42 เรืองที คุณค่าความไพเราะของเพลงสากล ดนตรีเป็นสือสุนทรียศาสตร์ทีมคี วามละเอียด ประณีต มีความสาํ คญั อยา่ งยงิ ต่อมนุษย์ ทงั ทางกาย และ ทางจิต เมือเราไดย้ ินเสียงดนตรีทีมีความสงบ ก็จะทาํ ใหจ้ ิตสงบ อารมณ์ดี หากไดย้ ินเสียงเพลงทีใหค้ วาม บนั เทิงใจ ก็จะเกิดอารมณ์ทีสดใส ทงั นีเพราะดนตรีเป็นสือสุนทรียทีสร้างความสุข ความบนั เทิงใจให้แก่มนุษย์ เป็นเครืองบาํ บดั ความเครียด สร้างสมาธิ กล่อมเกลาจิตใจใหส้ ุขมุ เยอื กเยน็ อารมณ์ดี โดยทีไม่ตอ้ งเสียเวลาหรือ เสียเงินซือหาแต่อยา่ งใด ดนตรีจึงมีคุณค่าต่อมนุษยม์ ากมาย ดงั เช่น เสาวนีย์ สงั ฆโสภณ กลา่ วว่าจากงานวิจยั ของ ต่างประเทศ ทาํ ใหเ้ ราทราบว่า ดนตรีมีผลต่อการทาํ งานของระบบประสาท ระบบกลา้ มเนือ และสภาพจิตใจ ทาํ ใหส้ มองหลงั สารแห่งความสุข เพอื บรรเทาอาการเจ็บปวด ทาํ ใหเ้ กิดสติ ความรู้สึกนึกคิดทีดี และนาํ มาใชใ้ น เรืองการคลายความเครียด ลดความวิตกกังวล ลดความกลวั บรรเทาอาการเจ็บปวด เพิมกาํ ลงั และการ เคลือนไหวของร่างกาย โดยนิยมใชใ้ นงานฟื นฟสู ุขภาพคนทวั ไป พฒั นาคุณภาพชีวิต ฟื นฟสู มรรถภาพคนพิการ ผปู้ ่ วยโรคจิต และเดก็ มีความตอ้ งการเป็นพเิ ศษ เพราะดนตรีเป็นศลิ ปะทีอาศยั เสียงเพือการถ่ายทอดอารมณ์ไปสู่ ผฟู้ ัง เป็นศลิ ปะทีง่ายต่อการสมั ผสั ก่อใหเ้ กิดความสุข ความปิ ติพอใจแก่มนุษยไ์ ด้ กลา่ วว่า ดนตรีเป็นภาษาสากล เพราะเป็นสือความรู้สึกของชนทุกชาติได้ ดงั นัน คนทีโชคดีมีประสาท รับฟังเป็นปกติ กส็ ามารถหาความสุขจากการฟังดนตรีได้ เมือเราไดฟ้ ังเพลงทีมีจงั หวะ และทาํ นองทีราบเรียบ นุ่มนวล จะทาํ ใหเ้ กิดความรู้สึกผอ่ นคลายความตึงเครียด ดว้ ยเหตุนี เมือเราไดฟ้ ังดนตรี ทีเลือกสรรแลว้ จะช่วย ทาํ ใหเ้ รามสี ุขภาพจิตทีดี อนั มผี ลดีต่อสุขภาพร่างกาย ดนตรีจึงเปรียบเสมือน ยารักษาโรค การทีมีเสียงดนตรี รอบบา้ น เปรียบเสมอื นมอี าหารและวติ ามนิ ทีช่วยทาํ ใหค้ นเรามีสุขภาพแข็งแรง คุณประโยชน์ของดนตรีทีมีต่อมนุษย์ ซึงส่วนใหญ่มกั จะกล่าวถึงดนตรีมีผลต่อสภาวะทางร่างกาย แต่ความเป็นจริงแลว้ ดนตรีเป็นเรืองของ “จิต” แลว้ ส่งผลดีมาสู่ “กาย” ดงั นนั จึงไม่แปลกอะไร ทีเรามกั จะไดย้ นิ ว่า ดนตรีช่วยกล่อมเกลาจิตใจ ทาํ ให้คนอารมณ์ดี ไม่เครียด คลายปวด ฯลฯ เพราะดนตรีเป็ นสือสุนทรียะ ทีถา่ ยทอดโดยใชเ้ สียงดนตรีเป็นสือสุดทา้ ยของการบรรยายเรือง “สุนทรียศาสตร์ ทางดนตรี” จึงสรุปเป็ นขอ้ คิด จากการศึกษาในเรืองของความงามในเสียงดนตรี ผเู้ สพ ควรเลือกว่าจะเสพเพียงแค่ “เป็ นผเู้ สพ” หรือจะเป็ น “ผไู้ ดร้ ับประโยชน์จากการเสพ” เพราะดนตรีนนั งามโดยใชเ้ สียงเป็ นสือ แต่ขนั ตอนสาํ คญั ในการถ่ายทอดคือ นกั ดนตรีถ่ายทอดโดยใช้ “จิต” ผฟู้ ังรับสือโดยใช้ “จิต” เป็นตวั รับรู้รับสมั ผสั อารมณ์ต่าง ๆ ผลจากการรับสัมผสั ดว้ ยจิตนนั เพลงทีสงบ ราบเรียบ จิตกจ็ ะวา่ ง (สูญญตา) ทาํ ใหจ้ ิตขณะนนั ปราศจาก “กิเลส” ผฟู้ ังจึงรู้สึกสบายใจ คลายความวิตกกงั วล คลายความเศร้า คลายความเจ็บปวด ผฟู้ ังเกิดสมาธิ จึงเป็ นผลให้สมองทาํ งานไดอ้ ย่างมี ประสิทธิภาพ
43 องค์ประกอบของดนตรีสากล ดนตรีไม่วา่ จะเป็นของชาติใด ภาษาใด ลว้ นมพี ืนฐานมาจากส่วนต่างๆ เหล่านีทงั สิน ความแตกต่างใน รายละเอียดของแต่ละส่วน ของแต่ละวฒั นธรรม โดยวฒั นธรรมของแต่ละสงั คมจะเป็ นปัจจัยทีกาํ หนดให้ ตรงตามรสนิยมของแต่ละวฒั นธรรม จนเป็นผลให้สามารถแยกแยะดนตรีของชาติหนึงแตกต่างจากดนตรีของ อกี ชาติหนึงได้ องค์ประกอบของดนตรีสากล ประกอบด้วย 1. เสียง (Tone) คีตกวีผูส้ ร้างสรรค์ดนตรี เป็ นผูใ้ ช้เสียงในการสร้างสรรค์และผลิตงานศิลปะเพือรับใช้สังคม ผสู้ ร้างสรรคด์ นตรีสามารถสร้างเสียงทีหลากหลายโดยอาศยั วิธีการผลติ เสียงเป็นปัจจยั กาํ หนด เช่น การดีด การสี การตี การเป่ าเสียงทีเกิดจากการสนั สะเทือนของอากาศทีเป็นไปอยา่ งสมาํ เสมอ ส่วนเสียงอึกทึกหรือเสียงรบกวน (Noise) เกิดจากการสนั สะเทือนของอากาศทีไม่สมาํ เสมอ ลกั ษณะความแตกต่างของเสียงขึนอย่กู บั คุณสมบตั ิ สาํ คญั 4 ประการ คือ ระดบั เสียง ความยาวของเสียง ความเขม้ ของเสียง และคุณภาพของเสียง 1.1 ระดับเสียง (Pitch) หมายถึง ระดบั ของความสูง-ตาํ ของเสียง ซึงเกิดจากการจาํ นวนความถี ของการสันสะเทือน กล่าวคือ ถา้ เสียงทีมีความถีสูง ลกั ษณะการสันสะเทือนเร็ว จะส่งผลให้มีระดบั เสียงสูง แต่ถา้ หากเสียงมีความถตี าํ ลกั ษณะการสนั สะเทือนชา้ จะส่งผลใหม้ ีระดบั เสียงตาํ 1.2 ความสัน-ยาวของเสียง (Duration) หมายถึง คุณสมบตั ิทีเกียวกบั ความยาว-สนั ของเสียง ซึง เป็นคุณสมบตั ิทีสาํ คญั อยา่ งยงิ ของการกาํ หนดลลี า จงั หวะ ในดนตรีตะวนั ตก การกาํ หนดความสนั -ยาวของเสียง สามารถแสดงใหเ้ ห็นไดจ้ ากลกั ษณะของตวั โนต้ เช่น โนต้ ตวั กลม ตวั ขาว และตวั ดาํ เป็ นตน้ สาํ หรับดนตรีของ ไทยนัน แต่เดิมมิไดใ้ ชร้ ะบบการบันทึกโน้ตเป็ นหลกั แต่อย่างไรก็ตาม การสร้างความยาว-สันของเสียง อาจสังเกตไดจ้ ากลีลาการกรอระนาดเอก ฆอ้ งวง ในกรณีของซออาจแสดงออกมาในลกั ษณะของการลาก คนั ชกั ยาวๆ 1.3 ความเข้มของเสียง (Intensity) ความเขม้ ของเสียงเกียวขอ้ งกบั นาํ หนักของความหนกั เบา ของเสียง ความเขม้ ของเสียงจะเป็นคุณสมบตั ิทีก่อประโยชน์ในการเกือหนุนเสียงใหม้ ลี ีลาจงั หวะทีสมบรู ณ์ 1.4 คุณภาพของเสียง (Quality) เกิดจากคุณภาพของแหล่งกาํ เนิดเสียงทีแตกต่างกนั ปัจจยั ทีทาํ ใหค้ ุณภาพของเสียงเกิดความแตกต่างกนั นนั เกิดจากหลายสาเหตุ เช่น วธิ ีการผลิตเสียง รูปทรงของแหล่งกาํ เนิด เสียง และวสั ดุทีใชท้ าํ แหล่งกาํ เนิดเสียง ปัจจยั เหล่านีก่อใหเ้ กิดลกั ษณะคุณภาพของเสียง ซึงเป็ นหลกั สาํ คญั ให้ ผฟู้ ังสามารถแยกแยะสีสนั ของเสียง (Tone Color) ระหว่างเครืองดนตรีเครืองหนึงกบั เครืองหนึงไดอ้ ยา่ งชดั เจน
44 2. พนื ฐานจงั หวะ (Element of Time) เป็ นศิลปะของการจัดระเบียบเสียงทีเกียวข้องกับความชา้ เร็ว ความหนักเบาและความสัน-ยาว องค์ประกอบเหล่านีหากนาํ มาร้อยเรียงปะติดปะต่อเขา้ ดว้ ยกนั ตามหลกั วิชาการเชิงดนตรีแลว้ สามารถทีจะ สร้างสรรคใ์ ห้เกิดลีลาจังหวะอนั หลากหลาย ในเชิงจิตวิทยา อิทธิพลของจงั หวะทีมีผลต่อผฟู้ ังจะปรากฏพบ ในลกั ษณะของการตอบสนองเชิงกายภาพ เช่น ฟังเพลงแลว้ แสดงอาการกระดิกนิว ปรบมือร่วมไปดว้ ย 3. ทํานอง (Melody) ทาํ นองเป็ นการจัดระเบียบของเสียงทีเกียวขอ้ งกบั ความสูง-ตาํ ความสัน-ยาว และความดัง-เบา คุณสมบตั ิเหลา่ นีเมอื นาํ มาปฏบิ ตั ิอยา่ งต่อเนืองบนพนื ฐานของความชา้ -เร็ว จะเป็นองคป์ ระกอบของดนตรีทีผฟู้ ัง สามารถทาํ ความเขา้ ใจไดง้ ่ายทีสุด ในเชิงจิตวทิ ยา ทาํ นองจะกระตุน้ ผฟู้ ังในส่วนของสติปัญญา ทาํ นองจะมีส่วนสาํ คญั ในการสร้างความ ประทบั ใจ จดจาํ และแยกแยะความแตกต่างระหวา่ งเพลงหนึงกบั อกี เพลงหนึง 4. พนื ผวิ ของเสียง (Texture) “พืนผวิ ” เป็ นคาํ ทีใชอ้ ย่ทู วั ไปในวิชาการด้านวิจิตรศิลป์ หมายถึง ลกั ษณะพืนผิวของสิงต่างๆ เช่น พนื ผวิ ของวสั ดุทีมลี กั ษณะขรุขระ หรือเกลียงเกลา ซึงอาจจะทาํ จากวสั ดุทีต่างกนั ในเชิงดนตรีนนั “พืนผวิ ” หมายถงึ ลกั ษณะหรือรูปแบบของเสียงทงั ทีประสานสมั พนั ธแ์ ละไม่ประสาน สัมพนั ธ์ โดยอาจจะเป็ นการนาํ เสียงมาบรรเลงซอ้ นกนั หรือพร้อมกนั ซึงอาจพบทงั ในแนวตงั และแนวนอน ตามกระบวนการประพนั ธ์เพลง ผลรวมของเสียงหรือแนวทงั หมดเหล่านัน จดั เป็ นพืนผวิ ตามนัยของดนตรี ทงั สิน ลกั ษณะรูปแบบพนื ผวิ ของเสียงมอี ยหู่ ลายรูปแบบ ดงั นี 4.1 Monophonic Texture เป็นลกั ษณะพืนผวิ ของเสียงทีมีแนวทาํ นองเดียว ไม่มีเสียงประสาน พนื ผวิ เสียงในลกั ษณะนีถือเป็นรูปแบบการใชแ้ นวเสียงของดนตรีในยคุ แรกๆ ของดนตรีในทุกวฒั นธรรม 4.2 Polyphonic Texture เป็ นลกั ษณะพืนผิวของเสียงทีประกอบด้วยแนวทาํ นองตังแต่ สองแนวทาํ นองขึนไป โดยแต่ละแนวมีความเด่นและเป็ นอิสระจากกนั ในขณะทีทุกแนวสามารถประสาน กลมกลืนไปดว้ ยกนั ลกั ษณะแนวเสียงประสานในรูปของ Polyphonic Texture มีวิวฒั นาการมาจากเพลงชานท์ (Chant) ซึงมีพืนผวิ เสียงในลกั ษณะของเพลงทาํ นองเดียว (Monophonic Texture) ภายหลงั ไดม้ ีการเพิมแนว ขบั ร้องเขา้ ไปอกี หนึงแนว แนวทีเพมิ เขา้ ไปใหม่นีจะใชร้ ะยะขนั คู่ 4 และคู่ 5 และดาํ เนินไปในทางเดียวกบั เพลง ชานท์เดิม การดาํ เนินทาํ นองในลกั ษณะนีเรียกว่า “ออร์กานุ่ม” (Orgonum) นับได้ว่าเป็ นยุคเริมตน้ ของ การประสานเสียงแบบ Polyphonic Texture หลงั จากคริสต์ศตวรรษที 14 เป็ นตน้ มา แนวทาํ นองประเภทนีไดม้ ี การพฒั นากา้ วหนา้ ไปมาก ซึงเป็นระยะเวลาทีการสอดทาํ นอง (Counterpoint) ไดเ้ ขา้ ไปมบี ทบาทเพิมมากขึนใน การตกแต่งพนื ผวิ ของแนวทาํ นองแบบ Polyphonic Texture
45 4.3 Homophonic Texture เป็นลกั ษณะพืนผวิ ของเสียง ทีประสานดว้ ยแนวทาํ นองแนวเดียว โดยมี กลมุ่ เสียง (Chords) ทาํ หนา้ ทีสนบั สนุนในคีตนิพนธป์ ระเภทนี แนวทาํ นองมกั จะเคลอื นทีในระดบั เสียงสูง ทีสุดในบรรดากลมุ่ เสียงดว้ ยกนั ในบางโอกาสแนวทาํ นองอาจจะเคลือนทีในระดบั เสียงตาํ ไดเ้ ช่นกนั ถึงแมว้ ่า คีตนิพนธป์ ระเภทนีจะมีแนวทาํ นองทีเด่นเพียงทาํ นองเดียวก็ตาม แต่กลุ่มเสียง (Chords) ทีทาํ หนา้ ทีสนับสนุน นนั มคี วามสาํ คญั ทีไมน่ อ้ ยไปกวา่ แนวทาํ นอง การเคลือนทีของแนวทาํ นองจะเคลือนไปในแนวนอน ในขณะที กลุ่มเสียงสนบั สนุนจะเคลอื นไปในแนวตงั 4.4 Heterophonic Texture เป็ นรูปแบบของแนวเสียงทีมีทาํ นองหลายทาํ นอง แต่ละแนว มคี วามสาํ คญั เท่ากนั ทุกแนว คาํ วา่ Heteros เป็นภาษากรีก หมายถึงแตกต่างหลากหลาย ลกั ษณะการผสมผสาน ของแนวทาํ นองในลกั ษณะนี เป็นรูปแบบการประสานเสียง 5. สีสันของเสียง (Tone Color) “สีสนั ของเสียง” หมายถงึ คุณลกั ษณะของเสียงทีกาํ เนิดจากแหล่งเสียงทีแตกต่างกนั แหล่งกาํ เนิดเสียง ดงั กล่าว เป็นไดท้ งั ทีเป็นเสียงร้องของมนุษยแ์ ละเครืองดนตรีชนิดต่างๆ ความแตกต่างของเสียงร้องมนุษย์ ไม่ว่า จะเป็ นระหว่างเพศชายกับเพศหญิง หรื อระหว่างเพศเดียวกนั ซึงลว้ นแลว้ แต่มีพืนฐานของการแตกต่าง ทางดา้ นสรีระ เช่น หลอดเสียงและกลอ่ งเสียง เป็นตน้ ในส่วนทีเกียวข้องกบั เครืองดนตรีนัน ความหลากหลายด้านสีสันของเสียง ประกอบดว้ ยปัจจัยที แตกต่างกนั หลายประการ เช่น วิธีการบรรเลง วสั ดุทีใชท้ าํ เครืองดนตรี รวมทงั รูปทรง และขนาด ปัจจยั เหล่านี ลว้ นส่งผลโดยตรงต่อสีสนั ของเสียงเครืองดนตรี ทาํ ใหเ้ กิดคุณลกั ษณะของเสียงทีแตกต่างกนั ออกไป 5.1 วธิ ีการบรรเลง โดยวิธีดีด สี ตี และเป่ า วิธีการผลิตเสียงดงั กล่าวลว้ นเป็ นปัจจยั ให้เครือง ดนตรีมคี ุณลกั ษณะของเสียงทีต่างกนั 5.2 วสั ดุทใี ช้ทําเครืองดนตรี วสั ดุทีใชท้ าํ เครืองดนตรีของแต่ละวฒั นธรรมจะใชว้ สั ดุทีแตกต่าง กนั ไปตามสภาพแวดลอ้ มของสงั คมและยคุ สมยั นบั เป็นปัจจยั ทีสาํ คญั ประการหนึง ทีส่งผลใหเ้ กิดความแตกต่าง ในดา้ นสีสนั ของเสียง 5.3 ขนาดและรูปทรง เครืองดนตรีทีมีรูปทรงและขนาดทีแตกต่างกนั จะเป็ นปัจจยั ทีส่งผลให้ เกิดความแตกต่างกนั ในดา้ นของเสียงในลกั ษณะทีมีความสมั พนั ธก์ นั 6. คตี ลกั ษณ์ (Forms) คีตลกั ษณ์หรือรูปแบบของเพลง เปรียบเสมอื นกรอบทีไดห้ ลอมรวมเอาจงั หวะ ทาํ นอง พนื ผวิ และสีสนั ของเสียงใหเ้ คลือนทีไปในทิศทางเดียวกนั เพลงทีมขี นาดสนั -ยาว วนกลบั ไปมา ลว้ นเป็นสาระสาํ คญั ของ คีตลกั ษณ์ทงั สิน ดนตรีมธี รรมชาติทีแตกต่างไปจากศลิ ปะแขนงอืน ๆ ซึงพอจะสรุปไดด้ งั นี 1. ดนตรีเป็นสือทางอารมณ์ทีสมั ผสั ไดด้ ว้ ยหู กล่าวคือ หูนบั เป็ นอวยั วะสาํ คญั ทีทาํ ใหค้ นเราสามารถ สมั ผสั กบั ดนตรีได้ ผทู้ ีหูหนวกยอ่ มไมส่ ามารถทราบไดว้ ่าเสียงดนตรีนนั เป็นอยา่ งไร
46 2. ดนตรีเป็ นส่วนหนึงของวฒั นธรรม กล่าวคือ กลุ่มชนต่าง ๆ จะมีวฒั นธรรมของตนเอง และ วฒั นธรรมนีเองทีทาํ ใหค้ นในกลมุ่ ชนนนั มีความพอใจและซาบซึงในดนตรีลกั ษณะหนึงซึงอาจแตกต่างไปจาก คนในอีกวฒั นธรรมหนึง ตวั อยา่ งเช่น คนไทยเราซึงเคยชินกบั ดนตรีพืนเมืองไทยและดนตรีสากล เมือไปฟัง ดนตรีพนื เมอื งของอินเดียก็อาจไมร่ ู้สึกซาบซึงแต่อยา่ งใด แมจ้ ะมีคนอนิ เดียคอยบอกเราว่าดนตรีของเขาไพเราะ เพราะพริงมากก็ตาม เป็นตน้ 3. ดนตรีเป็ นเรืองของสุนทรียศาสตร์ว่าดว้ ยความไพเราะ ความไพเราะของดนตรีเป็ นเรืองทีทุกคน สามารถซาบซึงไดแ้ ละเกิดขึนเมือใดก็ได้ กบั ทุกคน ทุกระดบั ทุกชนชนั ตามประสบการณ์ของแต่ละบุคคล 4. ดนตรีเป็ นเรืองของการแสดงออกทางอารมณ์ เสียงดนตรีจะออกมาอยา่ งไรนันขึนอยกู่ บั เจา้ ของ อารมณ์ทีจะช่วยถ่ายทอดออกมาเป็นเสียง ดงั นนั เสียงของดนตรีอาจกล่าวไดว้ ่าอย่ทู ีอารมณ์ของผปู้ ระพนั ธเ์ พลง ทีจะใส่อารมณ์ลงไปในเพลงตามทีตนต้องการ ผูบ้ รรเลงเพลงก็ถ่ายทอดอารมณ์จากบทประพนั ธ์ลงบน เครื องดนตรี ผลทีกระทบต่อผทู้ ีฟังก็คือ เสียงดนตรี ทีประกอบขึนด้วยอารมณ์ของผูป้ ระพนั ธ์ผสมกับ ความสามารถของนกั ดนตรีทีจะถ่ายทอดไดถ้ ึงอารมณ์หรือมคี วามไพเราะมากนอ้ ยเพยี งใด 5. ดนตรีเป็ นทังระบบวิชาความรู้และศิลปะในขณะเดียวกนั กล่าวคือ ความรู้เกียวกบั ดนตรีนัน เป็นเรืองเกียวกบั เสียงและการจดั ระบบเสียงใหเ้ ป็นท่วงทาํ นองและจงั หวะ ซึงคนเรายอ่ มจะศกึ ษาเรียนรู้ “ความรู้ ทีเกียวกบั ดนตรี” นีก็ได้ โดยการท่อง จาํ อา่ น ฟัง รวมทงั การลอกเลียนจากคนอืนหรือการคิดหาเหตุผลเอาเองได้ แต่ผทู้ ีไดเ้ รียนรู้จะมี “ความรู้เกียวกบั ดนตรี” กอ็ าจไม่สามารถเขา้ ถึงความไพเราะหรือซาบซึงในดนตรีไดเ้ สมอ ไป เพราะการเขา้ ถึงดนตรีเป็ นเรืองของศิลปะ เพียงแต่ผทู้ ีมีความรู้เกียวกบั ดนตรีนันจะสามารถเขา้ ถึงความ ไพเราะของดนตรีไดง้ ่ายขึน กจิ กรรม - ให้ผเู้ รียนรวมกลุ่มและจัดหาเพลงทีมีจงั หวะช้าและเร็วนาํ มาเปิ ดใหฟ้ ังในชันเรียน และบอกเล่า ความรู้สึกของตนในแต่ละเพลงใหท้ ุกคนฟัง - ใหผ้ เู้ รียนรวมกล่มุ หาเพลงบรรเลงสากลนาํ มาเปิ ดและแต่ละคนเขียนถงึ ความรู้สึกและจินตนาการจาก เพลงนนั
47 เรืองที ประวัติภูมปิ ัญญาทางดนตรีสากล ดนตรีสากลมีการพฒั นามายาวนาน และเกือบทงั หมดเป็นการพฒั นาจากฝังทวีปยโุ รป จะมีการพฒั นา ในยคุ หลงั ๆทีดนตรีสากลมกี ารพฒั นาสูงในฝังทวปี อเมริกาเหนือ สามารถแบ่งการพฒั นาออกเป็นช่วงยคุ ดงั นี 1. ดนตรีคลาสสิกยโุ รปยุคกลาง (Medieval European Music พ.ศ. - พ.ศ. ) ดนตรีคลาสสิก ยุโรปยคุ กลาง หรือ ดนตรียคุ กลาง เป็ นดนตรีทีถือว่าเป็ นจุดกาํ เนิดของดนตรีคลาสสิก เริมตน้ เมือประมาณปี พ.ศ. (ค.ศ. ) ซึงเป็ นปี ของการล่มสลายของจกั รวรรดิโรมนั ดนตรีในยคุ นีมีจุดประสงคเ์ พือประกอบ พิธีกรรมทีเกียวขอ้ งกบั ศาสนา โดยมตี น้ กาํ เนิดมาจากดนตรีของยคุ กรีกโบราณ ดนตรีคลาสสิกของยโุ รปยคุ กลาง 2. ดนตรียุคเรเนสซองส์ (Renaissance Music พ.ศ. - พ.ศ. ) เริมการนบั เมือประมาณปี พ.ศ. (ค.ศ. ) เมือเริมมีการเปลียนแปลงศิลปะ และฟื นฟศู ิลปะโบราณยุคโรมนั และกรีก แต่ดนตรียงั คง เนน้ หนกั ไปทางศาสนา เพยี งแต่เริมมีการใชเ้ ครืองดนตรีทีหลากหลายขึน ดนตรียคุ เรเนสซองส์
