บทท่ี 3 : คะแนนและการนาไปใช้ 1.5 การให้คะแนนจะกาหนดเป็นสัญลักษณ์ ซึ่งนิยมใช้สัญลักษณ์เป็นตัวอักษร หรอื อาจใช้ตวั เลขก็ได้ (นงลกั ษณ์ วริ ัชชยั , 2546:302) รปู แบบทใ่ี ชใ้ นวงการศกึ ษาไทยมหี ลายแบบ ดงั นี้ 1. 5.1 แบบ 2 ระดบั มี 2 แบบ คอื (1) กาหนด P กับ F P (pass) หมายถงึ ผลการเรยี นผ่านเกณฑ์ทก่ี าหนด F (Fail) หมายถงึ ผลการเรยี นไม่ผา่ นเกณฑท์ กี่ าหนด ระดบั P อาจแยกพิเศษอกี ระดับเปน็ G (Good) หมายถงึ ผา่ นดีมาก (2) กาหนด S กับ U S (Satisfactory) หมายถงึ ผลการเรยี นเป็นท่ีน่าพอใจ U (Unsatisfactory) หมายถึง ผลการเรยี นไมเ่ ป็นทนี่ ่าพอใจ ระดบั S อาจแยกพิเศษอกี ระดับเปน็ H (Honor) หมายถงึ ผลการเรียนดี เยยี่ ม 1.5.2 แบบ 5 ระดับ คือ A หรือ 4 หมายถึงผลการเรียน ดีมาก B หรือ 3 หมายถึงผลการเรียน ดี C หรอื 2 หมายถงึ ผลการเรียน ปานกลาง D หรือ 1 หมายถงึ ผลการเรยี น อ่อน (ผ่านเกณฑข์ น้ั ตา่ ) E หรอื 0 หมายถงึ ผลการเรยี น อ่อนมาก (ไม่ผ่านเกณฑ์ข้ัน ตา่ ) การวัดและประเมินผลการศกึ ษา (Educational Evaluation and Measurement) 41
บทที่ 3 : คะแนนและการนาไปใช้ 1.5.3 แบบ 8 ระดบั คอื A หมายถึงผลการเรยี น ดีเยยี่ ม B+ หมายถึงผลการเรยี น ดมี าก B หมายถงึ ผลการเรยี น ดี C+ หมายถงึ ผลการเรยี น ดีพอใช้ C หมายถึงผลการเรยี น พอใช้ D+ หมายถงึ ผลการเรียน อ่อน D หมายถึงผลการเรยี น อ่อนมาก E หรือ F หมายถึงผลการเรียน ตก (ไมผ่ ่านเกณฑ์ข้ันตา่ ) 1.6 ระบบการให้ระดับคะแนน อาจแบ่งเป็น 2 ระบบ (บุญธรรม กิจปรีดาบริสุทธ์ิ, 2535:193) คือ ระบบสมบูรณ์ (Absolute System) กับระบบสัมพทั ธ์ (Relative System) 1.6.1 ระบบสมบูรณ์ คือ การให้ระดับคะแนน แบบท่ีใช้เกณฑ์สมบูรณ์ หรือเกณฑ์ มาตรฐาน (Absolute Standard) ซึ่งผู้สอนจะเป็นผู้กาหนดขึ้น โดยนาคะแนนดิบ หรือ คะแนนรอ้ ยละ (เปอรเ์ ซ็นต์) มาเทยี บกับเกณฑ์ท่ียึดถือ เพ่ือตดั สินระดบั คะแนน ซ่ึงอาจจะกล่าว ไดว้ า่ เปน็ การกาหนดระดับคะแนนในรูปแบบองิ เกณฑ์ 1.6.2 ระบบสัมพันธ์ คือ การให้ระดับคะแนน แบบท่ีนาคะแนนของผู้เรียนมา เปรียบเทียบกันเองภายในกลุ่ม โดยครูผู้สอนเป็นผู้ตัดสินใจว่าจะให้ระดับคะแนนก่ีระดับ ซึ่ง อาจจะกลา่ วได้ว่าเปน็ การกาหนดระดับคะแนนในรปู แบบองิ กลุ่ม 4.การรายงานผลการสอบ การรายงานผลการสอบ เป็นการสรุปผลการเรียนการสอนว่าผู้เรียนแต่ละคนมีความรู้ ความสามารถเพียงใด รายงานท่ดี ีจะต้องสามารถสื่อความหมายของข้อมูลได้ถูกต้องและสามารถ นาผลไปใช้ประโยชนใ์ นดา้ นตา่ ง ๆ ได้ วิธีการรายงานผลการสอบมีหลายวธิ ี (เพลินพิศ ธรรมรตั น์, 2542 :217-218) ดังน้ี การวัดและประเมินผลการศกึ ษา (Educational Evaluation and Measurement) 42
บทที่ 3 : คะแนนและการนาไปใช้ 1. รายงานในรูปของการบรรยาย เป็นการรายงานโดยบอกให้รู้ว่าผู้สอบมีความรู้ตาม เน้อื หาทีส่ อบมากน้อยเพยี งใด เปน็ การรายงานเพื่อการวินิจฉยั ผู้เรยี น ว่ามีเนือ้ หาอะไรยังบกพร่อง อยู่ มีประโยชนใ์ นการปรบั ปรุงการเรียนการสอน เชน่ ศิริสุภามีความรู้ในการบวก ลบ เลข 2 หลัก แตก่ ารคูณ หารยังไมค่ ล่อง สุวารยี พ์ ิมพด์ ีดภาษาไทยไดเ้ ร็ว 40 คาต่อนาที 2. รายงานโดยบอกอันดับในกลุ่ม การรายงานผลวิธีนี้สอดคล้องกับแนวความคิดในการ ใช้ผลการสอบเพื่อจัดตาแหน่ง โดยบอกให้ทราบว่าผู้สอบมีความสามารถสูงหรือต่ากว่าผู้เข้าสอบ คนอื่น ๆ ในกลุ่มน้ันเช่นไร ไมม่ ปี ระโยชน์ในการปรับปรุงการเรยี นการสอนโดยตรง แตอ่ าจมีผลในทางอ้อม ทาใหผ้ ูเ้ รยี นทราบวา่ ขณะนี้ความสามารถระดับใดของกลุม่ เพ่ือการพฒั นา ตนเอง 3. รายงานโดยบอกระดับพัฒนาการ เป็นการรายงานด้วยคะแนนมาตรฐานจากการใช้ แบบทดสอบมาตรฐานซึ่งมีเกณฑ์ปกติ (Norm) อยู่แล้ว โดยเกณฑ์ปกติที่นามาเปรียบเทียบคือ ค่าเฉลี่ยของการทางานน้ัน ๆ ของคนในระดับต่าง ๆ กันตามอายุ ระดับช้ัน หรือประสบการณ์ใน การทางาน การรายงานผลโดยวิธีช่วยให้การแปลความหมายของคะแนนชัดเจน ย่ิงกว่าการ รายงานผล ทั้ง 2 แบบทีก่ ล่าวมาแล้ว เชน่ นพวรรณพิมพ์ดีดภาษาไทยได้ 40 คาต่อนาที หากรายงานเพิ่มเติมว่า นพวรรณมีความสามารถในการพิมพ์ได้เร็วเท่ากับเจ้าหนา้ ท่ีพิมพ์ดีดในสานักงาน มาแล้ว 5 ปี กจ็ ะทาให้เห็นภาพพจน์ความสามารถของนพวรรณได้ชดั เจนย่ิงข้ึน 4. รายงานโดยบอกอัตราความเจริญงอกงาม หรือเป็นรายงานผลการสอบโดย เปรียบเทียบกับผลท่ีผ่านมาของผู้เรียนเอง ทาให้ทราบว่าผู้สอบเรียนดีข้ึนหรือเลวลง การ การวดั และประเมนิ ผลการศึกษา (Educational Evaluation and Measurement) 43
บทท่ี 3 : คะแนนและการนาไปใช้ เปรียบเทียบคะแนนน้ีจะทาได้ก็ต่อเม่ือใช้แบบทดสอบฉบับเดียวกัน หรือแบบทดสอบคู่ขนาน ไม่ ควรเปรยี บเทียบโดยใช้แบบทดสอบคนละฉบับเพราะความยากง่ายไมเ่ ท่ากัน 5. รายงานผลโดยวิธีใช้เส้นภาพ (Profile) การรายงานผลการปฏิบัติงานโดย เปรียบเทียบหลายเนื้อหา หลายวิชา หรืองานหลาย ๆ ด้าน จะเปรียบเทียบกันได้ก็ต่อเม่ือแปลง คะแนน เหลา่ นน้ั ให้อยใู่ นลกั ษณะคะแนนชนิดเดยี วกนั ส่วนใหญ่นยิ มแปลงเป็นคะแนน เปอรเ์ ซ็นต์ ไทล์หรือคะแนนมาตรฐานแบบต่าง ๆ แล้วนาคะแนนเหล่านั้นมาทาเป็นเส้นภาพเพ่ือพิจารณา ตดั สินหรือประเมนิ หรอื พยากรณ์ต่อไป ดังตวั อย่าง คณิตศาสตร์ ภาษาไทย วิทยาศาสตร์ สุขศึกษา สงั คมศกึ ษา 80 70 60 50 40 30 แผนภาพ 7.1 เสน้ ภาพแสดงคะแนนสอบของเด็กหญงิ สวุ ารยี ์ รักเรยี น ชั้นป. 4 จากแผนภาพ 7.1 แสดงวา่ เดก็ หญงิ สวุ ารยี ์ รกั เรียน มีระดับความสามารถเหนอื เกณฑ์ มาตรฐาน 3 วิชา คือ คณิตศาสตร์ ภาษาไทย และ สุขศึกษาวิชาท่ีมีระดับความสามารถต่ากว่า เกณฑม์ าตรฐาน คือวชิ า วทิ ยาศาสตร์ และสงั คมศกึ ษา ทีม่ า (กฤธยากาญน์ โตพทิ กั ษ์, 2561 :280) การวดั และประเมินผลการศกึ ษา (Educational Evaluation and Measurement) 44
บทที่ 3 : คะแนนและการนาไปใช้ 5.ขอ้ ควรคานึงการใหร้ ะดบั คะแนน การใหร้ ะดับคะแนนการให้ระดับคะแนนท่ียุตธิ รรมชัดเจนและมีความเปน็ มาตรฐานมี ข้อควรคานงึ (พิชติ ฤทธิ์จรญู , 2551 :222) ดงั น้ี 1. ต้องแจ้งให้ผู้เรียนทราบลว่ งหน้าถึงกระบวนการใหร้ ะดบั คะแนนต้ังแต่เรมิ่ เรียนว่าการ ให้ระดับคะแนนจะรวมถึงงานอะไรบ้างแต่ละงานมีน้าหนักของคะแนนเท่าไรแต่ละระดับมีช่วง คะแนนเทา่ ใดหรอื มีวิธีการให้ระดับคะแนนอยา่ งไร 2. หลักการพืน้ ฐานของระดับคะแนนควรตั้งอยบู่ นผลสัมฤทธขิ์ องการเรยี นของผู้เรียนอัน เน่อื งมาจากกระบวนการเรยี นรู้เพียงอย่างเดยี วเท่าน้นั ไม่มีองค์ประกอบอน่ื เข้ามาแทรกซ้อน 3. การให้ระดับคะแนนควรจะอยู่บนพื้นฐานของการประเมินที่หลากหลายและ กระบวนการวดั ท่ีเช่ือถอื ได้ 4. การรวมคะแนนเพือ่ กาหนดระดบั คะแนนในกรณีคะแนนมีหลายชุดควรใชเ้ ทคนิค การ กาหนดน้าหนกั คะแนน 5. ควรเลือกระบบการให้ระดับคะแนนใหเ้ หมาะสมกับลักษณะการจดั การเรียนการสอน กรณีเป็นการเรียน เพื่อรอบรู้ควรเลือกใช้ระบบสมบูรณ์คือเปรียบเทียบกับเกณฑ์สมบูรณ์ที่เป็น มาตรฐานการจัดการเรียนการสอนตามปกติในห้องเรียนท่ีตัดสินได้ -ตกควรใช้เกณฑ์สมบูรณ์ นอกจากน้ันเป็นเกณฑ์เชงิ สัมพัทธ์กบั คนในกลุ่ม 6. ในกรณีเกิดความสงสัยเก่ียวกับความยุติธรรมในการให้ระดับคะแนนควรทบทวน จดุ ตัดของแต่ละระดับคะแนนและทบทวนตรวจสอบหลกั ฐานท่ีเก่ียวกับผลสัมฤทธท์ิ งั้ หมด การวดั และประเมนิ ผลการศกึ ษา (Educational Evaluation and Measurement) 45
บทท่ี 3 : คะแนนและการนาไปใช้ 7. ผู้ให้ระดับคะแนนต้องใช้คุณธรรมในการพิจารณาเหตุผลและความเหมาะสมอ่ืน ๆ ประกอบการตดั สินใจองคป์ ระกอบทจ่ี ะชว่ ยในการตัดสนิ ใจเช่นผลการสอบของผู้เรยี นโดยส่วนรวม คะแนนสูงสุดและต่าสุดของกลุ่มลักษณะการกระจายของคะแนนเป็นต้นถ้าคะแนนในกลุ่มมีการ กระจายมาก (พสิ ัยมีคา่ สงู ) กค็ วรให้ระดบั คะแนนหลายระดบั 2 คะแนนในกลมุ่ มกี ารกระจายน้อย (พสิ ยั มีค่าต่า) แสดงว่าคะแนนเกาะกมุ่ กันก็อาจมีจานวนระดับคะแนนน้อยลง 8. ในกรณกี ารใหร้ ะดับคะแนนไม่ถงึ 5 ระดับส่งิ ทจ่ี ะต้องพิจารณาคือระดับคะแนนสงสด หรือต่าสุดควรเป็นระดับอะไรผู้ให้ระดับคะแนนอาจต้องพิจารณาคะแนนสูงสุดและคะแนนต่าสุด ของนกั เรยี นกลมุ่ นน้ั ถ้าคะแนนสูงเป็นที่น่าพอใจก็อาจให้ระดับ A แล้วลดหลนั่ ไปตามลาดับหรือถ้า คะแนนต่าสดุ มคี ่าตา่ มากก็อาจจะพจิ ารณาถึงระดบั E ถา้ ไม่ต่ามากก็ให้ระดบั D หรอื C ตามความ เหมาะสม 9. ครูผู้สอนควรเป็นผู้ให้ระดับคะแนนเองเพราะรู้จักผู้เรียนได้ดีว่ามีความสามารถระดับ ใดการให้ระดับคะแนนจึงจะมีความเทีย่ งตรงและยุตธิ รรม การวดั และประเมินผลการศกึ ษา (Educational Evaluation and Measurement) 46
บทท่ี 3 : คะแนนและการนาไปใช้ 6.การนาผลการสอบไปใช้ การทดสอบจะเกิดคุณประโยชน์อย่างมากต่อการเรียนการสอน ถ้าหากว่าหลังจากการ ดาเนินการสอบและตรวจให้คะแนนแล้ว ได้มีการนาผลการสอบไปใช้ให้คุ้มค่า ซึ่งพิจารณาได้จาก แผนผงั การคดิ (mind mapping) ดงั น้ี วินิจฉยั พฒั นาการ สอน ปรับปรุ ผ้เู รียน งการ ครู ตดั สิน ผลการ การนาผลการ ร่วมมือ ทดสอบไปใช้ พฒั นา ผ้บู ริหาร ผ้ปู กคร ผ้เู รียน อง ข้อมลู การ รายงานผลการ สนเทศ เรียน ภาพที่6.1 แผนผังสคาวหามรคับดิ กขาอรงการนาผลการทดสอบไปใช้ ทีม่ า (พิชติ ฤทธิ์จรูญ, 2551 :237) การวัดและประเมนิ ผลการศกึ ษา (Educational Evaluation and Measurement) 47
บทท่ี 3 : คะแนนและการนาไปใช้ จากแผนผงั ความคิดดังกลา่ วจะเหน็ ว่าผลการทดสอบสามารถนาไปใชใ้ หเ้ กดิ ประโยชน์ต่อ ผเู้ รยี นครผู ปู้ กครองและผูบ้ ริหารได้ดงั นี้ 6.1 การใช้ผลการทดสอบพัฒนาผูเ้ รียน ครูผสู้ อนสามารถนาผลการทดสอบไปใช้พัฒนา ผู้เรยี นได้ใน 3 ลักษณะดงั น้ี 6. 1. 1 การวินิจฉัยผู้เรียน (diagnosis) เป็นการใช้ผลการทดสอบหรือการประเมินผล ก่อนการเรียนการสอนเพื่อตรวจสอบความรู้พ้ืนฐานของผู้เรียนว่ายังมีข้อบกพร่องในเร่ืองใด ครผู ู้สอนจะได้จดั การสอนซอ่ มเสรมิ ความรู้พ้นื ฐานให้มีความพร้อมท่จี ะเรยี นรตู้ ่อไป 6. 1. 2 การปรับปรุงการเรียนรู้เป็นการใช้ผลการทดสอบหรือการประเมินผลระหว่าง เรียน (formative evaluation) เพื่อตรวจสอบว่าผู้เรียนมีความรู้ความสามารถตามจุดประสงค์ การเรียนรู้หรือไม่หากพบว่าผู้เรียนยังไม่ผ่านจุดประสงค์การเรียนรู้หรือยังมีข้อบกพร่องในเรื่องใด ครูผู้สอนก็จะได้ปรับปรุงแก้ไขโดยการจัดสอนซ่อมเสริมให้ผู้เรียนมีความรู้ความสามารถตาม จดุ ประสงค์การเรียนรูท้ ่กี าหนดไว้ 6. 1. 3 การตัดสินผลการเรียนเป็นการใช้ผลการทดสอบหรือการประเมินผลรวม (summative evaluation) หลังจากส้ินสุดการเรียนการสอนของแต่ละรายวิชาเพ่ือตรวจสอบว่า ผู้เรียนมีความรู้ความสามารถในรายวิชานั้นเพียงใดแล้วพิจารณาตัดสินผลการเรียนตามเกณฑ์ที่ กาหนดวา่ ผู้เรียนแตล่ ะคนควรจะได้ระดบั ผลการเรยี นใด 6.2 การใช้ผลการทดสอบปรบั ปรุงและพัฒนาการจัดการเรียนการสอนของครู เม่อื ครู จัดการเรียนการสอนแต่ละรายวิชาและได้มีการทดสอบแล้วผลการทดสอบก็คือตัวชี้ท่ีแสดงถึงผล การเรียนของผู้เรียนซ่ึงเป็นผลอันเนื่องมาจากการสอนของครูน่ันเองถ้าผลการเรียนหรือผลการ ทดสอบอยู่ในเกณฑ์ดีก็อาจกล่าวได้ว่าเป็นเพราะครูใช้เทคนิควิธีการสอนท่ีดีมีประสิทธิภาพแต่ถ้า ผลการเรียนหรือผลการทดสอบอยู่ในเกณฑ์ไม่ดีก็อาจกล่าวได้ว่าเป็นเพราะครูใช้เทคนิควิธีการ สอนทไ่ี ม่เหมาะสมดังน้ันผลการทดสอบจะเป็นข้อมูลย้อนกลับ feedback) ใหค้ รพู ิจารณาทบทวน ปรับปรงุ และพฒั นาการจดั การเรียนการสอนใหม้ ีประสิทธภิ าพย่งิ ขนึ้ ดงั น้ี การวัดและประเมนิ ผลการศึกษา (Educational Evaluation and Measurement) 48
