ใหเรงทางปญญาวิปสสนาญาณ องคแกพรรษากวาครั้นปฏิบัติตาม ทำความพากเพยี รประโยคพยายามอยู มิชา มนิ านกไ็ ดสำเรจ็ เปน พระอร หันตข ีณาสวะบุคคลในพระพทุ ธศาสนาดวยประการฉะน้ี O อปรา ยงั เร่อื งอืน่ อกี มเี นือ้ ความอยางเดยี วกนั แตนมิ ิตตางกนั คือใหเนรมิตชางสารซับมันตัวรายกาจวิ่งเขามาหา หลงรูปเนรมิตของ ตนเอง เกิดความสะดุง ตกใจกลัวเตรยี มตัววิง่ หนี เพือ่ นสหธรรมมกิ ผูไ ป ชวยเหลือไดฉุดเอาไว และกลา วตักเตอื นส่ังสอนโดยนยั หนหลงั จงึ หยุด ยง้ั ใจไดแ ละปฏิบัตติ ามคำสงั่ สอนของสหธรรมมิกผชู ว ยเหลอื นน้ั ไมนาน ก็ไดสำเร็จเปนพระอรหันตขีณาสวะบุคคลในพระบวรพุทธศาสนาเชน เดียวกัน แมเรื่องนี้ก็พึงถือเอาเปนทิฏฐานุคติ เชนเดียวกับเรื่องกอน นัน้ แล O นี้เปนนิทานที่เปนคติสำหรับผูปฏิบัติจะพึงอนุวัติตามคือ ผูเปน สหธรรมกิ ประพฤติธรรมรวมกนั ทกุ คน จงมาเปนสหายกันในกจิ ท่ีชอบ ทั้งที่เปนกิจภายใน ทั้งที่เปนกิจภายนอกยังประโยชนของกันและกันให สำเรจ็ ดวยดีเถิด ๑๖. เร่อื ง อณุ หัสสวชิ ัยสูตร O ผใู ดมาถงึ พระพทุ ธเจา พระธรรม พระสงฆ เปนสรณะทพ่ี ่ึงแลว ผูน ้ันยอ มชนะไดซึ่งความรอน O อุณหสั ส คือความรอนอันเกิดแกต น มีทั้งภายในและภายนอก ภายนอกมเี สือสางคางแดง ภูตผปี ศาจ เปนตน ภายในคือกิเลส วชิ ยั คือ ความชนะ ผทู มี่ านอ มเอาสรณะทั้งสามนี้เปนท่พี งึ่ แลว ยอ มจะชนะความ รอนเหลา นั้นไปไดห มดทกุ อยา งทเ่ี รยี กวา อณุ หัสสวิชัย 51
O อณุ หสฺสวชิ ดย ธมฺโม โลเก อนตุ ตฺ โร พระธรรมเปน ของยง่ิ ในโลก ท้ังสาม สามารถชนะซึ่งความรอ นอกรอ นใจอันเกดิ แตภยั ตา งๆ ปริวชเฺ ช ราชทนเฺ ฑ พยคฺเฆ นาเค วีเส ภเู ต อกาลมรเณน จ สพฺพสฺม มรณา มตุ ฺโต จะเวนหางจากอันตรายทั้งหลายคือ อาชญาของพระราชา เสือสาง นาค ยาพษิ ภูตผี ปศ าจ หากวา ยงั ไมถ ึงคราวถงึ กาลท่จี กั ตายแลว ก็จกั พนไปไดจ ากความตายดวยอำนาจ พระพทุ ธ พระธรรม พระสงฆ ทีต่ น นอ มเอาเปนสรณะท่ีพ่งึ ท่นี บั ถือนนั้ ความขอ นี้มีพระบาลสี าธกดงั จะยก มาอางอิงในสมัยเมื่อสมเด็จพระผูมีพระภาคเจาพรอมดวยพระอรหันต หนมุ ๕๐๐ รูป ประทบั อยูในราวปา มหาวนั ใกลกรุงกบลิ พัสดุ เทวดาทัง้ หลายพากันมาดู แลวกลา วคาถาข้ึนวา เยเกจิ พุทธฺ ํ สรณํ คตา เส น เต คมสิ ฺ สนฺติ อปายภูมิ ปหาย มานสุ ํ เทหํ เทวกายํ ปรปิ เู รสสฺ นตฺ ิ แปล ความวา บคุ คลบางพวกหรอื บคุ คลไรๆ มาถึงพระพทุ ธเจาเปนสรณะท่ี พึง่ แลว บุคคลเหลา น้นั ยอ มไมไ ปสอู บายภูมิทั้ง ๔ มนี รกเปนตน เมอ่ื ละ รางกายอนั เปนของมนษุ ยนี้แลว จกั ไปเปน หมแู หงเทพดาทงั้ หลายดังน้ี O สรณะทั้ง ๓ คอื พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ มิไดเสอื่ มสูญ อันตรธานไปไหน ยังปรากฏอยแู กผ ูปฏบิ ตั เิ ขาถงึ อยเู สมอ ผูใดมายึดถอื เปน ท่ีพึง่ ของตนแลว ผูน้นั จะอยกู ลางปา หรือเรอื นวา งก็ตาม สรณะทงั้ สามก็ปรากฏแกเ ราอยทู กุ เมือ่ จงึ วาเปนท่พี งึ่ แกบคุ คลจริง เม่อื ปฏิบัติ ตามสรณะทงั้ สามจรงิ ๆ แลว จะคลาดแคลวจากภัยท้งั หลาย อนั กอให เกิดความรอนอกรอนใจไดแ นนอนทีเดียว 52
ปฏปิ ตติปุจฉาวิสัชนา พระธรรมเจดยี : ถามวา ผูปฏิบตั ิศาสนาโดยมากปฏบิ ตั อิ ยแู คไ หน ? พระอาจารยม่นั : ปฏบิ ัติอยูภูมกิ ามาพจารกศุ ลโดยมาก พระธรรมเจดีย : ทำไมจงึ ปฏิบตั อิ ยูเพยี งนน้ั ? พระอาจารยม ัน่ : อัธยาศัยของคนโดยมากยังกำหนัดอยูในกาม เห็นวากามารมณที่ดี เปน สุข สว นท่ีไมดีเหน็ วา เปนทุกข จึงไดปฏิบัติในบญุ กรยิ าวัตถุ มีการฟง ธรรม ใหท าน รักษาศีล เปน ตน หรอื ภาวนาบางเลก็ นอ ย เพราะความ มุง เพือ่ จะไดสวรรคสมบัติ มนษุ ยสมบตั ิ เปน ตน ก็คงเปน ภูมิกามาพจร กศุ ลอยูน่ันเอง เบือ้ งหนา แตกายแตกตายไปแลว ยอมถงึ สุคติบาง ไมถึง บา ง แลวแตวิบากจะซัดไป เพราะไมใชน ิยตบุคคล คอื ยงั ไมปดอบาย เพราะยงั ไมไดบรรลุโสดาปต ติผล พระธรรมเจดีย : ก็ทา นผูปฏบิ ัติท่ดี กี วานไี้ มมหี รือ ? 53
พระอาจารยมนั่ : มี แตว า นอ ย พระธรรมเจดีย : นอ ยเพราะเหตไุ ร ? พระอาจารยมั่น : นอยเพราะกามทั้งหลายเทากับเลือดในอกของสัตว ยากที่จะละความ ยนิ ดีในกามได เพราะการปฏิบัติธรรมละเอียด ตองอาศัยกายวเิ วก จิตต วิเวก จงึ จะเปนไปเพ่ืออปุ ธิวเิ วก เพราะเหตนุ ้แี ลจงึ ทำไดด ว ยยาก แตไม เหลือวสิ ัย ตองเปน ผูเ หน็ ทกุ ขจรงิ ๆ จึงจะปฏบิ ตั ไิ ด พระธรรมเจดีย : ถา ปฏิบตั ิเพียงภมู ิกามาพจรกุศล ดไู มแ ปลกอะไร เพราะเกิดเปน มนุษยก ็ เปน ภมู ิกามาพจรกุศลอยแู ลว สว นการปฏิบตั จิ ะใหดกี วาเกา ก็จะตองให เล่ือนชนั้ เปนภูมิรูปาวจรหรืออรูปาวจรแลโลกอุดร จะไดแปลกจากเกา ? พระอาจารยม่ัน : ถูกแลว ถาคิดดูคนนอกพทุ ธกาล ทานก็ไดบรรลฌุ าณชนั้ สงู ๆกม็ ี คนใน พุทธกาล ทานก็ไดบรรลุมรรคแลผล มพี ระโสดาบนั แลพระอรหนั ต โดย มากนเี่ รากไ็ มไ ดบรรลฌุ าณเปน อนั สูค นนอกพทุ ธกาลไมไ ด แลไมไดบรรลุ มรรคผลเปน อันสคู นในพทุ ธกาลไมได 54
พระธรรมเจดีย : เมื่อเปนเชนนีจ้ ักทำอยา งไรดี ? พระอาจารยม ่ัน : ตองทำในใจใหเ ห็นตามพระพุทธภาษิตทีว่ า มตตฺ าสขุ ปริจจฺ าคา ปสเฺ ส เจ วิปุลํ สุขํ ถาวาบุคคลเห็นซึ่งสุขอันไพบูลย เพราะบริจาคซึ่งสุขมี ประมาณนอ ยเสียไซร จเช มตตฺ าสขุ ํ ธีโร สมปฺ สฺสํ วิปลุ ํ สขุ ํ บคุ คลผูมี ปญญาเครื่องทรงไว เมื่อเล็งเห็นซึ่งสุขอันไพบูลย พึงละเสียซึ่งสุขมี ประมาณนอย พระธรรมเจดยี : สขุ มีประมาณนอ ยไดแ กสขุ ชนิดไหน ? พระอาจายม น่ั : ไดแกสุขซึ่งเกิดแตความยินดีในกามที่เรียกวา อามิสสุข นี่แหละสุขมี ประมาณนอ ย พระธรรมเจดีย : กส็ ขุ อันไพบลู ยไดแ กสุขชนดิ ไหน ? พระอาจารยม ่ัน : ไดแ กฌ าณ วปิ สสนา มรรค ผล นิพพาน ทเี่ รยี กวานิรามสิ สขุ ไมเ จือดวย 55
กาม น่ีแหละสขุ อันไพบูลย พระธรรมเจดยี : จะปฏิบัตใิ หถ งึ สุขอนั ไพบูลยจะดำเนินทางไหนดี ? พระอาจารยมนั่ : กต็ อ งดำเนนิ ทางองคมรรค 8 พระธรรมเจดยี : องคมรรค 8 ใครๆกร็ ู ทำไมถงึ เดินกันไมใครจ ะถกู ? พระอาจารยม ่นั : เพราะองคมรรคท้ัง 8 ไมม ใี ครเคยเดนิ จงึ เดนิ ไมใ ครถ ูก พอถูกกเ็ ปนพระ อริยเจา พระธรรมเจดยี : ที่เดนิ ไมถ ูกเพราะเหตอุ ะไร ? พระอาจารยมน่ั : เพราะชอบเดินทางเกา ซงึ่ เปน ทางชำนาญ พระธรรมเจดยี : ทางเกา นน้ั คืออะไร ? 56
พระอาจารยม่นั : ไดแ กก ามสขุ ลั ลกิ านโุ ยคแลอัตตกิลมถานุโยค พระธรรมเจดีย : กามสุขัลลกิ านุโยคนน้ั คืออะไร ? พระอาจารยม ัน่ : ความทำตนใหเปนผูหมดมุนติดอยูในกามสุขนี้แล ชื่อวากามสุขัลลิกานุ โยค พระธรรมเจดีย : อัตตกลิ มถานโุ ยคไดแ กทางไหน ? พระอาจารยม น่ั : ไดแกผ ปู ฏบิ ตั ิผดิ แมประพฤตเิ ครง ครดั ทำตนใหลำบากสกั เพียงไร ก็ไม สำเร็จประโยชนซ ึง่ มรรค, ผล, นิพพาน, น่ีแหละเรียกวาอัตตกิลมถานุ โยค พระธรรมเจดยี : ถาเชนน้ันทางทั้ง 2 น้ี เห็นจะมคี นเดนิ มากกวา มัชฌิมาปฏิปทาหลารอย เทา ? 57