48 3. ดนตรียุคบาโรค (Baroque Music พ.ศ. - พ.ศ. ) ยคุ นีเริมขึนเมือมีการกาํ เนิดอุปรากร ในประเทศฝรังเศสเมอื ปี พ.ศ. (ค.ศ. ) และ สินสุดลงเมือ โยฮนั น์ เซบาสเทียน บาค เสียชีวิตลงในปี พ.ศ. (ค.ศ. ) แต่บางครังกน็ บั วา่ สินสุดลงในปี พ.ศ. (ค.ศ. )ในยคุ ทีเริมมีการเล่นดนตรีเพือ การฟังในหมู่ชนชนั สูงมากขึน เครืองดนตรีประเภทออร์แกนไดร้ ับความนิยมแต่เน้นหนักไปทางศาสนา นัก ดนตรีทีมชี ือเสียงในยคุ นี เช่น บาค ววิ ลั ดิ เป็นตน้ ดนตรียคุ บาโรค 4. ดนตรียุคคลาสสิค (Classical Period Music พ.ศ. - พ.ศ. ) เป็ นยุคทีมีการเปลียนแปลง กฏเกณฑ์ แบบแผน รูปแบบและหลกั ในการเล่นดนตรีอย่างชัดเจน ศูนยก์ ลางของดนตรี ยุคนีคือประเทศ ออสเตรีย ทีกรุงเวยี นนา และเมืองมานไฮม(์ Mannheim) นกั ดนตรีทีมชี ือเสียงในยคุ นี ไดแ้ ก่ โมซาร์ท เป็นตน้ ดนตรียคุ คลาสสิค
49 5. ดนตรียุคโรแมนตคิ (Romantic Music พ.ศ. - พ.ศ. ) เป็ นยุคทีเริมมีการแทรกของ อารมณ์เพลง ซึงต่างจากยคุ ก่อนๆซึงยงั ไมม่ ีการใส่อารมณ์ในทาํ นอง นกั ดนตรีทีมีชือเสียงในยคุ นี เช่น เบโธเฟน ชเู บิร์ต โชแปง ไชคอฟสกี เป็นตน้ ลดุ วกิ ฟาน เบโธเฟ่ น 6. ดนตรียุคศตวรรษที ( th Century Calssical Music พ.ศ. - พ.ศ. ) นกั ดนตรี เริมแสวงหาแนวดนตรี ทีไม่ขึนกบั แนวดนตรีในยุคก่อนๆ จงั หวะในแต่ละห้องเริมแปลกไปกว่าเดิม ไม่มีโน้ต สาํ คญั เกิดใหม่ ระยะห่างระหว่างเสียงกบั เสียงเริมลดน้อยลง ไร้ท่วงทาํ นองเพลง นักดนตรีบางกลุ่มหันไปยึด ดนตรีแนวเดิม ซึงเรียกวา่ แบบนีโอคลาสสิก (Neoclassic) นักดนตรีทีมีชือเสียงในยคุ นี เช่น อิกอร์ เฟโดโรวิช สตราวินสกี เป็นตน้ อิกอร์ เฟโดโรวิช สตราวนิ สกี
50 7. ดนตรียคุ ปัจจบุ ัน (ช่วงทศวรรษหลงั ของคริสต์ศตวรรษที - ปัจจุบนั ) ยุคของดนตรีป็ อป (pop music) - ยคุ เพลงร็อกแอนดโ์ รลลไ์ ดร้ ับความนิยม มศี ลิ ปิ นทีไดร้ ับความนิยมอยา่ งเอลวสิ เพรสลีย์ - ยุค เป็ นยคุ ของทีนไอดอลอย่าง วงเดอะบีทเทิลส์ เดอะบีชบอยส์ คลิฟ ริชาร์ด โรลลิง สโตน แซนดี ชอว์ เป็นตน้ - ยคุ เป็ นยุคของดนตรีดิสโก้ มีศิลปิ นอย่าง แอบบา้ บีจีส์ และยงั มีดนตรีประเภทคนั ทรีทีไดร้ ับ ความนิยมอยา่ ง เดอะ อีเกิลส์ หรือดนตรีป็ อปทีไดร้ ับอิทธิพลจากร็อกอย่าง เดอะ คาร์เพ็นเทอร์ส,ร็อด สจ๊วต, แครี ไซมอ่ น แฌร์ เป็นตน้ - ยคุ มีศิลปิ นป็ อปทีไดร้ ับความนิยมอย่าง ไมเคิล แจ็คสัน, มาดอนน่า, ทิฟฟานี, เจเน็ท แจ็คสัน, ฟิ ล คอลลนิ ส์ แวม ลกั ษณะดนตรีจะมีการใส่ดนตรีสังเคราะห์เขา้ ไป เพลงในยุคนีส่วนใหญ่จะเป็ นเพลงเตน้ รํา และยงั มอี ิทธิพลถึงทางดา้ นแฟชนั ดว้ ย - ยคุ เริมได้อิทธิพลจากเพลงแนวอาร์แอนด์บี เช่น มารายห์ แครี,เดสทินี ไชลด์,บอยซ์ ทู เม็น, เอ็น โวค, ทีแอลซี ในยุคนียงั มีวงบอยแบนด์ทีได้รับความนิยมอย่าง นิว คิดส์ ออน เดอะบลอ็ ก, เทค แดท, แบค็ สตรีท บอยส์ - ยุค มีศิลปิ นทีประสบความสําเร็ จอย่าง บริ ทย์นี สเปี ยร์, คริ สติน่า อากีเลร่ า, บียอนเซ่, แบลค็ อายด์ พีส, จสั ติน ทิมเบอร์เลค ส่วนเทรนดป์ ็อปอนื เช่นแนว ป็ อป-พงั ค์ อย่างวง ซิมเปิ ล แพลน เอฟริล ลาวีน รวมถึงการเกิดรายการสุดฮิต อเมริกนั ไอดอลทีสร้างศิลปิ นอยา่ ง เคลลี คลาร์กสัน และ เคลย์ ไอเคน แนวเพลงป็ อป และอาร์แอนดบ์ ีเริมรวมกนั มีลกั ษณะเพลงป็อปทีเพมิ ความเป็นอาร์แอนดบ์ ีมากขึนอยา่ ง เนลลี เฟอร์ตาโด ริฮานนา, จสั ติน ทิมเบอร์เลค เป็นตน้ กจิ กรรม ให้ผูเ้ รียนสืบคน้ ประวตั ินักดนตรี สากล ทังในประเทศไทย และสากล เขียนเป็ นรายงานไม่ตาํ กว่า หนา้ กระดาษ ขนาดA4 จากนนั ใหน้ าํ มารายงานหนา้ ชนั เรียน แลว้ นาํ เก็บรายงานนนั ในแฟ้ มสะสมงาน
51 บทที นาฏศิลป์ สาระสําคญั เข้าใจและเห็นคุณค่าทางนาฏศิลป์ สามารถวิเคราะห์ วิพากษ์วิจารณ์ ถ่ายทอดความรู้สึก ความคิด อยา่ งอสิ ระ ชืนชมและประยกุ ตใ์ ชใ้ นชีวติ ประจาํ วนั ผลการเรียนรู้ทีคาดหวงั อธิบายความหมาย ความสาํ คญั ความเป็นมาของนาฎยนิยาม สุนทรียะทางนาฎศิลป์ เขา้ ใจถึงประเภท ของนาฎศิลป์ แขนงต่าง ๆ ภมู ิปัญญา ขอบข่ายเนือหา เรืองที นาฏยนิยาม เรืองที สุนทรียะทางนาฏศิลป์ เรืองที นาฏศลิ ป์ สากลเพือนบา้ นของไทย เรืองที ละครทีไดร้ ับอทิ ธิพลของวฒั นธรรมตะวนั ตก เรืองที ประเภทของละคร เรืองที ละครกบั ภมู ปิ ัญญาสากล
52 เรืองที นาฏยนิยาม นาฏยนิยาม หมายถงึ คาํ อธิบาย คาํ จาํ กดั ความ ขอบเขต บทบาท และรูปลกั ษณ์ของนาฏศิลป์ ซึงลว้ น แสดงความหมายของนาฏยศิลป์ ทีหลากหลาย อนั เป็ นเครืองบ่งชีว่านาฏยศิลป์ มีความสาํ คญั เกียวขอ้ งกบั ชีวิต และสงั คมมาตงั แต่อดีตกาล นยิ าม ในส่วนนีเป็นการกลา่ วถงึ ความหมายของนาฏยศิลป์ หรือการฟ้ อนรําทีปราชญแ์ ละนกั วชิ าการสาํ คญั ได้ พยายามอธิบายคาํ ว่า นาฏยศิลป์ ไวใ้ นแง่มมุ ต่าง ๆ ดงั นี สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดํารงราชานุภาพ ทรงอธิบายถึงกาํ เนิดและวิวฒั นาการของ นาฏยศิลป์ ทีผกู พนั กบั มนุษย์ ดงั นี “การฟ้ อนรําเป็ นประเพณีของมนุษยท์ ุกชาติทุกภาษา ไม่เลือกว่าจะอยู่ ณ ประเทศถินสถานทีใด ในพิภพนี อยา่ ว่าแต่มนุษยเ์ ลย ถงึ แมส้ ตั วเ์ ดรัจฉานก็มีวิธีฟ้ อน เช่น สุนัข ไก่กา เวลาใดสบอารมณ์ มนั ก็จะเตน้ โลดกรีดกรายทาํ กิริยาท่าทางไดต้ ่าง ๆ ก็คือการฟ้ อนรําตามวิสัยสัตวน์ ันเอง ปราชญ์แห่งการฟ้ อนรําจึงเล็งเห็น การฟ้ อนรํานีมูลรากเกิดแต่วิสัยสัตวเ์ มือเวทนาเสวยอารมณ์ จะเป็ นสุขเวทนาก็ตามหรือทุกขเวทนาก็ตาม ถา้ เสวยอารมณ์แรงกลา้ ไม่กลนั ไวไ้ ด้ ก็แล่นออกมาเป็ นกิริยาให้เห็นปรากฏยกเป็ นนิทัศนอุทาหรณ์ดงั เช่น ธรรมดาทารก เวลาอารมณ์เสวยสุขเวทนาก็เตน้ แร้งเตน้ แฉ่งสนุกสนาน ถา้ อารมณ์เสวยทุกขเวทนาก็ดินโดยให้ แสดงกิริยาปรากฏออกใหร้ ู้ว่าอารมณ์เป็นอยา่ งไร ยงิ เติบโตรู้เดียงสาขึนเพียงไร กิริยาทีอารมณ์เล่นออกมาก็ยิง มากมายหลายอย่างออกไป จนถึงกิริยาทีแสดงความกาํ หนัดยนิ ดีในอารมณ์ และกิริยาซึงแสดงความอาฆาต โกรธแคน้ เป็นตน้ กิริยาอนั เกิดแต่เวทนาเสวยอารมณ์นีนบั เป็นขนั ตน้ ของการฟ้ อนรํา ต่อมาอีกขนั หนึงเกิดแต่คนทงั หลายรู้ความหมายของกิริยาต่าง ๆ เช่น กล่าวมาก็ใชก้ ิริยาเหล่านันเป็ น ภาษาอนั หนึง เมือประสงคจ์ ะแสดงใหป้ รากฏแก่ผอู้ นื โดยใจจริงกด็ ี หรือโดยมายาเช่นในเวลาเล่นหวั ก็ดี ว่าตนมี อารมณ์อยา่ งไร กแ็ สดงกิริยาอนั เป็นเครืองหมายอารมณ์อย่างนนั เป็ นตน้ ว่าถา้ แสดงความเสน่หา ก็ทาํ กิริยายมิ แยม้ กรีดกราย จะแสดงความรืนเริงบนั เทิงใจก็ขบั ร้องฟ้ อนรํา จาํ ข่ใู ห้ผอู้ ืนกลวั ก็ทาํ หน้าตาถมึงทึงแลโลดเตน้ คุกคาม จึงเกิดแบบแผนท่าทางทีแสดงอารมณ์ต่าง ๆ อนั เป็ นตน้ ของกระบวนฟ้ อนรําขึนดว้ ยประการนีนับเป็ น ขนั ทีสอง อนั ประเพณีการฟ้ อนรําจะเป็นสาํ หรับฝึกหัดพวกทีประกอบการหาเลียงชีพดว้ ยรําเตน้ เช่น โขนละคร เท่านันหามิได้ แต่เดิมมายอ่ มเป็ นประเพณีสาํ หรับบุคคลทุกชนั บรรดาศกั ดิและมีทีใชไ้ ปจนถึงการยทุ ธ์และ การพธิ ีต่าง ๆ หลายอยา่ ง จะยกตวั อยา่ งแต่ประเพณีการฟ้ อนรําทีมีมาในสยามประเทศของเรานี ดงั เช่นในตาํ รา คชศาสตร์ ซึงนับถือว่าเป็ นวิชาชันสูงสําหรับการรณรงค์สงครามแต่โบราณ ใครหดั ขีชา้ งชนก็ตอ้ งหดั ฟ้ อนรํา ให้เป็ นสง่าราศีดว้ ยแมพ้ ระเจ้าแผ่นดินก็ต้องฝึ กหัด มีตัวอย่างมาจนถึงรัชกาลที เมือพระบาทสมเด็จฯ พระจุลจอมเกลา้ เจ้าอย่หู ัว ทรงศึกษาวิชาคชศาสตร์ต่อสมเด็จพระเจา้ บรมวงศเ์ ธอ เจา้ ฟ้ ากรมพระยาบาํ ราบ ปรปักษ์ ก็ไดท้ รงหดั ฟ้ อนราํ ไดย้ นิ เคยทรงราํ พระแสงขอบนคอชา้ งพระทีนงั เป็นพทุ ธบูชาเมอื ครังเสดจ็ พระพทุ ธบาท
53 ตามโบราณราชประเพณี เมือปี วอก พ.ศ. การฟ้ อนรําในกระบวนยุทธอยา่ งอืน เช่น ตีกระบีกระบองก็เป็ น วิชาทีเจ้านายตอ้ งทรงฝึ กหัดมาแต่ก่อน ส่วนกระบวนฟ้ อนรําในการพิธี ยงั มีตัวอย่างทางหัวเมืองมณฑล ภาคพายพั ถา้ เวลามีงานบุญใหท้ านเป็นการใหญ่ก็เป็ นประเพณีทีเจา้ นายตงั แต่เจา้ ผคู้ รองนครลงมาทีจะฟ้ อนรํา เป็นการแสดงโสมนสั ศรัทธาในบุญทาน เจา้ นายฝ่ ายหญิงก็ยอ่ มหัดฟ้ อนรําและมีเวลาทีจะหัดฟ้ อนรําในการพิธี บางอยา่ งจนทุกวนั นี ประเพณีต่าง ๆ ดงั กลา่ วมา ส่อใหเ้ ห็นว่าแต่โบราณยอ่ มถือว่าการฟ้ อนรําเป็ นส่วนหนึงใน การศกึ ษา ซึงสมควรจะฝึกหดั เป็นสามญั ทวั มุกทุกชนั บรรดาศกั ดิสืบมา การทีฝึกหดั คนแต่บางจาํ พวกใหฟ้ ้ อนรํา ดงั เช่นระบาํ หรือละครนนั คงเกิดแต่ประสงคจ์ ะใคร่ดูกระบวน ฟ้ อนรํา ว่าจะงามไดถ้ งึ ทีสุดเพยี งไร จึงเลอื กสรรคนแต่บางเหลา่ ฝึกฝนใหช้ าํ นิชาํ นาญเฉพาะการฟ้ อนรํา สาํ หรับ แสดงแก่คนทงั หลายใหเ้ ห็นวา่ การฟ้ อนราํ อาจจะงามไดถ้ ึงเพียงนนั เมอื สามารถฝึกหดั ไดส้ มประสงคก์ ็เป็นทีตอ้ ง ตาติดใจคนทงั หลาย จึงเกิดมีนกั ราํ ขึนเป็นพวกทีหนึงต่างหาก แต่ทีจริงวิชาฟ้ อนราํ ก็มีแบบแผนอนั เดียวกบั ทีเป็น สามญั แก่คนทงั หลายทุกชนั บรรดาศกั ดินนั เอง” ราชบัณฑิตยสถาน ไดใ้ หค้ วามหมายของนาฏยศิลป์ ไวก้ วา้ ง ๆ ตลอดจนกาํ หนดการออกเสียงไวใ้ น พจนานุกรมฉบบั เฉลิมพระเกียรติ พ.ศ. ดงั นี “นาฏ, นาฏ – [นาด, นาตะ – นาดตะ-] น. นางละคร, นางฟ้ อนราํ , ไทยใชห้ มายถงึ หญิงสาวสวย เช่น นางนาฏ นุชนาฏ (ป.; ส.) นาฏกรรม [นาดตะกาํ ] น. การละคร, การฟ้ อนราํ . นาฏดนตรี [นาดตะดนตรี] น. ลิเก. นาฏศลิ ป์ [นาดตะสิน] น. ศิลปะแห่งการละครหรือการฟ้ อนรํา. นาฏก [นาตะกะ (หลกั ), นาดตะกะ (นิยม)] น. ผฟู้ ้ อนราํ . (ป.; ส.) นาฏย [นาดตะยะ-] ว. เกียวกบั การฟ้ อนราํ , เกียวกบั การแสดงละคร (ส.) นาฏยเวที น. พนื ทีแสดงละครล ฉาก. นาฏยศาลา น. หอ้ งฟ้ อนรํา, โรงละคร นาฏยศาสตร์ น. วิชาฟ้ อนรํา, วชิ าแสดงละคร” หมายเหตุ สมเดจ็ พระเจา้ บรมวงศเ์ ธอ กรมพระยาดาํ รงราชานภุ าพ, “ประวตั ิการฟ้ อนราํ .” ใน การละครไทย อา้ งถงึ ใน หนงั สืออ่านประกอบคาํ บรรยายวิชาพนื ฐานอารยธรรมไทยตอนดนตรีและนาฏศลิ ป์ ไทย.มหาวทิ ยาลยั ธรรมศาสตร์ (พระนคร : โรงพมิ พม์ หาวทิ ยาลยั ธรรมศาสตร์, ) , หนา้ - . พจนานุกรมฉบบั เฉลิมพระเกยี รติ พ.ศ. . พิมพค์ รังที (กรุงเทพฯ : ไทยวฒั นาพานิช, ), หนา้ .
54 ธนิต อย่โู พธิ ไดอ้ ธิบายความหมายของนาฏยศลิ ป์ ดงั ทีปรากฏในคมั ภีร์อินเดียไวด้ งั นี “คาํ ว่า “นาฏย” ตามคมั ภีร์อภิธานปั ปทีปิ กาและสูจิ ท่านใหว้ ิเคราะห์ศพั ท์ว่า “นฏสเสตนตินาฏย” ความ ว่า ศิลปะของผฟู้ ้ อนผรู้ าํ เรียกว่า นาฏย และให้อรรถาธิบายว่า “นจจ วาทิต คีต อิท ตุริยติก นาฏยนาเมนุจจเต” แปลวา่ การฟ้ อนราํ การบรรเลง (ดนตรี) การขบั ร้อง หมวด แห่งตุริยะนี ท่าน (รวม) เรียกโดยชือว่า นาฏย ซึง ตามนีท่านจะเห็นไดว้ ่า คาํ ว่า นาฏะ หรือนาฏยะ นัน การขบั ร้อง หรือพูดอยา่ งง่าย ๆ ก็ว่าคาํ “นาฏย” นันมี ความหมายรวมทงั ฟ้ อนรําขบั ร้องและประโคมดนตรีดว้ ย ไม่ใช่มีความหมายแต่เฉพาะศิลปฟ้ อนรําอย่างเดียว ดงั ทีบางท่านเขา้ ใจกนั แมจ้ ะใชค้ าํ ว่าหมวด แห่งตุริยะหรือตุริยะ อยา่ ง แสดงใหเ้ ห็นว่าใชค้ าํ “ตุริยะ” หมายถึง เครืองตีเครืองเป่ า แต่แปลงกนั ว่า “ดนตรี” กไ็ ด้ นีว่าตามรูปศพั ท์ แทท้ ีจริงแมใ้ นวิธีการปฏิบตั ิศิลปิ นจะรับระบาํ ราํ ฟ้ อนไปโดยไมม่ ีดนตรีและขบั ร้องประกอบเรืองและใหจ้ งั หวะไปดว้ ยนนั ยอ่ มเป็ นไปไม่ไดแ้ ละไม่เป็ นศิลปะ ทีสมบรู ณ์ ถา้ ขาดดนตรีและขบั ร้องเสียแลว้ แมใ้ นส่วนศิลปะของการฟ้ อนราํ เองก็ไม่สมบูรณ์ในตวั ของมนั พระ ภรตมนุ ี ซึงศิลปิ นทางโขนละครพากนั ทาํ ศรีษะของท่านกราบไหวบ้ ชู า เรียกกนั วา่ “ศรีษะฤๅษี” นัน มีตาํ นานว่า ท่านเป็นปรมาจารยแ์ ห่งศิลปะทางโขนละครฟ้ อนราํ มาแต่โบราณ เมือท่านไดแ้ ต่งคมั ภีร์นาฏยศาสตร์ขึนไว้ ก็มี อย่หู ลายบริเฉทหรือหลายบทในคมั ภีร์นาฏยศาสตร์นัน ทีท่านไดก้ ล่าวถึงและวางกฎเกณฑ์ในทางดนตรีและ ขบั ร้องไวด้ ว้ ย และท่านศารงคเทพผแู้ ต่งคมั ภีร์สังคีตรัตนากรอนั เป็ นคมั ภีร์ทีว่าดว้ ยการดนตรีอีกท่านหนึงเล่า กป็ รากฏว่าท่านไดว้ างหลกั เกณฑแ์ ละอธิบายศิลปะทางการละครฟ้ อนรําไวม้ ากมายในคมั ภีร์นนั เป็นอนั วา่ ศิลปะ ประการ คือฟ้ อนรํา ดนตรี ขบั ร้อง เหลา่ นีต่างตอ้ งประกอบอาศยั กนั คาํ วา่ นาฏยะ จึงมีความหมายรวมเอา ศลิ ปะ อยา่ งนนั ไวใ้ นศพั ทเ์ ดียวกนั ”
55 เรืองที สุนทรียะทางนาฏศิลป์ ความหมายสุนทรียะทางนาฏศิลป์ สุนทรียะ (Aesthetic) หมายถึง ความเกียวเนืองกบั สิงสวยงาม รูปลกั ษณะอนั ประกอบดว้ ยความสวยงาม (พจนานุกรมฉบบั เฉลมิ พระเกียรติ พ.ศ. : 541) นอกจากนียงั มผี ใู้ หค้ วามหมายของคาํ ว่า “สุนทรียะ” ไวต้ ่าง ๆ กนั ดงั นี *หลวงวิจิตรวาทการ ไดอ้ ธิบายความหมายไวว้ า่ ความรู้สึกธรรมดาของคนเรา ซึงรู้จกั คุณค่าของวตั ถุที งามความเป็นระเบียบเรียบร้อยของเสียงและถอ้ ยคาํ ไพเราะ ความรู้สึกความงามทีเป็ นสุนทรียภาพนีย่อมเป็ นไป ตามอุปนิสัยการอบรมและการศึกษาของบุคคล ซึงรวมเรียนว่า รส (Taste) ซึงความรู้สึกนีจะแตกต่างกนั ไป ขึนอยกู่ บั การฝึ กฝนปรนปรือในการอ่าน การฟัง และการพินิจดูสิงทีงดงามไม่ว่าจะเป็ นธรรมชาติหรือศิลปะ (หลวงวจิ ิตรวาทการ : – ) *อารี สุทธิพนั ธุ์ ไดใ้ หแ้ นวคิดเกียวกบั “สุนทรียศาสตร์” ไว้ ประการ ดงั นี . วิชาทีศกึ ษาเกียวกบั ความรู้สึกทีเกิดขึนจากการรับรู้ของมนุษย์ ซึงทาํ ใหม้ นุษยเ์ กิดความเบิกบานใจ อมิ เอมโดยไม่หวงั ผลตอบแทน . วิชาทีศกึ ษาเกียวกบั วิชาทีมนุษยส์ ร้างขึนทุกแขนง นาํ ขอ้ มูลมาจดั ลาํ ดบั เพือนเสนอแนะใหเ้ ห็นคุณค่า ซาบซึงในสิงทีแอบแฝงซ้อนเร้น เพือสร้างความนิยมชมชืนร่วมกัน ตามลกั ษณะรูปแบบของผลงานนัน ๆ (อารี สุทธิพนั ธุ,์ : 82) ความหมายของคาํ วา่ “สุนทรียะ” หมายถึง ความรู้สึกของบุคคลทีมีความซาบซึง และเห็นคุณค่าในสิง ดีงาม และไพเราะจากสิงทีเกิดขึนตามธรรมชาติ หรืออาจเป็นสิงทีมนุษยป์ ระดิษฐข์ ึนดว้ ยความประณีต ซึงมนุษย์ สมั ผสั และรับรู้ไดด้ ว้ ยวธิ ีการต่าง ๆ จนเกิดความพงึ พอใจ ความประทบั ใจและทาํ ใหเ้ กิดความสุขจากสิงทีตนได้ พบเห็นและสมั ผสั ความหมายของคาํ ว่า “นาฏศิลป์ ” หมายถงึ ศลิ ปะแห่งการละครหรือการฟ้ อนรํา (พจนานุกรมฉบบั เฉลิม พระเกียรติ พ.ศ. : ) นอกจากนียงั มีผใู้ หค้ วามหมายของคาํ ว่า “นาฏศิลป์ ” ไวต้ ่าง ๆ กนั ดงั นี *ธนิต อยโู่ พธิ ไดแ้ ปลคาํ ว่า “นาฏศลิ ป์ ” ไวว้ ่า คือความชาํ ชองในการละครฟ้ อนราํ ดว้ ยมีความเห็นว่าผทู้ ี มศี ิลปะทีเรียกวา่ ศิลปิ นจะตอ้ งเป็นผมู้ ฝี ีมอื มคี วามชาํ ชองชาํ นาญในภาคปฏบิ ตั ิใหด้ ีจริง ๆ (ธนิต อยโู่ พธิ : ) ความหมายของคาํ ว่า “นาฏศิลป์ ” ทีได้กล่าวมานัน สรุปไดว้ ่า หมายถึงศิลปะในการฟ้ อนรําทีมนุษย์ ประดิษฐข์ ึนจากธรรมชาติและจากความคาํ นึงดว้ ยความประณีตงดงาม มีความวิจิตรบรรจง นาฏศิลป์ นอกจาก จะหมายถงึ ท่าทางแสดงการฟ้ อนราํ แลว้ ยงั ประกอบดว้ ยการขบั ร้องทีเรียกว่า คีตศิลป์ และการบรรเลงดนตรีคือ “ดุริยางคศิลป์ ” เพือใหศ้ ิลปะการฟ้ อนราํ นนั งดงามประทบั ใจ “สุนทรียะทางนาฏศลิ ป์ สากล” จึงหมายถงึ ความวจิ ิตรงดงามของการแสดงนาฏศิลป์ สากล ซึงประกอบ ไปด้วย ระบาํ รํา ฟ้ อน ละคร อนั มีลีลาท่ารําและการเคลือนไหวทีประกอบดนตรี บทร้องตามลกั ษณะและ ชนิดของการแสดงแต่ละประเภท