บทที่ 3 : คะแนนและการนาไปใช้ การจดั การเรียนการ ปรับปรุงและพฒั นา ผลการทดสอบ สอนของครู การทดสอบ ผลการสอน ผลการเรียนรู้ ภาพที่6.2 การใช้ผลการทดสอบปรับปรุงและพฒั นาการเรียนการสอนของครู ที่มา (พชิ ิต ฤทธจิ์ รญู , 2551 :239) 6.3 การใช้ผลการทดสอบรายงานผู้ปกครอง การรายงานผลการเรียนให้ผู้ปกครอง ทราบเป็นการแสดงถึงความรับผิดชอบ (accountability) ต่อการจัดการศึกษาของโรงเรียนหรือ การจัดการเรยี นการสอนของครูว่าได้จัดการศึกษาเพื่อพัฒนาผู้เรียนได้ผลเป็นอย่างไรและจะทาให้ ผู้ปกครองได้ร่วมมือในการปรับปรุงแก้ไขหรือพัฒนาผู้เรียนด้วยโดยทั่วไปโรงเรียนจะรายงานผล การเรียนให้ผู้ปกครองทราบเป็นระยะๆโดยใช้สมุดรายงานประจาตัวผู้เรียนเพ่ือให้ผู้ปกครองได้ ทราบถึงผลการประเมินการผ่านจุดประสงค์การเรียนรู้และผลการสอบปลายภาคหรือปลายปีดัง ตวั อยา่ งเชน่ แบบรายงานผลการสอบ การวดั และประเมนิ ผลการศกึ ษา (Educational Evaluation and Measurement) 49
บทท่ี 3 : คะแนนและการนาไปใช้ 6.4 การใช้ผลการทดสอบเป็นข้อมูลสารสนเทศสาหรับผู้บริหาร ผู้บริหารโรงเรียน จาเป็นต้องมีข้อมูลสารสนเทศ (information) สาหรับประกอบการตัดสินใจในการบริหารงานจึง จะทาให้การบริหารงานมีประสิทธิภาพและประสิทธิผลผลการทดสอบของแต่ละรายวิชาหรือโดย ภาพรวมทั้งโรงเรียนถือว่าเป็นข้อมูลสารสนเทศท่ีสาคัญเก่ียวกับการเรียนการสอนท่ีผู้บริหาร สามารถจะนามาเป็นข้อมูลประกอบการตัดสินใจในการปรับปรุงและพัฒนาคุณภาพการเรียนการ สอนของแต่ละรายวิชาหรือปรับปรุงและพัฒนาคุณภาพการศึกษาของโรงเรียนซึ่งอาจจะมีการ จดั ทาแผนหรือโครงการพัฒนาการเรียนการสอนของรายวิชาต่าง ๆ ทป่ี รากฏผลวา่ ผลการทดสอบ หรือผลการเรียนรขู้ องผูเ้ รียนไมไ่ ด้มาตรฐานตามทีก่ าหนดไว้ การวัดและประเมินผลการศึกษา (Educational Evaluation and Measurement) 50
บทที่ 3 : คะแนนและการนาไปใช้ 7.สรุป คะแนนหมายถึง ตวั เลขทบี่ อกปรมิ าณความสามารถในการเรียนรู้ของผูเ้ รยี นทไ่ี ดจ้ ากการ ทดสอบทสี่ ามารถนาไปสู่การกาหนดระดับความสามารถของผูเ้ รยี นคะแนนแบง่ ไดเ้ ป็น 2 ประเภท คือคะแนนดิบและคะแนนปรับเปล่ียนโดยท่ัวไปคะแนนดิบจะไม่มีความหมายเพียงพอที่จะบอก สภาพการเรียนรู้ของผู้เรียนได้ดีเหมือนคะแนนปรับเปล่ียนคะแนนมาตรฐานก็เป็นคะแนน ปรับเปลี่ยนชนิดหน่ึงที่แปลงรูปมาจากคะแนนดิบเพื่อให้มีความหมายชัดเจนย่ิงขึ้นซ่ึงโดยทั่วไป การแปลงคะแนนดิบให้เป็นคะแนนมาตรฐานมีวิธีคือการแปลงในรูปเส้นตรง ( Linear Transformation) ได้แก่ คะแนนมาตรฐานซี Z Score คะแนนมาตรฐานท่ี (T-Score) และการ แปลงโดยยึดพื้นท่ี (Area Transformation) ได้แก่ Normalized T-Score หรือ T ปกติคะแนน มาตรฐานท่ีได้จะไปใช้ในการแปความความหมายของคะแนนให้ระดับคะแนนรายงานผลการสอบ และการนาผลประเมนิ ไปใช้ การให้ระดับคะแนนหรือการตัดเกรดเป็นการสรุปผลการเรียนขั้นสุดท้ายซึ่งการตัดเกรด น้ันผปู้ ระเมนิ ผลจะต้องใช้ดุลพินิจอย่างรอบคอบดว้ ยความถูกต้องยตุ ธิ รรมและคุณธรรมขจดั ความ ลาเอยี งหรืออคตสิ ว่ นตวั การตัดเกรดนน้ั แบ่งออกเปน็ 2 ระบบใหญค่ อื การตัดเกรดในระบบอิงกลุ่ม และการตดั เกรดในระบบอิงเกณฑเ์ ม่ือทราบว่าผ้เู รียนมีความรู้ความสามารถระดับใดครผู ู้สอนก็จะ รายงานผลให้กับผู้เรียนและผู้ปกครองรับทราบเพื่อนาไปสู่การพัฒนาผู้เรียนแต่ผลการวัดและ ประเมินจะมีคุณประโยชน์อย่างมากถ้าครูผู้สอนและผู้บริหารนาผลการประเมินไปใช้ในการ ปรับปรุงและพัฒนาการเรียนรู้ของผู้เรียนการจัดการเรียนการสอนของครูผู้สอนการวิจัยทาง การศึกษาตลอดจนการประเมนิ มาตรฐานและการประกันคุณภาพการศึกษา (ทพิ ย์เกสร กาปนาท , 2558 : 300) การวัดและประเมินผลการศกึ ษา (Educational Evaluation and Measurement) 51
บทท่ี 4 : การสรา้ งแบบทดสอบวัดผลสมั ฤทธทิ์ างการเรียน บทท่ี 4 การสรา้ งแบบทดสอบวดั ผลสมั ฤทธ์ิทางการเรียน การทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ ถือว่าเป็นเคร่ืองมือสาคัญสาหรับครูที่จะใช้ในการตรวจสอบ พฤติกรรมหรือผลการเรียนรู้ของผู้เรียน การวัดผลสัมฤทธ์ิมีหลายวิธีจึงขอนาเสนอเนื้อหาของ คุณภาพตามจุดประสงค์การเรียนรู้หรือตามมาตรฐานในด้าน ความหมายของแบบทดสอบวัดผล สมั ฤทธ์ิ การเขียนคาถามวดั ผลสัมฤทธทิ์ างการเรียน รูปแบบข้อคาถามวัดผลสมั ฤทธ์ิทางการเรียน เพ่ือการทจี่ ะทาใหไ้ ดผ้ ลการทดสอบมคี วามถูกต้อง เทีย่ งตรงเชอ่ื ถอื ไดน้ ้นั ต้องใชแ้ บบทดสอบวัดผม สัมฤทธิ์ที่มีคุณภาพซึ่งได้ผ่านการสร้างอย่างถูกต้องตามหลักวิชา การได้ศึกษาเรียนรู้เกี่ยวกับ หลักการและวิธกี ารสร้างแบบทดสอบวดั ผลสมั ฤทธ์ิ จึงเป็นประโยชน์ต่อผูศ้ ึกษา หรือครูอย่างยิง่ ดังน้ี 1.ความหมายของแบบทดสอบวดั ผลสัมฤทธิ์ คาว่าแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ิ (achievement test) นักวัดผลและนักการศึกษามีการ เรียกชื่อแตกต่างกันไปเป็นแบบทดสอบความสัมฤทธ์ิแบบทดสอบผลสัมฤทธิ์หรือแบบสอบ ผลสัมฤทธ์ิและไดใ้ หค้ วามหมายไว้ในแนวทางเดียวกันดงั นี้ ชวาลแพรัตกุล (2518: 112) ให้ความหมายว่าแบบทดสอบความสัมฤทธิ์หมายถึง แบบทดสอบที่วัดความรู้ทักษะและสมรรถภาพสมองด้านต่าง ๆ ท่ีเด็กได้รับจากประสบการณ์ทั้ง ปวงท้ังจากโรงเรียนและทางบ้านยกเว้นการวัดทางร่างกายความถนัดและทางบุคคลกับสังคม สาหรับในโรงเรียนแล้วแบบทดสอบประเภทผลสัมฤทธิ์มุ่งท่ีจะวัดความสาเร็จในวิชาการเป็นส่วน ใหญ่ วิเชียรเกตุสิงห์ (251. 7: 23) ให้ความหมายว่าแบบทดสอบผลสัมฤทธิ์หมายถึง แบบทดสอบท่ีวัดความรู้ทักษะและสมรรถภาพด้านต่าง ๆ ท่ีเด็กได้รับการเรียนรู้มาในอดีตยกเว้น การวัดทางด้านร่างกายข้อสอบประเภทน้สี ่วนใหญ่จะใชว้ ัดความสมั ฤทธ์ิผลทางด้านวิชาการ การวดั และประเมินผลการศึกษา (Educational Evaluation and Measurement) 53
บทท่ี 4 : การสร้างแบบทดสอบวัดผลสมั ฤทธ์ทิ างการเรียน อเนกเพียรอนุกุลบุตร (2524: 151) ให้ความหมายว่าแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ิหมายถึง แบบทดสอบท่ีมุ่งวัดความรู้ทักษะสมรรถภาพด้านต่างๆท่ีได้รบั จากประสบการณ์ทงั้ ปวงและมุ่งวดั ทางด้านวิชาการเป็นสาคัญ เยาวดีวิบูลย์ศรี (2540: 28) ได้สรุปให้แนวคิดไว้ว่าแบบทดสอบผลสัมฤทธิ์เป็น แบบทดสอบวัดความรู้เชิงวิชาการมักใช้วัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเน้นการ วัดความรู้ ความสามารถจากการเรียนรู้ในอดตี หรอื ในสภาพปัจจบุ ันของแต่ละบุคคล รอสส์และสแตนลีย์ (Ross and Stanley 1967 อ้างถึงในเยาวดีวิบูลย์ศรี 2540: 28) ให้ ความหมายว่าแบบทดสอบผลสัมฤทธิ์หมายถึงแบบทดสอบท่ีใช้วัดความสามารถทางวิชาการเช่น แบบสอบวิชาเลขคณติ แบบสอบวชิ าพีชคณิตเป็นตน้ กรอนลันต์ (Gronlund 1993: 1) ให้แนวคิดว่าแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ิเป็น กระบวนการเชิงระบบเพ่ือการวัดพฤติกรรมหรือผลการเรียนรูท้ ี่คาดว่าจะเกิดข้ึนจากกิจกรรมการ เรียนรู้โดยมีหนา้ ทหี่ ลกั สาหรับการปรับปรงุ และพัฒนาการเรยี นรู้ของผู้เรียน กล่าวโดยสรุป แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ิเป็นแบบทดสอบที่ใช้วัดความรู้ทักษะและ ความสามารถทางวิชาการที่ผู้เรียนได้เรียนรู้มาแล้วว่าบรรลุผลสาเร็จตามจุดประสงค์ท่ีกาหนดไว้ เพยี งใด 2.การเขยี นคาถามวัดผลสมั ฤทธ์ิทางการเรียน การเขียนคาถามวัดผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนนั้นนอกจากจะเขียนโดยยึดกับตัวช้ี วัดหรือ จุดประสงค์การเรียนรู้แล้วจาเป็นต้องเขียนให้สอดคล้องกับระดับพฤติกรรม ซ่ึงตามแนวคิดขอ งบลูมและคณะได้จาแนกพฤติกรรมทางสมองหรือพุทธิพิสัยไว้ 6 ระดับด้วยกัน ได้แก่ ความรู้ ความจา ความเข้าใจ การนาไปใช้ การวิเคราะห์ การสังเคราะห์ และการประเมินค่า ดังนั้น การเขียนคาถามวัดผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนท่ีดีจึงจาเป็นต้องเข้าใจบทบาทและความสาคัญของ คาถาม ตลอดจนเข้าใจแนวทางในการเขียนข้อคาถามวัดพฤติกรรมทางสมองระดับต่าง ๆ (กฤธ ยากาญจน์ โตพทิ ักษ์, 2561 :131) การวัดและประเมินผลการศึกษา (Educational Evaluation and Measurement) 54
บทท่ี 4 : การสร้างแบบทดสอบวดั ผลสมั ฤทธท์ิ างการเรยี น บทบาทและความสาคญั ของคาถามในการวดั พฤตกิ รรมทางสมอง คาถามมีบทบาทสาคัญในการวัดผลการศึกษา ไม่ว่าจะเป็นการตรวจสอบความรู้ความ เข้าใจของนักเรียนในหอ้ งเรียน หรือเป็นส่ิงเร้าที่เป็นส่วนประกอบสาคัญในแบบทดสอบ จึงกล่าว ได้ว่าคาถามเป็นเคร่ืองมือสาคัญสาหรับครทู ุกคน เพราะครจู าเปน็ ต้องใช้คาถามเพ่ือการสอนเกือบ ตลอดเวลา การตั้งคาถามเป็นทั้งเทคนิคและศิลปะ ซึ่งอาจจะเกิดจากความถนัดพิเศษทางการใช้ ภาษา หรืออาจจะเกิดจากการฝึกฝนโดยเฉพาะก็ได้ การใช้คาถามสามารถกระตุ้นสมองให้นึกคิด ในระดับท่ีแตกต่างกัน หากครูใช้คาถามเป็นสิ่งเร้าให้ผู้เรียนนึกคิดคาตอบระดับความรู้ความจา การใช้คาถามให้นน้ั มรี ะดบั ประสิทธิภาพในการกระตุ้นสมองแค่ให้นักเรียนจาเท่าน้ัน สง่ ผลให้ขาด การพัฒนาสมองด้านการคิดที่สูงกว่าความจา ได้แก่ ความเข้าใจ การนาไปใช้ การวิเคราะห์ การ สังเคราะห์ หรือการประเมนิ ค่า การวัดพฤติกรรมทางสมองเป็นการวัดทางจิตภาพซึ่งต้องใช้วิธีการ วัดทางอ้อม และเคร่ืองมือที่เหมาะสมที่สุดสาหรับนามาใช้วัดพฤติกรรมทางสมองของผู้เรียน รายบุคคลคือ แบบทดสอบชนิดเขียนตอบ แบบทดสอบวัดพฤติกรรมทางสมองทุกรูปแบบจะมีส่วนประกอบที่ สาคัญเป็นข้อคาถาม หรือข้อความท่ีทาหน้าที่เสมือนข้อคาถาม ซ่ึงข้อคาถามหรือข้อความเหล่าน้ี ทาหน้าทเี่ ปน็ สง่ิ เร้า หรือตัวกระต้นุ ใหบ้ ุคคลใช้พลังของสมองในการคดิ หาคาตอบ และโดยสญั ชาติ ญาณของการเอาตัวรอดแลว้ ผู้เรยี นทกุ คนจะพยายามตอบคาถามตา่ งๆ ใหด้ ีที่สุดเพอื่ แสดงความรู้ และภูมิปัญญาของตนอย่างเต็มความสามารถ เมื่อข้อคาถามเป็นส่วนประกอบสาคัญของ แบบทดสอบดังกล่าว ผู้สร้างแบบทดสอบหรือครูจึงจาเป็นต้องศึกษาและฝึกฝนเทคนิคการเขียน ข้อคาถาม โดยเฉพาะคาถามท่ีนักเรียนต้องตอบโดยใช้ความคิดในระดับที่ลึกซึ้ง ซ่ึงการเขียนข้อ คาถามทม่ี ปี ระสทิ ธภิ าพในการวดั จะตอ้ งคานึงถึงสิ่งต่อไปนี้ 1. การใชภ้ าษาท่ถี กู ตอ้ ง ชัดเจน รัดกมุ 2. ความต้ืนลกึ ของคาถามเพือ่ วดั พฤติกรรมทางสมองในระดับต่างๆ 3. เทคนคิ การต้ังคาถามที่นา่ สนใจและกระตนุ้ ความคิด ในแต่ละระดับของพฤติกรรมทางสมองของบลูมยังมีการจาแนกเป็นระดับย่อยท่ีละเอียด ลงไปอีก เพ่ือบอกให้ชัดเจนถึงขอบข่ายของพฤติกรรม ดังน้ันการจาแนกระดับของข้อคาถามวัด การวัดและประเมินผลการศกึ ษา (Educational Evaluation and Measurement) 55
