กาตัพพธรรม เพราะฉะนนั้ จงึ ไดต า งกันกับฌาณทีเ่ ปนโลกยี พระธรรมเจดยี : นวิ รณแ ลสังโยชนน ั้น ขา พเจา ทำไมจงึ ไมรจู กั อาการ คงรูจักแตชอื่ ของ นวิ รณแ ลสงั โยชน ? พระอาจารยม ั่น : ตามแบบในมหาสติปฏฐานพระพุทธเจาสอนสาวก ใหรูจักนิวรณแล สังโยชนพ ระสาวกของทา นตงั้ ใจกำหนดสังเกต ก็ละนวิ รณแ ลสงั โยชนได หมดจนเปนพระอรหันตโดยมาก สวนทา นทอี่ ินทรยี ออ น ยังไมเปน พระ อรหันต ก็เปนพระเสขบคุ คล สว นเราไมต ัง้ ใจไมสังเกตเปน แตจ ำวา นวิ รณ หรือสังโยชน แลวก็ตั้งกองพูดแลคิดไปจึงไมพบตัวจริงของนิวรณและ สังโยชน เมื่ออาการของนิวรณแลสังโยชนอยางไรก็ไมรูจัก แลวจะละ อยา งไรได พระธรรมเจดยี : ถาเชนนั้นผูปฏิบัติทุกวันนี้ ที่รูจักลักษณะแลอาการของนิวรณแล สงั โยชนจ ะมบี างไหม ? พระอาจารยม่นั : มถี มไปชนดิ ทเี่ ปน สาวกตง้ั ใจรบั คำสอนแลประพฤติปฏิบัตจิ ริงๆ พระธรรมเจดีย : 101
นิวรณ 5 เวลาทเ่ี กดิ ขนึ้ ในใจมีลกั ษณะอยางไร จงึ จะทราบไดว าอยางน้ี คือ กามฉนั ท อยา งนค้ี ือพยาบาท หรอื ถนี ะมิทธะ อทุ ธัจจะกุกุจจะ วิจิกิจฉา และมชี ือ่ เสียงเหมอื นกับสงั โยชน จะตางกนั กบั สงั โยชนห รือวา เหมือนกัน ขอทานจงอธิบายลักษณะของนิวรณแลสังโยชนใหขาพเจา เขา ใจจะไดส งั เกตถูก ? พระอาจารยม น่ั : กามฉันทนวิ รณ คือ ความพอใจในกาม สว นกามนั้นแยกเปน สอง คือ กเิ ลสกามหนง่ึ วัตถุกามอยางหนึ่ง เชน ความกำหนัดในเมถุนเปนตน ชื่อ วากิเลสกาม ความกำหนัดในทรัพยสมบัติเงินทองที่บานนาสวน และ เครอื่ งใชส อยหรือบุตรภรรยาพวกพอ ง และสตั วเลี้ยงของเลี้ยงท่เี รยี กวา วิญญาณกทรพั ย อวิญญานกทรัพย เหลา นี้ ชือ่ วา วตั ถกุ าม ความคิด กำหนัดพอใจในสวนทั้งหลายเหลานี้ ชื่อวากามฉันทนิวรณ สวน พยาบาทนิวรณค ือ ความโกรธเคอื ง หรอื คิดแชงสัตวใ หพนิ าศ ชือ่ วา พยาบาทนิวรณ ความงวงเหงาหาวนอน ชอื่ วา ถนี ะมิทธนิวรณ ความ ฟุง ซานรำคาญใจ ชือ่ วา อุธัจจกุกกจุ จนิวรณ ความสงสัย ในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ แลสงสัยในกรรมที่สัตวทำเปน เปน บาป หรอื สงสัย ในผลกรรมเหลา น้ี เปน ตน ชอื่ วา วจิ ิกิจฉารวม 5 อยางน้ี ชื่อวานวิ รณ เปนเคร่ืองกนั้ กางหนทางดี พระธรรมเจดี ีย : กามฉันทนิวรณ อธิบายเกี่ยวไปตลอดกระทั่งวิญญาณกทรัพย อ วิญญาณกทรพั ย วา เปน วตั ถกุ าม ถาเชนนัน้ ผูทย่ี งั ครองเรอื น ซ่ึงตอง 102
เกยี่ วของกับทรพั ยสมบตั อิ ัฐฬสเงินทองพวกพอ ง ญาตมิ ติ ร กจ็ ำเปน จะ ตอ งนกึ ถึงส่งิ เหลา นัน้ เพราะเกี่ยวเน่อื งกับตน ก็มเิ ปนกามฉันทนิวรณไป หมดหรอื ? พระอาจารยม ั่น : ถานึกตามธรรมดาโดยจำเปนของผูที่ยังครองเรือนอยู โดยไมไดกำหนัด ยินดีกเ็ ปน อญั ญสมนา คอื เปนกลางๆ ไมใ ชบญุ ไมใชบ าป ถา คิดถงึ วัตถุ กามเหลา นนั้ เกิดความยนิ ดีพอใจรกั ใครเปนหวง ยดึ ถือหมกมุนพวั พนั อยู ในวัตถกุ ามเหลานนั้ จงึ จะเปน กามฉนั ทนิวรณ สมดวยพระพุทธภาษติ ที่ ตรสั ไววา น เต กามา ยานิ จติ ฺรานิ โลเก อารมณท ่ีวิจติ รงดงามเหลาใดในโลก อารมณเหลานัน้ มิไดเ ปนกาม สงฺกปฺปราโค ปุรสิ สฺส กาโม ความกำหนัดอันเกดิ จากความดำริ นีแ้ หละ เปนกามของคน ติฐ€ นฺติ จิตฺรานิ ตเถว โลเก อารมณที่วิจิตรงดงามในโลก กต็ ้ังอยูอยา ง น้นั เอง อเถตฺถธีรา วนิ ยนฺติ ฉนทฺ ํ เม่อื ความจริงเปน อยางนนี้ กั ปราชญท ้ังหลาย จงึ ทำลายเสียได 103
