32 ภาพที่ 2.6 ขัน้ คเู่ สยี งธรรมดาในบันไดเสยี ง C Major ที่มา (ณัชชา โสคติยานรุ ักษ์, 2538 : 101) ชนดิ ข้ันค่เู สยี ง สมนกึ อุ่นแกว้ (2544 : 58) กลา่ วไวว้ า่ คาศัพท์ท่ีใช้บอกคณุ ภาพของขัน้ ค่เู สยี งมี 5 ชนิด คือ 1. เพอร์เฟค (Perfect) ใช้ตวั ยอ่ P คอร์ดชนิดนีใ้ ห้ความร้สู กึ แจม่ ใส แขง็ แรง กลมกลืน 2. เมเจอร์ (Major) ใช้ตวั ย่อ M คอรด์ ชนิดนี้ใหค้ วามรสู้ ึก แขง็ ขนั สดชนื่ ร่าเรงิ 3. ไมเนอร์ (Minor) ใช้ตวั ยอ่ min คอร์ดชนดิ นใ้ี หค้ วามรู้สกึ ออ่ นโยน เศรา้ ขรมึ 4. อ็อกเมนเต็ด (Augmented) ใช้ตัวย่อ A คอร์ดชนิดน้ีให้ความรู้สึกขัดขืน กระด้าง ประหลาด 5. ดิมินิชน์ (Diminished) ใช้ตัวย่อ dim คอร์ดชนิดนี้ให้ความรู้สึกกระด้าง แปร่ง ไมก่ ลมกลืน สมนึก อุ่นแก้ว (2544 : 59) กล่าวถึงการเขียนชื่อบอกคณุ ลักษณะข้ันคู่เสียงจะใช้สญั ลักษณ์ เป็นอักษรย่อ โดยการนับข้ันคู่เสียงท่ีถูกต้องควรใส่คุณสมบัติของขั้นคู่ไว้หน้าจานวนข้ันคู่เสียงด้วย การนับขั้นคู่จะนับจากโน้ตตัวแรก (Tonic) กับโน้ตข้ันต่าง ๆ ซ่ึงในบันไดเสียงเมเจอร์จะพบข้ันคู่เสียง 2 ชนิด คือขนั้ คเู่ สยี งเพอร์เฟค และข้ันคเู่ สยี งเมเจอร์ โดยจะได้ข้ันคู่เสียงเพอร์เฟคคูท่ ่ี 1 จากโนต้ โทนิก (Tonic) ตัวเดียวกัน คู่ที่ 2 จากโน้ตโทนิกกับโน้ตขั้นท่ี 4 (Subdominant) คู่ที่ 3 จากโน้ตโทนิกกับ โน้ตข้ันที่ 5 (Dominant) และคู่ท่ี 4 จากโน้ตโทนิกกับโน้ตขั้นท่ี 8 ส่วนข้ันคู่เสียงที่เป็นเมเจอร์คู่ท่ี 1 จากโน้ตโทนิกกับโน้ตข้ันที่ 2 (Supertonic) คู่ท่ี 2 จากโน้ตโทนิกกับโน้ตขั้นท่ี 3 (Mediant) คู่ที่ 3 จากโน้ตโทนิกกับโน้ตข้ันที่ 6 (Submediant) และคู่ที่ 4 จากโน้ตโทนิกกับโน้ตขั้นที่ 7 (Leading Note) ดังน้ันสรปุ ได้ว่าบนบันไดเสียงเมเจอร์จะพบคุณลักษณะข้ันคู่เสียงเพอร์เฟคที่ขัน้ คู่ที่ 1 ขั้นคู่ที่ 4 ขั้นคู่ท่ี 5 และข้ันคู่ที่ 8 และพบคุณลักษณะเสียงเมเจอร์ที่ข้ันคู่ที่ 2 ขั้นคู่ที่ 3 ข้ันคู่ท่ี 6 และข้ันคู่ท่ี 7 ดงั ภาพท่ี 2.6
33 ภาพท่ี 2.7 ขั้นคู่เสียงในบนั ไดเสยี ง C Major ท่มี า (ลญั ฉนะวัต นิมมานรตนกุล, 2552 : 102) จากภาพท่ี 2.7 ข้ันคเู่ สียงในบันไดเสยี ง C Major สรุปเป็นตารางได้ ดังตารางท่ี 2.1 ตารางท่ี 2.1 ระยะห่างของข้นั ค่เู สียงตา่ ง ๆ ความสัมพนั ธ์ สญั ลักษณ์ ชอ่ื ชนดิ (Specific name) ระยะหา่ ง (Distance) โน้ต 2 ตัว อักษรย่อขน้ั คู่ คณุ ภาพ (Quality) (Semitone) Perfect 0 C-C P1st Major 2 C-D M2nd Major 4 C-E M3rd Perfect 5 C-F P4th Perfect 7 C-G P5th Major 9 C-A M6th Major 11 C-B M7th Perfect 12 C-C P8th ข้ันคู่เสียงหลักในบันไดเสียงเมเจอร์สามารถเปล่ียนแปลงเป็นขั้นคู่เสียงชนิดต่าง ๆ ได้เม่ือ ขน้ั คู่เสียงหลกั นัน้ มีการเพมิ่ หรอื ลดระยะหา่ งของตัวโน้ตในขั้นคู่เสยี งนนั้ ๆ โดยมหี ลกั ดังน้ี 1. ขั้นคู่เสียงเพอร์เฟค มีระยะหา่ งเพิ่มข้นึ ครึ่งเสยี งจะเปล่ียนเป็นข้นั คู่เสยี งอ็อกเมนเต็ด 2. ขน้ั คูเ่ สยี งเพอรเ์ ฟค มรี ะยะห่างลดลงครงึ่ เสียงจะเปลีย่ นเป็นขัน้ ค่เู สียงดิมินิชน์ 3. ขัน้ คเู่ สียงเมเจอร์ มรี ะยะห่างเพมิ่ ขน้ึ คร่งึ เสยี งจะเปลี่ยนเป็นขั้นคู่เสยี งอ็อกเมนเตด็ 4. ขน้ั คเู่ สียงเมเจอร์ มีระยะห่างลดลงครง่ึ เสยี งจะเปลี่ยนเป็นขั้นคูเ่ สียงไมเนอร์ 5. ขั้นคู่เสยี งไมเนอร์ มรี ะยะห่างลดลงครง่ึ เสยี งจะเปลยี่ นเป็นข้ันคู่เสยี งดิมนิ ชิ น์
34 ภาพที่ 2.8 การเพ่ิมหรอื ลดระยะห่างขน้ั คู่เสียงชนิดตา่ งๆ ทม่ี า (สมนึก อ่นุ แก้ว, 2544 : 59) จากภาพที่ 2.8 การเพิ่มหรือลดระยะหา่ งขน้ั ค่เู สียง เขียนเปน็ โนต้ ได้ ดงั ภาพท่ี 2.9
35 ภาพที่ 2.9 (ตอ่ ) ภาพที่ 2.9 คณุ ลักษณะข้ันคเู่ สยี งชนดิ ต่าง ๆ เมือ่ มกี ารเพิ่มหรือลดระยะห่างระหว่างตัวโนต้ จากภาพที่ 2.9 พบวา่ 1. ห้องเพลงท่ี 1 โน้ตในจังหวะที่ 1 - 2 เป็นข้ันคู่เสียงเพอร์เฟค (P5th) มีระยะห่าง 7 Semitone โนต้ ในจังหวะที่ 3 – 4 โน้ตตัวบน G ติดเครื่องหมายชาร์ป (#) จงึ ทาให้มีระยะห่างเพ่ิมขึ้น อีกคร่ึงเสียง จาก 7 Semitone เป็น 8 Semitone ลักษณะคุณภาพเสียงจึงเปลี่ยนจากขั้นคู่เสียง เพอร์เฟคเปน็ ขน้ั ค่เู สียงออ็ กเมนเตด็ (A5th) 2. ห้องเพลงท่ี 2 โน้ตในจังหวะท่ี 1 - 2 เป็นข้ันคู่เสียงเพอร์เฟค (P5th) มีระยะห่าง 7 Semitone โน้ตในจังหวะที่ 3 – 4 โน้ตตัวบน G ติดเคร่ืองหมายแฟล็ต (b) จึงทาให้มีระยะห่างลดลง คร่ึงเสียง จาก 7 Semitone เป็น 6 Semitone ลักษณะคุณภาพเสียงจึงเปลี่ยนจากขั้นคู่เสียง เพอร์เฟคเปน็ ข้นั คู่เสียงดมิ ินิชน์ (dim5th) 3. ภาพท่ี 2.9 ห้องเพลงที่ 3 โน้ตในจังหวะที่ 1 - 2 เป็นขั้นคู่เสียงเมเจอร์ (M6th) มีระยะห่าง 9 Semitone โน้ตในจังหวะที่ 3 – 4 โน้ตตัวบน A ติดเครื่องหมายชาร์ป (#) จึงทาให้มี ระยะห่างเพิม่ ขน้ึ อีกคร่ึงเสียง จาก 9 Semitone เป็น 10 Semitone ลักษณะคุณภาพเสียงจงึ เปลี่ยน จากข้นั คูเ่ สยี งเมเจอรเ์ ป็นขนั้ คู่เสยี งออ็ กเมนเต็ด (A6th) 4. ห้องเพลงที่ 4 โน้ตในจงั หวะที่ 1 - 2 เป็นเป็นข้ันคู่เสียงเมเจอร์ (M6th) มรี ะยะห่าง 9 Semitone โน้ตในจังหวะท่ี 3 – 4 โน้ตตัวบน A ติดเครื่องหมายแฟล็ต (b) จึงทาให้มีระยะห่างลดลง ครึ่งเสียง จาก 9 Semitone เป็น 8 Semitone ลักษณะคณุ ภาพเสียงจงึ เปล่ียนจากข้ันคู่เสียงเมเจอร์ เปน็ ขนั้ ค่เู สียงไมเนอร์ (min6th) 5. ห้องเพลงที่ 5 โน้ตในจังหวะท่ี 1 - 2 เป็นเป็นข้ันคู่เสียงไมเนอร์ (min6th) มีระยะหา่ ง 8 Semitone โน้ตในจังหวะท่ี 3 – 4 โน้ตตัวบน A ติดเครื่องหมายดับเบิ้ลแฟล็ต (bb) จึงทาให้มี ระยะห่างลดลงอีกคร่ึงเสียง จาก 8 Semitone เป็น 7 Semitone ลักษณะคุณภาพเสียงจึงเปล่ียน จากขนั้ ค่เู สยี งไมเนอร์เปน็ ข้นั คเู่ สยี งดมิ นิ ชิ น์ (dim6th) 6. ห้องเพลงที่ 6 โน้ตในจังหวะที่ 1 - 2 เป็นข้ันคู่เสียงเพอร์เฟค (P5th) มีระยะห่าง 7 Semitone โน้ตในจงั หวะท่ี 3 – 4 โนต้ ตัวล่าง G ตดิ เครอื่ งหมายแฟล็ต (b) จงึ ทาให้มีระยะห่างเพิม่ ขนึ้
36 อีกครึ่งเสียง จาก 7 Semitone เป็น 8 Semitone ลักษณะคุณภาพเสียงจึงเปลี่ยนจากขั้นคู่เสียง เพอรเ์ ฟคเปน็ ขนั้ คูเ่ สยี งออ็ กเมนเตด็ (A5th) 7. ห้องเพลงท่ี 7 โน้ตในจังหวะท่ี 1 - 2 เป็นเปน็ ขั้นคู่เสียงเมเจอร์ (M6th) มรี ะยะห่าง 9 Semitone โน้ตในจังหวะท่ี 3 – 4 โน้ตตัวล่าง G ติดเคร่ืองหมายชาร์ป (#) จึงทาให้มีระยะห่างลดลง คร่ึงเสียง จาก 9 Semitone เป็น 8 Semitone ลักษณะคุณภาพเสยี งจึงเปล่ียนจากข้ันคูเ่ สียงเมเจอร์ เปน็ ข้ันคเู่ สยี งไมเนอร์ (min6th) 8. ห้องเพลงท่ี 8 โน้ตในจังหวะที่ 1 - 2 เป็นข้ันคู่เสียงดิมินิชน์ (dim5th) มีระยะห่าง 6 Semitone โน้ตในจงั หวะท่ี 3 – 4 โน้ตตัวบน G ตดิ เครอ่ื งหมายชาร์ป (#) จงึ ทาให้มีระยะห่างเพ่ิมข้ึน อีกครึ่งเสียง จาก 6 Semitone เป็น 7 Semitone ลักษณะคุณภาพเสียงจึงเปลี่ยนจากขั้นคู่เสียง ดิมินิชน์เป็นขนั้ คูเ่ สยี งเพอร์เฟค (P5th) ขนั้ คผู่ สม ลัญฉนะวัต นิมมานรตนกุล (2552 : 105) กล่าวไว้ว่า ขั้นคู่ผสม (Compound Intervals) หมายถึง ขั้นคตู่ ้งั แต่ข้ันคู่ 9 ข้นึ ไปถือเปน็ ขน้ั คผู่ สม เช่น ขัน้ คู่ 10 เปรียบเทยี บได้กบั ขั้นคู่ 3 โดยเรียกวา่ ขั้นคู่ 3 ผสม (Compound 3rd) ดังภาพที่ 2.10 ภาพที่ 2.10 เปรยี บเทียบขนั้ คู่เสียงผสม และขน้ั คู่เสียงธรรมดา จากภาพท่ี 2.10 พบวา่ 1. กรอบที่ 1 ขน้ั คู่แรกนนั้ เป็นขน้ั ค่ผู สม (M10th) สามารถเรียนวา่ ขัน้ คู่ 3 ผสมได้ (M3rd) 2. กรอบท่ี 2 ขั้นคูแ่ รกนน้ั เป็นข้นั คผู่ สม (P11st) สามารถเรียนวา่ ขนั้ คู่ 4 ผสมได้ (P4th) 3. กรอบที่ 3 ขัน้ คู่แรกนน้ั เป็นข้นั คผู่ สม (A12nd) สามารถเรยี นว่าขั้นคู่ 5 ผสมได้ (A5th)
37 ขั้นคเู่ สียงเอน็ ฮาร์โมนิก ณัชชา โสคติยานุรักษ์ (2542 : 78) กล่าวว่าขั้นคู่เสียงที่มีระดับเสียงเดียวกันแต่สะกด ไม่เหมือนกนั ทาใหม้ ีผลตอ่ ชื่อขั้นคู่เสียงต่างชนิดกัน สอดคล้องกับ ลญั ฉนะวัต นิมมานรตนกลุ (2552 : 106) กล่าวไว้ว่า ข้ันคู่เอ็นฮาร์โมนิก (Enharmonic) หรือข้ันคู่พ้องเสียง หมายถึง ข้ันคู่เสียงท่ีมีระดับ เสียงเดียวกันแต่ชื่อต่างกัน เช่น C – F# กับ C – Gb โดยมีระยะห่างของชวงเสียงหางกัน 3 เสียง (6 Semitone) แตมีชื่อข้ันคู่เสียงที่แตกตางกัน คือ C – F# เปนข้ันคู 4 อ็อกเมนเต็ด แต C – Gb เป นขั้นคู 5 ดิมินิชน์ และ C – A# กับ C – Bb โดยมีระยะห่างของช วงเสียงห างกัน 5 เสียง (10 Semitone) แตมีชื่อข้ันคูเสียงท่ีแตกตางกัน คือ C – A# เปนขั้นคู่ 6 อ็อกเมนเต็ด แต C – Bb เปนขน้ั คู 7 ไมเนอร์ ดงั ภาพที่ 2.11 ภาพที่ 2.11 ขั้นค่เู สียงเอ็นฮารโ์ มนกิ การฝกคิดขั้นคูดวยการทดเสยี ง การฝกคิดข้ันคูดวยการทดเสียง คือ ถาขน้ั คูมเี คร่ืองหมายแปลงเสียงชารป และเคร่ืองหมาย แปลงเสียงแฟล็ต วิธีการคิดหาชื่อข้ันคู่ คือ ตัดเคร่ืองหมายแปลงเสียงชารป และแฟล็ตออกไปกอน แลวคอยทดเสียงภายหลัง เชน C# – A ใหคิดแค C – A คือข้ันคู่ 6 เมเจอร (M6th) มีระยะห่าง 9 Semitone หลังจากนั้นใสเคร่ืองหมายแปลงเสียงชารปท่ีโนตตัว C เปน C# ทาใหข้ันคูนี้แคบลง 1 Semitone ดังน้ัน C# - A จึงเป นขั้นคู 6 ไมเนอร์ (min6th) โดยมีระยะห่าง 8 Semitone (ณัชชา โสคติยานุรักษ์, 2542 : 71) ดังตารางท่ี 2.2 ตารางที่ 2.2 การคิดข้นั คเู่ สียงดว้ ยการทดเสียง ระยะหา่ ง 0 1 2 3 4 5 6 7 8 9 C - A C C# D D# E F F# G G# A C# - A C# D D# E F F# G G# A