บทท่ี 4 : การสร้างแบบทดสอบวัดผลสมั ฤทธิ์ทางการเรยี น พฤติกรรมทางสมองตามแนวคิดของบลูมจึงเป็นงานที่ต้องอาศัยความละเอียดและใช้เวลา พอสมควรในฝึกฝนการต้ังคาถาม เพ่ือให้เป็นการง่ายสาหรับการฝึกทักษะการตั้งคาถามใน ระยะแรก จงึ อาจจะแบ่งระดบั ของข้อคาถามออกเปน็ 2 ระดบั งา่ ยๆ ดังน้ี 1. ระดบั ความรู้ความจา เปน็ คาถามทต่ี อ้ งการให้ผู้ตอบระลกึ นกึ ถึงเรื่องราวความรู้ และ ประสบการณ์ท้ังหลายท่เี คยรบั รู้มา ดังนั้นอาจจะกล่าวได้วา่ เป็นคาถามทวี่ ัด “สติ” นนั่ เอง 2. ระดับความคิด เป็นคาถามที่ต้องการให้ผู้ตอบใช้ความสามารถของสมองในการนา ความรู้และประสบการณ์มาจัดกระทาในสถานการณ์ต่างๆ ซึ่งครอบคลุมระดับพฤติกรรมทาง สมองรวม 5 ระดับ คือ ความเขา้ ใจ การนาไปใช้ การวเิ คราะห์ และการประเมนิ คา่ ดงั น้นั จงึ อาจจะกล่าวได้ว่าเป็นคาถามท่ีวัด “ปัญญา” น่นั เอง นอกจากนยี้ ังมีข้อเท็จจริงบางประการที่ควรทาความเขา้ ใจไวด้ งั น้ี 1. การต้ังคาถามวัดพฤติกรรมระดับต่างๆ ขึ้นอยู่กับเน้ือหาสาระเป็นสาคัญ เน้ือหา สาระทุกเรื่องไม่สามารถต้ังคาถามวดั พฤติกรรมได้ทุกระดับ บางเร่ืองอาจจะนามาต้ังข้อคาถามวัด พฤติกรรมทางปัญญาได้เพียงบางระดับเท่าน้ันและบางเรื่องก็อาจจะต้ังข้อคาถามได้ครบทั้ง 6 ระดับ ซ่ึงแล้วแต่ลักษณะของความรู้ในส่วนนั้นว่าเอ้ืออานวยให้ต้ังคาถามได้ลึกซึ้งเพียงไร นอกจากน้ียังพบว่าพฤติกรรมการนาไปใช้และการสังเคราะห์ท่ีจะวัดในบางเนื้อหาไม่อาจจะวัด ด้วยคาถามได้ ต้องให้แสดงออกในภาคปฏิบัติ แต่อย่างไรก็ตามทุกๆ เน้ือหาสาระจะต้ังคาถาม วดั ความร้คู วามจาได้เสมอ 2. การระบุคาถามวัดพฤติกรรมทางสมองพิจารณาท่ีขั้นสูงสุดท่ีคาถามวัดได้ การ พิจารณาระดับของข้อคาถามที่มีอยู่แล้ว อาจจะเกิดความสับสนในการระบุว่าเป็นระดับใด เพราะ ขอ้ คาถามบางข้อจะต้องตอบโดยอาศัยความสามารถทางสมองหลายระดับ ดังนน้ั จึงตอ้ งตกลงเป็น ข้อยุติวา่ ใหร้ ะบรุ ะดบั พฤติกรรมสงู สุดทีข่ อ้ คาถามนน้ั สามารถวัดได้ เช่น คาถาม “ในชุมชนที่มีประชากรเพ่ิมข้ึนอย่างรวดเร็วหน่วยงานภาครัฐควรจะมีแผนการ รองรบั อย่างไร พิจารณา คาถามน้ีต้องจัดเป็น คาถามวัดพฤติกรรมทางสมองด้านการสังเคราะห์เป็น ขอ้ ยุตซิ งึ่ กอ่ นท่ีผ้เู รียนจะตอบได้ จะตอ้ งมีความรู้มาก่อนว่า “เหตุใดประชากรในชุมชนจึงเพิ่มขึ้น การวดั และประเมินผลการศึกษา (Educational Evaluation and Measurement) 56
บทท่ี 4 : การสร้างแบบทดสอบวดั ผลสมั ฤทธิ์ทางการเรยี น อย่างรวดเร็ว” ต้องมีความเข้าใจมาก่อนว่า “หากประชากรเพิ่มอย่างรวดเร็วจะเกิดอะไรขึ้น” และจะต้องใช้ความรู้และประสบการณ์ท่ีมีบอกแนวทางการแก้ปัญหาแต่ละจุดว่าจะต้องทา อย่างไร และรวบรวมเป็นแผนการรองรับซึ่งเป็นการสังเคราะห์ ดังน้ันจะตอบว่าคาถามน้ีวัด ความเข้าใจหรือการนาไปใช้ก็ไม่ผิดแต่ยังไม่เป็นข้อยุติ จึงต้องตอบว่า วัดการสังเคราะห์ ซึ่งเป็น ระดับพฤติกรรมสงู สดุ ท่ีคาถามขอ้ นว้ี ดั ได้ 3. การตอบโดยการท่องจาคาตอบมาล่วงหน้าถือวา่ เป็นการวัดความจาทั้งสิ้น ข้อคาถาม ท่ีวัดพฤติกรรมระดับความคิด (ปัญญา) ที่แท้จริง ยังมีข้อตาลงเบื้องต้นอีกว่าผู้ตอบจะต้องตอบ โดยใช้ความสามารถทางสมองของตนเอง ถ้าตอบโดยทราบคาตอบมาล่วงหน้า หรือตอบโดย อาศัยความจาหรือการสังเกตใดๆ ก็จะมีสภาพเป็นเพียงข้อคาถามวัดเพียงระดับความรู้ความจา เท่านัน้ แนวทางการเขยี นคาถามวดั พฤตกิ รรมทางสมองระดบั ตา่ ง ๆ การเขียนคาถามวัดพฤติกรรมทางสมองหรือพฤติกรรมการศึกษาด้านพุทธิพิสัยระดับ ตา่ ง ๆ มี แนวทางดงั น้ี (ป่นิ วดี ธนธาน,ี 2549, หน้า 79) 1.00 แนวการเขียนคาถามวดั พฤตกิ รรมทางสมองวัดความรู้-ความจา คาถามประเภทนี้เป็นคาถามระดับเบ้ืองต้นหรือระดับต่าสุด เพื่อใช้วัด ความสามารถในการจดจาและระลกึ ถงึ เร่ืองราว ความรู้ และประสบการณ์ต่างๆ ที่ไดเ้ รียนรหู้ รือ รับรู้มาแลว้ ดังนั้นคาตอบที่ต้องการจึงเป็นข้อเท็จจรงิ ที่มีอยกู่ ่อนแลว้ เพยี งแต่ตอบไปตามท่ีทราบ และจาได้ระลึกได้ โดยไม่ต้องใช้สมองคิดค้นหาคาตอบในรูปใหม่เลย คาถามวัดความรู้ความจา ยงั จาแนกออกตามลกั ษณะความรู้ทถ่ี ามได้เป็นประเภทย่อยอีกดงั น้ี การวดั และประเมินผลการศกึ ษา (Educational Evaluation and Measurement) 57
บทที่ 4 : การสรา้ งแบบทดสอบวัดผลสมั ฤทธ์ทิ างการเรยี น 1.10 ถามรายระเอยี ดของเนือ้ เร่อื ง (1) ถามชอ่ื ไดแ้ กค่ าถามทีใ่ ห้บอกชอื่ คน สตั ว์ พชื สิง่ ของ เร่ืองราว เหตุการณ์ ฯลฯ เช่น 1. พระบิดาแห่งการลกู เสอื ไทยคือใคร ? 2. สว่ นของดอกไม้ทเ่ี จรญิ ไปเปน็ ผลเรียกว่าอะไร ? 3. กทม. เป็นคาย่อของอะไร ? 4. ประเทศใดท่สี ่งคนไปลงบนดวงจนั ทรส์ าเร็จ ? (2) ถามคาแปล ไดแ้ กค่ าถามทใี่ หร้ ะลกึ ถงึ คาแปลของคาศพั ท์ต่างๆ เปน็ ภาษาสามัญทที่ ุกคนเข้าใจงา่ ยๆ และคาแปลเหล่าน้สี ว่ นมากจะตรวจสอบความถูกต้องได้จาก พจนานุกรม เชน่ 1. วสันต์แปลวา่ อะไร ? 2. “พระจาวัด” หมายถึงพระทาอะไร ? (3) ถามความหมาย ได้แกค่ าถามทีใ่ หส้ รปุ ความหมาย หรือบอกความ นยิ มของสิ่งต่างๆ หรือของคาศพั ทเ์ ฉพาะเน้ือหาวิชา เช่น 1. ยาเสพติดหมายถึงอะไร ? 2. วฒั นธรรมคอื อะไร ? (4) ถามตัวอย่าง ได้แก่คาถามท่ีให้ระบุถึงตัวอย่างของความรู้ในเนื้อหา ต่างๆ ที่มลี ักษณะเฉพาะจัดอยู่ในประเภทหรือชนิดเดียวกนั ซึ่งคาตอบจะมีบทเรียน หรือมีระบุไว้ ตามหนงั สอื หรือตารา เช่น 1. จงั หวัดใดมพี ้ืนทต่ี ดิ ชายฝัง่ ทะเล ? 2. ตอ่ มเหง่อื จดั อยูใ่ นอวัยวะระบบใด ? การวดั และประเมินผลการศึกษา (Educational Evaluation and Measurement) 58
บทท่ี 4 : การสร้างแบบทดสอบวัดผลสมั ฤทธิ์ทางการเรยี น (5) ถามสูตรกฎ ไดแ้ ก่คาถามที่ให้ระลกึ ถงึ สาระสาคัญหรือใจความของ สตู ร กฎเกณฑต์ า่ งๆ เชน่ 1. การหาปรมิ าตรของสเ่ี หลี่ยมลกู บาศก์มีสูตรวา่ อยา่ งไร ? 2. กฎทรงมวลของสารกลา่ ววา่ อยา่ งไร ? (6) ถามปรมิ าณ ไดแ้ ก่ คาถามทบี่ อกขนาด จานวนของส่งิ ตา่ งๆ เชน่ 1. อตั ราการเกิดของประชากรไทยในปจั จบุ นั เปน็ เทา่ ไร ? 2. โลกเป็นดาวเคราะหท์ ่มี ขี นาดใหญ่เป็นอนั ดบั เท่าไรใน 9 ดวง ? (7) ถามเวลา ได้แก่ คาถามท่ีให้ระลึกถึง วัน เดือน ปี หรือยุคสมัยที่ เก่ียวขอ้ งกบั เหตุการณ์ เช่น 1. วนั ปยิ มหาราชตรงกบั วนั ทีเ่ ทา่ ไร ? 2. สงครามโลกครั้งที่ 1 เกิดขึ้นเมอื่ ไร ? (8) ถามสถานท่ี ได้แก่ คาถามให้บอกตาแหน่งท่ีอยู่ ท่ีตั้งของส่ิงต่างๆ หรือสถานทเ่ี กิดเหตกุ ารณต์ า่ งๆ เช่น 1. องค์การอนามัยโลกตงั้ อยูท่ ีใ่ ด ? 2. สงครามโลกคร้ังที่ 1 มีชนวนเหตุเกดิ ขึ้นทปี่ ระเทศใด ? (9) ถามคุณสมบัติ ได้แก่ คาถามที่ให้บอกลักษณะสาคัญที่เป็นคุณสมบัติ ประจาตวั ของส่ิงน้ัน เชน่ 1. ส่ิงที่เรียกวา่ เป็นโลหะได้ตอ้ งมลี ักษณะอยา่ งไร ? 2. ยาเสพตดิ ทกุ ชนิดจะมีฤทธอ์ิ ย่างไรต่อร่างกายของคน ? (10) ถามวัตถุประสงค์ ได้แก่คาถามท่ีให้บอกถึงความมุ่งหมายของการ กระทาตา่ งๆ เชน่ 1. กอ่ นใสย่ าแดงต้องล้างแผลดว้ ยน้าสะอาดเพ่ืออะไร ? 2. มนษุ ยใ์ ช้วิธผี สมพนั ธพ์ุ ชื ใหม่ ๆ ขนึ้ มาเสมอเพ่ืออะไร ? การวัดและประเมินผลการศกึ ษา (Educational Evaluation and Measurement) 59
บทท่ี 4 : การสร้างแบบทดสอบวดั ผลสมั ฤทธิท์ างการเรียน (11) ถามสาเหตุและผล ได้แกค่ าถามที่ใหบ้ อกถึงตน้ เหตุที่เป็นบ่อเกิดของ ปรากฏการณห์ รอื พฤติกรรม เชน่ 1. เหตุใดภาคอีสานจงึ แหง้ แล้งกวา่ ภาคอน่ื 2. อาการจุดเสียดที่เกิดขน้ึ หลงั รบั ประทานอาหารเป็นเพราะอะไร ? (12) ถามประโยชน์และโทษ ได้แก่คาถามที่ให้บอกผลที่ได้รับจากส่ิง ตา่ งๆ และอทิ ธิพลของส่ิงตา่ งๆ ทงั้ ในดา้ นบวกและดา้ นลบ เช่น 1. สมุนไพรมีประโยชน์ต่อมนุษย์อย่างไร และอาจให้โทษต่อมนุษย์ได้ อยา่ งไร ? (13) ถามสิทธิหน้าที่ ได้แก่คาถามที่ให้บอกอานาจ หน้าท่ี กิจท่ีต้อง กระทาภายใตก้ ฎหรอื ระเบยี บ รวมทั้งหน้าทีโ่ ดยธรรมชาติของสงิ่ ต่างๆ เชน่ 1. ชายไทยทกุ คนมหี นา้ ท่ีต่อประเทศชาตอิ ย่างไร ? 2. หัวใจมีหนา้ ทีอ่ ะไร ? 1.20 ถามความรู้เก่ยี วกบั วธิ ีการดาเนนิ การ (1) ถามระเบียบแบบแผนและธรรมเนียมประเพณี ได้แก่คาถามที่ให้ บอกระเบียบปฏิบัติ แบบฟอร์มที่เป็นข้อตกลง แบบแผนที่ต้องถือปฏิบัติ จรรยาบรรณ จารีต ประเพณี และวัฒนธรรม เชน่ 1. การแตง่ โคลงสีส่ ุภาพมีข้อบงั คบั อยา่ งไร ? 2. ถ้าเด็กได้รบั ของจากผใู้ หญค่ วรกล่าวคาอะไร ? (2) ถามลาดับชั้น ได้แก่คาถามที่ให้บอกขั้นตอน หรือลาดับวิธีปฏิบัติ หรือลาดับการเกดิ ปรากฏการณ์ เช่น 1. ข้ันแรกของวธิ ีการตอนกง่ิ ไมต้ ้องทาอะไร ? 2. พระเจา้ ตากสินเป็นมหาราชลาดับทเ่ี ทา่ ไรของไทย ? การวัดและประเมินผลการศึกษา (Educational Evaluation and Measurement) 60