ซึ่งความพอใจในกามนั้น นี่ก็ทำใหเห็นชัดเจนไดวา ถาฟงตามคาถา พระพุทธภาษิตนี้ ถานึกคิดถึงวัตถุกามตามธรรมดาก็ไมเปนกามฉันท นิวรณ ถา คิดนกึ อะไรๆ กเ็ อาเปนนิวรณเสยี หมด กค็ งจะหลีกไมพนนรก เพราะนิวรณเ ปน อกศุ ล พระธรรมเจดีย : พยาบาทนวิ รณนน้ั หมายความโกรธเคอื ง ประทุษรา ยในคน ถาความ กำหนัดในคน กเ็ ปนกเิ ลสการถูกไหม ? พระอาจารยม ่นั : ถูกแลว พระธรรมเจดีย : ความงวงเหงาหาวนอน เปนถีนะมิทธินิวรณ ถาเชนนั้นเวลาที่เรา หาวนอนมเิ ปนนิวรณทกุ คราวไปหรือ ? พระอาจารยม่ัน : หาวนอนตามธรรมดา เปน อาการรา งกายท่จี ะตอ งพักผอน ไมเ ปน ถนี ะ มิทธนวิ รณ กามฉนั ทหรอื พยาบาททเ่ี กิดข้ึนแลวก็ออ นกำลังลงไป หรือ ดับไปในสมัยนั้นมีอาการมัวซัวแลงวงเหงาไมสามารถจะระลึกถึงกุศลได จึงเปนถีนะมิทธนิวรณ ถาหาวนอนตามธรรมดา เรายังดำรง สตสิ ัมปชัญญะอยไู ดจ นกวาจะหลบั ไป จงึ ไมใชน วิ รณ เพราะถนี ะมิทธนิว รณเปนอกุศล ถาจะเอาหาวนอนตามธรรมดาเปนถีนมิทธแลว เราก็ 104
คงจะพน จากถีนะมิทธนิวรณไมไ ด เพราะตอ งมีหาวนอนทกุ วนั ดว ยกนั ทุก คน พระธรรมเจดีย : ความฟงุ ซา นรำคาญใจ ทีว่ า เปอ ุทธจั จกกุ กจุ จนิวรณนน้ั หมายฟงุ ไปในท่ี ใดบา ง ? พระอาจารยม น่ั : ฟุงไปในกามฉนั ทบา ง พยาบาทบา ง แตในบาปธรรม 14 ทานแยกเปน สองอยาง อุทธจั จะความฟุงซา น กกุ กุจจ ความรำคาญใจ แตในนิวรณ 5 ทานรวมไวเปนอยา งเดียวกนั พระธรรมเจดยี : นิวรณ 5 เปน จิตหรอื เจตสิก ? พระอาจารยม ่นั : เปนเจตสิกธรรมฝา ยอกุศลประกอบกับจิตทเ่ี ปนอกศุ ล พระธรรมเจดีย : ประกอบอยา งไร ? พระอาจารยม ่ัน : เชนกามฉันทนิวรณก็เกดิ ในจิต ท่เี ปน พวกโลภะมลู พยาบาทกกุ กุจจนวิ 105
รณ กเ็ กิดในจิตทเี่ ปนโทสะมลู ถนี ะมทิ ธอุทธจั จะ วิจกิ ิจฉา ก็เกิดในจติ ที่ เปน โมหะมลู พระพุทธเจา ทรงเปรียบนวิ รณทัง้ 5 มาในสามัญญผลสูตร ทีฆนิกายสีลกั ขันธวรรค หนา 93 วา กามฉนั ทนิวรณ เหมือนคนเปน หน,้ี พยาบาทนวิ รณ เหมือนคนไขห นัก, ถีนมิทธนิวรณเหมืนอนคนติดใน เรือนจำ, อุทธัจจกุกกุจจนิวรณเหมือนคนเปนทาส, วิจิกิจฉานิวรณ เหมือนคนเดนิ ทางกนั ดารมีภัยนา หวาดเสยี ว เพราะฉะนนั้ คนท่เี ขาพน หน้ี หรือหายเจ็บหนัก หรือออกจากเรอื นจำ หรือพนจากทาส หรอื ได เดินทางถึงที่ประสงคพน ภัยเกษมสำราญ เขายอ มถงึ ความยินดีฉนั ใด ผูที่ พนนิวรณทัง้ 5 กย็ อมถึงความยินดีฉนั นั้น แลในสงั คารวสตู ร ในปจ จก นิบาต อังคุตตรนิยาย หนา 257 พระพุทธเจา ทรงเปรยี บนวิ รณดว ยนำ้ 5 อยา ง วาบุคคลจะสอ งเงาหนาก็ไมเ หน็ ฉนั ใด นวิ รณท ั้ง 5 เมอื่ เกิดขนึ้ ก็ ไมเหน็ ธรรมความดคี วามชอบฉนั นั้น กามฉันทนวิ รณ เหมอื นน้ำที่ระคน ดว ยสตี างๆ เชน สีคร่งั สีชมพู เปน ตน พยาบาทนวิ รณ เหมือนน้ำที่มี จอกแหนปดเสียหมด อุทธัจจกุกกุจจนิวรณเหมือนน้ำที่คลื่นเปนระลอก วจิ กิ จิ ฉานิวรณ เหมือนน้ำที่ขุน ขนเปนโคลนตม เพราะฉะนั้นนำ้ 5 อยา ง นี้ บุคคลไมอ าจสงดเู งาหนาของตนไดฉ นั ใด นิวรณท ้งั 5 ทเ่ี กิดขึ้น ครอบงำใจของบุคคลไมใ หเห็นธรรมความดคี วามชอบไดก ็ฉันนนั้ พระธรรมเจดีย : ทำไมคนเราเวลาไขหนักใกลจะตาย ก็ทำบาปกรรมความชั่วอะไรไมได แลวจะกลาววจีทจุ รติ ปากก็พดู ไมไ ด จะลวงทำกายทจุ รติ มือแลเทาก็ ไหวไมไ ดแ ลว ยังเหลอื แตค วามคดิ นึกทางใจนิดเดยี วเทา น้นั ทำไมใจ ประกอบดวยนวิ รณ จึงไปทุคติได ดไู มน าจะเปน บาปกรรมโตใหญอ ะไร 106
เลย ขอนีน้ า อศั จรรยนกั ขอทา นจงอธบิ ายใหข า พเจา เขาใจ ? พระอาจารยม ่นั : กิเลสเปน เหตใุ หก อ กรรมๆ เปน เหตุใหกอวบิ าก ทเ่ี รยี กวา ไตรวฏั นนั้ เชน อนุสัย หรือสังโยชนที่เกิดขึ้นในเวลานั้นชื่อวากิเลสวัฏ ผูที่ไมเคย ประพฤติปฏบิ ตั ิกท็ ำในใจไมแ ยบคาย ทีเ่ รียกวา อโยนิโส คดิ ตอออกไป เปนนวิ รณ 5 หรืออปุ กิเลส 16 จึงเปน กรรมวัฏฝายบาป ถาดับจติ ไปใน สมัยนั้น จึงไดวิบากวัฏที่เปนสวนทุคติ เพราะกรรมวัฏฝายบาปสงให อปุ มาเหมอื นคนปลูกตนไม ไปนำพชื พนั ธุข องไมท เ่ี บ่อื เมามาปลกู ไว ตน แลใบทเ่ี กดิ ขึ้นนัน้ ก็เปน ของเบื่อเมา แมผลแลดอกทอ่ี อกมา กเ็ ปนของ เบื่อเมาตามพืชพันธุเดิมซึ่งนำมาปลูกไวนิดเดียว แตก็กลายเปนตนโต