45 3. ความแตกตา่ งของหนงั สืออิเลก็ ทรอนิกส์กับหนังสอื ท่ัวไป สันทนา สงครินทร์ (2552) อา้ งถึงใน บุญรตั น์ แผลงศร (2558, หนา้ 7) ได้อธิบายความ แตกต่างของหนังสืออิเล็กทรอนิกส์กับหนังสือทั่วไป ซึ่งขึ้นอยู่กับรูปแบบของการสร้างและการใช้งาน แสดงรายละเอยี ดดังตารางที่ 2-6 ตารางที่ 2-6 การวเิ คราะห์คณุ ลักษณะของหนังสอื อิเล็กทรอนกิ ส์และหนงั สอื ท่วั ไป รายการ หนังสอื อิเล็กทรอนิกส์ หนงั สอื ท่วั ไป วสั ดุ ไมใ่ ชก้ ระดาษ (อนุรักษท์ รัพยากรป่า ใช้กระดาษ ลักษณะเน้อื หา เสยี ง ไม้) การแก้ไข สามารถสร้างให้มีภาพเคล่ือนไหวได้ มีขอ้ ความและภาพประกอบธรรมดา เนื้อหาเพิ่มเตมิ สามารถใสเ่ สยี งประกอบได้ ไม่มเี สยี งประกอบ ตน้ ทนุ การผลิต สามารถแก้ไจและปรบั ปรุงข้อมลู สามารถแก้ไจและปรบั ปรุงข้อมลู ข้อจากดั (update) ได้งา่ ย (update) ไดย้ าก อุปกรณ์ สามารถสรา้ งจุดเชอ่ื มโยง (links) มคี วามสมบูรณ์ในตวั เอง ผอู้ า่ น ออกไปยังข้อมูลภายนอกได้ การพกพา มีต้นทนุ ในการผลติ หนังสอื ตา่ มตี ้นทุนในการผลติ หนงั สอื สูง ไมม่ ีข้อจากดั ในการจดั พิมพ์ สามารถ มีข้อจากดั ในการจดั พิมพ์ ทาสาเนาได้ง่ายไม่จากัด สามารถอ่านผา่ นคอมพิวเตอร์ และสั่ง สามารถเปดิ อา่ นจากเล่ม อา่ นได้ พิมพผ์ ลได้ อย่างเดยี ว หนังสอื อิเล็กทรอนิกส์ 1 เลม่ สามารถ สามารถอ่านได้ 1 คนต่อ 1 เล่ม อ่านพร้อมกนั ไดจ้ านวนมาก (ออนไลน์ ผา่ นระบบเครือข่ายอนิ เทอร์เน็ต) สามารถพกพาสะดวกไดค้ ร้งั ละจานวน สามารถพกพาลาบาก และตอ้ ง มาก ในรูปแบบของไฟล์คอมพวิ เตอร์ เดินทางไปใชท้ ี่หอ้ งสมดุ และศูนย์ และสามารถเขา้ ถึงไดโ้ ดยไม่จากดั เร่อื ง สารนเิ ทศต่าง ๆ สถานท่แี ละเวลา
46 4. ประเภทของหนงั สืออิเล็กทรอนกิ ส์ รปู แบบของหนงั สืออิเล็กทรอนิกส์แบง่ ตามชอ่ งทางการส่ือสาร (Barker, 1991, p. 140- 141 อา้ งถึงใน วไิ ลรักษ์ บุญงาม, 2550, หน้า 16) สามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภท คือ 1. หนังสืออิเล็กทรอนิกส์ที่ใช้ช่องทางการสื่อสารแบบทางเดียว เป็นหนังสือ อิเล็กทรอนิกส์ที่ผู้อ่านสามารถรับสารได้เพียงช่องทางเดียว เช่น ใช้ตาดู หรือใช้หูฟังแต่เพียงอย่างใด อย่างหนึ่งเท่านั้น ได้แก่ หนังสือเรียนอิเล็กทรอนิกส์ (Textbooks) หนังสืออิเล็กทรอนิกส์ภาพน่ิง (Picture Books) และ หนังสอื อิเลก็ ทรอนกิ สห์ ลายภาษา (Talking Books) เป็นตน้ 2. หนังสืออิเล็กทรอนิกส์ที่ใช้ช่องทางการสื่อสารแบบหลายช่องทาง เป็นหนังสือ อิเล็กทรอนิกส์ที่ผู้อ่านสามารถรับข่าวสารได้หลายช่องทาง เช่น ใช้ตาดู ใช้หูฟัง ใช้มือสัมผัสหน้าจอ ได้แก่ หนังสืออิเล็กทรอนิกส์สื่อประสม (Multimedia Books) หนังสืออิเล็กทรอนิกส์รวมสื่อ (Poly Media Books) และ หนงั สืออเิ ลก็ ทรอนิกส์ไฮเปอร์มีเดีย (Hypermedia Books) เป็นต้น รปู แบบของหนังสืออิเล็กทรอนกิ สแ์ บ่งตามหน้าที่ (Barker and Giller, 1992 อ้างถึงใน สุวิดา ศรีนาค, 2552, หนา้ 16) สามารถแบง่ ออกได้ 4 รปู แบบ คอื 1. หนังสืออิเล็กทรอนิกส์สาหรับเก็บเอกสารสาคัญ (Archival) จะมีที่เก็บข้อมูล ข่าวสารขนาดใหญ่ ในรูปแบบของฐานข้อมูล วิธีใช้งานผู้ใช้ขั้นปลายสามารถใช้งานได้หลากหลาย รูปแบบ ตัวอย่างหนังสือประเภทน้ี ได้แก่ สารานุกรมโกรเลียร์ (Grolier Encyclopedia) และ สารานุกรมมลั ตมิ เี ดียคอมพต์ นั (Compton's Multimedia Encyclopedia) เป็นตน้ 2. หนังสืออิเล็กทรอนิกส์สาหรับให้ข่าวสารความรู้ (Information) จะมีลักษณะคาบ เกี่ยวกับหนังสืออิเล็กทรอนิกส์รูปแบบแรก แต่ข่าวสารจะกินความแคบกว่าแบบแรก และมีลักษณะ เฉพาะมากกว่า มีความสัมพันธ์กับหัวข้อเรื่องใดหัวข้อเรื่องหนึ่งโดยเฉพาะ ตัวอย่างเช่น หนังสือเรียน แพทย์ศาสตรอ์ อ๊ กซ์ฟอร์คบนซีดรี อมและหนงั สอื รายชือ่ เพลงนิมบัส เป็นต้น 3. หนังสืออิเล็กทรอนิกส์สาหรับเพื่อการสอน (Instructional) เป็นรูปแบบหนังสือ อิเล็กทรอนิกส์ที่มีประสิทธิภาพ และมีประโยชน์อย่างมากในการถ่ายทอดความรู้ ความชานาญ เพ่ือ สนับสนนุ การเรียนรู้และการอบรม ผู้เรียนจะไดร้ ับความรู้และทราบความก้าวหนา้ ในการเรียนของตน หนังสืออิเล็กทรอนิกส์ประเภทนี้ บางส่วนจะมีการประเมินและประยุกต์ตามรูปแบบการเรียนรู้ของ แต่ละคน จะมกี ารนาเสนอให้เหมาะสมกับผู้เรียนแตล่ ะคน ตัวอยา่ งเช่น หนังสอื เรียนอิเล็กทรอนกิ ส์ ที่ มีการออกแบบหน้าจอสาหรบั คอมพิวเตอร์พื้นฐานการอบรม
47 4. หนังสืออิเล็กทรอนิกส์แบบตั้งคาถาม (Interrogational) เป็นรูปแบบหนังสือ อเิ ล็กทรอนิกส์ที่มีจุดมุ่งหมายเพ่ือการทดสอบ สอบย่อย และประเมินผลกิจกรรม โดยวัดจากความรู้ท่ี ได้จากการศึกษา หัวข้อที่เกี่ยวข้องหนังสืออิเลก็ ทรอนกิ สแ์ บบตั้งคาถามจะประกอบดว้ ย 3 ลักษณะท่ี สาคัญคือ ธนาคารตั้งคาถามหรือแบบฝึกหัด ข้อสอบ ลักษณะการประเมินผล และระบบผู้เชี่ยวชาญ จะมีการวิเคราะห์ผลที่ได้จากการเรียน มีการแข่งขันและพิจา รณาให้ระดับที่เหมาะสมกับ ความสามารถของผเู้ รียน เบเกอร์ (Barker, 1992, p. 139-149 อ้างถึงใน บุษบา ชูคา, 2550, หน้า 40) ได้แบ่ง รูปแบบของหนงั สอื อเิ ล็กทรอนิกส์ ออกเปน็ 10 ประเภท คือ 1. หนังสือเรียนอิเล็กทรอนิกส์แบบหนังสือ หรือแบบตารา (Textbooks) หนังสือ เรียนอิเล็กทรอนิกส์ ประเภทนี้เน้นการจัดเก็บและนาเสนอข้อมูลที่เป็นตัวหนังสือ และภาพประกอบ ในรูปแบบหนังสือปกติที่พบเห็นท่ัวไป หลักหนังสือเรียนอิเล็กทรอนิกส์ชนิดนีส้ ามารถกลา่ วได้ว่า เป็น การแปลงหนังสือจากสภาพสิ่งพิมพ์ปกติเป็นสัญญาณดิจิทัล เพิ่มเติมศักยภาพการนาเสนอ การ ปฏิสัมพันธ์ระหว่างผู้อ่านกับหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ ด้วยศักยภาพของคอมพิวเตอร์ขั้นพื้นฐาน เช่น การเปิดหน้าหนังสอื การสบื ค้น การคัดลอก เป็นต้น 2. หนงั สืออเิ ล็กทรอนิกสแ์ บบหนังสือเสียงอา่ น (Talking Book) เปน็ หนังสือมีเสียงคา อ่าน เมื่อเปิด หนังสือจะมีเสียงอ่าน หนังสือเรียนอิเล็กทรอนิกส์ประเภทนี้เหมาะสาหรับเด็กเริม่ เรยี น หรือสาหรับฝึกออกเสียง หรือฝึกพูด เป็นต้น หนังสือเรียนอิเล็กทรอนิกส์ชนิดนี้เป็นการเน้น คุณลกั ษณะด้านการนาเสนอเนื้อหาท่ีเป็นตัวอักษร และเสียงเปน็ ลักษณะหลัก นยิ มใช้กับกลุ่มผู้อ่านท่ี มีระดับทักษะทางภาษาโดยเฉพาะด้านการฟังหรือการอ่านค่อนข้างตา่ เหมาะสาหรบั การเร่ิมต้นเรียน ภาษาของเด็ก ๆ หรือผูท้ ก่ี าลงั ฝึกภาษาท่ี 2 หรือฝึกภาษาใหม่ เป็นต้น 3. หนังสืออิเลก็ ทรอนกิ สแ์ บบหนงั สอื ภาพน่ิงหรืออลั บ้ัมภาพ (static Picture Books) เป็นหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ทมี่ คี ุณลักษณะหลักเน้นจัดเก็บข้อมูล และนาเสนอข้อมูลในรูปแบบภาพน่งิ หรืออัลบั้มภาพเป็นหลัก เสริมด้วยการนาศักยภาพของคอมพิวเตอร์มาใช้ในการนาเสนอ เช่น การ เลอื กภาพท่ีตอ้ งการการขยายหรอื ย่อขนาดของภาพหรือตัวอักษร 4. หนงั สืออิเลก็ ทรอนิกสแ์ บบหนังสือภาพเคล่ือนไหว (Moving Picture Books) เป็น หนงั สอื อเิ ล็กทรอนิกสท์ เ่ี นน้ การนาเสนอข้อมลู ในรูปแบบวดี ิทัศน์ หรือภาพยนตร์ส้ัน ๆ ผนวกกบั ข้อมูล สารสนเทศในรูปแบบ ตัวหนังสือ ผู้อ่านสามารถเลือกอ่านข้อมูลได้ ส่วนใหญ่นิยมนาเสนอข้อมูล เหตกุ ารณ์ประวัตศิ าสตร์ หรอื เหตกุ ารณส์ าคัญ ๆ เช่น ภาพเหตุการณ์สงครามโลก เปน็ ตน้ 5. หนังสืออิเล็กทรอนิกส์แบบหนังสือสื่อประสม (Multimedia) เป็นหนังสือ อิเล็กทรอนิกส์ที่เน้นเสนอข้อมูลเนือ้ หาสาระในลกั ษณะแบบสื่อผสมระหว่างสื่อภาพ ที่เป็นทั้งภาพนง่ิ
48 และภาพเคลื่อนไหวกับสื่อประเภทเสียงในลักษณะต่าง ๆ ผนวกกับศักยภาพของคอมพิวเตอร์อ่ืน เช่นเดยี วกนั กบั หนงั สืออิเลก็ ทรอนกิ ส์อน่ื ๆ ที่กล่าวมา 6. หนังสืออิเล็กทรอนิกส์แบบหนังสือสื่อหลากหลาย (Polymedia books) เป็น หนังสืออิเลก็ ทรอนิกสท์ ่ีมีลักษณะเชน่ เดียวกับหนังสืออิเล็กทรอนิกส์สื่อประสม แต่มีความหลากหลาย ในคุณลักษณะด้านความเชื่อมโยงระหว่าข้อมูลภายในเล่มที่บันทึกในลักษณะต่าง ๆ เช่น ตัวหนังสือ ภาพน่ิง ภาพเคลือ่ นไหว เสยี ง ดนตรี เปน็ ต้น 7. หนงั สอื อิเลก็ ทรอนิกส์แบบหนงั สือเช่ือมโยง (Hypermedia Book) เป็นหนังสือท่ีมี คุณลักษณะสามารถเชือ่ มโยงเนื้อหาสาระภายในเล่ม ซึ่งผู้อ่านสามารถคลิกเพื่อเช่ือมโยงไปสู่เนื้อหาที่ ออกแบบเชื่อมโยงกันภายในเล่ม การเชื่อมโยงเช่นนี้มีคุณลักษณะเช่นเดียวกันกับบทเรียน โปรแกรม แบบแตกกิ่ง นอกจากนี้ยังสามารถเชื่อมโยงกับแหล่งเอกสารภายนอกเมื่อเชื่อมต่อระบบอินเทอร์เนต็ หรอื อินทราเนต็ 8. หนังสืออิเล็กทรอนิกส์แบบหนังสืออัจฉรยิ ะ (Intelligent Electronic Books) เป็น หนงั สือส่ือประสม แตม่ ีการใช้โปรแกรมข้ันสงู ทสี่ ามารถมปี ฏิกิรยิ าหรือปฏสิ มั พนั ธก์ ับผู้อา่ น เสมือนกับ หนงั สือมีสติปัญญาในการไตร่ตรอง หรอื คาดคะเนในการโต้ตอบหรือมปี ฏกิ ริ ยิ ากับผู้อา่ น 9. หนังสืออิเล็กทรอนิกส์แบบสื่อหนังสือทางไกล (Telemedia Electronic Books) หนังสืออิเล็กทรอนิกส์ประเภทนี้มีคุณลักษณะหลัก ๆ คล้ายกับหนังสืออิเล็กทรอนิกส์แบบหนังสือ เชือ่ มโยง แตเ่ นน้ การเช่ือมโยงกบั แหล่งข้อมูลภายนอกผ่านระบบเครือขา่ ย ท้ังท่ีเป็นเครือข่ายเปิดและ เครอื ข่ายเฉพาะสมาชิกของเครือข่าย 10. หนังสืออิเล็กทรอนิกส์แบบไซเบอร์สเปช (Cyberspace books) หนังสือ อิเล็กทรอนิกส์ประเภทนี้มีลักษณะเหมือนกับหนังสืออิเล็กทรอนิกส์หลาย ๆ แบบที่กล่าวมาแล้วมา ผสมกัน สามารถเชื่อมโยงข้อมูล ทั้งจากแหล่งภายในและภายนอก สามารถนาเสนอข้อมูลในสื่อท่ี หลากหลาย สามารถปฏิสัมพนั ธ์กบั ผูอ้ า่ นไดห้ ลากหลายมิติ จากการศึกษาผู้วิจัยได้ดาเนินการออกแบบและพัฒนาหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ รายวิชาเคมี เรื่อง อัตราการเกิดปฏิกิริยาเคมี โดยกาหนดให้เป็นหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ประเภทหนังสือสื่อประสม (Multimedia Book) ซึ่งเป็นการรวมช่องทางการสือ่ สารสองทางหรอื มากกว่าเข้าด้วยกันเพ่ือเข้ารหัส ข้อมลู เปน็ การรวมตวั อักษร ภาพนง่ิ และภาพเคลื่อนไหว มารวมไว้ดว้ ยกนั ตามโครงสร้างแบบเส้นตรง เมื่อผลิตเสร็จสื่อจะออกมาในรูปของสื่อเดียว โดยหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ประเภทสื่อประสม (Multimedia) จะเน้นนาเสนอข้อมูลหรือเนื้อหาต่าง ๆ ในลักษณะแบบสื่อผสมระหว่างสื่อภาพ (Visual Media) ทั้งภาพนิ่งและภาพเคลื่อนไหวกับสื่อประเภทเสียง (Audio Media) ในลักษณะ ต่าง ๆ ผนวกกบั ศักยภาพของคอมพวิ เตอร์
49 5. ขน้ั ตอนการสรา้ งหนงั สืออิเล็กทรอนิกส์ เกริก ท่วมกลาง และจินตนา ทว่ มกลาง (2555, หน้า 104-108) ได้กลา่ วถึงขั้นตอนการ สร้างหนังสืออเิ ล็กทรอนิกส์ ซึ่งถอื เป็นกระบวนการท่สี าคัญในการนาเน้ือหาสาระ ข้อความ ภาพ เสียง บรรจุลงในเล่มหนังสืออย่างผสมกลมกลืนต่อเนื่องเชื่อมโยงกันให้เป็นสื่อและนวัตกรรมที่มีคุณภาพ ดังน้ัน ผู้วิจัยหรือผู้ที่สร้างหนังสืออิเล็กทรอนิกส์จึงจาเป็นต้องศึกษาค้นคว้าหลักสูตร เทคนิควิธี การ สร้างหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ให้มีความรู้ความเข้าใจอย่างถ่องแท้เสียก่อนจึงค่อยลงมือสร้าง จะทาให้ การจัดทาหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ ดาเนินไปได้อย่างมีขั้นตอน ซึ่งมีขั้นตอนการสร้างหนังสือ อเิ ลก็ ทรอนิกส์ ดงั นี้ 1. สารวจเรือ่ งท่จี ะสร้างหนงั สอื อเิ ลก็ ทรอนิกส์ ศึกษาสภาพปญั หาในการจัดการเรียนรู้ ที่ผ่านมาว่าสาระการเรียนรู้เรื่องใดที่ผู้เรียน ขาดความรู้ ความเข้าใจ เนื้อหาสาระการเรียนรู้ที่ผู้เรียน รู้สึกเบื่อหน่ายต่อการเรียน เนื้อหาสาระที่ยาก เนื้อหาสาระการเรียนรู้ใหม่ สาระการเรียนรู้ที่ขาด เอกสารสาหรบั ให้ผู้เรียนได้ศกึ ษาค้นคว้าที่จะส่งผลต่อผลสัมฤทธิท์ างการเรียนต่า หรือเรื่องที่ต้องการ นาเสนอทางด้านศิลปวัฒนธรรม ประเพณี ปัญหาสังคม ปัญหาชุมชนที่กาลังประสบอยู่ เรื่องราว เกี่ยวกบั อดีตทม่ี ีคณุ คา่ โดยเรือ่ งเหล่าน้อี าจเกีย่ วข้องกับการเรยี นรหู้ รอื หลักสูตรสว่ นใดส่วนหน่งึ 2. ศึกษาแนวคิด ทฤษฎี เอกสารงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ การศึกษาแนวคิด ทฤษฎี เอกสารงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการสร้างหนังสือ อิเล็กทรอนิกส์จะทาให้ ผู้สร้างเข้าใจหลักการสร้าง หลักจิตวิทยาที่จาเป็นถูกต้องตามประเภทหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ เรียนรู้ ขน้ั ตอนการสร้างหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ท่ีถูกต้องก็จะทาให้หนังสืออเิ ล็กทรอนกิ ส์ที่สร้างข้ึนเป็นไปตาม หลกั การทฤษฎีทจี่ ะส่งผลใหม้ ีคุณภาพ 3. กาหนดประเภทของหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ การเลือกประเภทของหนังสือ อิเล็กทรอนิกส์มีความสาคัญมาก เพราะผู้สร้างต้องคานึงถึงเนื้อหาสาระการเรียนรู้ ผู้เรียนในแต่ละ ระดับชั้น ระยะเวลาที่ใช้ รูปแบบการนาเสนอ ดังนั้น การเลือกประเภทของหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ ก็ จะทาให้ผู้สร้างหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ สามารถเลือกและสร้างได้ตรงกับความต้องการแต่ละประเภท มากยงิ่ ขึน้ 4. กาหนดแก่นเรื่อง เป็นการกาหนดแก่นของเรื่องหรือสาระการเรียนรู้ของเรื่องคือ อะไร นาสาระการเรียนรู้ หลักหรือแก่นของเรื่องมาแตกเป็นเนื้อหาสาระย่อยตามความต้องการ โดย เรียงเนื้อหาสาระ ตามลาดับความสาคัญ ตามความยากง่าย เพื่อให้เนื้อหาสาระการเรียนรู้มีความ ต่อเนื่องกันตั้งแต่ต้นจนจบ ผู้เรียนสามารถเชื่อมโยงการเรียนรู้ได้ดี จากนั้นนาสาระการเรียนรู้มา กาหนดจุดประสงค์การเรียนรู้ว่าต้องการให้ผู้เรียนมคี วามรู้ความเข้าใจ แล้วแสดงพฤติกรรมใด แสดง วา่ เกดิ การเรยี นรู้