พระอาจารยม น่ั : แนท เี ดยี ว พระพุทธเจา แรกตรัสรู จงึ ไดแ สดงกอ นธรรมอยางอ่นื ๆ ที่มา แลว ในธมั มจักกปั ปวตั ตนสตู ร เพื่อใหสาวกเขาใจ จะไดไมด ำเนินในทาง ทั้ง 2 มาดำเนนิ ในทางมัชฌมิ าปฏิปทา พระธรรมเจดยี : องคมรรค 8 ทำไมจงึ ยกสมั มาทิฎฐิ ซ่งึ เปนกองปญ ญขนึ แสดงกอ น สว น การปฏิบัตขิ องผูด ำเนนิ ทางมรรค ตองทำศลี ไปกอ น แลวจงึ ทำสมาธิ แล ปญ ญา ซ่ึงเรียกวา สกิ ขาท้งั 3 ? พระอาจารยม ัน่ : ตามความเห็นของขา พเจาวาจะเปน 2 ตอน ตอนแรกสวนโลกียกุศลตอ ง ทำศลี สมาธิ ปญ ญา เปนลำดับไป ปญ ญาทเ่ี กิดขน้ึ ยังไมเ ห็นอริยสัจทัง้ 4 สงั โยชน 3 ยังละไมได ขดี ของใจเพยี งนเี้ ปน โลกยี ตอนท่ีเห็นอรยิ สัจ แลวละสงั โยชน 3 ได ตอนนีเ้ ปนโลกตุ ตร พระธรรมเจดยี : ศีลจะเอาศีลชนิดไหน ? พระอาจารยมั่น : ศีลมหี ลายอยา ง ศีล 5 ศลี 8 ศีล 10 ศลี 227 แตในท่นี ป้ี ระสงคศ ีลท่ี เรียกวา สมมฺ าวาจา สมมฺ ากมฺมนโฺ ต สมมฺ าอาชโี ว แตตอ งทำใหบ ริบูรณ 58
พระธรรมเจดยี : สมมฺ าวาจา คอื อะไร ? พระอาจารยมน่ั : มสุ าวาทา เวรมณี เวน จากพดู เทจ็ ปสุณาย วาจาย เวรมณี เวนจากพดู คำหยาบ สมผฺ ปฺปลาปา เวรมณี เวนจากพดู โปรยประโยชน พระธรรมเจดยี : สมฺมากมมฺ นโฺ ต การงานชอบน้ันมกี อี่ ยาง ? พระอาจารยม ่นั : มี 3 อยาง คือ ปาณาติปาตา เวรมณี เวนจากฆา สัตว อทนิ นาทานา เวรมณี เวน จากการลักทรพั ย อพฺรหฺมจรยิ า เวรมณี เวน จากอสัทธรรม ไมใชพ รหมจรรย พระธรรมเจดีย : สมฺมากมมฺ นโฺ ต ในทีอ่ ่นื ๆโดยมาเวน อพรฺ หฺม สว นในมหาสติปฏ ฐานทำไม จึงเวนกาเมสุมิจฉาจาร ? พระอาจารยมัน่ : ความเหน็ ของขาพเจา วาท่ีทรงแสดงศีล อพฺรหฺม เหน็ จะเปน ดว ยรบั สั่งแก ภิกษุ เพราะวาภกิ ษเุ ปน พรหมจารบี ุคคลน้นั สว นในมหาสตปิ ฏฐาน 4 ก็รับสั่งแกภิกษุเหมือนกัน แตวาเวลานั้นพระองคเสด็จประทับอยูในหมู 59
ชนชาวกุรุ พวกชาวบา นเหน็ จะฟงอยูม าก ทานจึงสอนใหเวน กามมิจฉา จาร เพราะชาวบานมกั เปนคนมีคู พระธรรมเจดยี : สมมฺ าอาชีโว เลีย้ งชีวิตชอบ เวน จากมจิ ฉาชพี นนั้ เปน อยา งไร ? พระอาจารยม่นั : บางแหง ทา นก็อธิบายไวว า ขายสรุ ายาพษิ ศสั ตราวธุ หรอื ขายสัตวม ี ชีวติ ตองเอาไปฆา เปนตน เหลานีแ้ หละเปน มจิ ฉาชีพ พระธรรมเจดยี : ถาคนทไ่ี มไดข ายของเหลา น้ีก็เปนสมมฺ าอาชีโว อยางน้ันหรอื ? พระอาจารยม ั่น : ยังเปนไปไมไ ด เพราะวิธีโกงของคนมีหลายอยา งนัก เชน คา ขายโดยไม เชอื่ มกี ารโกงตาชัง่ ตาเต็ง หรอื เอารัดเอาเปรียบอยางใดอยา งหนงึ่ ใน เวลาที่ผูชื้อเผลอหรือเขาไวใจ รวมความพูดวาอัธยาศัยของคนที่ไมซื่อ คดิ เอารดั เอาเปรยี บผอู ่ืน เห็นแตจะไดสุดแตจะมีโอกาส จะเปน เงนิ หรือ ของกด็ ี ถงึ แมไมชอบธรรม สดุ แตจะได เปนเอาท้ังน้ัน ขา พเจาเหน็ วา อาการเหลานี้ก็เปนมิจฉาชีพทั้งสิ้น สมฺมาอาชีโว จะตองเวนทุกอยาง เพราะเปนสิ่งที่คดคอ มไดม าโดยไมชอบธรรม พระธรรมเจดยี : 60
สมมฺ าวายาโม ความเพยี รชอบนน้ั คือเพยี รอยา งไร ? พระอาจารยมั่น : สงั วรปธาน เพียรระวังอกศุ ลวิตก 3 ทีย่ ังไมเกดิ ไมใ หเกดิ ขึ้น ปหานปธาน เพยี ร ละอกศุ ลวิตก 3 ทเี่ กดิ ขึน้ แลว ใหหายไป ภาวนาปธาน เพียรเจรญิ กุศลที่ยังไมเ กดิ ข้นึ แลวใหห ายไป ภาวนาปธาน เพียรเจริญกุศลที่ยงั ไม เกิดใหเ กดิ ขนึ้ อนรุ กั ขนาปธาน เพียรรักษากศุ ลที่เกิดแลวไวใหส มบูรณ พระธรรมเจดีย : สมฺมาสติ ระลึกชอบน้ันระลึกอยา งไร ? พระอาจารยม ่ัน : ระลกึ อยูในสตปิ ฎ ฐาน 4 คอื กายานปุ สฺสนา ระลึกถงึ กาย เวทนานปุ สฺ สนา ระลึกถงึ เวทนา จติ ตฺ านปุ สฺสนา ระลกึ ถงึ จิต ธมฺมานุปสฺสนา ระลกึ ถงึ ธรรม พระธรรมเจดยี : สมฺมาสมาธิ ความตั้งใจไวชอบ คือตั้งใจไวอยางไร จึงจะเปนสมฺมา สมาธิ ? พระอาจารยม ่ัน : คอื ตัง้ ไวใ นองคฌาณท้งั 4 ทเ่ี รยี กวา ปฐมฌาณ ทตุ ิยฌาณ ตตยิ ฌาณ จตุตถฌาณ เหลา นแี้ หละ เปน สมฺมาสมาธิ 61
พระธรรมเจดยี : สมมฺ าสงกฺ ปโฺ ป ความดำริชอบน้ันดำรอิ ยางไร ? พระอาจารยมนั่ : เนกขฺ มฺมสงกฺ ปฺโป ดำรอิ อกจากกาม อพยฺ าปาทสงกฺ ปฺโป ดำริไมพยาบาท อวหิ สึ าสงฺกปโฺ ป ดำรใิ นความไมเบยี ดเบียน พระธรรมเจดีย : สมมฺ าวายาโม ก็ละอกศุ ลวติ ก 3 แลว สมฺมาสงฺกปฺโป ทำไมจงึ ตอ งดำรอิ กี เลา ? พระอาจารยมนั่ : ตางกันเพราะ สมฺมาวายาโมน้นั เปนแตเปล่ียนอารมณ เชน จติ ท่ฟี งุ ซาน หรือเปนอกุศลก็เลิกนึกเรื่องเกาเสีย มามีสติระลึกอยูในอารมณที่เปน กุศลจึงสงเคราะหเขาในกองสมาธิ สวนสมฺมาสงฺกปฺโป มีปญญา พิจารณาเห็นโทษของกาม เหน็ อานสิ งสข องเนกขัมมะ จงึ ไดคดิ ออกจาก กามดวยอาการที่เห็นโทษหรือเห็นโทษของพยาบาทวิหิงสา เห็น อานสิ งสของเมตตากรณุ า จงึ ไดคาดละพยาบาทวหิ ิงสา การเห็นโทษแล เห็นอานิสงสเชน นีแ้ หละจึงผดิ กบั สมมฺ าวายาโม ทา นจงึ สงเคราะหเ ขา ไว ในกองปญ ญา พระธรรมเจดยี : 62
สมมฺ าทิฐ€ ิ ความเหน็ ชอบนัน้ คือเหน็ อยางไร ? พระอาจารยม ่ัน : คือ เห็นทุกข สมทุ ยั นโิ รธ มรรค ทเี่ รยี กวา อรยิ สจั 4 ความเห็นชอบ อยางน้แี หละชือ่ วา สมมฺ าทิ ฐ€ ิ พระธรรมเจดีย : อริยสจั 4 น้นั มกี จิ จะตอ งทำอะไรบาง ? พระอาจารยมนั่ : ตามแบบทม่ี ีมาในธรรมจักร มกี ิจ 3 อยาง ใน 4 อริยสัจ รวมเปน 12 คือ สัจญาณ รูวา ทุกข กจิ ญาณ รูวาจะตอ งกำหนด กตญาณ รูวา กำหนด เสร็จแลว แลรูวาทุกขสมุทัยจะตองละ แลไดละเสร็จแลว และรูวา ทกุ ขนโิ รธจะตองทำใหเจง แลไดทำใหแจง เสร็จแลว แลรูวา ทกุ ขนโิ รธคามี นีปฏปิ ทา จะตอ งเจรญิ แลไดเจริญแลว นแ่ี หละเรียกวา กิจในอรยิ สัจทัง้ 4 พระธรรมเจดยี : ทกุ ขน น้ั ไดแ กสิ่งอะไร ? พระอาจารยม น่ั : ขันธ 5 อายตนะ 6 ธาตุ 6 นามรปู เหลานเ้ี ปนประเภททุกขสัจ 63
พระธรรมเจดยี : ทุกขม ีหลายอยา งนักจะกำหนดอยา งไรถูก ? พระอาจารยม นั่ : กำหนดอยา งเดยี วก็ได จะเปนขันธ 5 หรือ อายตนะ 6 หรือธาตุ 6 นาม รปู อยา งใดอยา งหนึง่ ก็ได ไมใ ชว าจะตอ งกำหนดทลี ะหลายอยา ง แตวา ผู ปฏิบัติควรจะรูไวเพราะธรรมทงั้ หลายเหลาน้ี เปนอารมณของวปิ ส สนา พระธรรมเจดี ย : การทจี่ ะเหน็ อรยิ สจั กต็ อ งทำวปิ สสนาดว ยหรอื ? พระอาจารยม นั่ : ไมเ จริญวปิ สนา ปญญาจะเกดิ อยา งไรได เม่ือปญญาไมม จี ะเหน็ อริยสจั ทั้ง 4 อยา งไรได แตท เี่ จรญิ วิปส สนากนั อยู ผูท่อี นิ ทรียอ อ นยังไมเห็น อริยสัจท้ัง 4 เลย พระธรรมเจดยี : ขนั ธ 5 ใครๆก็รทู ำไมจึงกำหนดทกุ ขไ มถ กู ? พระอาจารยมนั่ : รแู ตช อ่ื ไมร ูอาการขันธต ามความเปน จริง เพราะฉะนั้นขันธ 5 เกดิ ขึ้นก็ ไมร ูวาเกิด ขนั ธ 5 ดับไปกไ็ มรูวาดับ แลขันธมอี าการสนิ้ ไปเส่อื มไปตาม ความเปน จรงิ อยา งไรก็ไมท ราบทัง้ นั้น จงึ เปนผหู ลงประกอบดว ยวปิ ลาส 64
