Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore คู่มือราชการสนาม ว่าด้วย การใช้สายสนามและเครื่องมือ

คู่มือราชการสนาม ว่าด้วย การใช้สายสนามและเครื่องมือ

Published by art-weerasak, 2022-12-26 05:25:32

Description: คู่มือราชการสนาม ว่าด้วย การใช้สายสนามและเครื่องมือ

Search

Read the Text Version

ฉบบั ร่าง กองทพั บก คมู่ อื ราชการสนาม ว่าด้วย การใช้สายสนามและเครื่องมอื การสอื่ สารประเภทสาย (รส.๒๔-๒๐) ____________ พ.ศ.๒๕๖๔

สารบญั หนา้ เรอ่ื ง 1 2 บทท่ี 1 คำนำ 3 บทท่ี 2 สายสนาม 12 บทที่ 3 การตัดต่อสายสนาม 22 บทท่ี 4 การผกู ยดึ สายสนาม 29 บทที่ 5 เครื่องวางสายและเกบ็ สาย 46 บทท่ี 6 การปนี เสาและการปีนตน้ ไม้ 68 บทท่ี 7 การสรา้ งทางสายสนาม 74 บทที่ 8 การบำรุงรกั ษาสายสนาม 94 บทท่ี 9 เครอื่ งมือสอ่ื สารทใี่ ช้ในระบบสายสนาม บทที่ 10 การทำงานแบบเปน็ โครงข่าย ---------

๑ บทท่ี 1 คำนำ 1. ความมุ่งหมาย คู่มือน้ีเป็นแนวทางสำหรับเจ้าหน้าที่ซ่ึงทำการติดตั้งและบำรุงรักษาระบบการส่ือสาร ทางสายสนาม 2. ขอบเขต 2.1 คู่มือน้ีประกอบด้วยเร่ืองทั่วไปของสายสนาม การต่อสายสนาม การผูกยึดสายสนาม การวางและการเก็บสายสนาม การค้นหาข้อขัดข้องทางสายสนาม บันทึกการสรา้ งและคุณลักษณะท่ัวไป ของเครอ่ื งสื่อสารทใี่ ชก้ บั ระบบการสอ่ื สารดว้ ยสายสนาม 2.2. คมู่ อื น้ีมี 3 ผนวก คอื ผนวก ก หลักฐานอ้างองิ ผนวก ข ขา่ วสารสำหรับพนกั งานเครอื่ งสลบั สาย ผนวก ค สัญลักษณท์ ่ใี ชใ้ นแผนผังทางสายและแผนท่ี 2.3. เรอ่ื งราวทีใ่ ห้ไว้นี้ สามารถจะนำไปใช้ได้ท้งั ในสงครามนิวเคลยี ร์และมิใชน่ วิ เคลียร์โดย ไมต่ ้องมีการดดั แปลง 3. ระบบการส่ือสารด้วยสายสนาม ระบบการสื่อสารด้วยสายสนาม ออกแบบสร้างขนึ้ โดยเฉพาะ เพื่อใหห้ น่วยทางยุทธวธิ ี ได้มี บริการทางโทรศัพท์, โทรพิมพ์ และ โทรสำเนา เครื่องมอื เหลา่ นี้มีความทนทาน สามารถตดิ ต้งั และรอื้ ถอน ได้รวดเร็ว ท้ังยังบำรุงรักษาได้ค่อนข้างง่าย ระบบการสื่อสารตามแบบด้วยสายสนามน้ัน ประกอบด้วย โทรศัพท์สนาม, โทรพิมพ์, เคร่ืองสลับสายและสถานีสนธิวิทยุ/สาย ที่เชื่อมต่อกันด้วยทางสายสนาม นอกจากน้ันแล้ว สายสนามยังใช้เป็นระบบการสื่อสารภายในของหน่วยต่างๆ ณ พื้นที่ส่วนหลัง ในเมื่อ เวลาหรอื ขอ้ พิจารณาอ่นื ๆ ไม่อำนวยใหต้ ิดต้ังอุปกรณท์ ่ีถาวรกว่าได้ 4. ความรบั ผิดชอบในการส่ือสาร ผู้บังคบั บัญชา รบั ผดิ ชอบในการติดต้งั , ปฏบิ ัตงิ าน และบำรุงรักษาระบบการสอื่ สาร ภายใน หน่วยของตน นอกจากน้ัน ยังรับผิดชอบในการติดตั้งและดำรงรักษาสายการสื่อสารจากกองบัญชาการ ของตน ไปยังหน่วยรอง และไปยังหน่วยท่ีอยู่ทางขวา เว้นไว้แต่จะได้รับคำส่ังเป็นอย่างอื่น หน่วย สนับสนุนรับผิดชอบในการวางและดำรงรกั ษาการสอื่ สารให้กบั หนว่ ยรบั การสนบั สนนุ

๒ บทที่ 2 สายสนาม 1. กล่าวทว่ั ไป บทน้กี ล่าวถงึ คณุ ลกั ษณะทางเทคนคิ บางอยา่ งของสายสนาม WD – 1/TT 2. สายสนาม WD – 1/TT สายสนาม WD–1/TT ประกอบด้วย ตัวนำที่หุ้มฉนวนแยกกัน 2 เส้น ตีเกลียว ซ่ึงมี คุณลกั ษณะ ดงั ตอ่ ไปนี้ 2.1 เกณฑ์การวัดเส้นลวดแบบอเมริกนั (AWG) เบอร์ 23 (ตวั นำแตล่ ะเส้น) 2.2 มีลวดทองแดงผสมดีบุก 4 เส้น และลวดเหล็กอาบสงั กะสีอีก 3 เสน้ 2.3 มฉี นวนชนั้ ในเปน็ โพลีเอธิลีน (Polyethylene) ช้นั หน่ึงและฉนวนช้นั นอกเป็นไนลอน อกี ชน้ั หนง่ึ 2.4 ทนแรงดึงไดป้ ระมาณ 200 ปอนด์ (ท้ัง 2 เสน้ ) 2.5 นำ้ หนกั 48 ปอนดต์ ่อไมล์ 2.6 ความต้านทานบ่วง (Loop resistance) ตอ่ กระแสตรงมคี า่ จาก 200 ถงึ 234 โอห์มตอ่ ไมล์ ณ อุณหภมู ิ 70 องศาฟาเรนไฮต์ 2.7 การสญู เสยี ณ หนึ่งกิโลเฮิร์ซ ทีอ่ ุณหภมู ิ 68 องศาฟาเรนไฮต์ มีคา่ 2.5 เดซิเบลตอ่ ไมล์, เม่ืออยูใ่ นสภาพเปยี ก และ 1.5 เดซเิ บลตอ่ ไมล์ เมื่ออยู่ในสภาพแห้ง รูปท่ี 1 สาย WD – 1/TT

๓ บทที่ 3 การตัดต่อสายสนาม 1. กล่าวท่วั ไป การต่อสายสนาม คือ วิธีการที่ใช้ในการต่อสายส่วนท่ีเป็นตัวนำ เพ่ือให้กระแสไฟเดินได้ ต่อเน่ือง การต่อควรจะต้องให้ทนแรงดึง มีความนำไฟฟ้า สามารถป้องกันการขูดถลอก จากสภาพ ภูมปิ ระเทศ ลมฟ้าอากาศ และมคี วามต้านทานของฉนวน เช่นเดยี วกับส่วนของสายทไ่ี ม่มกี ารต่อ การต่อที่ ไม่ดีจะทำใหเ้ กิดการสูญเสียในการสง่ เพม่ิ เสยี งรบกวนและตามปกตคิ ุณภาพของวงจรกจ็ ะเส่ือมลงอีกดว้ ย 2. เคร่อื งมือตอ่ สาย เครื่องมือต่อสาย TE – 33 (รปู ท่ี 2) ใช้สำหรับต่อสายสนาม ประกอบด้วย ซอง CS–34, คีม TL–13–A และมีดช่างไฟฟ้า TL–29 มีแถบพับสายฉนวนไฟฟ้า 2 ชนิด ท่ีใช้ในการต่อสายสนาม คือ แถบพันสายฉนวนไฟฟ้า TL–636/U (โพลีเอธิลีนสีดำ) ใช้ในเขตร้อนและเขตอบอุ่น และแถบพันสาย ฉนวนไฟฟ้า TL–600/U (โพลีเอธิลีนสีขาว) ใช้ในเขตอาร์คติคและระหว่างอากาศหนาวในเขตอบอุ่น แถบพันสาย TL–38 (ผ้าพันสาย) ใช้ป้องกันรอยต่อให้ดีข้ึน เพ่ือทำให้การต่อสายสนามทั้งทางกล และ ทางไฟฟ้าดขี ึ้น อาจจะใช้ลวดทองแดงอ่อนขนาดเล็ก (ซง่ึ เรียกว่าสายลวดมัด) กไ็ ด้ (สายลวดมัดอาจได้จาก ตวั นำท่เี ป็นทองแดงทอี่ ยู่ในสายสนาม) รปู ที่ 2 เครื่องมือ TE – 33 แบบเก่า และ แบบใหม่

๔ 3. การตอ่ สายสนาม 3.1 ขั้นตอนในการต่อสาย (รูปที่ 3) การต่อสายสนาม ประกอบด้วยขั้นตอนที่สำคัญ 4 ขน้ั คือ 3.1.1 ตัดสายให้มีความยาวเหลอื่ มกันและปอกฉนวนออกจากสายแต่ละเส้น 3.1.2 ผูกเงือ่ นแน่นเพอ่ื ใหส้ ายทนแรงดึงได้เช่นเดิม 3.1.3 มดั เงอื่ นแน่นเพ่ือให้เกิดการนำทางไฟฟา้ ไดด้ ี 3.1.4 พันรอยตอ่ เพ่อื ให้เปน็ ฉนวนกันไฟฟ้าแกต่ ัวนำ และเพื่อป้องกนั การเสยี ดสีและ ความเปยี กช้นื รูปที่ 3 ลำดับขน้ั 4 ขน้ั ในการต่อสายสนาม เหล่ือมกัน 3.2 การตัดสายให้เหลอ่ื มกันตรงรอยต่อ (รปู ท่ี 4) การทำใหส้ ายสนามคู่หนงึ่ มคี วามยาว 3.2.1 ตดั ปลายสายทง้ั คู่โดยตัวนำท้ัง 2 มีความยาวเท่ากนั จรงิ ๆ 3.2.2 ตดั สายเส้นหน่ึงในแต่ละคู่สายออกเสีย 6 นวิ้ (หรอื เท่ากบั ความยาวของคีม) รปู ที่ 4 สายที่ถูกตดั ให้เหล่ือมกนั เพื่อทำการตอ่

๕ 3.3 การปอกฉนวน ปอกฉนวนออกจากตัวนำให้เกลยี้ ง เพ่ือทำการต่อ (รูปท่ี 5) การปอกฉนวนให้กระทำดังน้ี 3.3.1 ใชป้ ากตัดของคีม TL–13–A ปอกฉนวนที่เป็นไนล่อนและฉนวนชั้นในออก ยาว 6 นิ้ว (ปอกครงั้ ละ 2 นิว้ ) รูดฉนวนชอ่ งท่ี 3 ทีย่ าว 2 น้วิ น้นั ออกมาเพยี งแตป่ ลายของตวั นำ การทำ เช่นน้กี ็เพอ่ื รวบปลายสายไวส้ ำหรบั การต่อสายในขั้นต่อไป 3.3.2 ใช้มดี พับ TL – 29 ขูดฉนวนท่ียงั เหลืออยตู่ ามสายลวดเล็กๆ ออกให้เกลยี้ ง รปู ท่ี 5 การปอกฉนวนออกจากสายสนาม 3.4 การผกู เง่ือนแน่น หลงั จากทไ่ี ด้ตเี กลียวของสายให้คงรปู เดิมแลว้ กใ็ ห้เอาปลายยาวของ คู่หน่ึงมาต่อกบั ปลายส้ันของอีกคหู่ นง่ึ เปน็ เง่ือนแน่น รูปท่ี 6 ก. และ ข. การดงึ เง่ือนแน่นน้ันควรให้มี ระยะหา่ งระหวา่ งเงื่อนกบั ฉนวนไว้ 1/4 น้ิว รปู ท่ี 6 การผกู เงื่อนแนน่ ของสายสนาม

๖ 3.5 การมดั รอยตอ่ 3.5.1 เมื่อใช้ลวดมัดสาย เม่ือมีลวดมัดสายให้ใช้สอดลวดมัดสายที่ยาว 6 ถึง 8 น้ิว เข้าไปตรงกลางเง่ือน แล้วดึงเงื่อนให้แน่น พับลวดมัดตรงก่ึงกลาง ใช้ครึ่งหน่ึงของลวดมัดพันไปทางขวา พันให้ถๆ่ี หลายๆ รอบ ท้ังข้างซ้ายและขา้ งขวา เพ่ือยึดเงอ่ื นแน่น ตัดปลายสายที่เหลอื ทง้ิ เสีย พันลวดมัด ต่อไปข้างซา้ ยและข้างขวา ให้เลยขน้ึ ไปทับฉนวนข้างละประมาณ 2 รอบ ตดั ปลายที่เหลือของลวดมดั ออก และกดปลายใหจ้ มลงไปในฉนวน (รปู ที่ 7) รปู ท่ี 7 เงือ่ นแนน่ และเม่ือใช้ลวดมัดสาย 3.5.2 เม่ือไม่ใช้ลวดมัดสาย เมื่อไม่มีลวดมัดจะใช้ ก็ให้ใช้ลวดทองแดงเส้นเล็กๆ ในสายสนามน้ันเองสำหรบั มัดเง่ือนแน่น หลงั จากที่ผูกเง่ือนและดงึ ให้แน่นแล้วให้รูดฉนวนส่วนท่ี 3 ซึ่งยาว 2 นิ้ว ออกเสีย แล้วแยกเส้นลวดเหล็กกล้าออกจากลวดทองแดง (รูปท่ี 8 ก.) (เส้นลวดทองแดงจะยังโค้ง งออยู่ได้เม่ือใช้พัน) ให้ตัดสายเส้นลวดเหล็กกล้าออกให้เสมอปลายฉนวน (รูปท่ี 8 ข.) ไขว้ปลายสาย ทองแดงทางซ้ายให้ทับเง่ือน (รูปท่ี 8 ค.) พันสายส่วนที่ปอกแล้วทางด้านขวาให้ถ่ีๆ หลายๆ รอบคงพันให้ ทบั ฉนวนต่อไปอีก ประมาณ 2 รอบ ตดั ปลายที่เหลือของลวดทองแดงออก สว่ นการพนั ข้างซ้ายใหใ้ ช้ ปลายลวดทองแดงขา้ งขวามาพันในทำนองเดียวกนั (รูปที่ 8 ง.)

