-150 มล./นาทีลกู น�้ำยงุ พาหะ ทรายก�ำจัดลกู นำ้� 1% - ใช้ในแหล่งเพาะพันธุ์ท่ีเป็นที่เก็บน้�ำ ขนาดใหญ่ เชน่ โอง่ นำ้� ถงั นำ้� ในอตั ราทราย ก�ำจดั ลกู นำ�้ 1 ชอ้ นชา (10 กรมั ) ตอ่ ภาชนะ ใส่น�ำ้ 100 ลิตร (5 ปีบ๊ ) - ก�ำจดั แหลง่ นำ้� ขงั ขนาดเลก็ ไมใ่ หเ้ ปน็ ทเ่ี พาะ พนั ธโ์ุ ดยการควำ่� , ท�ำลาย ภาชนะขงั นำ้� ทไี่ มใ่ ช้การใชว้ ธิ พี น่ หรอื ชบุ สารเคมบี นมงุ้ หรอื ผา้ มา่ นเพอ่ื ใหม้ ฤี ทธต์ิ กคา้ ง (Insecticide-treated materials: Mosquito nets and curtains) การใชว้ ธิ นี มี้ วี ตั ถปุ ระสงคเ์ พอื่ ฆา่ ยงุ ลายทอี่ าศยั และหากนิ อยใู่ นบา้ นและเพอ่ื ปอ้ งกนั ยงุ ลายจากนอกบา้ นไมใ่ หบ้ นิ เขา้ ไปในบา้ นได้ แต่อย่างไรก็ตามการใช้มุ้งชุบสารเคมีมีข้อจ�ำกัดอยู่ที่นิสัยการออกหากินของยุงลายเป็นเวลากลางวันซ่ึงคนส่วนใหญ่จะไม่ใช้มุ้งในเวลาน้ียกเว้นผู้ท่ีต้องหลับนอนในเวลากลางวัน เช่น เด็กเล็ก และผู้ท่ีมีอาชีพท่ีต้องปฏิบัติงานในตอนกลางคืน จะมีประโยชน์มากหากนอน ในมุ้งชุบสารเคมีน้ี สารท่ีใช้เป็นสารเคมีในกลุ่มไพรีทรอยด์ซึ่งจะมีความปลอดภัยสูงกว่าสารเคมีกลุ่มอื่น ส่วนการติดผ้าม่านท่ีชุบสาร ไพรีทรอยด์ไว้ท่ีหน้าต่าง และประตูจะมีส่วนช่วยป้องกันไม่ให้ยุงลายที่บินหากินอยู่นอกบ้านบินเข้ามาหากินเลือดเหย่ือภายในบ้านได้เนอื่ งจากสารไพรที รอยดม์ ฤี ทธใิ์ นการไลย่ งุ ได้ แตห่ ากยงุ ยงั พยายามทจ่ี ะหาชอ่ งทางเขา้ มาใหไ้ ดย้ งุ กจ็ ะตอ้ งสมั ผสั ถกู สารเคมที ชี่ บุ ไวแ้ ละจะตายในที่สุดตอ่ ไปภายใน 24 ชวั่ โมงการใช้สเปรยฉ์ ีดยงุ กระปอ๋ ง (Insecticidal aerosol can) สเปรย์ฉดี ยุงกระปอ๋ ง (Insecticidal aerosol can) เป็นอกี วธิ กี ารหนึ่งของการพ่นแบบฟงุ้ กระจาย (Space spraying) เชน่ เดยี วกับการพ่นหมอกควัน และยูแอลวี ถ้าจะเทียบเท่าก็คงจะเทียบได้กับการพ่นแบบยูแอลวี ซึ่งเป็นการพ่นท่ีมีขนาดละอองใหญ่กว่า หมอกควันเล็กน้อย แต่ยงั อยใู่ นช่วงท่ีสามารถเรยี กว่า ละอองแอโรซอล (aerosol droplet) หรอื ละอองแบบฝอยละเอยี ด ค�ำว่า aerosol หมายถึง ละอองที่ลอยได้ การทล่ี ะอองจะลอยไดใ้ นอากาศนานๆจะตอ้ งมขี นาดทเ่ี ล็กมาก ซ่งึ ละอองทีก่ �ำลังพูดถงึ นเี้ ปน็ ละอองทเ่ี กดิ จากการแตกตวั ของนำ้� ยาเคมอี อกเปน็ ละอองขนาดเลก็ มากๆ จนสามารถลอ่ งลอยไดด้ จุ เปน็ โมเลกลุ ของอากาศเองดังนนั้ เครอื่ งพ่นทผ่ี ลติ ละอองแบบ aerosol ได้จึงถกู เรยี กว่า เคร่ืองพ่นแอโรซอล (aerosol generator หรอื fog generator) รวมทง้ัสเปรย์ฉีดยุงกระป๋องด้วย (aerosol can) และด้วยขนาดของละอองแบบ aerosol มีความเล็กละเอียดมากจึงถูกเรียกอีกช่ือหน่ึงว่า“ฝอยละเอยี ด” นนั่ เอง ขนาดละอองจะอยใู่ นชว่ ง 1–50 μm (μm มคี า่ เทา่ กบั เศษหนง่ึ สว่ นลา้ นเมตร อา่ นวา่ ไมครอน/หรอื ไมโครเมตร)แตถ่ า้ ละอองทฉ่ี ดี พน่ มขี นาดละอองใหญก่ วา่ นค้ี อื มขี นาดละอองใหญก่ วา่ 50 μm และอยใู่ นชว่ ง 51–100 μm จะเรยี กละอองแบบนว้ี า่ฝอยละออง (mist droplet) ซึ่งละอองจะลอยในอากาศไดไ้ ม่นานเพราะมีขนาดใหญแ่ ละหนกั พอหมดแรงส่งจากเคร่ืองพน่ หรือหวั ฉดีละอองจะย้อยตกลงบนพื้นทันทีโดยละอองหนักกว่าจะตกเร็วกว่า (ละอองขนาด 1–50 μm แท้จริงแล้วก็สามารถตกลงบนพื้นได้แต่ จะใชเ้ วลานานมากๆ และตอ้ งอยใู่ นสภาพลมสงบดว้ ย แตต่ ามปกตแิ ลว้ จะตกยากเพราะละอองมกั ถกู ลมชอ้ นใหล้ อยขน้ึ กอ่ นจะตกเสมอ84 คมู่ อื วชิ าการโรคตดิ เชื้อเดงกีและโรคไข้เลือดออกเดงกี ดา้ นการแพทย์และสาธารณสขุ