บทท่ี 4 : การสรา้ งแบบทดสอบวดั ผลสมั ฤทธท์ิ างการเรียน (3) ถามแนวโน้ม ได้แก่คาถามที่ให้บอกถึงความโน้มเอียงของ ปรากฏการณ์ หรอื พฤตกิ รรมท่มี ักจะเกิดคอ่ นขา้ งแนน่ อนตามข้อเทจ็ จริงทีส่ งั เกตได้ เชน่ 1. ก่อนฝนตกลักษณะอากาศจะเปน็ อยา่ งไร ? 2. ปจั จบุ นั ไฟป่ามักจะเกิดจากสาเหตใุ ด ? (4) ถามประเภท ได้แก่คาถามที่ให้บอกถึงชนิดหรือหมวดหมู่ของส่ิงต่างๆ ตามเกณฑ์การจาแนกทก่ี าหนดไว้แลว้ เชน่ 1. ปากเปน็ อวยั วะในระบบใด ? 2. เหด็ จัดเป็นพืชประเภทใด ? (5) ถามเกณฑ์ ได้แก่คาถามที่ให้บอกถึงเกณฑ์หรือข้อกาหนดเพื่อใช้ พจิ ารณา วินิจฉยั หรอื ตรวจสอบขอ้ เท็จจริงเกีย่ วกับสง่ิ ตา่ งๆ เชน่ 1. การจาแนกประเภทของพชื ช้ันสงู และชั้นตา่ ใช้เกณฑ์อะไร ? 2. นา้ ในแม่นา้ ท่จี ดั วา่ เน่าเสยี ต้องมีออกซเิ จนตา่ กว่าเทา่ ไร ? (6) ถามวิธีการ ได้แก่คาถามท่ีให้บอกเทคนิค วิธีปฏิบัติ หรือกรรมวิธี ตา่ งๆ ทีเ่ ป็นกจิ กรรมของมนษุ ย์ เช่น 1. วิธเี คล่ือนยา้ ยคนท่ีกระดูกสันหลังหกั ตอ้ งทาอยา่ งไร ? 2. ถ้าจะเกบ็ มะนาวไวใ้ ชน้ านๆ โดยไม่ใส่ต้เู ยน็ ต้องทาอยา่ งไร ? 1.30 ถามความรู้รวบยอดเกี่ยวกับเนื้อหา ได้แก่ คาถามท่ีให้บอกหัวใจสาคัญ ของเนื้อหาหลักวิชาที่สามารถจะนาไปใช้เพื่อแก้ปัญหาต่างๆ ทฤษฎีและโครงสร้างท่ีใช้พิจารณา ถึงความสมั พันธ์ของความรูค้ วามจริงต่างๆ เชน่ 1. วิทยาศาสตร์เปน็ วิชาท่ีวา่ ด้วยเร่ืองอะไร ? 2. สงั คมศกึ ษาเป็นวิชาทศ่ี กึ ษาเก่ียวกบั อะไร ? 3. เชื้อโรคจะระบาดน้อยมากถ้าทกุ คนมคี วามรบั ผิดชอบในเร่อื งใด ? 4. การบวกเลขเศษสว่ นที่มีสว่ นไม่เท่ากนั จะตอ้ งทาอยา่ งไร ? การวัดและประเมินผลการศกึ ษา (Educational Evaluation and Measurement) 61
บทท่ี 4 : การสร้างแบบทดสอบวัดผลสมั ฤทธทิ์ างการเรียน 5. การจดั อาหารให้เด็กตอ้ งเพิม่ อาหารหม่ใู ดให้เป็นพิเศษ ? 6. ถา้ วัตถไุ ดร้ บั แรงเสียดทานมากการเคลอื่ นทจ่ี ะเป็นอยา่ งไร ? 7. หา้ มล้อรถจักรยานทาใหร้ ถหยดุ ไดเ้ พราะใช้หลกั ของอะไร ? 8. ศาสนาทุกศาสนามีจุดมุ่งหมายใดทเี่ หมือนกัน ? 2.00 แนวการเขยี นคาถามวัดพฤติกรรรมสมองดา้ นความเข้าใจ คาถามประเภทนี้เป็นคาถามท่ีเริ่มวัดความคิดในขั้นต้น ซ่ึงเกิดจากความสามารถ ของสมองในการส่ือความรู้ความคิดออกมาในรูปแบบใหม่ ท่ีมีความหมายเหมือนเ ดิมหรือ ใกล้เคียงเดิม หรือมีความหมายท่ีกว้างไกลกว่าข้อเท็จจริงท่ีมีอยู่ ดังน้ันคาตอบที่ต้องการจึงเป็น ข้อเท็จจริงในเชิงของการสื่อความหมายซึ่งข้อความนี้ต้องไม่ใช่ความหมายตามพจนานุกรม คาถามวัดความเข้าใจยังจาแนกเปน็ ประเภทยอ่ ย ได้ 3 ประเภทดังนี้ 2.10 ถามความเข้าใจในเชิงของการแปลความ ได้แก่คาถามที่ให้อธิบายสิ่ง ต่างๆ ในเชิงเปรียบเทียบหรืออธิบายเป็นภาษาง่ายๆ อธิบายความหมายแฝงของคาหรือกลุ่มคา สุภาษิต คาพังเพย หรือข้อความตามนัยของเรื่อง ตลอดจนการแปลความหมายของภาพ สญั ลักษณ์ ตาราง กราฟ และข้อมลู ต่างๆ ที่กาหนดให้ เช่น 1. เหงือกของปลาทาหนา้ ท่คี ล้ายอวยั วะใดของคน ? ก. ห ข. จมกู ค. ปาก ง. ลิน้ 2. ข้อใดถอื เปน็ การออมทรพั ย์ได้ ก. ซ้อื ของผ่อนสง่ ข. สง่ ช้ินสว่ นไปชิงโชค ข. ซือ้ ของมาขายเอากาไร ง. ซื้อสลากรางวัลการกศุ ล 3. คนที่มรี ูปรา่ งงามแตค่ วามประพฤติเสยี เปรยี บได้กับขอ้ ใด ? ก. หนา้ เนื้อใจเสือ ข. ตวั ดาแต่นา้ ใจดี ค. สวยแตร่ ปู จูบไม่หอม ง. ตอ่ หนา้ มะพลับลบั หลังตะโก การวดั และประเมินผลการศกึ ษา (Educational Evaluation and Measurement) 62
บทท่ี 4 : การสร้างแบบทดสอบวัดผลสมั ฤทธท์ิ างการเรยี น 4. “จ้ีสาธารณสุขให้ดูแลการใช้ยาของชาวบ้าน” คาที่ขีดเส้นใต้ หมายความว่าอยา่ งไร ? ก. ขู่ ข. บังคับ ค. กาชบั ง. แนะนา 5. “มีวิชาเหมือนมีทรัพย์อยู่นับแสน” หมายความว่าอย่างไร ? (ถ้ามี ความรู้กส็ ามารถจะนามาประกอบอาชีพหาเงินทองได้มากมาย) 6. ส่วนที่แรเงาคดิ เป็นเท่าไร ? ก. 0.1 % ข. 1% ค. 5% ง. 10% 2.20 ถามความเข้าใจในเชิงการตีความ ได้แก่คาถามท่ีให้สรุปความ ซึ่งได้มา จากการค้นหาเปรยี บเทียบและสรุปความจากขอ้ เท็จจริงหลายๆ จุดทีส่ ัมพันธก์ ัน เช่น 1. บทละครเร่อื งรามเกยี รต์ิให้คตอิ ะไรแก่เรา ? ก. ทาดีไดด้ ี ทาชัว่ ไดช้ ัว่ ข. ธรรมย่อมชนะอธรรม ค. คนดตี กนา้ ไม่ไหลตกไฟไม่ไหม้ ง. แพ้เปน็ พระชนะเป็นมาร 2. “ก่อนนอนแปรงฟันล้างเท้า ต่ืนเช้าล้างหน้าแปรงฟัน” ข้อความนี้ ต้องการปลกู ฝังเรือ่ งใด ? ก. สขุ นสิ ยั ข. การแปรงฟัน ค. การนอนหลบั ง. ความสะอาด 3. “ใครใคร่คา้ ช้างคา้ ใครใครค่ า้ มา้ ค่า” ข้อความนี้กล่าวถึงสิ่งใด ? ก. สทิ ธิ ข. หนา้ ท่ี ค. เสรภี าพ ง. เศรษฐกิจ 4. ต๋ิมมีเงินมากกว่าต้อยแต่น้อยกว่าตู่ และแตนมีเงินมากกว่าตู่ ฉะน้ัน ใครมเี งินมากที่สุด ? ก. ตอ้ ย ข. แตน ค. ต๋ิม ง. ตู่ 5. ในท้องถ่ินใดที่มีโรคระบาดบอ่ ยมากเป็นสญั ลักษณ์ทบี่ อกถงึ อะไร ? ก. ประชาชนยากจน ข. ประชากรมกี ารศึกษาตา่ ค. ประชาชนขาดสขุ นสิ ัย ง. ประชาชนตง้ั อยใู่ นความประมาท การวดั และประเมินผลการศกึ ษา (Educational Evaluation and Measurement) 63
บทที่ 4 : การสร้างแบบทดสอบวดั ผลสมั ฤทธิท์ างการเรียน 2.30 ถามความเข้าใจในเชงิ การขยายความ ไดแ้ ก่ คาถามทใ่ี ห้สรปุ ความคิดที่ กว้างไกลออกไปจากข้อเท็จจริงหรือข้อมูลที่มีอยู่ ลักษณะคาตอบจะเป็นการคาดคะเนผล การ คะเนปรากฏการณ์ หรืออนุมานเร่ืองราวอย่างสมเหตสุ มผล โดยตั้งอยู่บนข้อมูลและหลักวิชา เช่น 1. “ก่อนนอนแปรงฟันล้างเท้า ต่ืนเช้าล้างหน้าแปรงฟัน” ถ้าใครปฏิบัติ ตามข้อความน้ีทุกวัน จะได้ผลอย่างไร ? ก. จะนอนหลับอยา่ งสบาย ข. สุขภาพจะสมบรู ณ์ ข. ฟันจะสะอาดแขง็ แรง ง. ร่างกายจะสดชนื่ แจม่ ใส 2. ถ้าขาดพชื มนุษย์จะเดือดรอ้ นเกย่ี วกบั อะไรก่อนอน่ื ? ก. อาหาร ข. ทอ่ี ยู่อาศัย ค. เครื่องนงุ่ ห่ม ง. ยารกั ษาโรค 3. ถ้าโลกโคจรรอบดวงอาทติ ยเ์ รว็ ข้นึ กวา่ เดิมจะเปน็ อย่างไร ? ก. อายุของคนจะยืนยาวขึ้น ข. 1 ปี จะมีจานวนวันมากขึน้ ค. ตน้ ไม้จะเจริญอย่างรวดเร็ว ง. กลางวนั จะยาวนานกว่ากลางคืน 3.00 แนวการเขียนคาถามวัดพฤติกรรมทางสมองด้านการนาไปใช้ คาถามประเภทน้ี เป็นคาถามที่วัดความสามารถในการนาความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับหลักวิชา เทคนิควิธีการ แนวคิด หรือทฤษฎี ไปใช้ประโยชน์ในสถานการณ์ต่างๆ หรือใช้แก้ปัญหาในสถานการณ์ใหม่ที่ แปลกไปจากเดิมหรือคล้ายคลึงของเดิม (ไม่เหมือนเดิม แต่อาจจะเลียนแบบของเดิม) แนวคาถาม วัดการนาไปใชม้ หี ลายแนวดังน้ี (1) ถามความสอดคลอ้ งระหว่างหลกั วิชากับการปฏบิ ัติ เชน่ 1. วตั ถุชนดิ ใดควรหาปริมาตรด้วยวธิ แี ทนทน่ี า้ ? ก. ดนิ ข. ไม้ ค. ทราย ง. เกลอื 2. ถ้าต้องการตดั แตง่ พุ่มไมต้ ้องใชเ้ คร่ืองมือชนดิ ใด ? ก. มดี ดายหญา้ ข. กรรไกรตัดกงิ่ ค. มีดบาง ง. กรรไกรตดั หญ้า 3. เส้อื ผ้าชารุดในลักษณะใดควรใชก้ ารปะ ? ก. รังดุมเส้ือขาด ข. กระเปา๋ เสือ้ ขาด ค. หนามเก่ยี วเสือ้ ขาด ง. ตะเขบ็ เสื้อหลุด การวดั และประเมินผลการศึกษา (Educational Evaluation and Measurement) 64
บทท่ี 4 : การสรา้ งแบบทดสอบวัดผลสมั ฤทธทิ์ างการเรียน 4. ใครเปน็ ตัวอย่างทด่ี ีของความมีน้าใจเปน็ นักกีฬา ? ก. วิชัยแกล้งวิ่งแพ้เพอื่ น ข. วิเชียรขอใหว้ ิ่งพสิ จู น์อีกคร้ัง ค. วชิ ิตสละสทิ ธ์กิ ารแขง่ ขนั เพื่อหลีกทางให้เพอ่ื น ง. วชิ ายกรางวลั ให้เพอื่ นทเ่ี ปน็ กาลงั ใจในการแข่งขนั 5. คนแกท่ ่หี ายป่วยใหม่ๆ ควรออกกาลงั กายโดยวิธใี ด ? ก. น่งั เลน่ ข. เดนิ เลน่ ค. ขจ่ี กั รยาน ง. กระโดดเชอื ก (2) ถามเหตผุ ลของการใชห้ ลกั วิชาในการปฏบิ ตั ิ เช่น 1. ถา้ จะขยายพันธ์ุตน้ กุหลาบเพอื่ การคา้ ควรใชว้ ิธใี ด เพราะอะไร ? ก. ตอนเพราะใหผ้ ลแนน่ อน ข. ตดิ ตาเพราะได้ผลรวดเร็ว ค. ทาบก่งิ เพราะจะไมก่ ลายพันธุ์ ง. ปกั ชาเพราะสะดวกและประหยดั 2. คนแก่ทีห่ ายปว่ ยใหมค่ วรออกกาลงั กายโดยวิธใี ด เพราะอะไร ? ก. น่ังเลน่ เพอ่ื ไมใ่ หเ้ หน่ือยเกินไป ข. ขีจ่ กั รยานเพือ่ ให้รา่ งกายขบั เหงื่อ ค. กระโดดเชอื กเพ่ือใหแ้ ขนขาแข็งแรง ง. เดินเล่นเพอ่ื ให้กล้ามเนื้อทุกส่วนเคลื่อนไหว 3. อาหารจานใดเหมาะสาหรับเด็ก เพราะมีสารอาหารหลายอยา่ ง ? ก. ขา้ วมนั ไก่ ข. ข้าวหมแู ดง ค. ขา้ มตม้ กุ้ง ง. ข้าวคลุกกะปิ การวัดและประเมินผลการศึกษา (Educational Evaluation and Measurement) 65
บทที่ 4 : การสรา้ งแบบทดสอบวดั ผลสมั ฤทธ์ทิ างการเรียน 4. การทาหารยาวต้องระวงั เรื่องใดมาก เพราะอะไร ? ก. การลบเลขเพ่อื ให้เหลือเศษทถี่ กู ต้อง ข. ท่องสูตรคณู ใหค้ ลอ่ งเพื่อหาผลหารได้เรว็ ค. ตั้งตวั เลขให้ตรงกนั เพอ่ื อา่ นจานวนได้ถกู ต้อง ง. คาดคะเนผลหารใหใ้ กลเ้ คยี งเพ่อื ใหค้ าตอบไม่มเี ศษ (3) ถามใหแ้ กป้ ญั หา เช่น 1. ถา้ ไมร่ ับประทานอาหารประเภทเนอ้ื สัตวค์ วรรบั ประทานอาหารใดแทน ? ก. ซบุ หน่อไม้ ข. ยาหวั ผกั กาด ค. เตา้ หู้ทอด ง. ผักตม้ กะทิ 2. ถ้าพบว่าเพอ่ื นคนหนง่ึ ติดยาเสพติดนกั เรียนควรทาอยา่ งไรก่อน ? ก. เลกิ คบเป็นเพอ่ื นตอ่ ไป ข. ไปบอกผู้ปกครองของเพื่อน ค. ตักเตือนให้เพอ่ื นเลิกเสพ ง. บอกให้ครปู ระจาช้นั ทราบ 3. ถ้าไม่มีสอ้ มขุดดนิ จะใชอ้ ะไรแทน ? ก. พลว่ั ข. เสียม ค. จอบ ง. คราด 4. “เพ่อื นๆ ซักถามครูด้วยความตื่นเต้น จนเสยี ง..........ไปหมด” ใน ชอ่ งว่างควรเตมิ ด้วยคาใด ? ก. มว่ั ข. แซด ค. จ้อกแจ้ก ง. เอะอะ 5. “รถยนต์ชนรถจักรยานท่ปี ากซอยปรากฏว่าคนข่ีจักรยานเกอื บกลับ บา้ นเกา่ ” คาทข่ี ีดเส้นใต้หมายความว่าอยา่ งไร ? ก. เกอื บไปวัด ข. มอี าการสาหัส ค. กระเด็นไปไกล ง. ตอ้ งไปนอนโรงพยาบาล 4.00 แนวการเขียนคาถามวัดพฤติกรรมทางสมองด้านการวเิ คราะห์คาถามประเภทน้ี เป็นคาถามท่ีวัดความสามารถในการแยกแยะเน้ือหาความรู้หรือเร่ืองราวใด ๆ เพื่อหาข้อเท็จจริง ตา่ งๆ ทแี่ ฝงอยู่ แนวคาถามจาแนกได้ 3 ประเภทดงั น้ี การวดั และประเมินผลการศกึ ษา (Educational Evaluation and Measurement) 66
บทที่ 4 : การสรา้ งแบบทดสอบวดั ผลสมั ฤทธท์ิ างการเรียน 4.10 ถามการวิเคราะห์ส่วนประกอบหรือความสาคัญ ได้แก่คาถามท่ีให้ แยกแยะส่วนประกอบค้นหาคุณลักษณะเด่น-ด้อยในแง่มุมต่างๆ ค้นหาสาเหตุเจตนาสาคัญที่แฝง อยู่ เช่น 1. อาหารในข้อใดที่มีคณุ ค่าครบ ? ก. ขา้ ว ไข่เจียว หมหู วาน มะละกอสกุ ข. ขา้ วเหนียว เนือ้ ทอด ซุปหน่อไม้ แตงโม ค. ขา้ วเหนียว สม้ ตา ไก่ย่าง กล้วยนา้ ว้าสกุ ง. ข้าว แกงเลียง ผกั ชุบแป้งทอด สม้ เขยี วหวาน 2. ขอ้ ใดไม่ใชค่ ณุ สมบัติสาคัญของผปู้ ระกอบอาชีพบริการ ? ก. ซื่อสัตย์ ข. สุภาพอ่อนน้อม ค. คลอ่ งแคลว่ ว่องไว ง. รูปรา่ งหนา้ ตางดงาม 3. ประชาชนไปลงคะแนนเสียงเลือกต้ังสมาชกิ สภาผแู้ ทนราษฏรน้อย เพราะเหตุใด ? ก. ไมร่ ู้วธิ ลี งคะแนน ข. ไม่มีเวลาไปลงคะแนน ค. ไมร่ จู้ กั ผ้สู มัครรบั เลือกตั้ง ง. ไม่เหน็ ความสาคญั ของการเลอื กตง้ั 4. จดุ ประสงค์สาคัญทีส่ ุดของการสร้างทางในชนบทของรัฐบาล คืออะไร ? ก. สง่ เสริมการศึกษา ข. สง่ เสรมิ การอาชพี ค. ส่งเสริมการปกครอง ง. ส่งเสริมการอนามยั การวดั และประเมินผลการศึกษา (Educational Evaluation and Measurement) 67