๗ รปู ท่ี 8 เง่อื นแนน่ ที่ไมใ่ ช้ลวดมัดสาย 3.6 การใช้แถบพนั สายพนั รอยตอ่ 3.6.1 การใช้แถบฉนวนกันไฟฟ้าพันรอยต่อ ลอกแผ่นชั้นนอกด้านหลังของแถบ พันสายออก แล้วยึดแถบฉนวนกันไฟฟ้าเพ่ือให้เกิดคุณสมบัติรัดตัวเองได้ ให้เร่ิมพันจากตรงกลางของ รอยต่อ (รูปท่ี 9 ก.) ใช้แรงดึงให้สม่ำเสมอกันและพันเหล่ือมเข้าไปที่ฉนวนที่ปลายข้างหนึ่ง 1 1/2 น้ิว พันแถบย้อนทางกลับมาผ่านเงื่อน แล้วให้เลยฉนวนของด้านตรงข้ามไปประมาณ 1 1/2 น้ิว แล้วให้พัน กลับมาจนไปสน้ิ สุดลงตรงกลางของรอยต่อ 3.6.2 การใช้แถบผ้าพันสายพันรอยตอ่ เร่ิมต้นจากปลายข้างใดข้างหน่ึงพันทับแถบ ฉนวนกนั ไฟฟา้ ให้เลยไปข้างละ 1/2 น้วิ (รูปที่ 9 ข.) รปู ท่ี 9 การใช้แถบฉนวนกันไฟฟ้าและแถบผา้ พนั สาย

๘ 4. การตอ่ สายผสม การต่อสายผสม (รูปท่ี 10) ใช้สำหรับต่อสายโทรศัพท์สนาม ที่มีฉนวนหุ้ม ท่ีมีสายสื่อ หลายๆ เส้น เขา้ กับสายที่มสี ายสื่อเส้นเดยี ว วิธีต่อกระทำดังต่อไปน้ี 4.1 ปอกฉนวนออกจากปลายสายแต่ละเสน้ ให้ยาว 6 น้ิว และขูดสายใหส้ ะอาด 4.2 ใช้ปลายสายทม่ี สี ายฝอย (Stranded wire) ผกู เงอื่ นกึง่ แน่น (Overhand knot) (คร่งึ หน่งึ ของเง่ือนแน่น) หา่ งจากฉนวนออกมาประมาณ 1/8 นิ้ว (รปู ท่ี 10 ก.) รปู ที่ 10 การต่อผสมสายเดี่ยวเข้ากบั สายฝอย 4.3 สอดปลายสายที่มีสายส่ือเส้นเดียว เข้าไปในเง่ือนท่ีผูกแล้วให้ห่างจากฉนวนประมาณ 1/2 น้ิว (รปู ท่ี 10 ก.) 4.4 เอาปลายสายที่มีสายฝอยพันทับบนสายสื่อเส้นเดียวจนถึงฉนวน แล้วตัดปลายสาย ท่เี หลือออก (รูปท่ี 10 ข.) 4.5 พับปลายสายที่เป็นสื่อเส้นเดียวกลับตรงเงื่อนน้ัน แล้วพันทับไปบนสายฝอยจนกระท่ัง เกยทบั ไปบนฉนวนอีก 2 รอบ (รูปที่ 10 ค.) 4.6 การพันสายเส้นเดียว (ตามข้อ 4.5) นั้น ให้พันไปในทางตรงข้ามกับสายที่มีสายฝอย เมอ่ื เสร็จแล้วใหต้ ดั ปลายสายเส้นเดียวที่เหลอื นัน้ ทิ้งไป แลว้ บีบปลายสายท่ตี ัดเขา้ ไปในฉนวน 4.7 ใชแ้ ถบพันสายพนั รอยต่อ (รายละเอยี ดตามข้อ 3.6)

๙ 5. การตอ่ รปู ตวั T การต่อรูปตัว T (รูปท่ี 11) ใช้สำหรับต่อสายสนามเส้นหน่ึงเข้ากับอีกเส้นหนึ่ง โดยมิให้ ขัดขวางต่อการทำงาน วิธีต่อเชน่ นีใ้ ช้ในการแยกทางสายออกจากทางสายเดมิ หรือในการสร้างคสู่ ายรว่ ม ซ้อน (Multiple party line) ในรูปที่ 11 X1 และ X2 เป็นสายสื่อที่จะต่อเข้าไป การต่อให้กระทำ ดังตอ่ ไปนี้ 5.1 ปอกฉนวนออกจากสายสื่อ X1 และ X2 ยาว 1 1/2 น้วิ ตรงรอยที่ปอกฉนวนออก ทง้ั 2 แห่ง ควรอยู่ห่างกันอย่างน้อย 12 นิว้ 5.2 ปอกสายส่ือ Y1 และ Y2 วางเคยี งข้างกับ X1 และ X2 ตัดสาย Y1 ตรงรอยปอกของ สาย X1 แลว้ เตรยี มปลายของ X2 และ Y2 ไวส้ ำหรบั ทำการต่อ 5.3 ผูก Y1 และ X1 เข้าดว้ ยกันเปน็ เง่ือนแน่น ดงั น้ี ใชม้ อื ซ้ายทำส่วนทีป่ อกแล้ว ของ X1 ให้เป็นบว่ ง ใชม้ ือขวาสอดปลาย Y1 เข้าดา้ นหลงั บ่วงข้นึ มาทับด้านขวา พนั ใต้คอบว่ งทับดา้ นซ้ายบ่วงสอด ลงในบว่ งแล้วดึงให้แน่น 5.4 เอาสาย Y2 พันเกลยี วไปบนสาย X1 และ X2 ผกู Y2 เข้ากบั X2 โดยวธิ ีทไ่ี ดก้ ลา่ ว มาแล้ว (คือเป็นเงือ่ นแน่น) สมมตุ วิ า่ วงจรทางด้านซ้ายของรอยตอ่ จะถูกปลดออกหลังจากต่อสายเสรจ็ แลว้ ให้ตัดปลายสายสว่ นทจี่ ะปลดออกแล้วจดั การต่อใหเ้ สร็จสมบูรณ์ (ดงั ในหัวข้อ 3.5 และ ขอ้ 3.6) 5.5 ถ้าไมป่ ลดปลายสายคู่น้ันออกให้ใช้ลวดมดั รอยต่อใหเ้ รยี บร้อย รูปท่ี 11 การตอ่ รูปตัว T

๑๐ 6. การตอ่ สายสนามเข้ากับสายโถงทองแดง การตอ่ สายสนามชนิดสายฝอยเขา้ กับสายโถงเดี่ยว อาจกระทำได้โดยใช้สะพานต่อสาย (Bridging connector) หรือการตอ่ สายด้วยลวดมดั ผสมกันอยา่ งใดอยา่ งหนึ่งกไ็ ด้ 6.1 สะพานต่อสาย เป็นสลักเกลียว สำหรับต่อสายสื่อ 2 เส้น เข้าด้วยกัน ก่อนใช้สะพาน ตอ่ สาย จะต้องทำความสะอาดสายโถงตรงจุดที่ต้องการตอ่ น้ันเสียก่อน ใส่สะพานตอ่ สายเข้าไปตรงจุดน้ัน (รูปท่ี 12) แล้วขันแป้นเกลียวข้างบนให้แน่น ปอกฉนวนออกจากสายสนาม ทำความสะอาดสายฝอยให้ สะอาดแล้วพันรอบสลักเกลียวระหว่างแหวน 2 อัน โดยพันทวนเข็มนาฬิกา แล้วขันแป้นเกลียว ตวั ล่างให้แน่น รปู ท่ี 12 สายสนามท่ตี อ่ กับสายโถงโดยใชส้ ะพานต่อสาย 6.2 การต่อสายผสมโดยใช้ลวดมัด (รูปที่ 13) การต่อวิธีนี้ ให้ปอกฉนวนออกจากปลาย สายฝอยและสายโถง ทาบปลายสายฝอยเข้ากับสายโถง 4 รอบทางด้านหลังของสายฝอย แล้วพนั ลวดมัด ต่อไปโดยพันไปบนฉนวนหลายๆ รอบ แล้วจึงพันทับไปบนปลายสายที่ปอกฉนวนแล้ว และให้พันเลยไป บนสายโถงอีก 4 รอบ พนั ลวดมดั ใหแ้ นน่ และดงึ ให้แต่ละรอบชดิ กนั รปู ท่ี 13 การตอ่ สายผสมโดยใช้ลวดมัด

๑๑ 6.3 การใช้แถบพันรอยตอ่ ของการต่อสายผสม (รูปท่ี 14) โดยใช้ลวดมัดนนั้ พันด้วยแถบ ฉนวนกันไฟฟ้า 2 ชั้น แล้วพันทับด้วยผ้ายางพันสายอีก 2 ชั้น การพันอย่างน้ีจะช่วยให้รอยต่อนั้น ยึดกันและกัน ไม่ให้ความชื้นเข้าไปกัดกร่อนรอยต่อได้ การใช้แถบพันสายพันบนสายโถงน้ัน ควรจะพัน ใหเ้ ลยพน้ื ที่สมั ผัสของสายส่อื ท้ัง 2 ออกไปทงั้ 2 ขา้ ง รูปที่ 14 การพนั รอยต่อของการต่อสายผสมโดยใชล้ วดมัด

๑๒ บทท่ี 4 การผกู ยึดสายสนาม 1. กลา่ วทว่ั ไป การผูกยึดสายสนามนั้น กระทำเพื่อยึดทางสายให้อยู่กับท่ีและเป็นการผ่อนคลายความตึง ทางสาย ณ จุดปลายทาง การผูกยึดสายสนามทุกแห่ง จะทำโดยไม่มีการตัดสาย ดังน้ัน จะทำให้การ วางสายทำได้รวดเรว็ และเก็บสายไดโ้ ดยสายไมเ่ สยี หาย คำศัพท์ 3 คำ ที่ใช้ในบทน้ี เม่ืออธิบายถึงการผูกยึดสายสนามแล้ว จะมีความหมาย ดงั ต่อไปน้ี 1. สายยนื (Standing part) คือ ส่วนของทางสายท่ีไดต้ ดิ ตัง้ แลว้ 2. สายวง่ิ (Running end) คอื ส่วนของทางสายท่ีไปยงั เครอ่ื งมือวางสาย 3. สายทบ (Wire bight) คอื สว่ นของสายที่ทำเป็นรูปบ่วง 2. บ่วงน้ำหยด (Drip Loop) บว่ งนำ้ หยด (รูปท่ี15) ทำไวท้ ่ีสายเข้าเครื่องในกรณที ่ผี ูกยึดทางสายเหนือเคร่อื งปลายทาง บว่ งน้ำหยดจะทำให้น้ำไหลลงมาตามสายจนถึงท้องบ่วง ท้งั น้เี พือ่ ป้องกนั นำ้ มใิ ห้เข้าเคร่ือง รูปที่ 15 บ่วงนำ้ หยด

๑๓ 3. การผูกเงื่อนตะกรดุ เบด็ (Clove Hitch Tie) การผูกเงื่อนตะกรดุ เบ็ด ใช้ผกู ทางสายสนามเข้ากบั สิ่งใดๆ ที่ไม่มีสิ่งกีดขวางอย่ขู ้างบน เชน่ หลกั หรือเสารั้ว การผูกเงื่อนแบบน้ีกระทำดงั ต่อไปน้ี 3.1 ทำสายเปน็ 2 บว่ ง (รปู ที่ 16 ก.) 3.2 เอาบว่ งขวาทับบว่ งซ้ายโดยไม่ต้องพลกิ บ่วง (รปู ท่ี 16 ข.) 3.3 สวมบ่วงทง้ั 2 ลงไปบนสิ่งซ่ึงต้องการจะผูกสาย แลว้ ดึงบ่วงให้แน่น (รูปที่ 16 ค.) รูปที่ 16 การผูกเง่ือนตะกรุดเบด็

๑๔ 4. การผกู เงือ่ นกระตกุ (Loop – Knot Ties) 4.1 การผูกเง่ือนกระตุกเหนือศีรษะ (Overhead loop – knot tie) (รูปท่ี 17) หรือ เรียกอีกอย่างหน่ึงวา่ เงื่อนกระตุกล่าง การผูกแบบน้ีใช้สำหรับผูกสายเหนือศีรษะที่เป็นช่วงส้นั ๆ เปน็ การ ช่ัวคราว จะไม่ใชผ้ ูกสายเหนือศรี ษะ ช่วงยาวๆ หรือเป็นการถาวร เพราะว่า นำ้ หนักของสายจะทำให้เงอ่ื น รดั แน่น เป็นเหตุให้ฉนวนชำรุดได้ ไม่ควรใช้ในที่ซ่ึงจะทำให้สายหลุดได้โดยเหตุบังเอิญจาก คน สัตว์ หรือ ยานพาหนะทผี่ ่านไปมา การผกู ใหก้ ระทำดังนี้ 4.1.1 ดงึ สายเข้ามาให้อยู่ในระหว่างตวั ผ้ผู ูกกับสง่ิ ทจี่ ะผูก 4.1.2 ดงึ มาใหห้ ยอ่ นพอทจ่ี ะทบพนั รอบสง่ิ ที่จะผูก และเผื่อไว้อีก 3 ฟุต (ถ้าสายจะต้องเกบ็ ในภายหลงั ควรทบใหย้ าวข้นึ เพ่ือที่จะไม่ตอ้ งปนี ขน้ึ ไปแก้มัด) 4.1.3 เอาส่วนที่ทบพนั รอบส่ิงที่จะผูกไปทางเดยี วกับสายว่ิง (ถ้าสายวิง่ มีแรงดึงมากกใ็ ห้พันสายทบไปในทางตรงกันข้าม (รปู ที่ 17 ก.) 4.1.4 จับสายวิ่ง สายยืน และสายทบไว้ด้วยมือหนึ่ง ใช้อีกมือหนึ่ง เอ้ือมข้ามสายว่ิง และคว่ำฝ่ามอื ลงไปจับสายทบและบดิ ทำเป็นบ่วง (การควำ่ ฝา่ มือลงจะทำให้บดิ ไปได้ทางเดยี วเท่าน้ัน) (รปู ท่ี 17 ข.) 4.1.5 สอดมือลงไปในบ่วง จับสายทบ โดยกันสายยืน สายวง่ิ ไว้ แล้วดึงสายทบขึ้นมา เพอ่ื ทำเปน็ สายทบ 2 ชนั้ (รปู ที่ 17 ค.) 4.1.6 ดึงเงือ่ นใหแ้ น่นกบั ส่ิงท่ผี กู สาย การแกม้ ดั ใหด้ ึงบ่วงเดีย่ วท่อี ยู่ข้างล่าง (รปู ท่ี 17 ง.) รูปท่ี 17 การผกู เง่ือนกระตุกเหนอื ศีรษะ