56 พนื ฐานความเป็ นมาของนาฏศิลป์ ไทย นาฏศิลป์ มรี ูปแบบการแสดงทีแตกต่างกนั ทงั ทีเป็นการแสดงในรูปแบบของการฟ้ อนรําและการแสดง ในรูปแบบของละคร แต่ละประเภทจึงแตกต่างกนั ดงั นี . นาฏศิลป์ ทีแสดงในรูปแบบของการฟ้ อนรํา เกิดจากสญั ชาตญาณดงั เดิมของมนุษยห์ รือสตั วท์ งั หลาย ในโลก เมือมีความสุขหรือความทุกขก์ ็แสดงกิริยาอาการออกมาตามอารมณ์และความรู้สึกนนั ๆ โดยแสดงออก ดว้ ยกิริยาท่าทางเคลือนไหว มือ เทา้ สีหน้า และดวงตาทีเป็ นไปตามธรรมชาติ รากฐานการเกิดนาฏศิลป์ ใน รูปแบบของการฟ้ อนรําพฒั นาขึนมาเป็นลาํ ดบั ดงั นี . เพือใชเ้ ป็นพิธีกรรมทางศาสนา มนุษยเ์ ชือวา่ มีผดู้ ลบนั ดาลใหเ้ กิดความวิบตั ิต่าง ๆ หรือเชือว่ามี ผทู้ ีสามารถบนั ดาลความสาํ เร็จ ความเจริญรุ่งเรืองใหก้ บั ชีวิตของตน ซึงอาจเป็ นเทพเจา้ หรือปิ ศาจตามความเชือ ของแต่ละคนจึงมกี ารเตน้ รําหรือฟ้ อนราํ เพือเป็นการออ้ นวอนหรือบูชาต่อผทู้ ีตนเชือวา่ มอี าํ นาจดงั กล่าว สมเด็จกรมพระยาดาํ รงราชานุภาพฯ ไดอ้ ธิบายในหนงั สือตาํ ราฟ้ อนรําว่า ชาติโบราณทุกชนิด ถือการเต้นรําหรือฟ้ อนรําเป็ นประจาํ ชีวิตของทุกคน และยงั ถือว่าการฟ้ อนรําเป็ นพิธีกรรมทางศาสนาดว้ ย สาํ หรับประเทศอนิ เดียนนั มีตาํ ราฟ้ อนรําฝึกสอนมาแต่โบราณกาล เรียกว่า “คมั ภีร์นาฏศลิ ป์ ศาสตร์” . เพือใชใ้ นการต่อสู้และการทาํ สงคราม เช่น ตาํ ราคชศาสตร์ เป็ นวิชาชนั สูง สาํ หรับการทาํ สงครามในสมยั โบราณ ผูท้ ีจะทาํ สงครามบนหลงั ช้างจาํ เป็ นต้องฝึ กหัดฟ้ อนรําให้เป็ นทีสง่างามดว้ ย แมแ้ ต่ พระเจา้ แผน่ ดินก็ตอ้ งทรงฝึกหดั การฟ้ อนรําบนหลงั ชา้ งในการทาํ สงครามเช่นกนั . เพือความสนุกสนานรืนเริง การพกั ผอ่ นหยอ่ นใจเป็นความตอ้ งการของมนุษย์ ในเวลาว่างจาก การทาํ งานก็จะหาสิงทีจะทาํ ใหต้ นและพรรคพวกไดร้ ับความสนุกสนานเพลิดเพลินคลายความเหน็ดเหนือย เนืองจากการร้องราํ ทาํ เพลงเป็นธรรมชาติทีมีอยใู่ นตวั ของมนุษยท์ ุกคน ดงั นนั จึงมกี ารรวมกลมุ่ กนั ร้องเพลงและ ร่ายราํ ไปตามความพอใจของพวกตน ซึงอาจมเี นือร้องทีมีสาํ เนียงภาษาของแต่ละทอ้ งถิน และท่วงทาํ นองเพลง ทีเป็นไปตามจงั หวะประกอบท่าร่ายรําแบบง่าย ๆ ซึงไดพ้ ฒั นาต่อมาจนเกิดเป็ นการแสดงนาฏศิลป์ รูปแบบของ การฟ้ อนรําของแต่ละทอ้ งถนิ เรียกว่า “รําพืนเมือง” . นาฏศิลป์ ทีแสดงในรูปแบบของละคร มีรากฐานมาจากความต้องการของมนุษยท์ ีจะถ่ายทอด ประสบการณ์หรือเหตุการณ์ทีเกิดขึนเกียวกบั มนุษยท์ ีเป็ นความประทบั ใจ ซึงสมควรแก่การจดจาํ หรืออาจมี วตั ถุประสงค์เพือประโยชน์ในการเผยแพร่ศาสนาและสอนศีลธรรม เพราะการสร้างในรูปแบบของละคร เป็นวธิ ีการทีง่ายต่อความเขา้ ใจแต่ยากทีจะใชก้ ารเผยแพร่และอบรมสงั สอนดว้ ยวิธีการอนื จึงมีการสร้างเรืองราว หรือบนั ทึกเหตุการณ์อนั น่าประทบั ใจและมีคุณค่านันไวเ้ ป็ นประวตั ิศาสตร์ในรูปแบบของการแสดงละคร เพราะเชือวา่ การแสดงละครเป็นวิธีหนึงของการสอนคติธรรม โดยบุคลาธิษฐานในเชิงอุปมาอุปมยั อาจกล่าวไดว้ ่ารากฐานการเกิดของนาฏศิลป์ ไทยตามขอ้ สันนิษฐานทีไดก้ ล่าวมานันทงั การแสดงใน รูปแบบของการฟ้ อนรํา และการแสดงในรูปแบบของการละครไดพ้ ฒั นาขึนตามลาํ ดบั จนกลายเป็ นแบบแผน ของการแสดงนาฏศิลป์ ไทยทีมคี วามเป็นเอกลกั ษณ์เด่นชดั
57 คาํ ถามตรวจสอบความเข้าใจ 1. หลวงวจิ ิตรวาทการ ใหค้ วามม่งุ หมายของสุนทรียะว่าอยา่ งไร 2. อารี สุทธิพนั ธุ์ ใหแ้ นวคิดเกียวกบั ความหมาย ของคาํ ว่า “สุนทรียศาสตร์” ไวก้ ีประเภท อะไรบา้ ง 3. “ส่วนสาํ คญั ส่วนใหญ่ของนาฏศลิ ป์ อยทู่ ีการละครเป็นสาํ คญั ” เป็นคาํ อธิบายของใคร 4. “สุนทรียะทางนาฏศลิ ป์ สากล” หมายถงึ อะไรในทศั นะคติของนกั เรียน 5. ผชู้ มนาฏศลิ ป์ สากลจะตอ้ งมีความรู้ความเขา้ ใจเรืองอะไรบา้ ง 6. นาฏศลิ ป์ ทีแสดงในรูปแบบของการฟ้ อนราํ มขี อ้ สนั นิษฐานว่าเกิดมาจากอะไร
58 เรืองที นาฏศิลป์ สากลเพอื นบ้านของไทย ประเทศในกลุ่มทวีปเอเชีย ซึงมีวฒั นธรรมประจาํ ชาติ ทีแสดงความเป็ นเอกลกั ษณ์ ตลอดทังเป็ น สือสมั พนั ธอ์ นั ดีกบั ชาติต่าง ๆ ลกั ษณะของนาฏศิลป์ ของชาติเพือนบา้ นไม่ว่าจะเป็ นประเทศพม่า ลาว กมั พชู า มาเลเชีย จีน ธิเบต เกาหลี และญีป่ ุน มกั จะเนน้ ในเรืองลีลาความสวยงามเกือบทุกเรือง ไม่เนน้ จงั หวะการใชเ้ ทา้ มากนกั ซึงแตกต่างจากนาฏศิลป์ ของตะวนั ตกทีมกั จะเนน้ หนกั ในลีลาจงั หวะทีรุกเร้า ประกอบการเตน้ ทีรวดเร็ว และคลอ่ งแคลว่ นาฏศิลป์ ของชาติเพอื นบา้ นทีควรเรียนรู้ไดแ้ ก่ ประเทศดงั ต่อไปนี 1. นาฏศลิ ป์ ประเทศพม่า 2. นาฏศลิ ป์ ประเทศลาว 3. นาฏศิลป์ ประเทศกมั พชู า (เขมร) 4. นาฏศลิ ป์ ประเทศมาเลเชีย 5. นาฏศิลป์ ประเทศอินโดนีเซีย 6. นาฏศลิ ป์ ประเทศอินเดีย 7. นาฏศลิ ป์ ประเทศจีน 8. นาฏศิลป์ ประเทศทิเบต 9. นาฏศิลป์ ประเทศเกาหลี 10. นาฏศลิ ป์ ประเทศญีป่ ุน นาฏศิลป์ ประเทศพม่า หลงั จากกรุงศรีอยธุ ยาแตกครังที พมา่ ไดร้ ับอทิ ธิพลนาฏศลิ ป์ ไปจากไทย ก่อนหนา้ นีนาฏศิลป์ ของพมา่ เป็นแบบพนื เมอื งมากกว่าทีจะไดร้ ับอิทธิพลมาจากภายนอกประเทศเหมือนประเทศอืนๆ นาฏศิลป์ พม่าเริมตน้ จากพธิ ีการทางศาสนา ต่อมาเมอื พม่าติดต่อกบั อินเดียและจีน ท่าร่ายรําของสองชาติดงั กล่าวก็มีอิทธิพลแทรกซึม ในนาฏศิลป์ พนื เมืองของพม่า แต่ท่าร่ายรําเดิมของพม่านนั มคี วามเป็ นเอกลกั ษณ์ของตวั เอง ไม่มีความเกียวขอ้ ง กบั เรืองรามายณะหรือมหาภารตะเหมอื นประเทศเอเชียอืนๆ นาฏศลิ ป์ และการละครในพมา่ นนั แบ่งไดเ้ ป็น ยคุ คือ . ยุคก่อนนับถอื พระพทุ ธศาสนา เป็นยคุ ของการนบั ถือผี การฟ้ อนรําเป็ นไปในการทรงเจา้ เขา้ ผี บูชาผี และบรรพบุรุษทีลว่ งลบั ต่อมาก็มกี ารฟ้ อนรําในงานพธิ ีต่างๆเช่น โกนจุก เป็นตน้ 2. ยุคนบั ถอื พระพทุ ธศาสนา พมา่ นบั ถือพระพุทธศาสนาหลงั ปี พ.ศ. ในสมยั นีการฟ้ อนรําเพือบูชา ผกี ็ยงั มีอยู่ และการฟ้ อนรํากลายเป็นส่วนหนึงของการบูชาในพระพุทธศาสนาดว้ ย หลงั ปี พ.ศ. เกิดมีการละครแบบหนึง เรียกวา่ “นิพทั ขิน” เป็ นละครเร่ แสดงเรืองพุทธประวตั ิเพือ เผยแพร่ความรู้ในพระพทุ ธศาสนา เพอื ใหช้ าวบา้ นเขา้ ใจไดง้ ่าย
59 . ยุคอทิ ธิพลละครไทย หลงั เสียกรุงศรีอยุธยาแก่พม่า ในปี พ.ศ. ชาวไทยถูกกวาดตอ้ นไปเป็ น เชลยจาํ นวนมาก พวกละครและดนตรีถกู นาํ เขา้ ไปไวใ้ นพระราชสาํ นกั จึงเกิดความนิยมละครแบบไทยขึน ละคร แบบพมา่ ยคุ นีเรียกวา่ “โยธยาสตั คย”ี หรือละครแบบโยธยา ท่ารํา ดนตรี และเรืองทีแสดงรวมทงั ภาษาทีใชก้ ็เป็ น ของไทย มกี ารแสดงอยู่ เรือง คือ รามเกียรติ เล่นแบบโขน และอเิ หนา เลน่ แบบละครใน ในปี พ.ศ. เมียวดี ขา้ ราชการสาํ นักพม่าไดค้ ิดละครแบบใหม่ขึนชือเรือง “อีนอง” ซึงมีลกั ษณะ ใกลเ้ คียง กับอิเหนามาก ทีแปลกออกไปคือ ตวั ละครของเรืองมีลกั ษณะเป็ นมนุษยธ์ รรมดาสามญั ทีมีกิเลส มีความดีความชวั ละครเรืองนีเป็นแรงบนั ดาลใจใหเ้ กิดละครในแนวนีขึนอกี หลายเรือง ต่อมาละครในพระราชสาํ นกั เสือมความนิยมลง เมอื กลายเป็นของชาวบา้ นกค็ ่อยๆ เสือมลงจนกลายเป็ น ของน่ารังเกียจเหยยี ดหยาม แต่ละครแบบนิพทั ขินกลบั เฟื องฟขู ึน แต่มกี ารลดมาตรฐานลงจนกลายเป็นจาํ อวด เมอื ประเทศพมา่ ตกเป็นเมอื งขึนขององั กฤษแลว้ ในปี พ.ศ. ละครหลวงและละครพืนเมืองซบเซา ต่อมามกี ารนาํ ละครทีนาํ แบบอยา่ งมาจากองั กฤษเขา้ แทนที ถงึ สมยั ปัจจุบนั ละครคู่บา้ นคู่เมืองของพม่าหาชมได้ ยากและรักษาของเดิมไวไ้ มค่ ่อยจะได้ ไมม่ ีการฟื นฟกู นั เนืองจากบา้ นเมืองไม่อยใู่ นสภาพสงบสุข นาฏศิลป์ ประเทศลาว ลาวเป็นประเทศหนึงทีมโี รงเรียนศลิ ปะดนตรีแห่งชาติ ก่อกาํ เนิดมาตงั แต่ปี พ.ศ. โดย Blanchat de la Broche และเจา้ เสถียนนะ จาํ ปาสัก ขึนกบั กระทรวงศึกษาธิการ การสอนหนักไปแนวทางพืนบา้ น (ศิลปะ ประจาํ ชาติ) ภายหลงั การปฏิวตั ิ พ.ศ. ไดเ้ ขา้ ร่วมกบั โรงเรียนศิลปะดนตรีของเทา้ ประเสิด สีสาน มีชือใหม่ ว่า “โรงเรียนศิลปะดนตรีแห่งชาติ” ขึนอยกู่ บั กระทรวงแถลงข่าวและวฒั นธรรม มีครู คน นักเรียน คน เรียนจบไดป้ ระกาศนียบัตรชนั กลาง ผูม้ ีความสามารถดา้ นใดเป็ นพิเศษจะได้รับการส่งเสริมให้เรียนต่อใน ต่างประเทศ หรือทาํ หนา้ ทีเป็นครูหรือนกั แสดงต่อไป วิชาทีเปิ ดสอนมนี าฏศลิ ป์ ดนตรี ขบั ร้อง นาฏศิลป์ จะสอน ทงั ทีเป็ นพืนบา้ น ระบาํ ชนเผ่า และนาฏศิลป์ สากล ดนตรี การขบั ร้องก็เช่นกนั สอนทังในแนวพืนฐานและ แนวสากล นาฏศิลป์ ประเทศกมั พูชา (เขมร) นาฏศิลป์ เขมรนบั ไดว้ ่าเป็ นนาฏศิลป์ ชนั สูง (Classical Dance) มีตน้ กาํ เนิดมาจากทีใดยงั ไม่มีขอ้ สรุป ผเู้ ชียวชาญบางกล่าวว่ามาจากอินเดียเมือต้นคริสต์ศตวรรษ แต่บางท่านกล่าวว่ามีขึนในดินแดนเขมร-มอญ สมยั ดึกดาํ บรรพ์ หากจะศกึ ษาขอ้ ความจากศิลาจารึกก็จะเห็นไดว้ ่า นาฏศิลป์ ชนั สูงนีมีขึนมาประมาณ , ปี แลว้ คือ เมือศตวรรษที จากศลิ าจารึกในพระตะบอง เมอื ศตวรรษที จากศลิ าจารึกในลพบุรี เมอื ศตวรรษที จากศลิ าจารึกในสะด๊อกกอ๊ กธม เมือศตวรรษที จากศิลาจารึกในปราสาทตาพรหม ตามความเชือของศาสนาพราหม์ นาฏศลิ ป์ ชนั สูงตอ้ งไดม้ าจากการร่ายราํ ของเทพธิดาไพร่ฟ้ าทงั หลายที รําร่ายถวายเทพเจา้ เมืองแมน
60 แต่สําหรับกรมศิลปากรเขมร สมยั ก่อนนันเคยเป็ นกรมละครประจาํ สาํ นักหรือเรียกว่า “ละครใน” พระบรมราชวงั ซึงเป็นพระราชทรัพยส์ ่วนพระองคข์ องพระเจา้ แผน่ ดินทุกพระองค์ ต่อมา “ละครใน” พระบรมมหาราชวงั ของเขมร ไดถ้ ูกเปลียนชือมาเป็ นกรมศิลปากร และในโอกาส เดียวกนั ก็เป็นทรัพยส์ ินของชาติทีมีบทบาทสาํ คญั ทางดา้ นวฒั นธรรม ทาํ หนา้ ทีแสดงทวั ๆ ไปในต่างประเทศ ในปัจจุบนั กรมศิลปากรและนาฏศลิ ป์ ชนั สูง ไดร้ ับความนิยมยกยอ่ งขึนมาก ซึงนบั ไดว้ ่าเป็นสมบตั ิลาํ ค่า ของชาติ นาฏศิลป์ เขมรทีควรรู้จกั . ประเภทของละครเขมร แบ่งออกไดด้ งั นี . ละครเขมรโบราณ เป็ นละครดังเดิม ผแู้ สดงเป็ นหญิงลว้ น ต่อมาผแู้ สดงหญิงไดร้ ับคัดเลือกโดย พระเจา้ แผน่ ดินใหเ้ ป็นนางสนม ครูสอนจึงหนีออกจากเมอื งไปอยตู่ ามชนบท ต่อมาพระเจา้ แผน่ ดินจึงดูแลเรือง การละครและไดโ้ อนเขา้ มาเป็นของหลวง จึงเปลียนชือว่า “ละครหลวง” (Lakhaon Luong) . ละครทีเรียกว่า Lakhaon Khaol เป็ นละครซึงเกิดจากการสร้างสรรค์งานละครขึนใหม่ของบรรดา ครูผสู้ อนระดบั อาวโุ สทีหนีไปอยใู่ นชนบท การแสดงจะใชผ้ ชู้ ายแสดงลว้ น . Sbek Thom แปลวา่ หนงั ใหญ่ เป็นการแสดงทีใชเ้ งาของตวั หุ่นซึงแกะสลกั บนหนงั . ประเภทของการร่ายรํา แยกออกเป็น ประเภท ดงั นี . นาฏศิลป์ ราชสาํ นกั เช่น ) ราํ ศริ ิพรชยั เป็นการร่ายราํ เพอื ประสิทธิพรชยั ) ระบาํ เทพบนั เทิง เป็นระบาํ ของบรรดาเทพธิดาทงั หลาย ) ระบาํ รามสูรกบั เมขลา เป็นระบาํ เกียวกบั ตาํ นานของเมขลากบั รามสูร ) ระบาํ อรชุนมงั กร พระอรชุนนาํ บริวารเหาะเทียวชมตามหาดทรายไดพ้ บมณีเมขลาทีกาํ ลงั เลน่ นาํ อยกู่ ็ร่วมมือกนั ราํ ระบาํ มงั กร ) ระบาํ ยเี ก แพร่หลายมากในเขมร เพลงและการร่ายราํ เป็นส่วนประกอบสาํ คญั ของการแสดง ก่อนการแสดงมกั มีการขบั ร้องระลึกถึง “เจนิ” ) ระบาํ มติ รภาพ เป็นระบาํ แสดงไมตรีจิตอนั บริสุทธิต่อประชาชาติไทย . นาฏศลิ ป์ พนื เมอื ง เช่น ) ระบาํ สากบนั เทิง จะแสดงหลงั จากการเกบ็ เกียวเสร็จเรียบร้อย ) ระบาํ กรับบนั เทิง ระบาํ ชุดนีแสดงถึงความสนิทสนมในจิตใจอนั บริสุทธิของหนุ่มสาวลกู ทุ่ง ) ระบาํ กะลาบนั เทิง ตามริมนาํ โขงในประเทศกมั พชู าชาวบา้ นนิยมระบาํ กะลามากในพธิ ีมงคล สมรส ) ระบาํ จบั ปลา เป็ นระบาํ ทีประดิษฐ์ขึนมาใหม่โดยนักศึกษากรมศิลปากร หลงั จากทีไดด้ ู ชาวบา้ นจบั ปลาตามทอ้ งนา (ทีมา : สุมติ ร เทพวงษ,์ : - )
61 นาฏศิลป์ มาเลเชีย เป็ นนาฏศิลป์ ทีมีลกั ษณะคลา้ ยกบั นาฏศิลป์ ชวา ซันตน และบาหลีมาก นาฏศิลป์ ซนั ตนและบาหลี ก็ไดร้ ับอทิ ธิพลมาจากมาเลเชีย ซึงไดร้ ับอทิ ธิพลตกทอดมาจากพวกพราหมณ์ของอนิ เดียอกี ทีหนึง ต่อมาภายหลงั นาฏศิลป์ บาหลี จะเป็นระบบอิสลามมากกวา่ อนิ เดีย เดิมมาเลเซียไดร้ ับหนังตะลุงมาจากชวา และไดร้ ับอิทธิพล บางส่วนมาจากอปุ รากรจีน มลี ะครบงั สวนั เท่านนั ทีเป็นของมาเลเซียเอง ในราวพุทธศตวรรษที ถึง ชวามีอิทธิพลและครอบครองมาเลเซียตอนใตท้ ีเป็ นเมืองขึนของ สุลต่านมายาปาหิตแห่งชวา ทีมะละกานนั เป็นตลาดขายเครืองเทศทีใหญ่ทีสุดของชวา ชาวมาเลเซียใชภ้ าษาพดู ถึง ภาษา คือมลายู ชวา และภาษาจีน ซึงมที งั แตจ้ ิว ฮกเกียน และกวางตุง้ ชาวมาเลเซียรับหนงั ตะลุงจากชวา แต่ก็ไดด้ ดั แปลงจนเป็ นของมาเลเซียไป รวมทงั ภาษาพูดมาเลเซีย อีกดว้ ย นาฏศิลป์ มาเลเชียทคี วรรู้จกั . ละครบงั สวนั ของมาเลเซีย เป็นละครทีสนั นิษฐานไดว้ ่าจะเกิดขึนในศตวรรษปัจจุบนั นี เรืองทีแสดง มกั นิยมนาํ มาจากประวตั ิศาสตร์มาเลเซีย ละครบงั สวนั ยงั มีหลายคณะ ปัจจุบนั นีเหลืออยู่ คณะ ละครบงั สวนั เป็นละครพดู ทีมกี ารร้องเพลงร่ายราํ สลบั กนั ไป ผแู้ สดงมที งั ชายและหญิง เนือเรืองตดั ตอน มาจากประวตั ิศาสตร์ของอาหรับและมาเลเซีย ปัจจุบนั มกั ใชเ้ รืองในชีวติ ประจาํ วนั ของสงั คมแสดง เวลาตวั ละคร ร้องเพลงมีดนตรีคลอ สมยั ก่อนใชเ้ ครืองดนตรีพืนเมือง สมยั นีใชเ้ ปี ยโน กลอง กีตาร์ ไวโอลิน แซกโซโฟน เป็นตน้ ไม่มีลกู คู่ออกมาร้องเพลง การร่ายรํามมี าผสมบา้ ง แต่ไม่มีความสาํ คญั มากนัก ตวั ละครแต่งตวั ตามสมยั และฐานะของตวั ละครในเรืองนนั ๆ ถา้ เป็นประวตั ิศาสตร์ก็จะแต่งตวั มากแบบพระมหากษตั ริย์ และจะแต่งหน้า แต่พองามจากธรรมชาติ แสดงบนเวที เวทีทาํ เป็ นยกพืน ซึงสร้างชวั คราว มีการชกั ฉากและมีหลืบ แสดงเวลา กลางคืนและใชเ้ วลาแสดงเรืองละ - ชวั โมง . เมโนราทหรือมโนห์รา คือ นาฏศิลป์ ทีจดั ว่าเป็ นละครรํา ผแู้ สดงจะตอ้ งร่ายรําออกท่าทางตรงตาม บทบาท ลีลาการรําอ่อนชอ้ ยสวยงาม ละครรําแบบนีจะพบทีรัฐกลนั ตนั โดยเฉพาะเท่านันทีอืนหาดูไดย้ าก ตามประวตั ิศาสตร์กลา่ วกนั ว่า ละครรําแบบนีมีมาตงั แต่สมยั อาณาจกั รลิกอร์ (Ligor) ประมาณ , ปี มาแลว้ การเจรจา การร้องบทในเวลาแสดงใชภ้ าษามาเล ตวั ละครเมโนราทใชผ้ ชู้ ายแสดงทงั หมด การแต่งกายของตวั ละครจะมีลกั ษณะแปลก คือมีการใส่หนา้ กากรูปทรงแปลก ๆ หนา้ กากนนั ทาสีสนั ฉูดฉาดบาดตาเป็นรูปหนา้ คน หนา้ ยกั ษ์ หนา้ ปี ศาจ หนา้ มนุษยน์ นั มีสีซีดๆ แลดนู ่ากลวั เวลาแสดงสวมหนา้ กากเตน้ เขา้ จงั หวะดนตรี ตวั ละคร คลา้ ยโขน นิยมแสดงเรืองจกั รๆวงศๆ์ ส่วนละครพืนบา้ น เครืองดนตรีทีบรรเลงในระหว่างการแสดงคือ กลอง หนา้ และกลองหนา้ เดียว นอกจานนั มีฆอ้ งราว ฆอ้ งวง ขลยุ่ ปี . แมกยอง (Magyong) มีลกั ษณะการแสดงเป็ นเรืองราวแบบละคร คลา้ ยโนราห์ และหนังตะลุง ของไทย แมกยองเป็ นศิลปะพืนเมืองทีมีชือในหมู่ชาวกลันตัน ตรังกานู การแสดง จะมีผูห้ ญิงกลุ่มหนึง เรียกว่า Jong Dondang จะออกมาเตน้ รําเบิกโรง หลงั จากนนั ก็เริมซึงเรืองทีจะแสดงจะเกียวกบั วรรณคดี