บทท่ี 4 : การสรา้ งแบบทดสอบวดั ผลสมั ฤทธท์ิ างการเรยี น 4.20 ถามการวิเคราะห์ความสัมพันธ์ ได้แก่คาถามที่ให้ค้นหาความเก่ียวข้อง สมั พนั ธ์ระหวา่ งส่ิงสองสิง่ ว่ามคี วามเกย่ี วขอ้ งกันมากน้อยเพยี งใด เชน่ 1. อาหารในข้อใดมคี ุณคา่ คลา้ ยกัน ? ก. โปรตีนกบั ไขมนั ข. เกลอื แรก่ ับวติ ามิน ค. ไขมันกบั คาร์โบไฮเดรต ง. โปรตนี กบั คาร์โบไฮเดรต 2. สองสง่ิ ใดไม่สมั พนั ธก์ ันในการคานวณหาคาตอบ ? ก. กาไร – ขาดทุน ข. กาไร – ต้นทุน ค. กาไร – ราคาขาย ง. ต้นทุน – ราคาขาย 3. ศลี 5 ไมเ่ ก่ียวข้องโดยตรงกบั อะไร ? ก. การพดู ข. การทางาน ค. การมีคคู่ รอง ง. การครอบครองทรพั ยส์ ิน 4. เครอ่ื งมือคู่ใดท่ใี ช้งานแทนกันได้มากที่สดุ ก. จอบกับพลว่ั ข. คราดกับเสยี ม ข. บัวรดนา้ กับถงั น้า ง. กรรไกรตัดกง่ิ กบั กรรไกรตดั หญา้ 4.30 ถามการวเิ คราะห์หลกั การ ได้แกค่ าถามท่ีใหค้ น้ หาหลักการความจริง แมบ่ ท ทีย่ ดึ โยง องค์ประกอบของสาระความรู้ เร่อื งราว หรือการกระทาต่างๆ เชน่ 1. การประดษิ ฐ์สงิ่ ใดต้องใชเ้ ทคโนโลยสี งู กวา่ อยา่ งอน่ื ? ก. พดั ลม ข. ตาชั่งสปริง ค. วทิ ยสุ ่ือสาร ง. ตวั ถงั รถยนต์ 2. การกระทาของผู้ใดเปน็ ภัยต่อสขุ ภาพของคนในชุมชนมากทีส่ ุด ? ก. เอ อาบนา้ ในคลอง ข. บี ลา้ งถ้วยชามในคลอง ค. ซี เทกระโถนลงในคลอง ง. ดี ทง้ิ เปลือกผลไม้ลงในคลอง การวดั และประเมินผลการศึกษา (Educational Evaluation and Measurement) 68
บทที่ 4 : การสร้างแบบทดสอบวัดผลสมั ฤทธิท์ างการเรียน 3. การกระทาใดแสดงถึงการทดแทนบญุ คุณพ่อแม่ ? ก. เคารพนบนอบ ข. ตงั้ ใจเล่าเรียน ค. หารายไดพ้ เิ ศษ ง. ซอื้ ของขวญั มาให้ 4. “กรรรมกร 1 คน ทางานอยา่ งหน่งึ เสรจ็ ใน 5 วนั ถา้ จะให้งานนี้ เสร็จภายใน 1 วนั จะตอ้ งใช้กรรมการ 5 คน” การคานวณเช่นน้ีต้องถือหลักการใด ? ก. ทกุ คนเป็นชายหมด ข. ทุกคนทางานพรอ้ มกนั ค. ทกุ คนทางานได้เทา่ กัน ง. ทกุ คนทางานอยา่ งเดยี วกัน 5.00 แนวการเขยี นคาถามวัดพฤตกิ รรมทางสมองดา้ นการสังเคราะห์ คาถามประเภทน้ีเป็นคาถามท่ีวัดความสามารถในการรวบรวมผสมผสานความรู้ หลายๆ ด้าน ความคดิ หลายระดบั เกยี่ วกับสิ่งต่างๆ เขา้ ด้วยกัน เพอ่ื สรา้ งความคิดใหม่ ผลงาน ใหม่ หรือสรุปหาข้อยุตใิ หม่ โดยอาศัยความรคู้ วามสามารถ และประสบการณ์ทั้งหลายท่ีมีมาแต่ เดิม การวัดความสามารถทางสมองด้านการสังเคราะห์มีข้อสังเกตว่า พฤติกรรมด้านน้ี จะต้องให้ผู้เรียนแสดงออกมาจริง โดยการเรียบเรียงความคิดของตนออกมาอย่างเป็นระเบียบ ดังน้ันการต้ังคาถามวัดพฤติกรรมด้านสังเคราะห์ จึงควรเป็นแบบท่ีต้องให้ผู้เรียนเขียนแสดง คาตอบ หรือกาหนดสถานการณ์ให้แสดงความสามารถของตนเองออกมา อย่างไรก็ตามในบาง พฤติกรรมยอ่ ยก็สามารถต้งั คาถามแบบกาหนดคาตอบใหเ้ ลอื กได้บา้ ง 5.10 ถามการสังเคราะห์ข้อความ ได้แก่คาถามที่ให้ส่ือความคิดออกมาเป็น ภาษาพูดหรือภาษาเขียน รวมท้ังการแสดงออกด้วยรูปภาพ เช่น แต่งคาประพันธ์ เรียงความ หรอื ใชว้ าดภาพจากความคดิ ของตน เชน่ 1. ถ้าท่านได้รบั เชิญให้กล่าวคาปราศรยั ในงานเปดิ กฬี าสขี องโรงเรยี น ทา่ นควรจะกล่าววา่ อยา่ งไร ? 2. จงแต่งกลอนแปด 1บท โดยมใี จความเกยี่ วกับการศกึ ษาในศตวรรษที่ 21 3. จงเขยี นคาขวญั เกีย่ วกบั การสงวนรกั ษาป่าไม้ 4. จงเขยี นภาพเกีย่ วกบั ลวดลายสวยงามตามจติ นาการของทา่ น การวดั และประเมินผลการศกึ ษา (Educational Evaluation and Measurement) 69
บทท่ี 4 : การสร้างแบบทดสอบวดั ผลสมั ฤทธ์ทิ างการเรียน 5. ข้อความใดกล่าวถึงสัตว์ได้อยา่ งสมเหตุสมผล ? ก. สตั ว์ส่วนมากต้องพ่งึ พาอาศยั คน ข. สตั ว์ทุกชนิดมีทั้งคุณและโทษตอ่ คน ค. มีสัตวน์ ้อยชนิดทใี่ ห้ประโยชนต์ อ่ คน ง. มีสัตวห์ ลายชนดิ ทใ่ี ห้ประโยชน์ตอ่ ตน 5.20 ถามการสังเคราะห์แผนงาน ได้แก่ คาถามให้แสดงความสามารถในการ วางแผนปฏิบัติงานหรือกิจกรรมใด ๆ ว่าต้องทาอย่างไร ต้องเตรียมส่ิงใด มีขั้นตอนปฏิบัติ อย่างไร หรือเตรียมแก้ไขปัญหา และอุปสรรคไว้อย่างไร ความสามารถประเภทนี้เม่ือนามา สัมพันธ์กับความสามารถด้านการใช้ทักษะของกล้ามเน้ือ จะเกิดการสร้างสรรค์ผลงานเก่ียวกับ สง่ิ ประดิษฐ์ใหม่ หรอื นาของเดมิ มาแกไ้ ข ดัดแปลงปรับปรุงให้มีคุณภาพดขี ้ึน เช่น 1. ถ้าท่านเป็นกานันประจาตาบลหนง่ึ ทา่ นจะมีแผนอย่างไรในการ ปอ้ งกนั และกาจดั ยาบ้าใหห้ มดไปจากชุมชนนี้ ? 2. จงจดั รายการอาหารกลางวนั มา 1 สัปดาห์ โดยเนน้ ใหค้ ุณคา่ ของ อาหารทกุ หมู่ 3. ในฐานะทีท่ า่ นเปน็ สมาชกิ ทดี่ ีของบา้ น จงเขียนแผนการทีจ่ ะถา่ ยทอด ความรูแ้ ละปรับปรุงด้านสขุ อนามัยในครอบครัวของทา่ น 4. การทดลองหาความหนาแนน่ ของนา้ แข็งควรระมดั ระวงั เรอ่ื งใดเปน็ พิเศษ ? ก. อณุ หภูมิของนา้ แขง็ ข. ปริมาตรของนา้ แขง็ ค. ความบริสทุ ธข์ิ องนา้ แข็ง ง. โพรงอากาศในกอ้ นนา้ แข็ง การวัดและประเมินผลการศกึ ษา (Educational Evaluation and Measurement) 70
บทท่ี 4 : การสร้างแบบทดสอบวัดผลสมั ฤทธ์ิทางการเรียน 5.30 ถามการสังเคราะห์ความสัมพันธ์ ได้แก่คาถามท่ีให้สรปุ ข้อยุติจากเง่ือนไข และขอ้ เท็จจริงต่างๆ ทีม่ คี วามสัมพนั ธ์กัน ตลอดจนการนาข้อเท็จจริงที่มีอยู่มาตงั้ สมมติฐานใหม่ เช่น 1. จงสรปุ ผลการทดลองเรอื่ งพลงั งานที่นกั เรียนไดป้ ฏิบัติการทดลองแล้ว 2. จากการที่ตน้ ไม้ในกระถางตายโดยไมท่ ราบสาเหตแุ น่ จงต้งั สมมตฐิ าน ทน่ี า่ จะเปน็ ไปได้มากที่สุด 3. ถา้ ผลการทดลองไดว้ า่ ก + 2 = ข – 2 ดงั นัน้ สรปุ ได้วา่ อย่างไร ก. ก มากกว่า ข. ข. ก นอ้ ยกว่า ข ค. ข นอ้ ยกว่า ก อยู่ 2 ง. ก มากกว่า ข อยู่ 2 ข้อเท็จจริง นาเทอร์โมมิเตอร์สองอันไปใส่ในถ้วยน้าร้อนถ้วยเดียวกัน ปรากฏว่าอันหน่งึ บอกอุณหภมู ิ 95 c อีกอันหนง่ึ บอกอุณหภมู ิ 98 c จงตอบคาถามขอ้ 4 – 5 4. ข้อสันนิษฐานใดท่ีอธิบายความแตกต่างของอุณหภมู นิ ้ไี ดเ้ หมาะสมที่สุด ? ก. เป็นไปได้เพราะนา้ ยงั ไม่เดือด ข. การดูดความรอ้ นของแกว้ ไม่เท่ากนั ค. การถา่ ยเทความร้อนของนา้ ยงั ไมท่ ่วั ถึง ง. ตาแหนง่ เทอรโ์ มมเิ ตอรอ์ าจจะอยู่ห่างกน้ แก้วไม่เทา่ กนั 5. สิง่ ทเ่ี ปน็ สาเหตสุ าคัญของความแตกตา่ งน้คี ืออะไร ? ก. ชนิดของเทอร์โมมเิ ตอร์ ข. ระดับความรอ้ นที่นา้ ไดร้ ับ ค. ระดับน้าท่ที ่วมเทอรโ์ มมเิ ตอร์ ง. ระยะห่างระหว่างเทอรโ์ มมเิ ตอรก์ ับกน้ แก้ว 6.00 แนวการเขียนคาถามวัดพฤติกรรมทางสมองด้านการประเมินค่า คาถาม ประเภทน้ีเป็นคาถามที่วัดความสามารถ ในการสรุปตัดสินคุณค่าของเรื่องราว เหตุการณ์ ความคดิ และพฤตกิ รรมตา่ งๆ ว่าดี-เลว ควร-ไม่ควร เหมาะ- ไม่เหมาะ โดยมีหลักเกณฑ์ยึดถือ แนวคาถามวดั การประเมนิ ค่าจาแนกได้เปน็ 2 ประเภท ดังนี้ การวดั และประเมินผลการศกึ ษา (Educational Evaluation and Measurement) 71
บทที่ 4 : การสร้างแบบทดสอบวดั ผลสมั ฤทธิท์ างการเรยี น 6.10 ถามให้ประเมินค่าโดยอาศัยเกณฑ์ภายใน ได้แก่คาถามที่ให้วินิจฉัยและ สรปุ ตัดสนิ โดยใชเ้ กณฑ์ตามหลักวชิ า เช่น 1. การให้เดก็ ดืม่ นมแม่ดีกวา่ นมผงอยา่ งไร ? ก. มคี วามสะอาด ข. ประหยัดเวลา ค. มีคณุ คา่ อาหารครบถ้วน ง. เดก็ ได้สมั ผสั ท่ีอบอุน่ 2. เราควรกินนา้ แขง็ เป็นประจาหรอื ไม่ ? ก. ควร เพราะนา้ แขง็ ทาจากนา้ ใสสะอาด ข. ควร เพราะนา้ แข็งช่วยใหร้ ่างกายสดช่ืนคลายร้อน ค. ไมค่ วร เพราะน้าแขง็ จะทาให้ยิง่ มอี าการกระหายน้า ง. ไม่ควร เพราะน้าแข็งเปน็ ตน้ เหตุของความเจ็บป่วยได้ 6.20 ถามให้ประเมินค่าโดยอาศัยหลักเกณฑ์ภายนอก ได้แก่คาถามที่ให้วินิจฉัย และสรุปตัดสินโดยใช้เกณฑ์ตามความเช่ือหรือตามธรรมเนียมของสังคม หรือเกณฑ์ตามค่านิยม ของกล่มุ คน เช่น 1. การใหเ้ ดก็ ดม่ื นมผงดกี วา่ นมแมอ่ ยา่ งไร ก. มีความสะอาด ข. ประหยดั เวลา ค. มีคุณคา่ อาหารครบ ง. เด็กเรียนรกู้ ารช่วยตวั เอง 2. การขยายพนั ธผ์ ลไม้ยืนต้นโดยการเพาะเมลด็ ดีอย่างไร ก. ออกผลดก ข. เตบิ โตเร็ว ค. ไมต่ อ้ งบารงุ รกั ษามาก ง. สะดวกและประหยัดแรงงาน จากตวั อยา่ งแนวการเขียนคาถามวัดพฤติกรรมทางสมองดังกล่าว หากมีการฝึกฝน ความสามารถในการต้ังคาถามและสังเกตตัวอย่างคาถามประเภทต่างๆ มากๆ ก็จะทาให้ครู สามารถต้งั คาถามได้ตรงตามระดบั พฤติกรรม ในข้ันแรกอาจจะเขียนคาถามโดยจาแนกออกเป็น 2 ระดับง่ายๆ ก่อน คือคาถามวัดระดับความรู้ (สติ) กับคาถามวัดระดับความคิด (ปัญญา) เมื่อมี ทักษะดีแลว้ จึงเรม่ิ เขียนคาถามจาแนกตามระดบั พฤติกรรม 6 ระดบั ดังกล่าว การวัดและประเมินผลการศึกษา (Educational Evaluation and Measurement) 72
บทที่ 4 : การสร้างแบบทดสอบวดั ผลสมั ฤทธท์ิ างการเรยี น 3.รูปแบบข้อคาถามวัดผลสมั ฤทธทิ์ างการเรียน ข้อคาถามวัดผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนที่ใช้ในการวัดผลในระดับช้ันเรียนส่วนใหญ่จะให้ ผู้สอบเขียนตอบเพ่ือวัดพฤติกรรมการศึกษาด้านพุทธิพิสัย แบ่งออก 2 ประเภท ได้แก่ ข้อ คาถามแบบอัตนัย และข้อคาถามแบบปรนัย (พวงรัตน์ ทวีรัตน์, 2530, หน้า 108-109; ป่ิน วดี ธนธานี, 2549, หน้า 92-98) ซ่งึ มีรายละเอียดดังนี้ 1. ข้อคาถามแบบอัตนัย (Subjective Test) หรือเรียกว่าข้อคาถามแบบบรรยาย หรือแบบความเรียง (Essay Test) ข้อคาถามแบบนี้ผู้สอบต้องเรียบเรียงคาตอบจากความรู้ ความสามารถของตนเองจึงกาหนดความยาวค่อนขา้ งยาก จาแนกออกเป็น 1.1 แบบจากัดคาตอบ (Restricted Rresponse) 1.2 แบบไม่จากัดคาตอบ (Unrestricted Response) หรือแบบขยายความ (Extended Response) 2. ข้อทดสอบปรนัย (Objective Test) เป็นข้อคาถามท่ีมีคาตอบที่แน่นอน ผู้ตอบ เพยี งเขียนคาตอบสน้ั ๆ หรอื เลือกคาตอบจากท่กี าหนดให้ จาแนกออกเป็น 2.1 แบบเตมิ คาตอบ (Completion Item) หรือแบบตอบส้ัน (Short Answer) 2.2 แบบใหพ้ จิ ารณาคาตอบ ซ่งึ มีหลายแบบดังนี้ 2.2.1 แบบถูกผิด (True – False Item) 2.2.2 แบบจบั คู่ (Matching Item) 2.2.3 แบบเลือกตอบ (Multiple Choice Item) ขอ้ คาถามแบบอตั นัย ลักษณะทั่วไปของข้อทดสอบอัตนัย ผู้ตอบต้องเขียนตอบโดยระลึกถึงความรู้แล้วเรียบ เรียงหรือจัดระเบียบความรู้น้ันออกมาเป็นภาษาเขียน ข้อคาถามแบบอัตนัย เป็นแบบท่เี คยนิยม ใช้กันมาตั้งแต่เดิมตราบจนกระทั่งปัจจุบัน แม้จะมีข้อจากัดในการใช้หลายประการก็ตาม แต่ก็ เป็นข้อคาถามท่ีมีคุณค่าในการวัดพฤติกรรมทางสมองระดับสูง เพราะคาตอบของข้อคาถาม อัตนัยจะได้จากการเขียนเรียบเรียงความรู้ความคิด ที่เป็นของผู้ตอบเอง โดยใช้สานวนภาษาที่ การวัดและประเมินผลการศกึ ษา (Educational Evaluation and Measurement) 73