ใหญไปไดเหมือนกนั ขอ น้ฉี ันใด จิตทเ่ี ศราหมองเวลาตาย ก็ไปทุคตไิ ดฉ ัน นน้ั แลเหมือนพืชพันธุแ หงผลไมท ่ดี ี มีกล่นิ หอมมรี สหวาน บคุ คลไปนำ พืชพันธุมานิดเดียวปลูกไวแมตนแลใบก็เปนไมที่ดีทั้งผลแลดอกที่ออกมา ก็ใชแลรบั ประทานไดต ามความประสงค เพราะอาศัยพืชที่ดีซึ่งนำมานดิ เดยี วปลกู ไว ขอ นฉ้ี ันใด จิตทเ ปน กศุ ลผอ งใสแลวตายในเวลาน้นั จึงไปสู สคุ ตไิ ดส มดวยพระพุทธภาษติ ที่วา จติ เฺ ต สงฺกลิฏเฐ ทุคคฺ ติ ปาฏิกงฺขา เวลาตายจติ เศราหมอง แลว ทคุ ตเิ ปน หวังได จิตเฺ ต อสงฺกลิ ฎิ เฐ สุคตปิ าฏิกงฺขา จติ ผอ งใสไมเ ศราหมองเวลาตายสคุ ติ เปนหวังได 107
พระธรรมเจดีย : อโยนิโสมสสกิ าโร ความทำในใจไมแยบคาย โยนิโสมนสกิ ารโร ความทำ ในใจแยบคาย 2 อยา งนนั้ คอื ทำอยางไรชือ่ วาไมแยบคาย ทำอยา งไรจงึ ช่อื วาแยบคาย ? พระอาจารยมนั่ : ความทำสุภนิมิตไวในใจ กามฉันทนิวรณที่ยังไมเกิดก็เกิดขึ้น ที่เกิดขึ้น แลวก็งอกงาม ความทำปฏฆิ ะนมิ ิตไวใ นใจ พยาบาทนวิ รณท ่ยี ังไมเ กดิ ก็ เกดิ ขึ้น ท่เี กดิ ข้นึ แลวก็งอกงามอยางน้ี ชื่อวา ทำในใจไมแยบคาย การทำ อสุภสญั ญาไวในใจ กามฉนั ทนวิ รณท ย่ี งั ไมเกิดกไ็ มเ กดิ ขึน้ ท่เี กิดข้ึนแลว ก็ เสอ่ื มหายไป การทำเมตตาไวในใจ พยาบาทนิวรณท ยี่ ังไมเกดิ กไ็ มเกดิ ข้ึน ที่เกดิ ขน้ึ แลวกเ็ สือ่ มหายไป เชนน้ีเปนตวั อยาง หรือความทำในใจอยา งไร ก็ตาม อกศุ ลทย่ี ังไมเ กดิ ก็เกิดขน้ึ ทเี่ กดิ ขน้ึ แลวกง็ อกงาม ก็ชื่อวา ทำในใจ ไมแ ยบคาย หรอื จะคิดนกึ อยางไรก็ตามกุศลทย่ี งั ไมเ กิดกเ็ กิดขนึ้ ที่เกิดขนึ้ แลว ก็บริบรู ณ อยางน้ชี ่ือวาทำในใจแยบคาย สมดว ยสาวกภาษติ ท่พี ระ สารบี ุตรแสดงไวใ นพระทสุตตรสูตรหมวด 2 วา โย จ เหตุ โย จ ปจจฺ โย สตตฺ านํ สงกฺ ลิ สฺสาย ความไมท ำในใจโดยอบุ าย อนั แยบคายเปน เหตดุ ว ยเปน ปจ จยั ดวย เพื่อความเศราหมองแหงสตั วท งั้ หลาย 1 โย จ เหตุ โย จ ปจจฺ โย สตตฺ านํ วิสทุ ฺธยิ า ความทำในใจ โดยอบุ าย แยบคาย เปนเหตดุ วยเปนปจจยั ดวย เพ่อื จะไดบรสิ ุทธ์แิ หงสัตวทง้ั หลาย 108
พระธรรมเจดีย : ทีว่ า อนสุ ยั กับสังโยชนเ ปนกเิ ลสวฏั สว นนิวรณห รืออปุ กเิ ลส 16 วาเปน กรรมวัฏเวลาที่เกิดขึ้นนั้น มีอาการตางกันอยางไร จึงจะทราบไดวา ประเภทนี้เปน นิวรณ หรืออุปกิเลส 16 ? พระอาจารยมน่ั : เชน เวลาตาเห็นรปู หูไดย ินเสียง จมูกไดด มกล่ิน ลน้ิ ไดลิ้มรส กายถูก ตอ งโผฎฐัพพะ รธู มั มารมณดวยใจ 6 อยา งนี้ แบงเปน 2 สว น สวนท่ดี ี นนั้ เปน อิฎฐารมณ เปนทตี่ ั้งแหง ความกำหนัด ยินดีสว นอารมณ 6 ทไ่ี มด ี เปนอนฎิ ฐารมณ เปน ท่ตี ง้ั แหง ความยนิ ราย, ไมช อบ, โกรธเคือง ผูท่ยี ัง ไมรูความจรงิ หรือไมม ีสติเวลาทต่ี าเหน็ รูปท่ดี ี ยงั ไมท นั คิดวา กระไรกเ็ กิด ความยนิ ดีกำหนัดพอใจข้ึน แคนเ้ี ปนสงั โยชน ถาคิดตอมากออกไป ก็ เปน กามฉนั ทนิวรณ หรอื เรยี กวา กามวิตกก็ได หรือเกิดความโลภอยาก ไดท ผ่ี ดิ ธรรม ก็เปน อภชิ ฺฌาวสิ มโลโภท่ีอยใู นอปุ กิเลส 16 หรือใน มโนกรรม อกุศลกรรมบถ 10 ชนดิ นี้ ประกอบดวยเจตนา เปน กรรมวัฏ ฝายบาป เวลาตาเห็นรูปที่ไมดีมไมทันคิดวากระไร เกิดความไมชอบ หรือเปนโทมนัสปฏิฆะขึ้นไมประกอบดวยเจตนาแคนี้เปนปฏิฆะสังโยชน คือ กเิ ลสวฏั ถา คิดตอออกไปถงึ โกรธเคอื งประทุษรายกเ็ ปนพยาบาท นิวรณ หรอื ุปกเิ ลส หรืออกศุ ลกรรมบถ 10 ชนดิ นี้ ก็เปน กรรมวัฏฝา ย บาป เพราะประกอบดวยเจตนา นีช่ ีใ้ หฟง เปนตวั อยาง แมก ิเลสอน่ื ๆก็พงึ ตัดสนิ ใจอยางนีว้ า กเิ ลสทีไ่ มตั้งใจใหเกดิ กเ็ กดิ ขน้ึ ไดเ อง พวกน้ีเปนอนุสัย หรอื สังโยชน เปนกเิ ลสวฏั ถา ประกอบดวยเจตนา คอื ยืดยาวออกไปก็ กรรมวัฏ 109