62 . การแสดงประเภทการร่ายรํา . ระบาํ ซาปิ น เป็นการแสดงฟ้ อนรําหมู่ ซึงเป็นศิลปะพนื เมอื งของมาเลเซียโบราณ 4.2 ระบาํ ดรดตั เป็นการเตน้ รําพืนเมือง ชุดนีเป็นการเตน้ ในเทศกาลประเพณีทางศาสนา . ระบาํ อาชคั เป็นการรําอวยพรทีเก่าแก่ในราชสาํ นกั ของมาเลเซียในโอกาสทีตอ้ นรับราชอนั ตุกะ . ระบําอัสรี เป็ นนาฏศิลป์ ชันสูงในราชสํานักมาเลเซีย ซึงแสดงออกถึงการเกียวพาราสี อยา่ งสนุกสนานของหนุ่มสาวมาเลเซีย . ระบาํ สุมาชาว เป็นนาฏศิลป์ พนื เมืองของชาวมาเลเซียตะวนั ออก ไดแ้ ก่ แถบซาบาร์ การแสดงชุดนี ชาวพนื เมืองกาํ ลงั รืนเริงกนั ในฤดูกาลเกบ็ เกียวขา้ ว . ว่าวบุหลนั (ระบาํ ว่าวรูปพระจนั ทร์) สาํ หรับการแสดงชุดนีเป็ นการประดิษฐท์ ่าทาง และลีลาใหด้ ู คลา้ ยกบั ว่าว . จงอหี นาย เป็นการรืนเริงของชาวมาเลเซียหลงั จากเก็บเกียวจะช่วยกนั สีขา้ วและฝัดขา้ วซึงจะเรียก ระบาํ นีว่าระบาํ ฝัดขา้ ว 4.8 เคนยาลงั เป็ นนาฏศิลป์ พืนเมืองของชาวซาบาร์ในมาเลเชียตะวนั ออก การแสดงชุดนีเป็ นลีลาการ แสดงทีคลา้ ยกบั การบินของนกเงือก . ทดุง ซะจี หรือระบาํ ฝาชี . โจเกต็ เป็นนาฏศลิ ป์ พนื เมืองทีชาวมาเลเซียนิยมเตน้ กนั ทวั ๆไปเช่นเดียวกบั รําวงของไทย . ยาลาดนั เป็ นการแสดงทีไดร้ ับอิทธิพลมาจากพ่อคา้ ชาวอาหรับ ลีลาท่าทางบางตอนคลา้ ยกับ ภาพยนตร์อาหรับราตรี . อีนัง จีนา คือ ระบาํ สไบของชาวมาเลเซีย ปกติหญิงสาวชาวมาเลเซียจะมีสไบคลุมศรีษะเมือถึง คราวสนุกสนานกจ็ ะนาํ สไบนีออกมาร่ายรํา . การเดียวแอคโคเดียนและขบั ร้องเพลง “คาตาวา ลากี” ซึงแปลเป็ นไทยไดว้ ่ามาสนุกเฮฮา เพลงนี นิยมขบั ร้องกนั แถบมะละกา . ลิลนิ หรือระบาํ เทียนของมาเลเซีย . เดมปรุง (ระบาํ กะลา) เมือเสร็จจากการเก็บเกียว ชาวมาเลยจ์ ะมีงานรืนเริง บา้ งก็ขูดมะพร้าวและ ตาํ นาํ พริก จึงนาํ กะลามะพร้าวมาเคาะประกอบจงั หวะกนั อยา่ งสนุกสนาน
63 นาฏศิลป์ ประเทศอนิ โดนีเซีย นาฏศิลป์ ประเทศอนิ โดนีเซียทีควรรู้จกั . นาฏศิลป์ ชวา แบ่งไดด้ งั นี . แบบยอกยาการ์ตา คือ การแสดงแบบอยา่ งของชาวชวาส่วนกลางจะสอนให้นกั เรียนรู้จกั นาฏยศพั ท์ ของชวาเสียก่อน (Ragam-Ragam) และจะสอนรําจากง่ายไปหายากตามขันตอน การใชผ้ า้ จะใช้ผา้ พนั เอว เรืองของดนตรีจะดงั และมีทาํ นองกบั เสน้ แบ่งจงั หวะมาก . แบบซรู าการ์ตา เป็นการแสดงส่วนกลาง การเรียนการสอนเหมือนกบั ยอกยาการ์ตา แต่ท่ารําแปลก ไปเลก็ นอ้ ย การใชผ้ า้ ก็จะใชผ้ า้ แพรพาดไหล่ ดนตรีจะมีท่วงทาํ นองนุ่มนวลและราบเรียบ เสน้ แบ่งจงั หวะมนี อ้ ย . นาฏศิลป์ ซุนดา ศิลปะของชาวซุนดาหนกั ไปทางใชผ้ า้ (Sumpun) ซึงมีลีลาเคลือนไหวไดส้ วยงาม ในการรําซุนดาทีเป็นมาตรฐานทีชืนชอบในปัจจุบนั ในชุมชนตะวนั ตกเฉพาะ และในชุมชนอินโดนีเซียทวั ไป คือ ราํ เดวี (Deve), เลยาปัน (Leyapon), โตเป็ ง ราวานา (Topang Ravana), กวนจารัน (Kontjaran), อนั จาสมารา (Anchasmara), แซมบา้ (Samba), เคน็ ดิท(Kendit), บิราจุง (Birajung) และ เรลาตี (Relate) นอกจากนียงั มีศิลปะ ทีบุคคลทวั ไปจะนิยมมาก คือ รําไจปง (Jainpong) การเรียนการสอนเหมือนแบบ Yogyakarta คือ สอนใหร้ ู้จกั นาฏยศพั ท์ต่างๆ สอนให้รู้จกั เดิน รู้จกั ใชผ้ า้ แลว้ จึงเริมสอนจากง่ายไปหายาก . นาฏศิลป์ บาหลี นาฏศลิ ป์ บาหลีไดพ้ ฒั นาแตกต่างไปจากชวา โดยมีลกั ษณะเร้าใจ มีชีวิตชีวามากว่า ส่วนวงมโหรี (Gamelan) กจ็ ะมีจงั หวะความหนกั แน่น และเสียงดงั มากกว่าชวากลางทีมีท่วงทาํ นองชา้ อ่อนโยน สิงสาํ คญั ของบาหลจี ะเกียวกบั ศาสนาเป็นส่วนใหญ่ ใชแ้ สดงในพธิ ีทางศาสนาซึงมีอยทู่ วั ไปของเกาะบาหลี การสอนนาฏศิลป์ แต่เดิมของบาหลีเป็ นไปในทางตรงกัน ครูจะตอ้ งจัดท่าทาง แขน ขา มือ นิว ของลกู ศิษย์ จนกระทงั ลกู ศิษยส์ ามารถเรียนไดค้ ล่องแคล่วขึนใจเหมือนกบั การเลียนแบบ ซึงวิธีการสอนนียงั คง ใชอ้ ยจู่ นกระทงั ปัจจุบนั ทงั ในเมืองและชนบท สาํ หรับผทู้ ีเริมหดั ใหม่จะตอ้ งผา่ นหลกั สูตรการใชก้ ลา้ มเนืออ่อน หดั ง่าย ซึงเกียวกบั การเคลอื นไหว ร่ายรํา การกม้ ตวั มุมฉาก การเหยยี ด งอแขน เป็ นตน้ ต่อมาผฝู้ ึ กจะเริมสอน นาฏศิลป์ แบบง่ายๆ เพือให้เหมาะสมกบั ผูเ้ ริมฝึ ก เช่น Pendet Dance ของนาฏศิลป์ บาหลี สําหรับเด็กหญิง ตวั เลก็ ๆและจะสอนนาฏศลิ ป์ แบบยากขึนเรือยๆไปจนถงึ Legong Kraton นาฏศิลป์ อนิ เดีย ในอดีตการฟ้ อนรําของอินเดียมีลกั ษณะทีเกียวขอ้ งกบั การบูชาพระศาสนา และการแสดงออกของ อารมณ์มนุษย์ การเกิดการฟ้ อนรําของอนิ เดียนนั ไดห้ ลกั ฐานมาจากรูปปันสาวกาํ ลงั ราํ ทาํ ดว้ ยโลหะสาํ ริด เทคนิค ของนาฏศลิ ป์ อินเดียจะเกียวพนั กบั การใชร้ ่างกายทงั หมด จากกลา้ มเนือดวงตา ตลอดจนแขน ขา ลาํ ตวั มือ เทา้ และใบหนา้
64 การจดั แบ่งนาฏศลิ ป์ ของอินเดียนนั จะมีอยู่ ลกั ษณะ คือ . นาฏศลิ ป์ แบบคลาสสิก . นาฏศิลป์ แบบพนื เมอื ง นาฏศิลป์ แบบคลาสสิก นาฏศิลป์ แบบคลาสสิก มีอยู่ ประเภท คือ ภารตนาฏยมั (Pharata Natyam) คาธะคาลี (Kathakali) คาธคั (Kathak) และมณีบุรี (Manipuri) นาฏศิลปคลาสสิกทงั หมดมี ลกั ษณะ อยา่ งทีเหมอื นกนั คือ . นาฏยะ (Natya) นาฏศิลปิ นไดร้ ับการส่งเสริมเหมือนในละคร จากเวทีและฉากซึงส่งผลอนั งามเลิศ . นริทยะ (Nritya) นาฏศิลปิ นจะถ่ายทอดหรือแปลนิยายเรืองหนึง ตามธรรมดามกั จะเป็ นเรืองของ วีรบุรุษจากโคลง-กาพย์ . นริทตะ (Nrita) เป็ นนาฏศิลป์ ทีบริสุทธิประกอบดว้ ยลีลาการเคลือนไหวของร่างกายแต่อยา่ งเดียว เพือมีผลเป็นเครืองตกแต่งประดบั เกียรติยศและความงาม นาฏศลิ ป์ คลาสสิกทงั หมดมีสิงเหมอื นกนั คือ ลีลาชนั ปฐมตณั ฑวะกบั ลาสยะ ซึงเป็ นสือแสดงศนู ยร์ วม แห่งศรัทธาของหลกั คิดแห่งปรัชญาฮินดู “ตณั ฑวะ” หลกั ธรรมของเพศชายเป็นเสมอื นการเสนอแนะความเป็นวีรบุรุษ แขง็ แกร่ง กลา้ หาญ “ลาสยะ” หลกั ธรรมขนั ปฐมของเพศหญิง คือ ความอ่อนโยน นุ่มนวล งามสง่า สมเกียรติ (ลกั ษณะพิเศษ ของนาฏศลิ ป์ คลาสสิกของอนิ เดีย คือ การแสดงตามหลกั การไดท้ งั เพศชายและเพศหญิง) นาฏศิลป์ คลาสสิกทีควรรู้จกั . ภารตนาฏยมั (Pharata Natyam) ภารตนาฏยมั เป็นการฟ้ อนราํ ผหู้ ญิงเพียงคนเดียว ซึงถือกาํ เนิดมาใน โบถว์ หิ าร เพืออุทิศตนทาํ การสกั การะดว้ ยจิตวิญญาณ มีการเคลือนไหวทีสวยงาม แสดงท่าทางแทนคาํ พูดและ ดนตรี . คาธคั (Kathak) หรือ กถกั คาธคั เป็ นนาฏศิลป์ ของภาคเหนือซึงมีสไตลก์ ารเตน้ ระบาํ เดียวเป็ นส่วน ใหญ่อยา่ งหนึง คาธคั ไม่เหมือนภารตนาฏยมั โดยทีมปี ระเพณีนิยมการเตน้ ระบาํ ทงั เพศ คือชายและ หญิง และ เป็นการผสมผสานระหวา่ ความศกั ดิสิทธิของศาสนา และของฆราวาสนอกวดั แหล่งกาํ เนิดของ “คาธคั ” เป็นการ สวดหรือการท่องอาขยาน เพือสกั การะหรือการแสดงดว้ ยท่าทางของคาธคั คารา หรือมีผเู้ ล่านิยายเกียวกบั โบสถ์ วิหาร ในเขตบราจของรัฐอุตตรประเทศ พืนทีเมืองมะธุระ วิรินทราวัน อนั เป็ นสถานทีซึงเชือถือกันว่า พระกฤษณะไดป้ ระสูติทีนนั ดว้ ยเหตุนีชือนาฏศิลป์ แบบนีก็คือ “บะราชราอสั ” . มณบี ุรี (Manipuri) หรือ มณีปูร์ ในภาคตะวนั ออกเฉียงเหนือของอินเดีย แวดลอ้ มไปดว้ ยเทือกเขา เป็นหุบเขาอนั สวยงามของ “มณีปรู ์” นาฏศิลป์ ของมณีปูร์ส่วนใหญ่จะมลี กั ษณะเพอื บูชาสกั การะท่วงท่าของลีลา ฟ้ อนราํ อนั สง่างาม พืนรองเทา้ ทีแตะอยา่ งแผว่ เบาและความละเมียดละไมของมือทีร่ายรําไปมา ทาํ ให้นาฏสิลป์ ของมณีปุรีแยกออกจากโครงสร้างทางเลขาคณิต (ประกอบดว้ ยเสน้ ตรงและวงกลม) ของภารตนาฏยมั และมลี ีลา ตามระยะยาวอยา่ งมคี ุณภาพของ “คาธคั ”
65 . โอดิสสิ (Odissi) รัฐ “โอริสสา” อย่บู นชายฝังทะเลดา้ นตะวนั ออก เป็ นแหล่งกาํ เนิดของรูปแบบ นาฏศิลป์ “โอดิสสิ” เป็นทีรู้จกั กนั วา่ เต็มไปดว้ ยความรู้สึกทางอารมณ์สูง และมีท่วงทาํ นองโคลงอนั ร่าเริง ลีลา การเคลอื นไหวร่ายราํ มคี วามแตกต่างอยา่ งเห็นไดช้ ดั จากระบบแผนนาฏศิลป์ คลาสสิกอืนๆในอนิ เดีย . คูชิปูดี (Kuchipudi) รูปแบบนาฏศิลป์ ทีงดงามลาํ เลิศนีไดช้ ือมาจากหมู่บา้ นชนบทในรัฐอนั ตร ประเทศ อนั เป็ นถินทีไดก้ ่อกาํ เนิดของนาฏศิลป์ แบบนี เหมือนกบั แบบของการละครฟ้ อนรําดว้ ยเรืองราวทาง ศาสนา . คาธะคาลี (Kathakali) หรือกถกฬิ นาฏศิลป์ ในแบบอินเดียทีสาํ คญั มากทีสุดก็คือ คาธะคาลีจากรัฐ เคราลา (ในภาคใตข้ องอนิ เดีย) เป็นนาฏศลิ ป์ ทีไดร้ วมส่วนประกอบของระบาํ บลั เลต์ อุปกรณ์ ละครใบแ้ ละละคร โบราณแสดงอภินิหาร และปาฏิหาริยข์ องปวงเทพ ทังยงั เป็ นการฝึ กซอ้ มพิธีการทางศาสนาในการเพาะกาย อีกดว้ ย . ยคั ชากานา บายาลาตะ ยคั ซากานาเป็นรูปแบบนาฏศลิ ป์ การละคร มีลีลาการเคลือนไหวอนั หนักแน่น และมีคาํ พรรณนาเป็นบทกวีจากมหากาพยอ์ นิ เดีย ซึงนาฏศิลป์ อินเดียไดแ้ สดงและถา่ ยทอดใหไ้ ดเ้ ห็นและซาบซึง ในยคั ซากานา (Yokshagana) ไม่เพียงแต่จะมีดนตรี และการกา้ วตามจงั หวะฟ้ อนรําเป็นของตนเองเท่านนั แต่การ แต่งหนา้ และเครืองแต่งกายแบบ อาฮาระยะ อภินะยะ ไดร้ ับพิจารณาลงความเห็นโดยผเู้ ชียวชาญบางท่านว่า หรูหรางดงามและสดใสยงิ กวา่ คาธะคาลี . ชะฮู (Chhau) ชะฮเู ป็นนาฏศลิ ป์ ทีผสมผสานระหวา่ งคลาสสิกแทก้ บั ระบาํ พืนเมืองทงั หมด ซึงไม่ได้ เป็นของถนิ ใดๆ โดยเฉพาะ หากแต่เป็นนาฏศลิ ป์ อนั ยงิ ใหญ่ของ รัฐ คือ รัฐพหิ าร รัฐโอริสสา และรัฐเบงกอล นาฏศิลป์ จนี นาฏศิลป์ จีนพฒั นามาจากการฟ้ อนรํามาตังแต่โบราณ มีหลกั ฐานเกียวกบั ระบาํ ต่างๆ ทีเกิดขึนของ นาฏศลิ ป์ จีน ดงั นี . สมยั ราชวงศ์ซ้งถงึ ราชวงศ์โจวตะวนั ตก มีระบาํ เสาอู่ ระบาํ อ๋อู ู่ ปรากฏขึนเป็นระบาํ ทีมุ่งแสดงความดี ความชอบของผปู้ กครองฝ่ ายบุ๋น และฝ่ ายบขู๊ องราชการสมยั นนั . สมัยปลายราชวงศ์โจวตะวันตก มีคณะแสดงเรียกว่า “อิว” มาจากพวกผดู้ ี หรือเจา้ ครองแควน้ ได้ รวบรวมจดั ตงั เป็นคณะขึน แบ่งเป็น ชางอวิ คือนกั แสดงฝ่ ายหญิงแสดงการร้องรํา และไผอิว คือคณะนกั แสดง ฝ่ ายชาย แสดงทาํ นองชวนขนั และเสียดสี 3. สมยั ราชวงศ์ฮัน ไดม้ ีการแลกเปลียนทางเศรษฐกิจและวฒั นธรรมกบั ชนชาติต่างๆ ทาํ ใหเ้ กิดการ แสดงต่างๆขึน คือ ไป่ ซี คือละครผสมผสานของศิลปะนานาชาติ และเจียวตีซี คือ ละครผกู เป็ นเรือง มีลกั ษณะ ผสมระหว่างการฟ้ อนราํ กบั กายกรรม . สมยั ราชวงศ์จนิ ราชวงศใ์ ต-้ เหนือ ถึงปลายสมยั ราชวงศส์ ุย การแลกเปลียนผสมผสานในดา้ นระบาํ ดนตรีของชนชาติต่างๆไดพ้ ฒั นาไปอกี ขนั หนึง
66 . ราชวงศ์ถงั เป็นสมยั ทีศลิ ปวฒั นธรรมยคุ ศกั ดินาของจีนเจริญรุ่งเรืองอยา่ งเต็มที มหี ลายสิงทีเกิดขึนใน สมยั นีไดแ้ ก่ . เปี ยนเหวินหรือสูเจียง เป็ นนิยายทีใชภ้ าษาง่ายๆมาเล่าเป็ นนิทานทางศาสนาดว้ ยภาพทีเขา้ ใจง่าย หลงั จากนนั มกี ารขบั ร้องและเจรจา . ฉวนฉี เป็นนิยายประเภทความเรียง โครงเรืองแปลก เรืองราวซบั ซอ้ น . เกออู่สี เป็ นศิลปะการแสดงทีมีบทร้อง เจรจา แต่งหน้า แต่งตัว อุปกรณ์เสริ มบนเวที ฉาก การบรรเลงเพลง คนพากย์ เป็นตน้ . ซนั จุนสี เป็ นการผลดั กนั ซกั ถามโตต้ อบสลบั กนั ไปของตวั ละคร ตวั คือ “ซนั จุน” และ “ช่างถู่” โครงเรือง เป็นแบบง่ายๆ มีดน้ กนั สดๆ เอาการตลกเสียดสีเป็นสาํ คญั . สมัยราชวงศ์ซ่ ง ศิลปะวรรณคดีเจริญรุ่ งเรืองมาก พร้อมทังมีสิงต่างๆเกิดขึนได้แก่ การแสดง ดงั ต่อไปนี . ฮวา่ เปิ นหรือหนงั สือบอกเล่าเป็นวรรณคดีพนื เมอื งทีเกิดขึน . หว่าเสอ้ คือ ยา่ นมหรสพทีเกิดขึนตามเมอื งต่างๆ . ซฮู ุ่ย คือ นกั แต่งบทละคร ซึงเกิดขึนในสมยั นี . ละคร “จ๋าจิว” ภาคเหนือหรืองิวเหนือ แบ่งออกเป็ น ประเภท คือ ประเภทบทเจรจาเป็ นหลกั และ ประเภทร้องราํ เป็นหลกั ซึงก็คือ อุปรากร . ละครหลานลีหรืองิวใต้ ประยกุ ตศ์ ิลปะขบั ร้องกบั เล่านิทานพนื บา้ นเขา้ ดว้ ยกนั . สมัยราชวงศ์หยวน เป็ นสมยั ทีละครหนานลีเริมแพร่หลาย และไดร้ ับความนิยมจนละครจ๋าจิว ตอ้ งปรับรายการแสดงเป็ นหนานลี ละครหนานลีนับเป็ นวิวัฒนาการของการสร้างรูปแบบการแสดงงิวที เป็นเอกลกั ษณ์ของจีน ทงั ยงั ส่งผลสะทอ้ นใหแ้ ก่งิวในสมยั หลงั เป็นอยา่ งมาก การแสดงงิวในปัจจุบัน งิวมบี ทบาทในสังคมของจีนโดยทวั ไป โดยเฉพาะคนไทยเชือสายจีนอาศยั อยู่ ทุกจงั หวดั ประเภทของงิวทีแสดงในปัจจุบนั พอจะแบ่งออกเป็นประเภทต่างๆได้ เช่น ) จิงจวี หรือ ผงิ จวี หรืองิวงวั กงั เป็นงิวชนั สูงเป็นแม่บทของงิวอืนๆ ) งิวแตจ้ ิวหรือไป๋ จือซี ผแู้ สดงมีทงั เดก็ และผใู้ หญ่ เป็นทีนิยมทีสุดในปัจจุบนั ) งิวไหหลาํ ใชบ้ ทพดู จีนไหหลาํ การแสดงคลา้ ยงิวงวั กงั 4) งิวกวางตุง้ ใชบ้ ทเจรจาเป็นจีนกวางตุง้ มกั แสดงตามศาลเจา้ ลกั ษณะของงวิ งิวทีคนไทยส่วนใหญ่ไดพ้ บเห็นในปัจจุบนั เป็นประจาํ นนั มลี กั ษณะหลายอยา่ ง ดงั นี ) มกั นิยมแสดงตามหนา้ ศาลเจา้ ต่างๆ ในงานเทศกาลของแต่ละทอ้ งถนิ นนั ๆ ทีจดั ขึนโดยคนจีน ) แนวความคิดนนั เป็นการผสานความคิดของลทั ธิเต๋าและแนวคาํ สอนของขงจือ ) เนน้ เรืองความสมั พนั ธใ์ นครอบครัวหนา้ ทีทีมตี ่อกนั ) เนน้ เรืองความสาํ คญั ของสงั คมทีมเี หนือบุคคล ) ถือความสุขเป็นรางวลั ของชีวติ ความตายเป็นการชาํ ระลา้ งบาป
67 ) ตวั ละครเอกตอ้ งตาย ฉากสุดทา้ ยผทู้ าํ ผดิ จะไดร้ ับโทษ ) ถือวา่ ฉากตายเป็นฉาก Climax ของเรือง ) จะตอ้ งลงดว้ ยขอ้ คิดสอนใจ ) ชนิดของละครมีทงั โศกปนสุข ) ผหู้ ญิงมกั ตกเป็นเหยอื ของเคราะห์กรรม 11) ใชผ้ ชู้ ายแสดงบทผหู้ ญิงสมยั โบราณ ปัจจุบนั ใชช้ ายจริงหญิงแท้ ผ้แู สดง งิวโบราณนนั กาํ หนดตวั แสดงงิวไวต้ ่าง ๆ กนั คือ ) เชิง คือ พระเอก ) ตา้ น คือ นางเอก ) โฉ่ว หรือเพลา่ ทิว คือ ตวั ตลก ) จิงหรืออเู มยี น (หนา้ ดาํ ) คือ ตวั ผรู้ ้าย เช่น โจโฉ ) เมอะหรือเมอะหนี หรือ โอชา รับบทพวกคนแก่ ) จา้ หรือโชวเกียะ ตวั ประกอบเบ็ดเตลด็ เช่น พลทหาร คนใช้ เป็นตน้ นาฏศิลป์ ทเิ บต นาฏศิลป์ ทิเบตนนั การร่ายรําจะเกียวพนั กบั พิธีบวงสรวงเจา้ เซ่นวญิ ญาณ หรือพธิ ีกรรมทางพุทธศาสนา ทิเบต มกั จะแสดงเป็ นเรืองราวตามตาํ นานโบราณทีมีมาแต่อดีต โดยจะแสดงในสถานทีศกั ดิสิทธิ เช่น ในวดั เป็นตน้ ในการแสดงจะมีการร่ายรําตามจงั หวะเสียงดนตรี ผแู้ สดงจะสวมหนา้ กาก สมมติตามเรืองราวทีบอกไว้ ผแู้ สดงตอ้ งฝึกมาพิเศษ หากเกิดความผดิ พลาดจะทาํ ใหค้ วามขลงั ของพิธีขาดไป พิธีสาํ คญั เช่น พิธีลาซมั ทีเป็ น วธิ ีบชู ายญั ทีจดั ขึนในบริเวณหนา้ วดั เนืองในงานส่งทา้ ยปี เก่าตอ้ นรับปี ใหม่ พิธีดงั กล่าวนีอาจพูดไดว้ ่าเป็ นการ ร่ายรําบูชายญั ดว้ ยการเล่นแบบโขน และเตน้ รําสวมหน้ากาก ตรงกลางทีแสดงจะมีรูปปันมนุษยท์ าํ ดว้ ยแป้ ง ขา้ วบาร์เลย์ กระดาษ หรือหนงั ยคั (ววั ทีมขี นดก) การทาํ พธิ ีบูชายญั ถือวา่ เป็นการทาํ ใหภ้ ูตผปี ี ศาจเกิดความพอใจ ไมม่ ารบกวน และวญิ ญาณจะไดไ้ ปสู่สวรรค์ อาจกล่าวไดว้ ่าเป็ นการขบั ไล่ภูตผปี ี ศาจ หรือกาํ จดั ความชวั ร้ายที ผา่ นมาในปี เก่าเพอื เริมตน้ ชีวติ ใหม่ดว้ ยความสุข ในการแสดงจะมีผรู้ ่วมแสดง กลุ่ม กลุ่มหนึงสวมหมวกทรงสูง ซึงเรียกชือว่า นักเตน้ หมวกดาํ และ อีกกลุ่มหนึงเป็นตวั ละครทีตอ้ งสวมหนา้ กาก กลุ่มทีสวมหนา้ กากกม็ ีผทู้ ีแสดงเป็ นพญายม ซึงสวมหนา้ กากเป็ น รูปหวั ววั มีเขา ผแู้ สดงเป็ นวิญญาณของปี ศาจก็สวมหนา้ กากรูปกะโหลก เป็ นตน้ ตวั ละครจะแต่งกายดว้ ยชุด ผา้ ไหมอยา่ งดีจากจีน การร่ายรําหรือการแสดงละครในงานพิธีอืนๆ มกั จะเป็ นการแสดงเรืองราวตามตาํ นานพุทธประวตั ิ เกียรติประวัติของผูน้ ําศาสนาในทิเบต ตํานานวีรบุรุ ษ วีรสตรี ตลอดจนกระทังนักบุญผู้ศักดิสิทธิ ทรงอทิ ธิปาฏิหาริยใ์ นอดีตการแสดงดงั กลา่ วเป็นทีนิยมของชาวทิเบตในทวั ไป ต่างถือว่าหากใครไดช้ มก็พลอย ไดร้ ับกศุ ลผลบุญในพิธีหรือมคี วามเป็นสิริมงคลแก่ตนเอง ดว้ ยเหตุนีจึงกล่าวไดว้ ่าเป็ นการชมดว้ ยความเคารพ เลือมใส