๑๕ 4.2 การผูกเง่ือนกระตุกระดับพื้นดิน หรือเรียกอีกอย่างหน่ึงว่า เงื่อนกระตุกบน การผูก แบบน้ีกระทำเช่นเดียวกับการผูกเงื่อนกระตุกเหนือศีรษะ เว้นแต่ ให้สอดมือเข้าใต้บ่วง (หงายฝ่ามือข้ึน จะทำให้บ่วงบิดไปได้เฉพาะทิศทางเดียว) ให้ดึงสายทบ 2 ช้ัน ผ่านบ่วงลงมาแล้วจึงดึงเง่ือนให้แน่น สายทบ 2 ชั้น จะอยขู่ า้ งล่าง สว่ นบว่ งเดี่ยวจะอยู่ข้างบน ทำให้สะดวกแกก่ ารแก้มัด 5. การผูกเงื่อนแน่นผสมเง่ือนกระตุก (Square Knot and Loop tie) 5.1 การผูกสายด้วยเงอื่ นแน่นผสมเงือ่ นกระตกุ (รปู ที่ 18) จะทำใหม้ น่ั คงกวา่ การผกู ด้วย เงอ่ื นกระตุกธรรมดา แตใ่ ช้ดว้ ยความมงุ่ หมายเดยี วกนั การผูกใหท้ ำดงั ต่อไปนี้ 5.1.1 ดงึ สายให้หยอ่ น และเอาสายทบพนั รอบสิง่ ทจ่ี ะผูก แล้วดึงเลยตอ่ ไปอีก 3 ฟุต (รูปที่ 18 ก.) 5.1.2 เอาสายทบมาวางบนสายยืนและสายวิ่ง และสอดเข้าไประหว่างส่ิงที่จะผูก กบั สาย (รูปที่ 18 ข.) 5.1.3 ดึงเงื่อนให้แน่นกับสิง่ ท่ีจะผูก 5.1.4 นำสายทบทาบบนสายว่ิงเพือ่ ทำใหเ้ ป็นชอ่ งบ่วงขนึ้ (รปู ที่ 18 ค.) 5.1.5 สอดมอื ลงไปในชอ่ งแล้วดึงสายเข้ามาในช่องนน้ั ประมาณ 6 นวิ้ เพ่อื ทำใหเ้ กดิ เป็นสายทบ 2 ช้ัน (รูปท่ี 18 ง.) 5.1.6 ดงึ เงอ่ื นให้แนน่ โดยการจับสายทบ 2 ชั้น น้ันไว้ในมอื ข้างหนง่ึ แล้วดงึ สายว่ิงด้วย มืออีกข้างหนึง่ การแก้มัดให้ดึงบว่ งลา่ งและแกเ้ ง่ือนออกจากส่งิ ทผ่ี กู รูปที่ 18 การผกู เง่ือนแนน่ ผสมเง่ือนกระตกุ

๑๖ 5.2 การผูกมัดสามารถทำให้มั่นคงย่ิงข้ึนด้วยการใช้เง่ือนแน่นและอย่าให้มีบ่วง ให้ผูก เงอ่ื นแน่นดังต่อไปน้ี 5.2.1 ทำเช่นเดียวกบั การผูกเงอื่ นแน่นผสมเง่ือนกระตุก แต่ให้ดึงปลายสายทลอดช่อง เงอ่ื นขึน้ มาใหห้ มด 5.2.2 ดึงการผูกมัดให้แน่น ด้วยการใช้มือข้างหน่ึงจับปลายสายทบไว้ และใช้มืออีก ขา้ งหนงึ่ ดงึ สายว่ิง 6. การผูกมัดปมุ่ (Knob Tie) การผกู มัดป่มุ (รปู ที่ 19) ใช้เพ่อื ผกู ยึดสายสนามเขา้ กับท่ยี ึดขนาดเล็ก เช่น ลกู ถ้วยและส่งิ ท่ี คลา้ ยคลึงกนั การผูกแบบนี้ไม่เหมาะท่ีจะใช้กบั ช่วงยาวๆ การผกู ใหก้ ระทำดังน้ี 6.1 ทำสายให้เปน็ บ่วง (รปู ที่ 19 ก.) 6.2 แยกสายสื่อทั้ง 2 ที่เป็นบ่วงน้ันออกจากกัน (รูปท่ี 19 ข.) พับบ่วงของสายแต่ละเส้น กลับมาจนทับกนั (รปู ท่ี 19 ค.) 6.3 สวมบว่ งเข้ากบั ลูกถว้ ยและดึงสายยนื และสายว่ิงเพื่อให้การผูกมัดยึดแน่น (รปู ที่ 19 ง.) รปู ท่ี 19 การผูกมดั ป่มุ

๑๗ 7. การผกู แขวน (Marline Tie) การผูกแขวนใช้เพ่ือห้อยทางสายสนามไว้กับส่ิงยึดเหน่ียว การผูกแบบนี้ใช้เมื่อสิ่งยึดเหน่ียว อาจจะทำใหฉ้ นวนหมุ้ สายชำรุดได้ การผูกให้กระทำดังนี้ 7.1 ให้ทบเชือกที่จะใชผ้ กู ให้ยาวพอสำหรบั การผูกมดั 7.2 สอดเชอื กเข้าใต้สาย แล้วเอาปลายทงั้ 2 ลอดบ่วงตรงทที่ บไว้ 7.3 ดึงเชือกให้รดั สายสนามให้แนน่ (รปู ที่ 20 ก.) 7.4 พนั ปลายเชอื กท้งั 2 กับท่ียดึ เหน่ยี ว 2 รอบ แล้วกลบั ไปหาสายสนาม (รูปท่ี 20 ข.) 7.5 ผูกปลายท้ัง 2 ของเชอื กกบั สายสนามด้วยเง่อื นตะกรดุ เบ็ด (รปู ท่ี 20 ค.) 7.6 การผกู เงอื่ นตะกรุดเบด็ ใหเ้ อาเชอื กพนั สายสนามทางดา้ นสายว่ิง แลว้ ตวัดกลบั มา ทางด้านสายยืนเพื่อทำเป็นบว่ ง สอดปลายสายวิง่ ลอดบ่วงน้ีลงไป (รปู ท่ี 20 ค.) และดงึ เงอื่ นให้แน่น รปู ท่ี 20 การผูกแขวน

๑๘ 8. การผกู มัดแบบสานกระจาด (Basket Hitch Tie) 8.1 การผูกแบบสานกระจาด ใช้สำหรับผูกสายสนาม ในสภาพที่มีความร้อนจัด ช่วงยาว ลมแรง หรือเยน็ จนเป็นน้ำแขง็ ใชส้ ำหรบั ยดึ สายสนามหลายคไู่ ว้เหนือศีรษะ 8.2 การผูกมัดแบบสานกระจาดกระทำดังนี้ 8.2.1 ใหต้ ดั สายสนามยาว 10 ถึง 12 ฟตุ 8.2.2 ผกู เง่ือนตะกรดุ เบด็ เข้ากับสายทต่ี ้องการจะยดึ (รปู ท่ี 21 ก.) ในกรณนี ้ี การผูกเง่ือนตะกรุดเบ็ด กระทำโดยวิธีเอาสายท่ีใช้ผกู พันรอบสายสนามหรือสายรวมทีต่ ้องการยึด ถา้ เง่ือน ตะกรุดเบ็ดนั้นลนื่ กใ็ หใ้ ช้แถบผา้ พันสายพนั ทบั หลายๆ รอบตรงจดุ นัน้ ๆ 8.2.3 ถักสายท่ีใช้ผูกไปรอบๆ สายสนามหรือสายรวม โดยการทาบสายที่ใช้ผูกนั้นไขว้ ไปด้านในและด้านนอกสลับกนั เม่ือผูกยดึ สายในลักษณะนจ้ี ะทำให้สามารถยึดแนน่ สม่ำเสมอ ตลอดความ ยาวของสายทผี่ ูก ตามปกติการมดั ไขวก้ นั 7 คร้ัง กเ็ ปน็ การพอเพียงท่ีจะยึดสายได้แล้ว 8.2.4 จับปลายท้ัง 2 ของสายท่ีใชผ้ กู เขา้ ด้วยกนั พันเข้ากบั สงิ่ ทจี่ ะยดึ 1 1/2 รอบ 8.2.5 แยกปลายสายที่ใชผ้ ูกออกจากกัน ให้ปลายหนึง่ อยบู่ น อีกปลายหนึ่งอยลู่ ่าง ของสายยืนที่ใช้มัดน่ันเอง (รปู ท่ี 21 ข.) 8.2.6 ผูกปลายท้งั 2 เขา้ ดว้ ยกนั ด้วยเงอ่ื นแน่นและตัดส่วนท่ีเหลือทิ้งไป (รปู ที่ 21 ค.) รปู ท่ี 21 การผกู แบบสานกระจาดที่จดุ ปลายของช่วงเหนือศีรษะ

๑๙ 8.3 การผูกแบบสานกระจาด 2 ข้าง ใช้ผูกกับส่ิงยึด ณ ที่ท่ีมิได้เป็นตำบลปลายทาง ในการสร้างสายเหนือศีรษะ ให้ปล่อยทางสายหย่อนลงมาพอสมควรเพ่ือไม่ให้ทางสายสนามร้ันไปเสียดสี กับทย่ี ดึ (รปู ที่ 22) การผกู นนั้ ใหก้ ระทำดังทไี่ ด้กลา่ วไว้ใน ขอ้ 8.2 แล้ว รูปที่ 22 การผกู แบบสานกระจาด เพ่อื ยึดชว่ ยเหนือศรี ษะ 8.4 อาจจะทำการผูกแบบสานกระจาดท่ีพ้ืนดินก่อนที่จะปีนขึ้นไปผูกกับสิ่งยึดก็ได้ หลังจากยึดทางสายเข้ากับท่ียึดอันหน่ึงแล้ว ก็ให้ไปยืน ณ ท่ียึดแห่งถัดไปและดึงทางสายให้ตึงมาจนถึง ก่ึงกลางของสิ่งยึดอันถัดไปตรงระดับพ้ืนดิน มัดสายถอยหลังไปทางส่ิงยึดอันแรก เป็นระยะทาง 2 ฟุต เริ่มผูกแบบสานกระจาดจากตรงจุดนี้ วิธีน้ีจะอำนวยให้มีการตกท้องช้าง ในทางสายเพียงพอเม่ือผูกสาย ช่องนัน้ เรียบร้อยแลว้ (ระยะตกท้องชา้ ง คือ ระยะทางดง่ิ ระหว่างจุดตำ่ สดุ ของทางสายกับเส้นตรงระหวา่ ง จุดยดึ สายท้ัง 2 แห่ง) 9. การดัดแปลงการผูกมดั แบบสานกระจาด การดัดแปลงการผูกมัดแบบสานกระจาด (รูปท่ี 22) นั้นเหมาะสำหรับจะใช้ในพื้นที่ท่ีเป็น ป่าทึบ การผูกแบบนี้จะทำให้ต้นไม้หรือสิ่งยึดอ่ืนๆ แกว่งไปมาได้ โดยไม่เพ่ิมแรงดึงต่อสายและทำให้ สามารถจะผกู ยึดกบั สงิ่ ท้ังทางระดบั หรือทางด่ิงได้ 9.1 การผูก (รปู ที่ 23) ให้กระทำดงั นี้ 9.1.1 ใช้สายสนามท่อนหน่งึ พันรอบตน้ ไม้หรือส่ิงยึดอ่ืนๆ ทีค่ ล้ายคลึงกัน 2 รอบ แลว้ ผูกเงอ่ื นแนน่ ปล่อยปลายท้งั 2 หอ้ ยทง้ิ ไว้ 2 หรือ 3 ฟุต 9.1.2 บิดปลายสาย ท่ใี ช้ผูกน้เี ข้าดว้ ยกัน เพือ่ ใหเ้ ป็นค่สู ายท่ีตีเกลียว 2 ชั้น เป็นระยะ ประมาณ 6 น้ิว จากเงื่อนแน่น 9.1.3 ผกู ดงึ แน่น (ข้ันต้นของการผูกเงื่อนแนน่ ) 9.1.4 สอดทางสายทจี่ ะยึดเข้าระหว่างปลายสายที่ใชผ้ ูกทง้ั 2 แล้วผูกเง่ือนแน่น

๒๐ 9.1.5 คลายเกลียวของปลายตรงข้ามของสายท่ีใช้ผูก 9.1.6 จดั สายผูกทคี่ ลายเกลยี วแลว้ เข้ากับสายที่ต้องการจะยึดไปในทิศทางตรงกนั ข้าม 9.1.7 ถักปลายสายที่ใช้ผูกแต่ละข้างไปรอบๆ สายท่ีต้องการยึด ให้แน่ใจว่าส่วนหนึ่ง ของสายท่ีใช้ผูกทาบไขว้ไปทางดา้ นในและด้านนอกสลับกนั 9.1.8 หลังจากได้พันไขว้ไป 4 - 5 รอบแล้ว ให้ผูกปลายทั้ง 2 ด้วยเงื่อนแน่น และตัด ส่วนท่เี หลือท้ิง 9.1.9 ใช้แถบผ้าพนั สายเพอื่ ป้องกนั สายที่ผูกรูดได้ถ้าจำเป็น รูปที่ 23 การดัดแปลงการผูกมดั แบบสานกระจาด 10. การผูกแบบถกั (Weave Tie) การผูกแบบถัก (รูปที่ 24) ซ่ึงเป็นการดัดแปลงการผูกแบบสานกระจาดอีกแบบหนึ่งน้ัน ใช้เพื่อผูกยึดทางสายสนามเหนือศีรษะในกรณีที่เป็นการติดตั้งทางสายกึ่งถาวร ท้ังยังอาจใช้ได้กับการยึด สายสนามเข้ากบั ส่ิงยึดบนพ้ืนดนิ เชน่ หลกั หรือต้นไม้ มวี ิธีการผูกแบบถัก ดงั น้ี 10.1 เตรยี มสายสนาม ความยาว 4 ถึง 8 ฟตุ มาเสน้ หนึ่ง 10.2 ผูกสายที่ใช้ผูกเข้ากับส่ิงยึดด้วยเงื่อนตะกรุดเบ็ด ถ้าส่ิงยึดใหญ่มากก็ทำเพียงบ่วงเดียว แล้วผูกเงื่อนแน่น 10.3 แยกสายท่ีตีเกลียวแต่ละปลายของสายท่ีใช้ผูกออกจากกัน (ต้องใช้ประมาณ 18 น้ิว เพ่อื ให้พอผกู ) 10.4 ดงึ ทางสายเข้าไปแนบกบั เง่ือนตะกรุดเบด็ หรือเง่ือนแนน่ ทผี่ ูกไว้ 10.5 ถักสายท่ีใช้ผูกไปตามทางสายอย่างน้อยข้างละ 8 นิ้ว (ให้เพิ่มความยาวของการถักข้ึน สำหรับชว่ งของทางสายที่ยาวๆ) 10.6 แล้วผกู เง่อื นแน่นท่ปี ลายของสายท่ใี ช้ผูก 10.7 ขลิบปลายสายท่เี หลือออกจากเง่อื นแน่น 10.8 ใชแ้ ถบผ้าพันสายเมื่อจำเปน็ เพือ่ กนั ล่นื