บทที่ 4 : การสร้างแบบทดสอบวดั ผลสมั ฤทธ์ิทางการเรยี น เป็นแบบฉบับของตนเอง สาหรับลักษณะของคาถามอาจจะเขียนเป็นรูปประโยคคาถาม หรือ ประโยคคาสั่งก็ได้ดังนั้นข้อทดสอบในแต่ละชุดจึงมีจานวนไม่มากข้อ ซ่งึ จานวนข้อมีมากหรือน้อย น้ันยังข้ึนอยู่กับรูปแบบของคาถามด้วย ส่วนคาตอบนั้นจะยาวมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับคาถาม ซึ่ง อาจจะจาแนกรปู แบบของคาถามได้ 2 แบบ คอื 1. แบบจากัดคาตอบ (Restricted Response) เป็นแบบท่ีมีคาตอบแคบ หรือ ค่อนข้างส้ัน โดยจากัดขอบเขตของเนื้อหาท่ีถาม เช่น ถามให้บอกนิยาม หรืออธิบายสรุปสั้นๆ ซึ่งคาตอบอาจจะมีเพยี ง 1 หรอื 2 บรรทัด รวมทัง้ คาถามท่ีเจาะจงคาตอบบางส่วนเท่านน้ั ตัวอยา่ งแบบท่มี คี าตอบแคบ ก. วฒั นธรรมหมายถงึ อะไร ข. จงอธบิ ายความหมายของข้อความทว่ี า่ “เสียชีพอย่าเสยี สัตย์” ตวั อยา่ งคาถามที่เจาะจงคาตอบบางสว่ น ก.การท่ีป่าไมข้ องไทยถูกบกุ รุกทาลายจนเหลือนอ้ ยมาก ทาใหเ้ กิดผลเสยี หาย กระทบกระเทือนความเป็นอยูข่ องมนุษย์อยา่ งไรบ้าง จงอภิปรายมา 2 ประการ ข. จงอธิบายถงึ สาเหตทุ ่ที าให้ดินเสอ่ื มคุณภาพมา 5 ข้อ 2. แบบไม่จากัดคาตอบ (Unrestricted Response) เป็นแบบท่ีมีคาตอบค่อนข้างยาว หรืออาจจะยาวมาก ซึ่งแล้วแต่แง่มุมการต้ังคาถาม คาถามจะเปิดโอกาสให้ผู้ตอบมีอิสระในการ ตอบอย่างเต็มท่ีตามกาลังปัญญาของตน คาถามแบบน้ีจึงเหมาะสาหรับวัดความสามารถทาง สมองในระดับความคิด ตั้งแตร่ ะดับความเข้าใจขึน้ ไปจนถึงระดบั ประเมินค่า ตวั อย่างคาถามแบบไมจ่ ากัดคาตอบ ก.การทป่ี า่ ไมข้ องไทยถูกบกุ รุกทาลายจนเหลือน้อยมากทาใหเ้ กดิ ผลเสียหาย อยา่ งไร จงอภปิ ราย ข. ทีก่ ล่าวกันวา่ การปฏบิ ตั ิตามวัฒนธรรมอนั ดงี ามของไทยเสือ่ มคลายลงมากใน กลมุ่ วัยรุ่นไทย ท่านคดิ วา่ มสี าเหตมุ าจากอะไร จงอธิบายและยกตวั อย่างสนับสนุน การวัดและประเมินผลการศกึ ษา (Educational Evaluation and Measurement) 74
บทที่ 4 : การสรา้ งแบบทดสอบวัดผลสมั ฤทธิ์ทางการเรียน แนวการเขียนคาถามแบบอัตนัย นักวัดผลได้เสนอแนะแนวการต้ังคาถาม หรือ แง่มุมการตั้งคาถามแบบอัตนัยไว้มากมาย ซึ่งคาถามเหล่าน้ีสามารถเขียนใหส้ อดคล้องกับเน้ือหา หรือจุดประสงค์ของการเรยี นท่ีต้องการจะ วัด และยังสามารถเขียนคาถามเพื่อวัดระดับพฤติกรรมทางสมองท้ัง 6 ระดับ ตามแนวการ จาแนกของบลูม และคณะได้เป็นอย่างดี (พวงรัตน์ ทวีรัตน์, 2530, หน้า 104) ในที่น้ีจะเสนอ แนวคาถามไว้ 8 แนวดงั นี้ 1. คาถามเกี่ยวกับประวตั ิ ความเปน็ มา (วดั ความรู้ – ความจา) - ท้าวสุรนารคี ือใคร มบี ทบาทสาคัญอยา่ งไรในประวัติศาสตร์ไทย ? - ภเู ขาไฟเกิดขึ้นไดอ้ ยา่ งไร ? 2. คาถามเก่ียวกับวธิ ีการ (วัดความรู้ – ความจา) - ถ้าท่านพบคนเปน็ ลมแดดท่านควรให้การปฐมพยาบาลอย่างไร ? - จงเขยี นสรุปวิธกี ารทาปุย๋ หมักมาตามขน้ั ตอน 3. คาถามใหน้ ิยามหรอื บอกความหมาย (วัดความรู้-ความจา) - ทรพั ยากรธรรมชาตคิ อื อะไร จาแนกเปน็ ก่ปี ระเภท อะไรบา้ ง ? - ยาสามญั ประจาบ้านหมายถงึ ยาประเภทใด ? 4. คาถามให้อธิบาย หรอื แปลความหมาย (วัดความเข้าใจ) - คาพงั เพยท่ีว่า “ขช่ี ้างจับต๊กั แตน” หมายความว่าอย่างไร ? - ทวี่ า่ “ไฟฟา้ มีคุณอนันต์มีโทษมหนั ต์” ท่านเขา้ ใจวา่ อยา่ งไร ? 5. คาถามท่เี กยี่ วกบั การนาความรแู้ ละหลักวชิ าไปใช้ (วดั การนาไปใช)้ - เราควรจะปฏิบตั ิตนอยา่ งไรในชีวติ ประจาวนั จงึ จะป้องกนั โรคหวดั ได้ ? - ถ้าจะซือ้ อาหารสาเรจ็ รปู รบั ประทานให้ปลอดภัยและได้ประโยชน์เราควรปฏิบัติ อยา่ งไร ? การวัดและประเมินผลการศึกษา (Educational Evaluation and Measurement) 75
บทที่ 4 : การสร้างแบบทดสอบวดั ผลสมั ฤทธ์ิทางการเรียน 6. คาถามใหร้ ะบุจุดประสงคส์ าคัญทแี่ ฝงอยู่ (วดั การวเิ คราะห์) - ศาสนาพุทธมกั จะมีข้อหา้ มทาอะไรที่ตรงกนั บ้าง ? จงยกตวั อยา่ งและอธิบายมา 2 ข้อ - การคมนาคมทางรถยนต์ปัจจุบันมีผลกระทบทางลบต่อคุณภาพชีวิตของประชาชน ไทยอยา่ งไรบ้าง ? 7. คาถามใหว้ างแผน (วัดการสงั เคราะห์) - ถ้าท่านต้องการซ้ือสินค้าประเภทของใช้ ท่ีมีคุณภาพและราคายุติธรรมท่านควร ดาเนนิ การอยา่ งไร ? - ทา่ นจะมีวิธีการอย่างไรในการตรวจสอบว่าคาโฆษณาใดกลา่ วเกนิ ความจริง ? 8. คาถามใหว้ นิ จิ ฉยั การกระทาด้วยเหตผุ ล (วดั การประเมินคา่ ) - การท่ีรัฐบาลยกเลกิ สมั ปทานป่าไมจ้ ะให้ผลดที างด้านใดต่อประเทศไทย ? จงยกเหตผุ ลสนบั สนุน - การทช่ี าวสวนใช้สารเคมีฉดี ฆา่ แมลง เพอื่ รกั ษาผลผลติ ไวใ้ หม้ ากที่สุดเปน็ การ ปฏิบัติท่ไี ม่เหมาะสมในแงใ่ ด เพราะอะไร ? จงกล่าวมา 2 ประการ ขอ้ เสนอแนะการใชข้ อ้ คาถามแบบอตั นัย 1. ควรใช้ข้อทดสอบอัตนัย ในกรณีท่ีต้องการวัดพฤติกรรมท่ีไม่สามารถวัดได้ด้วยข้อ ทดสอบปรนัย เช่น ในกรณีต้องการวัดความสามารถในการเรียบเรียงความรู้ความคิด การ บรรยาย การอภิปราย การวิพากษ์วิจารณ์ การประเมินค่า หรือต้องการดูความสามารถในการ ใช้ภาษากค็ วรใชข้ ้อทดสอบแบบน้ี 2. ควรมกี ารวิเคราะห์จุดประสงคแ์ ละเน้ือหาของวชิ าก่อนท่จี ะเขียนข้อทดสอบเพื่อจะได้ เลือกวัดเฉพาะจุดประสงค์และเนื้อหาที่สาคัญพร้อมท้ังเลือกแนวคาถามให้เหมาะกับสิ่งที่ต้องการ วัดดว้ ย การวัดและประเมินผลการศึกษา (Educational Evaluation and Measurement) 76
บทที่ 4 : การสรา้ งแบบทดสอบวดั ผลสมั ฤทธิท์ างการเรียน 3. เขียนคาถามให้ชัดเจนรัดกุมโดยใช้ภาษาง่ายไม่ซับซ้อน อ่านแล้วตีความได้ตรงกัน ระหว่างผู้ถามกับผู้ตอบ นอกจากน้ียังต้องคานึงถึงวัยหรือระดับชั้นของผู้สอบด้วยหมายถึงว่าถ้า เป็นนักเรียนช้ันต้น ๆ ก็ควรชี้คาถามแคบ ภาษาง่าย มีคาตอบส้ัน ๆ ถ้าเป็นนักเรียนระดับชั้น สูงขน้ึ ไปซ่ึงมีทักษะทางภาษาดแี ลว้ จงึ ใช้คาถามกวา้ ง ภาษาซับซอ้ นและมีคาตอบไม่จากัดได้ 4. ควรมีการแนะนาการตอบหรือฝึกตอบคาถามในแนวข้อทดสอบแบบอัตนัย โดยเฉพาะในการเร่ิมใช้ข้อทดสอบแบบน้ีกับนักเรียนในครงั้ แรก เพอื่ จะไดท้ ราบแนวทางและตอบ ได้ตรงประเด็น ถ้าครูใช้ข้อทดสอบแบบน้ีบ่อย ๆ จะช่วยให้นักเรียนเกิดความคุ้นเคยในการเรียบ เรียงคาตอบและเกิดทักษะในการใชภ้ าษา 5. ควรใชค้ าถามแบบจากัดคาตอบ เพอ่ื จะได้วดั เน้ือหาไดห้ ลายจุด และควรจะมคี าถาม หลายแนวเพื่อวัดพฤติกรรมทางด้านการใช้ความคิด ซ่ึงลักษณะดังกล่าวนี้จะทาให้แบบทดสอบมี ความเที่ยงตรงและความเชื่อม่นั ดีย่ิงขน้ึ 6. ไม่ควรต้ังคาถามเพื่อไว้ให้เลือกตอบบางข้อ เพราะการกาหนดคาถามได้มาจากการ วิเคราะห์เลอื กเนือ้ หาและจดุ ประสงค์ทสี่ าคญั มาแลว้ จงึ ควรจะตอ้ งถามทุกคนเหมอื นกนั อีกประการหน่ึงข้อคาถามจะมีความยากง่ายไม่เท่ากัน หากให้เลือกตอบเพียงบางข้อจะเกิดกรณี ทว่ี า่ คะแนนที่ไดข้ ึ้นอยูก่ ับขอ้ ทดสอบมากกวา่ ขึน้ อยู่กบั ความรูค้ วามสามารถ 7. ควรตรวจสอบความเป็นปรนัยของข้อทดสอบก่อนนาไปใช้ โดยเฉพาะความชัดเจน ของคาถามวิธีท่ีช่วยตรวจสอบได้คือการตั้งคาถามพร้อมท้ังเขียนคาเฉลยแล้วนาไปให้ผู้อื่นที่มี ความรู้ช่วยตรวจและเปรยี บเทียบจนแน่ใจว่าไม่มปี ัญหา 8. ควรเขียนคาช้ีแจงในการทาข้อสอบให้ชัดเจน เช่น เน้นจานวนข้อท่ีต้องทาท้ังหมด เวลาท่ีใช้ทาข้อสอบแต่ละข้อ รวมท้ังบอกคะแนนเต็มของแต่ละข้อถ้าเป็นไปได้บอกเกณฑ์การ พจิ ารณาคะแนนไวด้ ้วยย่งิ ดี การวัดและประเมินผลการศกึ ษา (Educational Evaluation and Measurement) 77
บทท่ี 4 : การสรา้ งแบบทดสอบวัดผลสมั ฤทธทิ์ างการเรยี น วิธีการตรวจใหค้ ะแนนข้อคาถามแบบอตั นยั เนื่องจากข้อทดสอบแบบนี้จะมีคาตอบที่ไม่เฉพาะเจาะจงเป็นอย่างใดอย่างหน่ึง จึงมี จุดอ่อนตรงท่ีเกณฑ์การให้คะแนนไม่ค่อยชัดเจนหรือตายตัว จึงควรยึดถือหลักหรือวิธีตรวจให้ คะแนนที่จะช่วยเพมิ่ ความเชอื่ ม่นั วิธที ่นี ามาใช้กันมี 2 วิธดี งั นี้ วธิ ีท่ี 1 วธิ วี ิเคราะหค์ าตอบ ดาเนนิ การดังนี้ 1. จัดทาเฉลยคาตอบ หรือแนวคาตอบให้สมบูรณ์ โดยแยกเป็นประเด็นสาคัญของ คาตอบทตี่ ้องการ และแบง่ คะแนนรวมของขอ้ สอบออกเปน็ คะแนนยอ่ ยตามประเดน็ 2. อ่านและวิเคราะห์คาตอบของนักเรียนแต่ละคน นามาเปรียบเทียบกับแนวที่เฉลยวา่ มคี รบถ้วนเพยี งไร และคาตอบถูกต้องชัดเจนเพยี งไร ตดั สนิ ใหค้ ะแนนตามประเด็นย่อยก่อนแล้ว จงึ รวมเป็นคะแนนของข้อนน้ั วิธีที่ 2 วิธีท่ีจัดอันดับคุณภาพ วิธีนี้เหมาะสาหรับตรวจคาตอบประเภทที่เป็นคาถาม แคบและคาตอบประเภทท่ีแสดงความคิดโดยการสังเคราะห์ความรู้และประสบการณ์หลาย ๆ ด้าน จึงไม่จาเป็นต้องแยกประเด็น หรืออาจแยกไม่ได้ ดังนั้นจึงใช้วิธีประเมินค่าคุณภาพของ คาตอบ รวม ๆ และถ้าจะให้คะแนนมีความเช่ือมั่นยิ่งขึ้น ต้องใช้วิธีจัดอันดับคุณภาพ ซึ่ง ดาเนนิ การดงั น้ี 1. อ่านพิจารณาคาตอบของนักเรียนแต่ละคนทีละข้อแล้วแยกออกเป็นกองตามคุณภาพ ของคาตอบท่ีใกล้เคียงกัน ควรแยกเป็นหลาย ๆ กองอาจจะมี 5 กองหรือมากกว่าก็ได้ก็จะได้ กองคาตอบทเ่ี รียงจากคณุ ภาพดที ่ีสุดและรอง ๆ ลงมา 2. พิจารณาทบทวนคุณภาพคาตอบในแต่ละกองอีกคร้ังว่าจัดได้เหมาะสมหรือไม่ ถ้าไม่ เหมาะสมก็จัดแยกใหม่เล่ือนไหลกันได้ระหว่างกองที่ติดกันหรืออาจจะต้องแ ยกกองเพิ่มขึ้นอีก จนกระทั่งมีความมนั่ ใจวา่ เหมาะสมแล้ว 3. กาหนดคะแนนให้กับกองที่มีคุณภาพดีท่ีสุดก่อน พร้อมกับพิจารณาคะแนนให้กองที่ มีคุณภาพเลวที่สุดก่อนด้วย แล้วจึงพิจารณาให้คะแนนกองท่ีมีคุณภาพอยู่ระหว่างดีที่สุดกับเลว ทส่ี ดุ ซ่ึงคาตอบของทุกคนท่ีอยูใ่ นกองเดยี วกันจะไดค้ ะแนนเทา่ กนั การวัดและประเมินผลการศกึ ษา (Educational Evaluation and Measurement) 78
บทท่ี 4 : การสรา้ งแบบทดสอบวัดผลสมั ฤทธ์ิทางการเรยี น ข้อเสนอแนะการตรวจขอ้ คาถามแบบอัตนยั การตรวจข้อทดสอบอัตนัยให้คะแนนมีความเที่ยงตรงและเชื่อมั่นไดม้ ากทีส่ ุดควรจะมี หลักการที่แน่นอนและเป็นที่ยอมรับกันโดยทั่วไป (อุทุมพร จามรมาน, 2530, หน้า 67; Stenley & Hopkins,1978, pp.212–213) มขี ้อเสนอแนะในการตรวจดังน้ี 1. ก่อนการตรวจควรเฉลยคาตอบไว้อย่างครอบคลุม โดยเขียนเฉลยคาตอบท่ีเป็น ใจความสาคัญไว้หลาย ๆ แนว และกาหนดน้าหนักคะแนนของแต่ละคาตอบเรียงลาดับตาม ความสาคัญ 2. ควรต้ังเกณฑ์การให้คะแนนอย่างแน่นอน เช่น คาตอบท่ีถูกต้องจะกาหนดคะแนน เตม็ ใหส้ ่วนละเท่าไร ถา้ เปน็ คาตอบทใ่ี กล้เคียงจะลดคะแนนลงเหลือเท่าไร 3. อา่ นคาตอบของนักเรียนท่สี ุ่มเป็นตัวอย่าง เพอ่ื จะได้ความคดิ เห็นท่วั ๆ ไปทีม่ คี ุณค่าใน การกาหนดคะแนน 3. ควรตรวจให้เสร็จทีละข้อในเวลาท่ีต่อเนื่องกัน ไม่พักค้างการตรวจเอาไว้เพราะจะ ทาให้เกณฑ์การให้คะแนนไม่คงที่ หากมีคนตรวจหลายคน ควรให้รับผิดชอบตรวจเป็นข้อ ๆไป และตรวจทานซ้าอีกคร้ังเพ่ือความแน่นอน ในบางกรณีอาจจะให้ผู้มีความรู้หลาย ๆ คนตรวจทุก ขอ้ แลว้ นาคะแนนเฉล่ียอีกคร้งั กจ็ ะช่วยใหค้ ะแนนน้ันเชือ่ มนั่ ได้ดียง่ิ ขน้ึ 4. การใหอ้ าจทาได้ 2 วธิ ี คอื อ่านคาตอบของนักเรียนท้ังหมดเปรยี บเทียบกันแล้วให้ คะแนน อกี วธิ หี นึ่ง คอื กาหนดใจความสาคัญของคาตอบไว้นาคาตอบของนักเรียนมาเทียบแล้ว ใหค้ ะแนนเปน็ รายบคุ คล 5. เม่อื ให้คะแนนคาตอบแต่ละคนจนหมดหน่ึงข้อ ครูอ่านคาตอบทั้งหมดทบทวนอีกครั้ง เพอ่ื ตรวจสอบความถูกตอ้ งในการให้คะแนน 6. ถ้าเป็นข้อทดสอบมุ่งถามเก่ียวกับหลักวิชาการ ควรให้คะแนนคาตอบที่เป็นการ รวบรวมความคิด ไม่ควรหักคะแนนความสกปรกหรือความถูกต้องของการใช้ภาษา แต่ถ้า ต้องการเนน้ ทางด้านนี้ด้วยกค็ วรแจ้งเป็นขอ้ ตกลงให้ผู้ตอบทราบลว่ งหน้า การวดั และประเมินผลการศึกษา (Educational Evaluation and Measurement) 79