พระธรรมเจดยี : ถาเชนนั้นเราจะตัดกิเลสวัฏ จะตดั อยางไร ? พระอาจารยม ั่น : ตองตัดไดดวยอริยมรรค เพราะสังโยชนก็ไมมีเจตนา อริยมรรคก็ไมมี เจตนาเหมือนกนั จึงเปน คูปรับสำหรบั ละกัน พระธรรมเจดยี : ถา การปฏบิ ัตขิ องผดู ำเนนิ ยงั ออ นอยู ไมสามารถจะตดั ได สงั โยชนก ย็ งั เกิดอยู แลวกเลยเปนกรรมวัฏฝายบาปตอออกไป มิตองไดวิบากวัฏที่ เปนสวนทคุ ตเิ สยี หรอื ? พระอาจารยมน่ั : เพราะอยางนนั้ นะซิ ผทู ี่ยงั ไมถ ึงโสดาบนั จงึ ปด อบายไมได พระธรรมเจดยี : ถาเชน นัน้ ใครจะไปสวรรคไดบ างเลา ในชั้นผูปฏบิ ัตทิ ่ียังไมถ ึงโสดาบัน ? พระอาจารยม่นั : ไปไดเ พราะอาศัยเปลยี่ นกรรม สังโยชนย งั อยูก จ็ ริง ถาประพฤติทุจริต กาย วาจา ใจ เวลาตายใจเศรา หมองก็ตอ งไปทคุ ติ ถา มาต้งั ใจเวน ทุจรติ อยูในสุจริตทางกาย วาจา ใจ แลเวลาตายก็ไมเศราหมองก็มี 110
สตสิ มั ปชัญญะกไ็ ปสคุ ตไิ ด เพราะเจตนาเปนตวั กรรม กรรมมี 2 อยาง กณฺหํ เปน กรรมดำ คอื ทจุ ริต กาย วาจา ใจ สกุ กฺ ํ เปนกรรมขาว คอื สุจรติ กาย วาจา ใจ ยอมใหผ ลตา งกนั พระธรรมเจดีย : ผูท ย่ี ังมีชีวิตอยูไดประพฤติสจุ รติ กาย วาจา ใจ เวลาตายใจเศรา หมอง มิตอ งไปทคุ ตเิ สียหรอื หรือผทู ี่ประพฤติทจุ รติ กาย วาจา ใจ แตเ วลา ตายใจเปน กศุ ล มิไปสคุ ติไดหรอื ? พระอาจารยม่นั : ก็ไปไดนะ ซี ไดเ คยฟงหนังสือของสมเด็จพระวนั รตั (ทับ) วดั โสมนัสบาง หรือเปลา เวลาลงโบสถทา นเคยแสดงใหพ ระเณรฟง ภายหลังไดมาจดั พมิ พกันขึ้น รวมกับขออน่ื ๆทา นเคยแสดงวา ภกิ ษรุ ักษาศีลบรสิ ุทธิ์ เวลา จะตายหว งในจีวร ตายไปเกดิ เปน เลน็ แลภิกษุอกี องคห นึง่ เวลาใกลจ ะ ตายนกึ ขึ้นไดว า ทำใบตะไครน้ำขาด มองหาเพื่อนภิกษทุ ่จี ะแสดงอาบตั กิ ็ ไมม ใี คร ใจกก็ งั วลอยูอยา งนั้นแหละ ครั้นตายไปกเ็ กดิ เปน พญานาค แล อบุ าสกอีกคนหนึง่ เจริญกายคตาสติมาถงึ 30 ป กไ็ มไดบ รรลุคณุ วเิ ศษ อยางใด เกิดความสงสยั ในพระธรรม ตายไปเกดิ เปน จระเข ดวยโทษ วจิ กิ จิ ฉานิวรณ สวนโตเทยยะพราหมณนน้ั ไมใ ชผ ูปฏบิ ัติ หว งทรพั ยที่ฝง ไว ตายไปเกิดเปน ลูกสนุ ขั อยูในบานของตนเองดว ยโทษกามฉันทนิวรณ เหมอื นกัน แลนายพรานผหู นึ่งเคยฆาสตั วม ากเวลาใกลจะตายพระสารี บุตรไปสอนใหรับไตรสรณคมน จิตก็ตั้งอยูในกุศลยังไมทันจะใหศีลนาย พรานกต็ ายไปสสู ุคติ ดวยจิตทเี่ ปนกุศล ตง้ั อยูในไตรสรณคมน นีก่ เ็ ปน 111
ตัวอยางของผูที่ตายใจเศราหมองหรือบริสุทธิ์ กรรมของผูที่กระทำใน เมอ่ื เวลาใกลจ ะตายน้ัน ชอ่ื วา อาสันนกรรม ตองใหผลกอ นกรรมอ่นื ๆ ทานเปรียบวา เหมอื นโคอยใู กลป ระตูคอก แมจะแกก ำลังนอย กต็ อ ง ออกไดกอ น สว นโคอ่นื ถึงจะมีกำลังมาก ทอ่ี ยูขา งใน ตอ งออกทีหลงั ขอนี้ ฉันใด กรรมทบ่ี ุคคลทำเม่ือใกลจะตายจึงตอ งใหผลกอนฉนั นน้ั พระธรรมเจดีย : สว นอนุสยั แลสงั โยชนเปน กิเลสวัฏนวิ รณ หรืออุปกเิ ลส 16 หรือ อกศุ ล กรรมบถ 10 วา เปนกรรมวฏั ฝา ยบาป สวนกรรมวัฏฝายบญุ จะไดแก อะไร ? พระอาจารยมนั่ : กามาวจรกุศล รูปาวจรกศุ ล อรูปาวจรกุศล เหลานี้ เปนกรรมวัฏฝาย บญุ สง ใหวบิ ากวฏั คอื มนุษยสมบัติบาง สวรรคสมบตั บิ าง พรหมโลก บาง พอเหมาะแกกศุ ลกรรมทท่ี ำไว พระธรรมเจดีย : ถา เชน นน้ั กรรมท้ังหลาย ทสี่ ตั วทำเปน บุญก็ตาม เปนบาปกต็ าม ยอ มให ผลเหมอื นเงาทไ่ี มพรากไปจากตนฉะนั้นหรอื ? พระอาจารยม ัน่ : ถูกแลว สมดวยพระพุทธภาษิตท่ีตรัสไวในอภณิ หปจ จเวกขณวา กมมฺ สสฺ โกมหฺ ิ เราเปน ผมู ีกรรมเปนของๆตน กมฺมทาโย เปน ผูรับผลของกรรม 112