๒๑ รปู ที่ 24 การผกู แบบถกั เม่อื ใช้กับสายสนาม 11. การตอ่ สายสนามเขา้ กบั สายโถง การต่อสายสนามเข้ากับสายโถง (รูปท่ี 25) ให้กระทำดงั นี้ 11.1 ผกู สายสอ่ื ของสายสนามเข้ากับสายโถง (ตามที่ได้กล่าวไว้ใน บทท่ี 3 ขอ้ 6) 11.2 ผูกยึดสายสนามเขา้ กับกางเขนหรอื เสา (อยา่ ผูกกับโลหะค้ำยัน) ใกล้ๆ กบั รอยต่อ 11.3 ระหวา่ งรอยตอ่ และปมท่ผี กู ใหท้ ้ิงหยอ่ นไว้เล็กน้อย ปมท่ผี กู น้ีควรจะเป็นตวั รบั แรงดึง เพราะรอยตอ่ ไมอ่ าจทนต่อแรงดงึ มากๆ ได้ 11.4 เลือกตำแหนง่ ที่ผูกกับกางเขนหรอื เสา เพื่อให้สายสอื่ ของสายสนามแต่ละเส้นสัมผัสกับ สายโถงเฉพาะตรงรอยต่อเทา่ นั้น รปู ท่ี 25 การผูกสายสนามเข้ากับสายโถง

๒๒ บทท่ี 5 เคร่อื งวางสายและเก็บสาย 1. กลา่ วทว่ั ไป ล้อโลหะแบบหลอดด้าย ใช้เพ่ือเก็บรกั ษา, ลำเลยี ง, วางและเก็บสาย WD–1/TT ล้อเหล่าน้ี จำเป็นต้องมีท่ียึดบางแบบเพื่อทำให้การวางและการเก็บสะดวกข้ึน ส่ิงเหล่านี้เรียกว่าเคร่ืองวางสาย และ ทำขน้ึ หลายแบบหลายขนาดสำหรับการปฏบิ ตั ิงานในสภาพตา่ งๆ กนั 2. ลอ้ สายสนาม ลอ้ สายสนาม 3 แบบ (รูปที่ 26) ท่ใี ชก้ ับสายสนาม มดี งั ต่อไปนี้ 2.1 ล้อสาย DR – 5 เป็นโลหะแบบหลอดด้าย ใช้สำหรับเก็บรักษา, ลำเลียง วางหรือ ม้วนเกบ็ สายสนาม บรรจุสายสนามได้ 2 1/2 ไมล์ สามารถติดต้งั บนโครงลอ้ สาย RL–26, RL–31 2.2 ล้อสาย RL – 159/U เปน็ เครื่องเก็บสายชนิดโลหะแบบหลอดด้ายใช้สำหรบั เก็บรกั ษา ลำเลียง วางหรือม้วนเก็บสายสนาม บรรจุสายสนามได้ 1 ไมล์ สามารถติดต้ังกับโครงล้อสาย RL –26, RL – 31, เคร่ืองยนต์มว้ นสาย RL – 172/G และ RL – 172/G หรือแกนลอ้ สาย RL –27 2.3 หลอดสาย DR – 8 เป็นโลหะใช้สำหรับวางหรือเก็บสายสนาม บรรจุสายได้ 1/4 ไมล์ สามารถตดิ ตงั้ กับโครงลอ้ สาย RL – 39 ส่วนประกอบของชดุ เคร่อื งวางสาย รปู ที่ 26 ล้อสายต่างๆ สำหรับสายสนาม

๒๓ 3. แกนล้อสาย RL – 27 แกนลอ้ สาย RL – 27 (รปู ที่ 27 ) ใช้สำหรับวางและเกบ็ สายสนาม แกนล้อสายน้ี เปน็ ทอ่ น เหล็กกล้า - กล (ยาว 2 1/2 ฟุต) ใช้สำหรับติดต้ังล้อสาย มีด้านถือ 2 ข้าง ดา้ นข้างหนึ่งถอดออกได้ เพื่อ การติดต้ังล้อสาย RL–159/U เข้ากับแกนน้ัน แกนล้อมีตลับลูกปืนและประกอบด้วยมือหมุน ท่ีถอดได้ สำหรับม้วนสาย แกนล้อน้ีสามารถจะนำไปได้ด้วยคน 2 คน (รูปที่ 28) หรือวางบนท่ีติดต้ังแสวงเครื่อง (รูปท่ี 29) รปู ท่ี 27 แกนลอ้ สาย RL – 27 รปู ที่ 28 การวางสายสนามโดยใชแ้ กนล้อสาย RL – 27

๒๔ รูปท่ี 29 วธิ ีมว้ นเกบ็ สายสนามโดยใชแ้ กนลอ้ สาย RL – 27 4. โครงลอ้ สาย RL–31 4.1 โครงล้อสาย RL–31 (รูปท่ี 30) เปน็ โครงรูปตัว A ที่พับได้ทำด้วยเหลก็ กล้า น้ำหนักเบา หิว้ ได้ ใช้สำหรับวางและเก็บสายสนาม โครงล้อสายมลี ักษณะดงั ต่อไปนี้ 4.1.1 มเี ครือ่ งหา้ มลอ้ สำหรับควบคุมความเรว็ ของลอ้ ในระหว่างการวางสาย 4.1.2 มีมอื หมนุ สำหรบั ม้วนสายเขา้ ล้อ 4.1.3 มสี ายสะพายสำหรับนำโครงลอ้ สายไปในลักษณะหามเปล 4.1.4 มีแกนล้อ 2 ตอน สำหรับใช้เม่ือต้องการติดต้ังล้อสาย 2 ล้อ เข้ากับโครงล้อสาย แกนน้ีสามารถจะให้ลอ้ แต่ละล้อ ทำงานไดเ้ ปน็ อิสระแก่กัน (เมื่อใช้แกนล้อ 2 ตอนแล้ว ก็จำเป็นต้องใช้มือ หมุนและห้ามล้ออย่างละ 2 อัน ซ่ึงจะจา่ ยมาพรอ้ มกบั โครงล้อนัน้ ) 4.2 โครงล้อสามารถจะบรรจุล้อสาย ล้อสาย RL–159/U ได้ 2 ล้อ 4.3 โครงล้อสาย RL–31 จะใช้ต้ังบนพ้ืนดินหรือติดต้ังบนยานพาหนะก็ได้ (รูปท่ี 31) ในการติดต้ังโครงลอ้ สายเข้ากบั รถบรรทกุ จำเป็นต้องใช้ชดุ อปุ กรณต์ ิดตงั้ เปน็ พเิ ศษ 4.4 สำหรบั เรื่องราวเพิ่มเตมิ ให้ดู TM 11 – 362

๒๕ รูปที่ 30 โครงล้อสาย RL – 31 รปู ที่ 31 การจา่ ยสายสนามออกจากโครงล้อสาย RL – 31 ซ่ึงตดิ ต้งั ในรถบรรทุก

๒๖ 5. ชดุ เคร่อื งวางสาย CE – 11 ชุดเคร่ืองวางสาย CE – 11 เป็นเครื่องทีม่ นี ำ้ หนักเบา ห้ิวไปได้ ออกแบบไว้ให้คนๆ เดียว สามารถใช้งานได้ เคร่ืองวางสายน้ีประกอบด้วย โครงล้อสาย RL–39 และชุดปากพูดหูฟังมือถือโทรศัพท์ กำลังงานเสียง โครงล้อสาย RL–39 ติดต้ังล้อสาย DR–8 ซึ่งมีความจุสาย WD–1/TT ได้ยาว 1/4 ไมล์ (ล้อสาย DR–8 ไม่ได้เป็นส่วนประกอบของชุดเคร่ืองวางสาย CE-11) รูปท่ี 32 แสดงการต่อชุดปากพูด หูฟัง คือ TS – 10 อย่างไรก็ตาม สามารถนำเครื่องโทรศัพท์กำลังงานเสียง TA–1/PT มาต่อใช้งานได้ (ถา้ ใช้เครื่องโทรศพั ท์ TA–1/PT แล้ว ก็จะตดิ ไว้ทเี่ ขม็ ขดั ) รูปที่ 32 ชดุ เคร่อื งวางสาย CE – 11 พร้อมดว้ ยหลอดสาย DR – 8 5.1 วิธีวางสายสนาม แสดงไว้ใน รูปท่ี 33 ในพ้ืนท่ีข้างหน้าเมื่อจำเป็นต้องคลานเข้าหา ท่ีหมายก็อาจลากล้อสายคลีไ่ ปตามพื้นดิน 5.2 พนกั งานวางสายสามารถทำการสือ่ สารไปข้างหลังได้โดยการต่อโทรศัพทก์ ำลงั งานเสียง เข้ากบั หมุดท่อี ยู่บนล้อสายเม่ือใดก็ได้ 5.3 มมี อื หมุนตอ่ เขา้ กบั ชดุ เคร่อื งวางสาย CE – 11 สำหรบั ใชใ้ นการเกบ็ สายทว่ี างไปจาก ล้อสายแล้ว (รปู ที่ 34) มีสายรดั ดา้ ยถักทป่ี รับได้ 2 สาย สำหรบั ยดึ เครอื่ งวางสายระหว่างการเกบ็ สาย 5.4 สำหรบั รายละเอียดเพม่ิ เติมให้ดู TB SIG 314

๒๗ รปู ที่ 33 การวางสายด้วยชดุ เคร่อื งวางสาย CE – 11 รูปท่ี 34 การม้วนเกบ็ สายดว้ ยชดุ เครอ่ื งมือวางสาย CE- 11

๒๘ 6. ไมค้ ้ำสาย MC – 123 ไมค้ ้ำสาย MC – 123 (รูปที่ 35) ประกอบด้วยไม้ 2 ท่อน ตอ่ สวมกันดว้ ยข้อตอ่ โลหะ ปลาย ของท่อนบนมีขอเก่ียวติดลูกกลิ้ง เคร่ืองมือชนิดนี้พลวางสายใช้ในการวางหรือเก็บสายด้วยรถบรรทุก ในขณะวางสาย ใช้ในการจัดสายสนามที่คลี่ออกมานั้น ให้ทอดไปตามข้างถนน ในเวลาเก็บสายใช้สำหรับ ป้อนและนำสายใหเ้ ขา้ ลอ้ ของเคร่ืองยนต์วางสายโดยสม่ำเสมอกัน รูปท่ี 35 ไม้คำ้ สาย MC - 123

๒๙ บทที่ 6 การปีนเสาและการปีนต้นไม้ ตอนท่ี 1 อปุ กรณ์การปีน 1. กล่าวทว่ั ไป อปุ กรณก์ ารปนี (รูปที่ 36) ชว่ ยพลวางสายในการปนี เสาหรือตน้ ไม้โดยไม่ตอ้ งใช้บนั ไดและ ทำให้สามารถใช้มือทั้ง 2 ปฏิบตั งิ านได้ ขณะอยู่บนทส่ี ูง รปู ที่ 36 อุปกรณก์ ารปีน 2. เครอื่ งปนี LC – 240/U 2.1 กล่าวท่ัวไป เคร่ืองปีน LC–240/U (รูปท่ี 37) เป็นเครื่องปีนที่ทำด้วยโลหะ น้ำหนัก เบา ปรับได้ ความยาวสามารถปรบั ไดจ้ าก 14 3/4 น้ิว ถงึ 19 1/2 นิว้ เพื่อใหเ้ หมาะกับชว่ งขาขนาดตา่ งๆ กนั เคร่อื งปีน LC–240/U ประกอบด้วยขาเหล็ก 2 ขา เดือย 2 น้ิว และ 3 นิ้ว ท่ีสับเปลี่ยนกันได้ สายรัด ทำด้วยหนังและเบาะรองเข่า เดือย 2 นิ้ว ใช้ปีนเสาหรอื ต้นไม้ท่ีมีเปลอื กบาง ส่วนเดือย 3 นิ้ว ใช้ปีนต้นไม้ ท่ีมีเปลอื กหนา 2.2 การปรบั การปรับขาเหลก็ ให้ถอดหมุดเกลยี วยดึ ขาเหลก็ 2 ตัว ออก แล้วเลือ่ นสว่ น ประกอบของขาเหล็กให้ได้ความยาวตามต้องการ แล้วเอาหมุดเกลียว 2 ตัว ใส่ในรูท่ีใกล้ที่สุด แล้วขัน ให้แน่น 2.3 การถอดเดือย ถอดหมดุ เกลียวยึดเดือย 2 ตัวออก เลื่อนเดือยลงไปทางทรี่ องฝ่าเท้า (Stirrup) แลว้ ถอดเดือยออกจากชอ่ งยึด ในการใสเ่ ดือยใหม่นนั้ ให้ทำกลับกันตามขั้นทงั้ 2 น้ี