38 ขั้นคู่เสียงอีกรูปแบบคือติดเคร่ืองหมายแปลงเสียงชาร์ปเหมือนกัน G# – D# ใหตัด เครื่องหมายแปลงเสียงชารปออกกอน (ซ่ึงตองสามารถตัดทิ้งไดท้ังสองขาง) จึงไดเปน G – D เปน คู 5 เพอรเฟค (P5th) แตถาเปน Eb – Bbb = สามารถตัดทอนไดแค 1 อันเทานั้น จึงไดเปน E – Bb เปนคู 5 ดมิ นิ ิชท (dim5th) ดงั ตารางท่ี 2.3 ตารางที่ 2.3 การคดิ ขั้นคู่เสียงด้วยการทดเสยี ง G – D G# - D# ระยะหา่ ง 0 1 2 3 4 5 6 7 8 9 G - D G G# A A# B C C# D G# - D# G# A A# B C C# D D# ขั้นคู่เสียงในรูปแบบติดเครื่องหมายแปลงเสียงแฟล็ตและดับเบิลแฟล็ต เช่น Eb – Bbb สามารถตดั ทอนไดแค 1 อันเทานัน้ จงึ ไดเปน E – Bb เปนคู 5 ดมิ ินิชน์ (dim5th) ดังตารางที่ 2.4 ตารางท่ี 2.4 การคิดข้นั คู่เสียงดว้ ยการทดเสยี ง E – Bb Eb - Bbb ระยะหา่ ง 0 1 2345 6 E – Bb E F Gb G Ab A Bb Eb - Bbb Eb E F Gb G Ab A (Bbb) การพลิกกลบั ของขั้นค่เู สยี ง ณัชชา โสคติยานุรักษ์ (2542 : 80) กล่าวว่าข้ันคู่เสียงธรรมดา (Simple Intervals) หรือ ขั้นคู่ที่แคบกว่าคู่ 8 เพอร์เฟคสามารถพลิกกลับได้ ส่วนในข้ันเสียงคู่ผสม (Compound Intervals) หรือข้ันคทู่ ี่กวา้ งกวา่ คู่ 8 จะไม่มคี ู่พลกิ กลับ การพลิกกลับสามารถทาได้ 2 วธิ ี คอื 1. การนาโน้ตตัวล่างของขั้นคู่ (Tonic) ให้สูงขึ้นไป 1 ช่วงคู่แปด (Octave) และนา โน้ตตวั บนลงมาอยู่ข้างล่าง ดังภาพท่ี 2.12 2. การนาโน้ตตัวบนของข้ันคู่ลงมา 1 ช่วงคู่แปด (Octave) และนาโน้ตตัวล่างข้ึนไปอยู่ ขา้ งบนผลของการพลิกกลับท้งั 2 วิธไี ดค้ าตอบเช่นเดยี วกัน ดังภาพท่ี 2.13
39 ภาพท่ี 2.12 การยา้ ยตาแหนง่ ของโนต้ ตวั ล่างในขั้นคเู่ สียงให้สูงข้นึ ไป 1 คู่แปด (Octave) ภาพท่ี 2.13 การย้ายตาแหนง่ ของโน้ตตวั บนในข้ันคู่เสียงให้ตา่ ลง 1 คูแ่ ปด จากการพลิกกลับของข้ันคู่เสียงชนิดต่าง ๆ ทาให้ชื่อของขั้นคู่เสียงท่ีเป็นตัวเลขเปล่ียนไป โดยสังเกตได้ว่าเมื่อข้ันคู่เสียงมีการพลิกกลับช่ือข้ันคู่เสียงที่เป็นตัวเลขทั้งก่อนและหลังการพลิกกลับ จะมผี ลรวมเท่ากับ 9 เช่น ขน้ั คู่ 1 พลิกกับเป็น ขนั้ คู่ 8 เปน็ ต้น ดงั ตารางที่ 2.5 ตารางท่ี 2.5 การพลิกกลับของข้ันคูเ่ สยี งมีผลตอ่ ช่ือข้ันคู่เสียงตัวเลข ข้นั คู่ พลกิ กลบั เปน็ ขั้นคู่ 1 ขั้นคู่ 8 ขั้นคู่ 2 ขั้นคู่ 7 ขั้นคู่ 3 ข้นั คู่ 6 ขั้นคู่ 4 ขน้ั คู่ 5 ขั้นคู่ 5 ขั้นคู่ 4 ขั้นคู่ 6 ขน้ั คู่ 3 ขนั้ คู่ 7 ข้นั คู่ 2 ขัน้ คู่ 8 ขน้ั คู่ 1
40 การพลิกกลับของขั้นคู่เสียงตัวเลขมีผลต่อตัวเลขข้ันคู่เสียง ดังภาพที่ 2.14 และ การพลิกกลับของขน้ั ค่เู สียงมผี ลต่อคุณลักษณะคุณภาพเสียง ดงั ภาพท่ี 2.15 ภาพที่ 2.14 การพลิกกลบั มผี ลตอ่ ตวั เลขข้นั คูเ่ สียง จากภาพที่ 2.14 พบวา่ 1. การพลิกกลับของข้ันคู่เสียงธรรมดาทาได้โดยนาโน้ตตัวล่างของขั้นคู่ (Tonic) ใหส้ งู ขึ้นไป 1 ชว่ งคแู่ ปด (Octave) และนาโน้ตตัวบนลงมาอยู่ข้างลา่ ง 2. ชื่อของข้ันคู่เสียงตัวเลขเมื่อพลิกกลับจะมีผลรวมเท่ากับ 9 เช่นคู่ 1 พลิกกลับจะได้ คู่ 8 คู่ 2 พลิกกลบั จะได้คู่ 7 คู่ 3 พลิกกลับจะได้คู่ 6 เปน็ ตน้ ภาพท่ี 2.15 การพลิกกลับในข้นั คูเ่ สยี งมีผลต่อคณุ ลักษณะคุณภาพเสยี ง จากภาพที่ 2.15 พบวา่ การพลิกกลับในขั้นคูเ่ สยี งมผี ลตอ่ คุณลกั ษณะคุณภาพเสยี ง คือ 1. ในปกี กาท่ี 1 ขั้นคูเ่ สยี งเมเจอรพ์ ลกิ กลบั จะเปลีย่ นเป็นขน้ั คู่เสียงไมเนอร์ 2. ในปกี กาท่ี 2 ขัน้ คู่เสยี งเสยี งไมเนอร์พลิกกลับจะเปลีย่ นเป็นข้ันคู่เสียงเมเจอร์ 3. ในปีกกาท่ี 3 ขั้นคเู่ สียงเสยี งอ็อกเมนเตด็ พลกิ กลับจะเปลีย่ นเปน็ ขัน้ คู่เสียงดิมินชิ น์ 4. ในปกี กาท่ี 4 ขั้นคู่เสยี งเสียงดิมินิชน์พลกิ กลับจะเปลยี่ นเป็นขนั้ คู่เสียงอ็อกเมนเตด็ 5. จากข้อ 1 – 4 สรุปได้ว่าคุณลักษณะคุณภาพเสียงของข้ันคู่เสียงชนิดต่าง ๆ เม่ือมี การพลิกกลบั มีผลต่อคณุ ลกั ษณะคุณภาพเสยี ง ดังตารางที่ 2.6
41 ตารางที่ 2.6 คณุ ลักษณะคุณภาพเสียงของข้ันคเู่ สียงชนิดต่าง ๆ ชอื่ ชนดิ (Specific name) ตัวย่อ พลิกกลบั เป็น คุณภาพ (Quality) Perfect P Perfect Major M Minor Minor min Major Augmented A Diminished Diminished dim Augmented สรุป ขั้นคเู่ สยี งแบ่งเป็น 2 ชนดิ คือ ข้นั คฮู่ าร์โมนิค และขัน้ คู่เสยี งแบบเมโลดกิ ลักษณะโครงสรา้ ง ของข้ันคเู่ สียงแบ่งเป็น 2 ส่วน คือ ช่ือข้ันค่ทู ่ีเป็นตวั เลขท่ใี ช้เลข และเป็นชื่อขน้ั คู่ที่บอกถึงคุณลักษณะ คุณภาพของเสยี งซง่ึ ประกอบดว้ ย 5 ชนิด คอื 1. ขั้นคู่เปอร์เฟค (Perfect) ใช้ตัวย่อ P คอร์ดชนิดน้ีให้ความรู้สึกแจ่มใส แข็งแรง กลมกลนื 2. ข้ันคเู่ มเจอร์ (Major) ใช้ตัวยอ่ M คอร์ดชนดิ นี้ให้ความร้สู กึ แขง็ ขนั สดชืน่ รา่ เรงิ 3. ขนั้ คไู่ มเนอร์ (Minor) ใช้ตวั ย่อ min คอร์ดชนดิ นใี้ ห้ความรูส้ ึกอ่อนโยน เศร้า ขรึม 4. ข้นั คอู่ ็อกเมนเต็ด (Augmented) ใช้ตัวย่อ A คอร์ดชนิดนใี้ หค้ วามรู้สึกขัดขืน กระด้าง ประหลาด 5. ข้ันคู่ดิมินิชน์ (Diminished) ใช้ตัวย่อ dim คอร์ดชนิดนี้ให้ความรู้สึกกระด้าง แปร่ง ไมก่ ลมกลนื การเขียนชื่อบอกคุณลักษณะคุณภาพข้ันคู่เสียงจะใช้สัญลักษณ์เป็นอักษรย่อ M (Major) min (Minor) A (Augmented) หรือเครื่องหมาย + และ d (Diminished) หรือเคร่ืองหมาย – และ เคร่ืองหมาย o สาหรับบันไดเสียงเมเจอร์จะพบข้ันคู่เสียง 2 ชนิด คือ ข้ันคู่เสียงเพอร์เฟคในขั้นท่ี 1 4 5 และ 8 และขั้นคู่เสียงเมเจอร์ ในขนั้ ที่ 2 3 6 และ 7 ข้นั คู่เสียงสามารถเปลี่ยนแปลงเปน็ ขัน้ คู่เสียงชนิดต่าง ๆ ได้ ดงั ต่อไปนี้ 1. ขนั้ คู่เสียงเพอร์เฟคมรี ะยะหา่ งเพ่ิมข้ึนครง่ึ เสียงจะเปลยี่ นเป็นขัน้ คูเ่ สยี งอ็อกเมนเต็ด 2. ขน้ั คู่เสยี งเพอรเ์ ฟคมรี ะยะหา่ งลดลงครงึ่ เสียงจะเปล่ยี นเป็นข้ันคเู่ สยี งดมิ นิ ชิ น์ 3. ขนั้ คู่เสียงเมเจอรม์ รี ะยะห่างเพม่ิ ขึ้นคร่ึงเสียงจะเปล่ียนเปน็ ขั้นคูเ่ สยี งอ็อกเมนเตด็
42 4. ขัน้ คูเ่ สยี งเมเจอร์มีระยะหา่ งลดลงครึ่งเสยี งจะเปล่ียนเป็นขั้นค่เู สียงไมเนอร์ 5. ขัน้ คูเ่ สยี งไมเนอร์ระยะหา่ งลดลงครึ่งเสียงจะเปล่ียนเป็นขั้นค่เู สยี งดิมินชิ น์ ขั้นคู่เสียงผสม (Compound Time) คือ ขั้นคู่ที่มีระยะห่างเกินคู่แปด ในส่วนของตัวเลข นับเรียงตามลาดับปกติ ส่วนคุณลักษณะคิดโดยลดตัวโน้ตตัวบนลงมาให้อยู่ในช่วงคู่แปดแล้วจึงคิด คณุ ลักษณะของขั้นคู่ ข้ันคู่เสียงเอ็นฮาร์โมนิก (Enharmonic Intervals) เปนขั้นคูที่มีระยะหางของโน้ต 2 ตัว เท ากัน แต ช่ือโน้ตไม เหมือนกัน เช่น C – F# เป นขั้นคู 4 อ็อกเมนเต็ด กับ C – Gb เป น ข้นั คู 5 ดมิ ินิชน์ เปน็ ตน้ สาหรบั การคดิ หาช่ือขั้นคเู่ สยี งน้นั สามารถคิดดว้ ยการทดเสยี ง คือ 1. ถาขั้นคูเสียงมีเคร่ืองหมายแปลงเสียงชารปและเคร่ืองหมายแปลงเสียงแฟล็ตให้ตัด เครื่องหมายแปลงเสียงชารป และแฟล็ตออกไปกอน แลวคอยทดเสียงภายหลัง เชน C# – A ใหคิดแค C – A คือขั้นคู่ 6 เมเจอร (M6th) หลังจากน้ันใสเครื่องหมายแปลงเสียงชารปที่โนตตัว C เปน C# ทาใหขั้นคูนี้แคบลง ดังน้ัน C# - A จึงเปนข้ันคู 6 ไมเนอร์ (min6th) โดยมีระยะห่าง 8 Semitone 2. ถ้าขั้นคู่เสียงมีเคร่ืองหมายแปลงเสียงชาร์ปเหมือนกัน G# – D# ใหตัดเครื่องหมาย แปลงเสียงชารปออกกอนซ่ึงตองสามารถตัดทิ้งไดท้ังสองขางจึงไดเปน G – D เปนคู 5 เพอรเฟค (P5th) 3. ถ้าขั้นคู่เสียงท่ีโน้ตตัวล่างติด 1 แฟล็ต แล้วโน้ตตัวบนติดเคร่ืองหมายดับเบ้ิลแฟล็ต เช่น Eb – Bbb สามารถตัดทอนไดแค 1 อนั เทานน้ั จึงไดเป็น E – Bb เปนคู 5 ดมิ ินชิ น์ (dim5th) การพลิกกลับของขั้นคู่เสียงหมายถึงการย้ายตาแหน่งของโน้ตตัวล่าง (Tonic) ในข้ันคู่เสียง ให้สูงข้นึ ไป 1 ช่วงค่แู ปด หรือยา้ ยตาแหนง่ ของโน้ตตัวบนในขั้นคเู่ สียง ให้ต่าลง 1 ช่วงค่แู ปด
43 แบบฝึกหัดทา้ ยบทที่ 2 คาชี้แจง ให้นกั ศกึ ษาตอบคาถามตอ่ ไปนี้ 1. จงอธิบายขนั้ คู่เสยี ง (Intervals) พร้อมยกตวั อย่างประกอบ 2. จงอธบิ ายขนั้ คู่เสยี งฮาร์โมนิก (Harmonic Intervals) พร้อมยกตวั อยา่ งประกอบ 3. จงอธิบายคณุ ลักษณะคุณภาพของเสยี ง (Quality) 4. จงอธบิ ายการคดิ หาขนั้ คเู่ สียงพรอ้ มยกตวั อยา่ งประกอบ 5. จงอธิบายการพลิกกลับของขน้ั ค่เู สียง (Inversion) พรอ้ มยกตัวอย่าง 6. จงเติมชอื่ ขน้ั คใู่ ห้ถูกตอ้ งจากโน้ตขน้ั คู่ทกี่ าหนดให้ 7. จงเตมิ ตวั โน้ตเหนอื ตัวโนต้ ท่ีกาหนดมาให้ โดยใหส้ อดคล้องกับช่อื ขนั้ คู่
44 8. จงเติมตวั โนต้ ด้านลา่ งตัวโน้ตที่กาหนดมาให้ โดยให้สอดคล้องกบั ชอ่ื ขน้ั คู่ 9. จงเติมตัวโน้ตเหนอื ตัวโน้ตที่กาหนดมาให้ โดยให้สอดคล้องกับช่อื ข้ันคู่ 10. จงเตมิ ตัวโนต้ ด้านล่างตวั โนต้ ทก่ี าหนดมาให้ โดยใหส้ อดคล้องกบั ช่ือข้นั คู่ 11. จงเขียนขนั้ คู่ Enharmonic ของขน้ั ค่ทู ่กี าหนดให้
45 เอกสารอ้างองิ ณชั ชา โสคตยิ านุรกั ษ.์ (2542). ทฤษฎดี นตรี. กรุงเทพฯ: จุฬาลงกรณม์ หาวทิ ยาลัย. นพพร ด่านสกุล. (2541). ทฤษฎีโน้ตสากล. เอกสารประกอบการสอนราย ดร 221 บทที่ 4 (หน้า 93 - 121). สงขลา: มหาวิทยาลัยทักษณิ . ลัญฉนะวัต นิมมานรตนกุล. (2552). ทฤษฎีดนตรตี ะวันตก. ปทมุ ธานี: นมิ มานรตนะกุล. สมนกึ อ่นุ แก้ว. (2544). ทฤษฎีดนตรีแนวปฏิบตั .ิ (พมิ พค์ รั้งที่ 6). ขอนแกน่ : โรงพิมพ์พระธรรม ขนั ต์. สุชาติ สิมมี. (2549). การเปรียบเทียบผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนโดยการสอนด้วยบทเรียน คอมพิวเตอรช์ ่วยสอนกบั การสอนปกติ เรอ่ื ง ขั้นคู่เสียง สาหรับนกั ศกึ ษาหลกั สตู ร วิชาชีพ ระยะสัน้ . กรุงเทพฯ: มหาวทิ ยาลัยราชภฏั จนั ทรเกษม. Kostka S. and Payne D. (2008). Tonal Harmonic with an introduction to twentieth – century music. 6th ed. New York: McGraw – Hill Higher Education.