68 นาฏศิลป์ เกาหลี วิวฒั นาการของนาฏศิลป์ เกาหลีก็ทาํ นองเดียวกบั ของชาติอืนๆมกั จะเริมและดัดแปลงใหเ้ ป็ นระบาํ ปลุกใจในสงครามเพือให้กาํ ลงั ใจแก่นักรบ หรือไม่ก็เป็ นพิธีทางพุทธศาสนา หรือมิฉะนันก็เป็ นการร้องรํา ทาํ เพลงในหมู่ชนชันกรรมมาชีพ หรือแสดงกันเป็ นหมู่ นาฏศิลป์ ในราชสํานักนันก็มีมาแต่โบราณกาล เช่นเดียวกนั นาฏศิลป์ เกาหลีสมบูรณ์ตามแบบฉบบั ทางการละครทีสุดและเป็ นพิธีรีตรอง ได้แก่ ละครสวม หนา้ กาก ลกั ษณะของนาฏศิลป์ เกาหลี ลีลาอันงดงามอ่อนช้อยของนาฏศิลป์ เกาหลีอยู่ทีการเคลือนไหวร่ างกายและเอวเป็ นสําคัญ ตามหลกั ทฤษฎี นาฏศิลป์ เกาหลมี ี แบบ คือ . แบบแสดงออกซึงความรืนเริง โอบออ้ มอารี และความอ่อนไหวของอารมณ์ 2. แบบพิธีการ ซึงดดั แปลงมาจากวฒั นธรรมและประเพณีทางพุทธศาสนา จุดเด่นของนาฏศิลป์ เกาหลีมีลกั ษณะคลา้ ยนาฏศิลป์ สเปนผแู้ สดงเคลือนไหวทงั ส่วนบนและส่วนล่าง ของร่างกาย นาฏศิลป์ เกาหลที คี วรรู้จกั .ละครสวมหน้ากาก เนือเรื องมักคล้ายคลึงกัน ลีลาการแสดงนันนําเอานาฏศิลป์ แบบต่างๆ มาปะติดปะต่อกนั . ระบาํ แม่มด เป็นนาฏศลิ ป์ อีกแบบหนึง และการร้องราํ ทาํ เพลงแบบลกู ทุ่งนนั ก็มชี ีวิตชีวาอยา่ งยงิ . ระบาํ บวงสรวงในพิธีและระบาํ ประกอบดนตรีทีใชใ้ นพิธีราชสาํ นกั ซึงประกอบดว้ ยบรรยากาศอนั งดงามตระการตาน่าชมมาก นาฏศิลป์ ญปี ่ ุน ประวตั ิของละครญีป่ ุนเริมตน้ ประมาณศตวรรษที แบบแผนการแสดงต่างๆ ทีปรากฏอยใู่ นครังยงั มี เหลืออยู่ และปรากฏชดั เจนแสดงสมยั ปัจจุบนั นี ไดแ้ ก่ ละครโน้ะ ละครคาบูกิ ปูงกั กุ ละครหุ่นบุนระกุ ละคร ชิมปะ และละครทาคาราสุกะ การกาํ เนิดของละครญีป่ ุนกลา่ วกนั ว่ามกี าํ เนิดมาจากพืนเมืองเป็ นปฐมกล่าวคือ วิวฒั นาการมาจากการ แสดงระบาํ บชู าเทพเจา้ แห่งภเู ขาไฟ และต่อมาญีป่ ุนไดร้ ับแบบแผนการแสดงมาจากประเทศจีน โดยไดร้ ับผา่ น ประเทศเกาหลีช่วงหนึง นาฏศิลป์ ญปี ่ ุนทีควรรู้จกั .ละครโน้ะ เป็นละครแบบโบราณ มกี ฎเกณฑแ์ ละระเบียบแบบแผนในการแสดงมากมาย ในปัจจุบนั ถือ เป็นศิลปะชนั สูงประจาํ ชาติของญีป่ ุนทีตอ้ งอนุรักษเ์ อาไว้ ในปี พ.ศ. วงการละครโนะ้ ของญีป่ ุนไดม้ ีการเคลือนไหวทีจะทาํ ให้ละครประเภทนีทนั สมยั ขึน โดยจุดประสงคเ์ พือประยกุ ตก์ ารเขียนบทละครใหมๆ่ ทีมเี นือเรืองทีทนั สมยั ขึน และใชภ้ าษาปัจจุบนั รวมทงั ให้ ผแู้ สดงสวมเสือผา้ แบบทนั สมยั นิยมด้วย และยงั มีสิงใหม่ๆ ทีนาํ มาเพิมเติมดว้ ยก็คือ ให้มีการร้องอุปรากร
69 การเลน่ ดนตรีราชสาํ นกั งะงกั กุ และการใชเ้ ครืองดนตรีประเภทเครืองสาย ซึงละครแบบประยุกตใ์ หม่นีเรียกว่า “ชินชากุโน” บทละครโน้ะ ทางด้านบทละครโน้ะนันมีชือเรียกว่า “อูไท” (บทเพลงโน้ะ โดยแสดงในแบบของ การร้อง) อไู ทนีไดห้ ลกี ต่อการใชค้ าํ พูดทีเพอ้ เจอ้ ฟ่ ุมเฟื อยอยา่ งทีดี แต่จะแสดงออกดว้ ยทาํ นองอนั ไพเราะทีใช้ ประกอบกบั บทร้องทีไดก้ ลนั กรองจนสละสลวยแลว้ บทละครโนะ้ ทงั อดีตและปัจจุบนั มอี ยปู่ ระมาณ , เรือง แต่นาํ ออกแสดงอยา่ งจริงจงั เรืองเท่านัน เนือเรืองกม็ ีเรืองราวต่างๆกนั โดยเป็นนิยายเกียวกบั นกั รบ หรือเรืองความเศร้าของผหู้ ญิงซึงเป็ นนางเอกในเรือง และตามแบบฉบบั ของการแสดง ลกั ษณะของละครโน้ะ ) ยเู งน-โนะ้ ผแู้ สดงเป็นตวั เอก (ชิเตะ) ของละครยเู งน-โนะ้ จะแสดงบทของบุคคลผทู้ ีละจากโลกนีไป แลว้ หรือแสดงบทตามความคิดฝัน โดยเคา้ จะปรากฏตวั ขึนในหม่บู า้ นชนบทหรือสถานทีเกิดเหตุการณ์นนั ๆ และมกี ารแสดงเดียวเป็นแบบเรืองราวในอดีต ) เงนไซ-โนะ้ ผแู้ สดงเป็นตวั เอก (ชิเตะ) ของละคร เงนไซ-โน้ะ จะแสดงบทบาทของบุคคลทีมีตวั ตน จริงๆ ซึงโครงเรืองของละครนนั ไมไ่ ดส้ ร้างขึนมาในโลกของการคิดฝัน เวทีละครโน้ะ เวทีแสดงละครโน้ะมีรูปสีเหลียมจตั ุรัส ยาวประมาณด้านละ . เมตรมีเสามุมละตน้ พนื เวทีและหลงั คาทาํ ดว้ ยไมส้ นญีป่ ุน ซึงวสั ดุก่อสร้างทีเห็นสะดุดตาของเวที คือ ระเบียงทางเดินทียนื จากเวที ทางขวามอื ตรงไปยงั ดา้ นหลงั ของเวที ส่วนฝาผนงั ทางดา้ นหลงั เวทีละครโนะ้ เป็นฉากเลือนดว้ ยไมส้ นญีป่ ุนและ บนฉากก็จะเขียนภาพตน้ สนอยา่ งสวยงามในแบบศลิ ปะอนั มชี ือว่า โรงเรียนคาโนะ้ ตามประวตั ิกลา่ ววา่ เวทีละครโนะ้ เก่าแก่ทีสุดทียงั คงมีเหลอื อยู่ คือ เวทีละครโน้ะภาคเหนือ ซึงสร้างขึน ในปี พ.ศ. ทีบริเวณวดั นิชิออน งนั จิ เมืองเกียวโต และไดร้ ับการยกยอ่ งวา่ เป็นสมบตั ิทางวฒั นธรรมของชาติ เครืองดนตรี เครืองดนตรีทีใช้ประกอบในการแสดงละครโน้ะนัน ใช้เพียงเครืองดนตรีชนิดเคาะ ทีจะเป็นบางชินเท่านนั เช่นกลองขนาดเลก็ (โคทสึซึมิ) กลองมือขนาดใหญ่ (โอสึซึม)ิ และกลองตี (ไตโกะ) และ เครืองเป่ ามีชนิดเดียว คือ ขลุย่ (ฟเู อะ) . ละครคาบูกิ เป็นละครอีกแบบหนึงของญีป่ ุนทีไดร้ ับความนิยมมากกว่าละครโนะ้ มีลกั ษณะเป็ นการ เชือมประสานความบนั เทิงจากมหรสพของยคุ เก่าเขา้ กับยุคปัจจุบนั คาํ ว่า “คาบูกิ” หมายถึง การผสมผสาน ระหว่างโอเปร่า บลั เล่ต์ และละคร ซึงมที งั การร้อง การราํ และการแสดงละคร ลกั ษณะพเิ ศษของละครคาบูกิ ) ฮานามชิ ิ แปลวา่ “ทางดอกไม”้ เป็นสะพานไมก้ วา้ งราว ฟุตอย่ทู างซา้ ยของเวที ยนื มาทางทีนังของ คนดูไปจนถงึ แถวหลงั สุด เวลาตวั ละครเดินเขา้ มาหรือออกไปทางสะพานนี ) คู โร โง แปลว่า นิโกร จะแต่งตวั ชุดดาํ มีหนา้ ทีคอยช่วยเหลอื ผแู้ สดงในดา้ นต่างๆ เช่น การยกเกา้ อใี ห้ ผแู้ สดง หรือทาํ หนา้ ทีเป็นคนบอกบทใหผ้ แู้ สดงดว้ ย ) โอ ยา มา หรือ โอนนะกะตะ ใชเ้ รียกตวั ละครทีแสดงบทผหู้ ญิง
70 ) “คิ” ใชเ้ รียกผเู้ คาะไม้ ไมท้ ีเคาะหนาประมาณ นิว ยาวราว ฟุต ) หนา้ โรง ละครคาบูกิทีขึนชือจะตอ้ งแขวนป้ ายบอกนามผแู้ สดง และตราประจาํ ตระกูลของผนู้ ันไว้ ดว้ ยหนา้ โรง . บูงกั กุ ลกั ษณะการแสดงเป็นการแสดงทีมีลกั ษณะเป็ นการร่ายรําทีแตกต่างจากการร่ายรําของญีป่ ุน แบบอนื คือ ) บูงกั กุ จะเน้นไปในทางร่ายรําลว้ นๆ มากกว่าทีจะเนน้ เนือหาของบทละคร ซึงถือว่ามีความสาํ คญั นอ้ ยกว่าการร่ายราํ ) ท่ารําบงู กั กุ จะเนน้ ส่วนสดั อนั กลมกลืน ไม่เฉพาะในการรําคู่ แมใ้ นการรําเดียวก็มีหลกั เกณฑแ์ บบ เดียวกนั สถานทแี สดง ธรรมเนียมของบงู กั กุทีจะตอ้ งแสดงบนเวทีกลางแจง้ ในสนามของคฤหาสน์ใหญ่ๆ หรือ วิหารหรือวดั ตวั เวทีทาสีขาวนนั มีผา้ ไหมยกดอกสีเขียว รูปสีเหลียมจตั ุรัสดา้ นละ ฟุต ปูอย่ตู รงกลางเป็ นที ร่ายรํามีบนั ไดขัดมนั สีดาํ ทงั ด้านหน้าและด้านหลงั ของเวที สําหรับเวทีตามแบบฉบบั ทีถูกต้อง จะต้องมี กลองใหญ่ ใบตงั อยดู่ า้ นหลงั ของเวที แต่ละใบประดบั ลวดลาย มีสีแดงเพลิง มเี สน้ ผา่ นศนู ยก์ ลางประมาณ ฟตุ บทละคร บทละครของบูงกั กมุ ีอยปู่ ระมาณ เรืองซึงรับช่วงต่อมาตงั แต่สมยั โบราณ สามารถแบ่งได้ เป็น ประเภทใหญ่ตามวตั ถปุ ระสงค์ คือ ) ตามแบบฉบับการร่ายรําของท้องถินทีเชือกันว่าเป็ นตน้ กาํ เนิดของบทละคร ซึงแบ่งออกเป็ น ประเภท คือ - ประเภททีเรียกว่า “ซาไม” หรือการราํ ซา้ ย ซึงรวมแบบร่ายราํ จากจีน อนิ เดีย - ประเภททีเรียกว่า “อุไม” หรือแบบการรําขวา ซึงรวมแบบการร่ายรําแบบเกาหลแี ละแบบอืนๆ ) ตามวตั ถุประสงคข์ องการแสดงซึงแบ่งประเภทร่ายรําออกเป็น ประเภท คือ - แบบบุไม หรือการร่ายราํ ในพธิ ีต่างๆ การร่ายราํ “ซุนเดกะ” ก็รวมอยดู่ ว้ ย - แบบบูไม หรือการร่ายราํ นกั รบ การรําบท “ไบโร” รวมอยใู่ นแบบนีดว้ ย - แบบฮาชิริไบ หรือการร่ายราํ วิง และรวมบทราํ ไซมากซุ ่าและรันเรียวโอะไวด้ ว้ ย - แบบโดบุ หรือการร่ายราํ สาํ หรับเด็กมกี ารราํ ซา้ ย “รันเรียวโอะ” รวมอยดู่ ว้ ย . ละครหุ่นบุนระกุ กาํ เนิดของละครหุ่นบุนระกุ นับยอ้ นหลงั ไปถึงศตวรรษที แบบฉบบั ทีเป็ นอยู่ ในปัจจุบันได้พฒั นาขึนในศตวรรษที การแสดงละครหุ่นบุนระกุมีเป็ นประจาํ ทีโรงละครบุนระกุช่า ในนครโอซากา และมีการแสดงในโตเกียวเป็ นครังคราว ตวั หุ่นประณีตงดงามมีขนาดครึงหนึงขององคจ์ ริง ผทู้ ีควบคุมใหห้ ุ่นเคลอื นไหวในท่าต่างๆ นนั มีถึง คน การแสดงหุ่นมีการบรรยายและดนตรีซามิเซนประกอบ ทาํ ใหเ้ กิดภาพแสดงอารมณ์และความรู้สึกของมนุษย์
71 . ละครชิมปะ คือละครทีทาํ หนา้ ทีเป็นประหนึงสะพานเชือมระหว่างละครสมยั เก่าและละครสมยั ใหม่ ชิมปะนีก่อกาํ เนิดขึนในตอนปลายศตวรรษที และมีลกั ษณะดงั เดิมคลา้ ยคาบูกิ เช่น แต่เดิมใชต้ วั แสดงเป็ น ชายลว้ น แต่ปัจจุบนั มีแผนการแสดงตามธรรมชาติ โดยปกติแสดงถึงความเป็ นอยู่ของชาวบา้ นคนธรรมดา และตวั แสดงมที งั ชายและหญิง . ละครทาคาราสุกะ เป็ นละครสมยั ใหม่แบบเฉลิมไทย แต่มีระบาํ มากมายหลายชุดและร้องเพลง สลบั เรืองชนิดนี เรียกว่า ทาคาราสุกะ ประชาชนนิยมดูกนั มาก เพราะมกั เป็ นเรืองตลก ตวั ระบาํ แต่ละตวั มาจาก ผหู้ ญิงนบั พนั ละครทาคาราสุกะนีอาจจะแสดงเป็นเรืองญีป่ ุนลว้ น หรือเป็นเรืองฝรังแต่งตวั แบบตะวนั ตก คาํ ถามตรวจสอบความเข้าใจ 1. ลกั ษณะพิเศษของนาฏศลิ ป์ และการละครในประเทศพมา่ คืออะไร 2. ละครเร่ของพม่าทีแสดงเรืองพุทธประวตั ิเรียกวา่ อะไร 3. ละครแบบพมา่ ทีเรียกว่า “โยธยาสตั คย”ี ไดร้ ับอิทธิพลมาจากประเทศใด 4. ใครเป็นผกู้ ่อกาํ เนิดสถาบนั การศึกษานาฏศิลป์ และดนตรีของประเทศลาว 5. ตามความเชือของศาสนาพรามณ์นาฏศลิ ป์ ชนั สูงตอ้ งมาจากอะไร 6. “ละครใน” พระบรมหาราชวงั ของเขมร ไดถ้ กู เปลยี นชือเป็นอะไร 7. ละคร Lakhaon Khaol เกิดจากการสร้างสรรคง์ านละครขึนใหม่โดยใคร 8. อธิบายความหมาย “การราํ ศิริพรชยั ” ของเขมรมาโดยสงั เขป 9. ระบาํ ของเขมรทีแสดงถึงความสนิทใจอนั บริสุทธิของหนุ่มสาวลกู ทุ่ง เรียกวา่ อะไร 10. ละครบงั สวนั ของมาเลเซียเป็นละครประเภทใด 11. มโนราห์ของมาเลเซียเหมอื นและแตกต่างกบั ละครนอกของไทยอยา่ งไร 12. กีตาร์แบบอาระเบียนมีลกั ษณะและวิธีการเล่นอยา่ งไร 13. เครืองดนตรีทีใชบ้ รรเลงในการเตน้ รําโรดตั มอี ะไรบา้ ง 14. การแสดงทีนิยมแสดงกนั ในงานมงคลสมรสของชาวมาเลยค์ ือการแสดงอะไร 15. เพลง “คาตาวา ลากี” ของมาเลเซียมีความหมายในภาษาไทยว่าอะไร 16. การสอนแบบยอกยาการ์ตาของอินโดนีเซียคือการสอนลกั ษณะใด 17. การใชผ้ า้ พนั แบบยอกยาการ์ตากบั แบบซรู าการ์ตาแตกต่างกนั อยา่ งไร 18. นาฏศลิ ป์ แบบสุดทา้ ยทียากทีสุดของบาหลีคืออะไร 19. “วายงั ” ของอินโดนีเซียเป็นการแสดงลกั ษณะแบบใด 20. การแสดงหนงั คนเป็น “วายงั ” ลกั ษณะใด 21. หลกั ฐานการเกิดฟ้ อนราํ ของอินเดียคืออะไร 22. นาฏศิลป์ คลาสสิกของอนิ เดียทงั หมดมี อยา่ งทีเหมือนกนั คืออะไรบา้ ง 23. อธิบายความหมายของ “ตณั ฑวะ” และ “ลาสยะ” ในอนิ เดีย
72 24. นาฏศิลป์ “คาธคั ” ของอนิ เดียมีแหล่งกาํ เนิดมาจากอะไร 25. จงั หวะการเตน้ ระบาํ หมนุ ตวั รวดเร็วดุจสายฟ้ าแลบเรียกว่าอะไร 26. นาฏศิลป์ อินเดียในแบบละครทีสาํ คญั มากทีสุดคืออะไร 27. ระบาํ ทีมุ่งแสดงความดีความชอบของผปู้ กครองฝ่ ายบุ๋นและฝ่ ายบู๊ของขา้ ราชการคือระบาํ อะไร 28. ศิลปวฒั นธรรมยคุ ศกั ดินาของจีนเจริญรุ่งเรืองอยา่ งเต็มทีในสมยั ใด 29. วรรณคดีปากเปลา่ ของจีนเรียกวา่ อะไร 30. งิวชนั สูงทีเป็นแมบ่ ทของงิวอนื ๆคืออะไร 31. เพราะอะไรจึงหา้ มนาํ ปูทะเล ลกู หมา ลกู แมว ขึนไปบนเวทีแสดงงิว 32. พธิ ีลาซมั ของทิเบตมลี กั ษณะอยา่ งไร 33. นาฏศิลป์ เกาหลีสมบูรณ์ตามแบบฉบบั ทางการละครและเป็นพิธีรีตองทีสุดคืออะไร 34. จุดเด่นของนาฏศลิ ป์ เกหลมี ลี กั ษณะคลา้ ยนาฏศิลป์ สเปนอยา่ งไร 35. ละครญีป่ ุนมกี าํ เนิดมาจากอะไร 36. ละครโน๊ะแบบประยกุ ตใ์ หมเ่ รียกวา่ อะไร 37. ประโยชนส์ าํ คญั ของ “ทางดอกไม”้ ในละครคาบกู ิคืออะไร 38. ใครเป็นผใู้ หก้ าํ เนิดละครคาบกู ิ 39. บทละครของบงู กั กแุ บบใดแต่งขึนใหเ้ ดก็ ราํ โดยเฉพาะ 40. ละครสมยั ใหมแ่ บบเฉลิมไทย แต่มรี ะบาํ มากมายหลายชุดและร้องสลบั เรืองเรียกว่าอะไร
73 เรืองที ละครทไี ด้รับอทิ ธิพลของวฒั นธรรมตะวันตก ในสมยั รัชกาลที วฒั นธรรมทางนาฏศิลป์ ของตะวนั ตกไดก้ ระจายแพร่หลายเขา้ มาในประเทศไทย ทาํ ใหเ้ กิดละครแบบต่างๆ ขึน เช่น ละครดึกดาํ บรรพ์ ดงั ทีไดก้ ล่าวไปบา้ งแลว้ ในตอนตน้ แต่ละครดึกดาํ บรรพ์ ยงั คงใชท้ ่ารําของไทยเป็นหลกั และถอื ไดว้ ่าเป็ นนาฏศิลป์ ของไทยอย่างสมบูรณ์ ส่วนละครทีนาํ แบบอยา่ งของ ตะวนั ตกมาแสดงคือละครทีไม่ใชท้ ่ารําเลย ใชแ้ ต่กิริยาท่าทางของคนธรรมดาสามญั ทีปฏิบตั ิกนั อยใู่ นชีวิตจริง เท่านนั ไดแ้ ก่ . ละครร้อง เป็ นละครทีใชท้ ่าทางแบบสามญั ธรรมดา ไม่มีการร่ายรํา แสดงบนเวที และมีการเปลียน ฉากตามทอ้ งเรือง ละครร้องแบ่งเป็น ประเภท คือ 1) ละครร้องล้วนๆ การดาํ เนินเรืองใชเ้ พลงร้องตลอดเรือง ไม่มีคาํ พดู ละครร้องลว้ นๆ เช่นบทละคร เรืองสาวติ รี พระราชนิพนธใ์ นพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกลา้ เจา้ อยหู่ วั เป็นตน้ ) ละครร้องสลับพูด การดาํ เนินเรืองมีทงั ร้องและพดู แต่ยึดถือการร้องเป็ นสาํ คญั การพูดเป็ นเพียง สอดแทรกและบทพูดทบทวนบททีร้องจบไปแลว้ เท่านนั ละครร้องประเภทนีไดร้ ับความนิยมและรู้จกั กนั แพร่หลาย ดงั นนั เมอื กล่าวถงึ ละครร้องมกั จะหมายถงึ ละครร้องสลบั พดู กนั เป็นส่วนใหญ่ ละครร้องสลบั พูด เช่น สาวเครือฟ้ า ตุก๊ ตายอดรัก เป็นตน้ .ละครพูด เป็นละครทีใชศ้ ลิ ปะในการพดู ดาํ เนินเรือง เป็นละครแบบใหมท่ ีสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจา้ ฟ้ ามหาวชิราวธุ สยามมงกุฎราชกุมาร ทรงเป็นผใู้ หก้ าํ เนิด ในสมยั พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั ละครพดู จะแบ่งได้ ประเภท คือ ) ละครพดู ล้วนๆ ดาํ เนินเรืองดว้ ยวธิ ีการพดู ตวั ละครแสดงท่าทางตามธรรมชาติประกอบบทบาทไป ตามเนือเรือง เป็นละครทีไดร้ ับความนิยมจนทุกวนั นี เพราะแสดงไดง้ ่ายแบบสามญั ชน ตวั ละครไม่ตอ้ งใชเ้ วลา ฝึกฝนเป็นเวลานานๆเหมือนละครรํา ไม่ตอ้ งมีดนตรีหรือการร้องเพลง แต่มีฉากและเปลียนฉากตามทอ้ งเรือง เรืองทีนาํ มาแสดงอาจแต่งขึนหรือดดั แปลงมาจากต่างประเทศกไ็ ด้ ) ละครพูดสลบั ลาํ ลาํ หมายถึง ลาํ นาํ หรือเพลง ละครพดู สลบั ลาํ จะดาํ เนินเรืองดว้ ยการพูดและมีการ ร้องเพลงแทรกบา้ ง เช่น ใหต้ วั ละครร้องเพือแสดงอารมณ์ของเรืองหรือตวั ละคร ซึงหากตอ้ งการตดั เพลงออก จะตอ้ งไม่เสียเรือง และเมอื ตดั ออกก็เป็ นเพียงละครพูดธรรมดา เรืองทีใชแ้ สดง เช่น เรืองปล่อยแก ของนายบวั ทองอิน พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกลา้ เจ้าอยู่หวั ทรงพระราชนิพนธ์บทร้องแทรก โดยใช้พระนามแฝงว่า “ศรีอยธุ ยา”