กมมฺ โยนิ เปน ผูม กี รรมเปนกำหนด กมมฺ พนฺธุ เปน ผูมกี รรมเปน เผาพนั ธุ กมฺมปฏิสรโณ เปนผูม ีกรรมเปนท่ีพง่ึ อาศยั ยํ กมฺมํ กริสฺสามิ เราจกั ทำกรรมอนั ใด กลยฺ าณํ ว ปาปกํ วา ดีหรอื ช่ัว ตสํสา ทายาโท ภวิสฺสามิ เราจักเปน ผรู บั ผลของกรรมนั้น พระธรรมเจดยี : อนสุ ัยกับสังโยชน ใครจะละเอียดกวากัน ? พระอาจารยม ัน่ : อนสุ ยั ละเอยี ดกวา สงั โยชน เพราะสงั โยชนน้ัน เวลาทจี่ ะเกดิ ขนึ้ อาศัย อายตนะภายในอายตนะภายนอกกระทบกนั เขาแลวเกดิ วญิ ญาณ 6 ชือ่ วา ผสั สะ เมอื่ ผทู ่ีไมม สี ติ หรอื ไมร คู วามจรงิ เชนหูกบั เสยี งกระทบกันเขา เกดิ ความรูข้ึน เสยี งท่ีดีก็ชอบ เกิดความยินดพี อใจ เสยี งที่ไมด ี กไ็ มชอบ ไมถ ูกใจ ท่ีโลกเรียกกันวาพื้นเสยี เชนนแ้ี หละช่อื วา สงั โยชน จึงหยาบ กวาอนสุ ัย เพราะอนสุ ยั นน้ั ยอ มตามนอนในเวทนาทง้ั 3 เชน สขุ เวทนา เกิดขึ้น ผูที่ไมเคยรูความจริง หรือไมมีสติ ราคานุสัยจึงตามนอน ทกุ ขเวทนาเกดิ ขน้ึ ปฏิฆานุสยั ยอ มตามนอน อุทกขมสขุ เวทนาเกิดขึน้ อวิชชานุสยั ยอ มตามนอน เพราะฉะนั้นจึงละเอียดกวา สงั โยชน และมี พระพทุ ธภาษติ ตรัสไวใน มาลงุ โกฺย วาทสตู ร วาเด็กออนทน่ี อนหงายอยู ในผาออม เพียงจะรูจักวานี่ตานี่รูป ก็ไมมีในเด็กนั้น เพราะฉะนั้น สังโยชนจึงไมมีในเด็กที่นอนอยูในผาออม แตวาอนุสัยยอมตามนอนใน เดก็ นั้นได 113
พระธรรมเจดีย : อนสุ ยั นน้ั มปี ระจำอยูเสมอหรือ หรือมีมาเปนครั้งเปน คราว ? พระอาจารยม ัน่ : มมี าเปน ครั้งคราว ถามีประจำอยูเสมอแลวกค็ งจะละ ไมไ ด เชนราคานุสัยกเ็ พ่มิ มาตามนอนในสขุ เวทนา หรอื ปฏฆิ านสุ ยั กเ็ พิ่ง มาตามนอนในทุกขเวทนา หรืออวิชชานุสัยก็เพิ่งมาตามนนในอทุกขม สุขเวทนา ตามนอนไดแตผ ูท่ไี มรูความจริง หรอื มสี ตกิ ็ไมต ามนอนได เรือ่ ง นไ้ี ดอธิบายไวในเวทนาขนั ธแ ลว พระธรรมเจดยี : แตเดิมขาพเจาเขาใจวาอนุสัยตามนอนอยูในสันดานเสมอทุกเมื่อไป เหมือนอยางขต้ี ะกอนทนี่ อนอยกู น โองน้ำ ถา ยงั ไมม ใี ครมาคน กย็ ังไมข ุน ขึน้ ถา มใี ครมาคนก็ขุนขน้ึ ได เวลาทไี่ ดรับอารมณทด่ี ี เกดิ ความกำหนดั ยินดีพอใจขึ้น หรือไดรับอารมณที่ไมดีก็เกิดปฏิฆะหรือความโกรธขึ้น เขา ใจวา น่ีแหละขนุ ขนึ้ มา ความเขา ใจเกา ของขาพเจามผิ ิดไปหรือ ? พระอาจารยม น่ั : ก็ผิดนะซี เพราะเอานามไปเปรยี บกับรูป คอื โองก็เปน รูปทไ่ี มมีวญิ ญาณ น้ำก็เปนรูปที่ไมมีวิญญาณ แลขี้ตะกอนกนโองก็เปนรูปไมมีวิญญาณ เหมอื นกนั จึงขังกนั อยไู ด สวนจิตเจตสกิ ของเรา เกดิ ข้ึนแลวดับไป จะขงั เอาอะไรไวไ ด เพราะกเิ ลสเชนอนุสัยหรือสงั โยชน ก็อาศยั จิตเจตสกิ เกดิ ขนึ้ ชวั่ คราวหนงึ่ เมื่อจิตเจตสกิ ในคราวน้นั ดับไปแลว อนุสัยหรือสงั โยชน จะตกคางอยูกับใคร ลองนึกดูเมื่อเรายังไมมีความรัก ความรักนั้นอยู 114
ที่ไหน ก็มีขน้ึ เม่อื เกดิ ความรักไมใชหรอื หรือเมือ่ ความรกั น้ันดับไปแลว ก็ ไมม ีความรักไมใชห รือ และความโกรธเม่อื ยงั ไมเกดิ ขนึ้ กไ็ มม เี หมอื นกัน มี ข้ึนเมือ่ เวลาทโ่ี กรธ เมอ่ื ความโกรธดับแลว กไ็ มม ีเหมือนกนั เรื่องน้เี ปน เร่ืองละเอียดเพราะไปติดสัญญาทจ่ี ำไวนานแลววา อนสุ ัยนอนอยเู หมือน ขี้ตะกอนทน่ี อนอยูกน โอง พระธรรมเจดีย : กอ็ นสุ ัยกับสงั โยชนไมมีแลว บางคราวทำไมจึงมีขนึ้ อกี ไดเ ลา ขา พเจา ฉงนนัก แลวยงั อาสวะอกี อยางหนึง่ ทีว่ า ดองสนั ดานน้นั เปน อยางไร ? พระอาจารยมน่ั : ถาพูดถงึ อนสุ ยั หรอื อาสวะแลว เราควรเอาความวา ความเคยตวั เคยใจ ทเ่ี รียกวากิเลสกับวาสนาท่พี ระสมั มาสมั พุทธเจา ละไดท ้ัง 2 อยา ง ท่พี ระ อรหนั ตสาวกละไดแ ตกิเลสอยา งเดยี ววาสนาละไมได เราควรจะเอาความ วาอาสวะหรืออนุสัยกิเลสเหลานี้เปนความเคยใจ เชนไดรับอารมณที่ดี เคยเกิดความกำหนัดพอใจ ไดรบั อารมณทีไ่ มดี เคยไมชอบไมถกู ใจ เชน น้ี เปนตน เหลานแี้ หละควรรูสกึ วาเปนเหลา อนสุ ัย หรืออาสวะเพราะความ คนุ เคยของใจ สว นวาสนาน้ัน คือความคุน เคยของ กาย วาจา ทตี่ ิดตอ มาจากเคยแหงอนสุ ยั เชน คนราคะจรติ มีมรรยาทเรยี บรอ ย หรือเปน คนโทสะจริตมีมรรยาทไมเรียบรอย สวนราคะแลโทสะนั้นเปนลักษณะ ของกิเลส กิริยามารยาทท่เี รยี บรอ ยแลไมเรียบรอ ย นน่ั เปน ลักษณะของ วาสนานก่ี ็ควรจะรไู ว 115