แผนบรหิ ารการสอนประจาบทที่ 3 เนอื้ หาประจาบท ทรยั แอดและคอร์ด ความหมาย คณุ ลกั ษณะของทรยั แอด ชนดิ ของทรัยแอด คุณภาพเสยี งทรยั แอด การเรียกชือ่ ทรัยแอด คอร์ด คอรด์ ทบเจด็ สรุป วตั ถปุ ระสงคเ์ ชิงพฤติกรรม เม่อื ศึกษาจบบทท่ี 3 แล้วนกั ศกึ ษาสามารถ 1. อธิบายโครงสรา้ งของคอรด์ ชนดิ ต่าง ๆ ได้ 2. อธบิ ายลกั ษณะของทรัยแอดชนดิ ต่าง ๆ ได้ 3. อธบิ ายคอร์ดพนื้ ฐานได้ 4. เรียกชื่อทรยั แอดชนิดตา่ ง ๆ ได้ 5. อธิบายโครงสรา้ ง และลักษณะคอร์ดทบเจ็ดได้ วิธีสอนและกจิ กรรมการเรียนการสอนประจาบท 1. บรรยาย และซักถาม พร้อมยกตวั อยา่ งประกอบการบรรยายโดยใช้ PowerPoint 2. ให้ผู้เรยี นศึกษาคน้ ควา้ ดว้ ยตนเอง 3. ผสู้ อนและผเู้ รียนร่วมกนั อภปิ รายเน้ือหาที่ได้ศกึ ษาค้นคว้า 4. ให้ผ้เู รียนลองปฏบิ ัติกับเครือ่ งดนตรี 5. ผสู้ อนดดี เปยี โนใหน้ กั ศึกษาตอบวา่ เปน็ คอรด์ ชนดิ ใด 6. ผู้เรยี นกบั ผู้สอนรว่ มกนั สรุปบทเรยี น 7. ผู้เรยี นทาแบบฝกึ หดั 8. มอบหมายจดั ทารายงานเพิ่มเตมิ
48 ส่อื การเรยี นการสอน 1. เอกสารประกอบการสอนวิชาทฤษฎีดนตรีสากล 2 2. เคร่ืองฉายขา้ มศรี ษะพรอ้ มโน้ตบุ๊ก PowerPoint 3. หนงั สือทค่ี ้นคว้าเพ่ิมเตมิ ทีเ่ กี่ยวกบั ทรยั แอดและคอรด์ 4. เครอ่ื งดนตรี การวดั และประเมนิ ผล 1. สงั เกตจากการตอบคาถาม 2. สังเกตจากการรว่ มกิจกรรม 3. สงั เกตจากความสนใจ 4. สงั เกตจากการสรุปบทเรียน 5. ทาแบบฝกึ หดั ท้ายคาบเรียน 6. ทาแบบฝกึ หดั ในเอกสารประกอบการสอน 7. ประเมนิ จากการสอบระหวา่ งภาคและปลายภาค
บทที่ 3 ทรยั แอดและคอรด์ บันไดเสียงเมเจอร์ (Diatonic Major Scale) และบันไดเสียงไมเนอร์ (Diatonic Minor Scale) เป็นพ้ืนฐานหนึ่งของการกาหนดรูปแบบข้ันคู่เสียงในดนตรีสากล ทานอง (Melody) เป็น ขั้นคู่เสียงที่เกิดจากเสียงตามกัน (Melodic Intervals) ส่วนคอร์ดนั้นเกิดข้ึนจากขั้นคู่เสียงท่ีเกิดเสียง พร้อมกันในแนวต้ัง (Harmonic Intervals) ซึ่งเป็นส่วนประกอบพื้นฐานของการประสานเสียง สาหรับทรัยแอด (Triad) ก็คือคอร์ด (Chord) ที่ประกอบด้วยโน้ต 3 เสียง โดยการนาเอาข้ันคู่เสียง ท่ีเกดิ เสียงพร้อมกันจานวน 2 ขัน้ คู่เสียงมาวางซ้อนกันในแนวต้ัง (Harmonic Intervals) ความหมาย สมนึก อุ่นแก้ว (2544 : 74) กล่าวไว้ว่าทรัยแอด (Triad) เป็นคอร์ดพื้นฐานท่ี ประกอบด้วยโน้ต 3 ตัว คือ โน้ตข้ันที่ 1 (Tonic) โน้ตข้ันท่ี 3 (Third) และโน้ตข้ันที่ 5 (Fifth) ของ บันไดเสียง ซ่ึงสอดคล้องกับ ณัชชา โสคติยานุรักษ์ (2538 : 127) ได้ให้ความหมายของ ทรัยแอด (Triad) คือ กลุ่มโน้ต 3 ตัวที่มีโครงสร้างแน่นอน Tri แปลว่า สาม ตัวเลข 3 นอกจากจะเก่ียวข้องกับ จานวนของตัวโนต้ แล้วยังเป็นขน้ั คเู่ สียงที่สาคญั ในการสร้างทรัยแอด เนอ่ื งจากโครงสร้างของทรยั แอด เป็นการนาขั้นคู่ 3 จานวน 2 คมู่ าวางซ้อนกนั ในแนวต้งั จากความหมายที่กล่าวมาข้างต้น สรุปได้ว่า ทรัยแอด (Triad) คือ กลุ่มตัวโน้ต 3 ตัว ซ่ึงเป็นโน้ตตัวที่ 1 3 และ 5 ของบันไดเสียง มาจับคู่กันเป็นขั้นคู่ 3 จานวน 2 ข้ันคู่ โดยข้ันคู่ท่ี 1 เกิดจากโน้ตตัวท่ี 1 กับโน้ตตัวท่ี 3 และขนั้ ค่ทู ่ี 2 คือ โน้ตตัวที่ 3 กับโน้ตตัวที่ 5 นามาซ้อนกันแล้วเกิด เสยี งพรอ้ มกัน เรยี กว่า คอร์ด (Chord) คุณลักษณะของทรยั แอด ทรัยแอดประกอบด้วยกลุ่มโน้ต 3 เสียงที่มีระยะห่างเป็นขั้นคู่ 3 เรียกโน้ตตัวล่างสุดว่า โน้ตพื้นต้น (Root) หรือโน้ตข้ันท่ี 1 เรียกโน้ตตัวกลางว่า โน้ตขั้นที่ 3 (Third) เพราะห่างจาก โน้ตตัวที่ 1 เป็นขั้นคู่ 3 และเรียกโน้ตตัวบนสุดว่า โน้ตข้ันท่ี 5 (Fifth) เพราะห่างจากโน้ตตัวท่ี 1 เป็น ข้ันคู่ 5 ลักษณะทรัยแอดท่ีเรียงโน้ตเป็นลักษณะคู่ 3 และคู่ 5 เช่นนี้ เรียกว่า ทรัยแอดในรูปพื้นต้น (Root Position) ดังภาพที่ 3.1 การนาคู่ 3 มาวางซ้อนกันเป็นเทคนิคที่เรียกว่า คู่สามเรียงซ้อน (Superimposed Thirds)
50 ภาพที่ 3.1 ทรัยแอดรูปพน้ื ตน้ จากภาพท่ี 3.1 พบวา่ 1. ทรัยแอดรูปพ้ืนตน้ ประกอบดว้ ยโน้ต 3 ตัว ของบนั ไดสียง C เมเจอร์ 2. ทรยั แอดทางด้านซา้ ยมือ Root คอื โน้ตตัว C ดังนัน้ โนต้ ตวั ที่ 3 คือโนต้ ตัว E และ โนต้ ตัวที่ 5 คอื โนต้ ตวั G 3. ทรัยแอดทางดา้ นขวามอื มี Root เปน็ โน้ตตัว F ดงั นัน้ โนต้ ตัวท่ี 3 คือโนต้ ตัว A และ โนต้ ตวั ท่ี 5 คอื โน้ตตวั C ทรยั แอดในรูปพ้ืนตน้ สามารถพลกิ กลบั ไดอ้ ีก 2 ขน้ั คอื 1. การพลิกกลับในข้ันท่ีหน่ึง (First Inversion) คือ โน้ตพื้นต้น (Root) ถูกเปล่ียนตาแหน่ง สงู ขน้ึ ไป 1 ช่วงแปด (Octave) ทาใหโ้ น้ตพืน้ ตน้ ย้ายตาแหนง่ ไปอย่บู นสดุ ดงั ภาพที่ 3.2 ภาพท่ี 3.2 ทรัยแอดพลกิ กลับในขัน้ ทห่ี นง่ึ จากภาพท่ี 3.2 พบวา่ 1. จากภาพท่ี 3.1 ทรัยแอดพลิกกลับในขั้นที่หนึ่ง ทางด้านซ้ายมือ โน้ตตัว C และ คอรด์ F ทางดา้ นขวามือ โนต้ ตวั F ไดเ้ ปลยี่ นตาแหนง่ สูงขึ้นไป 1 ชว่ งคูแ่ ปด 2. ทรยั แอดพลกิ กลับในข้นั ท่ีหนึง่ ประกอบดว้ ยโน้ตขน้ั คู่ 3 และโน้ตขั้นคู่ 6 3. เรียกโน้ตตัวล่างสุดว่าโน้ตตัวท่ี 1 เรียกโน้ตตัวกลางว่าโน้ตตัวที่ 3 เพราะอยู่สูงกว่า โนต้ ตัวท่ี 1 เปน็ ข้ันคู่ 3 และเรียกโน้ตตวั บนสุดวา่ โนต้ ตัวท่ี 6 เพราะอยูส่ ูงกวา่ โนต้ ตวั ท่ี 1 เปน็ ขั้นคู่ 6
51 2. การพลิกกลับข้ันท่ีสอง (Second Inversion) เป็นการพลับกลับ 2 คร้ังของทรัยแอดใน รปู พื้นต้น คือ โน้ตตัวที่ 1 และโน้ตตัวท่ี 3 จะอยู่ในตาแหน่งสงู ข้ึน 1 ช่วงคู่แปด โดยอยู่เหนอื ตาแหน่ง โนต้ ตวั ท่ี 5 ดงั น้ัน โนต้ ตวั ที่ 5 จงึ เปน็ โนต้ ในตาแหน่งล่างสุดในการพลิกกลบั ในขน้ั ท่สี อง ดังภาพที่ 3.3 ภาพท่ี 3.3 ทรัยแอดการพลกิ กลับในขน้ั ทสี่ อง จากภาพที่ 3.2 พบวา่ 1. จากภาพที่ 3.2 คอร์ด C ทางด้านซ้ายมือ โน้ตตัว E และคอร์ด F ทางด้านขวามือ โนต้ ตัว A ไดเ้ ปลยี่ นตาแหน่งสูงขึ้นไป 1 ช่วงคแู่ ปด 2. ทรัยแอดพลกิ กลับในข้นั ท่ี 2 ประกอบดว้ ยโนต้ ขนั้ คู่ 4 และโน้ตข้ันคู่ 6 3. เรียกโน้ตตัวล่างสุดว่าโน้ตตัวที่ 1 เรียกโน้ตตัวกลางว่าโน้ตตัวท่ี 4 เพราะอยู่สูงกว่า โน้ตตวั ที่ 1 เป็นข้ันคู่ 4 และเรียกโนต้ ตวั บนสดุ ว่าโน้ตตัวที่ 6 เพราะอยูส่ งู กว่าโน้ตตวั ที่ 1 เป็นขนั้ คู่ 6 การสร้างทรัยแอดในขั้นต่าง ๆ ของบันไดเสียงเมเจอร์ เมื่อใช้โน้ตข้ันใดของบันไดเสียงเป็น โน้ตพื้นต้น ให้นับโนต้ พ้ืนต้นเปน็ ตัวที่ 1 แล้วนาโน้ตตัวที่ 3 และตัวที่ 5 มาวางซ้อนกัน ถา้ ใช้โนต้ ตัวใด เป็นโน้ตพ้ืนต้นก็ให้เรียกชื่อทรัยแอดตามช่ือโน้ตตามน้ัน เช่น ทรัยแอดในบันไดเสียง C Major ดงั ภาพที่ 3.4
52 ภาพที่ 3.4 ทรยั แอดบนบนั ไดเสียง C Major ในรปู พนื้ ตน้ จากภาพที่ 3.4 พบวา่ 1. C Major Triad ในรูปพน้ื ต้น ในบันไดเสยี ง C เมเจอร์ ประกอบด้วยโนต้ ในขัน้ ท่ี 1(C) 3(E) และ 5(G) ของบันไดสยี ง 2. D Minor Triad ในรปู พ้นื ตน้ ในบันไดเสียง C เมเจอร์ ประกอบด้วยโนต้ ในขน้ั ท่ี 1(D) 3(F) และ 5(A) ของบนั ไดสียง 3. E Minor Triad ในรปู พื้นต้น ในบันไดเสียง C เมเจอร์ ประกอบด้วยโน้ตในข้นั ที่ 1(E) 3(G) และ 5(G) ของบันไดสยี ง 4. F Major Triad ในรูปพ้นื ต้น ในบนั ไดเสียง C เมเจอร์ ประกอบด้วยโนต้ ในขน้ั ท่ี 1(F) 3(A) และ 5(C) ของบนั ไดสยี ง ชนดิ ของทรยั แอด ณัชชา โสคติยานุรักษ์ (2542 : 129) กล่าวว่าทรัยแอดมอี ยู่ 4 ชนิด ไดแ้ ก่ 1. ทรัยแอดเมเจอร์ (Major Triad ใช้ตัวย่อ คือ M) ประกอบด้วยโน้ตข้ันคู่ 3 เมเจอร์ ระหว่างโน้ตตัวที่ 1 กับตัวท่ี 3 โน้ตข้ันคู่ 3 ไมเนอร์ระหว่างโน้ตตัวท่ี 3 กับตัวที่ 5 และโน้ตข้ันคู่ 5 เพอรเ์ ฟค ระหวา่ งโน้ตตวั ที่ 1 กบั ตวั ที่ 5 ดังภาพท่ี 3.5
53 ภาพที่ 3.5 ทรยั แอดเมเจอร์ (Major Triad) ในรูปพ้ืนต้น 2. ทรัยแอดไมเนอร์ (Minor Triad ใช้ตัวย่อ คือ m) ประกอบด้วยโน้ตข้ันคู่ 3 ไมเนอร์ ระหว่างโน้ตตัวท่ี 1 กับตัวที่ 3 โน้ตขั้นคู่ 3 เมเจอร์ระหว่างโน้ตตัวที่ 3 กับตัวท่ี 5 และโน้ต ขน้ั คู่ 5 เพอร์เฟค ระหวา่ งโน้ตตวั ที่ 1 กบั ตัวที่ 5 ดงั ภาพที่ 3.6 ภาพท่ี 3.6 ทรยั แอดไมเนอร์ (Minor Triad) ในรูปพืน้ ต้น 3. ทรัยแอดดิมินิชน์ (Diminished Triad ใช้ตัวย่อ คือ d) ประกอบด้วยโน้ต ขั้นคู่ 3 ไมเนอร์ระหว่างโน้ตตัวที่ 1 กบั ตวั ท่ี 3 โน้ตข้ันคู่ 3 ไมเนอร์ระหว่างโน้ตตัวท่ี 3 กับตัวที่ 5 และ โนต้ ขั้นคู่ 5 ดมิ ินิชน์ ระหวา่ งโน้ตตวั ท่ี 1 กับตัวท่ี 5 ดงั ภาพท่ี 3.7 ภาพที่ 3.7 ทรัยแอดดิมินชิ น์ (Diminished Triad) ในรูปพน้ื ต้น 4. ทรัยแอดอ็อกเมนเต็ด (Augmented Triad ใช้ตัวย่อ คือ A) ประกอบด้วยโน้ต ข้ันคู่ 3 เมเจอร์ระหว่างโน้ตตัวที่ 1 กับตัวที่ 3 โน้ตขั้นคู่ 3 เมเจอร์ระหว่างโน้ตตัวที่ 3 กับตัวที่ 5 และ โนต้ ขน้ั คู่ 5 ออ็ กเมนเตด็ ระหว่างโน้ตตัวท่ี 1 กับตัวท่ี 5 ดงั ภาพที่ 3.8