บทท่ี 4 : การสร้างแบบทดสอบวัดผลสมั ฤทธิ์ทางการเรยี น 7. ควรตรวจในเวลาที่สภาพร่างกาย และสภาพของอารมณ์เป็นปกติเพ่ือจะได้ไม่เกิด ผลกระทบต่อเกณฑ์การใหค้ ะแนน เพราะสว่ นมากจะใหผ้ ลทางลบมากกวา่ 8. ควรระมัดระวังความลาเอียงหรืออคติ ซ่ึงเกิดจากรอยพิมพ์ใจต่าง ๆ ในตัวผู้สอน ดังนั้นเวลาตรวจจึงไม่ควรทราบวา่ เปน็ คาตอบของใคร ขอ้ ดแี ละข้อจากัดของข้อคาถามแบบอัตนยั ขอ้ ดี 1. ใช้วัดความสามารถในการเรียบเรยี งความคดิ และสังเคราะห์ความรคู้ วามคิดได้ดีที่สุด 2. ส่งเสริมให้ผู้เรียนได้ใช้กระบวนการคิด และแสดงความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ อันเป็น การพฒั นาพฤตกิ รรมทางสมองระดับสูง 3. ส่งเสรมิ และฝกึ ฝนทักษะการใชภ้ าษา 4. สรา้ งข้อคาถามไมย่ าก ใช้เวลาน้อย และประหยัดคา่ ใชจ้ า่ ยในการสร้างข้อสอบ 5. ผู้เรียนมีโอกาสตอบคาถามโดยการเดาได้น้อยมาก ขอ้ จากดั 1. สร้างข้อคาถามได้ครั้งละน้อยข้อ เพราะต้องใช้เวลาตอบมาก จึงวัดได้ไม่ครอบคลุม เนอื้ หา ทาให้ขาดคุณลกั ษณะทดี่ ีด้านความตรงของแบบทดสอบ 2. เสียเวลาตรวจมาก เนื่องจากต้องอ่านพิจารณาคาตอบแต่ละข้อของทุกคนอย่าง ถ่ี ถ้วน 3. ความคงท่ีในการให้คะแนนต่า เนื่องจากการพิจารณาคาตอบมักจะไม่ค่อยแน่นอน ตายตัว เพราะคาตอบอาจจะเป็นไปได้หลายอย่าง การพิจารณาขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของผู้ตรวจ และคุณภาพของคาตอบอาจจะต่างกันไปตามความสามารถในการนาเสนอ แม้จะตอบตรง ประเด็นเดยี วกนั กต็ าม 4. ไม่เหมาะที่จะนามาวิเคราะห์เพ่ือพัฒนาโดยใช้เทคนิคการวิเคราะห์ดังเช่นข้อคาถาม แบบปรนยั บางชนดิ ได้ เนื่องจากไม่สามารถรกั ษาเกณฑ์การให้คะแนนได้อย่างคงท่ี การวดั และประเมินผลการศกึ ษา (Educational Evaluation and Measurement) 80
บทท่ี 4 : การสรา้ งแบบทดสอบวัดผลสมั ฤทธทิ์ างการเรยี น ข้อคาถามแบบปรนยั ลักษณะทว่ั ไปของขอ้ สอบปรนัยเปน็ แบบที่มคี าถามแบบแคบและชัดเจนทาให้คาตอบ มี ลักษณะเฉพาะเจาะจงหรือแน่นอนตายตัว คาถามแต่ละข้อจะถามเฉพาะจุดเล็ก ๆ ของเนื้อหา ดังน้ันจึงมีจานวนมากข้อ ส่วนคาตอบของคาถามประเภทนี้ผู้ตอบต้องใช้เวลาในการคิดและการ ตอบเป็นส่วนใหญ่ การเขยี นตอบใช้เวลาน้อยอาจเขียนเป็นประโยคสน้ั ๆ หรือทาเครื่องหมายบน คาตอบท่ีต้องการ (บุญเชดิ ภิญโญอนันตพงษ์, 2525, หนา้ 122) ดังน้ัน สาระสาคัญของผู้ตอบ ทีต่ ้องปฏิบตั ิมีดงั น้ี (Throndike and Hagen, 1969, p. 64) 1. ต้องอ่านข้อสอบที่มีท้ังคาถามและคาตอบที่สมบูรณ์ ทาให้ผู้ตอบไม่มีอิสระในการ แสดงความคิดเหน็ ในคาตอบน้นั เลย 2. เลอื กคาตอบที่ถูกทีส่ ดุ จากตัวเลอื กทผี่ เู้ ขยี นข้อสอบกาหนดมาให้ 3. ตอ้ งตอบคาถามจากข้อสอบหลายข้อ ข้อคาถามแบบปรนัย เป็นแบบที่นักวัดผลพัฒนาขึ้นมาเพื่อใช้แทนข้อคาถามแบบอัตนัย เน่ืองจากมีคุณสมบัติที่ลบล้างข้อจากัดบางประการของคาถามแบบอัตนัย เช่น สามารถตั้ง คาถามครั้งละหลายๆ ข้อจนครอบคลุมจุดประสงค์หรือสาระที่ต้องการวัด และสามารถกาหนด เกณฑ์การตรวจให้คะแนนคาตอบได้แน่นอน เป็นต้น ลักษณะของคาถามแบบปรนัยจะเป็น คาถามแคบ และมีคาตอบที่จากัดแน่นอน (Fixed – Answer Test) ซึ่งรูปแบบหลักท่ีเป็นรู้จักมี 4 แบบ ไดแ้ ก่ ข้อคาถามแบบเตมิ คา ขอ้ คาถามแบบถกู ผิด ข้อคาถามแบบจับคู่ และขอ้ คาถาม แบบเลอื กตอบ ซง่ึ มีรายละเอียด ดังน้ี 1. ข้อคาถามแบบเติมคา (Completion Item) ข้อคาถามแบบเติมคาอาจเรียกว่าแบบ คาตอบสั้น (Short Answer Test) เป็นแบบที่ประกอบด้วยข้อทดสอบที่ต้องการคาตอบสั้น อาจจะเป็นคา วลี ตัวเลข หรือสัญลักษณ์ (สมใจ ฤทธิสนธิ 2537 : 76) ลักษณะทั่วไปของข้อ คาถาม จะเป็นประโยคที่มีใจความแคบ ต้องการคาตอบท่ีเฉพาะเจาะจงโดยที่ผู้ตอบต้องนึกคิด คาตอบ แล้วเขียนตอบลงในที่ท่ีกาหนดให้ คาถามประเภทน้ีอาจจาแนกได้เป็น 3 รูปแบบ (พวง รตั น์ ทวรี ัตน์, 2530, หนา้ 129-130) ดังนี้ การวัดและประเมินผลการศึกษา (Educational Evaluation and Measurement) 81
บทที่ 4 : การสร้างแบบทดสอบวัดผลสมั ฤทธ์ทิ างการเรยี น 1.1 แบบตอบคาถาม (Question Format) มีลักษณะเป็นประโยคคาถามสมบูรณ์ ใหผ้ ู้สอบเขยี นคาตอบลงในที่ซง่ึ กาหนดไว้ใหต้ อบ เช่น คาช้แี จง จงเขียนคาตอบที่ถูกตอ้ งของคาถามแต่ละข้อลงในช่องทก่ี าหนดไว้ทา้ ยข้อ 1. เมอ่ื เผาผงชูรสแทบ้ นช้อนโลหะจะได้สารสีอะไร ? (................) 2. วันทเ่ี ราสามารถเห็นดวงจันทรเ์ ตม็ ดวงตลอดคืนคือวันใด ? (...................) 1.2 แบบเติมคา หรือ เติมข้อความให้สมบูรณ์ (Complete the Sentences) มี ลักษณะเป็นประโยคบรรยายความท่ีไม่สมบูรณ์ คือจะเว้นคาหรือส่วนของข้อความท่ีสาคัญไว้ให้ ผู้สอบคิดหาคาตอบมาเติม ซ่ึงเมื่อเติมแล้วจะได้ใจความสมบูรณ์ แต่ต้องพิจารณาว่ามีสาระ ถกู ตอ้ งตามนยั แหง่ คาตอบของแตล่ ะขอ้ หรือไม่ เช่น คาชีแ้ จง จงเตมิ คาตอบท่ีถูกตอ้ งลงในชอ่ งว่างของคาถามแต่ละข้อใหไ้ ด้ใจความสมบูรณ์และ ถูกต้อง 1. เมื่อเผาผงชูรสแทบ้ นชอ้ นโลหะจะได้สารส.ี .................. 2. วนั ทเ่ี ราสามารถเหน็ ดวงจนั ทรเ์ ตม็ ดวงตลอดคนื คือวัน................. 3. ภาคตะวนั ออกเฉยี งเหนือของไทยมีลักษณะภมู ปิ ระเทศเปน็ ................... 4. ยาปฏชิ วี นะ คอื ยาท่ใี ชเ้ พื่อ............................ การวัดและประเมินผลการศึกษา (Educational Evaluation and Measurement) 82
บทที่ 4 : การสร้างแบบทดสอบวดั ผลสมั ฤทธ์ิทางการเรียน 1.3 แบบหาความสัมพันธ์ (Association Format) มีลักษณะคล้ายคาถามแบบจับคู่ แตไ่ ม่กาหนดคาตอบมาให้จับคู่ ซง่ึ ส่วนนีผ้ ้สู อบจะตอ้ งคิดหาคาตอบ เช่น คาช้แี จง ให้เขียนชอื่ อวยั วะของตน้ พชื ลงในชอ่ งวา่ งที่กาหนดใหต้ ามหมายเลขในภาพ 1..................................................... 2..................................................... 3..................................................... 4..................................................... ข้อเสนอแนะการใช้ข้อคาถามแบบเติมคา 1. ขอ้ คาถามแบบเติมคาเหมาะท่ีจะใช้ในการว5ัด..ค..ว..า..ม...ร..ู้-.ค...ว..า..ม..จ..า..เ..ก..่ีย..ว..ก...บั ..ร..า..ย...ล..ะ..เ..อียดของ เน้ือหา วิธีการ และหลักวิชา (ยกเว้นการวัดในวิชาทักษะเช่น คณิตศาสตร์ ซ่ึงวัดการคิด คานวณจากโจทยต์ วั เลข หรือโจทยป์ ญั หา) 2. ควรใช้ข้อคาถามแบบเติมคาในการวัดผลย่อย หรือใช้ในลักษณะเป็นแบบฝึกหัด ทบทวนความรู้ แต่ไม่เหมาะที่จะใช้ในการวัดผลรวมเพราะว่าต้องใช้ข้อคาถามจานวนมาก และ ไม่สามารถจะวัดพฤติกรรมทางสมองระดับสูงได้ แต่อาจจะใช้เป็นส่วนประกอบของแบบทดสอบ ส่วนหน่งึ ถา้ เห็นวา่ จาเป็น ข้อเสนอแนะการเขยี นข้อคาถามแบบเติมคา 1. เขียนคาถามให้ชัดเจน รัดกุม เป็นภาษาท่ีเข้าใจง่าย เหมาะสาหรับผู้เรียนแต่ละ ระดบั ชัน้ ไมด่ ี นายกรัฐมนตรีของไทยช่ือ.............................................................................. ดขี ึ้น นายกรฐั มนตรคี นปจั จุบันของไทยชือ่ ............................................................ ไมด่ ี ข้าวจะเจรญิ งอกงามดใี น............................................................................... ดขี ึน้ ข้าวจะเจรญิ งอกงามดใี นลกั ษณะอากาศแบบ................................................ การวัดและประเมินผลการศกึ ษา (Educational Evaluation and Measurement) 83
บทที่ 4 : การสรา้ งแบบทดสอบวัดผลสมั ฤทธิ์ทางการเรยี น 2. ไม่ควรคัดลอกประโยคข้อความจากหนังสือเรียนมาสร้างเป็นคาถามแบบเติมคา เพราะประโยคในหนังสอื มักจะเป็นประโยคที่ขยายความยาว ไม่รัดกุม ทาให้เสียเวลาอ่าน และ ยงั เปน็ การสง่ เสริมใหผ้ ู้เรยี นท่องจาหนงั สือด้วย เช่น ไม่ดี กอ่ นทีจ่ ะส่งมนุษย์ข้ึนไปในอวกาศจะต้องมีการสารวจสภาพตา่ งๆ ในอวกาศ โดยใช้...........................................(คาตอบคือ ดาวเทียม) ดขี ึน้ มนษุ ย์สารวจสภาพต่างๆ ในอวกาศไดโ้ ดยใช้................................................ 3. ควรถามในสาระความรูท้ สี่ าคัญ เช่น ไม่ดี ประเทศไทยตงั้ อย่ใู น................................เอเชยี ดีข้นึ ประเทศไทยตั้งอยู่ในทวีป........................ 4. ช่องว่างที่เว้นไว้ให้เติมคาตอบควรเว้นไว้ท้ายประโยคทุกข้อ เพื่อความเป็นระเบียบ ความสะดวกในการตอบ และความสะดวกในการตรวจ ซงึ่ อาจจะกาหนดทใี่ หต้ อบต่างหากข้อละ 1 บรรทัดกไ็ ด้ ถา้ มีความจาเป็น 5. ควรเว้นช่องวา่ งไว้ให้เติมคาตอบเท่าๆ กันทุกข้อ แม้ว่าคาตอบจะสั้นยาวไม่เท่ากันใน แต่ละข้อ เพือ่ ไมใ่ ห้มีส่งิ บอกแนวการเดา 6. คาตอบเก่ียวกับปรมิ าณที่มีหนว่ ย ควรระบุหน่วยท่ีต้องการให้ตอบไว้ด้วย เพ่ือความ สะดวกในการพิจารณาตรวจคาตอบ เชน่ ไมด่ ี โลกหมนุ รอบตวั เอง 1 รอบใชเ้ วลา...................................... ดีขึน้ โลกหมนุ รอบตัวเอง 1 รอบใช้เวลา.....................................ชัว่ โมง 7. ข้อคาถามแบบเติมคาในข้อหน่งึ ๆ ไม่ควรถามมากกวา่ 1 ประเด็น เพราะจะทาให้เกิด ความสับสนในการเติมคาตอบใน หรืออาจจะมีข้อความท่ีแนะคาตอบ ดังน้ันจึงควรแยกคาถาม เป็นอสิ ระทีละประเดน็ เช่น ไม่ดี เมล็ดคือ.............ท่ีเจรญิ ข้ึนมาหลงั จากได้รับการผสมเกสรแล้ว ซึ่งภายในเมล็ด จะม.ี .................ท่ีพรอ้ มจะงอกเปน็ ต้นใหม่ตอ่ ไป ดีขึน้ 1. ส่วนประกอบของดอกที่เจริญไปเป็นเมล็ดคือ................................ 2. สว่ นของเมลด็ ทจี่ ะงอกเปน็ ต้นอ่อนคอื ............................................ การวดั และประเมินผลการศกึ ษา (Educational Evaluation and Measurement) 84