74 เรืองที ประเภทของละคร ละครสามารถแบ่งเป็น ประเภทใหญ่ๆ คือ ละครสากล และละครไทย ละครสากล ละครสากลแบ่งออกเป็นประเภทไดด้ งั นี . ละครประเภทโศกนาฎกรรม (Tragedy) เป็นวรรณกรรมการละครทีเก่าแกทีสุด และมคี ุณค่าสูงสุดใน เชิงศลิ ปะและวรรณคดี ละครประเภทนีถอื กาํ เนิดขึนในประเทศกรีซ และพฒั นาไปสู่ความสมบูรณ์ภายใตก้ ารนาํ ของ เอสดิลุส (Aeschylus,525-456 B.C.) โซโปคลีส (Sophocles, 496-406 B.C.) และยรู ิพิดีส (Euripides,484- 406 B.C.)เป็ นละครทีพยายามตอบปัญหาหรือตงั คาํ ถามทีสาํ คญั ๆ เกียวกบั ชีวิตทีตอ้ งนาํ มาใหผ้ ชู้ มตอ้ งขบคิด เช่น ชีวติ คืออะไร มนุษยค์ ืออะไร อะไรผดิ อะไรถกู อะไรจริง ภายใตจ้ กั รวาลทีเตม็ ไปดว้ ยความเร้นลบั ละคร ประเภทนีถือกาํ เนิดจากพิธีทางศาสนา จึงนบั ว่าเป็นละครทีมีความใกลช้ ิดกบั ศาสนาอย่มู าก แมใ้ นปัจจุบนั ละคร แทรจิดี ทีมีความสมบูรณ์ยงั สามารถให้ความรู้สึกสูงส่ง และความบริสุทธิทางจิตใจไดด้ ว้ ยการชีชวนแกม บงั คบั ให้ มองปัญหาสาํ คญั ๆ ของชีวติ ทาํ ใหไ้ ดต้ ระหนกั ถึงคุณ ค่าของความเป็ นมนุษย์ กลา้ เผชิญความจริง เกียวกบั ตนเองและโลก และมองเห็นความสาํ คญั ของการดาํ รงชีวติ อยา่ งมีคุณค่าสมกบั ทีไดเ้ กิดมาเป็นมนุษย์ ลกั ษณะสําคญั ของละครประเภทโศกนาฎกรรม 1. ตอ้ งเป็นเรืองทีแสดงถงึ ความทุกขท์ รมานของมนุษย์ และจบลงดว้ ยความหายนะของตวั เอก 2. ตวั เอกของแทรจิดีจะตอ้ งมีความยงิ ใหญ่เหนือคนทวั ๆไป แต่ในขณะเดียวกนั ก็จะตอ้ งมีขอ้ บกพร่อง หรือขอ้ ผดิ พลาดทีเป็นสาเหตุของความหายนะทีไดร้ ับ 3. ฉากต่างๆทีแสดงถงึ ความทรมานของมนุษยจ์ ะตอ้ งมีผลทาํ ใหเ้ กิดความสงสาร และความกลวั อนั จะ นาํ ไปสู่ความเขา้ ใจชีวิต 4. มคี วามเป็นเลิศในเชิงศิลปะและวรรณคดี 5. ไดค้ วามรู้สึกอนั สูงกว่าหรือความรู้สึกผอ่ งแผว้ จริงใจ และการชาํ ระลา้ งจิตใจจนบริสุทธิ . ละครประเภทตลกขบขัน ตามหลกั ของทฤษฎีการละครทีเป็ นทียอมรับกนั โดยทวั ไปนันมกั จะถือว่า ละครประเภทตลกขบขนั แยกออกเป็น ประเภทใหญ่ๆ คือ ) ละครตลกชนิดโปกฮา (Farce) ให้ความตลกขบขนั จากเรืองราวหรือเหตุการณ์ทีเหลือเชือเป็ นการ แสดงทีรวดเร็วและเอะอะตึงตงั ) ละครตลกทีมลี กั ษณะเป็ นวรรณกรรม (Comedy) บางเรืองเป็ นวรรณกรรมชนั สูงทีนบั เป็ นวรรณคดี อมตะของโลก เช่น สุขนาฎกรรม (Romantic Comedy) ของเชกสเปี ยร์ (Shakespeare) ละครตลกประเภทเสียดสี (Satiric Comedy) ของโมลิแยร์ (Moliire) และตลกประเภทความคิด (Comedy of Ideas) ของจอร์จ เบอร์นาร์ด์ ชอว์ (George Bernard Shaw) เป็นตน้ ละครคอมเมดีมหี ลายประเภท ดงั นี
75 - สุขนาฏกรรม (Romantic Comedy) ละครคอมมาดีประเภทนีถือเป็ นวรรณกรรมชนั สูง เช่น สุข นาฎกรรมของวิลเลียม เชกเสปี ยร์ เรือง เวนิชวานิช (The Merchants of Venice) ตามใจท่าน (As You Like It) และทเวลฟร์ ไนท์ (Twlfth Night) เป็ นตน้ ละครประเภทนีนิยมแสดงในเรืองราวทีเต็มไปดว้ ยจินตนาการและ ความคิดสร้างสรรค์ แต่ก็เป็ นเรืองราวทีน่าเชือสมเหตุสมผล ตวั ละครประกอบด้วยพระเอกนางเอกทีมีความ สวยงามตามอุดมคติ พูดจาดว้ ยภาษาทีไพเราะเพราะพริง และมกั จะตอ้ งพบกบั อุปสรรคเกียวกบั ความรักใน ตอนตน้ แต่เรืองกจ็ บลงดว้ ยความสุข ซึงมกั จะเป็ นพิธีแต่งงานหรือเฉลิมฉลองทีสดชืนรืนเริง บทบาทสาํ คญั ที ดึงดูดความสนใจและเรียกเสียงหัวเราะจากคนดูในละครประเภทสุขนาฏกรรมนี มกั ไปตกอยู่กบั ตวั ละคร ทีมีลกั ษณะเป็นตวั ตลกอยา่ งแทจ้ ริงซึงไมใ่ ช่ตวั พระเอก หรือนางเอก ตวั ตลกเหลา่ นีรวมถึงตวั ตลกอาชีพ (Clown) ทีมหี นา้ ทีทาํ ใหค้ นหวั เราะดว้ ยคาํ พดู ทีคมคายเสียดสี หรือ การกระทาํ ทีตลกโปกฮา - ละครตลกชนั สูง (Hight Comedy) หรือตลกผดู้ ี (Comedy of Manners) เป็นละครทีลอ้ เลียนเสียดสีชีวิต ในสังคม เฉพาะอย่างยิงในสังคมชันสูง ซึงมีกฎเกณฑ์ขอ้ บงั คบั มากมาย ความสนุกสนานขบขันของผชู้ ม เกิดจากการทีไดเ้ ห็นวิธีการอนั แยบยลตางๆ ทีตวั ละครในเรืองนาํ มาใชเ้ พือหลีกเลยี งกฎขอ้ บงั คบั ของสงั คม - ละครตลกประเภทเสียดสี (Satiric Comedy) ละครตลกประเภทนีมีลกั ษณะใกลเ้ คียงกบั ตลกชนั สูง แต่เนน้ การเสียดสีโจมตีวธิ ีการทีรุนแรงกว่า ในขณะทีละครตลกชนั สูงมุ่งลอ้ เลียนพฤติกรรมของคนในวงสงั คม ชนั สูง ละครตลกเสียดสีจะมุ่งโจมตีขอ้ บกพร่องของมนุษยโ์ ดยทวั ไป ไม่จาํ กดั ว่าจะตอ้ งอย่ใู นแวดวงสงั คมใด ละครตลกประเภทนีมุ่งทีจะแกไ้ ขสิงบกพร่องในตวั มนุษยแ์ ละสงั คม ดว้ ยการนาํ ขอ้ บกพร่องดงั กล่าวมาเยาะเยย้ ถากถางให้เป็ นเรืองขบขนั และน่าละอาย เพือทีว่าเมือไดด้ ูละครประเภทนีแลว้ ผชู้ มจะไดม้ องเห็นขอ้ บกพร่อง ของตนเกิดความละอายใจ และพยายามปรับปรุงแกไ้ ขต่อไป - ละครตลกประกอบความคิด (Comedy Ideas) ละครตลกประเภทนีใชว้ ิธีลอ้ เลียนเสียดสี แต่เนน้ การ นําเอาความคิดความเชือของมนุษย์ทีผิดพลาดบกพร่ องหรื อล้าสมัย มาเป็ นจุดทีทําให้ผูช้ มหัวเราะ โดยมีวตั ถปุ ระสงคท์ ีจะทาํ ใหผ้ ชู้ มกลบั ไปคิดแกไ้ ขขอ้ บกพร่องในความคิดความเชือของตนเองและของสังคม โดยส่วนรวม จึงเรียกละครประเภทนีอีกอยา่ งหนึงว่า “ละครตลกระดบั สมอง (Intellectual Comedy) ซึงจดั อยใู่ น ระดบั วรรณกรรมเช่นกนั นกั เขียนทีเป็นผนู้ าํ ในการประพนั ธล์ ะครตลกนี ไดแ้ ก่ จอร์จ เบอร์นาร์ด ซอร์ (George Bernard Shaw) - ละครตลกประเภทสถานการณ์ (Situation Comedy) ละครตลกประเภทนีมกั เกิดจากเรืองราวทีสบั สน อลเวงประเภทผดิ ฝาผดิ ตวั ซึงส่วนใหญ่เป็ นเรืองบงั เอิญแทบทงั สิน ลกั ษณะของการแสดงก็มกั จะออกท่าออก ทางมากกวา่ ตลกชนั สูง - ละครตลกประเภทโครมคราม (Slapstick Comedy) ละครตลกประเภทนีมีลกั ษณะเอะอะตึงตงั มกั มี การแสดงประเภทวงิ ไลจ่ บั กนั และการตีก็มกั จะทาํ ใหเ้ กิดเสียงอกึ ทึกครึกโครมมากวา่ ทีจะทาํ ใหใ้ หใ้ ครเจ็บจริงๆ ละครประเภทนีมคี วามแตกต่างจากคอเมดีชนั สูงมาก และมคี วามใกลเ้ คียงไปทางละครฟาร์สมากกว่า - ละครรักกระจุ๋มกระจิม (Sentimental Comdy) และละครตลกเคลา้ นาํ ตา (Tearful Comedy) ละครตลก ประเภทนี จดั อยใู่ นประเภทละครเริงรมยท์ ีเขียนขึน เพือใหถ้ กู ใจตลาดเช่นเดียวกบั ละครชีวติ ประเภทเมโลดรามา
76 (Melodrama) และมลี กั ษณะใกลเ้ คียงไปทางเมโลดรามามากกวา่ คอมเมดี เพราะผเู้ ขียนใหค้ วามเห็นอกเห็นใจกบั ตวั เอกมาก ผดิ กบั ลกั ษณะของการเขียนประเภทคอมมาดี ซึงมกั จะลอ้ เลยี น หรือเสียดสีโดยปราศจากความเห็นใจ และความตลกของตวั เอก และความตลกของตวั เอกมกั จะน่าเอน็ ดู ส่วนใหญ่แลว้ ตลกมกั จะมาจากตวั คนใชห้ รือ เพอื นฝงู ของพระเอกนางเอกมากกว่า . ละครอิงนิยาย (Romance) เป็ นเรื องราวทีมนุษย์ใฝ่ ฝันจะได้พบมากกว่าทีจะได้พบจริ งๆ ในชีวิตประจาํ วนั ละครประเภทนีมีลกั ษณะทีหลีกไปจากชีวิตจริงไปสู่ชีวิตในอุดมคติ รูปแบบของละคร โรมานซน์ ิยมการสร้างสรรคอ์ ยา่ งมีสาระเตม็ ทีโดยไมย่ ดึ ถอื กฎเกณฑใ์ ดๆ ผเู้ ขียนบทละครสามารถวางโครงเรือง โดยนําเหตุการณ์มาต่อกันเป็ นตอนๆ ในด้านภาพและเสียงและมกั เป็ นบททีนาํ ไปจัดแสดงดว้ ยฉาก แสง สี และเครืองแต่งกายทีงดงามตระการตา ส่วนในดา้ นการแสดง ละครโรมานซ์นิยมใชก้ ารเคลือนไหวทีนุ่มนวล คล่องแคล่ว งดงาม และไม่พยายามลอกเลยี นการกระทาํ ทีใกลเ้ คียงกบั ชีวิตจริงจนเกนิ ไป อาจใชล้ ลี าทีสร้างสรรค์ ขึนใหม้ ีความงดงามมากกว่าชีวิตจริงและเป็นสญั ลกั ษณ์ของสิงทีตอ้ งการจะสือต่อผชู้ ม . ละครประเภทเริงรมย์ (Melodrama) หมายถึงละครทีถอื ความสาํ คญั ของโครงเรือง (Plot) หรือความ สนุกสนานของการดาํ เนินเรืองเป็ นสาํ คญั ตวั ละครมีความสาํ คญั ลองลงมา จึงใชต้ วั ละครเป็ นเครืองมือในการ เล่าเรือง ทีสนุกสนาน และเพือให้เขา้ ใจง่าย ติดตามท้องเรืองได้ง่าย จึงนิยมใชต้ วั ละครประเภท “ตายตวั ” (Typed Characters) เช่นพระเอก นางเอก ผรู้ ้าย เป็นตน้ . ละครสมยั ใหม่ (Modern drama) มแี นวทางดงั นี ) ละครสมัยใหม่แนว “เหมือนชีวิตหรือเป็ นธรรมชาติ” (Realism/Naturalism) หมายถึง ละคร สมยั ใหม่ทีพยายามมองชีวิตดว้ ยความเป็ นกลาง แลว้ สะทอ้ นภาพออกมาในรูปของละครตามความเป็ นจริง โดยไมเ่ สริมแต่งหรือบิดเบือน ตลอดจนใชว้ ธิ ีการจดั เสนอทีทาํ ใหล้ ะครมีความใกลเ้ คียงกบั ชีวิตมากทีสุด การเริมตน้ ละครยคุ สมยั ใหม่ ในราวปลายศตวรรษที บรรดาผนู้ าํ ในดา้ นละครสมยั ใหม่ต่างก็พากนั เรียกว่า “ละครคือชีวิต” (Theatre is life itself) และการแสดงละครทีถูกตอ้ งคือการนาํ เอา “แผ่นภาพชีวิต” (Slice of Life) ทีเหมอื นจริงทุกประการมาวางบนเวทีโดยไมม่ ีการดดั แปลง ) ละครสมยั ใหม่แนว “ต่อต้านชีวิตจริง” (Anti-realism) เกิดขึนเมือราวปลายคริสต์ศตวรรษที มหี ลายแนวดงั นี - ละครแนวสญั ลกั ษณ์ (Symbolism) เป็ นละครทีใชส้ ญั ลกั ษณ์ในการนาํ เสนอความเป็ นจริงแทนทีจะ หลอกภาพทีเหมือนมาแสดงแต่อ่างเดียว แต่จะอวดอา้ งว่า “ความจริง” ทีเสนอโดยใชส้ ัญลกั ษณ์ทีลึกซึงกว่า ความจริงทีไดม้ าจากการลอกเลียนแบบธรรมชาติโดยใชท้ งั การสมั ผสั นอกจากจะคดั คา้ นการลอกแบบชีวิตจริง มาใช้ในการประพนั ธ์แลว้ ยงั คัดค้านการสร้างฉากทีเหมือนจริง ตลอดจนการเน้นรายละเอียดและการใช้ ขอ้ ปลกี ยอ่ ยเกียวกบั กาลเวลาและสถานทีในการเสนอละครมากเกินไป นิยมใชฉ้ าก เครืองแต่งกายทีดูเป็นกลางๆ ไม่จาํ เพาะเจาะจงว่าเป็ นยุคใด แต่จะเน้นการใชอ้ ารมณ์ บรรยากาศ และทาํ ให้ฉาก แสง สี เครืองแต่งกายเป็ น สญั ลกั ษณ์
77 - ละครแนวโรแมนติก (Romantic) หรือโรแมนติซิสม์ (Romantism) สมยั ใหม่ เป็ นละครทีสะทอ้ นให้ เห็นจินตนาการ ความใฝ่ ฝัน และอุดมคติทีมีอย่ใู นตวั มนุษย์ แทนทีจะใหเ้ ห็นแต่อาํ นาจฝ่ ายตาํ หรือตกเป็ นทาส ของสิงแวดลอ้ ม - ละครแนวเอกสเพรสชนั นิสม์ (Expressionism) เป็ นละครทีเสาะแสวงหาความจริงส่วนลึกของสมอง และจิตใจมนุษย์ ซึงอาจจะไมเ่ หมอื นกบั ความจริงทีเห็นหรือจบั ตอ้ งได้ฉากในละครบางครังจึงมลี กั ษณะบูดเบียว และมีขนาดแตกต่างไปจากความเป็นจริงมาก คือ เป็นภาพทีถกู บิดเบือนไปตามความรู้สึกนึกคิดหรืออารมณ์ของ ตวั ละคร ละครประเภทนีไมใ่ ชก้ ารแสดงแบบเหมอื นชีวิตหรือเป็นธรรมชาติ แต่อาจใหต้ วั ละครใส่หน้ากากหรือ เคลือนไหวแบบหุ่นยนต์ หรือแสดงการเคลอื นไหวแบบอนื ๆทีเห็นวา่ เหมาะสม - ละครแนวเอพิค (Epic) เป็ นละครทีมีอิสระในดา้ นลีลาการแสดง บทเจรจา และเทคนิคของการจัด เสนอทีทาํ ให้ดูห่างไกลจากแนวเหมือนชีวิต แต่ยงั คงเสนอเรืองราวทีติดตามได้ มีเหตุผลตามสมควรและมี ภาพสะทอ้ นเกียวกบั โลกและมนุษยเ์ สนอต่อผชู้ ม แบร์โทลท์ เบรซท์ นักเขียนชาวเยอรมนั เป็ นคนสาํ คญั ทีสุดที ทาํ ใหล้ ะครแนวเอพิคไดร้ ับความนิยมแพร่หลายทวั โลก - ละครแนวแอบเสิร์ด (Absurd) เป็ นละครทีมีแนวการนาํ เสนอแบบตลกขบขันดว้ ยลีลาของจาํ อวด แบบเก่าแก่ แต่เนือหาสาระแสดงใหเ้ ห็นความสบั สนวุ่นวายของโลก ความวา่ งเปล่าไร้จุดหมายของชีวิต การใช้ ภาษามกั แสดงใหเ้ ห็นความบกพร่องและการเสือมค่าของภาษา จนถึงขนาดทีว่าภาษาในโลกปัจจุบนั นันใชส้ ือ ความหมายแทบไมไ่ ดเ้ ลย การดูละครแนวแอบเสิร์ด จึงคลา้ ยกบั การดูภาพเขียนประเภทแอบเสิร์ด จึงคลา้ ยกบั การดภู าพเขียนประเภทแอบสแทรคท์ (Abstract) คือผดู้ จู ะตอ้ งตีความหมายทุกอยา่ งดว้ ยตนเอง นาํ เอาความคิด ความรู้สึกและประสบการณ์ของตนเขา้ มามีส่วนในการ “เขา้ ถึง” ดงั นันผชู้ มแต่ละคนจึงอาจแปลความหมาย ทีไดร้ ับจากการดูละครแอบเสิร์ดเรืองเดียวกันแตกต่างกนั ไปขึนอยกู่ บั จินตนาการ ภูมิหลงั และเจตคติของ แต่ละคน การจดั การแสดงละคร การจดั การแสดงละคร หมายถึง การนาํ บทละครหรือเรืองราวทีมีอย่มู าจดั เสนอในรูปของการแสดง ณ สถานทีใดทีหนึง ซึงอาจจะเป็นโรงละครหรือสถานทีทีสามารถจดั แสดงใหผ้ ชู้ มชมได้ ผ้ชู มละคร คือ ผรู้ ับรู้คุณค่าของละครและมปี ฏกิ ิริยาตอบโตต้ ่อคุณค่านนั ๆ โดยการนาํ ไปกล่อมเกลานิสยั ใจคอ รสนิยม หรือเจตคติของตนเองทีมีต่อสิงต่างๆในชีวติ ในขณะเดียวกนั ผชู้ มคือผทู้ ีวิจารณ์การละคร ปฏิกิริยา ของผชู้ มทีมตี ่อละครจึงมีอิทธิพลต่อผสู้ ร้างสรรคล์ ะครเป็นอยา่ งมาก
78 เรืองที ละครกับภูมปิ ัญญาสากล สมาคมการละครเพือการศึกษาของประเทศสหรัฐอเมริกา (American Alliance for -Theatre and Education) ไดใ้ หค้ าํ นิยามของละครสร้างสรรคไ์ วว้ า่ ละครสร้างสรรค์ (Creative Drama) หมายถึง รูปแบบของละครชนิดหนึงทีเกิดจากการด้นสด (Improvisation) การไมพ่ ยายามอวดผชู้ ม (Nonexhibitional) การใชก้ ระบวนการเรียนรู้ (Process-centered) โดยมี ผนู้ าํ ช่วยชีนาํ ให้ผรู้ ่วมกิจกรรมไดใ้ ชจ้ ินตนาการเพือเล่นบทบาทสมมติและเพือสะทอ้ นถึงประสบการณ์ของ มนุษย์ ผนู้ าํ มีหนา้ ทีช่วยเหลอื และแนะนาํ ใหผ้ รู้ ่วมกิจกรรมนนั สาํ รวจขอ้ มลู พฒั นาวิธีการแสดงออกเพือสือสาร ความคิดและความรู้สึกโดยการใชล้ ะครซึงเกิดจากการดน้ สดดว้ ยท่าทางและคาํ พดู เพือทีจะคน้ หาความหมาย หรือสจั ธรรมอนั เกียวกบั ประสบการณ์ชีวิต กิจกรรมในละครสร้างสรรคเ์ ป็นกระบวนการ (Process) ทีมขี นั ตอนทาํ กิจกรรมโดยผรู้ ่วมกิจกรรมเป็ น ศูนยก์ ลางนัน มกั จะเริมตน้ จากสิงทีผูเ้ รียนมีความรู้หรือ คุน้ เคยอย่แู ลว้ จากนันผนู้ ําจึงจะจัดประสบการณ์ เชือมโยงจากสิงทีผรู้ ่วมกิจกรรมรู้จกั อยู่แลว้ ไปสู่การเรียนใหม่ๆ ทีกวา้ งขึนและลึกซึงขึน และมุ่งหวงั ทีจะ พฒั นาการทาํ งานของสมองทงั สองซีกไปอยา่ งสมดุล โดยภาพรวมละครสร้างสรรค์มกั จะเริมดว้ ยการใชป้ ระสบการณ์จากประสาทสัมผสั ทงั (Sensory Recall) การใชค้ วามทรงจาํ (Memory Recall) นาํ ไปสู่จินตนาการ (Imagination) และความคิดสร้างสรรค์ (Creativity) ซึงนําไปสู่การสวมบทบาทสมมติ (Role Play) ภายใตส้ ถานการณ์และกติกาทีตกลงร่วมกนั ก่อใหเ้ กิดการแสดงในแบบดน้ สด ซึงตอ้ งใชจ้ ินตนาการผนวกกบั การใชป้ ฏิภาณ จนกระทงั นาํ ไปสู่ความเขา้ ใจ ในสถานการณ์นนั ๆ มากขึนในทีสุดกระบวนการประเมินผลในตอนทา้ ยนนั ก็ช่วยใหผ้ รู้ ่วมกิจกรรมไดใ้ ชท้ กั ษะ การคิดวิเคราะห์อยา่ งมีวิจารณญาณและไม่ว่าเป้ าหมายในการจดั กิจกรรมและละครสร้างสรรคใ์ นแต่ละครัง จะเป็นอยา่ งไรก็ตาม สิงหนึงทีผนู้ าํ กิจกรรมควรจะตอ้ งทาํ ก่อนเริมกิจกรรมในขนั ตอนแรกคือ การเตรียมความ พร้อม (Warm-up) ร่างกายและสมาธิใหก้ บั ผรู้ ่วมกิจกรรม การเตรียมร่างกายและจิตใจเป็ นขนั ตอนสาํ คญั มาก ก่อนทีจะเริมกิจกรรมหลกั อืนๆ ผนู้ าํ ไม่ควรมองข้ามความสาํ คญั ของขันตอนนี ตวั อย่างกิจกรรมการเตรียม ความพร้อม เช่น การเดิน การวิงเบาๆ การยดื เสน้ ยดื สายแบบง่ายๆหรือเป็ นการเล่นเกมส์ต่างๆ เมือเตรียมความ พร้อมอบอุน่ ร่างกายเสร็จแลว้ จะตามดว้ ยกระบวนการต่อไปนี คือ กิจกรรมจูงใจ (Motivation) กิจกรรมเตรียม ทกั ษะละคร (Predrama) และกิจกรรมละคร (Drama Playing) และการประเมินผล (Evaluation) ซึงมีรายละเอียด ดงั นี .กจิ กรรมจูงใจ (Motivation) หมายถึงการใชค้ าํ ถามหรือสือประเภทต่างๆในการกระตุน้ ความสนใจ ของผรู้ ่วมกิจกรรมเพอื ใหผ้ รู้ ่วมกิจกรรมเกิดความตอ้ งการทีจะเรียนรู้หรือทาํ ความเขา้ ใจกบั ประเด็นทีไดถ้ ูกหยบิ ยกขึนมา ขนั ตอนในในการสร้างแรงจงู ใจนีอาจจะเริมตน้ ดว้ ยการถามคาํ ถามทีเร้าปฏกิ ิริยาตอบสนอง เพือดึงใหผ้ ู้ ร่วมกิจกรรมมีส่วนเริมตงั แต่แรกเริม จากนันผนู้ าํ กิจกรรมอาจจะนาํ เสนอขอ้ มูลทีจะจาํ เป็ นต่อการแสดงใน ช่วงทา้ ย “ขอ้ มูล” ทีว่านี หมายถึง สือทีสะทอ้ นให้เห็นถึงประเด็นทีจะนําไปสู่การอภิปราย หรือการเรียนรู้