54 ภาพท่ี 3.8 ทรยั แอดออ็ กเมนเตด็ (Augmented Triad) ในรปู พื้นตน้ คณุ ภาพเสยี งทรยั แอด ณัชชา โสคติยานุรักษ์ (2542 : 130) ได้กล่าวถึงคุณภาพเสียงของทรัยแอดชนิดต่าง ๆ ว่ามี ความแตกต่างกัน เพราะขั้นคู่เสียงที่นามาประกอบกันเป็นทรยั แอดมีความหลากหลาย การผสมเสียง ระหว่างข้ันคู่เสียงชนิดต่าง ๆ ของโน้ต 3 ตัวท่ีประกอบเป็นทรัยแอดทาให้ทรัยแอดในแต่ละชนิดมี ความโดดเดน่ เฉพาะตวั โดยแบง่ คุณลกั ษณะคณุ ภาพเสียงของทรัยแอดเปน็ 2 ชนดิ คอื 1. เสียงกลมกล่อม ทรัยแอดที่จัดให้อยู่ในประเภทเสียงกลมกล่อม ได้แก่ ทรัยแอดเมเจอร์ และทรัยแอดไมเนอร์ เพราะว่าข้นั คู่เสียงทง้ั 2 ขั้นคเู่ สียงที่มาประกอบกันเป็นทรยั แอดเป็นข้ันคู่เสียงที่ กลมกล่อม 1.1 ทรยั แอดเมเจอรใ์ นรูปพนื้ ต้นประกอบดว้ ยข้นั คู่เสียง 3 ข้ันค่เู สยี ง คอื 1.1.1 ขน้ั คู่ 3 เมเจอร์ คอื โนต้ ตัวที่ 1 กบั 3 1.1.2 ข้นั คู่ 3 ไมเนอร์ คอื โนต้ ตวั ท่ี 3 กบั 5 1.1.3 ขั้นคู่ 5 เพอร์เฟค คือ โน้ตตัวที่ 1 กบั 5 1.2 ทรยั แอดไมเนอรใ์ นรูปพืน้ ต้นประกอบด้วยข้นั คเู่ สียง 3 ข้ันคเู่ สยี ง คือ 1.2.1 ข้ันคู่ 3 ไมเนอร์ คือ โน้ตตวั ที่ 1 กบั 3 1.2.2 ข้ันคู่ 3 เมเจอร์ คอื โน้ตตวั ที่ 3 กบั 5 1.2.3 ขั้นคู่ 5 เพอรเ์ ฟค คือโนต้ ตวั ท่ี 1 กบั 5 สรุปได้ว่าทรยั แอดประเภทเสียงกลมกลอ่ มประกอบด้วยขัน้ ค่เู สยี ง ดงั น้ี ข้ันคู่ 3 ไมเนอร์ ข้ันคู่ 3 เมเจอร์ และขั้นคู่ 5 เพอร์เฟค ถึงแม้ว่าท้ัง 2 ทรัยจะให้เสียง กลมกล่อมเหมือนกันแต่เมื่อฟังโดยรวมแลว้ จะใหค้ วามรู้สึกตา่ งกัน คือ เสียงของทรัยแอดเมเจอร์จะให้ เสียงท่ีกว้างมากกว่าทรัยแอดไมเนอร์ ท้ังน้ีก็เพราะว่าข้ันคู่เสียงล่างของทรัยแอดเมเจอร์เป็น ขน้ั คู่ 3 เมเจอร์ ซง่ึ ให้เสยี งที่ฟงั แลว้ เปิดกว้างกวา่ ขนั้ คู่ 3 ไมเนอร์ ดังภาพที่ 3.9
55 ภาพที่ 3.9 ทรัยแอดเมเจอร์ และทรยั แอดไมเนอรใ์ นรูปพ้ืนต้น ทรัยแอดเมเจอร์และทรัยแอดไมเนอร์เมื่ออยู่ในรูปพลิกกลับก็ยังคงให้เสียงกลมกล่อม เพราะว่าเม่ือพลิกกลับแล้วข้ันคู่เสียงก็เป็นข้ันคู่เสียงกลมกล่อมทั้งสิ้น เช่น ขั้นคู่ 4 เพอร์เฟค ข้ันคู่ 6 ไมเนอร์ และข้ันคู่ 6 เมเจอร์ เมื่อฟังเสียงทรัยแอดทั้ง 2 ชนิด พบว่าทรัยแอดในรูปพ้ืนต้น ให้เสียงหนักแน่นกว่าทรัยแอดในรูปพลิกกลับ เม่ือนาไปใช้ในการเรียบเรียงเสียงประสานต้องคานึงถึง เหตุผลน้ดี ว้ ย ดังภาพท่ี 3.10 ภาพท่ี 3.10 ทรัยแอดเมเจอร์ และทรยั แอดไมเนอรใ์ นรปู การพลิกกลบั 2. เสียงกระด้าง ทรัยแอดที่จัดให้อยู่ในประเภทเสียงกระด้าง ได้แก่ ทรัยแอดดิมินิชน์และ ทรยั แอดออ๊ กเมนเต็ด 2.1 ทรัยแอดดิมนิ ิชน์ในรปู พ้ืนต้นประกอบด้วยขั้นค่เู สียง 3 ขนั้ คู่เสียง คอื 2.1.1 ขัน้ คู่ 3 ไมเนอร์ คอื โน้ตตัวที่ 1 กบั 3 2.1.2 ขั้นคู่ 3 ไมเนอร์ คือ โนต้ ตัวที่ 3 กบั 5 2.1.3 ขั้นคู่ 5 ดมิ ินชิ น์ คือ โนต้ ตัวที่ 1 กบั 5
56 2.2 ทรัยแอดออ็ กเมนเต็ดในรูปพน้ื ต้นประกอบดว้ ยขั้นคเู่ สียง 3 ขน้ั คู่เสยี ง คอื 2.2.1 ขน้ั คู่ 3 เมเจอร์ คอื โน้ตตวั ที่ 1 กบั 3 2.2.2 ขั้นคู่ 3 เมเจอร์ คอื โน้ตตัวที่ 3 กับ 5 2.2.3 ข้ันคู่ 5 ออ็ กเมนเตด็ คือ โน้ตตัวที่ 1 กบั 5 สรุปได้ว่าทรัยแอดประเภทเสียงกระดา้ งประกอบดว้ ยข้นั คู่ ดังน้ี 1. ขั้นคู่ 3 ไมเนอร์ 2 ขั้นคเู่ สยี ง และขัน้ คู่ 5 ดมิ นิ ิชน์ 2. ขั้นคู่ 3 เมเจอร์ 2 ข้นั ค่เู สียงและขนั้ คู่ 5 ออ็ กเมนเตด็ ข้ันคู่เสียง 5 ดิมินิชน์และคู่ 5 อ็อกเมนเต็ดท่ีเกิดข้ึนในทรัยแอดดิมินิชน์ และทรัยแอด อ็อกเมนเต็ด เป็นปัจจัยสาคัญท่ีทาให้เสียงโดยรวมของทรัยแอดทั้งสองชนิดเป็นทรัยแอดประเภท เสียงกระดา้ ง ดงั ภาพที่ 3.11 ภาพที่ 3.11 ทรัยแอดแอดดิมินิชน์ และทรัยแอดอ็อกเมนเต็ดในรูปพนื้ ต้น ทรัยแอดดิมินิชน์เมื่ออยู่ในรูปพลิกกลับก็ยังคงเป็นทรัยแอดท่ีให้เสียงกระด้าง เพราะว่า ขั้นคู่เสียงที่ประกอบกันเป็นทรัยแอดดิมินิชน์ในรูปพ้ืนต้น คือ ข้ันคู่ 3 ไมเนอร์ จานวน 2 ขั้นคู่ และ ข้ันคู่ 5 ดิมินิชน์ จึงเป็นเหตุผลว่าทาไมทรัยแอดดิมินิชน์เมื่ออยู่ในรูปพลิกกลับยังคงเป็นทรัยแอดที่ให้ เสียงกระด้าง ทรัยแอดอ็อกเมนเต็ดเม่ืออยู่ในรูปพลิกกลับยังคงเป็นทรัยแอดท่ีให้เสียงกระด้าง เพราะ ข้ันคู่ท่ีประกอบกันเป็นทรัยแอดอ๊อกเมนเต็ดในรูปพื้นต้น คือ ขั้นคู่ 3 เมเจอร์ จานวน 2 ข้ันคู่ และ ขั้นคู่ 5 อ็อกเมนเต็ด จึงเป็นเหตุผลว่าทาไมทรัยแอดอ็อกเมนเต็ดเม่ืออยู่ในรูปพลิกกลับยังคงเป็น ทรัยแอดทีใ่ หเ้ สยี งกระด้าง ในทางทฤษฎีท้ังสองข้ันคู่เสียงน้ีเป็นขั้นคู่เสียงกระด้างที่ต้องได้รับการเกลาไปสู่ขั้นคู่เสียง กลมกล่อม ดังน้ันข้ันคู่ 5 ดิมินิชน์ และข้ันคู่ 5 อ็อกเมนเต็ด ที่เกิดขึ้นในทรัยแอดดิมินิชน์ และ ทรัยแอดอ็อกเมนเต็ดนั้น จึงเป็นปัจจัยที่สาคัญท่ีทาให้เสียงของทรัยแอดดิมินิชน์ และทรัยแอด อ็อกเมนเตด็ กลายเปน็ ทรยั แอดประเภทเสยี งกระดา้ ง ดังภาพที่ 3.12
57 ภาพท่ี 3.12 ทรัยแอดดมิ นิ ิชน์ และทรยั แอดอ็อกเมนเตด็ ในรปู การพลิกกลับ การเรยี กช่ือทรัยแอด ณัชชา โสคติยานุรักษ์ (2542 : 132) กล่าวว่าโน้ตพื้นต้นของทรัยแอดหรือโน้ตตัวที่ 1 ของ ทรัยแอดในรูปพ้ืนต้นจะเป็นชื่อของทรัยแอดเสมอ สรุปได้ว่าทรัยแอดในรูปพื้นตน้ สามารถใช้โน้ตตัวที่ 1 หรอื โทนกิ เปน็ ชื่อทรยั แอดไดเ้ ลย เชน่ ทรัยแอดเมเจอร์ ในรูปพื้นต้นที่มี G เป็นโนต้ พนื้ ตน้ สามารถ เรียกว่าทรัยแอด G เมเจอร์ ทรัยแอดไมเนอร์ในรูปพื้นต้นท่ีมี E เป็นโน้ตพ้ืนต้น เรียกว่าทรัยแอด E ไมเนอร์ ทรัยแอดดมิ ินิชนใ์ นรูปพ้นื ตน้ ทมี่ ี A เป็นโน้ตพนื้ ตน้ สามารถ เรียกว่าทรยั แอด A แอดดิมนิ ิชน์ และทรยั แอดอ๊อกเมนเต็ดในรูปพืน้ ตน้ ท่ีมี F เปน็ โนต้ พ้ืนต้น เรียกว่าทรยั แอด F อ็อกเมนเต็ด ดงั ภาพท่ี 3.13 ในการใช้ตัวย่อของชื่อทรัยแอดยังนิยมใช้ M และ m แทนทรัยแอดเมเจอร์และไมเนอร์แต่ สาหรับดิมินิชน์ และอ็อกเมนเต็ดนิยมใช้สัญลักษณ์ O แทนทรัยแอดดิมินิชน์ และสัญลักษณ์แทน ทรัยแอดอ็อกเมนเตด็ เช่น F+ หมายถึง F อ็อกเมนเต็ด ส่วนทรัยแอดเมเจอร์ที่ใชต้ ัวยอ่ M อาจจะไม่ใช้ ก็ได้ ละในฐานทีเ่ ขา้ ใจ เชน่ G จะหมายถงึ ทรยั แอด G เมเจอร์ (GM) เปน็ ต้น ดังภาพท่ี 3.13 ภาพที่ 3.13 การเรียกชือ่ ทรัยแอดในรปู พ้ืนตน้ ตามคณุ ภาพเสียงชนดิ ต่าง ๆ
58 เม่ือเจอกับทรัยแอดในรูปพลิกกลับ ต้องหาโน้ตพ้ืนต้นจากทรัยแอดในรูปพลิกกลับให้ได้ เสียก่อน จึงจะได้ช่ือท่ีถูกต้องของทรัยแอด แล้วค่อยหารูปของทรัยแอด และในกรณีที่โน้ตทั้ง 3 ตัว อยู่กระจัดกระจายเกิน 1 ช่วงคู่แปด ให้จัดการให้กลุ่มโน้ตอยู่ในช่วงคู่แปดเสียก่อน โดยให้โน้ต ตวั ล่างสดุ ใหอ้ ยู่ในตาแหน่งล่างสดุ เช่นเดิม (ณัชชา โสคตยิ านรุ ักษ์, 2542 : 132) ดังภาพที่ 3.14 ภาพท่ี 3.14 การหาชอ่ื ทรัยแอดทีโ่ น้ตทัง้ 3 ตัวอยกู่ ระจัดกระจายเกนิ 1 ชว่ งคแู่ ปด ทรยั แอด คือกลุ่มโนต้ 3 ตัวที่สามารถใช้เป็นแนวทางในการประสานเสียง เมื่อโน้ตท้ัง 3 ตัว สร้างข้ึนได้ด้วยการนาโน้ตมาซ้อนกันในแนวตั้งเป็นข้ันคู่ 3 ในโน้ตตัวใดก็ได้จานวน 2 คร้ัง โดยเรียก โน้ตตาแหน่งล่างสุดว่าโน้ตฐาน (Root) โน้ตขั้นคู่ 3 และโน้ตขั้นคู่ 5 แล้วได้นามาบรรเลงหรือร้อง ออกเสียงมาพร้อมกันทาให้เกิดสีสันให้กับบทเพลง ความหลากหลายของคุณภาพเสียงของทรัยแอด ชนดิ ต่าง ๆบนบนั ไดเสยี งไดอาโทนิค (Diatonic) ไดแ้ ก่ 1. ทรัยแอดเมเจอร์ ประกอบดว้ ยโน้ตฐานลา่ ง ขน้ั คู่ 3 เมเจอร์ และขนั้ คู่ 3 ไมเนอร์ 2. ทรัยแอดไมเนอร์ ประกอบด้วยโน้ตฐานลา่ ง ขน้ั คู่ 3 ไมเนอร์ และขนั้ คู่ 3 เมเจอร์ 3. ทรัยแอดดิมินิชน์ ประกอบดว้ ยโน้ตฐานล่าง ขัน้ คู่ 3 ไมเนอร์ และขนั้ คู่ 3 ไมเนอร์ 4. ทรัยแอดอ็อกเมนเต็ด ประกอบด้วยโน้ตฐานลา่ ง ขัน้ คู่ 3 เมเจอร์ และขน้ั คู่ 3 เมเจอร์ การประสานเสียงต้องอาศัยทรัยแอดไปใช้เพื่อความสมบูรณ์ของบทเพลงยิ่งขึ้น ต่อจากน้ีไป ทรัยแอดจะเรยี กว่า คอรด์ (Chord) คอรด์ คอร์ด (Chord) หมายถึง กลุ่มของตัวโน้ต 3 – 4 ตัวที่ประกอบกันเป็นเสียงประสาน (Harmony) และมีความชัดเจนในจุดท่ีมีการใช้คอรด์ เพราะอันทจ่ี ริงแลว้ คอร์ดก็คือทรยั แอดซงึ่ คาท้ัง สองคาน้ีใช้ร่วมกนั ได้ คอรด์ มี 4 ชนดิ คอื 1. คอร์ดเมเจอร์ 2. คอร์ดไมเนอร์ 3. คอร์ดดิมินิชน์ และ 4. คอร์ดอ็อกเมนเต็ด ดังที่กล่าวมาแล้วข้างต้นว่าทรัยแอดแต่ละชนิดประกอบไปด้วยตัวโน้ต 3 ตัว