คือไมเ ท่ียงก็เห็นวา เท่ียง เปนทกุ ขก ็เหน็ วา เปนสุข เปน อนตั ตาก็เห็นวา เปนอัตตาตัวตน เปนอสุภไมงามก็เห็นวาเปนสุภะงาม เพราะฉะนั้น พระพุทธเจา จงึ ทรงสั่งสอนสาวก ท่มี าแลว ในมหาสตปิ ฎ ฐานสูตร ใหร ูจ กั ขนั ธ 5 แลอายตนะ 6 ตามความเปนจรงิ จะไดกำหนดถกู พระธรรมเจดีย : ขันธ 5 คอื รูป เวทนา สัญญา สังขาร วญิ ญาณน้ันมลี กั ษณะอยางไร เม่อื เวลาเกดิ ข้นึ แลดบั ไปจะไดร ู ? พระอาจารยมน่ั : รูปคือ ธาตุดนิ 19 น้ำ 12 ลม 6 ไฟ 4 ชื่อวามหาภตู รปู เปน รูปใหญแ ล อุปาทายรูป 24 เปนรปู ท่ลี ะเอียด ซง่ึ อาศัยอยูใ นมหาภูตรูป 4 เหลานี้ ชอ่ื วา รูป แตจ ะแจงใหล ะเอียดกม็ ากมาย เมอ่ื อยากทราบใหล ะเอียด ก็จง ไปดเู อาในแบบเถดิ พระธรรมเจดีย : กเ็ วทนานัน้ ไดแกส ่ิงอะไร ? พระอาจารยม่นั : ความเสวยอารมณ ซ่งึ เกดิ ประจำอยูในรูปน้ีแหละ คอื บางคราวกเ็ สวย อารมณเ ปน สุข บางคราวก็เสวยอารมณก็เปนทกุ ข บางคราวก็ไมทกุ ข ไมสขุ น่ีแหละเรยี กวา เวทนา 3 ถาเติมโสมนัสโทมนสั ก็เปน เวทนา 5 65
พระธรรมเจดีย : โสมนัสโทมนัสเวทนา ดเู ปนชื่อของกเิ ลส ทำไมจึงเปน ขนั ธ ? พระอาจารยมน่ั : เวทนามี 2 อยา ง คอื กายิกะเวทนาๆ ซ่ึงเกดิ ทางกาย 1 เจตสกิ เวทนาๆ ซ่ึงเกดิ ทางใจ 1 สขุ เวทนาเสวยอารมณเปน สุข ทกุ ขเวทนาเสวยอารมณ เปนทกุ ข 2 อยางน้เี กิดทางกาย โสมนสั โทมนสั อทุกขมสขุ เวทนา 3 อยา งนเ้ี กดิ ทางใจ ไชกเิ ลส คือเชน กับบางคราวอยูดีๆกม็ ีความสบายใจ โดยไมไดอาศัยความรักความชอบก็มี หรือบางคราวไมอาศัยโทสะหรือ ปฏฆิ ะ ไมส บายใจข้นึ เอง เชนคนเปน โรคหัวใจหรือโรคเสน ประสาทกม็ ี อยา งน้เี ปน ขันธแ ท ตองกำหนดรวู า เปนทกุ ข เมอื่ เวทนาอยางใดอยา ง หนึ่งปรากฎขึน้ นัน่ แหละเปนความเกิดข้นึ แหงเวทนา เมอื่ เวทนาเหลา นัน้ ดบั หายไป เปน ความดบั ไปแหง เวทนา น่แี หละเปนขันธแท เปนประเภท ทกุ ขสจั พระธรรมเจดยี : เวทนานน้ั อาศัยอะไรจึงเกิดขึ้น ? พระอาจารยม น่ั : อาศยั อายตนะภายใน 6 ภายนอก 6 วญิ ญาณ 6 กระทบกันเขา ชื่อวา ผสั สะ เปนทเี่ กิดแหง เวทนา พระธรรมเจดยี : 66
อายตนะภายใน 6 ภายนอก 6 วญิ ญาณ 6 ผสั สะ 6 เวทนาท่ีเกิดแต ผัสสะ 6 กไ็ มใชก ิเลส เปน ประเภททุกขท้ังนัน้ ไมใ ชห รอื ? พระอาจารยมั่น : ถกู แลว พระธรรมเจดีย : แตท ำไมคนเราเมื่อเวลาตาเหน็ รูป หไู ดยินเสียง จมูกไดดมกล่ิน ลิ้นไดล มิ้ รสหรือถกู ตองโผฏฐัพพะดว ยกาย รูร บั อารมณดว ยใจ ก็ยอมไดเ วทนา อยางใดอยางหนึ่งไมใชหรือ ก็อายตนะแลผัสสเวทนาก็ไมใชกิเลส แต ทำไมคนเราจึงเกดิ กิเลสและความอยากขน้ึ ไดเลา ? พระอาจารยม ่นั : เพราะไมร ูวา เปนขันธแลอายตนะ แลผสั สเวทนา สำคัญวาเปน ผเู ปนคน เปนจริงเปน จัง จึงไดเ กิดกิเลสและความอยาก เพราะฉะนน้ั พระพุทธเจา จงึ ทรงแสดงไวในฉักกะสตู รวา บคุ คลเมื่อสุขเวทนาเกดิ ข้ึน กป็ ลอ ยใหร า นุสยั ตามนอน ทกุ ขเวทนาเกดิ ขึ้น กป็ ลอ ยใหปฏฆิ านุสัยตามนอน อทุ ก ขมสขุ เวทนาเกิดขึ้น ก็ปลอ ยใหอ วิชชานุสยั ตามนอน การทำท่สี ุดแหง ทุกขใ นชาตินี้ ไมใชฐ านะท่ีจะมไี ดเ ปน ได ถา บุคคลเมือ่ เวทนาท้งั 3 เกดิ ข้ึนกไ็ มปลอยใหอ นสุ ยั ท้งั 3 ตามนอน การทำที่สุดแหง ทกุ ขใ นชาตนิ มี้ ี ฐานะทม่ี ีไดเปน ได นก่ี ็เทากับตรัสไวเปน คำตายตวั อยแู ลว พระธรรมเจดยี : 67
จะปฏบิ ตั ิอยา งไรจงึ จะไมใหอ นุสยั ทั้ง 3 ตามนอน ? พระอาจารยม ่นั : ก็ตองมีสติทำความรูสึกตัวไว แลมีสัมปชัญญะ ความรูรอบคอบใน อายตนะ แลผสั สเวทนาตามความเปนจริงอยางไร อนุสัยท้งั 3 จึงจะไม ตามนอน สมดวยพระพุทธภาษิตในโสฬสปญหาท่ี 1 ตรสั ตอบอชติ ะ มานพวา สติ เตสํ นิวารณํ สตเิ ปน ทดจุ ทำนบเครือ่ งปด กระแสเหลาน้ัน ปฺญา เยเตปถ ยิ ยฺ เร กระแสเหลาน้ันอนั ผปู ฏบิ ตั จิ ะละเสยี ไดดวยปญญา แตใ นท่ีนัน้ ทานประสงคละตัณหา แตอ นุสัยกับตณั หาหเปน กเิ ลสประเภท เดียวกัน พระธรรมเจดยี : เวทนาเปนขันธแ ทเ ปนทุกขสจั ไมใชก เิ ลส แตใ นปฏจิ จสมุปบาท ทำไมจงึ มี เวทนาปจฺจยตณฺหา เพราะเหตุอะไร ? พระอาจารยม่นั : เพราะไมรจู กั เวทนาตามความเปน จริง เมื่อเวทนาอยางใดอยางหน่ึงเกดิ ขึ้น เวทนาที่เปน สขุ ก็ชอบเพลิดเพลนิ อยากได หรือใหคงอยูไมใหห ายไป เสีย เวทนาท่ีเปนทกุ ขไ มด ีมมี า กไ็ มชอบประกอบดว ยปฏฆิ ะอยากผลักไส ไลข บั ใหหายไปเสีย หรอื อทขุ มสุขเทนา ทม่ี ีมาก็ไมรู อวชิ ชานสุ ัยจึงตาม นอน สมดวยพระพุทธภาษติ ในโสฬสปญ หาที่ 13 ท่อี ุทยะมานพทูลถาม วา กถํ สตสสฺ จรโตวิญญาณํ อปุ รุชฺฌติ เม่ือบุคคลประพฤติมีสตอิ ยางไร ปฏิสนธิ วญิ ญานจึงจะดบั ตรสั ตอบวา อชฺฌตฺตจฺ พหทิ ธฺ า จ เวทนํ นา 68
พนิ นฺทโต เมื่อบุคคลไมเ พลดิ เพลนิ ยง่ิ ซงึ่ เวทนาทัง้ ภายในแลภายนอก อวํ สตสฺส จรโต วิญญาณํ อุปรชุ ฌฺ ติ ประพฤตมิ ีสตอิ ยอู ยา งนี้ ปฏิสนธิ วญิ ญาณจึงจะดบั พระธรรมเจดีย : เวทนาอยางไรชื่อวาเวทนาภายนอก เวทนาอยางไรชื่อวาเวทนา ภายใน ? พระอาจารยมั่น : เวทนาท่ีเกิดแตจักขุสัมผัส โสตะสมั ผสั ฆานะสัมผสั ชวิ หาสัมผัส กาย สัมผัส 5 อยา ง น้ชี ื่อวา เวทนาที่เปน ภายนอก เวทนาท่เี กดิ ในฌาณ เชน ปต ิหรือสุขเปน ตน ช่อื วาเวทนาภายในเกิดแตมโนสัมผัส พระธรรมเจดยี : ปต แิ ลสุขก็เปน เวทนาดวยหรอื ? พระอาจารยมัน่ : ปต ิแลสุขนน้ั เกิดขึน้ เพราะความสงบ อาศยั ความเพยี รของผปู ฏิบตั ิ ในคิริ มานนทสตู ร อานาปานสติ หมวดที่ 5 กับท่ี 6 ทา นสงเคราะหเ ขา ในเวท นานุปส สนาสตปิ ฎ ฐาน เพราะฉะนั้นปต ิแลสุขจงึ จดั เปนเวทนาภายในได พระธรรมเจดยี : ทีเ่ รยี กวา นริ ามสิ เวทนา เสวยเวทนาไมม อี ามสิ คือไมเ จือกามคณุ เหน็ จะ 69
เปนเวทนาทีเ่ กิดขน้ึ จากจติ ท่ีสงบนีเ้ อง แตถ าเชนนนั้ ความยนิ ดใี น รูป, เสียง, กลิน่ , รส, โผฎฐัพพะ ที่เรยี กวากามคุณ 5 เวทนาท่เี กดิ คราวนั้น ก็ เปนอามสิ เวทนา ถูกไหม ? พระอาจารยม ั่น : ถูกแลว พระธรรมเจดีย : สว นเวทนาขา พเจา เขา ใจดแี ลว แตสว นสัญญาขนั ธ ความจำรปู จำเสียง จำกลิน่ จำรส จำโผฏฐพั พะ จำธมั มารมณ 6 อยา งน้ี มัลักษณะอยางไร เมื่อรูป สญั ญาความจำรปู เกดิ ขนึ้ นัน้ มอี าการเชน ไร แลเวลาที่ความจำ รปู ดับไป มีอาการเชน ไร ขาพเจา อยากทราบ เพื่อจะไดก ำหนดถกู ? พระอาจารยมั่น : คือเราไดเหน็ รูปคน หรือรปู ของอยางใดอยา งหนึ่งแลวมานกึ ข้ึน รูปคน หรือรปู ของเหลา นนั้ กม็ าปรากฎขึน้ ในใจ เหมอื นอยางไดเห็นจรงิ ๆนเี่ รียก วา ความจำรูป พระธรรมเจดยี : ยงั ไมเขาใจดี ขอใหช ้ตี วั อยางใหขาวอกี สกั หนอ ย ? พระอาจารยม่ัน : เชนกับเมื่อเชานี้เราไดพบกับคนที่รูจักกันหรือไดพูดกัน ครั้นคนนั้นไป 70