ดว้ ยความทเ่ี มด็ ละอองเหลา่ นลี้ อยไดน้ านอาจมผี สู้ งสยั วา่ แลว้ ประชาชนทอ่ี าศยั อยภู่ ายใตม้ า่ นละอองเหลา่ นจ้ี ะไดร้ บั อนั ตรายไปดว้ ยหรอื ไม่ขอตอบว่าความเข้มข้นของสารเคมีท่ีใช้พ่นนี้เป็นไปตามค�ำแนะน�ำขององค์การอนามัยโลกซ่ึงได้ศึกษาในเร่ืองความปลอดภัยทั้งหมดไว้แล้วจึงให้ค�ำแนะน�ำการใช้ออกมา และท่ีส�ำคัญละอองเหล่าน้ีจะลอยแยกตัวห่างออกจากกันเร่ือยๆตามระยะเวลาที่ล่วงไปเนื่องจาก โดนกระแสลมทโี่ ชยพดั ผา่ นหรอื โดยมวลอากาศซง่ึ มกี ารเคลอ่ื นตวั ตลอดเวลาชว่ ยพดั ละอองใหแ้ ยกจากกนั ท�ำใหค้ วามหนาแนน่ ของกลมุ่ละอองลดลงตลอดเวลา ความเข้นข้นก็จะลดลงไปดว้ ย วัตถุประสงค์ของการพน่ ฟงุ้ กระจาย คอื 1. เพอ่ื ก�ำจัดยุงที่ก�ำลงั มเี ชื้อโรคไมว่ า่ ตัวที่เคยแพร่เช้ือมาแล้วหรอื ยงุ ทก่ี �ำลังอยู่ในระยะบม่ เช้อื เตรียมท่จี ะแพรโ่ รคตอ่ ไป ให้ตายลงทนั ทีไม่ใหเ้ หลอื ยุงที่จะแพร่โรคใหค้ นไขร้ ายใหม่อีกในพื้นท่นี ั้น 2. เพอื่ ลดความหนาแนน่ ของยงุ ทม่ี มี ากมายเกนิ ไปใหอ้ ยใู่ นระดบั ตำ�่ มากจนไมเ่ ปน็ ปญั หารบกวนสรา้ งความร�ำคาญแกค่ นและสตั วเ์ ลยี้ ง 3. เพอื่ ลดการสมั ผสั ระหวา่ งยงุ พาหะกบั คน (เปน็ การลดความเสย่ี งตอ่ โรค) เหตผุ ลส�ำคญั ทต่ี อ้ งพน่ ใหล้ ะอองสารเคมสี ามารถลอ่ งลอยอยใู่ นอากาศได้นานๆ คอื เพอ่ื ฆา่ แมลงท่ชี อบบินหากินไปมาอยใู่ นอากาศ เราเรียกแมลงท่มี ีพฤติกรรมเช่นน้วี า่ “แมลงบนิ ” ซึง่ ในทน่ี ้ีหมายถงึ ยงุ นน่ั เอง เมอื่ ยงุ บนิ มาสมั ผสั ละอองทล่ี อ่ งลอยในอากาศเหลา่ นจี้ นไดร้ บั สารออกฤทธใิ์ นปรมิ าณเพยี งพอกจ็ ะท�ำใหต้ ายไดภ้ ายใน24 ชั่งโมง อย่างไรก็ตามหากพ่นยุงในขณะท่ีพวกมันก�ำลังเกาะพักเนื่องจากไม่ใช่เวลาออกบินหากินของยุงชนิดนั้น ประสิทธิภาพของการพน่ อาจลดลงไดห้ ากยงุ ไปเกาะพกั ในทหี่ ลบซอ่ นตรงต�ำแหนง่ ทลี่ ะอองลอยเขา้ ไปไมถ่ งึ ดงั นนั้ การพน่ ฟงุ้ กระจายจ�ำเปน็ ตอ้ งพน่ ใหต้ รงกบั ชว่ งเวลาทย่ี งุ ชนดิ ทต่ี อ้ งการควบคมุ ก�ำลงั ออกบนิ หากนิ พอดี จะท�ำใหก้ �ำจดั ยงุ ไดจ้ �ำนวนมาก มปี ระสทิ ธภิ าพสงู ตรงตามวตั ถปุ ระสงค์ข้างบน และคุม้ ค่ากบั งบประมาณท่ีตอ้ งสญู เสยี ไป แตอ่ ยา่ งไรกต็ ามการฉดี สเปรยก์ ระปอ๋ งก�ำจดั ยงุ หรอื แมลงวนั ในสถานทห่ี นงึ่ ๆจะตอ้ งค�ำนงึ ดว้ ยวา่ เราจะฉดี เพอ่ื ฆา่ หรอื เพอ่ื ไลย่ งุเน่ืองจากสเปรยก์ ระป๋องมขี นาดเล็กกวา่ และความซับซ้อนน้อยกว่าเครือ่ งพ่นสารเคมีทางสาธารณสุข (เครื่องพ่นหมอกควนั และเครอื่ งพ่นยูแอลวี) ดังนั้นการหวังผลให้มีประสิทธิภาพในการฆ่าอย่างราบคาบทัดเทียมกับเคร่ืองพ่นใหญ่ๆ ซ่ึงใช้พลังงานเช้ือเพลิงเป็นตัวขับเคล่ือนให้เครื่องยนต์ท�ำงานและปลดปล่อยเม็ดละอองออกมาเหล่าน้ันคงเป็นไปไม่ได้ เช่น จะใช้สเปรย์กระป๋องฉีดให้ท่ัวห้องโดยให ้ มีปริมาณเม็ดละอองสารเคมีเท่าเทียมกับเคร่ืองพ่นยุง หรือฉีดให้มีปริมาณเนื้อสารออกฤทธิ์ล่องลอยอยู่ในห้องเท่ากันกับเคร่ืองพ่นยุง ด้วยเหตุผลเพียงเท่านี้คงพอมองเห็นแล้วว่าการจะให้เทียบเท่ากันนั้นย่อมเป็นไปไม่ได้ หากจะท�ำเช่นน้ันจริงๆจะต้องใช้สเปรย์หลายๆกระป๋อง และที่ส�ำคัญกว่าจะฉีดเสร็จผู้พ่นคงจะสลบหรือเกิดอาการเจ็บป่วยไปเสียเอง เน่ืองจากผู้ฉีดจะต้องสัมผัสถูกละอองสารเป็นเวลานานเพราะตอ้ งอยทู่ า่ มกลางละอองสารฆา่ แมลงทล่ี อ่ ยลอยไปมามากมายในหลายๆหอ้ งทฉ่ี ดี พน่ นานเกนิ ไป และการฉดี พน่ จะเสรจ็ชา้ กวา่ เครอ่ื งพน่ ยงุ ซงึ่ เปน็ เครอ่ื งยนตก์ ลไกมาก ดงั นน้ั จงึ ตอ้ งตงั้ วตั ถปุ ระสงคไ์ วใ้ นใจดว้ ยวา่ จะฉดี สเปรยเ์ พอื่ ฆา่ ยงุ หรอื เพอื่ ไลย่ งุ ซงึ่ ความหมายก็ใกล้เคียงกันคิอไม่มียุงมากัด (สารไพรีทรอยด์มีฤทธ์ิทั้งการฆ่า และการไล่อยู่ในตัวเอง) แต่อย่างไรก็ตามด้วยขนาดท่ีเล็กกระทัดรัด ของสเปรย์ฉีดยุงกระป๋องจึงท�ำให้มีข้อดีอย่างหน่ึงท่ี เคร่ิองพ่นยุงท�ำไม่ได้ คือ ความสามารถในการฉีดแมลงเป้าหมายเป็นตัวเดี่ยวๆ ไดอ้ ย่างแมน่ ย�ำนน่ั เอง ดงั นัน้ การเลือกฉดี พน่ เมอ่ื เหน็ ตวั ยงุ จะช่วยใหม้ ่ันใจย่งิ ข้นึ ว่าโดนตวั ยุงแน่ และยุงตอ้ งตายอยา่ งแนน่ อน และด้วยราคาท่ีย่อมเยากว่าการฉีดพ่นโดยใช้เครื่องพ่นยุงจริงๆ ดังน้ันขนาดของละอองอาจไม่ได้มาตรฐานตามทฤษฎีเท่าใดนัก แต่ก็ถือว่า มปี ระสทิ ธภิ าพพอใชท้ ดแทนกนั ไดใ้ นกรณจี �ำเปน็ และประชาชนสามารถมสี ว่ นรว่ มในการปอ้ งกนั ควบคมุ โรคไขเ้ ลอื ดออกภายในครอบครวัและบา้ นเรอื นของตนเองได้ ดงั นน้ั หากจ�ำเปน็ ตอ้ งฉดี สเปรยก์ ระปอ๋ งเพอื่ ฆา่ ยงุ ชนดิ ใดกต็ ามทอ่ี ยภู่ ายในบา้ นหรอื รอบตวั บา้ นจ�ำเปน็ อยา่ งย่งิ จะต้องพน่ ให้ตรงกบั เวลาทย่ี งุ ชนิดนั้นๆออกหากนิ เพื่อใหโ้ ดนตัวยุงโดยตรงให้มากทสี่ ดุ จะไดผ้ ลดยี ่งิ ข้ึน แตห่ ากสเปรย์ฉดี ยงุ ท่ซี ้ือมาใชง้ านมลี ะอองขนาดใหญๆ่ มาก ละอองเหลา่ นจ้ี ะตกลงบนพนื้ อยา่ งรวดเรว็ ท�ำใหไ้ มถ่ กู ตวั ยงุ (ขนาดของละอองยอ่ มมคี วามคลาดเคลอื่ นมากกว่าเคร่ืองพ่นยุงจริงๆ เน่ืองจากขนาดละอองข้ึนอยู่กับหัวฉีดพ่นซ่ึงท�ำมาจากพลาสติกและไม่ได้มีความซับซ้อนมากนัก อีกทั้งแรงอัดของกาซท่ีเหลอื อยู่ในกระปอ๋ งสเปรย์นัน้ ) สารออกฤทธห์ิ ลกั สว่ นใหญน่ ยิ มใชส้ ารกลมุ่ ไพรที รอยด์ ซง่ึ มพี ษิ ตอ่ แมลงสงู แตม่ พี ษิ ตอ่ สตั วเ์ ลยี้ งลกู ดว้ ยนมตำ�่ ไดแ้ ก่ Permethrin,Tetramethrin และ D-phenothrin เป็นต้น แต่บางยี่ห้ออาจมีส่วนผสมของสารกลุ่มออร์กาโนฟอสเฟต หรือคาร์บาเมต ร่วมด้วย เพื่อให้มีฤทธ์ิตกค้างนานข้ึน ซึ่งผู้ใช้ต้องเพิ่มความระมัดระวังมากขึ้นเน่ืองจากเป็นพิษต่อระบบประสาทและมีความเป็นพิษมากกว่า สารกล่มุ ไพรที รอยด์ สารที่ใช้ ไดแ้ ก่ Malathion และProproxur เปน็ ต้น คู่มอื วิชาการโรคติดเชือ้ เดงกแี ละโรคไขเ้ ลอื ดออกเดงกี 85 ด้านการแพทย์และสาธารณสุข