59 และมีความพิเศษในแต่ละชนิด แต่คอร์ดน้ันมีการนาไปขยายต่อท่ีซับซ้อนมากขึ้นนอกเหนือ ทรัยแอดทีเ่ ปน็ พ้นื ฐานของคอรด์ (ณัชชา โสคตยิ านรุ ักษ์, 2538 : 136) 1. คอร์ดพน้ื ฐานเป็นคอร์ดทส่ี รา้ งอยใู่ นบนั ไดเสียง โดยใช้โน้ตขนั้ ท่ี 1 3 และ 5 จากโนต้ ราก โน้ตทุกตัวท่ีประกอบกันเป็นโนต้ พ้ืนฐานต้องมาจากบันไดเสียงเดียวกัน ซง่ึ จะสอดคล้องกับบนั ไดเสียง น้ัน ๆ คือ ถ้ากุญแจเสียงเป็นเมเจอร์ก็ต้องใช้บันไดเสียงเมเจอร์ ส่วนกุญแจเสียงไมเนอร์ต้องใช้ บันไดเสียงแบบฮารโ์ มนิกไมเนอร์ เพราะกุญแจเสียงกับคอร์ดมีความขอ้ งเกี่ยวกับเสียงประสาน คอร์ด ท่ีสร้างจากโน้ตขั้นท่ี 1 3 และ 5 ของกุญแจเสียง และบันไดเสียงชนิดเดียวกันถือว่าเป็นคอร์ดพ้ืนต้น (ณัชชา โสคติยานรุ ักษ์, 2538 : 136) ดงั ภาพท่ี 3.15 และภาพที่ 3.16 2. หน้าที่ของคอร์ด คือ สามารถบอกได้ว่า คอร์ดท่ีนามาเป็นคอร์ดที่เท่าใดของบันไดเสียง หลกั โดยการพิจารณาจากโน้ตตัวล่างสุดของคอรด์ ในรูปพ้ืนตน้ คอื 2.1 กุญแจเสียงทางเมเจอร์ 2.1.1 คอรด์ หนงึ่ (I) ประกอบดว้ ยโนต้ ตวั C E G ของบนั ไดเสยี ง 2.1.2 คอร์ดสอง (II) ประกอบดว้ ยโน้ตตัว D F A ของบนั ไดเสยี ง 2.1.3 คอร์ดสอง (III) ประกอบดว้ ยโนต้ ตัว E G B ของบันไดเสยี ง 2.1.4 คอรด์ สอง (IV) ประกอบด้วยโนต้ ตัว F A C ของบันไดเสียง 2.1.5 คอร์ดสอง (V) ประกอบด้วยโน้ตตัว G B D ของบันไดเสียง 2.1.6 คอร์ดสอง (VI) ประกอบด้วยโนต้ ตวั A C E ของบนั ไดเสยี ง 2.1.7 คอร์ดสอง (VII) ประกอบดว้ ยโน้ตตัว B D F ของบันไดเสียง 2.1.8 คอร์ดสอง (VIII) ประกอบดว้ ยโนต้ ตวั C E G ของบันไดเสยี ง ภาพท่ี 3.15 คอรด์ พน้ื ฐานในรูปพน้ื ต้น ทีม่ า (ณชั ชา โสคตยิ านรุ กั ษ์, 2542 : 136) 2.2 กุญแจเสียงทางไมเนอร์ให้คิดจากบันไดเสียงแบบฮาร์โมนิก (โน้ตในขั้นที่ 7 ตอ้ งยก ให้สูงข้ึนคร่ึงเสยี ง) ในท่นี ้ีจะยกตัวอย่างเปน็ บนั ไดเสียง A Harmonic Minor
60 2.2.1 คอรด์ หน่ึง (I) ประกอบดว้ ยโนต้ ตัว A C E ของ A Minor Scale 2.2.2 คอรด์ สอง (II) ประกอบดว้ ยโนต้ ตวั B D F ของ A Minor Scale 2.2.3 คอร์ดสอง (III) ประกอบด้วยโน้ตตวั C E G# ของ A Minor Scale 2.2.4 คอรด์ สอง (IV) ประกอบด้วยโน้ตตัว D F A ของ A Minor Scale 2.2.5 คอร์ดสอง (V) ประกอบด้วยโน้ตตวั E G# B ของ A Minor Scale 2.2.6 คอร์ดสอง (VI) ประกอบด้วยโน้ตตัว F A C ของ A Minor Scale 2.2.7 คอรด์ สอง (VII) ประกอบด้วยโน้ตตัว G# B D ของ A Minor Scale 2.2.8 คอรด์ สอง (VIII) ประกอบด้วยโนต้ ตัว A C E ของ A Minor Scale ภาพที่ 3.16 คอรด์ พ้นื ฐานในรปู พ้นื ต้นในบันไดเสียง A Harmonic Minor ที่มา (ณัชชา โสคตยิ านรุ กั ษ์, 2542 : 137) 3. เลขโรมัน (Roman Numerals) ถูกนามาใช้เขียนกากับคอร์ดเพื่อบอกหน้าท่ีของคอร์ด เพ่ือว่ามีคอร์ดใดบ้างในบันไดเสียงเป็นคอร์ดเมเจอร์ คอร์ดไมเนอร์ คอร์ดดิมินิชน์ คอร์ดอ็อกเมนเต็ด โดยมหี ลกั ดงั น้ี คอร์ดเมเจอรใ์ ช้เลขโรมันใหญ่ คอร์ดไมเนอรใ์ ชเ้ ลขโรมนั เล็ก คอร์ด ดิมนิ ชิ น์ใชเ้ ลขโรมัน เล็กกับ o คอร์ดออ็ กเมนเต็ด ใชเ้ ลขโรมันเล็กกับ + ดังตารางท่ี 3.1 ตารางท่ี 3.1 เลขโรมันกบั คอร์ดชนิดต่าง ๆ ชนดิ คอร์ด ชนิดเลขโรมนั 1 2 3 4 5 6 7 8 เมเจอร์ เลขโรมนั ใหญ่ I II III IV V VI VII VIII ไมเนอร์ เลขโรมนั เลก็ i ii iii iv v vi vii viii ดิมนิ ชิ น์ เลขโรมนั เล็กกับ o io iio iiio ivo vo vio viio viiio อ๊อกเมนเต็ด เลขโรมนั เลก็ กบั + I+ II+ III+ IV+ V+ VI+ VII+ VIII+
61 แต่ถ้าในกรณีท่ีไม่ต้องการบ่งบอกชนิดของคอร์ดสามารถใช้เลขโรมันใหญ่ท้ังหมดได้ ดงั ภาพที่ 3.17 และภาพท่ี 3.18 ภาพที่ 3.17 เลขโรมันกับตาแหน่งคอรด์ ต่าง ๆ บนบนั ไดเสียง C Major ทีม่ า (ณชั ชา โสคตยิ านรุ ักษ์, 2542 : 137) จากภาพที่ 3.17 พบว่า บนบนั ไดเสียงเมเจอร์ประกอบดว้ ยคอรด์ 3 ชนดิ คอื 1. คอร์ดเมเจอรใ์ นขัน้ ท่ี 1(I) 4(IV) 5(V) และ 8(VIII) 2. คอร์ดไมเจอร์ในขนั้ ท่ี 2(ii) 3(iii) และ 6(vi) 3. คอร์ดดิมินิชนใ์ นขน้ั ที่ 7(vii) Kostka and Payne (2008) กล่าวไว้ว่าในบันไดเสียงเมเจอร์ในข้ันท่ี 1,4,5 (I,IV,V) จะเป็น คอร์ดเมเจอร์ ในข้ันที่ 2,3,6 (ii,iii,vi) จะเป็นคอร์ดไมเนอร์ และในข้ันท่ี 7 (viio) มีคอร์ดสามชนิด คือ เมเจอร์ ไมเนอร์ และดิมินิชน์ ภาพที่ 3.18 เลขโรมันกบั ตาแหน่งคอรด์ ต่าง ๆ บนบันไดเสียง A Harmonic Minor ทมี่ า (ณัชชา โสคติยานรุ กั ษ์, 2542 : 138) จากภาพท่ี 3.18 พบว่า บนบนั ไดเสยี งฮารโ์ มนิคไมเนอรป์ ระกอบดว้ ยคอรด์ 4 ชนดิ คอื 1. คอรด์ เมเจอรใ์ นขัน้ ที่ 5(V) และ 6(VI) 2. คอรด์ เมเจอร์ในข้ันที่ 1(i) 4(iv) และ 8(viii)
62 3. คอร์ดดิมนิ ิชนใ์ นขน้ั ที่ 2(iio) และ7(viio) 4. คอร์ดออ๊ กเมนเต็ดในขั้นที่ 3(III+) จากภาพท่ี 3.17 และภาพท่ี 3.18 สรุปเป็นตารางเปรียบเทียบตาแหน่งชนิดคอร์ดพื้นฐาน ในบนั ไดเสียงเมเจอรแ์ ละบนั ไดเสียงไมเนอรแ์ บบฮาร์โมนกิ ดงั ตารางท่ี 3.2 ตารางท่ี 3.2 ตาแหนง่ คอร์ดพน้ื ฐานในบันไดเสียงเมเจอร์ และบนั ไดเสยี งฮาร์โมนิกไมเนอร์ บนั ไดเสียง 1 2 3 4 5 6 7 8 เมเจอร์ I ii iii IV V vi vii๐ VIII ไมเนอร์ i ii๐ III+ iv V VI vii๐ viii 4. คอร์ดในรูปพืน้ ต้นสามารถทาให้อยใู่ นรปู พลิกกลับไดเ้ ชน่ กันเหมือนกับทรัยแอด ถา้ คอร์ด ประกอบด้วยโน้ต 3 ตัวเหมือนกับทรัยแอดก็พลิกกลับได้ 2 ครั้ง ในแต่ละรูปของการพลิกกลับจะใช้ สญั ลักษณเ์ ปน็ ตัวเลข 1 3 และ 5 กากบั 4.1 คอร์ดในรูปพื้นต้นประกอบด้วยข้ันคู่ที่ 1 3 และ 5 กากับโดยใช้โน้ตตัวล่างสุดเป็น หลัก แต่ถ้าคอร์ดใดไม่มีตัวเลขกากับก็ละในฐานท่ีเข้าใจว่าคอร์ดนั้นอยู่ในรูปพื้นต้น เช่นคอร์ด I และ vi ดงั ภาพที่ 3.19 ภาพที่ 3.19 คอรด์ ในรูปพนื้ ต้น 4.2 คอร์ดในรูปพลิกกลับในขั้นที่หน่ึงจะใช้เลข 1 3 และ 6 กากับ ซึ่งคอร์ดใน รูปพลิกกลับในขั้นท่ีหน่ึงจะประกอบด้วยข้ันคู่ที่ 1 3 และ 6 โดยใช้โน้ตตัวล่างสุดเป็นหลัก ในคอร์ดการพลิกกลับขั้นที่หน่ึงน้ีจะละตัวเลข 1 และ 3 และใช้ตัวเลข 6 กากับเพียงตัวเดียว เช่น คอรด์ I6 และ iii6 ดังภาพที่ 3.20
63 ภาพที่ 3.20 คอร์ดในรปู พลิกกลบั ขั้นทห่ี นง่ึ 4.3 คอร์ดในรูปพลิกกลับในขั้นที่สองจะใช้เลข 1 4 และ 6 กากับ ซ่ึงคอร์ดใน รูปพลิกกลับในข้ันที่สองจะประกอบด้วยขั้นคู่ท่ี 1 4 และ 6 โดยใช้โน้ตตัวล่างสุดเป็นหลักในคอร์ด การพลกิ กลบั ข้นั ท่สี องนีจ้ ะละตัวเลข 1 ไว้ และใชเ้ ลข 4 กับ 6 กากับ เช่น คอร์ด V46 และ iii46 ภาพที่ 3.21 คอรด์ ในรปู พลกิ กลบั ข้นั ที่สอง คอร์ดทบเจ็ด ณัชชา โสคติยานุรักษ์ (2542 : 141) กล่าวไว้ว่าการเรียบเรียงสร้างผลงานดนตรีทาง ด้านเสยี งประสาน นอกจากการใช้คอร์ดในรูปพ้นื ต้นยงั มีคอรด์ ทซ่ี บั ซ้อนอีกซ่ึงทาใหเ้ กิดการสรา้ งสรรค์ กบั ผลงานทางด้านเสียงประสานได้ดียงิ่ ขน้ึ จากคอรด์ พ้ืนฐาน 3 ตวั โนต้ ยังมกี ารเพ่ิมจานวนโนต้ ให้มาก ข้ึน โดยวิธีการทบตัวโน้ตท่ีอยู่สูงกว่าโน้ตตัวบนหรือโน้ตตัวที่ 5 หรือเพ่ิมคู่ 3 อีก 1 ขั้นคู่ เช่น การทบโน้ตตัวท่ี 7 ก็เรียกว่า คอร์ดทบเจ็ด ในกรณีของคอร์ดทบในทางปฏิบัติมักจะมีโน้ตปรากฏ ไม่ครบทุกตัว แต่ต้องมีโน้ตตัวสุดท้ายหรือโน้ตตัวบนสุดของคอร์ดเพื่อแสดงความเป็นคอร์ดทบ ดังกล่าว เช่น คอร์ดทบเจ็ดก็ต้องมีโน้ตตัวท่ี 7 ปรากฏอยู่ด้วยซึ่งโน้ตตัวอ่ืน ๆ ในคอร์ด (1 3 5) อาจตดั ท้ิงไดบ้ า้ ง ยกเว้นโน้ตตัวที่ 1 1. ลักษณะคอร์ดทบเจ็ด คอร์ดทบเจ็ดประกอบด้วย คอร์ดพ้ืนฐานทบด้วยโน้ตตัวท่ี 7 ของคอร์ด หรือคอร์ดพื้นฐานทุกคอร์ดทาให้เป็นคอร์ดทบเจ็ดได้ด้วยการเพิ่มโน้ตตัวที่ 7 จากคอร์ดพื้นฐานเข้าไป โดยโน้ตตัวที่ 7 จะมีระยะห่างจากโน้ตตัวล่างสุดของคอร์ดเป็นข้ันคู่ 7