จากเราแลว เม่ือเรานกึ ถึงคนนน้ั รูปรางคนนัน้ ก็ปรากฎชัดเจนเหมือน เวลาทพ่ี บกัน หรอื ไดเ หน็ ของส่ิงใดสิ่งหน่ึงไว เม่ือเวลานกึ ขนึ้ กเ็ หน็ สง่ิ นั้น ชดั เจน เหมอื นอยา งเวลาที่เห็นรวมเปน รปู 2 อยา ง คอื อุปาทนิ นกรปู รูปที่มีวญิ ญาณ เชน รปู คน หรอื รูปสัตว อนปุ าทนิ นกรปู รูปที่ไมม ี วญิ ญาณครอง ไดแ กสิ่งของตางๆ หรือตน ไมด นิ หนิ กรวด พระธรรมเจดยี : ถาเชนนั้นคนเปนก็เปนรูปที่มีวิญญาณ คนตายก็เปนรูปที่ไมมีวิญญาณ อยา งน้ันหรือ ? พระอาจารยมั่น : ถูกแลว นาสลดใจ ชาตเิ ดยี วเปนได 2 อยา ง พระธรรมเจดยี : ถา เชน นน้ั สญั ญาก็เปนเร่อื งของอดตี ทัง้ นน้ั ไมใชปจจุบนั ? พระอาจารยม น่ั : อารมณนัน้ เปนอดีต แตเมอื่ ความจำปรากฎขึ้นในใจ เปน สัญญาปจจบุ นั นี่แหละเรียกวา สัญญาขันธ พระธรรมเจดีย : ถาไมรูจักสัญญา เวลาที่ความจำรูปคนมาปรากฎขึ้นในใจ ก็ไมรูวา สัญญาของตัวเอง สำคัญวาเปน คนจริงๆ หรอื ความจำรปู ทไ่ี มม วี ิญญาณ 71
มาปรากฎขนึ้ ในใจ ก็ไมร วู า สญั ญา สำคญั วา เปน ส่ิงเปน ของจรงิ ๆ เม่อื เปนเชน นีจ้ ะมโี ทษอยา งไรบาง ขอทานจงอธิบายใหขาพเจาเขา ใจ ? พระอาจารยม่นั : มีโทษมาก เชนนึกถึงคนที่รัก รูปรางของคนที่รักก็มาปรากฎกับใจ กามวิตกท่ยี ังไมเกิด ก็จะเกิดขึ้น ทเี่ กิดขึน้ แลว ก็จะงอกงาม หรอื นกึ ถึงคน ทีโ่ กรธกัน รูปรางของคนทโี่ กรธกันนั้นก็มาปรากฎชัดเจนเหมือนไดเ หน็ จริงๆ พยาบาทวิตกที่ยังไมเกิดก็จะเกิดขึ้น ที่เกิดขึ้นแลวก็จะงอกงาม หรือนึกถงึ สิ่งของท่ีสวยๆ งามๆ รูปรางส่ิงของเหลา นัน้ กม็ าปรากฎในใจ เกิดความชอบใจบา ง แหละอยาไดบ าง เพราะไมรูวา สัญญาขนั ธข องตัว เอง สญั ญาวาสง่ิ ทั้งปวงเปนจรงิ เปน จังไปหมด ทแ่ี ทกเ็ หลวท้งั นั้น พระธรรมเจดยี : กค็ วามเกดิ ขึ้นแหงสัญญามีลกั ษณะอยา งไร ? พระอาจารยมั่น : เมื่อความจำรูปอยางใดอยางหนึ่งมาปรากฎในใจ เปนความเกิดขึ้นแหง ความจำรูป เมอื่ ความจำรปู เหลานั้นดับหายไปจากใจ เปน ความดับไป แหง ความจำรูป พระธรรมเจดยี : ความจำเสียงน้นั มีลักษณะอยา งไร ? 72
พระอาจารยม่ัน : เชนเวลาเราฟงเทศน เมื่อพระเทศนจบแลวเรานึกขึ้นไดวาทานแสดงวา อยางน้ันๆ หรือมคี นมาพดู เลาเรือ่ งอะไรๆ ใหเ ราฟง เม่ือเขาพูดเสร็จแลว เรานกึ ขึน้ จำถอ ยคำน้ันได น่เี ปน ลักษณะของความจำเสยี ง เมอื่ ความจำ เสียงปรากฎขึ้นในใจ เปนความเกิดขึ้นแหงความจำเสียง เมื่อความจำ เสยี งเหลานัน้ ดับหายไปจากใจ เปนความดบั ไปแหงสัททสัญญา พระธรรมเจดีย : คันธสัญญาความจำกลิ่นมลี กั ษณะอยา งไร ? พระอาจารยม ่นั : เชนกับเราเคยไดกลิ่นหอมดอกไมหรือน้ำอบ หรือกลิ่นเหม็นอยางใด อยา งหน่งึ ไว เมอ่ื นกึ ขึ้นก็จำกล่นิ หอมกล่นิ เหม็นเหลา นน้ั ได นเี่ ปน ความ เกิดขน้ึ ของความจำกล่ิน เมอ่ื ความจำกลนิ่ เหลาน้นั หายไปจากใจ เปน ความดับไปแหงคนั ธสัญญา พระธรรมเจดีย : รสสญั ญาความจำรสนนั้ มลี กั ษณะอยา งไร ? พระอาจารยมั่น : ความจำรสนั้น เม่อื เรารบั ประทานอาหารมีรสเปรยี้ ว หวาน จดื เคม็ หรือขมเปน ตน เมื่อรบั ประทานอาหารเสรจ็ แลว นึกขึ้นกจ็ ำรสเหลานั้น ได อยางนี้เรยี กวา ความจำรส เมื่อความจำรสปรากฎข้นึ ใจใน เปน ความ 73
เกิดขึ้นแหงรสสัญญา เมื่อความจำรสเหลานั้นดับหายไปจากใจ เปน ความดบั ไปแหง รสสญั ญา พระธรรมเจดยี : โผฎฐัพพะสญั ญามีลักษณะอยางไร ? พระอาจารยม น่ั : ความจำเครื่องกระทบทางกาย เชนเราเดินไปเหยียบหนาม ถูกหนาม ยอก หรือถูกตอ งเยน็ รอนออ นแขง็ อยางใดอยางหน่ึง เมื่อนึกขนึ้ จำความ ถูกตองกระทบกายเหลานัน้ ได ชอื่ วา โผฏฐัพพะสัญญา พระธรรมเจดยี : เชน เม่อื กลางวนั นีเ้ ราเดินไปถูกแดดรอนจัด ครนั้ กลบั มาถึงบาน นึกถงึ ที่ ไปถูกแดดมานัน้ ก็จำไดวา วันนัน้ เราไปถูกแดดมานั้น ก็จดั ไดวา วันนน้ั เรา ไปถูกแดดรอน อยางน้เี ปนโผฏฐัพพะสญั ญาถกู ไหม ? พระอาจารยม น่ั : ถูกแลว สิ่งใดสิ่งหนึ่งมากระทบถูกตองทางกาย เมื่อเราคิดถึงอารมณ เหลา นน้ั จำไดเปนโผฏฐพั พะสัญญาทัง้ น้ัน เมือ่ ความจำโผฏฐพั พะเกิดขน้ึ ในใจ มคี วามเกิดข้ึนแหง โผฏฐพั พะสัญญา เมอื่ ความจำเหลาน้นั ดบั หาย ไปจากใจ เปน ความดบั ไปแหง โผฏฐพั พสัญญา พระธรรมเจดยี : 74
ธมั มสัญญามีลักษณะอยางไร ? พระอาจารยมัน่ : ธัมมสัญญาความจำธัมมารมณน นั้ ละเอียดยงิ่ กวาสญั ญา 5 ท่ไี ดอ ธบิ าย มาแลว พระธรรมเจดีย : ธมั มารมณน ้นั ไดแกสิ่งอะไร ? พระอาจารยม่ัน : เวทนาขันธ สัญญาขนั ธ สงั ขารขนั ธ 3 อยางนี้ ชือ่ วาธัมมารมณ เชนเรา ไดเสวยเวทนาที่เปนสุขหรือที่เปนทุกขไว แลเวทนาเหลานั้นดับไปแลว นกึ ขึ้นจำไดอยา งนี้ ช่ือวา ความจำเวทนา หรอื เคยทอ งบน อะไรๆ จะจำได มากก็ตามหรือจำไดนอยตาม เมื่อความจำเหลานั้นดับไปพอนึกขึ้นถึง ความจำเกาก็มาเปนสัญญาปจจุบันขึ้น อยางนี้เรียกวาความจำสัญญา หรือเราคิดนกึ เรอื่ งอะไรๆขน้ึ เองดวยใจ เมือ่ ความคดิ เหลา นน้ั ดับไป พอ เรานกึ ถึงเรื่องท่ีเคยคดิ เอาไวนน้ั ก็จำเร่ืองนน้ั ได น่ีเรยี กวา ความจำสัขาร ขันธ ความจำเร่ืองราวของเวทนา สญั ญา สังขารเหลา นแี้ หละชือ่ ธมั ม สญั ญา ความจำธมั มารมณ เม่อื ความจำธัมมารมณม าปรากฎขนึ้ ในใจ เปนความเกิดข้ึนแหงธัมมสัญญา เมอ่ื ความจำธมั มรมณเ หลา น้ันดบั หาย ไปจากใจ เปน ความดบั ไปแหงธัมมสญั ญา พระธรรมเจดีย : 75
แหมชางซบั ซอ นกนั จริงๆ จะสังเกตอยา งไรถูก ? พระอาจารยม ั่น : ถายังไมรูจักอาการขันธ ก็สังเกตไมถูก ถารูจักแลว ก็สังเกตไดงาย เหมอื นคนท่ีรจู กั ตัวแลรูจกั ช่ือกัน ถึงจะพบหรอื เหน็ กันมากๆ คนกร็ จู กั ได ทกุ ๆคน ถาคนที่ไมค ยรจู ักตัวหรือรูจกั ชื่อกนั มาแตค นเดียวก็ไมร จู กั วา ผู น้นั คือใคร สมดวยพระพทุธภาษติ ในคุหัฏฐกสูตรหนา 395 ท่วี า สฺญํ ปริ ยฺ า วิตเรยยฺ โอฆํ สาธชุ นมากำหนดรอบรสู ญั ญาแลว จะพึงขา มโอฆ ะ พระธรรมเจดยี : สังขารขันธคืออะไร ? พระอาจารยม ่นั : สังขารขนั ธคอื ความคดิ ความนกึ พระธรรมเจดยี : สงั ขารขนั ธเ ปน ทุกขสัจหรอื เปนสมทุ ัย ? พระอาจารยม่นั : เปน ทกุ ขสจั ไมใชสมทุ ยั พระธรรมเจดยี : 76