79 ตามเป้ าหมายทีไดว้ างไว้ สือทีว่านีมีหลายรูปแบบ เช่น เกมส์ นิทาน บทกวี บทเพลง วีดีทศั น์ บทสัมภาษณ์ ข่าวสาร บทความ เรืองสนั ภาพจาํ ลอง แผนผงั เป็นตน้ ผนู้ าํ ตอ้ งพิจารณาตามความเหมาะสมเองวา่ จะใชข้ อ้ มลู ใด เวลาเท่าไร และอยา่ งไร เพอื เป็นการปูพนื ฐานและสร้างแรงจงู ใจในการแสวงหาคาํ ตอบให้กบั ผรู้ ่วมกิจกรรมให้ มากทีสุด กจิ กรรมจงู ใจ แบ่งออกเป็น ประเภท คือ ) การเคลอื นไหว (Movement and Game) ไดแ้ ก่ท่าใบ้ (Pantomime) การเคลือนไหวสร้างสรรค์ (Creative Movement) การเล่นเกมส์ (Game) การทาํ ท่าทางการเคลือนไหวประกอบจงั หวะดนตรี หรือเพลง (Movement with music and song) ) การใช้ภาษา (Language or Word Games) ไดแ้ ก่ การถามคาํ ถามการเล่านิทาน (Story Telling) ดว้ ย เทคนิคต่างๆ การร้องเพลง (Song) การอ่านบทกลอน คาํ สุภาษิต คาํ ร้องในการละเล่น และการไขปริศนาคาํ ทาย (Riddles) ) การใช้สือต่างๆ เช่น ใชห้ ุ่น สิงพิมพ์ ภาพเขียน ถา่ ยภาพ แผน่ พบั เป็นตน้ . กิจกรรมเตรียมทักษะละคร (Per-drama) ก่อนทีจะไปถึงขนั ตอนการแสดงละครนันผนู้ าํ กิจกรรม ควรวางแผนไวว้ ่าจะใหผ้ รู้ ่วมกิจกรรมเตรียมตวั ในเรืองใดบา้ ง เช่น เตรียมพร้อมร่างกาย การทาํ ความเขา้ ใจกบั ละครทีจะแสดง การจดั เตรียมพนื ทีสาํ หรับแสดง การคดั เลือกผแู้ สดง ตลอดจนการฝึ กซอ้ มบทบาทในบางตอน ตามความจาํ เป็ น การทีผูน้ ํากิจกรรมจะเตรี ยมความพร้อมกับผูร้ ่วมกิจกรรมอย่างไรบา้ งนัน จาํ เป็ นต้อง จินตนาการไปล่วงหนา้ ใหเ้ ห็นภาพของการแสดงละครในหอ้ งทาํ กิจกรรมนนั ภายในระยะเวลาและองคป์ ระกอบ ทางเทคนิคทีจาํ กดั เพือจะไดแ้ สดงละครทีใชด้ น้ สดไดอ้ ยา่ งมีประสิทธิภาพและบรรลุเป้ าหมายทีประสงค์ . กจิ กรรมละคร (Drama Playing) เมือมีการเตรียมความพร้อมมาพอสมควรแลว้ ผรู้ ่วมกิจกรรมก็จะมี ความมันใจและความพร้อมทีจะแสดง ผูน้ ํากิจกรรมควรสร้างบรรยากาศทีปลอดภัย อบอุ่นเป็ นกันเอง เพือทีจะให้ทงั ผแู้ สดงและผชู้ มซึงเป็ นผมู้ าร่วมด้วยกนั นัน สามารถทุ่มเทสมาธิให้กบั ละครทีกาํ ลงั จะเกิดขึน ภายในหอ้ งทาํ กิจกรรม ในการแสดงละครสร้างสรรคผ์ นู้ าํ กิจกรรมควรมคี วามเขา้ ใจทีถูกตอ้ งว่าการแสดงละคร สร้างสรรคน์ นั ไม่ใช่การแสดงละครเวที ดงั นนั จึงไมจ่ าํ เป็นตอ้ งกงั วลเกียวกบั ความสมบูรณ์แบบของการแสดง แต่จาํ เป็ นตอ้ งเขา้ ใจว่าการแสดงแต่ละครังจะนาํ ไปสู่เป้ าหมายและวตั ถุประสงค์ทีตงั ไดอ้ ยา่ งไร ตวั อย่างเช่น การนาํ เรืองหนูนอ้ ยหมวกแดงมาเป็ นแรงจูงใจในการทาํ ละคร ผนู้ าํ กิจกรรมอาจตอ้ งให้ผรู้ ่วมกิจกรรมพฒั นา ทกั ษะการพดู ดน้ สด โดยกระทาํ ภายใตโ้ ครงเรืองทีง่ายและตวั ละครทีไม่ซบั ซอ้ น ในการแสดงละครจึงอาจให้ผู้ ร่วมกิจกรรมแสดงโดยตลอดทงั เรือง เพือให้ เป็นการฝึกฝนทกั ษะการดน้ สด แต่ถา้ หากเรืองหรือนิทานทีนาํ มาใช้ เป็ นแรงจูงใจทีมีความยาวมาก ก็อาจจะเป็ นอุปสรรคต่อการแสดงภายในเวลาทีจาํ กดั ได้ ดงั นนั ผนู้ าํ กิจกรรม อาจจะเลือกแสดงเฉพาะบางตอนโดยเฉพาะตอนทีกระตุน้ ใหเ้ กิดการดน้ สดทีมีคุณภาพ กล่าวคือ เป็นการดน้ สดที นาํ ไปสู่ประเดน็ การพดู คุย อภิปรายในช่วงต่อไปได้ จะเหน็ ได้ว่า ผนู้ าํ กิจกรรมจะตอ้ งรู้จกั จินตนาการและเลือกเฟ้ นว่าจะใหผ้ รู้ ่วมกิจกรรมแสดงละครเรือง อะไรตอนไหนเพอื ทีจะนาํ ไปสู่การประเมนิ ผลทีมคี ุณภาพ แต่ในการแสดงออกอย่างไรนันผนู้ าํ กิจกรรมควรจะ
80 ปล่อยให้ผูแ้ สดงมีอิสรภาพในการแสดงโดยไม่จาํ เป็ นต้องเข้าไปกาํ กับการแสดงมากจนเกินความจาํ เป็ น แต่อาจจะทาํ หนา้ ทีคลา้ ยกบั กรรมการการแสดงละครมากกว่า เพอื ทีจะดูวา่ ผรู้ ่วมกิจกรรมไดใ้ หค้ วามร่วมมือใน การทาํ กิจกรรมนนั ตามกติกาทีตกลงกนั ไวไ้ ดห้ รือไม่ ประโยชน์ของการสร้างสรรค์ ประโยชนข์ องละครสร้างสรรคม์ มี ากมาย โดยจะกลา่ วแบบกวา้ งๆ ไดด้ งั นี . ละครสร้างสรรค์พฒั นาจนิ ตนาการและความคดิ สร้างสรรค์ จินตนาการเป็นจุดเริมตน้ ทีสาํ คญั ก่อนจะ ไปถึงขนั ตอนของการลงมอื ทาํ จนิ ตนาการ คือ ความสามารถในการขา้ มพน้ ขอบเขตและสภาวะแห่งปัจจุบนั คือ ความสามารถทีจะมองเห็นตวั เองในสถานการณ์ใหมๆ่ หรือมองเห็นตวั เองในชีวิตของผอู้ ืน ความคิดสร้างสรรค์ หมายถงึ ความคิดหรือการกระทาํ ในสิงทีใหม่โดยไม่ซาํ แบบหรือเลียนแบบใคร ในระยะแรกเริมของการฝึ กใชจ้ ินตนาการนันผรู้ ่วมกิจกรรมควรจะเริมตน้ จินตนาการในสิงทีตนเอง มปี ระสบการณ์มาก่อน โดยเฉพาะอยา่ งยงิ ประสบการณ์จากการใชป้ ระสาทสมั ผสั ทงั จะช่วยให้เกิดจินตภาพ ซึงเป็ นบ่อเกิดแห่งการขยายจินตนาการใหก้ วา้ งไกลและลึกซึงในลาํ ดบั ต่อๆไป การเล่นบทบาทสมมติจึงเป็ น ส่วนหนึงของการฝึกพฒั นาจินตนาการและความคิดสร้างสรรค์ . ละครสร้างสรรค์พฒั นาทักษะการคิด การคิดเป็ น ทาํ เป็ น และการแกป้ ัญหาเป็ น เป็ นกระบวนการ ซึงเป็นเครืองมือสาํ คญั ในการเรียนรู้ของผรู้ ่วมกิจกรรมทุกคน ดงั นนั การสอนกระบวนการคิดจึงเป็นสิงจาํ เป็ นที ผนู้ ํากิจกรรมทุกคนต้องเข้าใจ เนืองจากกระบวนการของละครสร้างสรรค์นันต้องอาศยั ทักษะในการถาม อยา่ งสร้างสรรคจ์ ากผนู้ าํ กิจกรรม กระบวนการคิดมกั จะเกิดขึนเมือผรู้ ่วมกิจกรรมถูกถามดว้ ยคาํ ถามทีชวนคิด ซึงเป็ นคาํ ถามทีทาํ ให้เกิดการแสวงหาคาํ ตอบ กระบวนการคิดในละครสร้างสรรคเ์ กิดขึนอย่แู ทบตลอดเวลา ความซับซอ้ นหรือระดบั ของการคิดนันขึนอย่กู บั ลกั ษณะของกิจกรรมและลกั ษณะของคาํ ถาม ตวั อย่างเช่น หลงั จากทีผนู้ าํ กิจกรรมเลน่ นิทานใหผ้ รู้ ่วมกิจกรรมฟังเรียบร้อยแลว้ ผนู้ าํ กิจกรรมอาจจะใหผ้ รู้ ่วมกจิ กรรมลองคิด หาวิธีการในการนาํ นิทานมาจดั แสดงเป็นละครภายในเวลาทีกาํ หนด หลงั จากนนั อาจมคี าํ ถามทีชวนคิดทีเกียวกบั ละครทีแสดงจบไปแลว้ เพือให้ผรู้ ่ วมกิจกรรมรู้จกั การคิดในหลายลกั ษณะ เช่น คิดคล่อง คิดหลากหลาย คิดละเอียด คิดอยา่ งมเี หตุผล คิดถกู ทาง คิดกวา้ ง คิดลึกซึง คิดไกล เป็นตน้ . ละครสร้างสรรค์พัฒนาทักษะของการสือสารกับผู้อืน กิจกรรมของละครสร้างสรรคส์ ่วนใหญ่เป็ น กิจกรรมทีอาศยั ทกั ษะของการเคลือนไหว การพูด การอ่าน โดยการกระทาํ เป็ นกลุ่ม ทุกๆ ขนั ตอนในการ วางแผนของกลุ่ม ทุกคน จะต้องระดมความคิด ระดมสมอง และรับฟังความคิดเห็นของผูอ้ ืน มีการเสนอ ความคิดเห็น สร้างข้อตกลงร่วมกนั เพือนําเสนอออกมาเป็ นชินงานทีจะสือสารกบั ทุกคน ในห้องกิจกรรม และภายในกระบวนการแสดงละครสร้างสรรค์ นนั ผสู้ วมบทบาทสมมติก็ตอ้ งตงั ใจฟังตวั ละครอืน ๆ เพือทีจะ สามารถตอบโตด้ ว้ ยการดน้ สดได้
81 . ละครสร้างสรรค์พัฒนาทักษะทางสังคม ทุกครังทีผรู้ ่วมกิจกรรมทาํ งานร่วมเป็ นกลุ่ม การเรียนรู้ เกียวกบั สมาชิกในกลุม่ ยอ่ มเกิดขึนโดยธรรมชาติ โดยเริมเรียนรู้ทีจะเปิ ดใจใหก้ วา้ ง รับฟังความคิดเห็นของผอู้ ืน และรู้จกั ทีจะเป็นผเู้ สียสละหรือเป็นผใู้ หแ้ ก่กลมุ่ เพือผลของงานทีดี กระบวนการกลุ่มทาํ ให้สมาชิกในกลุ่มเขา้ ใจ ความหมายของการพงึ พาซึงกนั และกนั . ละครสร้างสรรค์พฒั นาการมองคณุ ค่าเชิงบวกในตนเอง เนืองจากกระบวนการของละครสร้างสรรค์ นนั ใหโ้ อกาสผรู้ ่วมกิจกรรมทุกคนมีส่วนร่วม นบั ตงั แต่การแสดงความคิดเห็น การวางแผน การมีปฏิสัมพนั ธ์ และการไดแ้ สดงออกอยา่ งเป็นตวั ของตวั เองภายใตบ้ รรยากาศทีปลอดภยั และเป็นกนั เอง ผนวกกบั ปฏกิ ิริยาในแง่ บวกคาํ ชืนชม การให้กาํ ลงั ใจซึงกนั และกนั ทาํ ใหผ้ รู้ ่วมกิจกรรมเกิดความรู้สึกทีดีเกียวกบั ตวั เอง พฒั นาการที เกียวกบั การมองเห็นคุณค่าของตนนนั เป็นพืนฐานสาํ คญั ของความมนั คงในจิตใจและต่อบุคลกิ ภาพบุคคลผนู้ นั . ละครสร้างสรรค์พัฒนาการรับรู้และสร้างความเข้าใจถึงสภาพความเป็ นจริงในสังคม และช่วยให้ ตระหนักถึงปัญหาทีมีอยู่ในสังคม การไดล้ องสวมบทบาทเป็ นตัวละครต่างๆรวมทงั การได้ชมตวั ละครทีมี ตวั ละครมาปรากฏอยู่อย่างมีชีวิตชีวานัน ทาํ ให้ผรู้ ่วมกิจกรรมนันมีโอกาสเขา้ ไปอยใู่ นสถานการณ์เดียวกบั ตวั ละคร บ่อยครังทีผเู้ ขา้ ร่วมกิจกรรมจาํ เป็ นตอ้ งคาํ นึงถึงเหตุผลทีตวั ละครตดั สินใจกระทาํ สิงใดสิงหนึงหรือ เหตุผลทีตวั ละครแสดงท่าทางลกั ษณะใดลกั ษณะหนึง ทาํ ใหผ้ รู้ ่วมกิจกรรมรู้และเขา้ ใจในสภาพของตวั ละคร ลกึ ซึงดว้ ยตนเอง . ละครสร้ างสรรค์พัฒนาทักษะในการใช้ ร่างกายและการใช้ภาษา เกมส์และกิจกรรมของละคร สร้างสรรคน์ นั มกั จะเป็นแรงจูงใจทีดี ซึงช่วยใหผ้ รู้ ่วมกิจกรรมเกิดความตอ้ งการทีจะแสดงออกดว้ ยร่างกายและ ดว้ ยการใชภ้ าษาทีถกู ตอ้ งชดั เจนภายใตก้ ารเล่นบทบาทสมมติทีสนุกสนานและปลอดภยั เป็ นโอกาสทีดีทีทาํ ให้ ผนู้ าํ และผรู้ ่วมกิจกรรมไดม้ ีโอกาสเห็นความสามารถทีมีอยใู่ นตวั ของผรู้ ่วมกิจกรรมทุกคน . ละครสร้างสรรค์พฒั นาทักษะการอ่าน กิจกรรมส่วนใหญ่ของละครสร้างสรรคม์ กั จะมีจุดเริมตน้ มา จาก นิทาน คาํ กลอน บทกวี เรื องสัน หรือสารคดี ฯลฯ เรืองราวทีถูกจินตนาการแลว้ กลายมาเป็ นละคร สร้างสรรคน์ นั มกั จะสร้างความประทบั ใจทีดใี หก้ บั ผรู้ ่วมกิจกรรม เมือผรู้ ่วมกิจกรรมมีประสบการณ์เกียวกบั การ อา่ นทีดี ประสบการณ์นนั ก็จะเป็นการปลกู ฝังนิสยั รักการอ่านไดอ้ ีกทางหนึง . ละครสร้างสรรค์เป็ นจุดเริมต้นไปสู่ความเข้าใจในศิลปะของการละคร ถงึ แมว้ า่ ละครสร้างสรรคไ์ ม่ได้ มจี ุดมงุ่ หมายทีจะฝึกใหผ้ รู้ ่วมกิจกรรมไปเป็นนกั แสดง อีกทงั บรรยากาศในการจดั กิจกรรมละครสร้างสรรค์นัน จะแตกต่างจากบรรยากาศในการแสดงละครเวที ซึงละครเวทีจะมุ่งเน้นทีภาพรวมของการเป็ นละคร แต่ละคร สร้างสรรคม์ ุ่งเนน้ ทีกระบวนการเรียนรู้ของผรู้ ่วมกิจกรรม แต่การแสดงละครสร้างสรรค์ยงั มีลกั ษณะบางส่วนที เหมอื นกบั ละครเวที คือละครสร้างสรรคเ์ สนอบรรยากาศของการสมมติทีอย่บู นพืนฐานของขอ้ ตกลงร่วมกนั การแสดงละครสร้างสรรคท์ ีเกิดขึน จึงมลี กั ษณะของ “โลกสมมติ” ทีให้ความเชืออยา่ งจริงใจกบั ผชู้ ม ผทู้ ีนังชม ละครสร้างสรรคก์ จ็ ะไดเ้ รียนรู้บทบาทของการชมทีดี บทบาทของการเป็นนกั แสดงทีดี และเรียนรู้ถึงบทบาททีดี ดว้ ย การเรียนรู้เหลา่ นีลว้ นเป็นพืนฐานอนั สาํ คญั ต่อความเขา้ ใจในศลิ ปะของละคร
82 10. ละครสร้างสรรค์พฒั นาจติ ใจให้ละเอยี ดอ่อนและสร้างเสริมจริยธรรมในจิตใจ การทีผรู้ ่วมกิจกรรม ไดม้ ีโอกาสใชก้ ิจกรรมต่างๆในละครสร้างสรรคเ์ พอื ทีจะเขา้ ใจถงึ ประสบการณ์จากประสาทสัมผสั ทงั การใช้ จินตนาการทดแทนความรู้สึกของตวั เองดว้ ยความรู้สึกของผอู้ ืน การทาํ สมาธิเพือการเคลือนไหวอนั ละเอยี ดออ่ น เหลา่ นี ลว้ นแต่เป็นการสร้างความละเอียดออ่ นใหก้ บั จิตใจไปทีละนอ้ ย และนาํ ไปสู่วุฒิภาวะทางอารมณ์และทาง ความคิดไดใ้ นทีสุด . ละครสร้างสรรค์เป็ นเทคนคิ การสอนในศาสตร์อนื ๆ การเรียนรู้จากละครสร้างสรรคเ์ ป็ นการเรียนรู้ ผา่ นประสบการณ์ จึงนบั ว่าเป็นวิธีการเรียนรู้ทีไดผ้ ลดี เพราะทาํ ให้ผเู้ รียนหรือผรู้ ่วมกิจกรรมมีส่วนร่วม โดยมี จินตนาการความรู้ความเขา้ ใจ และความรู้สึกของตนเป็ นศนู ยก์ ลาง วิธีการเรียนรู้แบบนีจึงเป็ นวิธีการเรียนรู้ที ยงั ยืน ซึงครูสามารถนําเอาวิธีการของละครสร้างสรรค์มาเป็ นเทคนิคในการเรียนการสอนโดยนาํ หน่วย การเรียนรู้ทีเกิดขึนไปขยายผลต่อเนืองเขา้ สู่เนือหาวชิ าอนื ๆไดอ้ ีกดว้ ย คาํ ถามตรวจสอบความเข้าใจ . ละครสร้างสรรคห์ มายถงึ อะไร . กิจกรรมจูงใจหมายถึงอะไร . กิจกรรมจูงใจมกี ีประเภทอะไรบา้ ง 4. กิจกรรมการเตรียมทกั ษะละครของผนู้ าํ กิจกรรมตอ้ งทาํ อยา่ งไร . กิจกรรมละครมกี ารจดั การอยา่ งไรอธิบายมาพอเขา้ ใจ . จุดหมายของการทาํ ละครสร้างสรรคต์ ่างจากการสร้างละครเวทีอยา่ งไร . จินตนาการคืออะไร . ความคิดสร้างสรรคค์ ืออะไร . ละครสร้างสรรคม์ ปี ระโยชนใ์ นดา้ นใดบา้ งอธิบายมาพอเขา้ ใจ
83 เรืองที ประวัตคิ วามเป็ นมาและวิวัฒนาการของลลี าศสากล 1. ประวตั คิ วามเป็ นมาของลลี าศสากล การลีลาศมีพืนฐานมาจากการเต้นรําพืนเมือง ซึงชนแต่ละชาติแต่ละเผ่า ใชใ้ นการพิธีกรรม ต่าง ๆ แต่จากความเป็นมาไม่มีหลกั ฐานบ่งบอกว่าการลีลาศเกิดขึนเมือใด และจากการไม่มีหลกั ฐานบ่งบอกว่า การลีลาศเกิดขึนเมอื ใด และจากการคน้ พบหลกั ฐานการผนงั ถาํ ไดพ้ บว่ามนุษยม์ ีการเตน้ รํามาเป็ นเวลา , ปี มาแลว้ แต่เป็ นการเตน้ รําเพือเป็ นการประกอบกิจกรรมพิธีทางศาสนา หรือความเชือต่าง ๆ จึงกล่าวไดว้ ่า การลีลาศหรือการเตน้ ราํ น่าจะเกิดขึนมาพร้อมกบั มนุษยน์ นั เอง และไดม้ ีวิวฒั นาการมาเรือย ๆ ตามวฒั นธรรม ประเพณี และความเป็นอยขู่ องชนชาติต่าง ๆ เช่น การเตน้ รําพืนเมอื งของชาติต่าง ๆ ทีไดม้ ีการพฒั นารูปแบบให้ เป็นท่ามาตรฐานมากขึน จนเป็นรูปแบบสากลนิยม หรือการลีลาศในปัจจุบนั นนั เอง . ประเภทของลลี าศ ลลี าศแบ่งไดเ้ ป็น ประเภท คือ 2.1 การลีลาศทีเป็นจงั หวะมาตรฐานสากลนิยม แบ่งเป็น รูปแบบ คือ 1. การลลี าศแบบบอลรูม (Ballroom หรือ Standard) มี จงั หวะไดแ้ ก่ ) วอลซ์ (Waltz) 2) แทงโก (Tango) 3) สโลว์ ฟอกซท์ รอท (Slow Foxtrot) 4) เวียนนีสวอลซ์ (Viennese Waltz) 5) ควกิ สเตป็ (Quick Step) 2. การลีลาศแบบละติน – อเมริกา (Latin-Amarican) เป็ นทีนิยมแพร่หลายเนืองจากเป็ นจังหวะที สนุกสนาน คึกคกั และในบางจังหวะสามารถเตน้ ได้ โดยไม่มีพืนทีกวา้ งนัก การลีลาศ และลาติน-อเมริกา มีจงั หวะทีเป็นมาตรฐาน จงั หวะคือ ) ช่า ช่า ช่า (Cha Cha Cha) 2) แซมบา้ (Samba) 3) คิวบิน รัมบา้ (Cuban Rumba) 4) พาโซโดเบล (Paso Doble) 5) จงั หวะไจวฟ์ (Jive)
84 . การลีลาศแบบไมเ่ ป็นมาตรฐานหรือการลสี าศเพือเขา้ สงั คม มีการพฒั นามาจากการเตน้ ระบาํ พนื เมือง มอี ยู่ รูปแบบคือ ) แบบละติน-อมเริกา เป็นแบบลลี าศเพือการเขา้ สงั คมและสนุกสนาน มีจงั หวะต่างๆดงั นี เช่น จงั หวะ แมมโบ (Merenque) อาร์เจนติน่า แทงโก้ (Argentina Tango) 2) แบบอเมริกนั สไตล์ เป็นการเตน้ แบบบอลรูมและละติน เช่นเดียวกบั จงั หวะมาตรฐาน แต่มี วธิ ีหรือเทคนิคในการเตน้ ทีแตกต่างไปบา้ งตามความนิยมของชาวอเมริกนั นอกจากนีจงั หวะทีชาวอเมริกนั ใช้ เตน้ ในงานต่างๆ เช่นจงั หวะ ร็อกแอนดโ์ รล (Rock & Roll) และจงั หวะสวงิ (Swing) 3) แบบโอลดไ์ ทมแ์ ดนซ์ เป็นลกั ษณะลีลาศ ทีมวี วิ ฒั นาการมาจากการเตน้ ราํ แบบโบราณทีนิยม ใช้เต้นตามงานเลียงสังสรรค์ โดยจะจบั เป็ นคู่ แต่เวลาเต้นจะเตน้ พร้อมกนั ทุกคู่ ไปเป็ นรูปแบบวงกลมโดย ใชจ้ งั หวะหลายๆจงั หวะในการเตน้ เช่น สวิง วอลช์ (Swing Waltz) เป็นตน้
85 บทที การออกแบบกบั แนวทางการประกอบอาชีพ การออกแบบทางศิลปะสามารถนําไปประยุกต์ใช้ในการประกอบอาชีพได้หลายสาขา ดังนี งานมณั ฑนากร หรือนักออกแบบตกแต่ง (Interior-Decorator) นักออกแบบเครืองเฟอร์นิเจอร์ นักออกแบบ เครืองเรือน (Furniture Designer) และนกั ออกแบบเสือผา้ แฟชนั (Fashion-Designer) เป็นตน้ ลกั ษณะเฉพาะของอาชีพด้านการออกแบบแต่ละสาขา 1. งานมัณฑนากรหรือนักออกแบบตกแต่ง(Interior-Decorator) ทาํ งานเกียวกบั การออกแบบและ ตกแต่งภายในอาคารสาํ นกั งาน อาคารอยอู่ าศยั และบา้ นเรือน ใหเ้ ป็นไปตามความตอ้ งการของลกู คา้ 2. นักออกแบบเครืองเฟอร์ นิเจอร์ (Furniture-Designer)ทําหน้าทีออกแบบและสร้างแบบเครื อง เฟอร์นิเจอร์หรือเครืองเรือนประเภทต่างๆเพือนาํ มาผลิตเป็ นเชิงอุตสาหกรรม และเชิงพาณิชยกรรมโดยการใช้ วสั ดุทีแตกต่างกนั นาํ มาผสมผสานกนั เพอื ใหเ้ กิดความสวยงามและประโยชนใ์ ชส้ อย 3. นกั ออกแบบเสือผ้าแฟชัน (Fashion-Designer) ทาํ หนา้ ทีสร้างสรรคก์ ารออกแบบสิงทอเสือผา้ รวมทงั การออกแบบเนือผา้ หรือลายผา้ สวยงามเหมาะกบั แฟชนั แต่ละยุคสมยั ใหแ้ ก่บุคคล และวิธีการตดั เย็บหรือ ผลติ เสือผา้ สาํ เร็จรูปในทางอตุ สาหกรรมและมีการพฒั นาเพอื ใหม้ กี ารแข่งขนั กบั ตลาดต่างประเทศได้ 1. งานมณั ฑนากรหรือนักอออกแบบตกแต่ง (Interior - Decorator) ลกั ษณะของงานทที ํา มณั ฑนากรเป็ นผอู้ อกแบบการตกแต่งภายในสถานทีอยู่อาศยั หรือสถานทีทาํ งาน ต้องทาํ งานตาม ขนั ตอน และกาํ หนดเวลาชินผลงานต่างๆร่วมกบั ผวู้ ่าจา้ งดงั นี 1. บนั ทึกรายละเอียดความต้องการของลูกคา้ เพือออกแบบให้สร้างสรรคท์ ีสุดและเป็ นทีสะดุดตา ประทบั ใจและไดร้ สนิยมตรงตามความตอ้ งการของลกู คา้