64 (11 Semitone) หมายความว่าคอร์ดทบ 7 ประกอบไปด้วยโน้ตตัวท่ี 1 3 5 และ 7 ในทางปฏิบัติ นิยมละตัวเลข 1 3 และ 5 คงเหลือแต่เลข 7 ดังน้ันคอร์ดทบเจ็ดในรูปคอร์ดพ้ืนฐานจะมีเพียงเลข 7 กากบั ดังภาพที่ 3.22 ภาพท่ี 3.22 คอรด์ ทบเจ็ดในรปู พนื้ ตน้ บนบันไดเสียง C Major ที่มา (ณัชชา โสคตยิ านรุ กั ษ์, 2538 : 142) จากภาพที่ 3.22 พบวา่ พบคอรด์ ทบเจด็ บนบันไดเสยี งเมเจอร์ 4 ชนิด คอื 1. คอร์ดทบเจ็ดเมเจอร์ (Major Seventh Chord) ไดแ้ ก่ คอรด์ I7 IV7 (VIII7) 2. คอรด์ ทบเจ็ดไมเนอร์ (Minor Seventh Chord) ได้แก่ คอร์ด ii7 iii7 และ vi7 3. คอรด์ ทบเจ็ดโดมินันท์ (Dominant Seventh Chord) ไดแ้ ก่ คอรด์ V7 4. คอรด์ ทบเจ็ดกึง่ ดมิ ินิชน์ (Half - Diminished Seventh Chord) ไดแ้ ก่ คอร์ด viiØ7 2. ชนิดของคอร์ดทบเจ็ด เน่ืองจากคอร์ดทบเจ็ดประกอบด้วยคอร์ดพื้นฐานและข้ันคู่ 7 ชนิดของคอร์ดจะข้ึนอยู่กับชนิดคอร์ดพื้นฐานและชนิดของขั้นคู่ 7 สรุปได้ว่า ในบันไดเสียงฮาร์โมนิค ไมเนอร์ ดงั ภาพท่ี 3.23 1. คอร์ด i7 ประกอบดว้ ยคอร์ด i ไมเนอรแ์ ละขัน้ คู่ 7 เมเจอร์จากโนต้ พืน้ ต้น 2. คอร์ด iiØ7 ประกอบด้วยคอร์ด iiØ ดิมินิชน์และขนั้ คู่ 7 ไมเนอร์จากโน้ตพ้นื ตน้ 3. คอร์ด III+7 ประกอบดว้ ยคอร์ด III+ ออ๊ กเมนเต็ดและขั้นคู่ 7 เมเจอรจ์ ากโน้ตพื้นต้น 4. คอร์ด iv7 ประกอบด้วยคอรด์ iv ไมเนอร์และข้ันคู่ 7 ไมเนอร์จากโนต้ พนื้ ตน้ 5. คอร์ด V7 ประกอบด้วยคอร์ด V เมเจอรแ์ ละขัน้ คู่ 7 ไมเนอรจ์ ากโน้ตพ้ืนตน้ 6. คอรด์ VI7 ประกอบดว้ ยคอร์ด VI เมเจอรแ์ ละขนั้ คู่ 7 เมเจอร์จากโนต้ พ้นื ต้น 7. คอรด์ viio7 ประกอบด้วยคอร์ด viio ดมิ ินิชนแ์ ละข้ันคู่ 7 ดมิ ินชิ น์จากโน้ตพืน้ ต้น
65 8. คอร์ด viii7 ประกอบด้วยคอรด์ viii ไมเนอรแ์ ละขัน้ คู่ 7 เมเจอรจ์ ากโน้ตพนื้ ตน้ ภาพท่ี 3.23 คอร์ดทบเจ็ดในรูปพื้นต้นบนบนั ไดเสยี ง A Harmonic Minor ทีม่ า (ณัชชา โสคตยิ านรุ ักษ์, 2542 : 143) จากภาพท่ี 3.23 พบว่า คอร์ดทบเจ็ดท่ีพบในบันไดเสียงเมเจอร์และคอร์ดทบเจ็ดท่ีเกิดขึ้น ในบันไดเสียงไมเนอร์ ดงั นี้ 1. คอรด์ V7 เหมือนกัน คือ เป็นคอรด์ ทบเจด็ เมเจอร์ – ไมเนอร์เหมือนกัน 2. คอร์ด viio เหมือนกันในบันไดเสียงเมเจอร์ – ไมเนอร์เหมือนกัน แต่เม่ือเป็น คอร์ดทบเจ็ดจะต่างกันเลก็ น้อย คอื ในบนั ไดเสียงเมเจอร์ viiØ7 เปน็ คอร์ดทบเจ็ดกึ่งดิมินิชน์ ส่วน viio7 ในบนั ไดเสียงไมเนอร์เปน็ คอรด์ ทบเจ็ดดมิ ินชิ นส์ มบูรณ์ ในทางปฏิบัติคอร์ด viio7 ซ่ึงเป็นคอร์ดทบเจ็ดดิมินิชน์สมบูรณ์ ในบันไดเสียงไมเนอร์ มักถูกยืมมาใช้ในบันไดเสียงเมเจอร์ด้วย ดังน้ันคอร์ดเจ็ดในรูปของคอร์ดทบเจ็ดที่นิยมใช้ทั้ง 2 บันไดเสียง โดยมีหน้าตาเหมือนกัน และถือว่าโน้ตตัวท่ี 7 ของคอร์ด viio7 ในบันไดเสียงเมเจอร์เป็น โน้ตนอกบันไดเสียงซ่ึงยืมมาจากบันไดเสียงไมเนอร์ (ณัชชา โสคตยิ านุรักษ์, 2538 : 143) ดงั ตารางท่ี 3.3 ตารางท่ี 3.3 โครงสรา้ งคอรด์ ทบเจด็ ในบันไดเสียงเมเจอร์ และบนั ไดเสยี งไมเนอร์ บันไดเสียง 1 2 3 4 5 6 7 8 เมเจอร์ I7 ii7 iii7 IV7 V7 vi7 viiØ7 VIII ไมเนอร์ i7 iiØ7 III+7 iv7 V7 VI7 vii๐7 viii จากตารางที่ 3.3 คอร์ดทบเจ็ดในบันไดเสียงเมเจอร์กับบันไดเสียงไมเนอร์ บันทึกเป็นโน้ต ได้ดงั ภาพท่ี 3.24
66 ภาพท่ี 3.24 คอรด์ V7 ในบันไดเสียงเมเจอร์ และบันไดเสียงไมเนอรม์ ลี กั ษณะเหมือนกัน เม่ือศึกษาชนิดของคอร์ดทบเจ็ดในบันไดเสียงเมเจอร์และบันไดเสียงไมเนอร์แล้วสามารถ นาความรู้ไปใช้ประโยชน์ได้ คือ ถ้าพบคอร์ดทบเจ็ดไมเนอร์ – ไมเนอร์ และอยากทราบว่าคอร์ดน้ี อยู่ที่ใดบ้าง ก็ต้องอาศัยข้อมูล คอร์ดทบเจ็ดไมเนอร์ – ไมเนอร์ อาจเป็นคอร์ด ii7 , iii7 ,vi7 ใน บันไดเสยี ง เมเจอร์ หรืออาจเปน็ คอรด์ iv7 ในบนั ไดเสียงไมเนอร์ เชน่ คอรด์ ทบเจด็ F ไมเนอร์ (Fm7) จะพบที่ได้ท่ีคอร์ด ii7 ในบันไดเสียง Eb เมเจอร์ หรือคอร์ด iii7 ในบันไดเสียง Db เมเจอร์ หรือ คอรด์ vi7 ในบันไดเสยี ง Ab เมเจอร์ หรือคอร์ด iv7 ในบนั ไดเสียง C ไมเนอร์ ดงั ภาพท่ี 3.25 ภาพที่ 3.25 คอรด์ ทบเจ็ด F ไมเนอร์ (Fm7) ในบนั ไดเสยี งต่าง ๆ 3. รูปพลิกกลบั ของคอรด์ ทบเจด็ เนือ่ งจากคอร์ดทบเจด็ ประกอบดว้ ยโน้ต 4 ตัว จงึ สามารถ พลิกกลับได้ 3 คร้ัง คือ พลิกกลับครั้งที่หน่ึงโน้ตตัวที่ 3 ของคอร์ดทบเจ็ดจะอยู่ในตาแหน่งล่างสุด พลิกกลับครั้งที่สองโน้ตตัวที่ 5 ของคอร์ดทบเจ็ดจะอยู่ในตาแหน่งล่างสุด และพลิกกลับครั้งท่ีสอง โนต้ ตวั ที่ 7 ของคอร์ดทบเจ็ดจะอยู่ในตาแหนง่ ลา่ งสุด ดังภาพท่ี 3.26
67 ภาพท่ี 3.26 คอร์ดทบเจด็ ในรูปพลิกกลับ ทม่ี า (Kostka and Payne, 2008 : 47) คอร์ดทบเจ็ดในรูปพื้นต้นมตี ัวเลขกากับดังนค้ี ือ 1 3 5 7 แต่ไมน่ ิยมใส่ตวั เลข นยิ มใส่เลข 7 ตวั เดยี ว เช่น I7 (อา่ นว่าคอร์ดหน่ึง – เจ็ด) ดังภาพที่ 3.25 คอร์ดทบเจ็ดในรูปพลิกกลับครั้งท่ีหน่ึงมีตัวเลขกากับดังน้ีคือ 1 3 5 6 แต่นิยมใส่ตัวเลข เพียงเลข 5 และ 6 เท่าน้นั เชน่ I 6 (อ่านวา่ คอร์ดหน่ึง – หกหา้ ) ดังภาพท่ี 3.25 5 คอร์ดทบเจ็ดในรูปพลิกกลับคร้ังท่ีสองมีตัวเลขกากับดังน้ีคือ 1 3 4 6 แต่นิยมใส่ตัวเลข เพยี งเลข 3 และ 4 เท่านน้ั เช่น I 4 (อ่านวา่ คอร์ดหนง่ึ – สสี่ าม) ดงั ภาพที่ 3.25 3 คอร์ดทบเจ็ดในรูปพลิกกลับคร้ังที่สามมีตัวเลขกากับดังนี้คือ 1 2 4 6 แต่นิยมใส่ตัวเลข เพียงเลข 2 และ 4 เท่านัน้ เช่น I 4 (อ่านว่าคอร์ดหนึ่ง – สีส่ อง) ดงั ภาพท่ี 3.27 2 I7 I 6 I 43 I 24 5 ภาพท่ี 3.27 คอร์ดทบเจด็ (C) ในรปู พลกิ กลับ ทม่ี า (Kostka and Payne, 2008 : 47)
68 สรุป ทรัยแอด (Triad) คือ คอร์ดพื้นฐานท่ีมีโครงสร้างแน่นอนประกอบด้วยโน้ต 3 ตัว คือ โน้ตขั้นที่ 1 (Tonic) โน้ตข้ันท่ี 3 (Third) และโน้ตข้ันท่ี 5 (Fifth) ของบันไดเสียง ทรัยแอดเป็นการ นาข้ันคู่ 3 จานวน 2 คู่มาวางซ้อนกันในแนวตั้ง ทรัยแอดในรูปพื้นต้นจะเป็นหลักในการคิดชนิดของ ทรัยแอดไดอ้ ีก 2 ขัน้ คอื 1. การพลิกกลับในขั้นที่หนึ่งมีรูปแบบของทรัยแอดพลิกกลับในข้ันท่ี 1 ประกอบด้วย โน้ตขั้นคู่ 3 และโน้ตข้นั คู่ 6 2. การพลิกกลับในขั้นท่ีสองมีรูปแบบของทรัยแอดพลิกกลับในข้ันที่ 1 ประกอบด้วย โน้ตขน้ั คู่ 4 และโนต้ ข้ันคู่ 6 การสร้างทรัยแอดบนบันไดเสียงเมเจอร์ทาได้โดย ใช้โน้ตของบันไดเสียงเป็นโน้ตพื้นต้น แล้วนาโน้ตตัวท่ี 3 และตัวท่ี 5 มาวางซ้อนกัน ทรัยแอดมี 4 ชนิด ซึ่งในแต่ละชนิดจะมีโครงสร้างไม่ เหมอื นกนั ในรปู พืน้ ต้น คอื 1. ทรยั แอดเมเจอร์ ประกอบดว้ ยขัน้ คู่ 3 เมเจอร์ ข้ันคู่ 3 ไมเนอร์ และข้ันคู่ 5 เพอร์เฟค ระหวา่ งโนต้ ตวั ท่ี 1 กบั ตวั ท่ี 5 โดยมีลกั ษณะคุณภาพเสยี งกลมกลอ่ ม 2. ทรัยแอดไมเนอร์ ประกอบด้วยขัน้ คู่ 3 ไมเนอร์ ข้นั คู่ 3 เมเจอร์ และข้ันคู่ 5 เพอรเ์ ฟค โดยมีลักษณะคุณภาพเสยี งกลมกล่อม 3. ทรัยแอดดิมนิ ิชน์ ประกอบด้วยข้ันคู่ 3 ไมเนอร์ ข้ันคู่ 3 ไมเนอร์ และข้ันคู่ 5 ดิมนิ ิชน์ โดยมลี กั ษณะคุณภาพเสียงกระดา้ ง 4. ทรัยแอดอ็อกเมนเต็ด ประกอบด้วยข้ันคู่ 3 เมเจอร์ ข้ันคู่ 3 เมเจอร์ และขั้นคู่ 5 อ็อกเมนเต็ด โดยมลี ักษณะคณุ ภาพเสียงกระดา้ ง การเรียกชอ่ื ทรัยแอด ทาได้โดยใช้โน้ตตัวใดเป็นโน้ตพื้นต้นของทรัยแอดโดยสามารถใช้เป็น ชือ่ ทรัยแอดได้เลย และเม่ือเจอกับทรัยแอดในรูปพลิกกลับ จาเป็นต้องหารปู พ้ืนต้นจากทรยั แอดในรูป พลิกกลับให้ได้เสียก่อน จึงจะได้ช่ือที่ถูกต้องของทรัยแอด และในกรณีท่ีโน้ตท้ัง 3 ตัว อยู่เกิน 1 ช่วง คูแ่ ปด ใหร้ วมโน้ตอยใู่ นช่วงคแู่ ปดเสยี ก่อน โดยใหโ้ นต้ ตัวลา่ งสุดให้อยูใ่ นตาแหน่งล่างสดุ เช่นเดมิ การใช้ตัวย่อของชื่อทรัยแอดนิยมใช้ M และ m แทน ทรัยแอดเมเจอร์และไมเนอร์ สาหรับดิมินิชน์และอ็อกเมนเต็ด นิยมใช้สัญลักษณ์ o หรือ – แทนดิมินิชน์ และสัญลักษณ์ + แทน อ๊อกเมนเตด็ เช่น F+ หมายถึง F ออ็ กเมนเตด็ คอร์ด หมายถึง กลุ่มของตัวโน้ต 3 – 4 ตัว ท่ีประกอบกันเป็นเสียงประสาน (Harmony) คอร์ดมี 4 ชนดิ คือ คอรด์ เมเจอร์ คอร์ดไมเนอร์ คอรด์ ดิมนิ ิชน์ และคอรด์ ออ็ กเมนเตด็
69 คอร์ดพ้ืนฐาน เป็นคอร์ดท่ีสร้างอยู่ในกุญแจเสียง (Key Signature) โดยใช้โน้ตข้ันท่ี 1 3 และ 5 จากบันไดเสียงเดียวกัน ซึ่งจะสอดคล้องกับบันไดเสียงน้ัน ๆ คือ ถ้ากุญแจเสียงเป็นเมเจอร์ ก็ต้องใช้บันไดเสียงเมเจอร์ ส่วนกุญแจเสียงไมเนอร์ต้องใช้บันไดเสียงแบบฮาร์โมนิกไมเนอร์ (Harmonic Minor) เพราะบันไดเสียงกับคอรด์ มคี วามข้องเก่ียวกบั เสียงประสาน คอร์ดสามารถบอกได้ว่า คอร์ดท่ีนามาใช้เป็นคอร์ดท่ีเท่าใดของบันไดเสียงหลัก โดยการ พิจารณาจากโน้ตตัวล่างสุดของคอร์ดในรูปพ้ืนต้น และสามารถเขียนเป็นเลขโรมันเพ่ือบอกประเภท หน้าที่ของคอร์ด เช่น คอร์ดเมเจอร์ คอร์ดไมเนอร์ คอร์ดดิมินิชน์ คอร์ดอ็อกเมนเต็ด โดยมีหลักดังน้ี คอร์ดเมเจอร์ใช้เลขโรมันใหญ่ คอร์ดไมเนอร์ใช้เลขโรมันเล็ก คอร์ดดิมินิชน์ใช้เลขโรมันเล็กกับ o คอร์ดออ็ กเมนเตด็ ใชเ้ ลขโรมันเลก็ กับเครือ่ งหมาย + คอร์ดในรูปพ้ืนต้นสามารถทาให้อยู่ในรูปพลิกกลับได้ ถ้าคอร์ดประกอบด้วยโน้ต 3 ตัว สามารถพลิกกลับได้ 2 รปู สาหรบั คอรด์ ทบเจ็ดประกอบด้วยโนต้ 4 ตวั สามารถพลิกกลับได้ 3 รูป