กส็ ังขารขนั ธตามแบบอภิธมั มสังคะ ทานแจกไวว า มีบาปธรรม 14 โสภณเจตสกิ 25 อญั ญสมนา 13 รวมเปน เจตสกิ 52 ดวงนั้น ดูมีท้ังบญุ ท้ังบาป และไมใชบ ญุ ไมใ ชบ าปปนกนั ทำไมจงึ เปน ทกุ ขสัจอยางเดยี ว ขา พเจา ฉงนนัก ? พระอาจารยมนั่ : อัญญสมนา 13 ยกเวทนาสัญญาออกเสีย 2 ขันธ เหลืออยู 11 นีแ่ หละ เปน สังขารขันธแ ท จะตองกำหนดรวู าเปนทกุ ข สว นบาปธรรม 14 นน้ั เปนสมุทัยอาศัยสังขารขันธเกิดขึ้น เปนสวนปหาตัพพธรรมจะตองละ สวนโสภณเจตสิก 25 นน้ั เปน ภาเวตพั พธรรมจะตองเจริญ เพราะฉะนนั้ บาปธรรม 14 กับโสภณเจตสิก 25 ไมใชสังขารแท เปน แตอ าศยั สงั ขาร ขนั ธเ กดิ ขึน้ จึงมหี นา ท่จี ะตอ งละแลตองเจริญความคดิ ความนกึ อะไรๆ ท่ี มาปรากฎขึ้นในใจ เปนความเกิดแหงสังขารขันธ ความคิดความนกึ เหลา นั้นดับหายไปจากใจ กเ็ ปน ความดบั ไปแหงสัขารขนั ธ พระธรรมเจดยี : วิญญาณขันธท ี่รทู างตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ 6 อยางน้ี มีลกั ษณะอยา งไรและเวลาทเ่ี กิดขนึ้ แลดบั ไปมีอาการอยางไร ? พระอาจารยม่ัน : คอื ตา 1 รปู 1 กระทบกันเขา เกดิ ความรทู างตา เชนกับเราไดเ หน็ คน หรอื สงของอะไรๆ ก็รูไ ดคนนนั้ คนน้ี หรอื สงิ่ นั้นส่ิงนี้ ชอื่ วาจักขุวิญญาณ เมื่อรูปมาปรากฎกับตา เกิดความรูทางตาเปนความเกิดขึ้นแหงจักขุ 77
วิญญาณ เมือ่ ความรูทางตาดบั หายไปเปน ความดบั ไปแหงจกั ขวุ ญิ ญาณ หรอื ความรูทางหู รกู ลิ่นทางจมกู รูรสทางลิ้น รูโผฎฐัพพะทางกายมา ปรากฎขึ้น ก็เปนความเกิดแหงโสตวิญญาณ ฆานวิญญาณ ชิวหา วญิ ญาณ กายวิญญาณ เมอ่ื ความรูทางหู จมูก ล้นิ กาย หายไป กเ็ ปน ความดับไปแหงโสตวิญญาณ ฆานวิญญาณ ชิวหาวิญญาณ กาย วิญญาณ เมอ่ื ใจกับธัมมารมณมากระทบกันเขาเกิดความรทู างใจเรยี กวา มโนวญิ ญาณ พระธรรมเจดีย : ใจนั้นไดแ กส่งิ อะไร ? พระอาจารยมัน่ : ใจนั้นเปนเครื่องรับธัมมารมณใหเกิดความรูทางใจ เหมือนอยางตาเปน เครื่องรบั รูปใหเกดิ ความรทู างตา พระธรรมเจดยี : รเู วทนา รูสัญญา รูส งั ขารนัน้ รอู ยา งไร ? พระอาจารยม ัน่ : รูเวทนานั้น เชน สุขเวทนาเปนปจจุบันเกิดขึ้น ก็รูวาเปนสุข หรือ ทุกขเวทนาเกดิ ขนึ้ ก็รูวาเปน ทุกข อยา งแลรเู วทนา หรอื สัญญาใดมา ปรากฎข้ึนในใจ จะเปนความจำรูปหรอื ความจำเสียงก็ดี ก็รสู ญั ญานั้น อยางนี้เรียกวารูสัญญาหรือความคิดเรื่องอะไรๆขึ้น ก็รูไปในเรื่องนั้น 78
อยางนี้ รูสังขาร ความรูเวทนา สัญญา สงั ขาร 3 อยา งน้ี ตองรทู างใจ เรียกวามโนวิญญาณ พระธรรมเจดยี : มโนวิญญาณความรูทางใจก็เหมือนกันกับธรรมสัญญา ความจำธัมมา รมณอยางนน้ั หรือ เพราะน่ีกร็ วู า เวทนา สัญญา สังขาร นน่ั ก็จำเวทนา สญั ญา สังขาร ? พระอาจารยมน่ั : ตางกัน เพราะสัญญานั้นจำอารมณที่ลวงแลว แตตัวสัญญาเองเปน สญั ญาปจ จบุ นั สวนมโนวิญญาณนนั้ รเู วทนา สัญญา สังขาร ทเ่ี ปน อารมณป จจบุ ัน เม่ือความรเู วทนา สญั ญา สงั ขาร มาปรากฎขน้ึ ในใจ เปน ความเกดิ ข้นึ แหง มโนวิญญาณ เม่ือความรู เวทนา สญั ญา สังขาร ดับ หายไปจากใจ เปน ความดบั ไปแหง มโนวิญญาณ พระธรรมเจดยี : เชนผงเขาตา รวู าเคอื งตา เปน รูทางตาใชไ หม ? พระอาจารยม ั่น : ไมใช เพราะรูทางตานั้น หมายถึงรูปที่มากระทบกับตาเกิดความรูขึ้น สว นผงเขาตาน้นั เปนกายสมั ผสั ตอ งเรียกวารโู ผฏฐัพพะ เพราะตานั้น เปนกาย ผงนัน้ เปน โผฏฐพั พะ เกดิ ความรูขน้ึ ชอ่ื วารทู างกาย ถาผงเขา ตาคนอืน่ เขาวานเราไปดู เมือ่ เราไดเ หน็ ผงเกิดความรูข้ึน ช่อื วารทู างตา 79
พระธรรมเจดยี : สาธุ ขาพเจาเขา ใจไดค วามในเรื่องนี้ชดั เจนดแี ลว แตขันธ 5 นัน้ ยังไมไ ด ความวา จะเกิดขนึ้ ที่ละอยางสองอยาง หรอื วา ตอ งเกดิ พรอ มกันทงั้ 5 ขนั ธ พระอาจารยมัน่ : ตองเกดิ ขนึ้ พรอมกันทั้ง 5 ขันธ พระธรรมเจดีย : ขันธ 5 ท่ีเกดิ พรอมกันนั้น มีลกั ษณะอยางไร ? และความดับไปมอี าการ อยางไร ? ขอใหช ี้ตวั อยา งใหข าวสกั หนอย พระอาจารยม ัน่ : เชนเวลาเรานึกถึงรูปคนหรือรูปสิ่งของอยางใดอยางหนึ่ง อาการที่นึก ขึน้ นัน้ เปน ลักษณะของสังขารขันธ รปู รา งหรอื สงิ่ ของเหลาน้ันมาปรากฎ ขึ้นในใจนี่เปนลักษณะของรูปสัญญา ความรูที่เกิดขึ้นในเวลานั้นนี่เปน ลักษณะของมโนวิญญาณ สุขหรอื ทกุ ขห รืออเุ บกขาทเี่ กดิ ขน้ึ ในคราวนน้ั น่เี ปนลกั ษณะของเวทนา มหาภตู รปู หรอื อุปาทายรปู ทป่ี รากฎอยูนั้น เปน ลักษณะของรปู อยา งน้เี รยี กวาความเกดิ ขน้ึ แหงขันธพ รอ มกนั ทง้ั 5 เมือ่ อาการ 5 อยางเหลานัน้ ดบั ไป เปน ความดับไปแหงขนั ธท ั้ง 5 พระธรรมเจดยี : 80
สวนนามทงั้ 4 เกิดขึน้ และดบั ไปพอจะเหน็ ดวย แตท ว่ี า รปู ดบั ไปนน้ั ยงั ไม เขาใจ ? พระอาจารยม น่ั : สวนรูปนั้นมีความแปรปรวนอยูเสมอเชนของเกาเสื่อมไป ของใหมเกิด แทนแตทวาไมเ ห็นเองเพราะรปู สนั ตติ รปู ท่ตี ิดตอเน่อื งกันบงั เสยี จึงแลไม เห็น แตก็ลองนึกดูถึงรูปตั้งแตเกิดมาจนถึงวันนี้เปลี่ยนไปแลวสักเทาไร ถา รปู ไมดับก็คงไมมีเวลาแกแ ลเวลาตาย พระธรรมเจดีย : ถา เราสงั เกตขนั ธ 5 วาเวลาเกดิ ข้นึ แลดับไปน้ัน จะสังเกตอยา งไรจึงจะ เห็นได แลทวี่ า ขันธส ิ้นไปเส่อื มไปนัน้ มลี ักษณะอยางไร เพราะวาเกิดขึ้น แลวกด็ บั ไป แลวก็เกิดขนึ้ ไดอกี ดูเปน ของคงท่ไี มเ ห็นมคี วามเส่ือม พระอาจารยม น่ั : พดู กบั คนท่ีไมเคยเหน็ ความจรงิ นั้น ชา งนา ขันเสยี เหลือเกิน วธิ สี ังเกต ขนั ธ 5 นนั้ ก็ตอ งศกึ ษาใหรูจ ักอาการขันธตามความเปนจริง แลว ก็มีสติ สงบความคิดอื่นเสยี หมดแลว จนเปน อารมณอ ันเดียวทเี่ รียกวาสมาธิ ใน เวลานัน้ ความคดิ อะไรๆไมม แี ลว สว นรปู นนั้ หมายลมหายใจ สว นเวทนาก็ มแี ตป ตหิ รือสุข สว นสญั ญากเ็ ปน ธรรมสญั ญาอยา งเดียว สวนสงั ขาร เวลานั้นเปนสติกับสมาธิ หรือวิตกวิจารณอยู สวนวิญญาณก็เปนแต ความรูอยูใ นเร่ืองที่สงบนน้ั ในเวลานัน้ ขันธ 5 เขาไปรวมอยูเ ปนอารมณ เดียว ในเวลานัน้ ตอ งสังเกตอารมณปจจุบนั ทีป่ รากฎอยเู ปน ความเกดิ 81
ขึ้นแหงขันธ พออารมณปจจุบันนั้นดับไปเปนความดับไปแหงนามขันธ สวนรปู นัน้ เชน ลมหายใจออกมาแลว พอหายใจกลับเขาไป ลมหายใจ ออกน้นั กด็ ับไปแลว ครนั้ กลับมาหายใจออกอีก ลมหายใจเขากด็ ับไป แลว นี่แหละเปน ความดับไปแหงขนั ธท งั้ 5 แลวปรากฏขนึ้ มาอกี กเ็ ปน ความเกดิ ขนึ้ ทกุ ๆอามรมณแ ลขันธ 5 ที่เกดิ ขน้ึ ดบั ไป ไมใ ชด ับไปเปลา ๆ รปู ชวี ิตินทรยี ความเปน อยูของนามขนั ธท ัง้ 5 เม่ืออารมณด ับไปครงั้ หน่งึ ชีวิตแลอายขุ องขันธทงั้ 5 สิ้นไปหมดทุกๆ อารมณ พระธรรมเจดยี : วิธีสังเกตอาการขนั ธที่สิ้นไปเสื่อมไปน้นั หมายเอาหรอื คดิ เอา ? พระอาจารยมั่น : หมายเอาก็เปน สญั ญา คดิ เอาก็เปนเจตนา เพราะฉะน้ันไมใ ชห มายไมใ ช คดิ ตอ งเขาไปเห็นความจริงท่ปี รากฎเฉพาะหนา จึงจะเปนปญญาได พระธรรมเจดีย : ถา เชนนน้ั จะดคู วามส้ินไปเสือ่ มไปของขนั ธท งั้ 5 มิตองตง้ั พธิ ที ำใจใหเปน สมาธิทกุ คราวไปหรอื ? พระอาจารยม ัน่ : ถา ยงั ไมเ คยเหน็ ความจริง กต็ องตงั้ พิธเี ชนนี้ร่ำไป ถา เคยเห็นความจริง เสียแลวก็ไมตองตั้งพิธีทำใจใหเปนสมาธิทุกคราวก็ได แตพอมีสติขึ้น ความจริงก็ปรากฎเพราะเคยเหน็ แลรจู ักความจริงเสยี แลว เม่อื มสี ตริ ตู ัว 82