๓๐ 2.4 การลับเดือย ปจั จุบันน้ีไม่มีเครอ่ื งวัดทจ่ี ะตรวจสอบเดือยของเครอ่ื งปีน LC–240/U ดงั นั้น จึงอาจใชเ้ ดือยใหมท่ ี่ยังไม่ได้ใชส้ ำหรบั เปรยี บเทยี บ เม่ือจะทำการลับเดือยอันเก่า (ควรจะลับเดอื ย เฉพาะเมื่อไม่มีเดือยใหมจ่ ะเปลี่ยน) รปู ที่ 37 เครื่องปีน LC – 240/U 3. เคร่อื งปนี LC – 241/U เคร่ืองปีน LC–241/U เป็นเคร่ืองปีนโลหะท่ีปรับได้ ออกแบบไว้เพื่อใช้ในสภาพอากาศ หนาวจัดเป็นหลัก ที่รองฝ่าเท้าจะทำไว้กว้างกว่าธรรมดาเล็กน้อย เพื่อให้เหมาะกับรองเท้าท่ีใช้ใน เขตหนาวจดั ความยาวของขาเหล็กปรับไดจ้ าก 15 1/2 น้ิว ถึง 18 3/4 นิ้ว 4. เครอ่ื งปีนทด่ี ดั แปลง 4.1 กล่าวทั่วไป เครื่องปีนเสา LC – 243/G และเคร่ืองปีนต้นไม้ LC – 244/G สามารถ จะปรับจาก 14 3/4 น้ิว ถึง 19 1/2 น้ิว ได้ โดยการเปล่ยี นตำแหน่งของแผน่ โลหะ 4.2 การรักษาเครอื่ งปนี เครอื่ งปีนควรจะมีการตรวจสอบว่าเดือยของเคร่ืองปีนแตกหกั หรือหลวม และการชำรุดของสายรัดหรือแผ่นรองเข่าด้วยเครื่องปีน เดือยจะต้องแหลมและมีขนาดที่ ถกู ต้องจะต้องใชเ้ ครอื่ งวัดเดอื ย เพือ่ วัดขนาดเดือยของเคร่อื งปีนทดี่ ัดแปลงแล้ว

๓๑ 4.3 การใชเ้ ครื่องวัดเดือย TL–144 (รูปที่ 38) ใหต้ รวจสอบเดือยของเคร่ืองปีนดังต่อไปนี้ 4.3.1 ความหนา สอดเดือยเขา้ ไปในชอ่ งแคบท่ีหมายไว้ดว้ ยตัวอักษร TH ใหล้ กึ ท่สี ุด โดยให้พ้ืนด้านในของเดือยทาบอยู่บนหน้าที่มีเส้นขีดของเครื่องวัด ถ้าปลายของเดือยไม่เลยเส้นที่กำหนด ความหนาตอนน้ีของเดอื ยยงั ใช้ได้ (รูปที่ 39 ก.) สอดเดอื ยเขา้ ในช่องกว้างท่ีหมายด้วยอักษร TH ให้ลึก ทีสุดโดยให้พื้นด้านในของเดือย ทาบอยู่บนหน้าที่มีเส้นขีดของเคร่ืองวัด ถ้าปลายของเดือยไม่ยื่นเลยขอบ ด้านไกลของเคร่ืองวัดแล้ว ความหนาของเดือยตอนน้ียังใช้ได้ (รูปที่ 39 ข.) เครื่องวัด TL – 144 อาจใช้ ตรวจสอบได้ท้ังเดือยของเครื่องปีนเสาหรือต้นไม้ก็ได้ อย่างไร ก็ตามความยาวของเดือยของเคร่ืองปีน ตน้ ไม้ต้องยาวเต็มระยะความยาวของเครื่องวดั หรอื ยาวกวา่ จงึ จะใช้ได้ 4.3.2 ความกว้าง สอดเดอื ยเขา้ ทางช่องแคบท่หี มายด้วยอกั ษร W ใหล้ ึกท่ีสดุ โดยให้ ด้านในของเดือยทาบบนหน้าท่ีขีดเส้นของเครื่องวัด ถ้าปลายของเดือยไม่ยาวเกินเส้นกำหนดไว้ เส้นยาว กห็ มายความวา่ ความกวา้ งส่วนน้ขี องเดอื ยยังใชไ้ ด้ (รูปท่ี 39 ค.) สอดเดอื ยเข้าทางช่องกว้างท่ีหมายด้วย อกั ษร W ให้ลึกท่ีสุด โดยให้ก้านในของเดือยทาบบนหน้าท่ีขีดเส้นของเครื่องวัด ถ้าปลายของเดือยไม่ยาว เกินขอบด้านไกลของเคร่ืองวัด ความกว้างตอนน้ีของเดือยกย็ ังใชไ้ ด้ (รปู ท่ี 39 ข.) 4.3.3 ความยาว เอาหน้าทขี่ ีดเส้นของเคร่ืองวัดเดือยทาบเข้ากับด้านในของเดือยโดย ให้ขอบด้านใกล้สุดของเครื่องวัดยันแน่นกับขาเหล็ก ถ้าปลายของเดือย ยาวถึงหรือเกินเส้นกำหนดไว้เส้น ส้นั ความเดอื ยกย็ งั ใชไ้ ด้ (รปู ที่ 39 จ.) 4.3.4 การลับเดือย เม่ือจะทำการลับ ต้องให้แน่ใจว่าได้รักษารูปร่างให้เหมือนรูปเดิม มากทีส่ ุด ในการลบั นค้ี วรจะถูกตะไบเฉพาะผิวเรยี บข้างใต้เท่านั้น รูปท่ี 38 เคร่อื งวดั เดอื ย

๓๒ รูปที่ 39 การตรวจสอบเดือยโดยเครื่องวดั เดือย 5. เข็มขัดพลสร้างสาย LC – 23 5.1 กล่าวทั่วไป เข็มขัดพลสร้าง LC – 23 ประกอบด้วย เข็มขัดหนังและสายนิรภัยหนัง ทป่ี รับได้ เข็มขัดรัดตวั จะจ่ายมาให้หลายขนาด ทั้งน้ีแล้วแต่ระยะเป็นนิ้ว ระหวา่ งห่วงรูปตัว D สายนิรภัย ทำไว้ยาว 61 นิ้ว, 68 น้ิว และ 70 นิ้ว 5.2 การรักษาหนัง รักษาหนังให้สะอาด, ออ่ นนุ่มและหย่นุ ตวั โดยใช้สบู่ฟอกหนงั หรือฟอง จากสบู่ที่เป็นกลาง (เช่น ทำจากน้ำมันมะกอก) การทำเช่นน้ีเพื่อขจัดส่ิงสกปรกที่ติดอยูแ่ ละเหง่ือไคลที่จะ ทำให้หนังผุ เช็ดหนังให้แห้ง ห้ามใช้น้ำมันแร่หรือไขมัน และอย่ายืนใกล้เปลวเพลิงในขณะที่สวมเคร่ือง หนังกับตัว ทำความสะอาดและตบแต่งส่วนที่เป็นหนังบ่อยๆ เม่ือหนังเปียกน้ำหรือเปื้อนสีให้ล้างสีออก โดยเรว็ ทส่ี ดุ เท่าทจ่ี ะทำได้ การตรวจสอบหนังวา่ มีรอยปริและความหยนุ่ ตวั หรือไม่ควรกระทำดังน้ี 5.2.1 สายนิรภัย (Safety straps) ให้นำสายนิรภัยทาบไปรอบวัตถุกลมที่มเส้นผ่า ศูนย์กลางไม่น้อยกว่า 3/4 นิ้ว ให้ด้านเรียบ (ด้านนอก) อยู่นอกการตรวจให้กระทำอย่างน้อยสามแห่ง ใกล้กบั ปลายทงั้ สอง และตอนกลางๆ ของสาย ตามปกติแลว้ รอยปริเลก็ ๆ น้อยๆ จะปรากฎใหเ้ หน็ บนผิว 5.2.2 เขม็ ขัดรัดเอว (Body beles) ใหโ้ ค้งเข็มขัดตรงจุดใดจดุ หน่ึง ทสี่ ามารถจะโค้ง ได้ โดยไม่ต้องออกแรงมาก เช่น ใต้ห่วงเสียบเคร่ืองมือ (tool loop) และตอนหัวและหางเข็มขัด (Tongue strap) อย่าโค้งเข็มขัดรอบสง่ิ ที่เล็กเกินไป เพราะจะทำให้เกิดรอยปริเสียหายได้ เมื่อจะโค้งหนัง ใหเ้ อาดา้ นนอกของเข็มขดั อยขู่ ้างบนเสมอ ข้อพึงระวงั ถา้ ปรากฎว่าหนังมรี อยปรใิ หญ่ ใหถ้ ือว่าสายนริ ภยั และเข็มขัดนนั้ ไมป่ ลอดภัย

๓๓ 6. การสวมอปุ กรณ์การปีน (Wearing Climbing Equipment) 6.1 เครื่องปีน (Climbers) โดยทั่วไปควรปรับเคร่ืองปีนให้มีความยาวน้อยกว่าระยะ ทางด้านในพ้ืนรองเท้าตรงอุ้งเท้าขึ้นมาถงึ ปุ่มกระดูกเล็กๆ ใตล้ ูกสะบ้าประมาณ 1/2 นวิ้ รัดสายรัดให้แน่น แนบน่องและข้อเท้า 6.2 เข็มขัดรัดเอวและสายนิรภัย (Body belt and safety strap) เมื่อได้จัดเข็มขัด รดั เอวให้ได้ขนาดพอเหมาะแล้ว หว่ งรูปตัว D ก็จะไปอยู่ตรงบรเิ วณหลังหัวตะคาก (แง่กระดูกเชิงกราน) ของผู้สวม เข็มขัดรัดเอวสวมไวเ้ หนือตะโพกซง่ึ ควรจะให้หลวมแต่กต็ ้องให้แน่นพอเพือ่ ป้องกนั การลนื่ หลุด (รปู ที่ 40 และรูปที่ 41) ถ้าผู้สวมถนัดมือขวา ก็ให้นำปลายทั้ง 2 ของสายนิรภัยไปเก่ียวไว้ท่ีห่วง รูปตัว D ทางด้านซ้ายมือ ถ้าถนัดมือซ้ายปลายท้ัง 2 ก็ให้ไปเกี่ยวไว้ท่ีห่วงด้านขวามือ ปลายทางด้านสายทบจะ คล้องอยู่กับห่วงรูปตัว D โดยหันแหนบกันหลุดท่ีขอเกาะออกนอกตัวและให้เกาะอยู่ตลอดเวลา อีกปลาย หนึ่งของสายนิรภัยจะคล้องอยู่กับห่วงรูปตัว D โดยให้แหนบกันหลุดเกาะอยู่ข้างหน้าเหนือขอเกาะของ ปลายทบ ก่อนที่จะปีนเสาทุกครัง้ อย่าลืมปรับความยาวของสายนริ ภยั ในการปรบั น้ใี ห้วางเดอื ยของเครื่อง ปีนชิดโคนเสา แล้วเอาสายนิรภัยอ้อมรอบเสาและยึดปลายสายเข้ากับห่วงรูปตัว D อีกข้างหน่ึง ค่อยๆ เอนตัวจนกระท่ังน้ำหนักตัวอยู่ได้ด้วยสายนิรภัย เมื่อสายนิรภัยได้ปรับให้ถูกต้องแล้ว ฝ่ามือทั้งสองควร จะวางทาบอยู่ทางดา้ นตรงขา้ มของเสา โดยน้วิ ไมเ่ กยกนั รปู ท่ี 40 การสวมอุปกรณก์ ารปีน (รูปด้านหน้า)

๓๔ รปู ท่ี 41 การสวมอุปกรณ์การปนี (รปู ด้านหลัง) 6.3 ขอ้ ควรระวัง 6.3.1 บนพนื้ ดิน ให้ระวังตลอดเวลาเมอ่ื สวมเครอ่ื งปีนอยู่ เพราะวา่ เดอื ยอาจจะทำให้ เกิดบาดแผลฉกรรจ์ได้ เมื่อสวมเครื่องปีนอยู่ต้องระวังอย่าเหยียบเท้าตนเองหรือเท้าผู้อื่น สวมเคร่ืองปีน ต่อเม่ือจะปีนและทำงานบนเสาหรือต้นไม้เท่าน้ัน ผู้ท่ีชอบสวมเคร่ืองปีนขณะทำงานบนพื้นดินหรือขับข่ี ยานพาหนะ มักจะเป็นผลให้ได้รบั บาดเจบ็ รา้ ยแรงเสมอๆ 6.3.2 บนทส่ี ูง ขณะอยู่บนเสาหรอื ตน้ ไม้ ให้ใช้สายนิรภัยเสมอ เพอื่ ลดอันตรายจาก การตก และเพ่ือให้ทำงานด้วยความเหน็ดเหนือ่ ยนอ้ ยท่ีสดุ ระวงั อยา่ ท้ิงเครอ่ื งมอื หรอื อปุ กรณ์อื่นๆ ลงมา 6.3.3 ก่อนการปนี ผู้ฝกึ ปีนใหม่ควรฝึกการยดึ และปลดสายนิรภัยในระดับตำ่ ๆ กอ่ น จนกระทั่งสามารถทำขน้ั น้ีไดร้ วดเรว็ ปลอดภยั และประณีต