70 แบบฝกึ หดั ทา้ ยบทที่ 3 คาชี้แจง ให้นกั ศกึ ษาตอบคาถามต่อไปน้ี 1. จงให้ความหมายของทรัยแอด (Triad) และคอร์ด (Chord) พรอ้ มยกตวั อยา่ ง 2. จงบอกลักษณะโนต้ พน้ื ต้นของทรัยแอด (Triad) พรอ้ มยกตัวอย่าง 3. จงอธบิ ายชนิดของทรัยแอดเมเจอร์ (Major Triad) พร้อมยกตวั อย่าง 4. จงอธบิ ายคณุ ภาพเสยี งกลมกล่อมของทรัยแอด 5. เครอื่ งหมาย + เปน็ ลกั ษณะแทนคอร์ดชนดิ ใด 6. เลขโรมนั (Roman Numerals) ทาหน้าท่อี ะไรในบนั ไดเสียง 7. จงอธิบายลักษณะของคอร์ดทบเจด็ พร้อมยกตวั อย่าง 8. จงบอกว่าคอร์ดพนื้ ฐานดงั ต่อไปนพี้ บในบันไดเสียงใดบา้ ง 8.1 คอร์ด A ไมเนอร์ 8.2 คอรด์ C ออ็ กเมนเต็ด 8.3 คอรด์ D เมเจอร์ 8.5 คอรด์ B ดมิ ินชิ น์ 9. จงเขียนคอร์ดในรปู พ้ืนต้นตามกญุ แจเสยี งทก่ี าหนดให้ 10. จงเขยี นคอรด์ ในรปู พลกิ กลบั ข้นั ทีห่ นง่ึ ตามกญุ แจเสียงท่ีกาหนดให้
71 11. จงเขยี นคอร์ดในรูปพลิกกลบั ข้นั ท่ีสองตามกุญแจเสยี งที่กาหนดให้ 12. จากทรัยแอดท่ีกาหนดจงบอกชอ่ื ทรยั แอด และรูปของทรัยแอด วา่ เปน็ แบบใด 13. จงสร้าง Major Triad จากตวั โนต้ ทกี่ าหนดให้ โดยโน้ตท่ีกาหนดให้เปน็ โนต้ Tonic 14. จงสร้าง Minor Triad จากตัวโนต้ ท่ีกาหนดให้ โดยโน้ตที่กาหนดใหเ้ ป็นโนต้ Dominant 15. จงสรา้ ง Augmented Triad จากตวั โน้ตท่ีกาหนดให้ โดยโน้ตที่กาหนดใหเ้ ปน็ โน้ต Mediant
72 เอกสารอา้ งองิ ณชั ชา โสคติยานรุ ักษ์. (2542). ทฤษฎีดนตรี. กรงุ เทพฯ: จฬุ าลงกรณม์ หาวทิ ยาลยั . สมนกึ อุ่นแกว้ . (2544). ทฤษฎีดนตรแี นวปฏิบัติ. (พมิ พค์ รั้งท่ี 6). ขอนแก่น: โรงพมิ พพ์ ระธรรมขนั ต์. Kostka S. and Payne D. (2008). Tonal Harmonic with an introduction to twentieth – century music. 6th ed. New York: McGraw – Hill Higher Education.
แผนบริหารการสอนประจาบทท่ี 4 เนอ้ื หาประจาบท โนต้ นอกประสาน โนต้ ผ่าน โนต้ เคยี ง โน้ตหลีก โน้ตพงิ โนต้ แขวน โนต้ ลา้ โน้ตเสียงคา้ ง โน้ตผ่านซอ้ น โนต้ สลับ สรุป วตั ถปุ ระสงค์เชงิ พฤตกิ รรม เม่ือศึกษาจบบทที่ 4 แลว้ นักศึกษาสามารถ 1. อธิบายโครงสร้างของโนต้ นอกคอร์ดชนิดตา่ ง ๆ ได้ 2. อธิบายลกั ษณะของโนต้ นอกคอร์ดชนิดตา่ ง ๆ ได้ 3. นา้ ความรโู้ น้ตนอกคอร์ดไปใชใ้ นการเรียบเรยี งเสียงประสานได้ วธิ ีสอนและกิจกรรมการเรียนการสอนประจาบท 1. บรรยาย และซักถาม พรอ้ มยกตวั อยา่ งประกอบการบรรยายโดยใช้ PowerPoint 2. ใหผ้ ู้เรยี นศกึ ษาค้นคว้าดว้ ยตนเอง 3. ผู้สอนและผู้เรยี นร่วมกนั อภิปรายเนอื หาทีไ่ ด้ศึกษาค้นควา้ 4. ผู้สอนดดี เปยี โนตวั อย่างโนต้ นอกคอรด์ ให้นักศึกษาฟงั 5. ผู้เรียนกับผสู้ อนรว่ มกันสรุป 6. ผู้เรยี นทา้ แบบฝึกหดั 7. มอบหมายจดั ท้ารายงานเพิม่ เติม
74 ส่ือการเรียนการสอน 1. เอกสารประกอบการสอนวิชาทฤษฎดี นตรีสากล 4 2. เครือ่ งฉายขา้ มศรี ษะพรอ้ มโน้ตบ๊กุ PowerPoint 3. หนังสือทีค่ ้นคว้าเพม่ิ เตมิ ท่ีเก่ียวกับทรัยแอดและคอรด์ 4. เคร่อื งดนตรี การวัดและประเมนิ ผล 1. สังเกตจากการตอบค้าถาม 2. สงั เกตจากการรว่ มกิจกรรม 3. สงั เกตจากความสนใจ 4. สังเกตจากการสรปุ บทเรยี น 5. ท้าแบบฝกึ หัดท้ายคาบเรยี น 6. ทา้ แบบฝกึ หดั ในเอกสารประกอบการสอน 7. ประเมินจากการสอบระหวา่ งภาคและปลายภาค
บทท่ี 4 โน้ตนอกประสาน ณัชชา โสคติยานุรักษ์ (2543 : 121) ได้ให้ความหมายโน้ตนอกคอร์ด (Non-Chord Tone) ไว้ว่ามีความหมายเหมือนกับโน้ตนอกประสาน (Non-Harmonic Tone) คือ โน้ตท่ีไม่ใช่ตัวโน้ตตัวใด ตัวหน่ึงของคอร์ดในขณะนั้น ดังน้ันในบทเรียนน้ีผู้สอนจะใช้เอกสารหลักฐาน หนังสือทางวิชาการ เกีย่ วกบั โนต้ นอกคอร์ดแทนโนต้ นอกประสาน การเรียบเรียงเสียงประสานไม่สามารถใช้คอร์ดให้กับโน้ตในแนวทานองทุกตัวได้ เพราะจะ ทาให้เสียงมีความไม่สมดุลกัน ดังนั้นการใช้คอร์ดในการเรียบเรียงเสียงประสานจึงมีความสาคัญมาก ตอ่ บทเพลง นอกจากนน้ั การประพันธ์ทใี่ ช้โน้ตในคอร์ด (Chord Tone) แล้วยังมีการประพันธ์โดยการ ใช้โน้ตนอกคอรด์ อกี ด้วยเพ่อื ใหบ้ ทเพลงเกิดความไพเราะสมบูรณ์มากยิง่ ขนึ้ ณชั ชา โสคติยานุรกั ษ์ (2548 : 147) ได้กล่าวไว้ว่าโนต้ นอกคอร์ดอาจเกิดในแนวเสียงตา่ ง ๆ ในเวลาเดียวกันมากกว่า 1 ตัวโน้ต โน้ตทุกตัวท่ีไม่ได้อยู่ในคอร์ดถือว่าเป็นโน้ตนอกคอร์ดท้ังส้ิน โนต้ นอกคอรด์ ใหค้ วามร้สู ึกเสียงกระดา้ งทตี่ ้องการเกลาไปยังโนต้ ท่ีมีเสยี งกลมกลนื ซ่ึงเปน็ โน้ตในคอร์ด วิธีการเกลามีหลายรูปแบบ ซ่ึงแต่ละรูปแบบมีผลทาให้เสียงออกมาต่างกัน ช่วยเพิ่มสีสันตามความ ตอ้ งการของผ้ปู ระพันธ์ และโน้ตนอกคอร์ดทกุ ตวั ต้องบอกหน้าทไ่ี ด้ว่าเปน็ โนต้ นอกคอรด์ ชนดิ ใด การเกิดโน้ตนอกคอร์ดจะมีโน้ตนากับโน้ตตามเป็นส่วนประกอบ ท้ังโน้ตนาและโน้ตตาม ต้องเป็นโน้ตในคอร์ดซึ่งถือว่าเป็นโน้ตหลัก โดยโน้ตตามมีหน้าท่ีเป็นโน้ตเกลา โน้ตนอกคอร์ด มหี ลายชนดิ และมีชอ่ื เรยี กตามบทบาทท่มี ตี อ่ โน้ตนากบั โน้ตตามรวมถึงการเนน้ จังหวะ ดงั น้ี โนต้ ผา่ น ณัชชา โสคติยานุรักษ์ (2548 : 147) ได้กล่าวไว้ว่าโน้ตผ่าน (Passing tone – ใช้ตัวย่อ P) จะอยู่บนจังหวะที่เบากว่าโน้ตนาและโน้ตตาม หากโน้ตผ่านไม่ได้อยู่บนจังหวะที่เบากว่าโน้ตนาหรือ โน้ตตามจะถอื ว่าโน้ตผา่ นตวั นั้นเป็นโนต้ ผ่านประเภทโน้ตผา่ นเนน้ (Accented passing tone – ตัวยอ่ AP) บรรจง ชลวิโรจน์ ได้อ้างว่า ริชิลีอาโน (Riciglaino, 1978 : 37) ได้ให้ความหมายโน้ตผ่าน คือ โน้ตนอกคอร์ดที่เชื่อมต่อระหว่างโน้ตในคอร์ด 2 ตัว มีระดับเสียงต่างกันเป็นคู่ 3 เคล่ือนที่ ในทิศทางเดียวกันตามลาดับข้ัน จะเคลื่อนที่บนหรือล่างโน้ตก็ได้ แต่การเคล่ือนท่ีนั้นต้องเข้าหา โน้ตนอกคอร์ดและเคลื่อนที่สู่โน้ตในคอร์ดตามลาดับข้ัน และมักเกิดบนจังหวะเบา (Unaccented Passing Note) ชนิดของโน้ตผ่านมี 2 ชนิด
76 1. โน้ตผ่านแบบไดอาโทนิก (Diatonic Passing Note) หมายถึง โน้ตนอกคอร์ดที่เกิด บนจังหวะหนัก และจังหวะเบา โดยอยู่ระหว่างโน้ตในคอร์ด 2 ตัว โดยมีระยะห่างจากโน้ตตัวแรก 1 เสยี ง (2 Semitone) หรือมีระยะหา่ งครง่ึ เสียง (1 Semitone) และมีช่อื ตัวอักษรไม่ซา้ กนั ดงั ภาพที่ 4.1 AP AP ภาพท่ี 4.1 โนต้ ผา่ นแบบไดอาโทนิก ท่ีมา : (บรรจง ชลวโิ รจน์, 2545 : 230 และ 233) จากภาพที่ 4.1 พบวา่ 1. โน้ตเพลงอย่บู นบันไดเสยี ง C เมเจอร์ 2. โน้ตตัว D ในห้องเพลงที่ 1 เป็นโน้ตผ่านบนจังหวะหนัก (Accented passing tone) มีทิศทางเคลื่อนที่ในทิศทางต่าลง จากโน้ตตัวท่ี 1 (E) สู่โน้ตตัวที่ 3 (C) และมีระยะห่างจาก โน้ตตวั แรก 1 เสยี ง โดยมชี อ่ื ตัวอกั ษรไม่ซ้ากนั 3. โน้ตตัว D ในห้องเพลงที่ 2 เป็นโน้ตผ่านบนจังหวะหนัก (Accented passing tone) มีทิศทางเคลื่อนที่ในทิศทางต่าลงจากโน้ตตัวท่ี 1 (C) สู่โน้ตตัวที่ 3 (E) และมีระยะห่างจาก โนต้ ตัวแรก 1 เสยี ง โดยมชี ่อื ตวั อักษรไม่ซา้ กัน 4. โน้ตตัว D ในห้องเพลงท่ี 3 เป็นโน้ตผ่านบนจังหวะเบา (Unaccented passing tone) มีทิศทางเคล่ือนที่สูงขึ้นจากโน้ตตัวที่ 1 (C) สู่โน้ตตัวท่ี 3 (E) และมีระยะห่างจากโน้ตตัวแรก ครึ่งเสยี ง โดยมีช่ือตวั อักษรไม่ซา้ กัน 5. โน้ตตัว F ในห้องเพลงท่ี 3 เป็นโน้ตผ่านบนจังหวะเบา (Unaccented passing tone) มีทิศทางเคลื่อนที่สูงข้ึนจากโน้ตตัวท่ี 1 (E) สู่โน้ตตัวท่ี 3 (G) และมีระยะห่างจากโน้ตตัวแรก ครึ่งเสียง โดยมชี อ่ื ตวั อักษรไมซ่ ้ากัน 6. โน้ตตัว C ในห้องเพลงท่ี 4 เป็นโน้ตผ่านบนจังหวะเบา (Unaccented passing tone) มีทิศทางเคล่ือนท่ีต่าลงจากโน้ตตัวที่ 1 (D) สู่โน้ตตัวท่ี 3 (B) และมีระยะห่างจากโน้ตตัวแรก คร่ึงเสยี ง โดยมีช่อื ตวั อักษรไมซ่ า้ กัน