ขน้ึ มาเวลาใด กเ็ ปนสมถวปิ ส สนากำกบั กันไปทกุ คราว พระธรรมเจดยี : ทวี่ าชวี ิตแลอายขุ นั ธส ิ้นไปเสอ่ื มไปนั้นคอื ส้นิ ไปเสือ่ มไปอยา งไร ? พระอาจารยมั่น : เชน เราจะมีลมหายใจอยไู ดส ัก 100 หน ก็จะตาย ถาหายใจเสียหนหนงึ่ แลว กค็ งเหลอื อีก 99 หน หรือเราจะคิดจะนึกอะไรไดส กั 100 หน เมอ่ื คดิ นึกเสยี หนหนึ่งแลว คงเหลอื อีก 99 หน ถา เปนคนอายุยนื ก็หายใจอยู ไดมากหน หรือคิดนึกอะไรๆอยูไดมากหน ถาเปนคนอายุสั้น ก็มีลม หายใจและคดิ นึกอะไรๆอยูไ ดน อยหน ทส่ี ุดกห็ มดลงวันหนงึ่ เพราะจะ ตองตายเปนธรรมดา พระธรรมเจดยี : ถา เราจะหมายจะคิดอยูในเร่อื งความจรงิ ของขันธอยางน้ี จะเปน ปญญา ไหม ? พระอาจารยม น่ั : ถาคิดเอาหมายเอา กเ็ ปนสมถะ ที่เรยี กวา มรณัสสติ เพราะปญ ญานั้น ไมใชเรื่องหมายหรือเรื่องคิด เปนเรื่องของความเห็นอารมณปจจุบันที่ ปรากฎเฉพาะหนา ราวกับตาเหน็ รปู จึงจะเปน ปญ ญา พระธรรมเจดยี : 83
เม่ือจิตสงบแลว กค็ อยสังเกตดอู าการขันธทเ่ี ปน อารมณป จจบุ นั เพ่อื จะ ใหเหน็ ความจรงิ น่นั เปน เจตนาใชไหม ? พระอาจารยมนั่ : เวลาน้นั เปน เจตนาจริงอยู แตความจริงก็ยังไมป รากฎ เวลาที่ความจริง ปรากฎขน้ึ น้ันพน เจตนาทเี ดียว ไมเจตนาเลย เปนความเหน็ ท่ีเกิดข้ึนเปน พเิ ศษตอ จากจิตท่สี งบแลว พระธรรมเจดีย : จิตคูก ับเจตสกิ ใจคูก ับธัมมารมณ มโนธาตุคูกับธรรมธาตุ 3 คนู ี้เหมือน กันหรอื ตา งกัน ? พระอาจารยม่ัน : เหมือนกัน เพราะวาจิตกับมโนธาตุกับใจนั้นอยางเดียวกัน สวนใจนั้น เปนภาษาไทย ภาษาบาลีทานเรียกวามโน เจตสิกนั้นก็ไดแกเวทนา สญั ญา สงั ขาร ธมั มารมณน น้ั กค็ อื เวทนา สัญญา สงั ขาร ธรรมธาตนุ ้นั กค็ ือ เวทนา สัญญา สงั ขาร พระธรรมเจดยี : ใจนัน้ ทำไมจึงไมใ ครป รากฎ เวลาท่ีสังเกตดกู เ็ ห็นแตเหลาธัมมารมณ คือ เวทนาบาง สญั ญาบาง สังขารบา ง มโนวิญญาณความรทู างใจบา ง เพราะเหตไุ ร ใจจึงไมปรากฏเหมือนเหลาธัมมารมณ กับมโนวญิ ญาณ ? 84
พระอาจารยม่ัน : ใจนน้ั เปนของละเอยี ด เหน็ ไดยาก พอพวกเจตสิกธรรมท่เี ปนเหลา ธัมมา รมณมากระทบเขากเ็ กิดมโนวิญญาณ ถูกผสมเปน มโนสัมผสั เสียทเี ดียว จึงแลไมเ หน็ มโนธาตไุ ด พระธรรมเจดยี : อุเบกขาในจตตุ ถฌาณ เปนอทกุ ขมสขุ เวทนา ใชหรอื ไม ? พระอาจารยม น่ั : ไมใช อทกุ ขมสุขเวทนานน้ั เปน เจตสิกธรรม สว นอเุ บกขาในจตตุ ถฌาณ นน้ั เปน จิต พระธรรมเจดยี : สงั โยชน 10 นัน้ คือ สักกายทฎิ ฐิ วิจกิ จิ ฉา สลี ัพตปรามาส กามราคะ พยาบาท รปู ราคะ อรูปราคะ มานะ อุทธัจจะ อวชิ ชา ที่แบง เปน สังโยชนเ บื้องต่ำ 5 เบ้ืองบน 5 นนั้ กส็ ว นสกั กายทิฎฐิทท่ี านแจกไว ตาม แบบขันธล ะ 4 รวม 5 ขันธ เปน 20 ทีว่ า ยอ มเห็นรูปโดยความเปนตัว ตนบาง ยอมเห็นตวั ตนวามรี ปู บา ง ยอ มเหน็ รปู ในตัวตนบาง ยอ มเหน็ ตวั ตนในรูปบา ง ยอ มเหน็ เวทนา สญั ญา สังขาร วญิ ญาณโดยความเปนตัว ตนบา ง ยอมเหน็ ตัวตนวามี เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณบาง ยอ ม เห็น เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณในตวั ตนบา ง ยอ มเหน็ ตัวตนใน เวทนา สัญญา สังขาร วญิ ญาณบาง ถาฟง ดูทา นทลี่ ะสกั กายทฎิ ฐิไดแลว ดูไมเ ปนตัวเปนตน แตท ำไมพระโสดาบันกล็ ะสกั กายทิฎฐิไดแลว สังโยชน 85
ยงั อยูอีกถงึ 7 ขา พเจาฉงนนัก ? พระอาจารยมนั่ : สกั กายทฎิ ฐิ ทท่ี านแปลไวต ามแบบ ใครๆ ฟงก็ไมใครเขาั ใจ เพราะทา น แตก อน ทา นพูดภาษามคธกัน ทา นเขาใจไดค วามกันดี สว นเราเปนไทย ถึงแปลแลวก็จะไมเขา ใจของทา น จึงลงความเห็นวาไมเปนตวั เปนตนเสีย ดูออกจะแรงมากไป ควรจะนึกถึงพระโกณฑญั ญะ ในธัมมจกั รทานไดเ ปน โสดาบนั กอ นคนอน่ื ทา ไดความเห็นวา ยงกฺ ิฺจิ สมทุ ยธมมฺ ํ สพพฺ นฺตํ นิ โรธธมฺมํ สง่ิ ใดส่งิ หนง่ึ มคี วามเกิดขึน้ เปนธรรมดา ส่ิงนั้นลว นมคี วามดับ เปนธรรมดา และพระสารีบุตรพบพระอสั สชิ ไดฟง อริยสัจยอ วา เย ธมฺ มา เหตุปปฺ ภวา เตสํ เหตุ ตถาคโต เตสฺจ โย นโิ รโธ จ เอววํ าที มหา สมโณ \"ธรรมเหลา ใดเกิดแตเ หตุ พระตถาคตเจาทรงแสดงเหตุของธรรม เหลานน้ั และความดบั ของธรรมเหลานนั้ พระมหาสมณะมีปกตกิ ลา ว อยางน\"้ี ทา นกไ็ ดด วงตาเหน็ ธรรม ละสักกายทิฎฐไิ ด พระธรรมเจดยี : ถา เชน นั้นทา นก็เหน็ ความจริงของปญ จขันธ ถายความเห็นผดิ คอื ทิฎฐิ วปิ ลาสเสียได สวนสลี พั พัตกับวิจิกิจฉา 2 อยา งน้ัน ทำไมจึงหมดไป ดว ย ? พระอาจารยม่ัน : สักกายทิฎฐินน้ั เปน เรอ่ื งของความเหน็ ผิด ถึงสลี พั พตั ก็เก่ยี วกับความ เหน็ วา สิง่ ทศี่ ักดส์ิ ิทธิต์ า งๆทมี่ อี ยใู นโลกจะใหด ใี หช ่วั ได วิจิกจิ ฉานัน้ เมอ่ื ผู 86
ทีย่ ังไมเ คยเห็นความจริง ก็ตองสงสัยเปน ธรรมดา เพราะฉะนน้ั ทา นท่ีได ดวงตาเห็นธรรม คือ เหน็ ความจริงของสังขารทง้ั ปวง สวนสีลพั พตั นัน้ เพราะความเห็นของทานตรงแลวจึงเปนอจลสัทธา ไมเห็นไปวาสิ่งอื่น นอกจากรรมที่เปน กุศลและอกุศล จะใหดใี หชัว่ ได จึงเปนอนั ละสีลัพพตั อยเู อง เพราะสังโยชน 3 เปนกิเลสประเภทเดียวกนั พระธรรมเจดยี : ถา ตอบสงั โยชน 3 อยา งนีแ้ ลว มขิ ัดกันกับสักกายทิฎฐิตามแบบที่วา ไม เปน ตัวเปนตนหรือ ? พระอาจารยม ัน่ : คำท่ีวา ไมเ ปนตวั เปน ตนนัน้ เปน เรื่องท่เี ขาใจเอาเองตา งหาก เชน กับ พระโกณฑญั ญะเมอื่ ฟงธรรมจักร ทา นก็ละสกั กายทิฎฐไิ ดแลว ทำไมจงึ ตอ งฟง อนัตตลกั ขณะสตู รอีกเลา นกี่ ส็ อใหเ ห็นไดว า ทา นผูทล่ี ะสกั กาย ทฎิ ฐิไดน ัน้ คงไมใชเ ห็นวา ไมเ ปน ตวั เปนตน พระธรรมเจดยี : ถาเชนนน้ั ทีว่ า เหน็ อนตั ตา กค็ ือเห็นวาไมใ ชต ัวไมใชตนอยา งนน้ั หรือ ? พระอาจารยมนั่ : อนตั ตาในอนตั ตะลักขณะสูตร ทพ่ี ระพุทธเจาทรงซกั พระปญจวคั คีย มี เนือ้ ความวาขนั ธ 5 ไมเ ปน ไปในอำนาจ สิ่งทไี่ มเปน ไปในอำนาจบังคับไม ได จงึ ชื่อวาเปนอนัตตา ถาขนั ธ 5 เปนอัตตาแลวกค็ งจะบังคับได เพราะ 87