๓๕ ตอนท่ี 2 การปีนเสา 1. การปอ้ งกันอนั ตราย 1.1 เสาซ่ึงใช้งานมานานอาจชำรุดและอาจหักลงมาได้เมื่อได้รับน้ำหนักของพลสร้างสาย ขณะปีนหรือทำงานอยู่บนเสา ดังนั้นก่อนท่ีจะปีนควรตรวจและทดสอบเสาเสียก่อนเสมอ เม่ือคาดว่าเสา อาจชำรุดให้ผูกสายร้ังเสาไว้ชั่วคราว โดยทั่วไปแล้วเสาที่ผูกรั้งไว้อย่างดีแล้ว ก็อาจปีนได้เลยโดยไม่ต้อง ตรวจสอบ แตอ่ ย่างไรกต็ ามหากมโี อกาสให้ตรวจสอบเสียกอ่ นท่ีจะปีน 1.2 อาจตรวจสอบความม่ันคงของเสาได้โดยค่อยๆ โยกเสาไปมาในทิศทางตั้งฉากกับ ทางสาย อยา่ โยกเสาถ้าเหน็ ว่าถ้าเสาลม้ ลงมาแล้วจะก่อใหเ้ กิดความเสียหาย การโยกเสาอาจกระทำโดยใช้ ไมค้ ้ำสาย ถา้ สายชำรุดก็จะเกิดรอยแตกหรอื หัก 1.3 อาจจะตรวจความม่ันคงของเสาได้อีกอย่างหน่ึง โดยใช้ไขควงหรือเสียมทิ่มดูท่ีโคนเสา ในระดบั ใตด้ นิ ลงไปหลายๆ แหง่ การตรวจสอบเชน่ น้ีจะทำใหร้ ู้ว่าไม้โคนเสาผุหรอื ไม่ 1.4 ถ้าทำงานอยู่ในบริเวณที่มีสายไฟฟ้า ให้ปฏิบัติตามกฎว่าด้วยระยะห่างเพื่อความ ปลอดภัย จากสายไฟฟ้าทุกประการ ควรระลึกอยู่เสมอว่า ส่วนท่ีเป็นโลหะของสายไฟฟ้ายังคงมีแรงดัน ไฟฟ้าท่ีเป็นอันตรายได้อยู่เสมอ ถ้ามีสายโทรศัพท์อาจจะแกว่งไปถูกกับสายไฟฟ้าได้ อย่าโยกเสา โทรศัพทเ์ พือ่ ทดสอบความม่ันคง 2. คำแนะนำเบื้องต้น คำแนะนำที่จะกล่าวต่อไปน้โี ดยถอื ว่าพลสร้างสายถนัดมือขวา สำหรับผู้ท่ถี นัดมอื ซ้ายก็อาจ ปฏบิ ตั ิได้ โดยใชม้ ือและเท้าตรงกันข้าม 2.1 เม่อื ปีนเสา ให้งอแขนเลก็ นอ้ ยและใหต้ ะโพกอยหู่ ่างจากเสา 2.2 ในการปักเดือยเขา้ กบั เสานนั้ ไมว่ ่าจะเวลาข้นึ หรอื ลงใหก้ ระแทกขาเข้าขา้ งในเฉยี งลง ลา่ งแรงๆ สว่ นการถอนเดอื ยน้ันใหด้ ึงขาข้ึนขา้ งบนและเฉียงออกนอกอย่างแรง 2.3 ใช้มือท้ัง 2 โอบเสาทางด้านนอก แต่อย่าให้มือทั้ง 2 เกยกัน การใช้มือจับด้านข้างของ เสาจะทำให้แขนท้ัง 2 ข้างมีการเกร็งโดยไม่จำเป็น จงจำไว้ว่าน้ำหนักของร่างกายทั้งหมดจะตกอยู่บน เดอื ยของเครือ่ งปีน ส่วนแขนทง้ั 2 เพียงแตช่ ่วยในการทรงตวั ของผ้ปู นี เทา่ น้นั 2.4 จงให้ตัวอยู่ห่างจากเสา ถ้าตะโพกอยู่ชิดกับเสาเกินไป ขาทั้ง 2 จะไม่ทำมุมเฉียงเข้า ในกรณีเช่นน้ีอาจเป็นเหตุให้เดือยหลุดจากเสาได้ (เท้าจะพลาดจากเสา) ถ้าตะโพกอยู่ห่างจากเสาเกินไป แขนทั้ง 2 ข้าง จะต้องรบั น้ำหนักสว่ นใหญ่ของผู้ปีนซงึ่ จะทำใหเ้ กิดการเกร็งมากถ้าให้เข่าสัมผัสกับเสาแล้ว บางทีก็จะทำให้เดือยหลดุ จากเสาได้ ใหป้ ลายเท้าช้ีขึน้ ข้างบน

๓๖ 3. การปีนข้นึ 3.1 ก่อนที่จะปีน จงเดนิ วนรอบเสาเพอ่ื ตรวจดูความม่ันคง และควรตอ้ งสงั เกตตำแหน่งท่ีมี รอยแตกร้าว และจุดอ่อนหรือจุดแข็งของเน้ือไม้ ให้ดูว่ามีสายรวม ไม้กางเขนหรือส่ิงกีดขวางอื่นๆ ท่ีอาจ จะขดั ขวางการปีน ถา้ เสาน่ันเอนให้ปีนข้ึนทางด้านสงู 3.2 จบั เสาให้มัน่ แล้วยกเทา้ ซา้ ยใหห้ า่ งจากเสาประมาณ 10 นิ้ว แล้วกระแทกเดือยของ เครื่องปีนเข้ากบั ผวิ ของเสา สูงจากพ้ืนดนิ ประมาณ 8 นิ้ว (รปู ที่ 42) 3.3 ยกนำ้ หนักตวั ข้ึนให้อยบู่ นเดอื ยโดยเหยยี ดขาให้ตึง ขณะทน่ี ้ำหนักตวั อยบู่ นขาขา้ งหนึ่ง ทำให้เข่าตึงและห่างจากเสา ยกขาอีกข้างหน่ึงและแขนข้างเดียวกันน้ันข้ึน แล้วปักเดือยเฉียงลง และเข้า ทางดา้ นในของเสาเพ่อื ยึดให้แนน่ (รปู ที่ 43) 3.4 เมอื่ ดึงขาขนึ้ เฉยี งออกอย่างแรงแลว้ เดอื ยก็จะถอนออกจากเสาได้ เมอื่ จะปีนกา้ วต่อไป ให้ยกเท้าซ้ายและมอื ซ้าย (หรอื เท้าขวาและมอื ขวา) ขน้ึ พรอ้ มกนั ไมค่ วรให้ตัวแกวง่ มากเกนิ ไป 3.5 ให้ปกั เดือยข้างทวี่ า่ งเขา้ ไปใหม่ใหแ้ นน่ แล้วปนี ต่อไปจนถงึ ความสูงทต่ี อ้ งการ ในขณะ ท่ปี นี ขึ้นใหม้ องขึ้นไปข้างบนเสมอ และใหห้ ลกี เลยี่ งสิ่งกดี ขวางใดๆ ทอ่ี าจจะมี 3.6 ไม่ว่าจะเป็นการปีนขึ้นหรือลง เดือยทั้ง 2 นั้นควรจะปักอยู่บนผิวของเสาให้เป็น แนวทางอันหนึ่ง (แนวแต่ละข้างห่างกันประมาณ 4 1/2 นิ้ว) แต่แนวน้ีอาจเปลี่ยนแปลงได้เล็กน้อยข้ึนอยู่ กับขนาดของผู้ปีน รปู ที่ 42 การเรมิ่ ต้นปีนเสา รูปท่ี 43 การปีนเสา

๓๗ 4. การยดึ สายนิรภยั การยดึ สายนิรภยั เมือ่ ขน้ึ ไปถงึ ความสงู ท่ีต้องการแลว้ ให้กระทำดงั ต่อไปน้ี 4.1 เปลีย่ นให้นำ้ หนักตัวมาอยบู่ นเทา้ ซา้ ย แล้วปกั เดือยข้างขวาให้สูงกว่าขา้ งซ้ายเล็กน้อย 4.2 โอบมือขวาไปรอบเสา (รูปที่ 44) ใช้มือซ้ายปลดขอเก่ียวที่ปลายสายนิรภัย แล้วตวัด ปลายสายอ้อมเสาไปทางขวา 4.3 ส่งขอเกี่ยวและสายนริ ภัยไปยงั มอื ขวา ขณะเดียวกนั ให้ทรงตัวไวด้ ว้ ยมือซา้ ย (รูปท่ี 45) รูปที่ 44 การปลดสายนิรภยั รปู ที่ 45 การส่งสายนิรภัย 4.4 เอาสายนิรภัยพนั รอบเสาไว้หลวมๆ และให้มอื ขวาดึงสายนิรภัยให้ไปถึงห่วงรปู ตวั D ทางด้านขวามอื แลว้ เกาะขอเข้ากับหว่ งรปู ตัว D ด้วยมอื ขวา (รูปท่ี 46)

๓๘ รูปที่ 46 การเกาะขอเกี่ยวเข้ากับห่วงรูปตัว D ข้อควรระวัง เปน็ ส่ิงสำคญั ท่จี ะตอ้ งดใู หข้ อเกยี่ ว เกย่ี วเข้าที่เรียบรอ้ ย อยา่ สันนษิ ฐานเอาวา่ ขอเกย่ี วยดึ กบั หว่ ง D เรียบร้อยแลว้ เพียงแต่จากการได้ยินเสยี งของขอเก่ียวเท่านน้ั 4.5 เอนตัวไปข้างหลัง ค่อยๆ วางน้ำหนกั ตัวท้ังหมดไวบ้ นสายนิรภัยอย่างระมัดระวัง ปรับ ตำแหนง่ ของรา่ งกายและเท้าให้อยใู่ นลักษณะที่ทำงานได้อยา่ งสบาย (รูปท่ี 47) รปู ท่ี 47 การปรับให้อยู่ในลักษณะที่ทำงานได้

๓๙ 5. การทำงานบนทส่ี ูง 5.1 ในขณะปฏิบัติงานอยู่บนเสา จะต้องไม่พาดสายนิรภัยต่ำกว่ายอดเสาลงมาน้อยกว่า 12 น้ิว หรือจะต้องไม่พาดไวเ้ หนอื ไม้กางเขนอนั บน เพ่ือให้เอือ้ มถึงถ้วยทางด้านขวาสดุ (รูปที่ 48) ให้เกีย่ ว ตะขอของสายนิรภัยไว้ใต้ไม้กางเขน วางเท้าขวาให้ต่ำกว่าเท้าซ้ายเล็กน้อย และให้อยู่ทางด้านข้าง ของเสา เหยียดเข่าขวาให้ตรง เอนตัวออกไปแล้วลอดศรี ษะและไหล่เข้าไปอยรู่ ะหว่างสายถา้ จะเอื้อมให้ถึง ลูกถ้วยทางด้านซ้ายสุด ก็ให้ทำกลับกันกับท่ีกล่าวมาแล้ว (มีบ่อยครั้งท่ีจะต้องจัดความยาวของสายรัด นริ ภัย เพ่ือใหผ้ ู้ปีนเสาเอื้อมถึงปลายสุดของไม้กางเขนทีย่ าว ถ้าเป็นเช่นน้ีก็ให้ปรับสายรดั นิรภัยเสียก่อนที่ จะปีนขึ้น) รปู ที่ 48 พลสรา้ งสายกำลังทำงานท่ลี ูกถ้วยตัวนอกของไม้กางเขน 5.2 เมื่อหมุนตัวอ้อมเสาไปทางขวา ให้ปักเดือยทางขวาต่ำลงเล็กน้อย และให้อยู่ทางด้าน ขวาของเสา (ก้าวสั้นๆ) เกร็งเข่าแล้วเลื่อนตัวไปทางขวา ถอนเดือยเท้าซ้ายไปปักลงใกล้ๆ และให้เหนือ เท้าขวาเล็กน้อย บิดตะโพกเล็กน้อย จะทำให้ความยาวของสายรัดนิรภัยเท่ากัน ทำเช่นนี้ต่อไปจนกระทั่ง ถึงตำแหน่งท่ีต้องการ ในการหมุนตัวอ้อมเสาไปทางซ้าย ก็ให้ทำกลับกันกับที่ได้กล่าวมาแล้ว (ให้ฝึกการ อ้อมเสาใกล้ๆ กบั พ้นื ดินเสยี ก่อน จนกระทัง่ เกิดความเช่อื มน่ั และมีประสทิ ธิภาพ) 6. การปลดสายนิรภยั การปลดสายนริ ภยั ให้กระทำกลับกนั กับที่ได้กล่าวไว้แล้วใน (บทที่ 6 ตอนที่ 2 ขอ้ 5) คือ 6.1 ถอนเดือยดา้ นขวาข้นึ และปกั ลงไปใหม่ตรงจุดเหนอื ระดับเดอื ยด้านซา้ ยเลก็ น้อย ใช้มอื ซ้ายจับเสาให้แน่น ให้ข้อศอกขวาตั้งข้ึนบิดมือให้หัวแม่มือชี้ลงล่าง บีบขอเก่ียวและปลดออกจากห่วง รปู ตัว D ข้างขวา 6.2 เอาสายนิรภยั ออ้ มเสาส่งใหม้ อื ซา้ ย ทรงตัวด้วยมือขวา เกยี่ วขอเขา้ กับห่วงรูปตวั D ขา้ ง ซ้ายพร้อมกับกดลงไป 1 ครั้ง

๔๐ 7. การปีนลง การปีนลงจากเสาให้กระทำดังน้ี ก้าวเทา้ ขวาข้ึนไป 1 กา้ วส้ันๆ ปลดขอสายนิรภัยแล้วเก่ียว เข้ากับห่วงรูปตัว D ข้างซ้าย ถอนเดือยข้างขวาเกร็งขาขวาหันปลายเท้าข้ึนบน ก้าวยาวๆ ลงมา และให้ เฉียงเข้าในพร้อมกับปักเดือยเข้ากับเสา ขณะนี้เข่าควรจะอยู่ตรงข้ามส้นเท้าซ้ายโดยประมาณ ถอนเดือย ข้างซ้ายและโดยลักษณะเดียวกนั ใหก้ ้าวเท้าซ้ายลง แขนขวาให้เคล่ือนไปพรอ้ มกบั เท้าขวา และแขนซ้ายก็ ให้เคลื่อนไปพร้อมกับเท้าซ้ายไม่ว่าจะเป็นการปีนขึ้นหรือลงก็ตาม ในขณะท่ีปีนลงต่อไปให้มองลงไป ข้างลา่ งเพือ่ หลบส่ิงกีดขวางหรือส่วนท่ีชำรดุ ของเสา ตอนท่ี 3 การปนี ต้นไม้ 1. การปอ้ งกันอนั ตราย ก่อนท่ีจะปีนต้นไม้ให้เอาไม้ท่ีผุๆ กิ่งไม้ หรือวัตถุอ่ืนๆ ที่อยู่ที่โคนต้นไม้อันจะเป็นเครื่อง กีดขวางหรือทำให้ผู้ปีนเป็นอันตรายได้ออกเสียก่อน ตรวจสอบความมั่นคงและความหนาของเปลือกไม้ ขจัดแขนงและกิ่งเล็กๆ ตามทางที่จะปีนขึ้น ระวังนัยน์ตาและหน้าในขณะที่ปีนต้นไม้อย่าเหยียบกิ่งท่ี ไม่แข็งแรงพอ อยา่ แตะต้องพชื พันธุ์ไม้ทเ่ี ปน็ พิษ 2. วิธีปนี ต้นไม้ 2.1 ในกรณีปนี ตน้ ไม้ ให้ใชเ้ ครื่องปีนที่ติดเดอื ยสำหรับปีนต้นไม้ และดำเนินตามคำอธบิ าย ที่กล่าวไวแ้ ล้ว ใน (บทที่ 6 ตอนท่ี 2 ข้อ 1 ถึง 7) 2.2 โดยท่ัวไปแล้ว ต้นไม้ขนาดใหญ่จะปีนยากกว่าต้นไม้ขนาดเล็ก และตามปกติจะต้อง เปล่ียนแปลงวิธีปีนบ้าง ตามปกติสายนิรภัยจะมีความยาวพอสำหรับต้นไม้ท่ีมีเส้นผ่าศูนย์กลางถึง 24 น้ิว เมอ่ื จะปีนต้นไมท้ ี่ใหญ่กว่านนั้ กอ็ าจจำเปน็ ต้องใชเ้ ชอื กแทนสายนิรภยั ก็ได้ หรืออาจจะใช้สายนิรภัย 2 สาย ตอ่ กัน ถา้ ความยาวรวมกนั พอทจ่ี ะโอบรอบต้นไม้ได้