50 5. เขียนเนื้อหาสาระ เมื่อกาหนดสาระการเรียนรู้ได้ครบถ้วนสมบูรณ์แล้ว ต่อไปเป็น กระบวนการศึกษา ค้นคว้าเพื่อนาเนื้อหาสาระการเรียนรู้จากการค้นคว้าจากหนังสือ แหล่งความรู้ ตา่ ง ๆ มาเรยี บเรียง ให้มเี น้ือหาสาระครอบคลมุ ชดั เจน อา่ นเขา้ ใจงา่ ย และมคี วามสมบูรณ์เหมาะสม กับระดับชนั้ และวัยของผ้เู รียน ผู้สรา้ งหนงั สอื อิเล็กทรอนกิ ส์ไมค่ วรท่ีจะนาเน้ือหาสาระการเรียนรู้จาก หนังสือเพยี งเล่มเดียว เพราะจะทาให้ได้เน้ือหาสาระไม่ครอบคลุมสมบรู ณ์ การเรยี บเรียงต้องใช้ภาษา ที่อ่านเขา้ ใจงา่ ยสาหรับผูเ้ รียน 6. วางโครงเรื่องหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ เป็นการตัดสินใจนาเนื้อหาสาระที่ได้จากการ สืบค้นและนามาเรยี บเรียงครบถว้ นตามสาระการเรยี นรู้ที่กาหนดแล้ว โดยเลือกเนื้อหาสาระทีม่ ีความ เหมาะสมนาเสนอในรูปแบบร้อยแก้ว ร้อยกรอง บรรยาย นิทาน สารคดี บทละคร จดหมาย เรื่องเล่า ชีวประวัติ ตานาน บันทึกการเดินทาง การบันทึกการสารวจ ซึ่งการวางโครงเรื่องจะต้องแบ่งเป็น 3 ตอน คอื 6.1 ตอนต้นเรื่อง กาหนดจะเปิดเรื่องหรือนาผู้อ่านให้เข้าสู่เรื่องที่อ่าน สร้างความ สนใจทอ่ี ยากจะอา่ นไดอ้ ยา่ งไร 6.2 ตอนกลางเรื่อง เนอ้ื หาสาระท่ีนามาเรียบเรยี งให้ร้อยรัดผูกพันอย่างต่อเน่ืองกัน ตลอดทง้ั เลม่ ใหค้ รบตามเน้อื หาสาระการเรยี นรู้ 6.3 ตอนจบ ดาเนินเรื่องมาแล้วจะจบอย่างไรให้ผู้อ่านมีความสุข เนื้อเรื่องมี คุณธรรมใดแฝงอยู่ 7. ลงมือเขียน การเขียนหนังสือในขั้นนี้เป็นการปฏิบัติจริงของผู้สร้างหนังสือจะ ดาเนินการเขียนตามโครงเรื่องที่ได้วางไว้แล้ว ตอนต้นเรื่อง ตอนกลางเรื่อง และตอนจบเรื่อง ซึ่ง จะต้องใช้ความสามารถเฉพาะตัวในการเรียบเรียงแต่ละหน้าให้มีความต่อเนื่องกันจนจบ การลงมือ เขียนจะต้องคานึงถึงการใช้ คา ประโยค สานวนภาษา ให้ถูกต้อง ถ้าเป็นบทร้อยกรองต้องเขียนให้ ถกู ตอ้ งตามฉันทลกั ษณ์ เพื่อให้ผู้อ่านไดเ้ พลิดเพลนิ กับเรอ่ื งที่ไดเ้ รยี นรู้ 8. กาหนดภาพประกอบและจานวนหนา้ เป็นการนาเน้อื หาสาระการเรยี นรู้แต่ละหน้า มากาหนดภาพประกอบว่าเป็นภาพวาด ภาพถ่าย เพื่อให้เนือ้ หาสาระการเรยี นรู้มีความชัดเจน เข้าใจ ง่าย สื่อเข้าใจตรงกันในการอ่าน สร้างความเชื่อมโยงในการเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง ในการกาหนดภาพ ขนาดของภาพ ขนาดของตัวอักษร เกีย่ วขอ้ งกับระดบั ชน้ั ดงั นี้
51 ตารางที่ 2-7 การกาหนดภาพประกอบและจานวนหน้าทเ่ี หมาะสม ระดับชัน้ ขนาดของภาพ จานวนหนา้ ขนาดตวั อักษร ปฐมวัย 3 ใน 4 สว่ นของหนา้ กระดาษ 8-12 30-36 ประถมศกึ ษาปีที่ 1-2 3 ใน 4 ส่วนของหน้ากระดาษ 8-12 30-36 ประถมศึกษาปีท่ี 3-6 1 ใน 2 ส่วนของหนา้ กระดาษ 12-16 20-26 มธั ยมศกึ ษาปีท่ี 1-3 1 ใน 2 ส่วน หรอื 1 ใน 4 ส่วนของ 16-24 16-20 หนา้ กระดาษ มัธยมศึกษาปีท่ี 4-6 1 ใน 4 สว่ นของหน้ากระดาษ 16-32 16-20 9. สร้างหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ นาเนื้อหาสาระการเรียนรู้ ภาพที่เตรียมไว้บรรจุลงใน โปรแกรม E-Book ที่เลือก เช่น Flip Album, Flash, Dream จัดพิมพ์เนื้อหาสาระที่กาหนด และ แทรกรูปภาพ บันทึก เสียง ตกแต่งภาพ ข้อความ สร้างแบบทดสอบ และทดสอบการใช้งานของ โปรแกรมคอมพิวเตอร์ว่าเป็นไปตามที่วางไว้หรือไม่ บันทึกลงแผ่น CD จัดทาปก CD และจัดทาคู่มือ การใชใ้ นการจัดการเรียนรูโ้ ดยหนังสืออเิ ล็กทรอนกิ ส์ 10. ประเมินความเหมาะสม หนังสืออิเล็กทรอนิกส์ที่เป็นรูปเล่มแล้วก่อนนาไปใช้จริง เพื่อความมั่นใจว่า หนังสือที่สร้างขึ้นมีความเหมาะสมทั้งด้านเนื้อหาสาระ ภาษา ภาพ เสียง ดนตรี ฉันทลักษณ์ ควรนาเสนอผู้เชี่ยวชาญด้านการจัดทาหนังสืออิเล็กทรอนกิ สเ์ พ่ือประเมินความเหมาะสม อีกครงั้ โดยยดึ เกณฑ์การประเมินคา่ เฉลีย่ ต้ังแต่ 3.50 ข้ึนไปจึงเปน็ ที่ยอมรับว่า หนังสืออิเล็กทรอนิกส์ ท่ีสรา้ งข้นึ มีความเหมาะสมนาไปใช้ในการจัดการเรยี นรู้ได้ 11. หาประสทิ ธิภาพ หนังสืออเิ ล็กทรอนิกสเ์ ม่ือประเมนิ ความเหมาะสมโดยผ้เู ช่ียวชาญ แล้ว เพื่อให้เป็นสือการเรียนรู้ที่มีประสิทธิภาพอย่างแท้จริง ควรนาไปทดลองใช้จริงกับผู้เรียนเพื่อให้ แน่ใจว่า หนังสืออิเล็กทรอนิกส์ที่สร้างขึ้นจะต้องปรับปรุงให้สมบูรณ์ในส่วนใดบ้าง โดยดาเนินการหา ประสิทธิภาพใน 3 ขั้นตอน คือ การทดลองแบบหนึ่งต่อหนึ่ง (One-to-One Testing) การทดลอง แบบกลุ่มเล็ก (Small-Group Testing) และการทดลองภาคสนาม (Field Testing) เมื่อมี ประสทิ ธภิ าพตามเกณฑ์มาตรฐานประสทิ ธิภาพแลว้ จึงนาไปใชจ้ รงิ ต่อไป 6. โครงสร้างของหนงั สอื อเิ ล็กทรอนกิ ส์ Trueplookpanya (เว็บไซต์, 2554) โครงสร้างหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ (E-Book Construction) จะมีความคล้ายคลึงกับหนังสือทั่วไปที่พิมพ์ด้วยกระดาษ หากจะมีความแตกต่างที่
52 เหน็ ได้ชัดเจนกค็ ือกระบวนการผลิต รปู แบบ และวิธีการอา่ นหนังสือ สามารถสรุปโครงสรา้ งท่ัวไปของ หนงั สอื อเิ ลก็ ทรอนกิ ส์ ประกอบด้วย (ไพฑรู ย์ ศรฟี า้ , 2551, หนา้ 17-18) 1. หน้าปก (Front Cover) หมายถึง ปกด้านหน้าของหนังสือซึ่งจะอยู่ส่วนแรก เป็นตัว บง่ บอกวา่ หนงั สือเล่มน้ีชื่ออะไร ใครเป็นผูแ้ ต่ง 2. คานา (Introduction) หมายถึง คาบอกกล่าวของผู้เขียนเพื่อสร้างความรู้ ความ เขา้ ใจเกยี่ วกบั ข้อมลู และเร่อื งราวต่าง ๆ ของหนังสอื เลม่ นนั้ 3. สารบัญ (Contents) หมายถึง ตัวบ่งบอกหัวเรื่องสาคัญที่อยู่ภายในเล่มว่า ประกอบดว้ ยอะไรบ้าง อยทู่ หี่ นา้ ใดของหนังสอื สามารถเชือ่ มโยงไปสู่หน้าตา่ ง ๆ ภายในเล่มได้ 4. สาระของหนังสือแต่ละหน้า (Pages Contents) หมายถึง ส่วนประกอบสาคัญในแต่ ละหน้าทป่ี รากฏภายในเลม่ ประกอบดว้ ย 4.1 หน้าหนังสอื (Page Number) 4.2 ขอ้ ความ (Texts) 4.3 ภาพประกอบ (Graphics) .jpg, .gif, .bmp, .png, .tiff 4.4 เสียง (Sounds) .mp3, .wav, .midi 4.5 ภาพเคลอื่ นไหว (Video Clips, flash) .mpeg, .wav, .avi 4.6 จุดเชอ่ื มโยง (Links) 5. อ้างอิง (Reference) หมายถึง แหล่งข้อมูลที่ใช้นามาอ้างอิง อาจเป็นเอกสาร ตารา หรอื เวบ็ ไซต์ก็ได้ 6. ดัชนี (Index) หมายถึง การระบุคาสาคัญหรือคาหลักต่าง ๆ ที่อยู่ภายในเล่ม โดย เรยี งลาดบั ตัวอักษรให้สะดวกตอ่ การคน้ หาพรอ้ มระบเุ ลขหนา้ และจดุ เชื่อมโยง 7. ปกหลัง (Back Cover) หมายถึง ปกด้านหลงั ของหนังสอื ซงึ่ จะอยู่สว่ นท้ายเลม่ 7. ข้ันตอนการใชห้ นงั สอื อิเล็กทรอนกิ ส์ สิริน สิระธนกุล และ อานวยวัฒนะกุล (2554) อ้างถึงใน บุญรัตน์ แผลงศร (2558, หนา้ 9) ไดเ้ สนอขั้นตอนการใช้หนังสืออิเล็กทรอนิกส์ ในการเรียนการสอน โดยมขี น้ั ตอนดงั นี้ 1. การเตรียมผู้สอน เปน็ การเตรยี มตวั ในการอา่ น ฟงั หรอื ดเู นื้อหาทอ่ี ยู่ในส่อื ท่ีจะใช้ใน ด้านความถกู ตอ้ ง ครบถ้วน ความต้องการ หากสอื่ มเี นอ้ื หาไม่ครบ ผู้สอนจาเปน็ ต้องเพิ่มเติม เช่น การ ใชภ้ าพประกอบเพอ่ื อธบิ ายเนื้อหา การใชค้ ลิปวิดีทศั น์เพ่อื สรา้ งความเขา้ ใจมากขน้ึ 2. การเตรียมสภาพแวดล้อม โดยการจัดเตรียมวัสดุ เครื่องมือ และอุปกรณ์ท่ี จาเปน็ ต้องใช้ใหพ้ ร้อม ตลอดจนจดั เตรยี มสถานที่ ห้องเรยี น ให้อย่ใู นสภาพทีเ่ หมาะสม 3. การเตรียมความพร้อมผู้เรียน เป็นการเตรียมตัวผู้เรียนโดยการแนะนาหรือให้ ความคิดรวบยอดเกี่ยวกับเนื้อหาที่นาเสนอ เพื่อให้ผู้เรียนเตรียมพร้อมในการฟัง ดู หรืออ่านบทเรียน
53 จากสื่อให้เข้าใจและสามารถจับประเด็นสาคัญของเนื้อหาได้ หากผู้เรียนไม่เคยใช้หนังสือ อิเลก็ ทรอนกิ ส์ ผ้สู อนควรบอกหรอื ทาควู่ ิธกี ารใช้เพือ่ ใหผ้ ู้เรียนสามารถใชง้ านได้อยา่ งมีประสทิ ธิภาพ 4. การใช้สื่อ ผู้สอนต้องใช้หนังสืออิเล็กทรอนิกส์ให้เหมาะสมกับขั้นตอนที่เตรียม เพอื่ ใหด้ าเนินการสอนอย่างราบรน่ื และต้องควบคมุ การนาเสนอส่อื อยา่ งถกู ต้อง 5. การติดตามผล หลังจากที่มีการใช้หนังสืออิเล็กทรอนิกส์แล้ว ควรมีการติดตามผล โดยการให้ผู้เรียนตอบคาถาม อภิปราย หรือเขียนรายงาน เพื่อผู้สอนจะได้สามารถทราบจุดบกพร่อง และแกไ้ ข ปรับปรงุ การสอนของตนได้ 8. การจัดการเรียนรโู้ ดยใช้สื่ออเิ ลก็ ทรอนิกส์ หนังสืออิเลก็ ทรอนกิ สท์ ี่สร้างตามข้ันตอนถูกต้องแลว้ และผ่านการหาประสิทธภิ าพ จน เชื่อได้ว่าหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ที่สร้างขึ้นมีคุณภาพสามารถพัฒนาความรู้ ความจา ความเข้าใจแก่ ผูเ้ รยี นได้เป็นอยา่ งดีแล้ว จึงนาไปใช้ในการจัดการเรียนรู้ ซงึ่ สามารถจัดการเรยี นได้ หลายแนวทาง ท้ัง การเรียนตามปกติในชั่วโมง การสอนซ่อมเสริม การสอนนอกเวลา การสอน เฉพาะบุคคลตาม วตั ถุประสงค์ของการจดั การเรียนรู้ เกริก ท่วมกลาง และจินตนา ท่วมกลาง (2555, หน้า 110-111) เสนอวิธีการจัดการ เรยี นร้โู ดยใช้หนังสอื อิเลก็ ทรอนกิ ส์ตามสภาพการจัดการเรียนรตู้ ามปกติได้ ดังนี้ 1. เตรียมการเรียนรู้ก่อนใช้หนังสืออิเล็กทรอนิกส์ ในขั้นนี้ครูผู้สอนควรเตรียม คอมพิวเตอร์โดยตรวจสภาพเครื่องคอมพิวเตอร์ว่าสามารถใช้การได้ดีหรือไม่ เตรียมหนังสือ อิเล็กทรอนิกส์ในเรื่องนั้น ๆ นาเข้าสู่การเรียนรู้ เพื่อให้ผู้เรียนได้ทราบถึงวัตถุประสงค์ของการเรียนรู้ และเข้าใจแนวทางการเรียนรู้จากหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ที่สร้างขึ้น ในขั้นนี้ต้องเตรียมผู้เรียนให้ สามารถใชเ้ ครื่องคอมพวิ เตอร์ในการเรยี นรโู้ ดยหนังสอื อิเลก็ ทรอนกิ ส์ได้ 2. ขั้นการใช้หนังสืออิเล็กทรอนิกส์ เป็นขั้นที่นักเรียนได้เรียนรู้จากหนังสือ อิเล็กทรอนิกส์เป็นรายบุคคลตามขั้นตอนที่กาหนดด้วยการศึกษาคาแนะนา ศึกษาเนื้อหา สาระ ทา กิจกรรม ตรวจสอบผลการเรยี นรู้ บนั ทึกผลการเรียนรู้ 3. ขั้นการสรุปองค์ความรู้ เพื่อให้การเรียนรู้จากหนังสอื อิเล็กทรอนิกส์เกิดองค์ความรู้ แก่ผู้เรียน ควรจัดกิจกรรมทบทวนความรู้โดยใช้กิจกรรมกลุ่มหรือรายบุคคลให้นาผลจากการศึกษา จากหนังสืออิเล็กทรอนิกส์มาอภิปราย สรุป บันทึกผลการอภิปราย หรือสรุปผลการอภิปราย เพื่อให้ ได้ข้อสรุปตรงตามจุดประสงค์การเรียนรู้ ซึ่งจะทาให้การเรียนรู้จากหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ประสบ ผลสาเร็จมากยิ่งขึน้ 4. ขั้นขยายและแลกเปลี่ยนความรู้ เพื่อให้ได้ข้อสรุปที่เกิดจากการเรียนรู้ประสบ ผลสาเร็จและมีความรู้ ความจา ความเข้าใจที่คงทนแก่ผู้เรียนมากยิ่งขึ้น ควรให้นาเสนอผลการสรุป
54 แลกเปลี่ยนเรียนรู้ระหว่างบุคคล ระหว่างกลุ่มเพื่อให้องค์ความรู้ที่ได้รับเป็นไปในแนวทางเดียวกัน และเพือ่ เสริมความสัมพันธ์ในการเรียนรู้ดียิ่งข้นึ 5. ขั้นนาความรู้ไปประยุกต์ใช้ เป็นขั้นที่ครูผู้สอนมอบหมายงานกิจกรรมใหผ้ ู้เรียน ไป ศึกษา ค้นคว้า ทากิจกรรมเพิ่มเติม และสามารถมอบหมายให้ผู้เรียนทากิจกรรมนอกเวลาเพิ่ม เพ่ือ เสริมทักษะความรู้และประสบการณ์ในเรื่องนั้น ๆ มากยิ่งขึ้น สรุปปัญหาและอุปสรรคในการเรียนรู้ เพอ่ื ใช้เปน็ ข้อปรับปรงุ ในครั้งต่อไป และตอ้ งสรุปคุณธรรมและความซ่ือสตั ย์ท่จี าเปน็ ในการเรียนรู้จาก หนงั สอื อิเล็กทรอนิกส์ด้วย 9. ข้อดแี ละขอ้ จากดั ของหนังสอื อิเล็กทรอนกิ ส์ 9.1 ข้อดีของหนังสอื อเิ ลก็ ทรอนิกส์ เกริก ท่วมกลาง และจินตนา ท่วมกลาง (2555, หน้า 103-104) ได้กล่าวถึง ความสาคัญของหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ ว่ามีความจาเป็นสาหรับการเรียนรู้ในปัจจุบัน เพราะระบบ คอมพิวเตอร์เข้ามามีบทบาทสาคัญในการเรียนรู้จึงทาให้สะดวก สามารถใช้ได้ทุกที่ทุกเวลา ทาให้ หนังสืออิเลก็ ทรอนิกส์เปน็ สื่อและนวัตกรรมทีไ่ ด้รับความนิยมของครูผู้สอนและผูเ้ รียนมากย่ิงขึ้น ซึ่งมี ความสาคญั ดังนี้ 1. มีการตอบสนองที่รวดเร็วของคอมพิวเตอร์ที่ให้ทั้งภาพ สี เสียง ทาให้เกิดความ ต่ืนเต้น ไมเ่ บือ่ หนา่ ย 2. ช่วยให้ผเู้ รยี นสามารถยอ้ นกลับเพ่อื ทบทวนเนอื้ หาสาระทไี่ มเ่ ข้าใจได้ 3. เลอื กเรยี นไดต้ ามเวลาและสถานทท่ี ่ตี นสะดวก 4. สามารถสาเนาได้สะดวกทัง้ เปน็ เอกสารและลงแผ่นซดี รี อม 5. สามารถเลือกเรียนหัวข้อที่ตนสนใจเรื่องใดก่อนหลังได้ และย้อนกลับไปเรียน ต่อไปได้ 6. สามารถแสดงไดท้ ัง้ ขอ้ มูล ภาพนง่ิ ภาพเคลือ่ นไหว และเสียง ได้พรอ้ มกนั 7. จดั เกบ็ และเรียกมาใช้ไดส้ ะดวก เปล่ยี นแปลงแก้ไขได้ทันที 8. มีประสทิ ธภิ าพในแงล่ ดเวลาในการเรยี น สนองความต้องการของบคุ คล 9. สามารถคน้ หาขอ้ มูลท่เี ก่ียวข้องกบั เรื่องที่ศกึ ษาได้จากแฟม้ อื่น ๆ ได้ไม่จากดั 10. เป็นการใช้เทคนิคใหม่ ๆ ทาให้ผ้เู รียนมีเจตคติทด่ี ีต่อการเรยี น 9.2 ข้อจากดั ของหนังสอื อิเล็กทรอนิกส์ เกริก ท่วมกลาง และจินตนา ท่วมกลาง (2555, หน้า 104) ได้กล่าวถึงข้อจากัดของ หนังสอื อเิ ล็กทรอนกิ ส์ ทถ่ี กู นามาใช้ในด้านการเรียนการสอน การนาเสนองาน จึงเปน็ สื่อท่ีถูกนามาใช้ ทดแทนสาหรับโรงเรียนที่ขาดแคลนครู ขาดแคลนหนังสือ หรือสอนเนื้อหาที่ยากแทน แต่หนังสือ อเิ ลก็ ทรอนกิ ส์ ก็มขี อ้ จากัด ดังน้ี
55 1. คอมพวิ เตอร์ราคาแพง อุปกรณ์คอ่ นขา้ งมาก 2. โปรแกรมสรา้ งหนงั สืออเิ ล็กทรอนิกส์ท่ีมีคุณภาพค่อนขา้ งจากดั 3. การสร้างหนังสืออิเลก็ ทรอนิกสต์ ้องจดั ทาหลายข้ันตอน 4. การสรา้ งหนงั สอื อิเลก็ ทรอนิกส์ลงทุนสูง 5. การออกแบบโปรแกรมหนงั สอื อเิ ลก็ ทรอนิกสใ์ ช้เวลามาก 6. ความซบั ซอ้ นของโปรแกรมคอมพวิ เตอร์ทาให้ยากตอ่ การเรยี นรู้ได้ดี 7. ครใู ชค้ อมพวิ เตอร์มีความร้ไู ม่เพยี งพอ 8. บางโรงเรยี นมเี ครือ่ งคอมพิวเตอร์ไม่เพยี งพอ 9. ครผู ู้สอนบางคนไมช่ อบการสอนโดยใช้หนังสืออิเลก็ ทรอนิกส์ 10. หนงั สอื อิเลก็ ทรอนิกสไ์ มส่ ามารถพฒั นาความคดิ สร้างสรรคไ์ ด้ดี ผลสมั ฤทธ์ทิ างการเรียน 1. ความหมายของผลสัมฤทธ์ทิ างการเรยี น มีผนู้ ิยามความหมายไวห้ ลากหลายความหมาย ดังตวั อย่างเช่น บุญชม ศรีสะอาด (2537, หน้า 68) ได้ให้ความหมายของ ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หมายถึง ผลที่เกิดขึ้นจากการค้นคว้า การอบรม การสั่งสอน หรือประสบการณ์ต่าง ๆ รวมทั้ง ความรู้สึก ค่านิยม จริยธรรมตา่ ง ๆ ท่ีเป็นผลมาจากการเรยี นการสอน ภพ เลาหไพบูลย์ (2542, หน้า 329) ได้ให้ความหมายของ ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หมายถึง พฤติกรรมท่ีแสดงออกถึงความสามารถในการกระทาสิ่งหน่งึ ส่ิงใดได้จากท่ีไม่เคยกระทาหรือ กระทาไดน้ ้อยก่อนทจี่ ะมีการเรียนการสอน ซ่ึงเป็นพฤตกิ รรมทมี่ ีการวดั ได้ พิมพันธ์ เดชะคุปต์ และพเยาว์ ยินดีสุข (2548, หน้า 125) ได้ให้ความหมายของ ผลสมั ฤทธิ์ทางการเรยี น หมายถึง ขนาดของความสาเรจ็ ทไ่ี ดจ้ ากกระบวนการเรยี นการสอน ชนินทรช์ ัย อนิ ทริ าภรณ์ และสวุ ิทย์ หริ ณั ยกาณฑ์ (2548, หนา้ 5) ได้ให้ความหมายของ ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ว่าหมายถึง ความสาเร็จที่ได้รับจากความสามารถ ความรู้และทักษะหรือผล ของการเรียนการสอน หรอื ผลงานทีเ่ ดก็ ไดจ้ ากการประกอบกจิ กรรมสว่ นนั้น ๆ ราชบัณฑิตยสถาน (2555, หน้า 9) ได้ให้ความหมายของ ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ว่า หมายถึง ผลการเรียนรู้ที่วัดหรือเทียบจากเกณฑ์ที่กาหนด โดยใช้แบบทดสอบหรือเครื่องมืออื่นที่ เหมาะสมประเมินผลสัมฤทธทิ์ างการเรยี น