77 2. โนต้ ผา่ นแบบโครมาตคิ (Chromatic Passing Note) หมายถึง โน้ตผ่านทม่ี ีระยะหา่ ง ครึ่งเสียง (1 Semitone) ตลอด คือ มชี ่อื ตวั โนต้ เปน็ อักษรซา้ กนั ตลอด ดงั ภาพท่ี 4.2 ภาพที่ 4.2 โนต้ ผา่ นแบบโครมาตคิ ทมี่ า : (บรรจง ชลวิโรจน์, 2545 : 230) จากภาพที่ 4.2 พบว่า 1. โน้ตเพลงอย่บู นบันไดเสยี ง C เมเจอร์ 2. โน้ตตัว C# กับ D# ในห้องเพลงที่ 1 กับ 3 เป็นโน้ตผ่านแบบโครมาติคบน จังหวะเบา (Unaccented passing tone) มีทิศทางเคล่ือนที่สูงขึ้นสู่โน้ตตัวที่ 5 (E) ซึ่งมีระยะ ห่างครึง่ เสียงตลอด และมชี อ่ื ตวั โน้ตเปน็ อกั ษรซ้ากันตลอด คอื C กบั C# และ D กบั D# 3. โน้ตตัว Eb กับ Db ในห้องเพลงที่ 2 เป็นโน้ตผ่านแบบโครมาติคบนจังหวะเบา (Unaccented passing tone) ท่ีมีทิศทางเคล่ือนท่ีต่าลงสู่โน้ตตัวท่ี 5 (C) ซ่ึงมีระยะห่างคร่ึงเสียง (1 Semitone) ตลอด และมชี ือ่ ตัวโน้ตเปน็ อักษรซ้ากนั ตลอด คอื E กับ Eb และ D กบั Db โน้ตเคียง โน้ตเคียง (Neighboring tone – ตัวย่อ N) เป็นโน้ตนอกคอร์ดที่เกิดบนจังหวะเบา โดย โน้ตเคียงจะเชื่อมโน้ตในคอร์ด 2 ตัวที่มีระดับเสียงเดียวกันในลักษณะขึ้นหรือลงตามขั้น แล้วเกลา ในทศิ ตรงกันข้ามไปยงั โน้ตตวั เดิม โน้ตเคยี งมอี ยู่ 2 ชนิด คอื 1. โน้ตเคียงล่าง (Low neighboring tone – ตัวย่อ LN) คือ โน้ตเคียงอยู่ต่ากว่า โนต้ ในคอรด์ ดงั ภาพที่ 4.3 2. โน้ตเคียงบน (Upper neighboring tone – ตัวย่อ UN) คือ โน้ตเคียงอยู่สูงกว่า โนต้ ในคอร์ด ดังภาพท่ี 4.4
78 ภาพที่ 4.3 โน้ตเคียงล่าง ท่ีมา : (ณัชชา โสคติยานรุ ักษ์, 2548 : 149) จากภาพที่ 4.3 พบว่า 1. โนต้ เพลงอยบู่ นบนั ไดเสยี ง A ไมเนอร์ 2. คอร์ดในห้องเพลงที่ 1 คือ คอร์ด Dm ซ่ึงคอร์ด Dm ประกอบด้วยโน้ต 3 ตัว คือ D F A ส่วนโน้ตตัว C ท่ีอยู่ในเคร่ืองหมายส่ีเหลี่ยมเป็นโน้ตเคียงล่าง (LN) ที่มีทิศทางลงตามขั้น แลว้ เกลาในทศิ ตรงกันขา้ มกลบั ไปยังโน้ตตัวเดมิ คอื D C D 3. ในหอ้ งเพลงท่ี 2 กเ็ ช่นเดยี วกนั แต่มีระยะเสียงต่ากวา่ 1 ช่วงคู่ 8 ภาพท่ี 4.4 โน้ตเคียงบน ท่ีมา : (ณชั ชา โสคติยานรุ ักษ,์ 2548 : 149) จากภาพที่ 4.4 พบวา่ 1. โนต้ เพลงอยบู่ นบันไดเสยี ง A ไมเนอร์ 2. คอร์ดในห้องเพลงที่ 1 คือ คอร์ด Dm ซ่ึงคอร์ด Dm ประกอบด้วยโน้ต 3 ตัว คือ D F A ส่วนโน้ตตัว C ท่ีอยู่ในเคร่ืองหมายส่ีเหลี่ยมเป็นโน้ตเคียงบน (LN) ท่ีมีทิศทางข้ึนตามข้ัน แลว้ เกลาในทศิ ตรงกันข้ามกลับไปยงั โน้ตตวั เดิม คอื D E D 3. ในหอ้ งเพลงที่ 2 กเ็ ช่นเดยี วกัน แตม่ ีระยะชว่ งเสียงตา่ กว่า 1 ช่วงคู่ 8
79 โน้ตหลีก โน้ตหลีก (Escape tone – ตัวย่อ E) เป็นโน้ตนอกคอร์ดที่เกิดข้ึนบนจังหวะเบา เช่ือมด้วย โน้ตในคอร์ดที่ห่างกันเป็นระยะข้ันคู่ 2 ข้ึนไป และยังต้องมีโครงสร้างกับโน้ตนา และโน้ตตาม ในลักษณะของการหักกลับในทิศทางตรงกันข้าม คือ มีการเคล่ือนขึ้นแล้วลง หรือเคลื่อนลงแล้วข้ึน ประกอบกับมีการเคลื่อนตามข้ัน 1 ครั้งและการเคล่ือนข้ามข้ัน 1 ครั้ง ดังน้ันการเช่ือมโน้ตในคอร์ด 2 ตัวน้ันด้วยโน้ตหลีก สามารถวางโน้ตหลีกได้ 2 รูปแบบคือ รูปแบบข้ึน – ลง หรือ ลง – ข้ึน ดงั ภาพท่ี 4.5 ภาพที่ 4.5 โนต้ หลกี ทมี่ า (ณชั ชา โสคตยิ านรุ กั ษ์, 2548 : 150) จากภาพที่ 4.5 พบว่า 1. โน้ตเพลงอยู่บนบนั ไดเสียง C เมเจอร์ 2. คอร์ดใน 6 ห้องเพลงเป็นคอร์ด G7 ซึ่งประกอบด้วยโน้ต 4 ตัว คือ G B D F ส่วนโน้ตทอี่ ยใู่ นสเี่ หลยี่ มนั้นเป็นโน้ตหลีก A E C A E A 3. โน้ตในห้องเพลงท่ี 1 มีการเคล่ือนทานองในทิศทางข้ึนเป็นคู่ 3 (F – A) แลว้ ลง 1 ข้ัน (A - G) โดยมโี นต้ ตวั A เป็นโน้ตหลกี 4. โน้ตในห้องเพลงท่ี 2 มีการเคลื่อนทานองในทิศทางลงเป็นคู่ 3 (G – E) แล้วข้ึน 1 ข้ัน (E - F)โดยมโี น้ตตัว E เป็นโนต้ หลกี 5. โน้ตในห้องเพลงที่ 3 มีการเคล่ือนทานองในทิศทางข้ึนเป็นคู่ 4 (G – C) แลว้ ลง 1 ขนั้ (C - B) โดยมีโน้ตตัว C เปน็ โนต้ หลกี 6. โน้ตในห้องเพลงที่ 4 มีการเคล่ือนทานองในทิศทางลงเป็นคู่ 4 (D – A) แล้วขึน้ 1 ขน้ั (A - B) โดยมีโนต้ ตวั A เป็นโนต้ หลีก 7. โน้ตในห้องเพลงที่ 5 มีการเคลื่อนทานองในทิศทางข้ึนเป็นคู่ 2 ( D – E) แลว้ ลง 4 ขัน้ (E - B) โดยมโี น้ตตัว E เปน็ โน้ตหลกี
80 8. โน้ตในห้องเพลงท่ี 6 มีการเคล่ือนทานองในทิศทางลงเป็นคู่ 2 ( B – A) แล้วข้นึ 4 ขัน้ (A - D) โดยมีโน้ตตวั A เปน็ โนต้ หลกี โน้ตพงิ โน้ตพิง (Appoggiatura – ตัวย่อ App) เป็นโน้ตนอกคอร์ดท่ีเกิดบนจังหวะเน้นซึ่งเป็น โน้ตนอกคอร์ดท่ีมีความนิยมใช้มากท่ีสุด ลักษณะการใช้คือ โน้ตนาเป็นโน้ตในคอร์ดที่มีระยะห่าง จากโน้ตพิงเท่าไรก็ได้ ส่วนโน้ตตามต้องเป็นโน้ตเกลาตามข้ัน ส่วนมากจะเป็นการเกลาลงมากกว่า เกลาขน้ึ ดงั ภาพท่ี 4.6 ภาพท่ี 4.6 โนต้ พิง ท่ีมา (ณชั ชา โสคตยิ านุรกั ษ์, 2548 :150) จากภาพที่ 4.6 พบวา่ 1. โน้ตเพลงอย่บู นบนั ไดเสียง D เมเจอร์ 2. โนต้ ในหอ้ งเพลงท่ี 1 เป็นคอร์ด A ซึง่ คอรด์ A ประกอบดว้ ยโน้ต 3 ตัว คือ A C# E สว่ นโนต้ ทอ่ี ยูใ่ นกรอบส่เี หลี่ยมทุก ๆ ห้องเพลงนั้นนั้นเป็นโน้ตพงิ โดยมีการเคลอื่ นทานองในทิศทางขึ้น แบบกา้ วกระโดดเปน็ คู่ 6 (A – F#) แล้วเคลื่อนทานองในทิศทางลง 1 ขั้น (F# - E) 3. โน้ตในห้องเพลงที่ 2 เป็นคอร์ด D ซ่ึงคอร์ด D ประกอบด้วยโน้ต 3 ตัว คือ D F# A ส่วนโนต้ ทอ่ี ยูใ่ นวงกลมน้ันเป็นโน้ตพิง 4. โน้ตในจังหวะท่ี 1 เข้าหาจังหวะที่ 2 และจังหวะท่ี 2 เข้าหาจังหวะที่ 2 ยกน้ัน อาจคิดเป็นโน้ตเคียงบนได้ เพราะมีการเช่ือมโน้ตเป็นเสียงเดียวกัน คือโน้ตตัว E เคล่ือนทานอง ในทิศทางขึ้นแล้วลงตามข้ัน คือ มีการเคล่ือนทานองในทิศทางขึ้นเป็นคู่ (D – E) แล้วเคล่ือนทานอง ในทศิ ทางลงคู่ 2 (E - D)
81 5. โน้ตในจังหวะท่ี 3 เข้าหาจังหวะที่ 4 และจังหวะที่ 4 เข้าหาจังหวะที่ 4 ยกน้ัน มีการเคลื่อนทานองในทิศทางข้ึนแบบก้าวกระโดดเป็นคู่ 5 (A – E) แล้วเคลื่อนทานองในทิศทางข้ึน 1 ขนั้ (E – F#) โน้ตแขวน โน้ตแขวน (Suspension – ตัวย่อ S) เป็นโน้ตนอกคอร์ดท่ีเกิดบนจังหวะเน้น และมี กระบวนการท่ีซับซ้อนกว่าโน้ตพิง การเกิดโน้ตแขวนจะต้องมี 3 ข้ันตอน คือ 1. โน้ตเตรียม (Preparation – ตัวย่อ Prep) 2. โนต้ แขวน (Suspention – ตวั ย่อ S) และ 3. โน้ตเกลา (Resolution – ตัวยอ่ R) โดยมเี งื่อนไขดงั นี้ 1. โน้ตเตรียมและโน้ตเกลาต้องเป็นโน้ตในคอร์ดเท่าน้ัน ส่วนโน้ตแขวนต้องเป็น โน้ตนอกคอรด์ 2. โนต้ เตรียมและโน้ตแขวนต้องเป็นโนต้ ที่มรี ะดับเสียงเดยี วกัน ซึ่งอาจจะมเี ครื่องหมาย โยงเสียง (Tie) ดว้ ยหรือไมก่ ไ็ ด้ 3. โน้ตเกลาต้องเคล่ือนลงหรือเคลื่อนขึ้นตามข้ันจากโนต้ แขวน แต่นิยมเกลาลงมากกว่า ดงั ภาพที่ 4.7 ภาพที่ 4.7 โนต้ แขวน ทม่ี า (ณัชชา โสคติยานรุ ักษ์, 2548 :51) จากภาพที่ 4.7 พบวา่ 1. โน้ตเพลงอย่บู นบนั ไดเสียง C เมเจอร์ 2. คอร์ดในห้องเพลงที่ 1 เปน็ คอร์ด C ซง่ึ คอร์ด C ประกอบด้วยโนต้ 3 ตัว คือ C E G และในห้องเพลงที่ 1 จังหวะที่ 2 เป็นโน้ต C ทาหน้าท่ีเป็นโน้ตเตรียมท่ีมีเคร่ืองหมายโยงเสียง (Tie) กบั โนต้ เสยี งเดียวกนั กับโน้ตในหอ้ งเพลงที่ 2 คือ โนต้ C
82 3. คอร์ดในห้องเพลงที่ 2 เป็นคอร์ด Gm ซึ่งคอร์ด Gm ประกอบด้วยโน้ต 3 ตัว คือ G Bb A ส่วนโน้ตท่ีอยู่ในเครื่องหมายสี่เหลี่ยมทาหน้าท่ีเป็นเป็นโน้ตแขวน (โน้ตตัว C) ท่ีเป็น โน้ตนอกคอร์ดกับคอร์ด Gm ในห้องเพลงนี้ และโน้ต C ทาหน้าท่ีเป็นเป็นโน้ตแขวน (S) ที่อยู่ ต่างคอร์ดกับโน้ตเตรียม (Prep) ในห้องเพลง ที่ 1 ส่วนโน้ต B ในจังหวะที่ 2 ทาหน้าท่ีเป็นโน้ตเกลา ทเ่ี คลื่อนทานองในทศิ ทางลงจากโน้ตแขวน 4. จุดที่เกิดโน้ตแขวนมักมีโครงสร้างในลักษณะเดียวกับโน้ตแนวโน้มใน บันไดเสียง ซ่ึงจะต้องเกลาให้ถูกต้องไปในโน้ตในคอร์ด โครงสร้างที่พบมากในโน้ตแขวนมี 4 รูปแบบ คอื 4.1 โน้ตแขวนในโครงสร้างของบันไดเสียงโน้ตตัวที่ 7 – 8 โน้ตแขวนเป็น โน้ตคู่ 7 จากโน้ตเบส แล้วเกลาขึ้นไปหาโทนกิ ซึง่ เปน็ โน้ตคู่ 8 บางตาราเรยี กโน้ตแขวนที่เกลามาเช่นนี้ วา่ โน้ตหนว่ ง (Retradation) ดงั ภาพท่ี 4.8 ภาพที่ 4.8 โน้ตแขวนในโครงสร้าง 7 – 8 ทมี่ า (ณัชชา โสคติยานุรักษ์, 2548 :151) จากภาพที่ 4.8 พบวา่ 1. โนต้ เพลงอยู่บนบันไดเสยี ง G ฮาร์โมนิกไมเนอร์ 2. คอร์ดในห้องเพลงที่ 1 เป็นคอร์ด D ซ่ึงคอร์ด D ประกอบด้วยโน้ต 3 ตัว คอื D F# A เพราะฉะนนั้ โน้ตตัว F# จงึ เปน็ โนต้ ในคอรด์ ทาหนา้ ทีเ่ ปน็ โน้ตเตรยี ม (Prep) 3. คอร์ดในห้องเพลงท่ี 2 เป็นคอร์ด Gm ซ่ึงคอร์ด Gm ประกอบด้วย โน้ต 3 ตัว คือ G Bb D ส่วนโน้ตท่ีอยู่ในเครื่องหมายส่ีเหล่ียม คือ โน้ตตัว F# เป็นโน้ตนอกคอร์ด ของคอร์ด Gm มีบทบาทเป็นโน้ตแขวน (S) และเกลาขึ้นตามขั้นไปหาโน้ตตัว G ซึ่งมีบทบาทหน้าท่ี เป็นโน้ตเกลา (R)
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205