๔๑ ตอนที่ 4 การปฐมพยาบาล 1. กล่าวท่ัวไป การป ฐมพยาบาลเป็นการรักษาโดยทันทีและชั่วคราวที่จะให้แก่ผู้ที่ได้รับ อุบัติเ หตุหรือ ผู้ป่วยก่อนท่จี ะไดร้ ับการรักษาจากเจ้าหน้าทพ่ี ยาบาลท่ไี ดร้ บั การฝึกแลว้ เน่อื งจากพลสร้างสายสนาม อาจ ได้รับอันตรายหลายประการ และงานที่เขาทำนั้นมักจะอยู่ในพื้นท่ีซ่ึงไม่มีเจ้าหน้าท่ีพยาบาล ฉะน้ันจึงมี ความสำคญั ทจ่ี ะตอ้ งฝึกให้มีความร้ใู นเรอ่ื งการปฐมพยาบาล 2. ระเบียบปฏบิ ตั ิในการปฐมพยาบาลโดยท่ัวไป เม่ือพลสรา้ งสายสนามไดร้ ับบาดเจบ็ ผทู้ ่จี ะให้การปฐมพยาบาลต้องวินิจฉยั อาการบาดเจบ็ อย่างถูกตอ้ งและใชร้ ะเบียบปฏบิ ัตใิ นการปฐมพยาบาลอยา่ งเหมาะสม การปฏิบัติในการปฐมพยาบาลท่ีไม่ ถูกต้องอาจทำให้ผู้ป่วยมีอันตรายมากกว่าบาดแผลทไี่ ด้รบั ระเบียบปฏิบตั ิในการปฐมพยาบาลโดยท่ัวไปมี ดงั น้ี 2.1 วางผู้ป่วยให้อยู่ในท่านอนคว่ำ ให้ศีรษะอยู่ระดับเดียวกับตัว จนกว่าการรักษาน้ันจะ ต้องการใหม้ กี ารเคลือ่ นไหว 2.2 ตรวจดูการเลือดตกใน การหยุดหายใจ บาดแผล ไฟลวก กระดูกหัก กระดูกเคล่ือน และบาดแผลอื่นๆ ถ้าจะตอ้ งถอดเส้อื ผ้าให้ใชว้ ิธตี ดั ออก อยา่ เคล่อื นยา้ ยผปู้ ว่ ย 2.3 ทำการหา้ มเลือดท่ีออกมาก ผายปอด บำบัดสิง่ ทเี่ ป็นพิษตามลำดบั โดยทันที 2.4 พิจารณาว่าผู้ป่วยรายใด ได้รับบาดเจ็บซ่ึงจำเป็นต้องเอาใจใส่โดยทันที ก็ให้ทำการ ปฐมพยาบาลผนู้ น้ั กอ่ น 2.5 ทำให้ผ้ปู ว่ ยได้รับความอบอนุ่ และบำบัดอาการหมดสติ (Shock) 2.6 เรียกนายทหารเสนารกั ษ์หรือรถพยาบาล แจ้งเรื่องดังต่อไปน้ี แก่นายทหารเสนารักษ์ คือ ที่อยู่ของผู้ป่วย อาการ สาเหตุ และความเจ็บป่วยที่อาจจะลุกลามต่อไป เวชภัณฑ์ท่ีมีใช้ได้ และได้ให้ การปฐมพยาบาลข้ันตน้ ไวแ้ ลว้ อยา่ งไรบา้ ง 2.7 จงทำด้วยความสงบ อย่ารีบร้อนในขณะทำการเคล่ือนย้ายผู้ป่วย เว้นแต่เม่ือจำเป็น อย่างยิง่ 2.8 ทำการปฐมพยาบาลเฉพาะเท่าท่ีจำเป็น และต้องให้ม่ันใจว่าไม่กระทำส่ิงซึ่งจะทำให้ เป็นอนั ตรายมากข้ึน 2.9 อย่าให้ของเหลวใดๆ แก่ผ้ปู ่วยท่สี ลบเป็นอันขาด 2.10 อยา่ ใหค้ นมงุ ผปู้ ว่ ย 2.11 ให้ผปู้ ว่ ยอยู่ในทา่ ที่สบายและคอยใหก้ ำลังใจ 2.12 อยา่ ใหผ้ ปู้ ่วยเห็นบาดแผลของตน

๔๒ 3. การปฐมพยาบาลเม่ือถูกไฟฟ้าหมดสติ ในกรณีที่เกิดอุบัติเหตุเน่ืองจากถูกไฟฟ้าหมดสติ การให้ความช่วยเหลือโดยทันทีและการ ผายปอดเปน็ ส่ิงจำเป็นอย่างย่ิง ถ้าผปู้ ่วยสิ้นสติติดอย่กู ับสายไฟและไม่รูแ้ น่ชัดว่าสายไฟนั้นมกี ระแสหรือไม่ ให้คิดว่าสายน้ันยังมีกระแสอยู่ เร่ืองนี้เป็นเรื่องอันตรายเนื่องจากว่า สายไฟท่ียังมีกระแสไฟอยู่ อาจส่ง กระแสผ่านร่างกายผู้ป่วยเข้าสู่ผู้ช่วยเหลือได้ พึงระมัดระวังอย่างยิ่งโดยดูให้แน่ว่าสายไฟที่ยังมีกระแสอยู่ ไม่มาถกู ตอ้ งผชู้ ว่ ยเหลอื ตดั สนิ ใจรวดเร็ว แตร่ อบคอบในการดำเนินการชว่ ยเหลือเปน็ ขั้นๆ ไป 3.1 สวมถงุ มือยาง และถ้าสามารถทำได้ให้สวมรองเทา้ ยางดว้ ย ในการช่วยเหลอื ผู้ถกู ไฟฟ้า หมดสติ 3.2 ดึงสายไฟฟ้าออกจากผู้ป่วยด้วยเชือกที่แห้ง หรือปัดสายไฟออกไปด้วยด้ามกรรไกร ตัดกงิ่ ไมแ้ ผ่นกระดานหรอื บันไดทีแ่ ห้งๆ 3.3 ใช้กรรไกรตดั กง่ิ ไมท้ ม่ี ีหัวสำหรับตัดลวดหรือมีคีมตัดสายไฟออกทั้ง 2 ด้านของผูป้ ว่ ย 3.4 บำบดั อาการหมดสตแิ ละถ้าผู้ป่วยไม่หายใจก็ให้ทำการผายปอด 4. การปฐมพยาบาลอาการหมดสติ (Shock) ผู้ได้รับบาดเจ็บทุกคนย่อมมีโอกาสท่ีจะหมดสติได้มาก เนื่องจากอาการหมดสติน้ันมักจะ เกดิ ข้ึนเม่ือได้รบั บาดเจ็ดอย่างรุนแรงทส่ี ่วนใดส่วนหน่ึงของร่างกาย จงเริ่มทำการปฐมพยาบาลอาการหมด สตโิ ดยทันที อยา่ รอให้อาการหนักมากขนึ้ การปอ้ งกนั อาการหมดสติทำได้ง่ายกวา่ การรักษา 4.1 สาเหตุเบ้อื งต้นของอาการหมดสติ เกิดจากการหมุนเวียนของโลหิตนอ้ ยลงอนั เป็นผล ให้ความดนั โลหิตต่ำลง อาการของการหมดสตเิ ป็นดังนี้ 4.1.1 ชพี จรเต้นเร็วแตอ่ ่อน 4.1.2 ผิวกายเย็นและชืน้ 4.1.3 หายใจเรว็ และต้ืน 4.1.4 อ่อนเพลยี หนา้ มดื เวยี นศรี ษะหรือคล่นื ไส้ 4.1.5 มา่ นตาเบกิ กวา้ งและขยายออก 4.2 ในการพยาบาลผู้ป่วยในภาวะที่หมดสติ ใหด้ ำเนินการ ดงั ต่อไปนี้ 4.2.1 รักษาร่างกายผู้ป่วยใหอ้ บอนุ่ ใช้ผา้ ห่มหรือผ้าอื่นๆ ปูรองและคลมุ ผู้ป่วย 4.2.2 ถอดเส้ือผา้ ที่เย็นหรอื ช้ืนออก อยา่ ให้รา่ งกายของผปู้ ว่ ยเปิดเผยโดยไม่จำเป็น 4.2.3 ให้ผูป้ ่วยได้รบั ความอบอุ่นพอสบาย แต่อยา่ ให้รอ้ นเกนิ ไป 4.2.4 วางผ้ปู ว่ ยให้ศีรษะอยตู่ ำ่ กว่าเทา้ นอกจากว่าได้รับอนั ตรายทห่ี น้าอก 4.2.5 ให้กาแฟ ชา หรอื ซปุ ทีร่ ้อนๆ เพียงเลก็ น้อย แก่ผปู้ ว่ ยที่ยังมสี ติ ซ่ึงไม่มีอาการ คล่นื ไส้หรอื อาเจยี น 4.2.6 เมื่อไมจ่ ำเปน็ อย่าจับตอ้ งรบกวนผ้ปู ่วย

๔๓ 5. การปฐมพยาบาลบาดแผล บาดแผล คอื รอยฉกี ขาดทผี่ ิวหนงั หรอื เยือ่ บุภายใน บาดแผลจะทำให้เกิดอันตรายขั้นตน้ ได้ 2 อยา่ ง คือ โลหิตออกมากและการติดเชอื้ การปฐมพยาบาลบาดแผล ประการแรกข้ึนอยู่กบั วา่ โลหิตออก มากหรือไม่ ถา้ มากใหห้ า้ มโลหิตโดยเร็วทสี่ ดุ ทจ่ี ะทำได้ โดยใหก้ ระทำตามลำดับ ดงั น้ี 5.1 ใช้ผา้ ซับโลหติ หลายชน้ั ซอ้ นกันให้หนา หรือจะใช้ผ้าเชด็ หนา้ ทส่ี ะอาดและพับทบหลาย ช้ันวางทับตรงจุดท่โี ลหติ ออก แลว้ ใช้มือกดให้แนน่ 5.2 หลังจากน้ัน 15 นาที ค่อยปล่อยมือออก ถ้าโลหิตหยุดไหลให้ใช้ผ้าพันแผลพันทับผ้า ซบั โลหิตไว้ ถ้าโลหติ ยงั ไม่หยุดให้กดตอ่ ไปอกี 15 นาที แล้วตรวจดใู หม่ 5.3 ถา้ ทำได้ ให้ยกส่วนที่เป็นแผลให้สูงข้ึน 5.4 ถา้ การห้ามโลหติ ด้วยวธิ ีนี้ไม่ไดผ้ ล ใหใ้ ช้มือกดทเี่ ส้นโลหติ เหนอื ปากแผล หรอื ใชเ้ ครอ่ื ง หา้ มโลหิต 5.5 หลังจากห้ามโลหิตหยุดแล้ว กใ็ ห้รักษาอาการหมดสติ 6. การชว่ ยการหายใจ ทำการผายปอดผู้ป่วยท่ีถูกไฟฟ้าหมดสติ เป็นพิษเนื่องจากแก๊สคาร์บอนมอนอคไซด์ จมน้ำและอุบัติเหตุอ่ืนๆ ท่ีทำให้หยุดหายใจ เร่ิมผายปอดโดยทันที และกระทำไปจนกระทั่งผู้ป่วยเริ่ม หายใจหรือจนกวา่ หมอจะบอกว่าตาย มีบอ่ ยๆ ที่คดิ ว่าผปู้ ่วยตายแล้วแตก่ ลับเร่ิมหายใจอีกหลงั จากท่ีได้รับ การผายปอดติดต่อกัน 3 ช่ัวโมง วิธีการผายปอดที่ได้ผลมากที่สุดในปัจจุบัน คือ การผายปอดวิธียกแขน กดหลงั 6.1 วางผู้ป่วยในท่านอนใหค้ ว่ำหนา้ ลง (รปู ที่ 49) งอข้อศอกทงั้ สองให้มือทบั กัน พลกิ หนา้ ให้ตะแคงไปข้างหนึ่งให้แก้มแนบอยบู่ นมือท้ัง 2 6.2 สำหรับข้ันการกดปอด ให้คุกเข่าข้างขวาหรือซ้ายให้อยู่ข้างๆ ศีรษะ และให้ชิดแขน ท่อนล่างผู้ปว่ ย วางเทา้ ข้างที่ไม่ไดค้ ุกเขา่ อยู่ใกล้กบั ขอ้ ศอกของผปู้ ว่ ย เพอ่ื ใหส้ ะดวกข้นึ ใหค้ ุกเขา่ ลงด้วยเข่า ทั้งสองคร่อมศีรษะผู้ป่วย วางมือทั้ง 2 บนหลังส่วนแบนของผู้ป่วย ให้ส้นมือวางอยู่ประมาณใต้แนวรักแร้ ของผ้ปู ว่ ยเลก็ น้อย ให้ปลายหัวแม่มือทั้งสองเพยี งแตแ่ ตะกนั กางนิว้ ใหป้ ลายนิ้วชีล้ งและหันออกทางขา้ ง 6.3 โยกตัวไปข้างหน้า จนกระท่ังแขนเกือบจะต้ังตรง ใช้น้ำหนักตัวท่อนบนกดเรื่อยๆ ให้ สม่ำเสมอลงบนหลังของผู้ป่วย การทำเช่นนี้จะบังคับให้อากาศออกจากปอดของผู้ป่วย ยันข้อศอกให้ตรง ขณะกดลงบนหลังของผู้ป่วย 6.4 ผ่อนแรงกดให้หมด แล้วโยกตัวกลับช้าๆ เอามือไปจับแขนผู้ป่วยตรงเหนือข้อศอก เล็กนอ้ ย 6.5 เริ่มข้ันการขยายปอด โดยยกแขนของผู้ป่วยข้ึนและเข้าหาตัวเรา ยกจนกระท่ังรู้สึก วา่ ไหลข่ องผู้ป่วยตงึ (ขณะทีโ่ ยกตวั กลับอย่างอข้อศอก) แล้ววางแขนผู้ป่วยลงบนพ้นื ดินตามเดมิ