พระธรรมเจดีย : ถาเชน นน้ั เราจะละความคุน เคยของใจ ในเวลาทไี่ ดรบั อารมณทด่ี หี รือไม ดี จะควรประพฤตปิ ฎบิ ตั อิ ยา งไรดี ? พระอาจารยมัน่ : วิธีปฏบิ ัติทจี่ ะละความคนุ เคยอยางเกา คืออนุสัยแลสังโยชน กต็ อ งมา ฝกหัดใหคุนเคยในศีลแลสมถวิปสสนาขึ้นใหม จะไดถายถอนความคุน เคยเกา เชน เหลาอนสุ ยั หรือสงั โยชนใหหมดไปจากสันดาน พระธรรมเจดีย : สวนอนสุ ัยกับสงั โยชน ขาพเจา เขา ใจดแี ลว แตส วนอาสวะนัน้ คอื กามา สวะ ภวาสวะ อวชิ ชาสวะ 3 อยางน้ันเปนเครอ่ื งดองสนั ดาน ถาฟง ดตู าม ช่อื ก็ไมน าจะมีเวลาวา ง ดูเหมือนดองอยกู บั จติ เสมอไปหรอื ไมไดดองอยู เสมอ แตสวนตัวขาพเจาเขาใจไวแตเดิมสำคัญวาดองอยูเสมอขอนี้เปน อยางไร ขอทานจงอธิบายใหขาพเจาเขา ใจ ? พระอาจารยม ่ัน : ไมรูวาเอาอะไรมาซอกแซกถาม ไดตอบไวพรอมกับอนุสัยแลสังโยชน แลว จะใหต อบอีกกต็ อ งอธิบายกันใหญ คำท่วี าอาสวะเปน เครื่องดองน้ัน ก็ตองหมายความถึงรูปอีกนั่นแหละ เชนกับเขาดองฝกก็ตองมีภาชนะ เชนผกั อยา งหนงึ่ หรือชามอยางหน่ึงและน้ำอยา งหนึ่ง รวมกัน 3 อยาง สำหรับเชนกันหรือของที่เขาทำเปนแชอิ่มก็ตองมีขวดโหลหรือน้ำเชื่อม สำหรับแชข อง เพราะสิง่ เหลาน้ีเปน รูปจึงแชแลดองกันอยูได สว นอาสวะ 116
น้ันอาศยั นามธรรมเกดิ ขนึ้ นามธรรมกเ็ ปนสิ่งทไี่ มม ตี วั อาสวะก็เปน สิ่งท่ี ไมมีตวั จะแชแลดองกนั อยูอยางไรได นนั่ เปนพระอุปมาของพระสัมมา สัมพทุ ธเจา ทรงบัญญตั ขิ ึ้นไววา อาสวะเครอ่ื งดองสันดาน คอื กิเลสมี ประเภท 3 อยา ง เรากเ็ ลยเขาใจผดิ ถือม่ันเปนอภนิ ิเวส เห็นเปนแชแ ล ดองเปนของจรงิ ๆจังๆไปได ความจรงิ ก็ไมมอี ะไร นามและรูปเกดิ ขนึ้ แลว กด็ บั ไป อะไรจะมาแชแลดองกนั อยไู ด เพราะฉะนนั้ ขอใหเ ปล่ียนความ เหน็ เสยี ใหมทีว่ าเปนนนั่ เปน นี่ เปน จริงเปน จังเสียใหได ใหห มดทกุ ส่ิงที่ได เขาใจไวแ ตเ กา ๆแลว ก็ตง้ั ใจศกึ ษาเสียใหมใ หต รงกับความจริง ซงึ่ เปน สัมมาปฏิบตั ิ พระธรรมเจดยี : จะทำความเหน็ อยางไรจงึ จะตรงกบั ความจริง ? พระอาจารยม ั่น : ทำความเหน็ วา ไมม ีอะไร มีแตส มมตแิ ลบัญญัติ ถาถอนสมมติแลบญั ญตั ิ ออกเสียแลวก็ไมมีอะไร หาคำพูดไมได เพราะฉะนั้นพระพุทธเจาทรง บญั ญัติ ขันธ 5 อายตนะ 6 ธาตุ 6 นามรูป เหลานกี้ เ็ พื่อจะใหรูเรื่องกนั เทา นน้ั สวนขนั ธแ ลอายตนะ ธาตุ นามรปู ผปู ฏบิ ตั ิควรกำหนดรูวาเปน ทกุ ข สวนอนสุ ัยหรือสังโยชน อาสวะ โยคะ โอฆะ นวิ รณ อุปกิเลสเปน สมทุ ยั อาศยั ขันธห รืออายตนะหรือนามรูปเกิดขน้ึ นนั้ เปนสมุทยั เปน สว น หนึ่งท่ีควรละ มรรคมีองค 8 ยนเขาคอื ศีล สมาธิ ปญญา เปน สวนทค่ี วร เจริญ ความส้ินไปแหงกิเลส คอื อนสุ ัยหรือสังโยชน ชื่อวานิโรธ เปน สวนควรทำใหแจงเหลานี้แหละเปนความจริง ความรูความเห็นใน 4 117
อริยสัจนแ้ี หละเปนความจรงิ ความรูความเหน็ ใน 4 อริยสัจนแ้ี หละคือ เหน็ ความจรงิ ละ พระธรรมเจดีย : สาธุ ขาพเจาเขา ใจแจมแจง ทีเดียว แตเมื่ออาสวะไมไ ดดองอยเู สมอ แลว ทำไมทา นจงึ กลาววา เวลาทพ่ี ระอรหันตส ำเรจ็ ข้ึนใหมๆ โดยมากแลวทไ่ี ด ฟงมาในแบบทานรูวาจิตของทานพนแลวจากกามาสวะ ภวาสวะ อวิชชาสวะ ขา พเจาจึงเขา ใจวา ผูท ยี่ งั ไมพน กต็ อ งมอี าสวะประจำอยูก ับ จิตเปน นิตยไ ป ไมมเี วลาวา ง กวาจะพนไดก็ตองเปนพระอรหนั ต ? พระอาจารยม่ัน : ถาขืนทำความเห็นอยูอยางนี้ ก็ไมมีเวลาพนจริงดวย เมื่ออาสวะอยู ประจำเปนพื้นเพของจิตแลวก็ใครจะละไดเลา พระอรหันตก็คงไมมีใน โลกไดเ หมือนกัน นค่ี วามจรงิ ไมใ ชเชน นี้ จิตนัน้ สว นหน่งึ เปน ประเภททุกข สจั