บทที่ 4 : การสรา้ งแบบทดสอบวดั ผลสมั ฤทธ์ทิ างการเรียน 8. ควรสร้างเป็นแบบข้อคาถามสมบูรณ์ จะมีความชัดเจนดีกว่าแบบเติมคาหรือเติม ข้อความ เชน่ ไมด่ ี ลมบกคอื ............................................ ดขี นึ้ ลมบกเกดิ ในเวลา......................................... ดขี ึน้ ลมบกคอื ลมท่ีเกิดในชว่ งเวลาใด ? (.....................................) 9. หลังจากสร้างข้อคาถามเสร็จแล้วควรทาเฉลยคาตอบไว้ทันที เพ่ือความแน่นอนและ ประหยดั เวลาในภายหลงั หลกั การตรวจใหค้ ะแนน 1. คาตอบแตล่ ะขอ้ ควรกาหนดคะแนนเท่าๆ กัน 2. ถ้าเป็นคาถามที่มีคาตอบได้มากกว่า 1 คาตอบ ควรให้คะแนนเหมือนกันทุกคาตอบ เพ่อื ความยุตธิ รรม 3. หากจาเป็นตอ้ งหักคะแนนเรอ่ื งความผิดพลาดในการใช้ภาษา ควรแจ้งเกณฑใ์ หผ้ สู้ อบ ทราบลว่ งหน้าเพ่อื จะได้ตอบอยา่ งระมดั ระวงั ข้อดีและขอ้ จากดั ของข้อคาถามแบบเติมคา ข้อดี 1. เขยี นคาถามได้ง่าย และไม่ส้นิ เปลอื งเวลามาก 2. ถามไดค้ รัง้ ละมากๆ ขอ้ จนคลอบคลุมเน้อื หา เพราแต่ละขอ้ ใชเ้ วลาตอบน้อย 3. โอกาสเดาคาตอบถกู นอ้ ย และเดาคาตอบถกู ยากกว่าข้อคาถามแบบปรนยั แบบอืน่ 4. การตรวจให้คะแนนไม่ยุ่งยาก ตรวจง่ายกว่าข้อคาถามแบบอัตนัย เพราะเกณฑ์การ ใหค้ ะแนนมคี วามคงที่แนน่ อน ข้อจากดั 1. ไมเ่ หมาะทจี่ ะใช้วัดความสามารถทางสมองระดับสูงกวา่ ความจา 2. อาจจะมีความบกพร่องทางด้านความคลุมเครือของคาถาม ตลอดจนคาตอบของ ผู้สอบ ทาใหค้ ะแนนเกดิ ความคลาดเคลื่อนได้ การวดั และประเมินผลการศกึ ษา (Educational Evaluation and Measurement) 85
บทที่ 4 : การสรา้ งแบบทดสอบวัดผลสมั ฤทธิ์ทางการเรียน 2. ข้อคาถามแบบถูก-ผิด (True – False Item) ลักษณะของข้อคาถามจะกาหนด ข้อความบรรยายเกี่ยวกับความรู้ หรือข้อเท็จจริงต่างๆ ผู้เรียนจะต้องพิจารณาว่าข้อความน้ัน กล่าวถูกหรือผิด จริงหรือเท็จ ดังน้ันการตอบคาถามแบบน้ี จึงเพียงแต่พิจารณาข้อความท่ีให้มา แล้วตัดสินคาตอบทางใดทางหน่ึงจากสองทางเท่านั้น ข้อคาถามแบบถูก-ผิด อาจจะเหมาะ สาหรับใช้วัดความรู้ความจาก็จริง แต่ถ้าผู้สร้างมีประสบการณ์ท่ีดีแล้วจะสามารถสร้างข้อคาถาม ที่วัดพฤติกรรมทางสมองระดับความเข้าใจหรือระดับสูงกว่าได้ด้วย สาหรับรูปแบบของคาถาม โดยท่ัวไปจะคล้ายๆ กัน แต่มีข้อแตกต่างในลักษณะใจความของประโยค และวิธีการตอบท่ี แตกต่างกนั ไป ขอให้สงั เกตตัวอยา่ งต่อไปนี้ แบบขอ้ ความเดย่ี วท่ีไมต่ ้องมสี ่วนขยาย คาชี้แจง จงเขยี นเครื่องหมาย หนา้ ขอ้ ความที่กลา่ วถูกต้อง และเขียนเครอ่ื งหมาย หน้า ข้อความท่ีกลา่ วผดิ ................ 1. โลกจัดเปน็ ดาวเคราะห์ ................ 2. ในเวลากลางวนั ดวงจนั ทรอ์ ยู่อกี ซีกหนง่ึ ของโลก ............... 3. ................................................. แบบระบุความเกี่ยวข้องสัมพันธ์ คาช้แี จง จงเขียนเครื่องหมาย หนา้ ขอ้ ความทีเ่ ป็นประโยชนโ์ ดยตรงของบ้านและ เคร่ืองหมาย หน้าข้อที่ไมใ่ ชป่ ระโยชนโ์ ดยตรงของบา้ น ................ 1. เป็นท่พี ักผ่อน ................ 2. เป็นทอ่ี ยู่อาศยั ของสัตว์เล้ยี ง ............... 3. ................................................. การวัดและประเมินผลการศกึ ษา (Educational Evaluation and Measurement) 86
บทท่ี 4 : การสร้างแบบทดสอบวัดผลสมั ฤทธทิ์ างการเรยี น แบบใหพ้ จิ ารณาความสอดคล้องหลกั การกับการปฏบิ ตั ิ (วดั การนาไปใช้) คาช้ีแจง พิจารณาการกระทาต่อไปน้ีวา่ ขอ้ ใดถอื เป็นตัวอยา่ งของความเมตตากรุณาให้ใส่ อักษร ถ ถา้ ไม่เปน็ ให้ใส่ตัวอักษร ผ ลงในชอ่ งวา่ งหน้าข้อความ (................) 1. สุดาชว่ ยพอ่ รดนา้ ต้นไม้ทุกวัน (................) 2. วชิ ัยช่วยจูงเดก็ ขา้ มถนน (...............) 3. ................................................. ข้อเสนอแนะการใชข้ อ้ คาถามแบบถกู ผดิ 1. ควรใช้ข้อคาถามถูก-ผิดเพ่ือการทดสอบหรือทบทวนความรู้ตอนต้นชั่วโมงเรียนและ ท้ายช่ัวโมงเรียน เนื่องจากข้อคาถามน้ีใช้เวลาตอบน้อยมาก สามารถถามได้หลายๆ ข้อในเวลาอัน จากดั 2. ไม่ควรใช้ข้อทดสอบถูก-ผิด ในการวัดผลรวม เพราะไม่สะดวกที่จะสร้างให้วัด พฤติกรรมทางสมองระดับสูง และยงั อานวยใหม้ โี อกาสตอบถูกโดยการเดาไดถ้ ึง 50 % ขอ้ เสนอแนะการเขยี นคาถามแบบถูกผดิ 1. เขียนคาถามให้เป็นภาษาง่าย ชัดเจน รัดกุม ข้อความท่ีให้พิจารณาต้องไม่ขยาย ความยาวอ้อมค้อมจะทาให้เสยี เวลาอา่ นหรือสับสน และตอ้ งไมส่ ัน้ เกนิ ไปจนกากวม เชน่ ไม่ดี โปรตนี มีราคาแพงมาก ดีขึน้ อาหารประเภทโปรตีนมรี าคาแพงกว่าอาหารประเภทอ่ืน ไมด่ ี การที่นักวิทยาศาสตร์ห้ามนาภาชนะพลาสติกมาใส่อาหารก็เพราะความร้อน จะละลายพลาสติกปนมาในอาหาร ดีขึ้น อาหารร้อนจัดจะทาใหภ้ าชนะบรรจทุ ี่เปน็ พลาสตกิ ละลายปนมาในอาหาร การวดั และประเมินผลการศึกษา (Educational Evaluation and Measurement) 87
บทท่ี 4 : การสรา้ งแบบทดสอบวัดผลสมั ฤทธ์ทิ างการเรยี น 2. ควรใช้ข้อความที่มีใจความหลักเพียงส่วนเดียว เพราะถ้ามีหลายส่วนจะทาให้เกิด ปญั หาขดั แยง้ ในกรณที ี่มีขอ้ ความถูกสว่ นหนงึ่ และผดิ อีกสว่ นหนึง่ เชน่ ไม่ดี ผกั ชีเป็นพชื ลม้ ลกุ และขยายพนั ธุ์ไดโ้ ดยการปกั ชา (ส่วนหนา้ ถกู ส่วนหลงั ผดิ ) ดีขน้ึ 1. ผักชจี ัดเป็นพืชลม้ ลกุ 2. เราสามารถขยายพันธผ์ุ กั ชีได้ด้วยวิธีปกั ชา 3. หลีกเลี่ยงการใช้ประโยคปฏิเสธ เพราะอาจทาให้ผู้สอบสับสน โดยเฉพาะประโยค ปฏเิ สธซอ้ นไมค่ วรใช้อย่างย่ิง แตค่ วรเปลีย่ นเป็นประโยคบรรยายธรรมดา เช่น ไมด่ ี จงั หวัดนครปฐมไม่มสี นามบิน ดขี น้ึ จังหวัดนครปฐมไมม่ ีสนามบิน ไม่ดี ถา้ ไม่ทง้ิ ขยะลงแม่น้าจะไมท่ าใหน้ า้ เนา่ เสีย ดขี ึน้ ถ้าทงิ้ ขยะลงแม่น้าจะทาให้น้าเนา่ เสยี 4. ข้อความท่ีกาหนดมาให้พิจารณา ต้องตัดสินได้ว่าถูกหรือผิดตามหลักวิชา ไม่ คลมุ เครอื หรือไม่ใช่ตัดสินโดยใชค้ วามคดิ เห็นสว่ นตวั เชน่ ไม่ดี เฮโรอนี เป็นสิง่ เสพติด เพราะตารวจจับ ดีข้ึน เฮโรอีนเป็นสงิ่ เสพติดทผ่ี ิดกฎหมาย เพราะใหโ้ ทษรา้ ยแรงต่อร่างกาย ไมด่ ี ชาวพทุ ธไมค่ วรประกอบอาชพี เกี่ยวกับการฆา่ สัตว์ ดีขึ้น การฆา่ สัตว์เป็นการทาผิดศีลขอ้ ท่ี 1 5. ไมค่ ัดลอกข้อความจากหนังสือมาจัดทาเป็นข้อคาถามโดยตรง เพราะข้อความมักจะมี สว่ นขยายยาวเกินความจาเป็น ควรนามาสรปุ เป็นขอ้ ความใหมใ่ ห้สนั้ ชัดเจน 6. ควรมีทั้งถูกและผิดปะปนอยู่ในชุดเดียวกัน โดยมีจานวนใกล้เคียงกัน แต่ไม่ จาเปน็ ต้องมเี ท่ากัน 7. ไม่ควรวางข้อถูกและผิดอยู่ในตาแหน่งท่ีเป็นระบบเพราะจะเห็นเป็นข้อสังเกต หรือ เป็นแนวทางการเดาได้ การวดั และประเมินผลการศึกษา (Educational Evaluation and Measurement) 88
บทท่ี 4 : การสรา้ งแบบทดสอบวัดผลสมั ฤทธิท์ างการเรียน หลักการตรวจใหค้ ะแนนแบบถกู ผิด 1. แต่ละขอ้ กาหนดคะแนนเทา่ ๆ กนั 2. ไม่ควรมีการหักคะแนนการเดา เมื่อมีผู้สอบตอบไม่ถูก เพราะการตอบถูกหรือตอบ ผดิ พลาดก็เกิดจากการเดาไดเ้ ชน่ กัน และการตอบผดิ พลาดกอ็ าจจะไม่ไดเ้ กดิ จากการเดา 3. ข้อทดสอบถกู ผดิ ชนิดผิดตอ้ งใหเ้ หตผุ ลหรือตอ้ งแก้ให้ถูก ควรตั้งเกณฑก์ ารใหค้ ะแนน ใหร้ ัดกมุ และแจง้ ให้ผู้สอบทราบลว่ งหน้าด้วย ข้อดแี ละขอ้ จากดั ของขอ้ คาถามแบบถกู ผดิ ข้อดี 1. เขียนคาถามไดง้ า่ ย และไมส่ ิ้นเปลอื งเวลามาก 2. ถามได้ครงั้ ละมากๆ ขอ้ เพราะแต่ละข้อใชเ้ วลานอ้ ย 3. ตรวจให้คะแนนคาตอบได้ง่ายและรวดเร็วท่ีสุด เพราะมีคาตอบเพียง 2 กรณีเท่าน้ัน ดังน้ันเกณฑ์การให้คะแนนจึงคงที่แนน่ อน 4. นอกจากจะเหมาะสาหรับใช้วัดความรู้ความจาท่ีเป็นพื้นฐานแล้ว ยังอาจจะสร้างให้ วัดในระดับความเข้าใจหรอื ระดับสูงกว่าในบางเนื้อหาได้ แตต่ อ้ งกาหนดขอ้ ความอยา่ งรดั กุม ข้อจากดั 1. มีโอกาสเดาคาตอบสูงถึง 50 % ทาให้ขาดความเที่ยงในการสรุปพฤติกรรมหรือ ความสามารถของผู้เรียน 2. ไม่สามารถนาคาตอบมาวิเคราะห์ความยากหรืออานาจจาแนกได้ เน่ืองจากมีโอกาส เดาสูง และไม่สามารถวินิจฉัยได้ว่าที่ตอบผิดพลาดน้ันเกิดจากข้อบกพร่องใด หรือแม้จะตอบถูก หรือสรปุ ไมไ่ ด้ว่ามีความรู้จริงหรือเปลา่ 3. ไมส่ ะดวกทีจ่ ะเขียนเปน็ คาถามวัดพฤติกรรมทางสมองระดับสงู เพราะมักจะมีปญั หาว่า ข้อความทีก่ าหนดข้ึนถกู -ผดิ ไม่สมบรู ณ์ 4. ต้องสร้างข้อทดสอบคร้ังละมากๆ ข้อ ให้ละเอียดครอบคลุม จึงจะช่วยให้มีความ เทีย่ งตรงดขี ึน้ การวดั และประเมินผลการศกึ ษา (Educational Evaluation and Measurement) 89
บทที่ 4 : การสรา้ งแบบทดสอบวดั ผลสมั ฤทธิ์ทางการเรยี น 3. ข้อคาถามแบบจับคู่ (Matching Item) ลักษณะข้อคาถามแบบจับคู่จะกาหนด รายการของส่ิงท่ีเก่ียวข้องกับสองชุด ชุดหน่ึงให้เป็นตัวยืนซ่ึงทาหน้าที่เสมือนคาถาม อีกชุดหนึ่ง ให้เปน็ ตวั เลือกซึง่ ทาหนา้ ท่เี สมือนเปน็ คาตอบ การวางรายการท้งั สองชดุ อาจจะวางไวใ้ นแนวตั้ง โดยให้ตัวยืนอยู่ทางซ้ายมือ และตัวเลือกอยู่ทางขวามือ หรือให้ตัวเลือกอยู่ในแนวนอนด้านบน หรอื ดา้ นลา่ งของตัวยืนก็ได้ ผสู้ อบจะต้องจบั คู่ตวั ยืนกับตวั เลือกตวั หนึ่งท่ีมคี วามเกี่ยวข้องสัมพันธ์ กันโดยตรง สิ่งท่ีควรจะนามาจับคู่กันต้องเป็นความรู้ท่ีจัดเป็นกลุ่มเดียวกัน พวกเดียวกัน หรือ ประเภทเดียวกนั เชน่ ชือ่ คน-ผลงาน ตาแหน่ง-หน้าที่ เหตุการณ์-สถานท่ีเกิด เหตกุ ารณ์-เวลา เครื่องมือ-ประโยชน์ สถานท่ีสาคัญ-ท่ีตั้ง คาศัพท์-คาแปล และตัวอย่าง-ประเภท เป็นต้น สาหรับรูปแบบของข้อคาถามแบบจบั คอู่ าจจะพิจารณาแบบหลักได้ 2 แบบดังนี้ 3.1 แบบความสัมพันธ์กันเป็นคู่ รูปแบบน้ีจะกาหนดรายการที่เป็นตัวยืนตาม จานวนท่ีต้องการ และกาหนดรายการที่เป็นตัวเลือกให้มีมากกว่าตัวยืนอย่างน้อย 2 หรือ 3 รายการ และตวั เลอื กแต่ละตวั ใชต้ อบได้ครั้งเดยี ว เช่น คาชแ้ี จง รายการทางซ้ายมือคือกลุ่มบุคคลทจ่ี ะร่วมกนั จดั ต้ังสหกรณ์ รายการทางขวามอื คอื ชื่อ ประเภทของสหกรณ์ จงนาตัวอกั ษรหนา้ รายการทางขวามือมาใสล่ งในช่องว่างหน้า รายการทางซ้ายมือทีม่ ีความสัมพันธ์กนั .............. 1. จัดต้งั ในหมขู่ องผ้บู ริโภคท่วั ไป ก. สหกรณ์นิคม .............. 2. จดั ตัง้ ในหมูข่ องผมู้ ีอาชพี จับสัตวน์ า้ ข. สหกรณบ์ รกิ าร .............. 3. จัดตัง้ ในหมขู่ องผทู้ ี่มรี ายได้แยกเฉพาะอาชีพ ค. สหกรณ์ร้านคา้ .............. 4. จัดตง้ั ในหมขู่ องผทู้ ีป่ ระกอบอาชีพทาสวน ทานา ง. สหกรณ์ประมง ทาไร่ และเล้ียงสัตว์ จ. สหกรณก์ ารเกษตร ............. 5. จัดต้ังในหมู่ผ้ทู ต่ี ้องการมที ด่ี นิ สาหรับทาไร่ ทานา ฉ. สหกรณอ์ อมทรพั ย์ หรือเลี้ยงสัตว์ ช. สหกรณ์อุตสาหกรรม การวัดและประเมินผลการศกึ ษา (Educational Evaluation and Measurement) 90
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126