ฉะนนั้ เราจงึ ควรเอาความวาขนั ธ 5 ทีไ่ มอยใู นอำนาจ จงึ เปน อนตั ตา เพราะเหตทุ บ่ี ังคบั ไมไ ด ถา ขนั ธ 5 เปนอตั ตาตัวตนก็คงจะบงั คับได พระธรรมเจดีย : ถาเชนนนั้ เหน็ อยา งไรเลา จงึ เปน สักกายทฎิ ฐิ ? พระอาจารยม ่นั : ตามความเหน็ ของขาพเจา วา ไมร จู ักขนั ธ 5 ตามความเปนจรงิ เห็น ปญ จขนั ธวา เปน ตน และเท่ยี งสุข เปน ตวั ตนแกน สาร และเลยเหน็ ไปวา เปน สุภะความงามดวย ที่เรียกวา ทฎิ ฐิวปิ ลาส น่ีแหละเปนสักกายทฎิ ฐิ เพราะฉะนนั้ จึงเปน คูปรับกับ ยงฺกิ ฺจิ สมทุ ยธมมฺ ํ สพพฺ นตฺ ํ นโิ รธธมฺมํ ซ่ึงเปน ความเหน็ ถกู ความเหน็ ชอบ จึงถา ยความเห็นผดิ เหลานั้นได พระธรรมเจดีย : ถา เชนน้นั ทานที่ละสักกายทฎิ ฐิไดแลว อนจิ ฺจํ ทกุ ขฺ ํ อนตฺตา จะเปน อัธยาศัยไดไ หม ? พระอาจารยม่ัน : ถาฟง ดูตามแบบทา นเหน็ ยงกฺ ิฺจิ สมุทยธมมฺ ํ สพฺพนตฺ ํ นิโรธธมฺมํ ชดั เจน อนิจจฺ ํ คงเปนอัธยาศัย สว นทกุ ขํ กับอนตตฺ า ถงึ จะเห็นกไ็ มเปน อัธยาศัย เขาใจวาถาเห็นปญจขันธ เปนทุกขมากเขา กามราคะ พยาบาทก็คงนอย ถาเห็นปญจขันธเปนอนัตตามากเขา กามราคะ พยาบาทกค็ งหมด ถา เหน็ วา สพฺเพ ธมฺมา อนตตฺ า ชัดเจนเขา สงั โยชน 88
เบ้ืองบนกค็ งหมด นี่เปน สว นความเขา ใจ แตตามแบบทานก็ไมไดอธบิ าย ไว พระธรรมเจดีย : ที่วาพระสกิทาคามี ทำการราคะพยาบาทใหนอยนั้น ดูมัวไมชัดเจน เพราะไมทราบวานอยแคไหน ไมแตกหักเหมือนพระโสดาบัน พระ อนาคามแี ละพระอรหนั ต ? พระอาจารยมั่น : แตกหกั หรอื ไมแ ตกหกั กใ็ ครจะไปรูข องทาน เพราะวาเปน ของเฉพาะตวั พระธรรมเจดยี : ถาจะสันนิษฐานไปตามแนวพระปริยัติก็จะชี้ตัวอยางใหเขาใจบางหรือ ไม ? พระอาจารยมน่ั : การสนั นษิ ฐานนนั้ เปน ของไมแ น ไมเ หมือนอยา งไดรเู องเหน็ เอง พระธรรมเจดีย : แนหรือไมแนก ็เอาเถิด ขาพเจา อยากฟง ? พระอาจารยม ั่น : ถา เชน นนั้ ขาพเจาเห็นวาทานที่ไดเปน โสดาบนั เสร็จแลว มีอัธยาศยั ใจคอ 89
ซึ่งตางกับปุถุชน ทานไดละกามราคะพยาบาทสวนหยาบถึงกับลวง ทจุ รติ ซงึ่ เปน ฝายอบายคามไี ด คงเหลือแตอ ยางกลาง อยา งละเอียดอกี 2 สว น ภายหลงั ทานเจริญสมถวิปส สนามากข้ึน กล็ ะกามราคะปฏิฆะ สังโยชนอยา งกลางไดอ ีกสว นหน่งึ ขาพเจาเห็นวา นแ่ี หละเปน มรรคท่ี 2 ตอมาทานประพฤติปฏิบัติละเอียดเขา ก็ละกามราคะพยาบาทที่เปน อยา งละเอยี ดไดขาด ชอ่ื วา พระอนาคามี พระธรรมเจดีย : กามราคะพยาบาทอยา งหยาบถงึ กับลว งทุจริต หมายทจุ รติ อยา งไหน ? พระอาจารยมน่ั : หมายเอาอกศุ ลกรรมบถ 10 วาเปน ทจุ ริตอยา งหยาบ พระธรรมเจดีย : ถา เชนนั้นพระโสดาบันทา นกล็ ะอกศุ ลกรรมบถ 10 ได เปนสมุจเฉท หรือ ? พระอาจารยม่นั : ตามความเห็นของขา พเจา เห็นวา กายทจุ ริต 3 คอื ปาณา อทนิ นา กาเมสมุ จิ ฉาจาร มโนทจุ รติ 3 อภชิ ฌา พยาบาท มิจฉาทฎิ ฐินีล้ ะขาดได เปน สมจุ เฉท สว นวจกี รรมที่ 4 คือ มุสาวาทกล็ ะไดข าด สว นวจกี รรมอีก 3 ตวั คอื ปส ุณาวาจา ผรุสวาจา สมั ผัปปลาป ละไดแตส ว นหยาบที่ ปุถชุ นกลาวอยู แตสว นละเอยี ดยงั ละไมไ ดต อ งอาศยั สงั วรความระวังไว 90
พระธรรมเจดยี : ท่ีตองสำรวมวจีกรรม 3 เพราะเหตุอะไร ทำไมจึงไมข าดอยา งมสุ าวาท ? พระอาจารยม ัน่ : เปน ดว ยกามราคะ กับปฏิฆะ สงั โยชนท งั้ 2 ยงั ละไมไ ด พระธรรมเจดยี : วจีกรรม 3 มาเก่ียวอะไรกับสงั โยชนท ั้ง 2 ดวยเลา ? พระอาจารยมัน่ : บางคาบบางสมยั เปนตนวา มเี รื่องท่จี ำเปนเกดิ ขน้ึ ในคนรกั ของทา นกับ คนอีกคนหนง่ึ ซง่ึ เขาทำความไมด อี ยางใดอยางหน่ึง จำเปนท่จี ะตอ งพูด ครั้นพูดไปแลวเปนเหตุใหเขาหางจากคนนั้น จึงตองระวัง สวนปสุณา วาจา บางคราวความโกรธเกดิ ขนึ้ ทสี่ ุดจะพดู ออกไป ดวยกำลงั ใจที่โกรธ วา พอมหาจำเริญแมม หาจำเริญ ทีเ่ รียกวา ประชดทาน ก็สงเคราะหเขา ใจ ผรสุ วาจา เพราะเหตนุ ั้นจงึ ตองสำรวม สวนสมั ผปั ปลาปนั้น ดิรจั ฉาน กถาตา งๆมมี าก ถาสมัยทเี่ ผลอสติมคี นมาพูด กอ็ าจจะพลอยพูดไปดวย ได เพราะเหตุน้ันจงึ ตอ งสำรวม พระธรรมเจดยี : ออพระโสดาบันยังมเี วลาเผลอสติอยูหรอื ? 91
พระอาจารยม ัน่ : ทำไมทาจะไมเผลอ สงั โยชนยงั อยูอีกถึง 7 ทา นไมใชพ ระอรหันตจ ะได บรบิ รู ณด ว ยสติ พระธรรมเจดยี : กามราคะ พยาบาท อยา งกลางหมายความเอาแคไหน เมือ่ เกดิ ขน้ึ จะได รู ? พระอาจารยมน่ั : ความรกั แลความโกรธที่ปรากฎขึ้น มเี วลาส้ันหายเรว็ ไมถึงกับลว งทจุ รติ นี่แหละเปนอยา งกลาง พระธรรมเจดีย : ก็กามราคะ พยาบาท อยางละเอียดนั้นหมายเอาแคไ หน แลเรยี กวา พยาบาทดหู ยาบมาก เพราะเปน ชอ่ื ของอกศุ ล ? พระอาจารยม ัน่ : บางแหงทา นกเ็ รยี กวา ปฏฆิ ะสงั โยชนกม็ ี แตความเหน็ ของขา พเจา วา ไม ควรเรยี กพยาบาท ควรจะเรยี กปฏิฆะสงั โยชนด เู หมาะดี พระธรรมเจดยี : ก็ปฏฆิ ะกบั กามราคะทอ่ี ยา งละเอยี ดนัน้ จะไดแ กอาการของจติ เชนใด ? 92
พระอาจารยม่นั : ความกำหนัดที่อยางละเอียด พอปรากฎขึ้นไมทันคิดออกไปก็หายทันที สวนปฏิฆะนัน้ เชนคนที่มสี าเหตุโกรธกันมาแตก อ น ครน้ั นานมาความ โกรธน้ันกห็ ายไปแลว และไมไดนึกถงึ เสยี เลย ครน้ั ไปในท่ปี ระชมุ แหงใด แหง หนง่ึ ไปพบคนนั้นเขามอี าการสะดดุ ใจ ไมสนทิ สนมหรือเกอเขิน ผดิ กับคนธรรมดา ซึง่ ไมเ คยมสี าเหตกุ ัน ขา พเจาเหน็ วาอาการเหลา นีเ้ ปน อยางละเอียด ควรจะเรียกปฏิฆะสังโยชนได แตตามแบบทานก็ไมได อธิบายไว พระธรรมเจดีย : สังโยชนท ง้ั 2 น้ี เหน็ จะเกดิ จากคนโดยตรง ไมใชเกดิ จากสงิ่ ของทรัพย สมบตั อิ ืน่ ๆ ? พระอาจารยม น่ั : ถกู แลว เชนวิสาขะอบุ าสกเปนพระอนาคามี ไดย ินวาหลีกจากนางธัมม ทินนา ไมไดห ลีกจากส่ิงของทรพั ยสมบตั สิ ว นอ่นื ๆ สวนความโกรธหรือ ปฏิฆะที่เกิดขึ้น ก็เปนเรื่องของคนทั้งนั้น ถึงแมจะเปนเรื่องสิ่งของก็ เกีย่ วขอ งกบั คน ตกลงโกรธคนน่นั เอง พระธรรมเจดีย : สวนสังโยชนเบื้องต่ำนั้น ก็ไดรับความอธิบายมามากแลว แตสวน สงั โยชนเบอ้ื งบน 5 ตามแบบอธบิ ายไววา รปู ราคะ คอื ยนิ ดีในรปู ฌาณ อรปู ราคะยินดใี นอรูปฌาณ ถา เชนน้นั คนที่ไมไดบรรลฌุ าณสมาบัติ 8 93
สงั โยชนท้งั สองกไ็ มม ีโอกาสจะเกดิ ได เม่ือเปน เชน น้ีสงั โยชนส องอยา งนี้ ไมมหี รือ ? พระอาจารยมัน่ : มี ไมเกิดในฌาณ ก็ไปเกิดในเรอ่ื งอ่นื พระธรรมเจดยี : เกดิ ในเร่ืองไหนบา ง ขอทา นจงอธิบายใหขา พเจา เขาใจ ? พระอาจารยม นั่ : ความยนิ ดใี นรปู ขันธ หรอื ความยินดใี นรูป เสยี ง กลนิ่ รส โผฎฐัพพะ นน้ั ชือ่ วารปู ราคะ ความยนิ ดีในเวทนา สญั ญา สังขาร วิญญาณ หรอื ยินดี ในสมถวิปส สนา หรือยินดใี นสวนมรรคผล ทีไ่ ดบ รรลเุ สขคณุ แลว เหลา น้ี ก็เปน อรปู ราคะได พระธรรมเจดีย : ก็ความยนิ ดใี นกาม 5 พระอนาคามีละไดแลว ไมใ ชห รอื ทำไมจึงมาเก่ียว กับสังโยชนเบอ้ื งบนอีกเลา ? พระอาจารยมั่น : กามมี 2 ชน้ั ไมใ ชช้นั เดียว ทีพ่ ระอนาคามลี ะไดน ั้น เปนสว นกำหนัดใน เมถุน ซงึ่ เปน คกู ับพยาบาท สว นความยนิ ดีในรูป เสยี ง กลนิ่ รส โผฎฐัพ พะ ทีไ่ มไดเ กย่ี วกบั เมถุน จึงเปนสังโยชนเ บ้ืองบน คอื รูปราคะ สวนความ 94