1.หลักการท�ำงาน สเปรยฉ์ ดี ยงุ กระป๋องมีองค์ประกอบและหลกั การท�ำงาน คือ 1. มีตัวสารออกฤทธิ์ของสารฆา่ แมลงชนดิ ทขี่ ้นึ ทะเบยี นและได้รบั อนุญาตให้ใชใ้ นงานสาธารณสขุ 2. ตวั ท�ำละลายที่เหมาะสม 3. สารขับดนั (Propellent) แล้วบรรจลุ งในกระป๋องโดยการอดั แรงดนั เขา้ ไป สารขบั เคล่ือน (Propellent) ทน่ี ยิ มใชค้ อื บิวเทน (butane), กาซคาร์บอนไดออกไซด์. กาซไนโตรเจน (ปจั จุบนั ไม่แนะน�ำให้ใชส้ าร CFC หรอื สารคลอโรฟลอู อโรคารบ์ อน เปน็ สารขบั เคลอื่ นเนอ่ื งจากเมอ่ื ฉดี ออกไปแลว้ จะอยใู่ นรปู กาซซง่ึ เมอ่ื ลอยขน้ึ ไปบนทอ้ งฟา้จะท�ำให้เกิดรูโหว่ของชั้นโอโซนท�ำให้รังสียูวีเข้มข้นสามารถทะลุผ่านลงมายังพื้นโลกได้มากกว่าปรกติและเป็นอันตรายต่อมนุษย์ เช่น ก่อให้เกดิ เปน็ มะเร็งผวิ หนังได้) เน่ืองจากสารขับเคล่ือนถูกอัดแน่นอยู่ในกระป๋องภายใต้อุณหภูมิท่ีสูงกว่าจุดกลายเป็นไอของสารขับเคล่ือน ดังน้ันเมื่อเรากดหวั ฉดี สารละลายสารฆา่ แมลงและสารขบั เคลอ่ื นจะถกู ดดู ขนึ้ มาในหลอดดดู สารทอ่ี ยใู่ นกระปอ๋ งทต่ี อ่ กบั หวั ฉดี และปลอ่ ยออกมาภายนอกผ่านรูฉีดน�้ำยาของหัวฉีด เมื่อสารขับเคลื่อนปะทะกับอากาศภายนอกจะเกิดการแตกตัวกลายเป็นกาซทันที จากการแตกตัวทันทีน ี้ จึงท�ำให้สารละลายของสารออกฤทธ์ิแตกตัวตามไปด้วยเป็นละอองเม็ดเล็กๆ ทันทีเช่นกัน นอกจากน้ันการระเหยได้ของตัวท�ำละลาย จะย่ิงช่วยท�ำให้เม็ดละอองสารเคมียิ่งลดขนาดลงไปอีกท�ำให้มีขนาดละอองเป็นแบบแอโรซอล ซ่ึงท�ำให้ล่องลอยอยู่ในอากาศได้นาน ซ่ึงเหตุการณ์น้ีจะเกิดขึ้นระหว่างหัวฉีดกับเป้าหมายดังน้ันจึงไม่ควรฉีดสเปรย์ชิดกับเป้าหมายมากเกินไปเพราะของเหลวท่ีฉีดออกมา จะยงั ไมท่ ันแตกตวั เป็นละอองเม็ดเล็กๆ จะกลายเปน็ การฉีดเปียกแทนซง่ึ ท�ำใหเ้ กิดการสนิ้ เปลืองมากเพราะสารไม่กระจายตัว สเปรย์กระป๋องที่ใช้ฉีดยุงมักมีความกว้างของรูหัวฉีดประมาณ 0.43 มิลลิเมตร แต่ส�ำหรับสเปรย์ท่ีใช้ฉีดแมลงคลาน เช่น มดแมลงสาบ จะใชร้ หู วั ฉดี อกี แบบหน่งึ อาจออกแบบให้สารมกี ารหมนุ วนเปน็ กรวยแคบๆเพอ่ื ใหล้ ะอองเกาะกลุ่มรวมตวั กันมากขึ้นเพอื่ ให้แตกตัวยากกว่าสเปรย์ท่ีใช้ฉีดยุงพร้อมท้ังลดปริมาณสารขับเคลื่อนด้วยเพื่อท�ำให้แตกตัวได้น้อยลงท�ำให้ได้ละอองที่มีขนาดใหญ่และ มนี ำ้� หนกั มากขน้ึ เพอื่ ใหล้ ะอองตกลงบนพนื้ ผวิ หรอื ตกลงบนตวั แมลงคลานเปา้ หมายไดแ้ มน่ ย�ำแทนการแตกตวั เปน็ เมด็ ละอองทเี่ ลก็ เกนิไปซ่ึงจะลอ่ งลอยในอากาศ (ปกตแิ มลงคลานมักตวั ใหญ่กว่าและแขง็ แรงกว่ายงุ จึงต้องการปริมาณสารออกฤทธทิ์ ีม่ ากกวา่ ยงุ ) ชนดิ ของสเปรย์กระปอ๋ งส�ำหรบั ก�ำจัดแมลง สเปรยฉ์ ดี ยุงกระป๋องเป็นผลิตภณั ฑ์ก�ำจัดแมลงในครวั เรอื นท่หี าซอ้ื ไดต้ ามหา้ งสรรพสนิ คา้ รา้ นขายวสั ดกุ อ่ สร้าง ร้านขายของช�ำ และร้านสะดวกซื้อต่างๆ เป็นผลิตภัณฑ์ส�ำเร็จรูปที่ผลิตข้ึนมาเพื่อพร้อมใช้งาน มีประสิทธิภาพในการป้องกันก�ำจัดแมลงเป้าหมายที่ จ�ำเจาะจง แทจ้ รงิ แลว้ สเปรยส์ ารก�ำจดั แมลงกระปอ๋ งไมไ่ ดม้ เี ฉพาะส�ำหรบั ฉดี ยงุ เทา่ นน้ั ยงั มชี นดิ และรายละเอยี ดปลกี ยอ่ ยทต่ี อ้ งพจิ ารณาอีกมากท้งั