86 2. ศกึ ษาโครงสร้างของงาน จดั ดาํ เนินการออกแบบตกแต่ง คาํ นวณแบบ ประมาณราคา และเลือกวสั ดุ ตกแต่งทีมีคุณภาพเหมาะสม และใหป้ ระโยชนส์ ูงสุดกบั ลกู คา้ และใหต้ รงเป้ าหมายและประโยชน์ใชส้ อย 3. ส่งแบบทีวาดและเสนองบประมาณใหล้ กู คา้ พิจารณา 4. เมือผา่ นการแกไ้ ขดดั แปลงแบบใหส้ มบรู ณ์แลว้ จึงส่งแบบใหก้ บั ช่างต่างๆเช่น ช่างไม้ หรือช่างเชือม เหลก็ ใหท้ าํ งานตามโครงสร้างทีออกแบบไว้ 5. ปฏิบตั ิงาน และประสานงานกบั ระบบและหน่วยงานทีเกียวขอ้ ง 6. ใหค้ าํ ปรึกษาแนะนาํ แก่ช่างเพือใหก้ ารออกแบบเป็นไปตามเงือนไขสญั ญา สภาพการจ้างงาน มณั ฑนากรทีรับราชการจะไดร้ ับเงินเดือนตามวุฒิการศกึ ษาถา้ ทาํ งานกบั ภาคเอกชนจะไดร้ ับ เงินเดือน ขนั ตน้ อยรู่ ะหวา่ ง15,000 - 20,000 บาทขึนอยกู่ บั ฝีมอื และประสบการณ์ในการฝึ กงาน ขณะทีกาํ ลงั ศึกษาอยแู่ ละ ไดร้ ับสวสั ดิการตามทีกฎหมายแรงงานกาํ หนด และสิทธิประโยชนอ์ ืน เช่น โบนสั ขึนอยกู่ บั ผลประกอบการ สภาพการทาํ งาน การปฏิบตั ิงานการออกแบบ ส่วนมากตอ้ งทาํ งานทงั ในและนอกสาํ นักงาน เช่น ในอาคาร ในสถานที กาํ ลงั ตกแต่งอาจตอ้ งใชค้ อมพิวเตอร์และโปรแกรมช่วยในการออกแบบ คณุ สมบัตขิ องผ้ปู ระกอบอาชีพ ผปู้ ระกอบอาชีพมณั ฑนากรหรือนกั ออกแบบตกแต่งตอ้ งมคี ุณสมบตั ิดงั นี 1. มีคุณวุฒิการศึกษาระดับปริ ญญาตรี คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ สาขาตกแต่งภายใน หรื อ มปี ระสบการณ์ในดา้ นการออกแบบตกแต่งสูงมาก่อน 2. มคี วามคิดสร้างสรรค์ ผลติ ผลงานทีไม่เหมอื นใคร เป็นคนมคี วามละเอียดรอบคอบ 3. มีความสามารถในการรู้จกั ประยกุ ตใ์ ชว้ สั ดุทีมีในประเทศ เพือแสดงเอกลกั ษณ์และประโยชน์ ใชส้ อย สูงสุด 4. มที กั ษะในการใชโ้ ปรแกรมคอมพวิ เตอร์ในการช่วยวาดรูปหรือออกแบบหรือมคี วามสามารถในการ เขียนภาพหรือออกแบบสูง 5. มีระเบียบวินยั เขา้ ใจถึงการบริการทางธุรกิจ 6. มีมนุษยสมั พนั ธท์ ีดี ใหค้ วามร่วมมอื กบั ทีมงานดี และมคี วามสามารถในการประสานงาน 7. มีวิสยั ทศั น์กวา้ งไกลและปรับปรุงความรู้ความสามารถอยตู่ ลอดเวลา 8. รู้แหล่งขอ้ มลู หรือแหลง่ ผลติ และจาํ หน่ายวตั ถดุ ิบเพือซือหาวตั ถดุ ิบมาใชใ้ นผลงาน 9. ออกแบบตกแต่งภายในอาคารบา้ นเรือนใหถ้ กู หลกั และตรงตามความต้องการของผบู้ ริโภค และ เพอื ความปลอดภยั ประหยดั เหมาะสมกบั ภาวะสงั คมและเศรษฐกิจในยคุ
87 โอกาสในการมงี านทํา สภาพเศรษฐกิจในปัจจุบนั ทาํ ใหอ้ ุตสาหกรรมวงการก่อสร้างและอสงั หาริมทรัพยไ์ ดร้ ับผลกระทบมาก ในการจดั หาเงินมาดาํ เนินการลงทุนทางดา้ นก่อสร้าง ทาํ ให้มณั ฑนากรสะดุดไประยะหนึงแต่ผปู้ ระกอบอาชีพ มณั ฑนากรพยามเปลยี นวกิ ฤตใหเ้ ป็นโอกาส คือ ใชค้ วามรู้ความสามารถ และประสบการณ์เปลียนไปออกแบบ เฟอร์นิเจอร์ ของเล่น อุปกรณ์การออกกาํ ลงั กายเพือสุขภาพ และผลิตภณั ฑเ์ ครืองใชต้ ่างๆเพือเจาะตลาดลกู คา้ กลุ่มเป้ าหมายเฉพาะ โอกาสความก้าวหน้าในอาชีพ ในภาครัฐบาลผทู้ ีปฏิบตั ิในหน้าทีนีจะไดร้ ับการเลือนตาํ แหน่งและขนั ตามความสามารถถา้ พยายาม ปรับพฒั นาฝีมอื และสร้างสรรคผ์ ลงานตาํ แหน่งอาจเลือนถึงผอู้ าํ นวยการของหน่วยงานทีตนสังกดั อย่ปู ระกอบ อาชีพส่วนตวั ในการออกแบบทาํ สินคา้ พรีเมียม (สินค้าทวั ๆไป มีไวส้ าํ หรับแจกเพือสมนาคุณลูกคา้ ในวาระ ต่างๆ เช่นปี ใหม่ , ครบรอบวนั ก่อตัง , ประชาสัมพนั ธ์สินคา้ ใหม่ๆ และโอกาสอืนๆ) สินคา้ ทีระลึก ผทู้ ีจะ ประกอบอาชีพมณั ฑนากรทีต้องการความกา้ วหน้า ควรศึกษาต่อจนมีวุฒิการศึกษาอย่างน้อยปริญาตรีใน สาขาศลิ ปกรรม มณั ฑณศลิ ป์ หรือสถาปัตยกรรม อาชีพทีเกยี วเนือง นกั ออกแบบเฟอร์นิเจอร์ หรืออุปกรณ์ต่างๆ นกั ออกแบบกราฟฟิ ค ครู -อาจารย์ ในคณะสถาปัตยกรรม ของสถาบนั การศึกษาต่างๆ 2. นกั ออกแบบเครืองเฟอร์นิเจอร์ (Furniture - Designer) เกา้ อีผลงานออกแบบของ Chishen Chiu นกั ออกแบบเฟอร์นิเจอร์จาก Flexiblelove ลกั ษณะของงานทที าํ ผปู้ ระกอบอาชีพนกั ออกแบบเครืองเฟอร์นิเจอร์จะปฏิบตั ิงานตามขนั ตอน ดงั นี 1. ออกแบบผลติ ภณั ฑ์ โดยอาจใชก้ ราฟฟิ คคอมพิวเตอร์เขา้ ช่วยในการออกแบบ เพือใหภ้ าพออกมามีมิติ และสมบรู ณ์แบบเสนอผวู้ า่ จา้ งหรือลกู คา้ พจิ ารณา
88 2. สร้างแบบจาํ ลองและทดลองทาํ ผลิตภณั ฑ์ต้นแบบโดยผสมผสานวสั ดุทอ้ งถินทีแตกต่างกนั ซึง มคี วามแข็งแรงและทนทานโดยคาํ นึงถงึ ประโยชน์ใชส้ อยสูงสุด และตรวจสอบการทดลองใช้ 3. เขียนเทคนิควิธีการประกอบแบบ ระบบพิกดั พร้อมทงั ขนั ตอนในการปฏิบตั ิในโรงงาน 4. ประมาณการตน้ ทุนค่าใชจ้ ่าย เพือใหม้ ีราคายอ่ มเยาสาํ หรับผใู้ ช้ สภาพการจ้างงาน ผปู้ ระกอบอาชีพนกั ออกแบบเครืองเฟอร์นิเจอร์ ทีมีความสามารถจะไดร้ ับค่าตอบแทนเป็ น เงินเดือน ประมาณเดือนละ , - 10,000 บาทตามความสามารถและวุฒิทางการศึกษา มีสวสั ดิการอย่างน้อยตาม กฎหมายแรงงาน ส่วนโบนสั และผลประโยชนอ์ ยา่ งอืน ขึนอยกู่ บั ผลกาํ ไรของผปู้ ระกอบการ ผปู้ ระกอบอาชีพนกั ออกแบบเครืองเฟอร์นิเจอร์โดยปกติทาํ งานวนั ละ 8 ชวั โมง หรือสัปดาห์ละ 40 - 48 ชวั โมง อาจตอ้ งทาํ งานล่วงเวลาวนั เสาร์ วนั อาทิตย์ และวนั หยดุ เมอื มคี วามจาํ เป็นเร่งด่วน สภาพการทาํ งาน สถานทีทาํ งานจะเหมอื นสาํ นกั งานออกแบบทวั ไปทีมีบรรยากาศของการสร้างสรรค์งาน นักออกแบบ เครืองเฟอร์นิเจอร์จะตอ้ งติดตามดูความเรียบร้อยของงานตน้ แบบในโรงงานทีผลติ คณุ สมบัตขิ องผ้ปู ระกอบอาชีพ ผทู้ ีประกอบอาชีพนกั ออกแบบเครืองเฟอร์นิเจอร์ควรมคี ุณสมบตั ิดงั นี 1. มีความสามารถในการวาดภาพแสดงรูปร่าง (Perspective) หรือใชค้ อมพิวเตอร์ช่วยในการออกแบบ 2. มีความรู้และเขา้ ใจในจิตวทิ ยาอุตสาหกรรม 3. สามารถเดินทางไปต่างจงั หวดั หรือออกพนื ทีได้ 4. มีความเขา้ ใจในวสั ดุทีนาํ มาผสมผสานประยกุ ตใ์ ชอ้ อกแบบไดเ้ ป็นอยา่ งดี โดยใหเ้ ขา้ กบั ทอ้ งถนิ และ แสดงถึงเอกลกั ษณ์ของทอ้ งถนิ นนั ไดอ้ ยา่ งดี 5. สนใจความเคลือนไหวของงานออกแบบต่างๆ และมีความคิดริเริมสร้างสรรคเ์ พือสร้างผลิตภณั ฑ์ นวตั กรรมใหก้ บั วงการอุตสาหกรรม 6. มีระเบียบวนิ ยั และความรับผดิ ชอบสูง โอกาสในการมงี านทํา สาํ หรับผปู้ ระกอบอาชีพนักออกแบบเครืองเฟอร์นิเจอร์ทีมีความสามารถในการริเริมสร้างสรรคเ์ มือ ทาํ งานในองค์กรธุรกิจเอกชนอยู่ระยะหนึงจะออกมาประกอบอาชีพอิสระเปิ ดกิจการธุรกิจของตนเอง เพอื ออกแบบผลติ ภณั ฑท์ ีแปลกใหม่ใหต้ รงกบั กลมุ่ เป้ าหมายทีวางไวซ้ ึงจะทาํ รายไดด้ ีเพราะผวู้ ่าจา้ งจะเป็ นผทู้ ีมี ฐานะ นกั ออกแบบเครืองเฟอร์นิเจอร์จึงเป็ นอาชีพทีไม่มีการตกงาน ถา้ มีไฟในการทาํ งานควรเปิ ดโลกทศั น์ ให้กว้าง สนใจคน้ ควา้ หาข้อมูล เพิมเติมและสร้างสัมพันธ์กับองค์กรและลูกค้าในเชิงธุรกิจ แนวโน้ม ในตลาดแรงงานอยใู่ นระดบั ปานกลาง ส่วนมากผปู้ ระกอบอาชีพนกั ออกแบบเครืองเฟอร์นิเจอร์มกั จะศึกษาต่อในสาขาตกแต่งภายในซึงมี วิชาการออกแบบเครืองเรือนทาํ ใหม้ โี อกาสเลือกทาํ งานประเภทนีไดก้ วา้ งขวางขึน
89 โอกาสความก้าวหน้าในอาชีพ นกั ออกแบบเครืองเฟอร์นิเจอร์ควรศึกษากลยุทธท์ างการตลาดเพือทาํ ธุรกิจส่วนตวั อาจสร้างเว็บไซต์ แสดงสินคา้ ทีออกแบบใหผ้ ซู้ ือจากทวั โลกเขา้ ชมและสงั ซือได้ ควรส่งสินคา้ เครืองเรือนไปแสดงในงานต่าง ๆ ทีจดั ขึน อาชีพทีเกยี วเนือง ผสู้ ่งออกเฟอร์นิเจอร์ ผอู้ อกแบบสินคา้ ของขวญั หรือของเล่นสาํ หรับเด็กหรือของขวญั งานเทศกาลใน ต่างประเทศ สถาปนิก 3. นกั ออกแบบเสือผ้าแฟชัน (Fashion - Designer) ลกั ษณะภาพแสดงการออกแบบเสือผา้ แฟชนั ของนกั ออกแบบอาชีพ ลกั ษณะของงานทีทาํ ผูป้ ระกอบอาชีพนักออกแบบเสือผา้ แฟชัน จะมีหน้าทีคลา้ ยกับนักออกแบบเครื องประดับหรื อ นกั ออกแบบเครืองเรือน โดยมีหน้าที วิเคราะห์ ศึกษาวสั ดุทีนาํ มาออกแบบสิงทอ ลายผา้ และเนือวสั ดุ เพือตดั เยบ็ และวิธีการตดั เยบ็ ควบคุมการตดั เยบ็ ใหเ้ ป็ น ไปตามแบบทีออกไวแ้ ละสามารถใหค้ าํ แนะนาํ ในเรืองการ แกไ้ ขขอ้ บกพร่องของรูปร่างแต่ละบุคคลโดยมพี นื ฐานความเขา้ ใจในศิลปะการแต่งกายของไทยโบราณและการ แต่งกายแบบตะวนั ตกยคุ ต่างๆ ในการออกแบบ ตลอดจนในขนั ตอนการผลติ สามารถนาํ เทคนิคทางเทคโนโลยี ทีมีต่อการสร้างงานศลิ ป์ มาประยกุ ตใ์ ชโ้ ดยจะมีขนั ตอนการทาํ งานออกแบบใหผ้ วู้ า่ จา้ ง ดงั นี
90 1. ตอ้ งรวบรวมความคิดขอ้ มลู ทีเป็นสดั ส่วนจากลกู คา้ หรือผวู้ า่ จา้ ง 2. ศึกษารูปแบบงานทีมีอยถู่ า้ สามารถนาํ กลบั มาใชใ้ หม่หรือดดั แปลงเพือลดระยะเวลาการทาํ งานและ ตน้ ทุนการผลติ ในเวลาเดียวกนั ตอ้ งทาํ การคน้ ควา้ วจิ ยั ดว้ ย 3. ทาํ การร่างแบบคร่าวๆ โดยคุมใหอ้ ยใู่ นแนวความคิดดงั กลา่ วใหไ้ ดต้ ามความตอ้ งการ 4. นาํ ภาพทีร่าง แลว้ ให้ผวู้ ่าจา้ งพิจารณา เพือหาแนวทางในการพฒั นาการผลิตรวมทงั การใช้ วตั ถุดิบ และประเมนิ ราคา 5. นาํ ภาพร่างทีผา่ นการพจิ ารณาและแกไ้ ขแลว้ มาสร้างแบบ (Pattern) วธิ ีทีจะตอ้ งตดั เยบ็ ใน รายละเอียด ปัก กนุ๊ เดินลาย หรืออดั พลดี แลว้ นาํ มาลงสีตามจริง เขียนภาพและอธิบายวิธีการทาํ ให้ละเอียดและชดั เจนทีสุด เท่าทีสามารถจะทาํ ไดเ้ พอื ใหช้ ่างทาํ ตามแบบได้ 6. ส่งแบบหรือชุดทีตัดเนาไวใ้ ห้ฝ่ ายบริหารและลูกคา้ หรือผวู้ ่าจา้ ง พิจารณาทดลองใส่เพือแกไ้ ข ขอ้ บกพร่องขนั สุดทา้ ย 7. นาํ แบบทีผวู้ ่าจา้ งเห็นชอบทาํ งานประสานกบั ช่างตดั เยบ็ ช่างปัก เพือใหไ้ ดผ้ ลงานตามทีลกู คา้ ตอ้ งการ สภาพการจ้างงาน สาํ หรับนกั ออกแบบเสือผา้ แฟชนั ทีมคี วามสามารถและผลงานเมอื เริมทาํ งานกบั บริษทั ผลติ และ ออกแบบเสือผา้ อาจไดอ้ ตั ราค่าจา้ งเป็นเงินเดือนสาํ หรับวฒุ กิ ารศกึ ษาระดบั ประโยควิชาชีพและประโยควชิ าชีพ ชนั สูงหรือเทียบเท่า อาจไดร้ ับอตั ราค่าจา้ งขนั ตน้ เป็นเงินเดือนประมาณ 8,000 -10,000 บาท ส่วนผสู้ าํ เร็จ การศึกษาระดบั ปริญญาตรี จะไดร้ ับเงินประมาณ 9,000 - 10,000 บาท หรืออาจมากกว่าขึนอยกู่ บั ฝีมอื การ ออกแบบและประสบการณ์ของนกั ออกแบบแต่ละคน มสี วสั ดิการ โบนสั และสิทธิพเิ ศษอนื ๆ ขึนอยกู่ บั ผล ประกอบการของเจา้ ของกิจการ ส่วนมากนกั ออกแบบเสือผา้ หรือแฟชนั จะมีร้านหรือใช้บา้ นเป็ นร้านรับออกแบบตดั เสือผา้ เป็ นของ ตนเองเป็นส่วนใหญ่เนืองจากเป็นอาชีพอสิ ระทีมีรายไดด้ ี สาํ หรับนกั ออกแบบประจาํ ห้องเสือหรือร้านเสือใหญ่ๆ หรือโรงเรียนสอนตัดเสือทีมีผลงานแสดง เป็นประจาํ นนั เป็นผทู้ ีมีประสบการณ์สูงและตอ้ งมผี สู้ นบั สนุนค่าใชจ้ ่ายในการแสดงผลงานและคอลเล็คชนั ของ ตนเอง สภาพการทํางาน ผปู้ ระกอบการนักออกแบบเสือผา้ แฟชนั ในสถานทีประกอบการผลิตเสือผา้ สาํ เร็จรูปจะปฏิบตั ิหนา้ ที เหมือนในสาํ นกั สร้างสรรคท์ วั ไปทีค่อนขา้ งเป็นสดั ส่วน มอี ุปกรณ์ เครืองใชใ้ นการออกแบบ เช่น โต๊ะเขียนแบบ หุ่นลองเสือขนาดต่างๆ ตามทีตดั เยบ็ ผา้ กระดาษสร้างแพทเทิร์นและสีสาํ หรับลงสี เพือใหภ้ าพออกแบบเหมือน จริงอาจมีเครืองคอมพวิ เตอร์ช่วยในการออกแบบและใหส้ ีไดเ้ ช่นกนั หรือสแกนภาพทีวาดแลว้ ลงในคอมพิวเตอร์ เพอื ช่วยใหก้ ารนาํ เสนอต่อลกู คา้ สมบูรณ์ยงิ ขึนในกรณีผลิตเสือผา้ สาํ เร็จรูปอาจมีผชู้ ่วยทาํ งานในการสร้างแบบ (Pattern)
91 คณุ สมบัตขิ องผ้ปู ระกอบอาชีพ ผสู้ นใจในอาชีพนกั ออกแบบเสือผา้ แฟชนั ควรมีคุณสมบตั ิทวั ๆ ไปดงั นี 1. มีความคิดสร้างสรรค์ มีความชอบและรักงานดา้ นออกแบบ มีมมุ มองเรืองของศลิ ปะรักความสวยงาม อาจมพี ืนฐานทางดา้ นศลิ ปะบา้ ง 2. มีความกระตือรือร้นช่างสงั เกตวา่ มีความเปลียนแปลงอะไรบา้ ง กลา้ คิดกลา้ ทาํ กลา้ ทีจะถา่ ยทอด 3. มีความสามารถในการถ่ายทอดความคิด หรือแนวคิดใหผ้ อู้ ืนฟังได้ ผ้ทู ีจะประกอบอาชีพนกั ออกแบบเสือผ้าแฟชันควรมกี ารเตรียมความพร้อมในด้านต่อไปนี คอื ผทู้ ีมคี ุณสมบตั ิขนั ตน้ ดงั กลา่ ว สามารถเขา้ รับการอบรมหลกั สูตรระยะสนั ในการออกแบบตดั เยบ็ เสือผา้ ไดท้ ีโรงเรียนหรือสถาบนั การออกแบบตดั เยบ็ เสือผา้ ทีมีชือเสียงทวั ไป ซึงเปิ ดรับผสู้ นใจเขา้ เรียนโดยไม่จาํ กดั วุฒิการศึกษาเพราะการออกแบบเสือผา้ ขึนอย่กู ับความริเริมสร้างสรรค์ประสบการณ์และการฝึ กหดั สาํ หรับ ผสู้ าํ เร็จชนั มธั ยมศึกษาตอนปลาย ทีตอ้ งการศึกษาต่อในหลกั สูตรปริญญาตรี นอกจากโรงเรียนหรือวิทยาลยั สาย วิช าชี พแ ล้ว ยังสาม าร ถสอบ คัด เลือกเ ข้า ศึก ษา ต่ อร ะดับอุดม ศึก ษา โดย มีค ณะ ศิลปก รร ม มหาวิทยาลยั ธรรมศาสตร์ ไดเ้ ปิ ดสาขาวิชาการ ออกแบบพสั ตราภรณ์ผทู้ ีเขา้ รับการศึกษาในสาขาวิชาทางดา้ นนี จะไดร้ ับความรู้ในเรืองของความรู้พนื ฐานเกียวกบั การพฒั นาสิงทอและเครืองแต่งกายของไทย ตะวนั ออก และ ตะวนั ตก เพอื สืบทอดมรดกและศิลปสิงทอของไทยในทอ้ งถนิ ต่างๆนอกจากนี ยงั มสี ถาบนั เทคโนโลยีราชมงคล วิทยาเขตเทคนิคกรุงเทพฯ คณะคหกรรมศาสตร์สาขาผา้ และเครืองแต่งกาย ธุรกิจเสือผา้ ฯลฯ โอกาสในการมงี านทาํ ผูท้ ีสําเร็จการศึกษาแลว้ สามารถนําความรู้ซึงเป็ นทีต้องการของตลาดในยุคปัจจุบนั คือ สามารถ ออกแบบสิงทอสาํ หรับอุตสาหกรรมระดบั ต่างๆ ได้ มคี วามรู้ในเรืองการบริหารการตลาด และการใชเ้ ทคโนโลยี ทีจาํ เป็นต่ออุตสาหกรรมสิงทอและเสือผา้ สาํ เร็จรูป ในวงการแฟชนั ในประเทศไทยยงั ไม่สามารถเป็ นศนู ยก์ ลางของการออกแบบแฟชนั ไดแ้ ต่กลบั เป็ น ศูนยก์ ลางของวตั ถุดิบอยา่ งเช่นผา้ ไหมและการผลิตเสือผา้ เพือการส่งออกภายใตย้ หี ้อสินค้าต่างประเทศและ เสือผา้ สาํ เร็จรูป เพราะมีค่าแรงราคาถกู อยา่ งไรก็ตาม ในช่วงทศวรรษทีผา่ นมาในวงการออกแบบเสือผา้ ไทยถอื ว่ามีความสาํ เร็จในระดบั หนึงที การผลิตเสือผา้ สาํ เร็จรูปภายใตย้ ีห้อไทยไดม้ ีการส่งออกไปขายในต่างประเทศบา้ งแลว้ เช่น Fly Now หรือใน เรืองของการสนบั สนุนการออกแบบลายผา้ ไหมทีมีลายเป็ นเอกลกั ษณ์และการให้สีตามทีลูกคา้ ในต่างประเทศ ตอ้ งการ และสามารถส่งออกได้ นกั ออกแบบแฟชนั ในต่างประเทศหลายสถาบนั ต่างก็ให้ความสนใจแนวการแต่งกาย วฒั นธรรมและ การใชช้ ีวติ อนั เป็นเอกลกั ษณ์ของชาวเอเชียมากขึน ดงั นันนักออกแบบแฟชนั ไทยควรหนั มาสนใจ วตั ถุดิบใน ประเทศและคิดสร้างสรรคง์ านทีเป็นเอกลกั ษณ์และโดดเด่น เพราะแรงงานและวตั ถุดิบในประเทศยงั มีราคาถูก ตลาดสิงทอไทยในต่างประเทศ เช่น เสือผา้ ถกั สาํ เร็จรูป เสือผา้ ทอสาํ เร็จรูปยงั มศี กั ยภาพในการส่งออกสูง
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106