อาสวะสวนหนงึ่ เปนประเภทสมทุ ัย อาศัยจติ เกิดข้นึ ช่ัวคราว เม่ือจติ คราวนนั้ ดับไปแลว อาสวะประกอบกับจิตในคราวนัน้ ก็ดบั ไปดว ย สว น อาสวะทเี่ กดิ ขน้ึ ไดบอยๆน้นั เพราะอาศยั การเพงโทษ ถา เราจักตั้งใจเพง โทษใครๆ อาสวะกจ็ ะเกิดไดด วยยากเหมอื นกนั สมดวยพระพทุ ธภาษติ ท่ี ตรสั ไววา ปรวชชฺ านุปสสฺ สํ สฺ เมอ่ื บุคคลตามมองดู ซ่ึงโทษของผอู ่นื นจิ จฺ ํ อชฺฌาน สฺญโิ น เปน บคุ คลมคี วามหมายจะยกโทษเปน นติ ย อาสวา ตสสฺ วฑฺฒนฺติ อาสวะทง้ั หลายยอ มเจริญขนึ้ แกบ คุ คลน้นั อารา โส อา สวกขฺ ยา บคุ คลนัน้ เปนผหู างไกลจากธรรมท่สี ิ้นอาสวะ ถาฟง ตามคาถา พระพุทธภาษิตนี้ก็จะทำใหเราเห็นชัดไดวาอาสวะนั้นมีมาในเวลาที่เพง 118
โทษ เรายังไมเพงโทษอาสวะก็ยังไมมีมาหรือเมื่อจิตที่ประกอบดวยอา สวะคราวนน้ั ดบั ไปแลวอาสวะก็ดบั ไปดว ย ก็เปนอันไมเ หมือนกัน การท่ี เห็นวาอาสวะมีอยูเสมอจงึ เปนความเห็นผิด พระธรรมเจดีย : อาสวะ 3 น้นั กามาสวะเปน กเิ ลสประเภทรัก อวิชชาสวะเปน กเิ ลส ประเภทไมรู แตภวาสวะนน้ั ไมไดความวาเปนกเิ ลสประเภทไหน เคยไดฟง ตามแบบทา นวา เปน ภพๆอยางไรขาพเจาไมเขาใจ ? พระอาจารยม น่ั : ความไมรูความจริงเปนอวิชชาสวะ จึงไดเขาไปชอบไวในอารมณที่ดีมี กามเปนตนเปนกามสวะ เมื่อไมชอบไวในท่ใี ด ก็เขาไปยึดถอื ต้งั อยใู นที่ นน้ั จึงเปน ภวาสวะน่ีแหละ เขา ใจวาเปน ภวาสวะ พระธรรมเจดีย : ภวะทานหมายวา ภพ คือ กามภพ รปู ภพ อรปู ภพไมใ ชห รอื ทำไมภพถึง จะมาอยูในใจของเราไดเ ลา ? พระอาจารยม ั่น : ภพทใ่ี นใจน่ลี ะซสี ำคัญนกั จงึ ไดต อใหไ ปเกิดในภพขา งนอก กล็ องสังเกต ดู ตามแบบท่เี ราไดเคยฟง มาวา พระอรหันตท งั้ หลายไมม ีกเิ ลสประเภท รัก และไมมีอวิชชาภวะตัณหาเขาไปเปนอยูในที่ใด แลไมมีอุปาทาน ความชอบความยินดียดึ ถือในส่งิ ทงั้ ปวง ภพขางนอก คอื กามภพ รปู ภพ 119
อรูปภพ ตลอดจนกระทง่ั ภพ คอื สทุ ธาวาสของทานน้นั จงึ ไมมี พระธรรมเจดีย : อาสวะ 3 ไมเหนมีกเิ ลสประเภทโกรธ แตทำไมการเพงโทษนนั้ เปน กเิ ลส เกลียดชังขาดเมตตา กรณุ า เพราะอะไรจงึ ไดม าทำใหอาสวะเกิดข้ึน ? พระอาจารยม่ัน : เพราะความเขา ไปชอบไปเปน อยใู นสงิ่ ใดที่ถกู ใจของตน ครน้ั เขามาทำที่ ไมชอบไมถูกใจจึงไดเขาไปเพงโทษ เพราะสาเหตุที่เขาไปชอบไปถูกใจ เปนอยูในสิ่งใดไวซึ่งเปนสายชนวนเดียวกัน อาสวะทั้งหลายจึงไดเจริญ แกบ ุคคลนนั้ พระธรรมเจดยี : ความรนู ัน้ มหี ลายอยา ง เชน กบั วญิ ญาณ 6 คือ ความรทู าง หู ตา จมกู ล้นิ กาย ใจ หรือ ความรูในเรื่อง โลภ โกรธ หลง รษิ ยา พยาบาท หรอื รู ไปในเรื่องความอยากความตองการ หรือคนที่หยิบเล็กหยิบนอยนิด หนอ ยก็โกรธ เขากว็ าเขารูทั้งนัน้ สวนความรูใ นรปู ฌาณหรอื อรปู ฌาณ ก็เปนความรูชนิดหนึ่ง สวนปญญาที่รูเห็นไตรลักษณแลอริยสัจก็เปน ความรเู หมอื นกัน สว นวชิ ชา 3 หรือวชิ ชา 8 กเ็ ปนความรพู เิ ศษอยา งย่ิง เม่อื เปน เชนน้ี ควรจะแบงความรูเหลานเ้ี ปนประเภทไหนบา ง ขอทานจง อธิบายใหข า พเจาจะไดไ มปนกัน ? พระอาจารยมน่ั : 120
ควรแบง ความรูท าง ตา หู จมูก ลนิ้ กาย ใจ วา เปน ประเภททกุ ขสัจ เปน สวนทคี่ วรกำหนดรูวาเปน ทุกข สวนความโลภ ความโกรธ ความหลง ริษยา พยาบาท ความอยากความตองการเปนสมทุ ยั เปนสว นควรละ ความรูในรปู ฌาณแลอรปู ฌาณ แลความรใู นไตรลักษณ หรืออริยสัจเปน มรรค เปนสวนทคี่ วรเจริญ วชิ ชา 3 หรอื วชิ ชา 8 น้นั เปน นโิ รธ เปน สวนทค่ี วรทำใหแ จง พระธรรมเจดีย : อะไรๆกเ็ อาเปน อริยสัจ 4 เกือบจะไมม ีเร่ืองอืน่ พดู กัน ? พระอาจารยม่ัน : เพราะไมรอู ริยสัจทัง้ 4 แลไมทำหนาทก่ี ำหนดทุกข ละสมุทยั แลทำนิโรธ ใหแจงแลเจริญมรรค จึงไดรอนใจกันไปทั่วโลก ทานผูทำกิจถูกตาม หนา ท่ขี องอริยสัจ 4 ทา นจงึ ไมมีความรอ นใจ ท่พี วกเราตอ งกราบไหวท ุก วนั ขา พเจาจงึ ชอบพดู ถึงอรยิ สจั พระธรรมเจดีย : ตามทข่ี า พเจาไดฟ งมาวา สอุปาทเิ สสนิพพานนนั้ ไดแกพ ระอรหนั ตท ย่ี งั มชี ีวติ อยู อนุปาทิเสสนพิ พานนัน้ ไดแ กพระอรหันตท ่ีนพิ พานแลว ถา เชน นน้ั ทา นคงหมายความถึงเศษนามรูป เนื้อแลกระดูกท่เี หลืออยนู ีเ่ อง ? พระอาจารยม่ัน : ไมใ ช ถา เศษเนือ้ เศษกระดูกท่ีหมดแลววา เปน อนุปาทิเสสนพิ พาน เชน 121