56 ศริ ชิ ัย กาญจนวาสี (2556, หน้า 166) ได้ใหค้ วามหมายของ ผลสมั ฤทธ์ิทางการเรียน วา่ หมายถึง ผลการเรียนรู้ตามแผนที่กาหนดไว้ล่วงหน้า อันเกิดจากกระบวนการเรียนการสอนในช่วง ระยะเวลาใดเวลาหนง่ึ ทผี่ า่ นมา จากการศึกษาสรุปไดว้ ่า ผลสัมฤทธิท์ างการเรียน หมายถึง คะแนนท่ีได้จากการทดสอบ ก่อนเรียนและหลังเรียน อันเป็นคุณลักษณะและความสามารถทีเ่ กิดข้ึนกับผู้เรียน โดยวัดจากคะแนน ที่ได้จากการสอบด้านพุทธิพิสัยตามอนุกรมวิธานที่ปรับปรุงมาจากบลูม (Revised Bloom’s Taxonomy) ทั้ง 6 ด้าน ประกอบด้วย ด้านความรู้ความจา (Knowledge) ด้านความเข้าใจ (Comprehension) ด้านการนาไปใช้ (Apply) ด้านการวิเคราะห์ (Analyze) ด้านการประเมินค่า (Evaluate) และด้านความคิดสร้างสรรค์ (Create) ตรงตามจุดประสงค์การเรียนรู้ ซึ่งใช้แบบทดสอบ วัดผลสมั ฤทธท์ิ างการเรียนท่ีผวู้ จิ ยั สรา้ งข้ึนทั้งก่อนและหลังการจัดการเรยี นรู้แบบสบื เสาะหาความรู้ 5 ขัน้ รว่ มกบั การใช้หนังสอื อิเลก็ ทรอนกิ ส์ รายวิชาเคมี เร่ือง อัตราการเกดิ ปฏิกริ ิยาเคมี 2. ทฤษฎีและแนวคดิ ทเี่ กีย่ วขอ้ งกบั ผลสัมฤทธท์ิ างการเรยี น บลูม (Bloom, 1965, pp. 201) หรือเบนจามนิ บลมู (Benjamin s. Bloom) ไดจ้ าแนก ประเภทของวัตถุประสงค์ทางการศึกษาออกเป็น 3 ด้าน ได้แก่ ด้านพุทธิพิสัย ด้านเจตพิสัย และด้าน ทักษะพิสัย แสดงรายละเอียดแต่ละดา้ นได้ดงั น้ี ด้านพุทธิพิสัย (Cognitive Domain) เป็นวัตถุประสงค์ทางการศึกษาที่เกี่ยวกับ ความรู้ ความเขา้ ใจ การใชค้ วามคดิ เปน็ การเรยี นรทู้ างด้านสติปญั ญา ด้านเจตพิสัย (Psychomotor Domain) เป็นวัตถุประสงค์ทางการศึกษาที่เกี่ยวกับ ความสนใจ เจตคติ คณุ ธรรมหรือค่านิยม ความซาบซง้ึ ซง่ึ เป็นการเรียนรทู้ างดา้ นความรู้สึก ด้านทักษะพิสัย (Affective Domain) เป็นวัตถุประสงค์ทางการศึกษาท่ีเกี่ยวกับการ กระทาอยา่ งมที ักษะในการดาเนนิ การเกยี่ วกับเรื่องต่าง ๆ มคี วามสามารถในการใช้อวัยวะต่าง ๆ ของ ร่างกายปฏิบัตงิ าน ซึ่งในงานวิจัยนี้ผู้วิจัยมีการสร้างเครื่องมือวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หรือผลของการ เรียนจากการจัดการเรียนรู้ทั้งก่อนและหลังการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ร่วมกับหนังสือ อิเล็กทรอนิกส์ โดยวัดจากคะแนนที่ได้จากการสอบด้านพุทธิพิสัยตามอนุกรมวิธานที่ปรับปรุงมา จากบลูม (Revised Bloom’s Taxonomy) ดังนั้น ผู้วิจัยจึงจะขอกล่าวเฉพาะในด้านพุทธพิสัยเพียง ดา้ นเดยี ว แสดงรายละเอียดได้ ดังน้ี ด้านพุทธิพิสัยนัน้ เป็นวัตถุประสงค์ทางการศึกษาที่เกี่ยวกับความรู้ความคิดพฤติกรรมท่ี แสดงออกทางด้านนี้จะบ่งบอกถึงความสามารถทางสติปัญญา ซึ่งแบ่งออกได้เป็น 6 ขั้น เรียงลาดับ จากขั้นต่าไปขั้นสูง ได้แก่ ความรู้ความจา (Knowledge) ความเข้าใจ (Comprehension) การ
57 นาไปใช้ (Application) การวิเคราะห์ (Analysis) การสังเคราะห์ (Synthesis) และการประเมินค่า (Evaluation) เรียกวา่ อนกุ รมวธิ านของบลมู (Bloom’s Taxonomy) แต่ต่อมาในปีคริสต์ศักราช 2001 (พุทธศักราช 2544) นักจิตวิทยาชื่อ แอนเดอร์สัน (Lorin Anderson) ซึ่งเป็นลูกศิษย์ของบลูม และเดวิด คราธวอห์ล (David Krathwohl) เพื่อน ร่วมงานที่เคยเผยแพร่อนุกรมวิธานของบลูมมาก่อนหน้านี้ได้ทบทวนและปรับปรุงอนุกรมวิธาน ของบลูม โดยใช้ชื่อว่า อนุกรมวิธานการเรียน การสอน และการประเมิน (A Taxonomy for Learning, Teaching and Assessment) หรือที่เรียกสั้น ๆ ว่า อนุกรมวิธานที่ปรับปรุงมาจากบลูม (Revised Bloom’s Taxonomy) (Anderson & Krathwohl, 2001 อ้างถึงใน สถาบันส่งเสริมการ สอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี, 2561 ก, หน้า 61) โดยการปรับปรุงอนุกรมวิธานของบลูมให้เป็น พล ว ั ต มากย ิ ่ งขึ ้ นโ ด ย การ เป ล ี่ ย นแต ่ ละร ะด ั บของบ ล ูมจ ากค าน ามให้ เ ป ็น ค ากิ ร ิย าเ พื ่อแส ด งถึง กระบวนการของนักคดิ เพ่ือพัฒนาสตปิ ัญญาดา้ นพุทธิพสิ ยั สถาบนั สง่ เสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (2561 ก, หน้า 61-62) ได้กล่าวถึง อนกุ รมวธิ านที่ปรับปรงุ มาจากบลูม (Revised Bloom’s Taxonomy) และแนวทางการใช้คาถามกับ การส่งเสริมการคดิ และพัฒนาด้านพทุ ธพิ สิ ัย ซึ่งได้แบง่ การเรียนรอู้ อกเปน็ 6 ระดบั ดังนี้ ระดบั ที่ 1 ระดับความร้ทู ่ีเกิดจากความจา (Knowledge) เปน็ ระดบั ท่ีผ้เู รียนสามารถ จดจาหรือย้อนระลึกถึงสงิ่ ทเ่ี คยเรยี นรู้แล้ว สามารถนาความรูท้ อ่ี ย่ใู นความทรงจาออกมาได้ ตัวอย่างคาถามเพ่อื ประเมนิ ความรู้ที่เกดิ จากการจา เช่น - แรงใดบ้างจดั เป็นแรงไมส่ มั ผัส - อะตอมคอื อะไร ประกอบด้วยอะไรบ้าง - สมการการสังเคราะห์ดว้ ยแสงของพืชเป็นอยา่ งไร ระดับที่ 2 ระดับความเข้าใจ (Comprehension) เป็นระดับที่ผู้เรียนสามารถสร้าง คาอธิบาย สื่อสาร หรือแสดงใหเ้ ห็นความเข้าใจข้อเท็จจริง แนวคิด หรือความรู้ทีไ่ ด้เรยี นซึ่งอาจทาได้ ดว้ ยวธิ ีการต่าง ๆ เช่น อธิบาย จาแนก เปรยี บเทียบ สร้างแผนภูมิหรือแผนผงั ตวั อยา่ งคาถามเพือ่ ประเมนิ ความเข้าใจ เช่น - แรงสมั ผัสและแรงไม่สมั ผัสเหมือนและแตกตา่ งกนั อย่างไร - แผนภูมิแสดงความสูงของพืชแต่ละชนิดในหนึ่งสัปดาห์สามารถอธิบายเกี่ยวกับการ เจรญิ เตบิ โตของพชื ได้ว่าอย่างไร - เพราะเหตุใดนักบินอวกาศจึงต้องสวมชุดอวกาศเมื่อออกไปปฏิบัติภารกิจภายนอก ยานอวกาศ
58 ระดับที่ 3 ประยุกต์ใช้ (Apply) เป็นระดับที่ผู้เรียนสามารถลงมือทาหรือดาเนินการ อยา่ งใดอยา่ งหนึง่ ตามสถานการณ์ทก่ี าหนด โดยนาความร้ทู ่ีเรยี นมาใช้ประโยชน์ ตวั อยา่ งคาถามเพื่อประเมินการประยุกตใ์ ช้ เช่น - จะเกิดอะไรขึ้นถา้ แกงทีก่ าลงั เดือดไดร้ บั พลงั งานความร้อนมากขึ้น - ถ้านาพืชแต่ละชนิดไปวางไว้ในที่ที่ไม่มีแสงแดดส่องถึง พืชแต่ละชนิดจะมีการ เปลี่ยนแปลงเหมอื นหรอื แตกตา่ งกันอยา่ งไร - จะเลือกใช้วัสดชุ นิดใดมาสร้างเสื้อกนั ฝน เพราะเหตุใด ระดับที่ 4 วิเคราะห์ (Analyze) เป็นระดับที่ผู้เรียนสามารถแจกแจง แยกแยะสิ่งของ วัตถุ เหตกุ ารณ์ ปรากฏการณ์ ระบบตา่ ง ๆ ออกเปน็ องคป์ ระกอบหรือสว่ นย่อย ๆ และพจิ ารณาความ เก่ียวข้องกนั ของส่วนยอ่ ยแต่ละสว่ น รวมถึงพจิ ารณาความเก่ียวขอ้ งของแต่ละสว่ นย่อยกับสง่ิ ของ วัตถุ เหตกุ ารณ์ ปรากฏการณ์ ระบบตา่ ง ๆ ที่ไดแ้ ยกแยะออกมา ตวั อยา่ งคาถามเพื่อประเมินการวิเคราะห์ เช่น - ปากใบมีความสาคญั อยา่ งไรตอ่ การทาหนา้ ท่ีของใบพชื - การถา่ ยโอนความรอ้ นระหวา่ งสสารมผี ลตอ่ การเกิดลมอย่างไร - ระบุปัจจัยที่มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงของน้าแข็งขั้วโลก และแต่ละปัจจัยมี ความสมั พนั ธ์กันหรอื ไม่ อยา่ งไร ระดับที่ 5 ประเมินค่า (Evaluate) เป็นระดับที่ผู้เรียนสามารถตัดสินคุณค่าโดยอาศัย เกณฑแ์ ละมาตรฐาน ซ่งึ อาจทาไดด้ ้วยวธิ ีวพิ ากษ์ (Critisize) ตรวจสอบ (Checking) ตวั อย่างคาถามเพือ่ ประเมินการประเมนิ คา่ เชน่ - แบบจาลองใดที่อธิบายเกี่ยวกับระบบสุริยะได้ครบถ้วนและใกล้เคียงกับข้อเท็จจริง มากที่สุด - ถา้ ต้องอธบิ ายเรือ่ งความหนาแน่นใหน้ ้องชัน้ ป.4 เขา้ ใจ จะมีวิธีการอย่างไรบ้าง - ถ้าต้องสร้างแบบจาลองแสดงลักษณะของอะตอมอีกครั้งหนึ่ง จะทาให้เหมือนจริง มากกวา่ แบบจาลองท่ีทาไว้กอ่ นหนา้ น้ไี ด้อย่างไรบา้ ง ระดับที่ 6 สร้างสรรค์ (Create) เป็นระดับที่ผู้เรียนสามารถนาส่วนย่อยต่าง ๆ หรือ องค์ประกอบย่อย เข้ามาเชื่อมโยงกันเป็นภาพรวมของสิ่งของ วัตถุ เหตุการณ์ ปรากฏการณ์ ระบบ ต่าง ๆ อย่างมีเหตุผล โดยผ่านการออกแบบ การวางแผน การสร้าง การผลิต การก่อให้เกิด (Generating) ตวั อย่างคาถามเพอ่ื ประเมนิ การสรา้ งสรรค์ เช่น - เสนอแนวทางอื่น ๆ ที่จะทาให้ประเทศไทยมีพลังงานไว้ใช้ผลิตไฟฟ้าได้เพียงพอต่อ ความตอ้ งการของคนท้ังประเทศ
59 - นักเรียนเห็นด้วยกับการนาเทคโนโลยีตัดต่อพันธุกรรมมาใช้กับผลผลิตทางการเกษตร หรอื ไม่ เพราะเหตุใด - เพราะเหตใุ ดหมาป่าจงึ ไมส่ ามารถทาลายบ้านของหมตู วั ที่ 3 ได้ - ถ้าสามารถเปลี่ยนตอนจบของนิทานเรือ่ งนี้ นักเรียนจะเปลี่ยนตอนจบของนิทานเร่อื ง นี้ใหเ้ ป็นอยา่ งไร รัฐพล ประดับเวทย์ (2560, หน้า 1054-1055) ได้กล่าวถึง ลาดับขั้นของกระบวนการ ทางปัญญาในจุดมุ่งหมายของการศึกษาด้านพุทธิพิสัยตามอนุกรมวิธานที่ปรับปรุงมาจากบลูม (Revised Bloom’s Taxonomy) ซ่ึงได้แบ่งการเรยี นรูอ้ อกเปน็ 6 ขน้ั ดังนี้ ขั้นที่ 1 การจา เป็นความสามารถของสมองในการระลึกได้ จากความรู้ สารสนเทศ แสดงรายการได้ ระบุ บอกชือ่ ได้ ซ่ึงเปน็ ความจาระยะยาว ขั้นที่ 2 การเข้าใจ เป็นความสามารถของสมองในการแปล สร้างความหมาย ยกตวั อยา่ ง สรปุ อา้ งองิ การศกึ ษาด้วยตนเอง ขั้นที่ 3 การประยุกต์ใช้ เป็นการใช้กระบวนการที่ได้เรียนรู้ผ่านกระบวนการคิดใน สถานการณใ์ หม่ หรือสถานการณท์ ีค่ ล้ายคลึงกนั ขั้นที่ 4 การวิเคราะห์ เป็นการแยกความรู้ออกเป็นส่วน ๆ โดยสามารถให้เหตุผลว่า ความรูส้ ว่ นย่อยที่แยกแตล่ ะส่วนมคี วามเก่ยี วข้องกบั โครงสร้างของความร้ทู ้ังหมดอยา่ งไร ขั้นที่ 5 การประเมินค่า เป็นความสามารถของสติปัญญาเกี่ยวกับการตรวจสอบ ควบคุม ทดสอบ เพื่อค้นหาความไม่สอดคล้องหรือความขัดแย้งในกระบวนการหรือผลผลิต และการ วพิ ากษต์ ่าง ๆ เพ่ือการตัดสินใจ ขั้นที่ 6 การคิดสร้างสรรค์ คือ ความสามารถของสติปัญญาในการสร้างสิ่งใหม่ จากสิ่ง ที่เคยเรียนรู้ หรือพบเห็นในบริบทต่าง ๆ ที่สามารถสร้างสรรค์งาน วางแผนงาน และดาเนินงานตาม กระบวนการจนไดร้ บั ความสาเร็จ ชวลิต ชูกาแพง (2550, หน้า 91) ได้กล่าวถึง ลาดับขั้นของกระบวนการทางปัญญาใน จุดมุ่งหมายของการศึกษาด้านพุทธพิ ิสยั ตามอนุกรมวิธานที่ปรบั ปรุงมาจากบลูม (Revised Bloom’s Taxonomy) ซ่งึ ได้แบ่งการเรยี นรู้ออกเป็น 6 ขน้ั ดังน้ี ขั้นที่ 1 จา (remembering) หมายถึง ความสามารถในการระลึกได้ แสดงรายการได้ ระบุชอ่ื ได้ ตวั อย่างเชน่ นักเรียนสามารถบอกความหมายของทฤษฎไี ด้ ขั้นที่ 2 เข้าใจ (understanding) หมายถึง ความสามารถในการแปลความหมาย ยกตัวอย่าง สรปุ อา้ งองิ ตวั อยา่ งเชน่ นักเรียนสามารถอธบิ ายแนวคิดของทฤษฎไี ด้ ขั้นที่ 3 ประยุกต์ใช้ (applying) หมายถึง ความสามารถในการนาไปใช้ ประยุกต์ใช้ แก้ไขปัญหา ตวั อยา่ งเช่น นักเรียนสามารถใช้ความรู้ในการแกไ้ ขปญั หาได้
60 ขั้นที่ 4 วิเคราะห์ (analyzing) หมายถึง ความสามารถในการเปรียบเทียบ อธิบาย ลักษณะ การจดั การ ตัวอย่างเชน่ นกั เรียนสามารถบอกความแตกต่างระหวา่ ง 2 ทฤษฎีได้ ขั้นที่ 5 ประเมินค่า (evaluation) หมายถึง ความสามารถในการตรวจสอบ วิจารณ์ ตัดสนิ ตวั อย่างเชน่ นกั เรยี นสามารถตัดสินคุณค่าของทฤษฎีได้ ขั้นที่ 6 คิดสร้างสรรค์ (creating) หมายถึง ความสามารถในการออกแบบ (design) วางแผนผลิต ตัวอยา่ งเช่น นกั เรยี นสามารถนาเสนอทฤษฎีใหม่ที่แตกต่างไปจากทฤษฎีเดิมได้ สามารถสรุปแผนภาพอนุกรมวิธานของบลูมและอนุกรมวิธานที่ปรับปรุงจากบลูม เพอ่ื ใหเ้ ปรยี บเทยี บความแตกตา่ งของอนุกรมวิธานของบลูมได้ดังภาพ 2-3 ประเมนิ คา่ สรา้ งสรรค์ การสงั เคราะห์ ประเมนิ คา่ การวเิ คราะห์ วเิ คราะห์ การนำไปใช้ ประยกุ ต์ใช้ ความเขา้ ใจ เข้าใจ ความรู้ จดจำ ภาพที่ 2-3 เปรยี บเทียบอนกุ รมวิธานของบลูมและอนุกรมวิธานทป่ี รับปรุงจากบลมู ดา้ นพุทธพสิ ยั (สถาบนั สง่ เสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี, 2561 ก, หนา้ 63 และ รฐั พล ประดบั เวทย์, 2560, หนา้ 1055) คลอปเฟอร์ (Klopfer, 1971 อ้างถึงใน ภพ เลาหไพบูลย์, 2542, หน้า 99-110, 295) ได้ศึกษาวัตถุประสงค์ทางการศึกษาของบลูมที่ยังไม่ได้ผ่านการปรับปรุง แล้วนามากาหนดเป็น วัตถุประสงค์ให้เหมาะสมกับการเรียนการสอนวิชาวิทยาศาสตร์ เพื่อให้ได้ทั้งเนื้อหาที่เป็นความรู้ทาง วิทยาศาสตร์และพฤติกรรมที่ต้องการให้เกิดขึ้นในตัวผู้เรียน ซึ่งวัตถุประสงค์การเรียนการสอน วทิ ยาศาสตร์ ตามแนวของคลอปเฟอร์ มีดงั นี้