๔๔ 6.6 วิธีปฏิบัติตั้งแต่ ข้อ 6.1 ถึง ข้อ 6.5 ท่ีกล่าวแล้วจะเป็น 1 รอบของการผายปอด ให้ กระทำซ้ำ 12 คร้ังต่อ 1 นาที โดยสม่ำเสมอและด้วยความเร็วคงเดิม ขั้นการกดและขยายปอดน้ันควรจะ ใช้เวลาเทา่ ๆ กัน โดยให้มีชว่ งเวลาผอ่ นแต่นอ้ ยทีส่ ดุ 6.7 ถ้าผู้ป่วยได้สติก่อนหมอมาถึง ให้กระตุ้นหัวใจผู้ป่วยด้วยการให้ด่ืมกาแฟหรือชาร้อนๆ อย่าใหผ้ ู้ปว่ ยดื่มของเหลว ถา้ ยงั ไมไ่ ด้สติ 6.8 แก้อาการหมดสติของผปู้ ่วย รูปที่ 49 การผายปอด

๔๕ 7. การปฐมพยาบาลกระดูกหักธรรมดาและท่มี ีบาดแผล 7.1 กระดกู หักธรรมดา หมายถึง กระดูกหักออกจากกันแต่ไม่ทะลุออกมาพน้ ผวิ หนัง กรณี กระดูกหักธรรมดานั้น ถ้าทำไม่ถูกวธิ ีแลว้ อาจจะกลายเป็นกระดูกหักมบี าดแผลขนึ้ ก็ได้การปฐมพยาบาล กระดูกหักธรรมดา กระทำดังต่อไปนี้ 7.1.1 ปรึกษานายทหารเสนารักษ์ 7.1.2 อย่าเคลื่อนไหวผู้บาดเจ็บ จนกว่าจะได้เข้าเฝือกเพ่ือให้ปลายกระดูกท่ีหัก และ ขอ้ ตอ่ ขา้ งเคยี งอยูก่ ับทเ่ี สียก่อน 7.1.3 ป้องกันการหมดสตดิ ว้ ยการให้ผบู้ าดเจ็บนอนในท่าทสี่ บายและให้ความอบอุ่น 7.2 กระดกู หักมีบาดแผล กระดูกหักมีบาดแผลก็คงมีอาการของกระดกู หักธรรมดารว่ มอยู่ ด้วยนอกจากนั้นแล้ว กระดูกอาจโผล่ทะลุผิวหนังออกมา ตามธรรมดามักจะมีอาการสาหัสกว่ากระดูกหัก ธรรมดา เพราะวา่ อันตรายจากการติดเชื้อและการฉีกขาดของเนื้อเย่ือรอบๆ กระดูก การปฐมพยาบาลต่อ ผู้ทกี่ ระดกู หกั มบี าดแผลใหก้ ระทำดงั ตอ่ ไปน้ี 7.2.1 ปรึกษานายทหารเสนารกั ษ์ 7.2.2 ตรวจดูว่ามเี สน้ โลหติ แดงฉกี ขาดหรือไม่ โดยใช้มอื กดตรงจุดชีพจร และใชเ้ ครอื่ ง หา้ มโลหติ 7.2.3 ใชเ้ ครอื่ งตบแตง่ แผลท่ีฆา่ เชื้อแล้วปดิ แผลและพันให้อยู่กับท่ี 7.2.4 ใหก้ ารรกั ษาเชน่ เดยี วกบั กระดูกหกั ธรรมดาอยา่ พยายามจดั กระดูกใหเ้ ข้าท่ี

๔๖ บทที่ 7 การสรา้ งทางสายสนาม ตอนท่ี 1 คำนำ 1. กล่าวท่ัวไป การสร้างทางสายสนามจะต้องวางแผนลว่ งหน้าก่อนท่จี ะทำการสรา้ งจรงิ ๆ ในการวางแผน จะต้องคิดถึงสง่ิ ต่อไปนี้ 1.1 วัสดทุ ี่จะมีใช้ได้ 1.2 จำนวนและชนิดของวงจรที่ตอ้ งการ 1.3 ความยาวของทางสาย 1.4 เวลาท่จี ะมใี นการติดตั้ง 2. แบบของการสร้างทางสายสนาม เมื่อได้กำหนดความต้องการเกี่ยวกับวงจรแลว้ จะต้องคำนงึ ถึงแบบของการสร้างอีกด้วย ซึ่ง อาจจะเป็นการสรา้ งแบบเหนือศีรษะ บนพน้ื ดินหรือใต้ดนิ หรือหลายอยา่ งผสมกนั 2.1 การสร้างเหนือศีรษะ ตามธรรมดาทางสายเหนือศีรษะเป็นแบบท่ีดีท่ีสุด เพราะการ สร้างเหนือศีรษะบำรุงรักษาได้ง่ายท่ีสุด และเป็นวงจรท่ีมีคุณภาพดีกว่าการสร้างบนพ้ืนดิน แต่อย่างไร ก็ตามการสร้างเหนือศีรษะก็ยังมีข้อเสียอยู่บ้าง เพราะต้องใช้เวลาในการติดตั้งมากกว่า ล่อแหลมต่อ การกระทำของข้าศกึ และอาจเกิดความเสยี หายจากพายุ และสภาพลมฟา้ อากาศ 2.2 การสร้างบนพื้นดิน ทางสายท่ีวางไปบนพ้ืนดิน เสียเวลาและสิ้นเปลืองวัสดุ ในการ ติดต้ังน้อยที่สุด อย่างไรก็ตามการวางสายแบบนี้ ล่อแหลมต่ออันตรายจากหน่วยทหารเดินเท้า และ ยานพาหนะมากที่สุด การวางสายบนพ้ืนดิน ทำได้รวดเร็ว และไม่จำเป็นต้องติดตง้ั ให้ถูกต้องนักตามปกติ ตอ้ งการซ่อมบำรงุ โดยทนั ที และต่อเนื่อง การวางสายบนพน้ื ดินอย่างระมดั ระวัง จะทำให้วงจรน้ัน มีความ แนน่ อน ซึ่งเหมาะสำหรับการรบมากที่สุด 2.3 การสร้างใต้พื้นดิน การสร้างทางสายใต้ดินนั้น มักไม่ค่อยใช้ในพ้ืนที่ข้างหน้า แต่ อย่างไรก็ตามอาจมีความจำเป็นบางครั้งท่ีจะต้องฝังสาย เพ่ือป้องกันความเสียหายอันจะเกิดจาก หน่วย ทหาร ยานพาหนะ ไม่แตเ่ ท่าน้ัน การฝงั สายยังทำให้เกิดเสถียรภาพทางไฟฟ้าดีกว่าแบบเหนือศีรษะ หรือ บนพื้นดนิ และไม่ค่อยกระทบกระเทือนจากสภาพอากาศและอุณหภูมิ ท้ังมีผลกระทบกระเทือนต่อการ ระเบิดของอาวุธนิเคลียร์น้อย และเป็นแบบของการสร้างท่ีเหมาะเม่ือสถานการณ์อำนวยให้การฝังสาย มีข้อเสียดงั ต่อไปนี้ 2.3.1 เสยี เวลามากในการติดต้งั 2.3.2 บำรุงรกั ษาและเก็บสายยาก 2.3.3 สายมกั จะชำรุดในระหวา่ งเก็บและนำมาใช้อกี ไม่ได้

๔๗ 3. การเลอื กเส้นทางวางสาย เสน้ ทางในการวางสายน้นั เลือกโดยการอาศัยการศึกษาบนแผนท่ี แล้วเพิ่มเตมิ ด้วยการลาด ตะเวนทางพื้นดิน 3.1 แผนที่ภูมิประเทศและภาพถ่ายทางอากาศ สามารถนำมาใช้ในการเลือกเส้นทางที่ ต้องการวางสายหลายๆ ทาง นอกจากน้ันแล้วยังแสดงให้ทราบถึงเส้นทางที่ต้องหลีกเล่ียงเพราะต้องผ่าน ภมู ปิ ระเทศ ทีล่ ำบาก เช่น ป่า แม่น้ำ หนองบึง บ้านเมอื งทีส่ งู ชนั ตา่ งๆ และพน้ื ที่ที่เป็นโขดหิน 3.2 จากการสำรวจบนแผนทีน่ ้ันควรวางแผนไว้หลายๆ เสน้ ทางและการเลือกครงั้ สุดท้าย ควรกระทำหลังจากทีไ่ ด้ลาดตระเวนทางพนื้ ดินแลว้ ขณะลาดตระเวนทางพ้นื ดินควรจะดำเนนิ การดังนี้ 3.2.1 กำหนดแบบของการสร้างที่ต้องการ 3.2.2 เลอื กเส้นทางตามภมู ปิ ระเทศหรือถนนชนั้ สองถ้าทำได้ 3.2.3 เลือกเสน้ ทางทีใ่ ห้การซ่อนพรางและปกปิดกำบัง จากการตรวจการณ์และการยงิ ของขา้ ศึก ตอนที่ 2 เทคนิคในการวางสาย 1. กล่าวทวั่ ไป 1.1 ในระหว่างทำการลาดตระเวนเลือกเส้นทางวางสาย (บทที่ 7 ตอนท่ี 1 ข้อ 3) ใน เสน้ ทางทจ่ี ะใช้ได้ให้บนั ทกึ ส่ิงเหล่าน้ไี ว้ คือ 1.1.1 จำนวนแหง่ ทตี่ ้องวางข้ามเหนือศีรษะ 1.1.2 จำนวนแหง่ ทต่ี อ้ งวางลอดใต้ดนิ 1.1.3 จำนวนแหง่ ทีต่ อ้ งวางขา้ มทางรถไฟ 1.1.4 จำนวนแหง่ ทต่ี ้องวางข้ามลำธารแม่น้ำ 1.1.5 ลกั ษณะของภูมิประเทศ 1.1.6 แบบของการสร้างสายทเ่ี หมาะทีส่ ุดกับเคร่ืองมือวางสายที่มอี ยู่ 1.1.7 ระยะทาง 1.1.8 การซ่อนพรางสำหรบั ชุดสร้างสายสนามระหว่างทำการวางสายและซ่อมบำรุง 1.1.9 อุปสรรคในการซ่อมบำรุง เชน่ การยงิ ของอาวธุ เบา 1.2 ระเบียบปฏิบัติต่อไปคือ การเลือกและกำหนดจุดลงบนแผนท่ีให้ชัดเจน เพ่ือแสดงถึง เส้นทางที่แน่นอนท่ีจะใช้ในการวางสาย เลือกเส้นทางที่จะสนองความต้องการของสถานการณ์ทางยุทธวิธี และให้การสรา้ งตลอดจนการบำรงุ รกั ษาเสน้ ทางสายมีความลำบากนอ้ ยท่ีสดุ 1.3 ข้ันต่อไปให้ตรวจสอบและดูความเรียบร้อยของสายสนามเสียก่อนจะนำไปใช้งาน คือ ตรวจสอบทางไฟฟ้าว่าสายขาดและลัดวงจรหรือไม่ ตรวจด้วยสายตาว่าฉนวนชำรุดและรอยต่อเรียบร้อย หรอื ไม่

๔๘ 2. การสร้างทางสายบนพน้ื ดิน 2.1 โดยปกติแล้วขณะที่หน่วยเคล่ือนที่ไปในการรบทางสายสนามมักจะวางไปบนพ้ืนดิน ทางสายที่วางบนพ้ืนดินต้องป้องกันการชำรุดเสียหายจากการจราจรดว้ ยเท้าและยานพาหนะ โดยเฉพาะ อย่างยิง่ ทางสายท่วี างข้ามเส้นทางจราจร ณ ทบี่ ังคบั การ ถนน และขา้ มทางรถไฟ ฯลฯ 2.1.1 วางสายบนพ้ืนดินอย่าให้ตึง ให้มีส่วนหย่อนตามความจำเป็นตลอดทางสายนั้น การทิ้งส่วนหย่อนไว้ให้พอเพียงจะช่วยให้ทางสายวางอยู่บนพื้นดิน และทำให้ง่ายต่อการซ่อมบำรุงและ การเปล่ยี นแปลงการสร้างทางสายใหม่ 2.1.2 ผูกทางสายบนพื้นดินกับต้นไม้ เสา หรือหลัก ท่ีระดับพื้นดิน ณ ตำบลที่เหมาะ ระหวา่ งทางการปฏิบัตเิ ชน่ น้จี ะลดโอกาสที่ทางสายจะชำรุดจากหนว่ ยเดินเทา้ และยานพาหนะท่ีผา่ นไปมา 2.1.3 เมอื่ ทางสายบนพืน้ ดนิ วางไปตามถนน ใหว้ างสายออกไปใหพ้ ้นช่องทางจราจร 2.1.4 ในกรณีฉุกเฉิน มักต้องวางสายบนพ้ืนดินอย่างรีบร้อนอยู่บ่อยๆ อย่างไรก็ตาม การวางสายจะยังไม่สำเรจ็ จนกวา่ จะได้ตรวจแต่ละวงจรเรยี บร้อยแล้ว 2.1.5 ในขณะวางสายใหร้ ะวงั ทุ่นระเบดิ และกับระเบิดอยู่เสมอ รปู ท่ี 50 การผูกทางสายบนพ้นื ดินกับตน้ ไมห้ รอื เสา 2.2 ผูกทางสายเข้ากับส่ิงใดส่ิงหนึ่งท่ีอยู่กับที่ ณ จุดเร่ิมต้นของทางสายและท่ีจุดปลายทาง ของทางสาย ณ จดุ ทงั้ 2 น้ี ปล่อยสายหย่อนไว้ให้เพยี งพอ เป็นสายเขา้ เครอื่ งเพอ่ื ต่อไปยังเครื่องสลับสาย ณ ทบี่ งั คับการหรือเข้าไปยังแผงหมดุ หลายสายของศนู ย์สร้างสาย 2.3 ตรวจสอบทางสายก่อนและหลังจากเอาสายล้อใหม่มาต่อเข้ากับทางสายเดิม ทำการ ตรวจสอบการปฏิบัตหิ ลังจากได้ต่อทางสายเข้ากบั เครื่องมือปลายทางแล้ว 2.4 ผูกปา้ ยสายทง้ั หมดตามทก่ี ลา่ วไว้แล้ว