น้นั ใครๆตายกค็ งเปนอนุปาทเิ สสนิพพานไดเหมือนกนั เพราะเนอ้ื แลกระ ดกู ชวี ิตจติ ใจกต็ อ งหมดไปเหมอื นกัน พระธรรมเจดีย : ถาเชนน้ันนิพพานท้ัง 2 อยางนจ้ี ะเอาอยางไหนเลา ? พระอาจารยมั่น : เร่อื งนม้ี พี ระพุทธภาษิตตรัส สอุปาทิเสสสตู รแกพ ระสารบี ตุ ร ในอังคตุ ต รนิกาย นวกนิบาตหนา 31 ความสงั เขปวา วันหนึ่งเปน เวลาเชาพระสา รีบุตรไปเที่ยวบิณฑบาตร มีพวกปริพพาชกพูดกันวา ผูที่ไดบรรลุสอุ ปาทเิ สส ตายแลว ไมพนนรก กำเนดิ ดิรจั ฉาน เปรตวสิ ยั อบายทคุ ติ วินิบาต ครนั้ พระสารบี ุตรกลับจากบณิ ฑบาตรแลวจึงไปเฝา พระผมู พี ระ ภาคกราบทูลตามเนื้อความที่พวกปริพาชกเขาพูดกันอยางนั้น พระผูมี พระภาคตรัสวา สอปุ าทิเสสบคุ คล 9 จำพวกคือ พระอนาคามี 5 จำพวก พระสกทิ าคามี จำพวกหนึง่ พระโสดาบัน 3 จำพวก ตายแลว พนจากนรก กำเนิดดริ ัจฉาน เปรตวสิ ัย อบายทุคติวินบิ าต ธรรมปรยิ าย นี้ยังไมแจมแจง แกภิกษุ ภกิ ษุณี อุบาสก อุบาสิกาเลย เพราะไดฟง ธรรม ปริยายนีแ้ ลวจะประมาท แลธรรมปริยายนเ้ี ราแสดงดวยความประสงค จะตอบปญหาท่ีถามในสอุปาทิเสสสตู รน้ี ไมไดต รสั ถึงอนปุ าทิเสส แตก็ พอสนั นษิ ฐานไดว า อนุปาทิเสสคงเปนสว นของพระอรหนั ต พระธรรมเจดีย : ถาเชนนั้นทานก็หมายความถึงสังโยชน คือกิเลสที่ยังมีเศษเหลืออยูวา 122
เปน สอปุ าทิเสนิพพาน สวนสังโยชนทหี่ มดแลว ไมม ีสวนเหลอื อยู คือพระ อรหตั ผล วาเปนอนปุ าทเิ สสนิพพาน ? พระอาจารยมน่ั : ถูกแลว พระธรรมเจดีย : ถาเราพูดอยางนี้ คงไมมีใครเห็นดวย คงวาเราเขาใจผิดไมตรงกับเขา เพราะเปนแบบสั่งสอนกันอยูโดยมากวา สอุปาทิเสสนิพพานของพระ อรหันตที่ยังมีชีวิตอยู อนุปาทิเสสนิพพานของพระอรหันตที่นิพพาน แลว ? พระอาจารยม น่ั : ขาพเจาเหน็ วา จะเปนอรรถกาท่ีขบ พระพทุ ธภาษติ ไมแตกแลว กเ็ ลยถอื ตามกันมา จึงมีทางคัดคานไดไมคมคายชัดเจน เหมือนที่ทรงแสดงแก พระสารีบตุ ร ซง่ึ จะไมม ีทางคดั คา นได หมายกิเลส นพิ พานโดยตรง พระธรรมเจดีย : สอุปาทิเสสสูตรนี้ ทำไมจึงไดตรัสหลายอยางนัก มีทั้งนรก กำเนิด ดิรัจฉาน เปรตวิสยั อบายทุคตวิ ินิบาต สวนในพระสตู รอืน่ ๆ ถาตรสั ถึง อบายก็ไมตองกลาวถึงนรก กำเนิดดิรัจฉาน เปรตวิสัย อบายทุคติ วนิ ิบาต ? 123
พระอาจารยมน่ั : เห็นจะเปนดวยพระสารีบุตรมากราบทูลถามหลายอยาง ตามถอยคำ ของพวกปรพิ พาชกทีไ่ ดย ินมา จงึ ตรสั ตอบไปหลายอยา ง เพอ่ื ใหตรงกับ คำถาม พระธรรมเจดีย : ขา งทา ยพระสตู รน้ี ทำไมจึงมีพทุ ธภาษติ ตรัสวา ธรรมปริยายนี้ ยงั ไม แจมแจง แกภ ิกษุ ภิกษณุ ี อุบาสก อบุ าสกิ าเลย เพราะไดฟง ธรรมปริยาย นี้แลวจะประมาท แลธรรมปริยายน้ีเราแสดงดว ยความประสงคจะตอบ ปญ หาทถี่ าม ? พระอาจารยมน่ั : ตามความเขา ใจของขา พเจา เหน็ จะเปนดวยพระพุทธประสงค คงมงุ ถึง พระเสขบคุ คล ถา ไดฟ ง ธรรมปรยิ ายน้ีแลว จะไดค วามอบอุนใจ ทไี่ มตอง ไปทคุ ตแิ ลความเพยี รเพอ่ื พระอรหันตจะหยอ นไป ทา นจงึ ไดตรัสอยางน้ี พระธรมเจดยี : เห็นจะเปนเชนนี้เอง ทานจึงตรัสวาถาไดฟงธรรมปริยายนี้แลวจะ ประมาท? พระอาจารยม ั่น : ตามแบบที่ไดฟ งมาโดยมาก พระพุทธประสงค ทรงเรงพระสาวก ผยู งั ไม พน อาสวะ ใหร บี ทำความเพียรใหถึงท่สี ดุ คือพระอรหันต 124
125
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125