61 1. ความรู้ความจาวิทยาศาสตร์ หมายถึง ความสามารถในการระลึกถึงสิ่งที่เรียน มาแล้ว เกี่ยวกับข้อเท็จจริง ศัพท์ การจัดประเภท และการบรรยายลักษณะตามที่เรียนมาแล้ว อย่าง ตรงไปตรงมา พฤตกิ รรมดา้ นความรู้ความเข้าใจแบง่ ออกเป็น 9 ประเภท คอื 1.1 ความรู้เกี่ยวกับข้อเท็จจริง เป็นความจริงเฉพาะที่เล็กที่สุดของความรู้ซึ่งมีอยู่ แลว้ ในธรรมชาติ สามารถสงั เกตเห็นได้โดยตรง และทดสอบซา้ แลว้ ไดผ้ ลเหมือนเดิมทกุ ครงั้ 1.2 ความรู้เกี่ยวกับคาศัพท์ทางวิทยาศาสตร์ เป็นคาศัพท์เฉพาะทางวิทยาศาสตร์ หรือคานิยามศพั ท์ 1.3 ความรู้เกี่ยวกับมโนมติทางวิทยาศาสตร์ เป็นการนาความจริงเฉพาะหลายขอ้ ท่มี ีความเกย่ี วข้องกนั มาผสมผสานกนั เป็นรูปใหม่ 1.4 ความรู้เกี่ยวกับข้อตกลง เป็นข้อตกลงร่วมกันของนักวิทยาศาสตร์ในการใช้ อกั ษรยอ่ สัญลักษณ์ และเครือ่ งหมายต่าง ๆ แทนคาพูดเฉพาะ 1.5 ความรเู้ กย่ี วกับแนวโน้มและลาดับขน้ั ตอน ปรากฏการณ์ธรรมชาติบางอย่างมี การหมุนเวียนเป็นวัฏจักรเป็นวงจรชีวิต ซึ่งทาให้สามารถบอกลาดับขั้นตอนของปรากฏการณ์ต่าง ๆ ไดอ้ ยา่ งถูกตอ้ ง หรือในการทาการทดลองทางวทิ ยาศาสตร์ กจ็ ะมลี าดับขั้นตอนเช่นกนั 1.6 ความรู้เกี่ยวกับการแยกประเภท การจัดประเภทและเกณฑ์ จัดประเภทและ เกณฑ์ ในการแบ่งสิ่งต่าง ๆ ออกเป็นประเภทนั้น ต้องมีเกณฑ์เป็นมาตรฐานในการแบ่ง ผู้เรียนต้อง บอกหมวดหมู่ของสิ่งของหรือปรากฏการณ์ต่าง ๆ ได้ตามที่นักวิทยาศาสตร์กาหนดไว้และสามารถ จดจาลกั ษณะหรอื คุณสมบตั ซิ ่ึงใช้เปน็ เกณฑ์ได้ 1.7 ความรูเ้ กีย่ วกบั เทคนคิ และกรรมวิธิีทางวิทยาศาสตร์ เทคนิคและวิธีการตา่ ง ๆ ที่นักวิทยาศาสตร์ทั้งหลายใช้กันอยู่มีมากมายหลายวิธี ซึ่งเทคนิคและกรรมวิธีทางวิทยาศาสตร์นี้จะ เน้นเฉพาะความสามารถที่ผู้เรียนได้เรียนรู้เท่านั้น เป็นความรู้ที่ได้รับมาจากการบอกเล่าของครู หรือ จากการอา่ นหนงั สอื ไม่ใชค่ วามรู้ทไ่ี ด้มาจากกระบวนการเสาะแสวงหาความรู้ 1.8 ความรู้เกี่ยวกับหลักการและกฎทางวิทยาศาสตร์ โดยหลักการ เป็นความจริง ที่ใช้เป็นหลักอ้างอิง ได้จากการนามโนมติหลายอันที่มีความเกี่ยวข้องกันมาผสมผสานกันเป็นรูปใหม่ เป็นหลักการทางวิทยาศาสตร์ ส่วนกฎวิทยาศาสตร์ คือ หลักการที่เน้นในเรื่องความสัมพันธ์ระหว่าง เหตุกบั ผล 1.9 ความรู้เก่ียวกับทฤษฎีทางวิทยาศาสตร์ โดยทฤษฎี หมายถึง ข้อความที่ใช้ อธบิ ายและพยากรณป์ รากฏการณต์ า่ ง ๆ เปน็ แนวคดิ หลักทีใ่ ช้อธบิ ายได้อย่างกวา้ งขวางในวิชานนั้ ๆ
62 2. ความเข้าใจวิทยาศาสตร์ หมายถึง ความสามารถในการอธิบาย แปลความ ตีความ สร้างข้อสรุป ขยาย ชี้แจง จาแนก จัดเข้าหมวดหมู่ ยกตัวอย่าง ให้เหตุผล จับใจความ เขียน ภาพประกอบ ตัดสินเลือก แสดงความคิดเห็น จัดเรียงลาดับ อ่านกราฟ แผนภูมิ และแผนภาพได้ พฤตกิ รรมดา้ นความเขา้ ใจ แบง่ ออกเปน็ 2 ขัน้ 2.1 การนาความรู้ไปใช้ในสิ่งใหม่ มีความเข้าใจข้อเท็จจริง วิธีการ กฎเกณฑ์ หลักการและทฤษฎตี า่ ง ๆ คือ สามารถบรรยายในรปู แบบใหม่ที่แตกตา่ งจากรูปแบบทเ่ี คยเรยี นมา 2.2 การแปลความหมายของความรู้ในรูปของสัญลักษณ์หนึ่งไปเป็นรูปของอีก สัญลักษณ์หนึ่ง มีความเข้าใจเกี่ยวกับการแปลความหมายของข้อเท็จจริง คาศัพท์ มโนมติ หลักการ และทฤษฎที อ่ี ยใู่ นรปู ของสญั ลักษณ์หนึง่ ไปเปน็ รูปของสญั ลักษณ์อนื่ ได้ 3. กระบวนการสืบเสาะหาความรู้ทางวิทยาศาสตร์ หมายถึง ความสามารถในการใช้ วิธีิการทางวทิ ยาศาสตรส์ ืบเสาะหาความรู้ หรือการท่ผี เู้ รยี นไดแ้ สดงพฤติกรรมถึงการมสี ว่ นร่วมในการ สืบเสาะหาความรู้ด้วยตนเอง เป็นกระบวนการที่นักวิทยาศาสตร์ใช้สาหรับการศึกษาเรื่องราวของ ธรรมชาติและสร้างสรรค์แนวความคิดใหม่ ๆ ขึ้นมา ซึ่งกระบวนการสืบเสาะหาความรู้ทาง วิทยาศาสตร์มีดงั นี้ 3.1 การสังเกตและการวัด การสังเกตเป็นการใช้ประสาทสัมผัสทั้งห้าเข้าไปสารวจ วัตถุหรือปรากฏการณ์ธรรมชาติโดยตรง ซึ่งถ้าใช้การสังเกตเพียงอย่างเดียวก็จะไม่สามารถบอก ปริมาณทถ่ี กู ตอ้ งแนน่ อนได้ ตอ้ งใช้ท้งั การสังเกตและการวดั ควบคกู่ นั ไป 3.2 การมองเห็นปัญหาและวิธีการแก้ปัญหา การสังเกตและการวัดจะช่วยให้ ผเู้ รยี นมองเห็นปัญหาตา่ ง ๆ และหาวิธกี ารทีจ่ ะแกป้ ญั หานนั้ 3.3 การตีความหมายของข้อมูลและการสรุป ข้อมูลผู้เรียนได้จากการทดลองนั้น เป็นการบันทึกผลของการสังเกตและการวัดต่าง ๆ ซึ่งข้อมูลเหล่าน้ันจะต้องถูกจัดกระทาต่อไปเพื่อให้ ได้ผลลัพธท์ ่มี คี ุณคา่ สูงข้ึนในการศกึ ษาเร่ืองน้นั ๆ 3.4 การสร้าง การทดสอบ และการปรับปรุงแบบจาลองทฤษฎี การศึกษาทาง วทิ ยาศาสตร์ท่ีก้าวหน้าไป ทาให้ได้ข้อสังเกตและความรู้เก่ียวกับปรากฏการณ์ท้ังหลายเพ่ิมพูนข้ึนเป็น ลาดับ ทาให้ได้กฎเกณฑ์ หลักการและข้อสรุปต่าง ๆ มากขึ้น แต่ในบางครั้งหลักการเกี่ยวกับ ปรากฏการณ์ที่ศึกษายังไม่ได้กาหนดชัดเจน หรือบางครั้งผลการศึกษาค้นคว้าใหม่ขัดกับข้อสรุปเดิม ทาให้ผู้เรียนจาเป็นต้องสร้างแบบจาลองทฤษฎีที่เข้ากันกับข้อเท็จจริงและหลักการต่าง ๆ ที่อยู่ใน ขอบข่ายของเร่ืองทศี่ ึกษา แบบจาลองทฤษฎีท่ีได้นนั้ ต้องสามารถท่ีจะใช้แสดงถงึ ความสัมพันธ์ระหว่าง ข้อเท็จจรงิ และหลกั การเหล่านั้นได้
63 4. การนาความรู้และวิธีการทางวิทยาศาสตร์ไปใช้ หมายถึง ความสามารถในการ ผสมผสานความรู้ต่าง ๆ มาใช้ในการแก้ปัญหา หาผลลัพธ์จากข้อมูล คาดคะเนการใช้เครื่องมือ ปฏิบัติการได้ถูกต้องและการนาเอาวธิ ีิการทางวทิ ยาศาสตร์ไปใชใ้ นสถานการณ์ใหม่หรือปัญหาใหม่ได้ พฤตกิ รรมดา้ นการนาไปใชแ้ บง่ ออกเป็น 3 ประเภท ดังนี้ 4.1 การนาความรู้ไปแกป้ ญั้ หาใหมข่ องวิทยาศาสตรส์ าขาเดียวกัน 4.2 การนาความร้ไู ปแก้ป้ัญหาใหม่ของวทิ ยาศาสตรต์ า่ งสาขา 4.3 การนาความรไู้ ปแกป้ ญ้ั หาอ่ืน ๆ นอกเหนือจากวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี 5. ทักษะปฏิบัติในการใช้เครื่องมือ ในการเรียนการสอนวิชาวิทยาศาสตร์ ผู้เรียนต้อง ทาการทดลองเพื่อหาคาตอบของปัญหา จึงจาเป็นต้องฝึกให้ผู้เรียนได้มีทักษะในการใช้เครื่องมือทาง วิทยาศาสตร์ และทักษะในการติดตั้งเครื่องมือสาหรับการทดลอง เพื่อให้เกิดความคล่องแคล่วในการ ปฏิบัติ ไม่ทาใหเ้ คร่อื งมอื ทใี่ ช้ชารดุ เสียหายไมเ่ ป็นอันตรายต่อตนเองและผอู้ ื่น 6. เจตคตแิ ละความสนใจ คอื ตอ้ งการให้ผู้เรียนไดพ้ ัฒนาการเก่ยี วกับเจตคติและความ สนใจในวิทยาศาสตร์ 7. การมีแนวโน้มในทางวิทยาศาสตร์ คือ ต้องการให้ผู้เรียนเกิดความประทับใจใน วทิ ยาศาสตร์ เปน็ ผู้มจี ติ ใจเปน็ วทิ ยาศาสตร์ และชกั นาให้ผเู้ รียนมีความสนใจในความสมั พันธ์ท่ีซับซ้อน ระหว่างวทิ ยาศาสตรก์ ับสังคม กาเยแ่ ละบรกิ ส์ (Robert M. Gagne and Leslie J. Briggs อา้ งถงึ ใน สมนึก ภทั ทิยธนี, 2546, หน้า 27) ได้จาแนกประเภทของจุดมุ่งหมายทางการศกึ ษาไว้ 5 ด้านดงั นี้ 1. ทกั ษะทางปัญญา หมายถงึ ความสามารถทางสมองของบุคคลในการเรียนรู้และการ คิดในด้านต่าง ๆ และเป็นสมรรถภาพที่ทาให้บุคคลสามารถตอบสนองต่อสิ่งแวดล้อม โดยผ่านทาง สัญลกั ษณ์ทเี่ ป็นภาษา ตัวเลขและสญั ลกั ษณอ์ ่ืน ๆ ซงึ่ ทกั ษะทางปัญญาแบง่ ออกตามความซับซ้อนเป็น 5 ประเภท คอื 1.1 การจาแนก คือ ความสามารถในการจาแนกความเหมือนหรือความต่างของสง่ิ ต่าง ๆ 1.2 มโนทัศน์รูปธรรม คือ ความสามารถในการจัดพวกสิ่งต่าง ๆ ตามคุณสมบัติท่ี เหมือนกนั ได้ 1.3 มโนทัศน์นิยาม คือ ความสามารถในการสาธิตความหมายของประเภทของสิ่ง ต่าง ๆ หรือเหตกุ ารณ์ตา่ ง ๆ หรอื ความสมั พันธ์ตา่ ง ๆ ได้ 1.4 กฎ มนุษย์ทุกคนจาเป็นต้องเรียนรู้และปฏิบัติตามกฎในสถานการณ์ต่าง ๆ กฎ เป็นตัวคอยควบคุมเพื่อให้มนุษย์สามารถดาเนินชีวิต ปฏิบัติภารกิจ หรือทากิจกรรมต่าง ๆ ได้อย่าง
64 ราบร่ืน เช่น การขับรถยนต์ การเล่นกีฬา การพูดจาสื่อสารกัน เป็นต้น ล้วนแต่ต้องควบคุมด้วยกฎ ท้ังน้นั 1.5 การแก้ปัญหา คือ สภาพการณ์ที่ผู้เรียนค้นพบการใช้กฎต่าง ๆ ที่ได้เรียนมา ก่อนร่วมกันในการแก้ปัญหาที่เป็นปัญหาใหม่ เรียกได้ว่า เป็นการใช้กฎที่ซับซ้อน การแก้ปัญหาไม่ได้ หมายถึง การนาเอากฎที่ได้เรียนรู้มาก่อนมาใช้ แต่เป็นกระบวนการที่ก่อให้เกิดการเรียนรู้ใหม่ เมื่อ ผเู้ รยี นเผชิญกบั ปญั หา เขาระลกึ กฎต่าง ๆ ท่ีเรยี นรู้มาก่อน เพ่ือหาทางแกป้ ัญหา เขาอาจตง้ั สมมติฐาน จานวนหน่ึงและทดสอบสมมติฐานเหล่านัน้ เมื่อสามารถแก้ปัญหาได้ โดยใช้กฎต่าง ๆ ร่วมกัน เขาจะ เกิดการเรยี นรู้สิ่งใหม่ นน่ั คอื ได้กฎใหม่ หรอื ชดุ ของกฎใหม่ อาจเปน็ กฎทซ่ี ับซอ้ นมากขน้ึ 2. ยทุ ธศาสตรท์ างความคิด คอื ทกั ษะทางปัญญาชนิดพิเศษ ซึ่งมีความสาคัญมาก เป็น สมรรถภาพทีค่ วบคุมการเรยี นรู้ ความตัง้ ใจ การจา และพฤติกรรมการคดิ ของบุคคล เปน็ กระบวนการ ทางานภายในสมอง ทักษะนี้จะเกี่ยวข้องกับกระบวนการคิดของผู้เรียนและแตกต่างจากทักษะทาง ปัญญา ซึ่งเกี่ยวข้องกับสิง่ แวดล้อมภายนอกคือต้องมสี ิ่งภายนอกเป็นสือ่ เช่น การฝึกให้เขียนประโยค เขียนกราฟ การแก้สมการทางคณิตศาสตร์ เป็นต้น แต่ในบางขณะการฝึกดังกล่าวนักเรียนบางคน อาจจะใช้กระบวนการคิดที่ต่างจากครูสอน หรือใช้กระบวนการคิดพิเศษซึ่งเป็นความสามารถ เฉพาะตวั สิง่ เหล่านีค้ ือยุทธศาสตร์ทางความคิด 3. สารสนเทศ มนุษยท์ ุกคนเรียนร้สู ารสนเทศ หรอื ขอ้ มลู ความร้จู านวนมหาศาลและสั่ง สมไว้ในสมอง ท้งั จากโรงเรียนหรือภายนอกโรงเรยี น เช่น จากการอา่ นหนงั สือ ตารา หนงั สือพมิ พ์ ฟัง รายการวิทยุ ดโู ทรทัศน์ ใชร้ ะบบสืบคน้ ดว้ ยคอมพวิ เตอร์ เปน็ ต้น ซ่ึงการเรียนร้เู ก่ยี วกับสารสนเทศมี 3 ประเภทดังนี้ 3.1 การเรยี นรูช้ อ่ื หมายถึง ความสามารถในการจดจาชอ่ื และบอกช่ือได้ 3.2 การเรียนรู้ข้อเท็จจริง หมายถึง การจดจาข้อเท็จจริงต่าง ๆ ซึ่งข้อเท็จจริง ก็คือ ขอ้ ความท่ีแสดงความสมั พันธ์ระหว่างช่ือของสิง่ ตา่ ง ๆ หรอื เหตุการณต์ า่ ง ๆ 3.3 การเรียนรู้เรื่องราว หมายถึง การเรียนรู้สาระของเรื่องราวต่าง ๆ ซึ่งก็คือความ เชื่อมโยงของขอ้ เท็จจริงทีไ่ ดจ้ ัดระบบไวแ้ ลว้ 4. ทกั ษะการเคลื่อนไหว หมายถึง ความชานาญในการเคล่ือนไหวกล้ามเน้ือหรือการใช้ อวัยวะส่วนต่าง ๆ ของร่างกายในการทากิจกรรมต่าง ๆ การประสานงานของกล้ามเนื้อและประสาท ด้านต่าง ๆ 5. เจตคติ หมายถึง ความรู้สึกที่มีต่อสิ่งต่าง ๆ ต่อบุคคล และต่อสถานการณ์ โรงเรียน ควรสร้างเจตคติด้านการนับถือบุคคลอื่น การร่วมมือกัน การรับผิดชอบ และเจตคติที่ดีต่อการเรียนรู้ ต่อวชิ า ตอ่ สงั คม
65 จากการศึกษาสรุปได้ว่า ทฤษฎีและแนวคิดที่เกี่ยวข้องกับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนที่ ผู้วิจัยเลือกนามาใช้ คือ อนุกรมวิธานที่ปรับปรุงมาจากบลูม สามารถแบ่งออกเป็น 3 ด้าน คือ ด้าน พุทธิพิสัย ด้านเจตพิสัย และด้านทักษะพิสัย ในงานวิจัยนี้ผู้วิจัยได้ทาการวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน รายวิชาเคมี เรื่อง อัตราการเกิดปฏิกิริยาเคมี ในด้านพุทธพิสัย โดยแบ่งออกเป็น 6 ด้าน คือ ด้าน ความรู้ความจา ด้านความเข้าใจ ด้านการนาไปใช้ ด้านการวิเคราะห์ ด้านการประเมินค่า และด้าน ความคดิ สร้างสรรค์ ตรงตามจดุ ประสงค์การเรยี นรู้ ซ่งึ ใช้แบบทดสอบท่ผี ้วู ิจยั สรา้ งขึ้นท้ังก่อนและหลัง การจัดการเรยี นรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ 5 ข้ันร่วมกับการใช้หนังสืออิเล็กทรอนิกส์ รายวิชาเคมี เรื่อง อัตราการเกดิ ปฏิกิรยิ าเคมี 3. ความหมายของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธท์ิ างการเรยี น มผี ้นู ิยามความหมายไวห้ ลากหลายความหมาย ดงั ตวั อย่างเชน่ สมนึก ภัททิยธนี (2549, หน้า 73) ได้ให้ความหมายของ แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ิ หมายถงึ แบบทดสอบท่วี ดั สมรรถภาพสมองดา้ นต่าง ๆ ทีน่ ักเรยี นไดร้ บั การเรียนรู้ผ่านมาแล้ว พิชิต ฤทธิ์จรูญ (2548, หน้า 96) ได้ให้ความหมายของ แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ หมายถึง แบบทดสอบทใี่ ช้วัดความรู้ ทักษะและความสามารถทางวชิ าการท่ีผู้เรียนได้เรียนรู้มาแล้วว่า บรรลุผลสาเร็จตามจดุ ประสงคท์ ่กี าหนดไวเ้ พียงใด ชวาล แพรัตกุล (2552, หน้า 74) ได้ให้ความหมายของ แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ิ หมายถึง แบบทดสอบที่วัดความรู้ ทักษะ และสมรรถภาพสมองด้านต่าง ๆ ที่เด็กได้รับจาก ประสบการณท์ ั้งปวง ทงั้ จากทางโรงเรียนและทางบ้าน ยกเวน้ การวดั ทางรา่ งกาย ความถนัด และทาง บคุ คล - สงั คม อันไดแ้ ก่ อารมณ์ และการปรบั ตน เปน็ ตน้ เยาวดี รางชัยกุล วิบูลย์ศรี (2553, หน้า 16) ได้ให้ความหมายของ แบบทดสอบวัด ผลสัมฤทธิ์ หมายถึง แบบทดสอบที่สร้างขึ้น เพื่อวัดผลการเรียนรู้ด้านเนื้อหาวิชาและทักษะต่าง ๆ ของแตล่ ะสาขาวชิ า โดยเฉพาะอย่างย่ิง สาขาวชิ าท้ังหลายท่ีได้จัดสอนในระดับช้นั เรียนต่าง ๆ ของแต่ ละโรงเรยี น ศิริชัย กาญจนวาสี (2556, หน้า 165) ได้ให้ความหมายของ แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ ว่าหมายถงึ เคร่อื งมอื ทใี่ ชใ้ นการทดสอบ การวดั และประเมนิ ผลสัมฤทธ์ขิ องการเรียนรูข้ องผู้เรียนตาม เป้าหมายทางการศึกษาที่กาหนดไว้ ทาให้ผู้สอนทราบว่า ผู้เรียนได้พัฒนาความรู้ ความสามารถถึง ระดับมาตรฐานที่ผู้สอนกาหนดไว้หรือยัง หรือมีความรู้ความสามารถถึงระดับใด หรือมีความรู้ ความสามารถดเี พียงไร เมอื่ เปรยี บเทยี บกบั เพ่อื น ๆ ท่เี รยี นดว้ ยกนั รอสส์และแตนลีย์ (Ross and Stanley, 1967) ได้ให้ความหมายของ แบบทดสอบวัด ผลสัมฤทธิ์ ว่าหมายถึง แบบทดสอบที่ใช้วัดความสามารถทางวิชาการ เช่น แบบทดสอบวชิ าเลขคณิต เป็นต้น
66 จากการศึกษาสรุปได้ว่า แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หมายถึง เครื่องมือที่ ใช้ในการทดสอบ การวดั และประเมินผลสมั ฤทธ์ิทางการเรียนท่ีได้ก่อนและหลังจากการจัดการเรียนรู้ อันเป็นคุณลักษณะและความสามารถที่เกิดขึ้นกับผู้เรียน โดยวัดจากคะแนนที่ได้จากการสอบด้าน พุทธิพิสัยตามอนุกรมวิธานที่ปรับปรุงมาจากบลูม (Revised Bloom’s Taxonomy) ตรงตาม จุดประสงค์การเรียนรู้ ซึ่งเป็นแบบทดสอบที่ผู้วิจัยสรา้ งขึ้นทัง้ ก่อนและหลังการจัดการเรียนรู้แบบสืบ เสาะหาความรู้ 5 ขั้นร่วมกับการใช้หนังสืออิเล็กทรอนิกส์ รายวิชาเคมี เรื่อง อัตราการเกิดปฏิกิริยา เคมี แบบปรนยั 4 ตวั เลอื ก จานวน 30 ข้อ 4. ประเภทของแบบทดสอบวดั ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน พิชิต ฤทธิ์จรูญ (2548, หน้า 96) ได้สรุปประเภทของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ไว้ 2 ประเภท คอื 1. แบบทดสอบที่ครูสร้างขึ้นเอง หมายถึง แบบทดสอบที่มุ่งวัดวัดผลสัมฤทธิ์ของ ผู้เรียนเฉพาะกลุ่มที่ครูสอน เป็นแบบทดสอบที่ครูสร้างขึ้นใช้กันโดยทั่วไปในสถานศึกษา มีลักษณะ เปน็ แบบทดสอบข้อเขยี น ซง่ึ แบ่งไดอ้ ีก 2 ชนิด คอื 1.1 แบบทดสอบอัตนัย เป็นแบบทดสอบที่กาหนดคาถามหรือปัญหาให้ แล้วให้ ผู้ตอบเขียนโดยแสดงความรู้ ความคดิ และเจตคติไดอ้ ยา่ งเต็มท่ี 1.2 แบบทดสอบปรนัยหรือแบบให้ตอบสั้น ๆ เป็นแบบทดสอบที่กาหนดให้ผู้ตอบ เขียนตอบสั้น ๆ หรือมีคาตอบให้เลือกแบบจากัดคาตอบ ผู้ตอบไม่มีโอกาสแสดงความรู้ ความคิด ได้ อยา่ งกวา้ งขวางเหมือนแบบทดสอบอตั นัย แบบทดสอบชนิดน้ี แบ่งออกเปน็ 4 แบบ คอื แบบทดสอบ ถกู -ผิด แบบทดสอบเติมคา แบบทดสอบจบั คู่ แบบทดสอบเลอื กตอบ 2. แบบทดสอบมาตรฐาน หมายถงึ แบบทดสอบท่ีมงุ่ วัดผลสมั ฤทธ์ิของผเู้ รียนทัว่ ๆ ไป ซ่งึ สรา้ งโดยผูเ้ ชีย่ วชาญ มีการวเิ คราะห์และปรับปรงุ อยา่ งดีจนมคี ุณภาพและมีมาตรฐาน สมนกึ ภทั ทิยธนี (2549, หน้า 73) ไดแ้ บ่งประเภทของแบบทสอบวดั ผลสัมฤทธ์ิทางการ เรียน ออกเป็น 2 ประเภท คอื แบบทดสอบทคี่ รูสรา้ งขนึ้ กบั แบบทดสอบมาตรฐาน เยาวดี รางชัยกุล วิบูลย์ศรี (2553, หน้า 16) ได้แบ่งประเภทของแบบทดสอบวัดผล สัมฤทธิ์ทางการเรียน ออกเป็น 2 ประเภท คือ แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนที่เป็นข้อเขยี น (Paper and Pencil Test) และ แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนที่เป็นภาคปฏิบัติจริง (Performance Test) ชวาล แพรัตกุล (2552, หน้า 74-75) ได้สรุปประเภทของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ไว้ 2 ประเภท คอื 1. แบบทดสอบของครู หมายถึง ข้อสอบ ข้อปัญหา และโจทย์ข้อคาถามต่าง ๆ ที่ครู สร้างขึ้นใช้เอง แบบทดสอบชนิดนี้ครูสามารถพลิกแพลงให้เหมาะสมกับสภาพและเหตุการณ์ได้ และ
67 ใช้เป็นเครื่องมือวัดพื้นฐานความรู้เดิม วัดความงอกงามในการเรียนการสอน วัดดูความบกพร่องเพื่อ จัดสอนซอ่ มแซม วัดดคู วามพรอ้ มท่จี ะขึน้ บทเรยี นใหม่ เป็นต้น 2. แบบทดสอบมาตรฐาน หมายถึง แบบทดสอบท่ีสร้างขึน้ ด้วยกระบวนการมาตรฐาน ซึ่งมาตรฐานตรงวิธีดาเนินการและวิธีการแปลคะแนน มีคุณค่าในระดับที่สูง สามารถใช้เป็นหลัก สาหรบั วัดและเปรยี บเทียบผล เพ่ือประเมินคา่ ของการเรยี นการสอนในเรื่องใด ๆ ก็ได้ จะใช้สาหรับวัด อัตราความงอกงามของเด็กแต่ละวัย ในแต่ละกลุ่มแต่ละภาคก็ได้ หรือจะใช้สาหรับให้ครูวินิจฉัย ผลสมั ฤทธร์ิ ะหวา่ งวิชาต่าง ๆ ในเดก็ แต่ละคนกไ็ ด้ เป็นต้น ศิริชัย กาญจนวาสี (2556, หน้า 167-169) ได้จาแนกประเภทของแบบทดสอบวัดผล สัมฤทธไ์ิ ว้หลายลักษณะขึ้นอย่กู ับเกณฑ์ทีใ่ ชใ้ นการจาแนก ดังนี้ 1. จาแนกตามผสู้ รา้ ง 1.1 แบบสอบมาตรฐาน (Standardized Tests) เป็นแบบสอบที่สร้างขึ้นด้วย กระบวนการมาตรฐานโดยสานักทดสอบ หรือบริษัทสร้างแบบสอบซึ่งมักออกแบบให้ครอบคลุม เน้ือหาสาระอย่างกวา้ ง ๆ ท่สี อนในหลักสูตรตา่ ง ๆ เพ่ือให้สามารถใช้ได้กบั สถาบันการศึกษาท่ัว ๆ ไป โดยท่ัวไปมรี ูปแบบที่เปน็ มาตรฐานสาหรับการใหบ้ ริการ การดาเนนิ การสอบ การตรวจใหค้ ะแนน การ แปลผล เปรียบเทียบกบั บรรทัดฐานระดับชาติ การรายงานผล และการรายงานคุณภาพของแบบสอบ 1.2 แบบสอบทีผ่ สู้ อนสรา้ ง (Teacher-made Tests) เป็นแบบสอบท่ผี ู้สอนเป็นคน สร้างขึ้นมาใช้เอง จึงมักเป็นแบบสอบที่ครอบคลุมเนื้อหาเฉพาะตามหลักสูตรของสถาบันใดสถาบัน หนึ่ง การตรวจให้คะแนนและการแปลผลจึงมักทาการเปรียบเทียบผลเฉพาะกลุ่มที่สอบด้วยกัน หรือ เปรียบเทยี บกับเกณฑท์ ผ่ี ู้สอนกาหนดไว้เฉพาะ 2. จาแนกตามเนื้อหาวิชา แบบสอบผลสัมฤทธิ์สามารถใช้กับวิชาต่าง ๆ ได้ จึงอาจ จาแนกแบบสอบตามช่อื เนื้อหาวชิ า เชน่ แบบสอบผลสัมฤทธทิ์ างคณติ ศาสตร์ วทิ ยาศาสตร์ ภาษาไทย ภาษาอังกฤษ ประวตั ิศาสตร์ แคลคลู ัส สถิตศิ าสตร์ วิจยั ทางสงั คมศาสตร์ คอมพิวเตอร์ เป็นตน้ 3. จาแนกตามการใช้ 3.1 แบบสอบความพร้อม (Readiness Tests) เป็นแบบสอบที่มุ่งวัด ทักษะ พื้นฐานที่จาเป็น สาหรับการเรียนรู้วิชา/บทเรียน/หน่วยการเรียน เพื่อพิจารณาว่าผู้เรียนมีพื้นฐาน เพยี งพอหรอื ไม่ จะได้ทบทวนหรือปพู ื้นฐานที่จาเปน็ กอ่ นเริม่ เรยี นวิชา/บทเรยี น/หน่วยการเรียนนั้น 3.2 แบบสอบวินิจฉัย (Diagnosis Test) เป็นแบบสอบท่ีมุ่งวัด จุดเด่นจุดด้อยของ ทักษะการเรยี นรู้สาคญั อนั เปน็ ปญั หาของผูเ้ รยี น แบบสอบมุ่งตรวจสอบกลไก องค์ประกอบยอ่ ย ๆ ท่ี ครอบคลุมกระบวนการสาคญั ของทักษะท่เี ป็นเป้าหมายของการเรยี นรู้ เพือ่ ระบุว่าผู้เรยี นมีปัญหาของ การเรยี นรู้ตรงจดุ ไหน อันจะเป็นประโยชน์ต่อการปรับปรุงแกไ้ ขและสอนซอ่ มเสริม
68 3.3 แบบสอบสมรรถภาพ (Proficiency Test) เป็นแบบสอบที่ใช้วัดว่าผู้สอบมี สมรรถนะ ถึงระดับที่เหมาะสมหรือยัง เพื่อใช้เป็นเครื่องบ่งชี้ถึงระดับความสามารถสาหรับการ คัดเลือกหรือให้สิทธิบางประการ เช่น การสอบใบขับขี่รถยนต์ การสอบความสามารถทางภาษา การ สอบความสามารถทางคอมพวิ เตอรเ์ บื้องต้น 3.4 แบบสอบเชงิ สารวจ (Survey Test) เป็นแบบสอบทใ่ี ช้สารวจวัด ระดับความรู้ เชิงสรุปทั่วไป ของนักเรียนหรือนิสิตนักศึกษาในสาขาวิชาเฉพาะ แบบสอบจึงควรครอบคลุมเนื้อหา ทัว่ ไปทีส่ ่มุ ไดจ้ ากมวลเนอ้ื หาอย่างกว้างขวาง เพือ่ ทดสอบผลการเรยี นรู้ทวั่ ไป เชน่ แบบสอบปลายภาค เรียน 4. จาแนกตามการแปลผล 4.1 แบบสอบอิงกลุ่ม (Norm-Referenced Tests) เป็นแบบสอบที่มุ่งวัดผลการ เปรียบเทียบความแตกต่างระหว่างความรู้ ความสามารถของผู้สอบ ข้อสอบอิงกลุ่มจึงถูกสร้างและ เลือกมาใช้เพื่อทาหน้าที่จาแนกระดับความสามารถของผู้สอบที่แตกต่างกัน คะแนนสอบท่ีได้จึง นาไปใชแ้ ปลความหมายโดยการเปรียบเทยี บความรู้ ความสามารถระหว่างกลุ่มผู้สอบด้วยกนั เอง 4.2 แบบสอบอิงเกณฑ์ (Criterion-Referenced Tests) เป็นแบบสอบที่มุ่งวัด ระดบั การเรยี นรู้ของผ้เู รยี นว่ามคี วามรู้ ความสามารถอะไรบ้าง ขอ้ สอบองิ เกณฑถ์ ูกสรา้ งให้ครอบคลุม ความรู้ หรือทักษะสาคัญของการเรียนรู้ที่ต้องการให้เกิดขึ้น คะแนนสอบที่ได้จึงแปลผลโดยการ เปรียบเทยี บกบั เกณฑ์ หรือ มาตรฐาน ทก่ี าหนดไว้ 5. จาแนกตามรปู แบบการตอบ 5.1 แบบสอบประเภทเสนอคาตอบ (Supply Type) 5.1.1 แบบสอบความเรียง (Essay Test) - แบบสอบความเรยี งไม่จากัดคาตอบ (Essay-Extended) - แบบสอบความเรียงจากดั คาตอบ (Essay-Restricted) 5.1.2 แบบสอบแบบตอบส้นั (Short Answer) 5.1.3 แบบสอบแบบเติมคา (Completion) 5.2 แบบสอบประเภทเลือกคาตอบ (Selection Type) 5.2.1 แบบสอบแบบถูก-ผิด (True-False) 5.2.2 แบบสอบแบบจบั คู่ (Matching) 5.2.3 แบบสอบแบบหลายตวั เลอื ก (Multiple-Choice)
69 จากการศึกษาสามารถแบ่งประเภทแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ดังที่ได้ กล่าวไปข้างต้น ออกเป็น 2 ประเภท คือ แบบทดสอบที่ครูสร้างขึ้นเองและแบบทดสอบมาตรฐานท่ี สร้างโดยผู้เชี่ยวชาญ ในงานวิจัยนี้ผู้วิจัยจะใช้แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนที่สร้างขึ้นเอง เนื่องจากผู้วิจัยได้ดาเนินการจัดการเรียนการสอนและต้องการวัดผลของนักเรียนที่มีลักษณะเฉพาะ เรื่อง กล่าวคือ วัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนในวิชาที่ผู้วิจัยได้ทาการสอน เพื่อนาข้อมูลมาวิเคราะห์ใน งานวจิ ยั เฉพาะเรอ่ื ง จึงมีโอกาสท่จี ะจาแนกผู้เรียนไดม้ ากกว่าแบบทดสอบมาตรฐาน
70 บทที่ 3 วธิ ดี าเนนิ การวจิ ัย การวิจัยครั้งนี้เป็นการศึกษาการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ 5 ขั้น (5E) ร่วมกับ การใชห้ นงั สืออิเล็กทรอนกิ สท์ ่มี ตี ่อผลสมั ฤทธท์ิ างการเรียนของนักเรยี นช้ันมธั ยมศกึ ษาปีที่ 5 ในการศกึ ษาค้นคว้าครง้ั นี้ผ้วู ิจัยไดด้ าเนินการวจิ ัย โดยมีรายละเอียดตามหัวข้อ ดงั นี้ 1. ประชากรและกล่มุ ตัวอย่าง 2. แบบแผนการวิจัย 3. เครอื่ งมือทใี่ ชใ้ นการวจิ ัย 4. การสร้างและการตรวจสอบคณุ ภาพเครอ่ื งมอื ทใ่ี ชใ้ นการวิจัย 5. วธิ ดี าเนินการทดลองและเกบ็ รวบรวมข้อมลู 6. การวเิ คราะหข์ ้อมลู 7. สถิติท่ใี ชใ้ นการวิเคราะหข์ ้อมูล ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง 1. ประชากร ประชากรที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ คือ นักเรียนแผนการเรียนวิทยาศาสตร์-คณิตศาสตร์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5/1 และ 5/2 โรงเรียนดาราสมุทร อาเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2563 จานวน 2 ห้องเรียน จานวนนักเรียน 89 คน ซึ่งมีการจัดห้องเรียนแบบคละ ความสามารถ 2. กลุ่มตวั อยา่ ง กลุ่มตัวอยา่ งท่ีใชใ้ นการวิจัยคร้ังนี้ คือ นักเรียนแผนการเรียนวทิ ยาศาสตร์-คณติ ศาสตร์ ชั้นมัธยมศกึ ษาปที ่ี 5/2 โรงเรียนดาราสมุทร อาเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2563 จานวน 1 ห้องเรียน จานวนนักเรียน 44 คน ซึ่งได้จากการสุ่มห้องเรียนด้วยวิธีการสุ่มแบบ แบ่งกลุ่ม (Cluster Random Sampling) โดยใช้ห้องเรียนเป็นหน่วยในการสุ่ม จากการสารวจกลุ่ม ตวั อย่างมคี วามพรอ้ มในการใชง้ านโทรศพั ท์มือถอื และอินเทอร์เน็ตทกุ คน
71 แบบแผนการวจิ ัย การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยกึ่งทดลอง (Quasi-Experimental Research) ดาเนินการ ทดลองตามแบบแผนการทดลองแบบสุ่มกลุ่มเดียวทดสอบก่อนหลัง (Randomized One Group Pretest-Posttest Design) ซ่ึงมีแบบแผนการทดลอง ดังตารางที่ 3-1 ตารางท่ี 3-1 แบบแผนการทดลองแบบส่มุ กลุ่มเดียวทดสอบก่อนหลัง การเลอื ก กลมุ่ สอบก่อน ทดลอง สอบหลัง กลมุ่ ตวั อยา่ ง O1 T O2 R Gr1 (รตั นะ บวั สนธ์, 2562, หนา้ 46) สัญลกั ษณ์ทใ่ี ชใ้ นแบบแผนการทดลอง R หมายถึง การสุ่มตวั อย่างเขา้ กลมุ่ (งานวิจยั น้ใี ช้การส่มุ แบบแบ่งกลมุ่ ) Gr1 หมายถงึ กลมุ่ ทดลอง O1 หมายถงึ การทดสอบก่อนเรียนของกลุ่มทดลองก่อนทดลองใชน้ วตั กรรม O2 หมายถงึ การทดสอบหลงั เรียนของกลุ่มทดลองหลงั ทดลองใช้นวตั กรรม T หมายถึง การใชน้ วตั กรรม หรอื การจดั การเรียนรูแ้ บบสืบเสาะหาความรู้ 5 ข้ัน ร่วมกบั การจดั การเรียนการสอนโดยการใชห้ นงั สอื อิเลก็ ทรอนกิ ส์ รายวิชาเคมี เรอื่ ง อัตราการเกิดปฏิกิริยาเคมี เครือ่ งมือทใ่ี ช้ในการวิจยั เคร่อื งมอื ทีใ่ ช้ในการวิจยั ครั้งน้ี ประกอบด้วย 4 เคร่อื งมอื ดังน้ี 1. หนังสอื อเิ ล็กทรอนิกส์ รายวชิ าเคมี เรื่อง อัตราการเกดิ ปฏิกิริยาเคมี 2. แผนการจดั การเรยี นรู้ รายวชิ าเคมี เร่อื ง อตั ราการเกิดปฏิกริ ยิ าเคมี 3. แบบทดสอบวดั ผลสัมฤทธ์ิทางการเรยี น
72 การสร้างและการตรวจสอบคุณภาพเคร่อื งมือท่ีใช้ในการวิจยั ผู้วิจัยมีวิธีการดาเนินการสร้างและตรวจสอบคุณภาพของเครื่องมือที่ใช้ในงานวิจัย ซ่ึง ดาเนนิ การตามขั้นตอนในแตล่ ะเครื่องมือ ดังน้ี 1. หนังสอื อิเล็กทรอนิกส์ รายวชิ าเคมี เรื่อง อตั ราการเกิดปฏิกริ ิยาเคมี มีข้ันตอนในการ สรา้ งและหาประสิทธภิ าพ ดงั น้ี 1.1 ศึกษามาตรฐานการเรียนรู้ รายวิชาเคมี กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ ตาม หลักสตู รแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พทุ ธศกั ราช 2551 ฉบับปรบั ปรุง พ.ศ. 2560 เพื่อกาหนดผล การเรยี นรแู้ ละสาระการเรยี นร้เู พม่ิ เตมิ ซึ่งในรายวชิ าเคมี มที ้งั หมด 3 มาตรฐาน ดงั น้ี (กระทรวงศึกษาธกิ าร, 2560 ข, หน้า 130) มาตรฐานที่ 1 เข้าใจโครงสร้างอะตอม การจัดเรียงธาตุในตารางธาตุ สมบัติของธาตุ พันธะเคมี และสมบัติของสาร แก๊สและสมบัติของแก๊ส ประเภทและสมบัติของสารประกอบอินทรีย์ และพอลเิ มอร์ รวมทงั้ การนาความรู้ไปใชป้ ระโยชน์ มาตรฐานที่ 2 เข้าใจการเขียนและการดุลสมการเคมี ปริมาณสัมพันธ์ในปฏิกิริยาเคมี อัตราการเกิดปฏิกิริยาเคมี สมดุลในปฏิกิริยาเคมี สมบัติและปฏิกิริยาของกรด-เบส ปฏิกิริยารีดอกซ์ และเซลลเ์ คมไี ฟฟ้า รวมทง้ั การนาความรู้ไปใชป้ ระโยชน์ มาตรฐานที่ 3 เข้าใจหลักการทาปฏิบัติการเคมี การวัดปริมาณสาร หน่วยวัดและการ เปลี่ยนหน่วยการคานวณปริมาณของสาร ความเข้มข้นของสารละลาย รวมทั้งการบูรณาการความรู้ และทักษะในการอธบิ ายปรากฏการณใ์ นชีวติ ประจาวนั และการแกป้ ญั หาทางเคมี 1.2 วิเคราะห์สาระการเรียนรู้ ผลการเรียนรู้ สาระการเรียนรู้เพิ่มเติม จุดประสงค์การ เรียนรู้ และเวลาเรียน จากหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 ฉบับปรับปรงุ พ.ศ. 2560 และคู่มือการใชห้ ลักสูตรรายวิชาเพิ่มเติมวทิ ยาศาสตร์ รายวิชาเคมี ระดบั มธั ยมศึกษาตอน ปลาย ของสถาบนั สง่ เสริมการสอนวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระทรวงศึกษาธกิ าร โดยผู้วิจัยกาหนดเนื้อหาในรายวิชาเคมี ตามมาตรฐานที่ 2 ของหลักสูตรแกนกลาง การศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2560 ความว่า เข้าใจการเขียนและการ ดุลสมการเคมี ปริมาณสัมพันธ์ในปฏิกิริยาเคมี อัตราการเกิดปฏิกิริยาเคมี สมดุลในปฏิกิริยาเคมี สมบัติและปฏิกิริยาของกรด-เบส ปฏิกิริยารีดอกซ์และเซลล์เคมีไฟฟ้า รวมทั้งการนาความรู้ไปใช้ ประโยชน์ (กระทรวงศึกษาธิการ, 2560 ข, หน้า 130) ซึ่งในงานวิจัยนี้ ผู้วิจัยจะพิจารณาในขอบข่าย เฉพาะเนื้อหา เรื่อง อัตราการเกิดปฏิกิริยาเคมี ในระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 มีสาระสาคัญ ดังนี้ (สถาบันส่งเสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี, 2561 ข, หน้า 71)
73 อัตราการเกิดปฏิกิริยาเคมี ซึ่งวัดจากการลดลงของสารตั้งต้นหรือการเพิ่มขึ้นของ ผลิตภัณฑ์ในหน่วยโมลหรือโมลาร์ต่อหนึ่งหน่วยเวลา หารด้วยเลขสัมประสิทธิ์ของสารนั้นในสมการ เคมี ซ่ึงอาจวดั เปน็ อัตราการเกดิ ปฏิกิริยาเคมีเฉลีย่ หรอื อัตราการเกดิ ปฏิกริ ิยาเคมี ณ ขณะหนง่ึ ปฏิกิริยาเคมีเกิดขึ้นได้เมื่ออนุภาคของสารตั้งต้นชนกันในทิศทางที่เหมาะสมและมี พลังงานจลน์ของอนุภาคที่ชนมากพอตามทฤษฎีการชน เมอื่ อนุภาคของสารต้งั ต้นชนกันจะมีพลังงาน ศกั ย์สูงขึน้ จนถงึ สถานะแทรนซิชันตามทฤษฎีสถานะแทรนซชิ นั ซงึ่ พลงั งานก่อกัมมันต์เปรียบเทียบได้ จากผลตา่ งของพลงั งานศักยท์ ี่สถานะแทรนซชิ ันกับสถานะเรม่ิ ต้น ปัจจัยหลักที่ส่งผลต่ออัตราการเกิดปฏิกิริยาเคมีหนึ่ง ๆ คือ ความเข้มข้น พื้นที่ผิว อุณหภูมิ และตัวเร่งปฏิกิริยา ความรู้เกี่ยวกับปัจจัยที่มีผลต่ออัตราการเกิดปฏิกิริยาเคมีสามารถ นามาใช้ประโยชนใ์ นชีวิตประจาวนั และอุตสาหกรรมตา่ ง ๆ จากการวิเคราะห์เนื้อหาในเรื่อง อัตราการเกิดปฏิกิริยาเคมี สามารถแจกแจงเนื้อหา ยอ่ ย ประกอบด้วยเนื้อหาท้ังหมด 3 เรอ่ื ง ซ่งึ ใช้เวลาทงั้ สนิ้ 15 ชวั่ โมง ไดแ้ ก่ เรื่องท่ี 1 ความหมายและการคานวณอตั ราการเกดิ ปฏกิ ริ ยิ าเคมี ใช้เวลา 6 ชวั่ โมง เร่อื งที่ 2 แนวคิดเกีย่ วกบั อัตราการเกิดปฏกิ ริ ยิ าเคมี ใช้เวลา 3 ช่วั โมง เรอ่ื งท่ี 3 ปัจจัยท่มี ีผลต่ออัตราการเกดิ ปฏิกริ ิยาเคมี ใช้เวลา 6 ชั่วโมง ผ้วู ิจัยได้ทาการวิเคราะห์หัวขอ้ เร่ือง ผลการเรยี นรู้ สาระการเรียนรู้เพิ่มเติม จุดประสงค์ การเรียนรู้ และเวลาเรียน ในขอบข่ายของรายวิชาเคมี เรื่อง อัตราการเกิดปฏิกิริยาเคมี ช้ัน มธั ยมศกึ ษาปีที่ 5 แสดงรายละเอยี ดดงั ตารางที่ 3-2
74 ตารางที่ 3-2 การวิเคราะห์หัวขอ้ เรื่อง ผลการเรียนรู้ สาระการเรียนรู้เพม่ิ เติม จดุ ประสงคก์ ารเรยี นรู้ และเวลาเรยี น ตามมาตรฐานการเรยี นรู้ที่ 2 รายวิชาเคมี เรอื่ ง อตั ราการเกิดปฏกิ ิริยาเคมี หัวข้อเรอ่ื ง ผลการเรียนรู้ สาระการเรยี นรูเ้ พ่มิ เตมิ จดุ ประสงค์การเรียนรู้ เวลา 1. เรยี น ความหมาย 1. ทดลอง และ - ปฏกิ ิริยาเคมีแตล่ ะ 1. บอกความหมายและ และการ เขียนกราฟการ ปฏิกิริยามอี ัตราการ คานวณอัตราการ 6 คานวณอัตรา เพิ่มขึ้นหรือลดลง เกดิ ปฏิกิริยาเคมีต่างกัน เปลี่ยนแปลงปรมิ าณ ชัว่ โมง การ ของสารที่ทาการ โดยอาจวดั จากการลดลง ของสาร เกิดปฏิกริ ิยา วัดในปฏิกิรยิ า ของสารตงั้ ตน้ หรือการ 2. ทาการทดลอง เขียน 3 เคมี 2. คานวณอัตรา เพิ่มข้นึ ของผลิตภณั ฑต์ ่อ กราฟแสดง ชัว่ โมง การเกดิ ปฏกิ ิรยิ า หน่งึ หนว่ ยเวลา และหาร ความสมั พนั ธร์ ะหว่าง 2. แนวคดิ เคมี และเขยี น ด้วยเลขสมั ประสิทธ์ขิ อง ปรมิ าณสารกับเวลา เก่ยี วกับอัตรา กราฟการลดลง สารนั้น ๆ ในสมการเคมี และแปลความหมาย การ หรอื เพมิ่ ขึน้ ของ เพือ่ ให้ได้อตั ราการ จากกราฟ เกดิ ปฏกิ ิริยา สารท่ไี ม่ไดว้ ัดใน เกิดปฏกิ ริ ิยาเคมีท่เี ท่ากัน 3. บอกความหมายและ เคมี ปฏิกิริยา ไมว่ ่าจะเป็นการวดั จาก คานวณอตั ราการ สารตงั้ ตน้ หรอื ผลติ ภณั ฑ์ เกิดปฏิกิริยาเคมี 3. เขยี นแผนภาพ และอธบิ ายทิศ 4. เขยี นกราฟการลดลง ทางการชนกัน หรอื เพ่ิมขึ้นของสารที่ ของอนุภาคและ ไม่ไดว้ ดั ในปฎิกริ ยิ า พลังงานที่ส่งผล - ปฏกิ ริ ยิ าเคมีจะเกดิ ขนึ้ 1. อธบิ ายแนวคดิ ตอ่ อตั ราการ ไดก้ ต็ ่อเม่ืออนภุ าคของ เกย่ี วกับอตั ราการ เกิดปฏกิ ิรยิ าเคมี สารตัง้ ตน้ ชนกนั ใน เกิดปฏกิ ิริยาเคมโี ดยใช้ ทศิ ทางทีเ่ หมาะสมและมี ทฤษฎีการชนและ พลังงานอยา่ งน้อยเทา่ กบั ทฤษฎีสถานะแทรนซิ พลังงานก่อกัมมนั ตด์ ังนน้ั ชนั อตั ราการเกดิ ปฏกิ ริ ิยาจงึ ขึ้นกับทิศทางการชนและ พลงั งานท่ีเกดิ จากการชน
75 ตารางที่ 3-2 (ต่อ) หัวข้อเร่ือง ผลการเรยี นรู้ สาระการเรียนรู้ จดุ ประสงค์การเรยี นรู้ เวลา เพมิ่ เติม เรยี น 3. ปัจจัยทมี่ ี 4. ทดลอง และ - อัตราการเกิดปฏกิ ริ ยิ า 1. ทาการทดลอง และ 6 ผลตอ่ อตั รา อธบิ ายผลของ เคมขี องสารหนง่ึ ๆ อธบิ ายผลของความ ช่วั โมง การ ความเขม้ ข้น พ้นื ที่ ข้ึนอยู่กับความเขม้ ขน้ เขม้ ขน้ ของสาร พนื้ ทผ่ี วิ เกิดปฏิกริ ิยา ผิวของสารตั้งตน้ พ้นื ท่ผี วิ อณุ หภูมิ ตัวเร่ง ของสาร อุณหภมู ิ และ เคมี อุณหภูมิ และ และตวั หนว่ งปฏิกิรยิ า ตวั เร่งปฏิกริ ิยาซ่งึ เป็น ตัวเร่งปฏิกิริยาทมี่ ี นอกจากน้ีอัตราการ ปัจจยั หลักท่มี ผี ลต่อ ตอ่ อัตราการ เกิดปฏิกริ ยิ าเคมียัง อัตราการเกดิ ปฏกิ ริ ยิ า เกิดปฏิกริ ยิ าเคมี ขนึ้ อยู่กับชนดิ ของสารที่ เคมี 5. เปรียบเทยี บ ทาปฏิกิรยิ าด้วย 2. เปรียบเทียบอัตรา อตั ราการ การเกิดปฏกิ ริ ิยาเคมี เกิดปฏิกิรยิ าเม่ือมี เม่อื มีการเปลย่ี นแปลง การเปลีย่ นแปลง ปจั จัยหลักทมี่ ผี ลต่อ ความเขม้ ขน้ พื้นที่ อัตราการเกดิ ปฏิกิรยิ า ผวิ ของสารตงั้ ต้น เคมี อณุ หภูมิ และ 3. สบื ค้นขอ้ มูลเก่ียวกับ ตัวเร่งปฏกิ ิรยิ า กระบวนการท่เี กดิ ขนึ้ ใน 6. ยกตัวอย่าง - ความรู้เกย่ี วกับปัจจัย ชวี ติ ประจาวันหรอื และอธบิ ายปัจจยั ทมี่ ีผลต่ออัตราการ อตุ สาหกรรมทีเ่ กย่ี วข้อง ที่มีผลตอ่ อัตราการ เกิดปฏกิ ิริยาเคมี กับปัจจัยที่มีผลต่ออัตรา เกดิ ปฏิกิริยาเคมี สามารถนามาใช้อธิบาย การเกดิ ปฏกิ ริ ยิ าเคมี ในชีวิตประจาวัน กระบวนการท่เี กดิ ข้ึนใน หรอื อุตสาหกรรม ชวี ิตประจาวันหรอื อุตสาหกรรม รวม 15 ชว่ั โมง (กระทรวงศึกษาธิการ, 2560 ข, หน้า 180 และ สถาบันส่งเสรมิ การสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี, 2561 ข, หนา้ 71)
76 จากตารางที่ 3-2 หัวข้อเรื่องที่ปรากฎในตารางจะเป็นหัวข้อเรื่องที่ใช้ในการจัดการ เรียนรู้ เขียนแผนการจัดการเรียนรู้ และยังเป็นหัวข้อในการนาไปสร้างหนังสืออิเล็กทรอนิกส์อีก ประการดว้ ย นอกจากนย้ี ังได้ศึกษาแนวคิด ทฤษฎี และงานวิจัยที่เก่ียวข้องกบั การจัดการเรียนรู้แบบ สืบเสาะหาความรู้ 5 ขั้น ร่วมกับการใช้หนังสืออิเล็กทรอนิกส์ การสร้างและพัฒนาหนังสือ อิเล็กทรอนิกส์ เพ่อื เป็นฐานขอ้ มลู ในการพจิ ารณาใชอ้ อกแบบหนังสืออเิ ลก็ ทรอนิกส์ รายวชิ าเคมี เร่ือง อตั ราการเกิดปฏิกิริยาเคมี ให้ครอบคลมุ เนื้อหา สามารถออกแบบหนังสือได้ตรงตามวัตถุประสงค์ของ การจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ 5 ขั้น และสอดคล้องกับหลักสูตรแกนกลางการศึกษาข้ัน พ้ืนฐาน พทุ ธศกั ราช 2551 ฉบับปรบั ปรุง พ.ศ. 2560 1.3 กาหนดประเภทของหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ โดยในงานวิจัยนี้จะเป็นหนังสือ อิเล็กทรอนิกส์ประเภทหนังสือสื่อประสม (Multimedia) โดยเป็นหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ที่เน้นเสนอ ข้อมลู เน้อื หาสาระในลกั ษณะแบบส่ือผสมระหว่างส่ือภาพ ที่เปน็ ทั้งภาพน่ิงและภาพเคล่อื นไหว กับสื่อ ประเภทเสียงในลักษณะต่าง ๆ 1.4 นาข้อมูลที่ได้จากการศึกษามากาหนดโครงสร้างขอบเขตของเนื้อหา วัตถุประสงค์ เวลาดาเนินการสร้างหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ ใช้เวลาทั้งสิ้น 15 ชั่วโมง จานวน 3 เรื่อง ตามสถาบัน ส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (2561 ข, หน้า 71) แสดงรายละเอยี ดดังนี้ เร่อื งท่ี 1 ความหมายและการคานวณอัตราการเกิดปฏกิ ิริยาเคมี ใชเ้ วลา 6 ช่ัวโมง เร่อื งท่ี 2 แนวคดิ เกย่ี วกบั อัตราการเกิดปฏิกิรยิ าเคมี ใช้เวลา 3 ชวั่ โมง เรื่องท่ี 3 ปัจจัยท่มี ผี ลตอ่ อัตราการเกดิ ปฏกิ ิรยิ าเคมี ใช้เวลา 6 ชั่วโมง 1.5 ดาเนินการสร้างและพัฒนาหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ รายวิชาเคมี เรื่อง อัตราการ เกิดปฏิกิริยาเคมี สาหรับนักเรียน โดยผู้วิจัยเป็นผู้ดาเนินการสร้างและพัฒนาขึ้นเอง ผ่านการใช้ โปรแกรม Flip PDF professional 2.4.9.9 ซึ่งเป็นโปรแกรมที่ไม่มีการเสียค่าใช้จ่าย มีการเปิดให้ใช้ งานโดยท่วั ไป โดยดาเนนิ การสร้างหนังสอื อเิ ลก็ ทรอนิกส์ รายวิชาเคมี เร่ือง อตั ราการเกิดปฏิกิรยิ าเคมี ซึ่งมีองคป์ ระกอบภายในหนงั สอื ดังนี้ 1.5.1 ปก 1.5.2 คานา 1.5.3 ข้อแนะนาท่วั ไปในการใชห้ นังสอื อิเลก็ ทรอนิกส์ 1.5.4 สารบัญ 1.5.5 ผงั มโนทัศน์ เรื่อง อัตราการเกิดปฏิกริ ยิ าเคมี 1.5.6 จุดประสงคก์ ารเรยี นรู้ 1.5.7 เวลาเรยี นทใ่ี ช้
77 1.5.8 คาถามกระต้นุ ความสนใจ 1.5.9 ตวั อยา่ ง / เนอ้ื หาการเรียนรู้ 1.5.10 เรื่องนต้ี อ้ งขยาย 1.5.11 ตรวจสอบความเข้าใจ 1.5.12 ใบกิจกรรม 1.5.13 สรปุ เน้อื หาท้ายเร่ือง 1.5.14 แบบฝกึ หัดทา้ ยเรอ่ื ง 1.5.15 บรรณานุกรม 1.6 นาหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ รายวิชาเคมี เรื่อง อัตราการเกิดปฏิกิริยาเคมี ที่ผ่านการ ทดลองใชแ้ ลว้ มาปรบั ปรุงแก้ไข และเตรยี มเพื่อนาไปทดลองใช้จริงกบั นักเรียนชัน้ มัธยมศึกษาปีท่ี 5/2 โรงเรียนดาราสมุทร อาเภอศรีราชา จงั หวดั ชลบรุ ี ภาคเรยี นที่ 1 ปีการศึกษา 2563 2. แผนการจัดการเรียนรู้ รายวิชาเคมี เรื่อง อัตราการเกิดปฏิกิริยาเคมี มีขั้นตอนการ สร้างดงั น้ี 2.1 ศึกษามาตรฐานการเรียนรู้ รายวิชาเคมี กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์เพิ่มเติม ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2560 ใน มาตรฐานการเรยี นรู้ท่ี 2 เข้าใจการเขยี นและการดุลสมการเคมี ปรมิ าณสัมพนั ธ์ในปฏิกิรยิ าเคมี อัตรา การเกิดปฏิกิริยาเคมี สมดุลในปฏิกิริยาเคมี สมบัติและปฏิกิริยาของกรด-เบส ปฏิกิริยารีดอกซ์และ เซลล์เคมีไฟฟา้ รวมทัง้ การนาความรูไ้ ปใชป้ ระโยชน์ (กระทรวงศึกษาธิการ, 2560 ข, หนา้ 130) 2.2 วิเคราะห์สาระการเรียนรู้ ผลการเรียนรู้ สาระการเรียนรู้เพิ่มเติม จุดประสงค์การ เรียนรู้ และเวลาเรียน จากหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 ฉบับปรับปรงุ พ.ศ. 2560 และคู่มือการใช้หลักสูตรรายวิชาเพิ่มเติมวิทยาศาสตร์ วิชาเคมี ระดับมัธยมศึกษาตอน ปลาย ของสถาบันสง่ เสริมการสอนวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระทรวงศึกษาธกิ าร ตามมาตรฐานท่ี 2 ซึ่งในงานวิจัยนี้จะพิจารณาในขอบข่ายเฉพาะเนื้อหา เรื่อง อัตราการเกิดปฏิกิริยาเคมี ในระดับชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 5 สามารถวิเคราะห์เนื้อหา ประกอบด้วยเนื้อหาทัง้ หมด 3 เรื่อง (สถาบันส่งเสรมิ การ สอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี, 2561 ข, หนา้ 71) ซง่ึ ใชเ้ วลาทัง้ ส้นิ 15 ชั่วโมง ไดแ้ ก่ เรื่องที่ 1 ความหมายและการคานวณอตั ราการเกิดปฏิกริ ยิ าเคมี ใชเ้ วลา 6 ชว่ั โมง เรอ่ื งท่ี 2 แนวคิดเก่ียวกับอตั ราการเกดิ ปฏิกริ ยิ าเคมี ใช้เวลา 3 ช่ัวโมง เร่อื งที่ 3 ปัจจัยท่ีมผี ลต่ออตั ราการเกดิ ปฏิกิรยิ าเคมี ใชเ้ วลา 6 ช่วั โมง 2.3 ดาเนินการสร้างแผนการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ 5 ขั้น ร่วมกับการใช้ หนงั สืออิเล็กทรอนิกส์ รายวชิ าเคมี เรื่อง อตั ราการเกิดปฏิกิริยาเคมี สาหรับนกั เรียนชั้นมัธยมศึกษาปี ที่ 5 โดยให้ครอบคลุม ผลการเรียนรู้ มาตรฐานการเรียนรู้ จุดประสงค์การเรียนรู้ สาระการเรียนรู้
78 เพิ่มเตมิ และเวลาเรยี น ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขน้ั พ้ืนฐาน พุทธศักราช 2551 ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2560 จานวน 5 แผนการจดั การเรยี นรู้ ดังรายละเอียดในตารางที่ 3-3 ตารางท่ี 3-3 แผนการจดั การเรียนรู้แบบสบื เสาะหาความรู้ 5 ขั้น รว่ มกบั การใช้หนังสอื อิเล็กทรอนกิ ส์ รายวิชาเคมี เรื่อง อตั ราการเกดิ ปฏกิ ิริยาเคมี สาหรบั นกั เรยี นช้นั มธั ยมศกึ ษาปีท่ี 5 แผนการ เวลา จดั การ เรียนรู้ท่ี เรอื่ งท่ี ชอ่ื เรอ่ื ง ทีใ่ ช้ รวม 1 (ชม.) (ชม.) 2 3 1 ความหมายและการคานวณอัตราการเกดิ ปฏิกิริยาเคมี 1 3 6 4 ความหมายและการคานวณอัตราการเกิดปฏิกริ ยิ าเคมี 2 3 5 2 แนวคิดเก่ียวกบั อตั ราการเกดิ ปฏกิ ิริยาเคมี 33 3 ปจั จยั ท่ีมีผลต่ออัตราการเกิดปฏิกริ ยิ าเคมี 1 3 6 ปัจจัยท่ีมีผลต่ออัตราการเกดิ ปฏิกริ ิยาเคมี 2 3 รวม 15 ซ่ึงโครงสร้างของแผนการจัดการเรียนรแู้ ต่ละแผน ประกอบดว้ ย 2.3.1 มาตรฐานการเรียนรู้ 2.3.2 ผลการเรียนรู้ 2.3.3 จุดประสงคก์ ารเรยี นรู้ 2.3.4 สาระสาคัญ 2.3.5 สาระการเรียนรู้เพ่มิ เตมิ 2.3.6 สมรรถนะสาคญั ของผูเ้ รยี น 2.3.7 คณุ ลักษณะอันพึงประสงค์ 2.3.8 กระบวนการจัดการจดั การเรียนรู้ ซึง่ เปน็ ไปตามลาดับขั้นตอน ดังรายละเอียดในตารางที่ 3-4
79 ตารางที่ 3-4 เปรียบเทียบการจดั การเรยี นรแู้ บบสบื เสาะหาความรู้ 5 ขนั้ กับการจดั การเรียนรู้ แบบสบื เสาะหาความรู้ 5 ข้นั ร่วมกับการใชห้ นังสืออเิ ล็กทรอนิกส์ รายวชิ าเคมี เร่ือง อตั ราการเกดิ ปฏกิ ิรยิ าเคมี ลาดับขน้ั ตอน การจดั การเรยี นรู้แบบสบื การจดั การเรยี นร้แู บบสืบเสาะหาความรู้ 5 ขั้น 1 เสาะหาความรู้ 5 ขัน้ รว่ มกบั การใชห้ นงั สืออเิ ล็กทรอนิกส์ ขั้นสรา้ งความสนใจ ขนั้ สรา้ งความสนใจ (Engagement) (Engagement) ในขัน้ นม้ี กี ารใช้หนงั สอื อเิ ลก็ ทรอนิกส์ รายวิชาเคมี เร่ือง อัตราการเกิดปฏกิ ิริยาเคมี) 2 ขน้ั สารวจและคน้ หา ข้นั สารวจและคน้ หา (Exploration) (Exploration) (ในข้ันนีม้ ีการใช้หนงั สืออิเลก็ ทรอนกิ ส์ รายวิชาเคมี เร่ือง อัตราการเกดิ ปฏกิ ิริยาเคมี) 3 ข้ันอธิบายและลงข้อสรุป ขนั้ อธิบายและลงข้อสรปุ (Explanation) (Explanation) (ในขน้ั นีม้ ีการใช้หนงั สอื อเิ ล็กทรอนกิ ส์ รายวชิ าเคมี เรอ่ื ง อัตราการเกดิ ปฏิกริ ยิ าเคมี) 4 ขนั้ ขยายความรู้ ขนั้ ขยายความรู้ (Elaboration) (Elaboration) (ในขั้นนี้มีการใช้หนงั สืออิเลก็ ทรอนิกส์ รายวิชาเคมี เรื่อง อัตราการเกิดปฏกิ ิริยาเคมี) 5 ขั้นประเมินความรู้ ขน้ั ประเมินความรู้ (Evaluation) (Evaluation) (ในขั้นนี้มีการใช้หนังสืออิเลก็ ทรอนกิ ส์ รายวชิ าเคมี เรอ่ื ง อัตราการเกดิ ปฏิกริ ิยาเคมี) 2.3.9 อุปกรณ์ ส่อื และแหลง่ การเรยี นรู้ 2.3.10 การวดั และการประเมินผล 2.3.11 บนั ทึกหลงั การสอน 2.3.12 เอกสารแนบ 2.4 นาแผนการจัดการเรียนรู้ที่ผ่านการทดลองใช้แล้วมาปรับปรุงแก้ไข และจัดพิมพ์ เป็นฉบับสมบูรณ์ เพื่อนาไปทดลองใช้จริงกับกลุ่มทดลอง ซึ่งเป็นนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5/2 โรงเรยี นดาราสมุทร อาเภอศรีราชา จังหวดั ชลบรุ ี ภาคเรยี นที่ 1 ปีการศกึ ษา 2563
80 3. แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรยี น มขี ั้นตอนการสรา้ งดงั น้ี 3.1 ศึกษาเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการสร้างแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ิ ทางการเรียน 3.2 ศึกษาหลักสูตร เนือ้ หา ผลการเรยี นรแู้ ล้วกาหนดจุดประสงค์เชิงพฤติกรรมเพื่อเป็น แนวทางการสรา้ งแบบทดสอบวดั ผลสัมฤทธท์ิ างการเรยี น 3.3 สร้างแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน รายวิชาเคมี เรื่อง อัตราการ เกิดปฏิกิริยาเคมี แบบปรนัยเลือกตอบ 4 ตัวเลือก รวมทั้งหมด 60 ข้อ โดยนามาใช้จริง 30 ข้อ ให้ ครอบคลุมเนื้อหาและจุดประสงค์การเรียนรู้ ซึ่งวัดพฤติกรรมด้านพุทธิพิสัยตามอนุกรมวิธานที่มีการ ปรับปรงุ มาจากบลูม (Bloom's Taxonomy) ท้ัง 6 ดา้ น คอื ด้านความรูค้ วามจา (Knowledge) ดา้ น ความเข้าใจ (Comprehension) ด้านการนาไปใช้ (Apply) ด้านการวิเคราะห์ (Analyze) ด้านการ ประเมินค่า (Evaluate) และด้านความคิดสร้างสรรค์ (Create) โดยทาการกาหนดจานวนแบบทดสอบ ที่ต้องการให้สอดคลอ้ งข้อคาถามและจดุ ประสงค์การเรียนรู้ (Item-Objective Congruence index) ดงั ตารางที่ 3-5 ตารางที่ 3-5 การกาหนดจานวนแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธท์ิ างการเรียนที่ต้องการใหส้ อดคล้อง ขอ้ คาถามและจุดประสงค์การเรียนรู้ จานวนขอ้ สอบ (ขอ้ ) สาระ จดุ ประสงคก์ ารเรยี นรู้ ความ ู้ร ่ทีเกิดความจา การเรยี นรู้ ความเข้าใจ ประ ุยกต์ใช้ ิวเคราะ ์ห ประเ ิมนค่า ส ้รางสรรค์ รวม 1. 1. บอกความหมายและ - 4 2 - - - 6 ความหมาย คานวณอัตราการ (2) (1) (3) และการ เปลยี่ นแปลงปริมาณ คานวณอตั รา ของสาร การ เกดิ ปฏิกริ ิยา เคมี
81 ตารางท่ี 3-5 (ต่อ) จานวนข้อสอบ (ขอ้ ) สาระ จดุ ประสงค์การเรียนรู้ ความรู้ท่ีเกิดความจา การเรยี นรู้ ความเ ้ขาใจ ประ ุยกต์ใ ้ช ิวเคราะ ์ห ประเ ิมนค่า สร้างสรรค์ รวม 2. ทาการทดลอง เขียน - 2 2 2 - -6 (3) กราฟแสดง (1) (1) (1) -6 ความสมั พนั ธร์ ะหว่าง (3) ปรมิ าณสารกบั เวลา -6 (3) และแปลความหมาย - 12 จากกราฟ (6) 3. บอกความหมายและ - 2 2 2 - คานวณอัตราการ (1) (1) (1) เกิดปฏกิ ิรยิ าเคมี 4. เขยี นกราฟการลดลง - 2 - 4 - หรือเพ่ิมขึ้นของสารท่ี (1) (2) ไม่ได้วดั ในปฎิกริ ิยา 2. แนวคิด 1. อธิบายแนวคิด - 444 - เกย่ี วกบั อตั รา เกยี่ วกับอัตราการ (2) (2) (2) การ เกิดปฏิกิรยิ าเคมโี ดยใช้ เกิดปฏิกริ ิยา ทฤษฎีการชนและ เคมี ทฤษฎสี ถานะแทรนซิ ชัน
82 ตารางท่ี 3-5 (ต่อ) จานวนข้อสอบ (ขอ้ ) สาระ จดุ ประสงคก์ ารเรยี นรู้ ความรู้ท่ีเกิดความจา การเรียนรู้ ความเ ้ขาใจ ประ ุยกต์ใ ้ช ิวเคราะ ์ห ประเ ิมนค่า สร้างสรรค์ รวม 3. ปัจจยั ที่มี 1. ทาการทดลอง และ 4 2 - 2 - - 8 ผลตอ่ อตั รา อธบิ ายผลของความ (2) (1) (1) (4) การ เข้มข้นของสาร พืน้ ทผ่ี วิ เกดิ ปฏกิ ิรยิ า ของสาร อุณหภูมิ และ เคมี ตัวเรง่ ปฏิกริ ยิ าซง่ึ เปน็ ปจั จัยหลกั ทม่ี ผี ลตอ่ อัตราการเกดิ ปฏกิ ิริยา เคมี 2. เปรยี บเทยี บอตั รา - 2 2 2 2 - 8 การเกดิ ปฏกิ ิริยาเคมีเมื่อ (1) (1) (1) (1) (4) มีการเปลีย่ นแปลง ปัจจยั หลกั ทม่ี ีผลต่อ อัตราการเกดิ ปฏกิ ิริยา เคมี 3. สบื คน้ ข้อมลู เก่ียวกับ - 6 - - - 2 8 กระบวนการที่เกิดข้ึนใน (3) (1) (4) ชวี ติ ประจาวนั หรอื อตุ สาหกรรมที่เกย่ี วข้อง กบั ปจั จัยทม่ี ีผลต่ออตั รา การเกดิ ปฏกิ ริ ยิ าเคมี รวม 4 24 12 16 2 2 60 (2) (12) (6) (8) (1) (1) (30)
83 หมายเหตุ ตัวเลขท่ีไมไ่ ด้อย่ใู นวงเลบ็ หมายถงึ จานวนข้อของแบบทดสอบทส่ี ร้างข้ึน ตวั เลขทอี่ ยู่ในวงเล็บ หมายถงึ จานวนข้อของแบบทดสอบทต่ี ้องการจริง 3.4 นาแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิท์ างการเรียนไปใช้กับกลุ่มตัวอย่าง ซึ่งได้แก่ นักเรียน ชน้ั มัธยมศกึ ษาปีที่ 5/2 จานวน 44 คน ทก่ี าลงั ศึกษาอยู่ในภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2563 โรงเรียน ดาราสมทุ ร อาเภอศรีราชา จงั หวดั ชลบุรี วธิ ีดาเนินการทดลองและเกบ็ รวบรวมข้อมูล ผู้วิจัยดาเนินการทดลองและเกบ็ รวบรวมขอ้ มลู ตามข้ันตอนลาดบั ได้ ดงั น้ี 1. เลือกกลุ่มตัวอย่างด้วยวิธีการสุ่มแบบแบ่งกลุ่ม (Cluster Random Sampling) มา 1 กลุ่ม ซึ่งเป็นกลุ่มที่จะต้องมีการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ 5 ขั้น ร่วมกับการใช้หนังสือ อิเล็กทรอนิกส์ รายวิชาเคมี เรื่อง อัตราการเกิดปฏิกิริยาเคมี โดยกลุ่มตัวอย่างจะต้องมีการจัด ห้องเรยี นแบบคละความสามารถ 2. ผู้วิจัยแจ้งถึงวัตถุประสงค์ของการวิจัย วิธีการวิจัย การปฏิบัติตนของผู้เข้าร่วม โครงการวิจัย ความเสี่ยง และประโยชน์ เป็นต้น หลังจากที่ผู้เข้าร่วมการทดลองเข้าใจแล้ว จะลง ลายมือชื่อเพื่อยินยอมการเข้าร่วมโครงการวิจัย ตามเอกสารของผู้เข้าร่วมโครงการวิจัย (Consent Form) ท่ผี ้วู ิจัยสรา้ งข้นึ โดยจะให้ผเู้ ขา้ รว่ มการทดลองอ่านเอกสารชี้แจงผู้เข้ารว่ มโครงการวิจัยที่ผู้วิจัย สร้างขึ้น (สาหรับอายุต่ากว่า 18 ปี) ก่อนที่จะลงนามยินยอมเข้าร่วมโครงการ ซึ่งเป็นไปตามแนวทาง แบบเสนอเพื่อขอรับการพิจารณาจริยธรรมการวิจัยในมนุษย์ของมหาวิทยาลัยบูรพา โดยที่ผู้เข้าร่วม โครงการจะไดร้ ับสาเนาเอกสารยินยอมไว้ 1 ฉบบั 3. แนะนาข้นั ตอนการทากิจกรรมและบทบาทของนกั เรยี นในการจดั การเรยี นรู้ 4. ทาการทดสอบก่อนเรียน (Pretest) โดยใช้แบบทดสอบสัมฤทธิ์ทางการเรียนที่ผ่านการ ตรวจสอบคุณภาพปรับปรุงและแก้ไขแล้ว ก่อนที่จะมีการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ 5 ขั้น ร่วมกับการใช้หนังสืออเิ ล็กทรอนิกส์ รายวิชาเคมี เรือ่ ง อัตราการเกิดปฏิกริ ิยาเคมี เพอื่ เตรียมข้อมูลไว้ ทดสอบสมมติฐานต่อไป 5. ผู้วิจัยดาเนินการจัดการเรียนรู้ตามแผนการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ 5 ขั้น ร่วมกับการใช้หนังสืออิเล็กทรอนิกส์ รายวิชาเคมี เรื่อง อัตราการเกิดปฏิกิริยาเคมี ใช้เวลาจัดการ เรียนรูท้ ัง้ หมด 15 ชั่วโมง โดยที่ข้อมลู จะถูกเกบ็ ไว้เปน็ ความลับ มีเพียงผู้วิจัยเท่าน้ันจะสามารถเข้าถงึ ขอ้ มูลได้ โดยผวู้ ิจัยจะใชน้ ามสมมตใิ นการเก็บรักษาขอ้ มูล 6. เมื่อสิ้นสุดการจัดการเรียนรู้ตามแผนที่ได้กาหนดขึ้นแล้ว จึงทาการทดสอบหลังเรียน (Posttest) โดยใช้แบบทดสอบวดั ผลสมั ฤทธ์ิทางการเรียน (ฉบับเดิม)
84 7. นาผลคะแนนท่ีไดจ้ ากการตรวจแบบทดสอบวดั ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนมาวิเคราะห์โดย วธิ ีการทางสถิตดิ ว้ ยโปรแกรมสาเร็จรปู เพื่อทดสอบสมมตฐิ านต่อไป โดยในรายงานผลการวจิ ยั สถานที่ เก็บข้อมูล และข้อมูลส่วนบุคคลจะไม่ถูกเปิดเผยเพื่อเป็นการรักษาความลับ และพิทักษ์สิทธิ์ของ ผเู้ ขา้ ร่วมโครงการวิจัย การวเิ คราะห์ข้อมลู ผู้วิจัยได้ดาเนินการวิเคราะห์ข้อมูลตามวัตถุประสงค์ของการวิจัย และสมมติฐานของการ วจิ ยั ที่ต้งั ขึน้ ไว้ตามลาดบั ดงั นี้ 1. วิเคราะห์ข้อมูลเพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนเรียนและหลังเรียนของ นักเรียนที่ได้รับการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ 5 ขั้น ร่วมกับการใช้หนังสืออิเล็กทรอนิกส์ รายวิชาเคมี เรื่อง อัตราการเกิดปฏิกิริยาเคมี โดยใช้การทดสอบความแตกต่างของค่าเฉลี่ย 2 ค่าจาก กลุ่มตัวอย่าง 2 กลุ่มที่ไม่เป็นอิสระจากกัน (t-test for Dependent samples) (สมโภชน์ อเนกสุข, 2556, หนา้ 116) (ทดสอบสมมติฐานขอ้ 1) 2. วิเคราะห์ข้อมูลเพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนของนักเรียนที่ได้รับ การจัดการเรียนรู้แบบสบื เสาะหาความรู้ 5 ขัน้ ร่วมกบั การใช้หนงั สืออิเล็กทรอนิกส์ รายวชิ าเคมี เรื่อง อัตราการเกิดปฏกิ ิริยาเคมี กบั เกณฑ์รอ้ ยละ 80 โดยใช้การทดสอบความแตกต่างของค่าเฉลย่ี จากกลุ่ม ตัวอย่างเดียวเมื่อเทียบกับค่าพารามิเตอร์หรือค่าคงที่ของประชากร (t-test for One-sample) (สมโภชน์ อเนกสุข, 2556, หนา้ 110) (ทดสอบสมมตฐิ านขอ้ 2) สถติ ิทีใ่ ชใ้ นการวิเคราะห์ขอ้ มูล 1. สถิตพิ ืน้ ฐาน 1.1 ค่าเฉลยี่ ของคะแนน (x̅) ใชส้ ตู ร (ลว้ น สายยศ และอังคณา สายยศ, 2543, หน้า 306) x̅ = ∑x n เมอ่ื x̅ คอื คา่ เฉล่ียของคะแนน ∑x คือ ผลรวมของคะแนนท้ังหมด n คือ จานวนนักเรยี นในกล่มุ ตัวอย่าง
85 1.2 คา่ ความเบย่ี งเบนมาตรฐาน (Standard Deviation หรอื SD) ใชส้ ตู ร (ล้วน สายยศ และอังคณา สายยศ, 2543, หน้า 307) SD =√ n∑x2 - (∑x)2 n(n-1) เม่ือ SD คือ ค่าความเบีย่ งเบนมาตรฐาน ∑x2 คือ ผลรวมของคะแนนแตล่ ะดา้ นยกกาลังสอง (∑x)2 คือ ผลรวมของคะแนนทั้งหมดยกกาลงั สอง n คือ จานวนนกั เรยี นในกลุ่มตัวอยา่ ง 2. สถติ ิทใี่ ช้ในการทดสอบสมมตฐิ าน 2.1 ใช้การทดสอบความแตกต่างของค่าเฉลี่ย 2 ค่าจากกลุ่มตัวอย่าง 2 กลุ่มที่ไม่ เป็นอิสระจากกัน (T-test for Dependent samples) เพื่อทดสอบสมมติฐานข้อที่ 1 ความว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน ที่ได้รับการจัดการเรียนรู้แบบสืบ เสาะหาความรู้ 5 ขั้น ร่วมกับการใช้หนังสืออิเล็กทรอนิกส์ รายวิชาเคมี เรื่อง อัตราการเกิดปฏิกิริยา เคมี โดยใช้โปรแกรมสาเร็จรูป หรอื สามารถคานวณโดยใชส้ ตู ร (สมโภชน์ อเนกสุข, 2556, หนา้ 116) t = ∑D และ df = n – 1 n∑D2 - (∑D2) √ n-1 เมือ่ t คือ ค่าท่ีใช้พจิ ารณาแจกแจงแบบ t n คอื จานวนกลุ่มตวั อยา่ ง หรือ จานวนค่ขู องคะแนนท่นี ามาเปรียบเทยี บ D คอื คา่ ความต่างของคะแนนแต่ละคู่ ∑D คือ ผลรวมของความแตกตา่ งระหวา่ งคะแนนการสอบ ก่อนเรยี นกับหลังเรยี น ∑D2 คือ ผลรวมยกกาลังสองของความต่างระหว่างคะแนนสอบ ก่อนเรียนกับหลงั เรยี น
86 2.2 ใช้การทดสอบความแตกต่างของค่าเฉลี่ยจากกลุ่มตัวอย่างเดียวเมื่อเทียบกับ ค่าพารามิเตอร์หรือค่าคงที่ของประชากร (T-test for One-sample) เพื่อทดสอบสมมติฐานข้อท่ี 2 ความว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนของนักเรียนที่ได้รับการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหา ความรู้ 5 ขั้น ร่วมกับการใช้หนังสืออิเล็กทรอนิกส์ รายวิชาเคมี เรื่อง อัตราการเกิดปฏิกิริยาเคมี สูง กว่าเกณฑร์ ้อยละ 80 โดยใช้โปรแกรมสาเร็จรปู หรือสามารถคานวณไดโ้ ดยใช้สตู ร (สมโภชน์ อเนกสุข , 2556, หนา้ 110) t = x̅ -sμ เเละ df = n – 1 √n เมอ่ื n คอื จานวนกลุ่มตวั อยา่ งหรือขนาดของกลุ่มตวั อย่าง x̅ คือ ค่าเฉลย่ี ท่ีหาได้จากกลมุ่ ตวั อย่าง μ คอื คา่ เฉลย่ี หรือค่าคงท่ขี องประชากร S คอื ค่าเบย่ี งเบนมาตรฐานของกลุ่มตวั อย่าง หาได้จากสตู ร S = ∑ (X - X̅)2 n - 1
87 บทท่ี 4 ผลการวเิ คราะห์ขอ้ มลู สญั ลักษณ์ที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมลู การเสนอผลการวเิ คราะห์ข้อมูลในการวิจยั คร้งั นี้ ผ้วู จิ ัยได้กาหนดสัญลกั ษณ์และอักษรย่อท่ี ใชใ้ นการวิเคราะหข์ ้อมูล เพื่อสอ่ื ความหมายในการเสนอผลการวิจัยใหเ้ ข้าใจตรงกนั ดังนี้ n แทน จานวนคนในกลุม่ ทดลอง X̅ แทน ค่าคะแนนเฉล่ยี SD แทน ค่าความเบ่ยี งเบนมาตรฐาน t แทน ค่าสถติ ิในการแจกแจงแบบ t p แทน คา่ ความนา่ จะเปน็ ของความคลาดเคลอ่ื น แบบที่ 1 df แทน ระดับชนั้ แหง่ ความอสิ ระ * แทน นัยสาคญั ทางสถติ ิที่ระดับ .05 การเสนอผลการวิเคราะห์ข้อมลู ผวู้ จิ ยั ได้เสนอผลการวิเคราะห์ขอ้ มูลตามลาดบั ดงั นี้ 1. ผลการเปรียบเทียบผลสัมฤทธ์ิทางการเรยี นก่อนเรียนและหลังเรยี นของนักเรียนท่ีได้รับ การจดั การเรยี นรแู้ บบสบื เสาะหาความรู้ 5 ขนั้ รว่ มกบั การใช้หนังสอื อิเล็กทรอนิกส์ รายวชิ าเคมี เร่ือง อตั ราการเกิดปฏกิ ริ ยิ าเคมี 2. ผลการเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนหลังเรียนของนักเรียนที่ได้รับ การจัดการเรียนรู้แบบสบื เสาะหาความรู้ 5 ขน้ั รว่ มกับการใช้หนงั สืออิเล็กทรอนิกส์ รายวชิ าเคมี เร่ือง อัตราการเกดิ ปฏิกิรยิ าเคมี กับเกณฑร์ ้อยละ 80
88 ผลการวิเคราะหข์ อ้ มลู 1. ผลการเปรยี บเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรยี นก่อนเรียนและหลังเรยี นของนักเรียนที่ได้รับ การจดั การเรยี นรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ 5 ข้ัน รว่ มกับการใชห้ นังสืออิเล็กทรอนิกส์ รายวิชาเคมี เร่ือง อตั ราการเกดิ ปฏกิ ิรยิ าเคมี แสดงดงั ตารางท่ี 4-2 ตารางท่ี 4-1 การเปรยี บเทยี บผลสมั ฤทธทิ์ างการเรยี นกอ่ นเรยี นและหลังเรยี นของนักเรยี นที่ไดร้ ับการ จัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ 5 ขั้น ร่วมกับการใช้หนังสืออิเล็กทรอนิกส์ รายวิชาเคมี เรื่อง อัตราการเกิดปฏกิ ิรยิ าเคมี กลมุ่ ทดลอง n X̅ SD df t p ก่อนเรียน 44 7.91 2.28 หลังเรียน 44 24.05 4.37 43 21.986* .000 *p < 0.05 43 จากตารางที่ 4-2 พบว่า ค่าเฉลี่ยคะแนนผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียน (X̅ = 24.05, SD = 4.37) ของนกั เรยี นท่ีไดร้ ับการจัดการเรยี นรแู้ บบสบื เสาะหาความรู้ 5 ขนั้ ร่วมกับการใช้หนังสือ อิเล็กทรอนิกส์ รายวิชาเคมี เรื่อง อัตราการเกิดปฏิกิริยาเคมี สูงกว่าก่อนเรียน (X̅ = 7.91, SD = 2.28) อย่างมนี ยั สาคญั ทางสถิติท่รี ะดบั 0.05 ผู้วิจัยสรุปได้ว่า จากการวิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติการทดสอบความแตกต่างของค่าเฉลี่ย 2 ค่าจากกลุ่มตัวอย่าง 2 กลุ่มที่ไม่เป็นอิสระจากกัน (T-test for Dependent samples) ผลสัมฤทธ์ิ ทางการเรียนก่อนเรียนและหลังเรียนของนักเรียนที่ได้รับการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ 5 ข้นั ร่วมกับการใช้หนงั สืออิเล็กทรอนิกส์ รายวชิ าเคมี เร่ือง อตั ราการเกิดปฏิกิรยิ าเคมี มคี วามแตกต่าง กันอย่างมีนัยสาคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 เน่ืองจากค่า sig = .000 น้อยกว่า 0.05 (p < α) นั่นคือ ปฏิเสธ H0 ยอมรับ H1 ซง่ึ สอดคล้องกบั สมมตฐิ านท่ตี งั้ ไวใ้ นข้อที่ 2 ทต่ี ้ังไวว้ า่ “ผลสัมฤทธ์ทิ างการเรียน ของนักเรียนหลังเรยี นสงู กว่าก่อนเรยี นที่ได้รับการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ 5 ขั้น ร่วมกบั การใชห้ นงั สอื อิเล็กทรอนิกส์ รายวิชาเคมี เร่อื ง อัตราการเกิดปฏิกิรยิ าเคมี”
89 2. ผลการเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนหลังเรียนของนักเรียนที่ได้รับ การจัดการเรียนรู้แบบสบื เสาะหาความรู้ 5 ข้นั ร่วมกบั การใช้หนงั สืออเิ ล็กทรอนิกส์ รายวิชาเคมี เร่ือง อัตราการเกิดปฏิกิริยาเคมี กับเกณฑ์ร้อยละ 80 (24 คะแนนจากคะแนนเต็ม 30 คะแนน) แสดงดัง ตารางท่ี 4-3 ตารางที่ 4-2 การเปรียบเทียบผลสมั ฤทธ์ิทางการเรยี นของนักเรียนหลังเรียนของนกั เรียนทีไ่ ด้รบั การ จัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ 5 ขั้น ร่วมกับการใช้หนังสืออิเล็กทรอนิกส์ รายวิชาเคมี เรื่อง อตั ราการเกดิ ปฏกิ ิรยิ าเคมี กบั เกณฑร์ ้อยละ 80 (24 คะแนนจากคะแนนเต็ม 30 คะแนน) กลุม่ ทดลอง n เกณฑ์ X̅ SD df t p หลงั เรียน 44 24 24.05 4.37 43 .069* .945 *p < 0.05 จากตารางที่ 4-3 พบว่า ค่าเฉลี่ยคะแนนผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียน (X̅ = 24.05, SD = 4.37) ของนกั เรียนที่ไดร้ ับการจัดการเรียนรูแ้ บบสืบเสาะหาความรู้ 5 ข้นั รว่ มกบั การใช้หนังสือ อิเล็กทรอนิกส์ รายวิชาเคมี เรื่อง อัตราการเกิดปฏิกิริยาเคมี สูงกว่าเกณฑ์ (เกณฑ์ = 24) อย่างมี นยั สาคัญทางสถิตทิ ร่ี ะดับ 0.05 ผู้วิจัยสรุปได้ว่า จากการวิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติการทดสอบความแตกต่างของค่าเฉลี่ย จากกลุ่มตัวอย่างเดียวเมื่อเทียบกับค่าพารามิเตอร์หรือค่าคงที่ของประชากร (T-test for One- sample) ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนของนักเรียนท่ีได้รับการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหา ความรู้ 5 ขั้น ร่วมกับการใช้หนังสืออิเล็กทรอนิกส์ รายวิชาเคมี เรื่อง อัตราการเกิดปฏิกิริยาเคมี มี คะแนนสงู กว่าเกณฑ์ร้อยละ 80 (24 คะแนนจากคะแนนเต็ม 30 คะแนน) อย่างมนี ยั สาคัญทางสถิติท่ี ระดับ 0.05 เนอื่ งจากค่า sig = .945 มากกว่า 0.05 (p > α) นน่ั คือ ยอมรับ H0 ปฏิเสธ H1 ซึ่งเป็นไป ตามสมมติฐานทีต่ ัง้ ไว้ในข้อที่ 2 ที่ตั้งไว้ว่า “ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรยี นของนักเรียนท่ีไดร้ ับการ จัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ 5 ขั้น ร่วมกับการใช้หนังสืออิเล็กทรอนิกส์ รายวิชาเคมี เรื่อง อัตราการเกดิ ปฏิกิริยาเคมี สูงกว่าเกณฑ์รอ้ ยละ 80”
90 บทที่ 5 สรปุ ผลการทดลอง การวจิ ยั ครัง้ น้ีมวี ัตถุประสงค์เพื่อศึกษาการจัดการเรยี นรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ 5 ข้ัน (5E) ร่วมกับการใช้หนังสืออิเล็กทรอนิกส์ที่มีต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 กลุ่มตวั อยา่ งทใี่ ช้ในการงานวจิ ยั เปน็ นกั เรียนแผนการเรียนวิทยาศาสตร์-คณติ ศาสตร์ ชัน้ มัธยมศึกษาปี ที่ 5 โรงเรียนดาราสมุทร ภาคเรียนท่ี 1 ปีการศึกษา 2563 จานวน 1 ห้องเรียน จานวนนักเรียน 44 คน ซึ่งได้จากการสุ่มห้องเรียนด้วยวิธีการสุ่มแบบแบ่งกลุ่ม (Cluster Random Sampling) โดยใช้ ห้องเรียนเป็นหน่วยในการสุ่ม จากการสารวจกลุ่มตัวอย่างมีความพร้อมในการใช้งานโทรศัพท์มือถือ และอินเทอร์เน็ตทุกคน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ ประกอบด้วย 1) หนังสืออิเล็กทรอนิกส์ รายวิชาเคมี เรื่อง อัตราการเกิดปฏิกิริยาเคมี 2) แผนการจัดการเรียนรู้ รายวิชาเคมี เรื่อง อัตราการ เกิดปฏิกิริยาเคมี 3) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย (X̅ ) ค่าความเบี่ยงเบนมาตรฐาน (SD) การทดสอบความแตกต่างของค่าเฉลี่ย 2 ค่า จากกลมุ่ ตวั อย่าง 2 กลมุ่ ท่ีไมเ่ ป็นอิสระจากกัน (T-test for Dependent samples) และการทดสอบ ความแตกต่างของคา่ เฉลยี่ จากกล่มุ ตวั อยา่ งเดียวเมื่อเทยี บกบั ค่าพารามเิ ตอร์หรือคา่ คงทขี่ องประชากร (T-test for One-sample) การวิจัยคร้ังน้ีเป็นการวิจยั กึ่งทดลอง (Quasi-Experimental Research) ดาเนินการทดลองตามแบบแผนการทดลองแบบสุ่มกลุ่มเดียวทดสอบก่อนหลัง (Randomized One Group Pretest-Posttest Design) สรปุ ผลการวิจยั 1. ผลสมั ฤทธ์ทิ างการเรยี นของนักเรยี นหลังเรยี นสูงกว่าก่อนเรียนท่ีได้รับการจัดการเรียนรู้ แบบสืบเสาะหาความรู้ 5 ขั้น ร่วมกับการใช้หนังสืออิเล็กทรอนิกส์ รายวิชาเคมี เรื่อง อัตราการ เกดิ ปฏกิ ริ ิยาเคมี อยา่ งมนี ัยสาคัญทางสถิติทีร่ ะดบั .05 2. ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนของนักเรียนท่ีได้รับการจัดการเรียนรูแ้ บบสืบเสาะหา ความรู้ 5 ขั้น ร่วมกับการใช้หนังสืออิเล็กทรอนิกส์ รายวิชาเคมี เรื่อง อัตราการเกิดปฏิกิริยาเคมี สูง กว่าเกณฑร์ อ้ ยละ 80 อยา่ งมีนยั สาคัญทางสถติ ทิ รี่ ะดับ .05
91 ขอ้ เสนอแนะ จากผลการวิจัย เรื่อง การศึกษาการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ 5 ขั้น (5E) ร่วมกับการใช้หนังสืออิเล็กทรอนิกส์ที่มีต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ผูว้ จิ ัยมขี อ้ เสนอแนะดงั ต่อไปน้ี 1. ขอ้ เสนอแนะท่ัวไป 1.1 ในการศึกษาด้วยหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ ผู้เรียนจะมีความสนใจมากขึ้น รวมถึงได้ เรียนรู้ด้วยตนเอง สามารถนากลับไปศึกษาล่วงหน้า หรือศึกษาต่อจากในห้องเรียนได้ที่บ้าน ทาให้ ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนสงู ขน้ึ 1.2 ในการศึกษาด้วยหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ จาเป็นที่จะต้องมีโทรศัพท์พกพาหรือ คอมพวิ เตอร์ท่ีสามารถใช้งานได้ทั้งภาพและเสยี งทุกคน โดยคุณครสู ามารถให้นักเรียนเรียนรู้ไปพร้อม กนั ได้ผา่ นจอฉายของห้องเรยี น 1.3 ในการศึกษาด้วยหนังสืออิเล็กทรอนกิ ส์ ถึงแม้ว่าจะเป็นการเรียนด้วยตนเอง แต่ครู ก็ยังมีบทบาทในการให้ความช่วยเหลือ เมื่อนักเรียนเกิดปัญหากับการใช้โทรศัพท์พกพา เครื่อง คอมพิวเตอร์ ดังนั้นครูผู้สอนควรให้การดูแลตลอดเวลาที่ทาการสอน หรือคอยให้คาแนะนาแก้ไข ข้อผดิ พลาดของนักเรียน 1.4 ในการศึกษาด้วยหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ มีการจัดทาวิดีโอการทดลองในการทา ปฏิบัติการต่าง ๆ ประกอบเนื้อหา จึงสามารถชว่ ยลดค่าใชจ้ า่ ยและเวลาในการทดลองปฏิบัติการหรอื การทดลองท่เี ปน็ อนั ตราย 2. ขอ้ เสนอแนะสาหรบั การวจิ ยั คร้ังต่อไป 2.1 ควรมีการศึกษาความคงทนในการเรียนรู้ด้วยหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ เปรียบเทียบ กับการจัดการเรียนร้ใู นรปู แบบอ่นื 2.2 ควรมีการสร้างหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ ในรูปแบบเกมเพื่อเพิ่มความสนใจในการ เรียนรู้ และสรา้ งเจตคตทิ ดี่ ีต่อการเรยี นรูด้ ้วยหนังสืออิเลก็ ทรอนิกส์
92 บรรณานกุ รม กชนนท์ ขวัญพุฒ. (2562). การศึกษาผลการจดั การเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรรู้ ว่ มกับบทเรยี น คอมพิวเตอรช์ ว่ ยสอนทม่ี ตี ่อผลสัมฤทธทิ์ างการเรียนวิชาเคมี ความพึงพอใจต่อบทเรียน คอมพิวเตอรช์ ่วยสอน สาหรบั นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5. (วทิ ยานิพนธ์ศึกษาศาสตร มหาบัณฑติ สาขาการสอนวทิ ยาศาสตร์, มหาวิทยาลยั บรู พา). กระทรวงศึกษาธิการ. (2542). พระราชบญั ญัตกิ ารศึกษาแห่งชาติ. พ.ศ. 2542 และท่ีแก้ไขเพมิ่ เตมิ (ฉบบั ที่ 4) พ.ศ. 2562. กรงุ เทพฯ: โรงพมิ พค์ ุรุสภาลาดพรา้ ว. กระทรวงศึกษาธิการ. (2560 ก). มาตรฐานการเรียนรแู้ ละตัวชี้วดั กลมุ่ สาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ วทิ ยาศาสตร์ และสาระภูมศิ าสตร์ ในกลุ่มสาระการเรยี นรสู้ ังคมศึกษา ศาสนา และ วฒั นธรรม (ฉบับปรับปรงุ พ.ศ. 2560) ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551. กรุงเทพฯ: โรงพิมพช์ มุ นุมสหกรณ์การเกษตรแห่งประเทศไทย. กระทรวงศกึ ษาธิการ. (2560 ข). ตวั ช้วี ดั และสาระการเรยี นร้แู กนกลาง กล่มุ สาระการเรยี นรู้ วิทยาศาสตร์ (ฉบบั ปรับปรุง พ.ศ. 2560) ตามหลักสตู รแกนกลางการศึกษาข้ันพืน้ ฐาน พทุ ธศกั ราช 2551. กรุงเทพฯ: โรงพมิ พ์ชุมนุมสหกรณ์การเกษตรแห่งประเทศไทย. กลุ ิสรา จติ รชญาวณชิ . (2562). การจดั การเรียนรู้. กรุงเทพฯ: จฬุ าลงกรณม์ หาวทิ ยาลัย. กองบรหิ ารงานวจิ ัยและประกันคณุ ภาพการศึกษา. (2560). Thailand 4.0 โมเดลขบั เคลื่อน ประเทศไทยส่คู วามมงั่ คั่ง มน่ั คง และยั่งยนื . วันท่คี ้นข้อมลู : 16 มกราคม 2563, เขา้ ถึงได้จาก: https://waa.inter.nstda.or.th/stks/pub/2017/20171114-draeqa- blueprint.pdf เกริก ท่วมกลาง และ จินตนา ทว่ มกลาง. (2555). การพัฒนาสื่อ/นวตั กรรมทางการศกึ ษาเพื่อเลื่อน วทิ ยฐานะ. กรงุ เทพฯ: สถาพรบุ๊คส.์ กฤษมนั ต์ วฒั นาณรงค์. (2555). เทคโนโลยีการศึกษาวชิ าชพี (พมิ พ์คร้งั ที่ 2). กรงุ เทพฯ: ศนู ยผ์ ลติ ตาราเรยี น มหาวิทยาลยั เทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ. กฤษมนั ต์ วฒั นาณรงค์. (2557). นวตั กรรมและเทคโนโลยีเทคนคิ ศกึ ษา. เขา้ ถงึ ไดจ้ าก http://www.matichon.co.th กดิ านนั ท์ มลิทอง. (2548). เทคโนโลยแี ละการสือ่ สารเพ่ือการศึกษา. กรงุ เทพฯ: อรุณการพมิ พ์. ครรชติ มาลยั วงษ์. (2540). ทัศนะไอที (พิมพ์คร้ังที่ 2). กรงุ เทพฯ: ศูนย์เทคโนโลยอี ิเล็กทรอนิกส์และ คอมพวิ เตอร์แหง่ ชาติ.
93 จนิ ตวรี ์ โยสดี า. (2554). การพฒั นาชุดกจิ กรรมสืบเสาะหาความรู้ เร่อื ง ไบโอดีเซล สาหรบั นักเรียน ชัน้ มธั ยมศกึ ษาตอนปลาย. (สารนพิ นธศ์ กึ ษาศาสตรมหาบัณฑติ สาขาวชิ าเคมี, มหาวทิ ยาลยั ศรนี ครนิ ทรวิโรฒ). จนิ ตวรี ์ คลา้ ยสังข.์ (2561). UTEL Ubiquitous Technology Enhanced Learning: The Outcome-Base Learning Design for 21st Century Learners ยบู คิ วติ สั เทคโนโลยที ีส่ ่งเสรมิ การเรยี นรู้: การออกแบบที่เนน้ ผลลัพธก์ ารเรียนรู้ สาหรบั ผู้เรยี นในศตวรรษที่ 21. กรุงเทพฯ: จุฬาลงกรณม์ หาวิทยาลัย. ทศิ นา แขมมณ.ี (2553). ศาสตร์การสอน องค์ความรเู้ พื่อการจัดกระบวนการเรียนรทู้ ีม่ ปี ระสทิ ธิภาพ (พิมพ์ครงั้ ที่ 13). กรงุ เทพฯ: สุทธาการพมิ พ์. ชยั วัฒน์ สุทธิรตั น์. (2553). 80 นวัตกรรม การจดั การเรียนรูท้ เ่ี น้นผเู้ รียนเปน็ สาคัญ (พิมพค์ รงั้ ที่ 3). กรุงเทพฯ: แดเน็กซ์ อินเตอร์คอร์ปอเรชัน่ . ชยั วฒั น์ สทุ ธริ ัตน์. (2558). 80 นวตั กรรม การจดั การเรียนรทู้ ีเ่ น้นผู้เรยี นเปน็ สาคญั (พิมพ์คร้ังท่ี 6). นนทบรุ ี: พี บาลานซ์ดไี ซย์แอนปร้ินตง้ิ . ชยั ยงค์ พรหมวงศ.์ (2556). การทดสอบประสิทธิภาพสือ่ หรือชุดการสอน Developmental testing of media and instructional package. วารสารศลิ ปากรศึกษาศาสตร์วิจยั , 5(1), 7-20. ชนกานต์ สุวรรณทรัพย์. (2556). การพฒั นารปู แบบหนังสืออเิ ล็กทรอนิกสส์ าหรับการเรียนกลมุ่ สาระการเรียนรวู้ ทิ ยาศาสตรร์ ะดับช้ันมัธยมศึกษาตอนต้น. (ปรญิ ญานิพนธศ์ ึกษาศาสตร ดษุ ฎบี ัณฑิต สาขาวชิ าเทคโนโลยีการศึกษา, มหาวทิ ยาลยั ศรีนครินทรวิโรฒ). ชนินทร์ชยั อินทิราภรณ์ และสวุ ิทย์ หริ ณั ยกาณฑ.์ (2548). ปทานกุ รมศัพท์การศึกษา ฉบับแกไ้ ข ปรับปรุง (พมิ พค์ ร้ังที่ 2). กรุงเทพฯ: ราไทยเพลส. ชวาล แพรัตกุล. (2552). เทคนิคการวัดผล (พิมพ์คร้ังท่ี 7). กรุงเทพฯ: โรงพมิ พ์วิฑรู ย์การปก. ชวลติ ชกู าแพง. (2550). การประเมินการเรียนรู้ Learning Assessment. มหาสารคาม: สานักพิมพ์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม. ไชยยศ เรอื งสวุ รรณ. (2533). เทคโนโลยีการศกึ ษา ทฤษฎแี ละการวจิ ัย. กรงุ เทพฯ: โอเดียนสโตร.์ ณพัฐอร บัวฉนุ นฤมล ยุตาคม และพจนารถ สวุ รรณรจุ ิ. (2559). สภาพการจดั การเรยี นการสอน รายวิชาวทิ ยาศาสตร์เพอ่ื คุณภาพชีวติ หมวดวชิ าศึกษาท่ัวไป. วารสารวิจยั และพฒั นา วไลยอลงกรณ์ ในพระบรมราชูปถัมภ์. 11(2) 97-109. ดนยั ศักดิ์ กาโร. (2562). ปฏวิ ัติการสอนสหู่ ้องเรยี น 4.0 ดว้ ย Google for Education. กรงุ เทพฯ: จฬุ าลงกรณม์ หาวิทยาลยั . ทศิ นา แขมมณ.ี (2550). ศาสตร์การสอน: องคค์ วามรูเ้ พอ่ื การจัดกระบวนการเรียนรู้ทม่ี ี ประสทิ ธภิ าพ (พมิ พค์ รง้ั ท่ี 5). กรุงเทพฯ: สานักพมิ พ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวทิ ยาลยั .
94 ทิศนา แขมมณ.ี (2551). ศาสตร์การสอน: องค์ความรูเ้ พ่อื การจัดกระบวนการเรยี นรู้ท่ีมี ประสทิ ธิภาพ (พิมพค์ ร้ังท่ี 7). กรุงเทพฯ: สานักพมิ พ์แหง่ จุฬาลงกรณ์มหาวทิ ยาลัย. ทศิ นา แขมมณี. (2553). ศาสตร์การสอน: องค์ความรู้เพ่อื การจัดกระบวนการเรียนร้ทู ่มี ี ประสิทธิภาพ (พิมพค์ รงั้ ที่ 13). กรุงเทพฯ: สานักพิมพแ์ หง่ จฬุ าลงกรณ์มหาวทิ ยาลยั . บุญรัตน์ แผลงศร. (2558). รายงานวิจัย เรือ่ ง การพฒั นาสมรรถนะในการผลิตและการใช้ประโยชน์ จากหนงั สอื อเิ ล็กทรอนกิ สโ์ ดยใชเ้ ครือขา่ ยการวิจยั การศกึ ษาของครใู นจังหวดั ฉะเชงิ เทรา. ฉะเชงิ เทรา: มหาวิทยาลัยราชภฏั ราชนครนิ ทร์. บญุ เลยี้ ง ทมุ ทอง. (2556). ทฤษฎแี ละการพฒั นารูปแบบการจัดการเรยี นรู้. กรุงเทพฯ: เอส.พริ้นติง้ ไทย แฟคตอรี่. บญุ ชม ศรีสะอาด. (2546). การวิจยั เบ้อื งตน้ (พมิ พ์ครั้งที่ 4). กรงุ เทพฯ: สวุ รี ยิ าสาสน์. บุษบา ชคู า. (2550). ผลของการใช้บทเรียนการ์ตูนคณิตศาสตรแ์ บบ E-Book เรื่อง โจทยป์ ญั หา สมการเชงิ เส้นตัวแปรเดียวทม่ี ีตอ่ ผลสมั ฤทธ์ทิ างการเรยี นและความพงึ พอใจในคณิตศาสตร์ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2. (วทิ ยานิพนธ์ปรญิ ญามหาบัณฑิต, มหาวิทยาลัยศรนี ครนิ ทรวิโรฒ). ปานทิพย์ ผอ่ งอักษร และ ละเอียด แจ่มจันทร์. (2561, พฤษภาคม). การใช้หนงั สืออิเล็กทรอนิกส์: ถอดบทเรียนจากผลลัพธก์ ารเรียนร้ขู องนกั ศึกษาพยาบาล E-book Implementation: Lesson Learned from Nursing Students’ Learning Outcome. วารสารพยาบาล กระทรวงสาธารณสุข Nursing Journal of the Ministry of Public Health, 1-9 พาสนา จลุ รัตน์. (2561). การจัดการเรยี นรสู้ าหรบั ผ้เู รียนในยุค Thailand 4.0 Learning Management for Students in the Thailand 4.0 Era. Veridian E-Journal, Silpakorn University. 11(2), 2363-2380. พวงรตั น์ ทวีรัตน.์ (2540). วิธกี ารวิจัยทางพฤติกรรมศาสตร์และสังคมศาสตร์ (พมิ พ์ครั้งท่ี 7). กรงุ เทพฯ: มหาวิทยาลยั ศรีนครินทรวโิ รฒ ประสานมติ ร. พมิ พนั ธ์ เดชะคุปต์ และพเยาว์ ยินดสี ุข. (2548). วิธีวิทยาศาสตรแ์ ละวทิ ยาศาสตร์ทัว่ ไป. กรุงเทพฯ: พัฒนาคณุ ภาพวิชาการ. พิชิต ฤทธจ์ิ รญู . (2548). หลกั การวัดและประเมนิ ผลการศกึ ษา (พิมพ์ครั้งที่ 3). กรุงเทพฯ: เฮ้าส์ ออฟ เคอร์มสี ท์. ไพฑรู ย์ สนิ ลารัตน์. (2559). การศกึ ษาไทย 4.0 ปรัชญาการศึกษาเชงิ สรา้ งสรรค์และผลติ ภาพ. (พมิ พ์ครั้งท่ี 3). กรุงเทพฯ: จุฬาลงกรณ์มหาวทิ ยาลยั . ไพศาล วรคา. (2555). การวจิ ัยทางการศึกษา Education Research (พมิ พค์ รง้ั ที่ 5). มหาสารคาม: ตกั ศิลาการพมิ พ์.
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130