ยนิ ดีในนามขันธท ัง้ 4 หรอื สมถวปิ สสนาหรอื มรรคผลชั้นตน ๆ เหลา นี้ ชื่อวาอรูปราคะ ซึ่งตรงกับความยินดีในธัมมารมณ เพราะฉะนั้นพระ อรหนั ตท ั้งหลายเบื่อหนายในรูปขันธ หรอื รปู เสียง กล่ิน รส โผฎฐพั พะ เปนภายนอก จึงไดสน้ิ ไปแหง รูปราคะสังโยชน และทา นเบื่อในเวทนา สญั ญา สังขาร วญิ ญาณ และสมถหรือวิปสสนาะทอี่ าศยั ขันธ เกดิ ขนึ้ เมื่อทานสิ้นความยินดีในนามขันธแลว แมธรรมทั้งหลายอาศัยขันธเกิด ขึ้นทานก็ไมยินดี ไดชื่อวาละความยินดีในธัมมารมณซึ่งคูกับความ ยินรา ย เพราะความยินดยี นิ รา ยในนามรูปหมดแลว ทา นจึงเปน ผพู น แลว จากความยินดยี ินรายในอารมณ 6 จึงถึงพรอมดว ยคณุ คือ ฉะลัง คเุ บกขา พระธรรมเจดีย : แปลกมากยังไมเ คยไดยินใครอธิบายอยา งนี้ สวนมานะสังโยชนน้ัน มี อาการอยา งไร ? พระอาจารยมั่น : มานะสังโยชนนน้ั มีอาการใหวดั เชนกับนึกถึงตวั ของตวั ก็รสู ึกวา เปนเรา สว นคนอน่ื ก็เห็นวา เปน เขา แลเหน็ วา เราเสมอกบั เขา หรือเราสงู กวาเขา หรือเราตำ่ กวา เขา อาการทีว่ ดั ชนดิ นีแ้ หละเปน มานะสงั โยชน ซ่ึงเปนคู ปรบั กบั อนัตตา หรอื สพเฺ พ ธมมฺ า อนตตฺ า พระธรรมเจดีย : ก็อุทธัจจสังโยชนนั้นมีลักษณะอยางไร เชน พระอนาคามีละสังโยชน 95
เบอ้ื งตำ่ ไดหมดแลว สวนอุทธัจจสงั โยชนจะฟงุ ไปทางไหน ? พระอาจารยมนั่ : ตามแบบทานอธิบายไวว า ฟงุ ไปในธรรม เพราะทานยังไมเ สร็จกจิ จึงได ฝกใฝอ ยูใ นธรรม พระธรรมเจดยี : อวชิ ชาสังโยชนน้นั ไมรูอะไร ? พระอาจารยม่นั : ตามแบบทา นอธบิ ายไวว า ไมร ูขนั ธทีเ่ ปน อดตี 1 อนาคต 1 ปจ จุบนั 1 อริยสจั 4 ปฏจิ จสมปุ าท 1 ความไมร ูใ นท่ี 8 อยา งน้ีแหละชอื่ วาอวิชชา พระธรรมเจดยี : พระเสขบคุ คลทา นก็รูอ ริยสัจ 4 ดว ยกันทงั้ นนั้ ทำไมอวิชชาสงั โยชนจึง ยงั อยู ? พระอาจารยมัน่ : อวิชชามหี ลายชน้ั เพราะฉะนนั้ วิชชาก็หลายช้ัน สว นพระเสขบคุ คล มรรคแลผลชัน้ ใดทท่ี า นไดบรรลแุ ลว ทา นกร็ เู ปน วิชชาขึน้ ชั้นใดยังไมร ู ก็ยังเปนอวิชชาอยู เพราะฉะน้ันจงึ หมดในข้นั ท่ีสดุ คือพระอรหนั ต พระธรรมเจดีย : 96
พระเสขบุคคลทา นเหน็ อริยสจั แตละตัณหาไมไ ด มไิ มไ ดทำกจิ ในอริยสัจ หรอื ? พระอาจารยม ัน่ : ทานกท็ ำทุกช้นั นั้นแหละ แตก็ทำตามกำลงั พระธรรมเจดยี : ทว่ี า ทำตามชัน้ นนั้ ทำอยา งไร ? พระอาจารยม น่ั : เชน พระโสดาบันไดเ หน็ ปญ จขนั ธเกดิ ขึ้นดบั ไป กช็ ือ่ วาไดกำหนดรูท ุกข และไดละสังโยชน 3 หรอื ทจุ รติ สวนหยาบๆ กเ็ ปนอนั ละสมทุ ยั ความท่ี สงั โยชน 3 สนิ้ ไปเปน สว นนิโรธตามชั้นของทาน สว นมรรคทา นกไ็ ด เจริญมีกำลงั พอละสังโยชน 3 ได แลทานปด อบายได ชอ่ื วาทานทำภพ คือทุคติใหห มดไปท่ตี ามแบบเรียกวา ขีณนิรโย มนี รกสิ้นแลว สว นพระ สกทิ าคามี กไ็ ดกำหนดทกุ ข คือ ปญจขนั ธแลวละกามราคะ พยาบาท อยา งกลาง ไดช ื่อวา ละสมุทยั ขอที่ กามราคะ พยาบาท อยา งกลางหมด ไป จึงเปน นโิ รธของทา น สวนมรรคน้ันก็เจริญมาไดเ พียงละกามราคะ พยาบาทอยางกลางนี่แหละ จึงไดทำภพชาติใหนอยลง สวนพระ อนาคามที ุกขไ ดกำหนดแลว ละกามราคะพยาบาทสว นละเอยี ดหมด ได ชื่อวาละสมุทัยกามราคะพยาบาทอยางละเอียดนี่หมดไปจึงเปนนิโรธ ของทา น สว นมรรคน้ันกเ็ จริญมาเพยี งละสงั โยชน 5 ไดหมด แลไดส ิน้ ภพ คอื กามธาตุ 97
พระธรรมเจดยี : ศลี สมาธิ ปญญา ท่ีเปน โลกยี กับโลกุตตรน้นั ตางกนั อยางไร ? พระอาจารยมั่น : ศีล สมาธิ ปญ ญา ของผปู ฏบิ ตั ใิ นภมู ิกามาพจร รูปาพจร อรูปาพจร น่ี แหละเปน โลกยี ท ี่เรียกวาวฏั ฏคามีกศุ ล เปนกุศลทว่ี นอยูใ นโลก สวนศีล สมาธิ ปญ ญา ของทานผูปฏบิ ัติต้ังแตโสดาบันแลวไป เรยี กวา วิวัฎฎคามี กุศล เปน เครอื่ งขามข้นึ จากโลก น่แี หละเปน โลกตุ ตร พระธรรมเจดีย : ทานท่บี รรลฌุ าณถึงอรปู สมาบัตแิ ลว ก็ยังเปนโลกยี อยู ถา เชนน้ันเราจะ ปฏิบัตใิ หเ ปน โลกุตตรกเ็ ห็นจะเหลอื วิสัย ? พระอาจารยมนั่ : ไมเ หลอื วิสัย พระพทุ ธเจาทานจึงทรงแสดงธรรมสง่ั สอน ถา เหลือวิสยั พระองคก ค็ งไมทรงแสดง พระธรรมเจดยี : ถาเราไมไดบรรลุฌาณชั้นสูงๆจะเจริญปญญาเพื่อใหถึงซึ่งมรรคแลผลจะ ไดไ หม ? พระอาจารยม ั่น : ไดเพราะวธิ ที ี่เจรญิ ปญญาก็ตอ งอาศยั สมาธิจริงอยู แตไมตองถามถงึ กบั 98
ฌาณ อาศยั สงบจติ ท่พี น นวิ รณ กพ็ อเปนบาทของวปิ สสนาได พระธรรมเจดยี : ความสงัดจากกามจากอกุศลของผทู ี่บรรลฌุ าณโลกีย กับความสงัดจาก กาม จากอกศุ ลของพระอนาคามีตางกนั อยา งไร ? พระอาจารยม ัน่ : ตางกนั มาก ตรงกันขามทเี ดยี ว พระธรรมเจดีย : ทำไจึงไดตา งกันถึงกบั ตรงกนั ขามทเี ดยี ว ? พระอาจารยม น่ั : ฌาณที่เปน โลกีย ตอ งอาศัยความเพยี ร มสี ตคิ อยระวงั ละอกุศล และ ความเจริญกุศลใหเกดิ ข้นึ มฌี าณเปนตน และยงั ตอ งทำกจิ ทคี่ อยรักษา ฌาณนั้นไวไมใหเสื่อม ถึงแมวาจะเปนอรูปฌาณที่วาไมเสื่อมในชาตินี้ ชาติหนาตอๆไปก็อาจจะเส่อื มได เพราะเปนกปุ ปธรรม พระธรรมเจดยี : ถาเชนนั้น สวนความสงัดจากกามจากอกุศลของพระอนาคามีทานไมมี เวลาเสื่อมหรือ ? พระอาจารยม ั่น : 99
พระอนาคามี ทา นละกามราคะสังโยชนกบั ปฏคิ ะสังโยชนไ ดข าด เพราะ ฉะนั้นความสงัดจากการจากอกุศลของทานเปนอัธยาศัย ที่เปนเองอยู เสมอโดยไมตองอาศัยความเพียรเหมือนอยางฌาณที่เปนโลกีย สวน วิจิกิจฉาสังโยชนนั้นหมดมาตั้งแตเปนโสดาบันแลว เพราะฉะนั้นอุทธัจ จนิวรณที่ฟุงไปหากามและพยาบาทก็ไมมี ถึงถีนะมิทธนิวรณก็ไมมี เพราะเหตุนั้นความสงัดจากกามจากอกุศลของทานจึงไมเสื่อม เพราะ เปนเองไมใ ชท ำเอาเหมือนอยางฌาณโลกีย พระธรรมเจดยี : ถา เชนน้ันผทู ไี่ ดบ รรลพุ ระอนาคามี ความสงัดจากกามจากอกศุ ล ทเ่ี ปน เองมิไมม ีหรือ ? พระอาจารยม ่ัน : ถานกึ ถึงพระสกทิ าคามี ท่วี า ทำสังโยชนทง้ั สองใหน อ ยเบาบาง นาจะมี ความสงดั จากการจากอกุศลทเ่ี ปน เองอยบู าง แตกค็ งจะออน พระธรรมเจดีย : ท่วี า พระอนาคามมี านเปน สมาธิบรปิ ูริการี บรบิ รู ณด ว ยสมาธิ เหน็ จะ เปนอยา งนเี้ อง ? พระอาจารยม ัน่ : ไมใ ชเปนสมาธิ เพราะวา สมาธนิ น้ั เปน มรรคตอ งอาศัยเจตนา เปน สว น ภาเวตัพพธรรมสวนของพระอนาคามีทานเปนเอง ไมมีเจตนาเปนสัจฉิ 100
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125