ในด้านการเลือกชนดิ สเปรย์ซึ่งแบ่งเป็นชนดิ ใหญ่ๆได้ 2 ชนดิ ดังนี้ 1. สเปรย์กระป๋องส�ำหรับฉดี ยุง (Space spray product) ใชพ้ น่ แมลงบนิ เชน่ ยงุ แมลงวนั มีให้เลือก 2 ชนดิ คือ สูตรนำ�้ (Water base) และ สตู รนำ�้ มนั (Oil base) น�ำ้ หรือน้�ำมันในทีน่ ใี้ ชเ้ ปน็ ตัวท�ำละลายให้สารออกฤทธิ์มคี วามเจือจางลงไดค้ วามเขม้ ขน้ ทต่ี อ้ งการ ละอองของสารเคมที ผี่ สมในนำ้� มนั เมอื่ ถกู ฉดี พน่ ออกมาจะมขี นาดเลก็ และมคี วามเสถยี รคงทนกวา่ ใชน้ ำ�้ ผสม สว่ นละอองของสารเคมที ใี่ ชน้ ำ�้ เปน็ ตวั ท�ำละลายจะมคี วามปลอดภยั สงู กวา่ สตู รนำ�้ มนั ความเสถยี รของเมด็ ละอองทเี่ กดิ จากนำ�้ เปน็ แกนจะนอ้ ยกวา่ นำ�้ มนัดงั นน้ั อาจหมดฤทธเิ์ รว็ กว่าสตู รน�้ำมัน แตส่ ตู รน�ำ้ ก็มีข้อดี คอื เปน็ มิตรกบั สงิ่ แวดล้อม ไมเ่ กดิ การระคายเคืองต่อผู้ใช้หรือผรู้ ว่ มอยู่อาศัยและไม่ไวไฟ จากข้อมูลส�ำรวจสเปรย์กระป๋องส�ำหรับฉีดยุงสูตรน�้ำ มักใช้สารเพอร์มิทรินเป็นสารออกฤทธิ์ สารชนิดน้ีเป็นสารใน กลุ่มไพรีทรอยด์ปัจจุบันพบว่ามีฤทธ์ิในการฆ่ายุงลายและยุงร�ำคาญลดลงบ้าง ดังน้ันในการฉีดพ่นเพื่อฆ่ายุงอย่างได้ผลจึงควรพ่นให้ได้ปรมิ าณมากพอตามขอ้ แนะน�ำของผผู้ ลติ อยา่ งเครง่ ครดั อยา่ งไรกด็ สี ารชนดิ นม้ี ขี อ้ ดคี อื มคี วามปลอดภยั ตอ่ คนสงู กวา่ สารไพรที รอยดช์ นดิ อน่ื (แตก่ ็ไมค่ วรสดู ดมเข้าไปในร่างกาย เพราะอยา่ งไรกย็ งั เปน็ สารพษิ แม้ว่าจะมพี ษิ ตอ่ คนนอ้ ยก็ตาม) การฉดี สเปรยจ์ ะใหม้ ปี ระสทิ ธภิ าพดที สี่ ดุ ตอ่ ยงุ และแมลงวนั ตอ้ งฉดี ในหอ้ งทส่ี ามารถปดิ ประตู หนา้ ตา่ งเพอื่ อบยงุ และแมลงวนัไวก้ บั เม็ดละอองสารเคมีทล่ี อ่ งลอยในหอ้ งไดน้ านพอเพื่อใหไ้ ด้รบั สารเคมเี ต็มที่ การฉีดแบบฟุ้งกระจาย (Space spray ) เพ่ือให้ละอองลอ่ งลอยไปฆา่ ยงุ นจี้ ะไมม่ ฤี ทธต์ิ กคา้ งหลงเหลอื อยบู่ นผนงั หอ้ ง หรอื ตามพนื้ ผวิ วตั ถตุ า่ งๆ หากเลอื กใชช้ นดิ สเปรยส์ �ำหรบั ยงุ และแมลงวนัเท่านั้น สารออกฤทธ์ิหลักซ่ึงมักจะเขียนไว้บรรทัดบนสุดขององค์ประกอบสารเคมีที่บรรจุในกระป๋อง จะเป็นสารท่ีออกฤทธิ์ในการฆ่า86 คูม่ ือวิชาการโรคติดเช้ือเดงกแี ละโรคไข้เลือดออกเดงกี ด้านการแพทย์และสาธารณสขุ

แมลงเป้าหมาย ส่วนสารเคมีชนิดอนื่ ๆทีผ่ ผู้ ลิตใส่เพมิ่ เสรมิ เขา้ ไปในกระปอ๋ งดว้ ยนัน้ มกั ใส่เพื่อชว่ ยท�ำใหย้ ุงสลบเรว็ ขึ้น ท�ำใหไ้ ม่สามารถบนิ หนอี อกจากหอ้ งได้ จะไดม้ โี อกาสถกู ละอองสารเคมมี ากๆยง่ิ ขน้ึ และตายแนน่ อน เราเรยี กสารเสรมิ เหลา่ นว้ี า่ สารเสรมิ ฤทธ์ิ (Adjuvants)ซง่ึ สารเสรมิ ฤทธน์ิ อี้ าจเปน็ สารไพรที รอยดช์ นดิ อนื่ ทมี่ ฤี ทธใ์ิ นการฆา่ นอ้ ยกวา่ สารหลกั เชน่ d-allethrin, esbiothrin และ s-bioallethrinเปน็ ต้น หรืออาจใสส่ าร piperonyl butoxide (PBO) เสริมเข้าไปด้วยเพ่ือใหส้ ารออกฤทธหิ์ ลักมพี ษิ ต่อแมลงเปา้ หมายได้มากข้ึน และช่วยสารออกฤทธหิ์ ลกั ในการออกฤทธฆิ์ ่ายุงทีก่ �ำลงั พฒั นาความต้านทานตอ่ สารเคมใี ห้ตายไดด้ ีข้นึ 2. สเปรยก์ ระป๋องส�ำหรับฉดี ให้มีฤทธ์ิตกค้าง (Residual spray product) ใชพ้ ่นแมลงคลาน เช่น มด ปลวก แมลงสาบเป็นตน้ มีใหเ้ ลอื ก 2 ชนิดเช่นกัน คอื สูตรน้ำ� และ สูตรน�ำ้ มนั (Water base and Oil base) วธิ กี ารใช้จะตอ้ งพ่นลงบนพ้นื ผวิ ตา่ งๆ ท่ีแมลงเป้าหมายชอบใช้เป็นทางเดินหากิน หรือชอบเกาะพักอาศัย ซึ่งแน่นอนว่าเม็ดละอองสารเคมีที่ฉีดพ่นออกมาจะต้องมาขนาดละอองใหญ่กว่าแบบสเปรย์กระป๋องส�ำหรับฉีดยุงโดยตรงซ่ึงขนาดละอองจะเล็กมากหากพ่นใส่พื้นผิวจะเกิดการสะท้อนออกเน่ืองจากเมด็ ละอองมนี �้ำหนกั เบา สเปรย์ทส่ี ามารถพ่นให้ตดิ บนพน้ื ผิวไดจ้ ะเขียนฉลากไว้วา่ ส�ำหรับฉดี พ่นแมลงคลาน เชน่ มด ปลวก แมลงสาบ(หากพน่ ถกู ตัวแมลงโดยตรงจะได้ผลดียิง่ ขึ้น) สารเคมหี ลกั ท่ใี ชอ้ าจเปน็ ชนิดเดยี วกนั กับท่ใี ช้ฉดี ยงุ กไ็ ด้แต่ความเข้มข้นของสารออกฤทธิ์จะมากกว่ากันโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้เหลือฤทธิ์ตกค้างของสารเคมีทิ้งไว้นานๆ และสเปรย์แบบนี้มักไม่จ�ำเป็นต้องใช้สารขับดัน (propellants) สารเคมีที่ใช้ในสเปรย์ชนิดนี้อาจต้องใช้สารที่มีความเป็นพิษรุนแรงกว่าเพอร์มิทรินด้วยเน่ืองจากแมลงคลานมักมีความแขง็ แรงและขนาดตัวมากกวา่ ยุง สารท่พี บในทอ้ งตลาด ได้แก่ Alphacypermethrin และBifenthrin เป็นต้น อย่างไรก็ตามจะมีสเปรย์กระป๋องอีกแบบท่ีพ่นได้เอนกประสงค์มาก ที่ฉลากจะระบุว่าฉีดทั้งยุง มด แมลงสาบ เป็นต้น สเปรย์แบบนี้รหู ัวฉีดจะใหญก่ ว่าสเปรย์ฉีดพ่นแมลงบนิ ท�ำให้ละอองสารเคมที ผี่ ลิตออกมามีขนาดใหญบ่ ้าง เลก็ บ้าง ดังนนั้ การหวงั ผลในการฆ่าแมลงบนิ อย่างเดยี วกจ็ ะหวังผลไดน้ อ้ ยกว่าสเปรยฉ์ ดี ยุงและแมลงวนั ในท�ำนองเดียวกนั การหวงั ผลในการฆ่าแมลงคลานอย่างเดียวก็จะหวังผลได้น้อยกว่าสเปรย์ฉีดแมลงคลานโดยตรงเช่นกัน ดังน้ันสเปรย์ท่ีจะใช้ส�ำหรับการควบคุมพาหะน�ำโรคไข้เลือดออก ขอแนะน�ำให้เลอื กใช้ชนดิ ก�ำจดั ยุงและแมลงวนั โดยตรง เพอื่ จะไดม้ ่ันใจได้วา่ สามารถก�ำจดั ยุงตัวทีม่ เี ช้อื ไขเ้ ลอื ดออกได้แน่นอน 2. ขอ้ ควรพจิ ารณาในการเลอื กซือ้ ผลิตภัณฑ์ 1) เลอื กใชผ้ ลติ ภณั ฑส์ ารเคมกี �ำจดั แมลงตามประเภทการใชง้ านทเ่ี หมาะสมกบั ชนดิ แมลงทตี่ อ้ งการก�ำจดั เชน่ ก�ำจดั ยงุ ก�ำจดัแมลงวนั หรือก�ำจดั แมลงสาบ 2) เลอื กซอ้ื ผลติ ภณั ฑท์ ไ่ี ดร้ บั การขน้ึ ทะเบยี นวตั ถอุ นั ตรายทางสาธารณสขุ มฉี ลากแสดงเครอ่ื งหมาย อย. จะตอ้ งมเี ลขทะเบยี นและปที ไ่ี ดร้ บั การขน้ึ ทะเบยี น (วอส. .เลขทะเบยี น…/…พ.ศ..), ฉลากตอ้ งมชี อื่ การคา้ ภาษาไทย, มกี ารแสดงชอื่ และอตั ราสว่ นสารออกฤทธ,์ิวธิ ีการใช้, วธิ เี ก็บรักษา, ค�ำเตือน, วิธีการแกพ้ ษิ เบื้องตน้ , ผผู้ ลติ และสถานที่ผลิต, วนั ท่ีผลิต และเลขท่ผี ลิต 3) เลอื กซือ้ ผลติ ภัณฑ์ที่มภี าชนะบรรจมุ ีสภาพปกติ ไมบ่ บุ เบ้ียวเสยี รปู ทรง ไมร่ ่วั ซมึ ไม่เปน็ สนมิ และมฝี าปิดสนิท 4) ราคาไม่แพง หาซ้ือไดส้ ะดวก 3. ขอ้ แนะน�ำการใชส้ เปรย์กระปอ๋ งควบคมุ ยงุ ลาย วตั ถปุ ระสงค์ เพอ่ื เปน็ การตดั วงจรการแพรเ่ ชอ้ื ไวรสั โรคไขเ้ ลอื ดออกในยงุ ในบา้ นผปู้ ว่ ยและบา้ นขา้ งเคยี ง ทงั้ นค้ี วรด�ำเนนิ การฉดี พ่นสเปรยก์ ระป๋องหลังได้รับรายงานว่ามีผปู้ ่วยโดยเรง่ ดว่ น (ไมค่ วรเกิน 3 ชว่ั โมงหลงั ได้รบั รายงาน) และควรด�ำเนนิ การก�ำจดั แหล่งเพาะพนั ธุ์ลกู น้�ำยุงลายในพ้ืนท่ีดงั กลา่ วควบคกู่ นั ไปด้วย วธิ กี ารน�ำไปใช้ 1) พจิ ารณาเลอื กสเปรยก์ ระปอ๋ งทมี่ สี ารเคมแี ละสารผสมทใี่ ชก้ บั แมลงบนิ โดยเฉพาะ (ยงุ และแมลงวนั ) เนอื่ งจากคณุ สมบตั ิของสเปรยก์ ระปอ๋ งดงั กลา่ วเปน็ ฝอยละอองขนาดเลก็ ทลี่ อยในอากาศไดน้ าน ซงึ่ มโี อกาสทจี่ ะสมั ผสั ตวั ยงุ ไดด้ กี วา่ สเปรยก์ ระปอ๋ งทใี่ ชก้ บัแมลงคลาน 2) การเข้าด�ำเนินการควรด�ำเนินการทันทีหลังได้รับรายงานว่ามีผู้ป่วยหรือผู้ป่วยสงสัยเป็นไข้เลือดออก โดยด�ำเนินการ ในบา้ นผู้ปว่ ย (ภายใน 3 ช่วั โมงหลังไดร้ ับรายงาน) และบ้านขา้ งเคียงท่อี ย่ชู ิดตดิ กนั โดยรอบ ทั้งนค้ี วรด�ำเนินการก�ำจัดและท�ำลายแหลง่เพาะพันธ์ุลกู นำ�้ ยงุ ลาย ร่วมกบั เจ้าของบา้ นด้วย เพอื่ ใหก้ ารควบคมุ มีประสทิ ธิภาพสูงสดุ 3)กอ่ นด�ำเนนิ ฉดี พน่ ควรอา่ นฉลากทต่ี ดิ ขา้ งผลติ ภณั ฑแ์ ละปฏบิ ตั ติ ามอยา่ งเครง่ ครดั ตอ้ งใชอ้ ยา่ งถกู ตอ้ งตามค�ำแนะน�ำทรี่ ะบใุ นฉลาก คมู่ อื วิชาการโรคติดเชื้อเดงกีและโรคไขเ้ ลือดออกเดงกี 87 ดา้ นการแพทยแ์ ละสาธารณสุข

4) ใหค้ นและสตั วเ์ ลย้ี งออกจากหอ้ งนนั้ กอ่ น แลว้ ปดิ ประตู หนา้ ตา่ งรอไวก้ อ่ นท�ำการฉดี พน่ เพอ่ื ใหส้ ารเคมลี อยฟงุ้ อยภู่ ายในสถานทดี่ งั กลา่ วไดน้ านเพียงพอ 5) ผฉู้ ดี ควรสวมถงุ มอื และหนา้ กาก หรอื ใชผ้ า้ ปดิ ปากและจมกู เพอื่ หลกี เลย่ี งและปอ้ งกนั การสดู หายใจเอาละอองของสารเคมีก�ำจดั แมลงเขา้ ไป 6) ก่อนฉดี พ่นตอ้ งเขย่ากระป๋องใหส้ ารเคมแี ละตวั ท�ำละลายผสมเป็นเนอ้ื เดียวกนั ดเี สยี ก่อน 7) ควรฉดี บรเิ วณท่เี ห็นยงุ บนิ หรือในบริเวณที่เป็นท่ีอบั ชื้น เชน่ มมุ หอ้ ง หลงั ตู้ ใตโ้ ตะ๊ ใต้เตยี ง ก่อน เนอ่ื งจากยงุ ลายใช้เปน็ที่หลบซ่อนหรือเกาะพัก ส่วนในพื้นที่โล่งๆของห้องควรฉีดในล�ำดับต่อมาโดยการยื่นกระป๋องออกห่างจากตัวให้สุดแขนแล้วเอียงแขน ท�ำมุมกับแนวราบประมาณ 30 องศาแล้วฉีดข้ึนข้างบนให้ครบทั้ง 4 ด้านของห้อง ควรวางแผนฉีดพ่นให้ตัวผู้ฉีดสัมผัสละอองที่ลอย ในอากาศน้อยทส่ี ุด แล้วรีบถอยออกมายงั ประตหู ้องตามล�ำดบั 8) ควรใช้เวลาในการฉีดพ่นให้น้อยท่ีสุดเพียง 15 วินาทีเท่านั้นเนื่องจากผู้ฉีดพ่นอาจสัมผัสโดนละอองท่ีลอยอบอวนอย ู่ ในหอ้ งไดห้ ากอยใู่ นหอ้ งนานเกนิ ไป เสรจ็ แลว้ ใหร้ บี ออกจากหอ้ งพรอ้ มทง้ั ปดิ ประตแู ละรบี ฉดี หอ้ งอนื่ ทเ่ี หลอื ใหเ้ สรจ็ โดยเรว็ จะไดร้ บี ช�ำระลา้ งรา่ งกาย 9) การฉดี พน่ สเปรยก์ �ำจดั ยงุ มงุ่ เนน้ การฉดี ภายในอาคารบา้ นเรอื น หลงั จากฉดี พน่ แลว้ ควรปดิ หอ้ งเพอ่ื อบใหย้ งุ สมั ผสั โดนละอองสารเคมีให้นานเพียงพอท่ีจะตายได้โดยอบท้ิงไว้ประมาณ 15-20 นาที จึงเปิดประตู หน้าต่าง ให้มีการระบายละอองสารเคมี ท่ีหลงเหลือออกไปจนกว่ากลิ่นสารเคมีจะจางลง หลังจากน้ันให้ท�ำความสะอาดพ้ืนห้อง เพื่อก�ำจัดสารเคมีท่ีตกค้างตามพ้ืน (ในกรณี ทพ่ี บมียุงลายบินหรือเกาะพักอยรู่ อบๆ ตวั บา้ นก็สามารถฉีดพ่นสเปรย์ได้โดยพ่นใส่โดยตรงขณะทล่ี มสงบ) 10) อตั ราการฉีดพน่ ส�ำหรับสเปรยฉ์ ีดยุงกระปอ๋ ง แนะน�ำให้ใช้ในอตั รา 3 วินาทตี ่อ 10 ตารางเมตร เชน่ ห้องมพี ื้นท่ี 30ตารางเมตร ใหฉ้ ดี นาน 9 วนิ าที (แตห่ ากตอ้ งการพน่ นานกวา่ นก้ี ส็ ามารถท�ำไดแ้ ตไ่ มค่ วรเกนิ หอ้ งละ 15 วนิ าที เนอ่ื งจากหอ้ งมพี นื้ ทจี่ �ำกดัหากผฉู้ ดี พน่ อยนู่ านกวา่ นอี้ าจไดร้ บั ผลกระทบจากละอองทอ่ี าจตกลงบนผวิ หนงั ได้ (ขนาดหอ้ ง 30 ตารางเมตรเปน็ ขนาดเฉลย่ี ทพ่ี บบอ่ ยๆ))แตถ่ า้ หอ้ งมขี นาดใหญก่ วา่ นมี้ ากใหใ้ ชอ้ ตั ราฉดี พน่ 3 วนิ าทตี อ่ 10 ตารางเมตรเปน็ หลกั (ตามปกตหิ วั ฉดี ทไี่ ดม้ าตรฐานจะมอี ตั ราการไหลประมาณ 1 มลิ ลิลติ รต่อ 1 วินาท)ี 11) การฉดี พน่ ทมี่ ปี ระสทิ ธภิ าพควรฉดี พน่ ในเวลาทย่ี งุ ลายออกหากนิ ไดแ้ ก่ ชว่ งเวลา 09.00–10.00 น. หรอื 14.00–15.00 น.(ยกเว้นในกรณที ไ่ี มส่ ามารถด�ำเนนิ การในช่วงเวลาดังกลา่ ว สามารถด�ำเนนิ การฉีดพน่ ตามเวลาท่ีเหมาะสมได)้**หมายเหตุ การใช้สเปรย์ฉดี ยงุ กระป๋องเป็นการควบคมุ โรคอยา่ งรวดเรว็ ในเบ้ืองต้นเพ่ือก�ำจดั ยุงลายในบา้ นผู้ป่วยทค่ี าดวา่ ยงั มยี งุ ลายทส่ี ามารถแพรเ่ ชอ้ื ไขเ้ ลอื ดออกตอ่ ไปในการกดั กนิ เลอื ดครงั้ หนา้ อาศยั อยู่ และอาจมยี งุ ทเี่ กดิ ขนึ้ มาใหมไ่ ดร้ บั เชอื้ จากผปู้ ว่ ยเพมิ่ จ�ำนวนขนึ้อกี ใหต้ ายไปกอ่ นทจี่ ะแพรเ่ ชอื้ ใหผ้ อู้ นื่ ตอ่ ไป (ควรใชเ้ ปน็ มาตรการเสรมิ เพอื่ ใหก้ ารควบคมุ โรคไดผ้ ลดยี งิ่ ขน้ึ เทา่ นน้ั เนอ่ื งจากยงั มขี อ้ จ�ำกดัในการใช้อยหู่ ลายประการ เชน่ ขนาดของละอองไดม้ าตรฐานเพยี งใด และการตา้ นทานสารก�ำจดั แมลงของยุง เปน็ ต้น) ซึ่งทีมควบคมุโรคยังต้องเข้าด�ำเนนิ การพ่นสารเคมภี ายใน 24 ชั่วโมงหลงั จากได้รับแจง้ ผลผู้ป่วยตามมาตรการหลกั ตอ่ ไปเช่นเดิม 4. วธิ เี กบ็ รกั ษา เก็บในที่มิดชดิ ห่างจากมอื เด็ก อาหาร สัตวเ์ ลี้ยง เปลวไฟ แสงแดด และความรอ้ น เนอื่ งจากสารขบั ดนั ในกระป๋องสเปรย์ เป็นสารไวไฟ สามารถตดิ ไฟหรอื ท�ำให้กระป๋องสเปรย์ระเบดิ ได้ ถา้ ความรอ้ นสูงมาก 5. ขอ้ ควรระวงั 1. การใชส้ เปรย์ควรใช้เท่าที่จ�ำเป็นเทา่ น้นั ไมค่ วรใช้อย่างพร่ำ� เพรอ่ื 2. ระวงั อยา่ ใหล้ ะอองเคมตี กลงไปในอาหาร นำ�้ ภาชนะหรอื ของเดก็ เลน่ กอ่ นฉดี พน่ สารเคมจี งึ ตอ้ งเกบ็ สง่ิ ของเหลา่ นใ้ี หม้ ดิ ชดิ 3. อย่าฉีดพน่ ในหอ้ งทีม่ เี ด็กอ่อนหรอื ผูป้ ว่ ย ในบริเวณทม่ี ีอาหารหรือก�ำลงั ประกอบอาหาร และบริเวณที่มเี ปลวไฟ 4. ระวงั อยา่ ให้ละอองสารเคมีปลิวตกลงไปในแหลง่ นำ้� เพราะสารเคมกี ลมุ่ ไพรีทรอยด์นี้เปน็ พิษตอ่ ปลาสตั ว์ขาปลอ้ งและแมลงอืน่ ๆ ทอี่ าศยั อยู่ในน้�ำ 5. ระหวา่ งการพ่นระวงั อย่าให้ละอองสารเคมเี ข้าตา ปาก และจมูก 6. ห้ามสูบบุหร่ีขณะปฏิบัติการฉีดพ่นสเปรย์88 คู่มอื วชิ าการโรคติดเช้ือเดงกแี ละโรคไขเ้ ลอื ดออกเดงกี ดา้ นการแพทย์และสาธารณสุข


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook