Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore วิทยศาสตร์ เล่ม ๑

วิทยศาสตร์ เล่ม ๑

Published by สรวิศ จันพุ่ม, 2020-04-25 08:35:34

Description: วิทยศาสตร์ เล่ม ๑

Search

Read the Text Version

หนงั สอื เรยี นรายวชิ าพ้ืนฐานวทิ ยาศาสตร์ วิทยาศาสตร์ ๑ ช้นั มธั ยมศึกษาปีท่ี ๑ เลม่ ๑ กลุม่ สาระการเรยี นรูว้ ทิ ยาศาสตร์ ตามหลกั สูตรแกนกลางการศกึ ษาขั้นพนื้ ฐาน พุทธศกั ราช ๒๕๕๑ จัดทำาโดย สถาบันสง่ เสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระทรวงศกึ ษาธิการ ISBN 978-616-317-084-2 พมิ พ์ครั้งทสี่ าม ๒๓๐,๐๐๐ เลม่ พ.ศ. ๒๕๕๕ องคก์ ารคา้ ของ สกสค. จัดพิมพจ์ าำ หน่าย พิมพ์ที่โรงพิมพ์ สกสค. ลาดพรา้ ว ๒๒๔๙ ถนนลาดพร้าว วังทองหลาง กรงุ เทพมหานคร มลี ขิ สทิ ธต์ิ ามพระราชบัญญัติ



ประกาศกระทรวงศกึ ษาธกิ าร เร่ือง อนุญาตให้ใช้หนังสือในสถานศึกษา ดว้ ยสถาบนั สง่ เสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี ไดจ้ ดั ทำาหนงั สอื เรยี นรายวชิ า พืน้ ฐานวิทยาศาสตร์ วทิ ยาศาสตร์ 1 ชน้ั มธั ยมศกึ ษาปีที่ 1 เล่ม 1 กลมุ่ สาระการเรยี นรูว้ ทิ ยาศาสตร์ ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 กระทรวงศึกษาธิการพิจารณาแล้ว อนญุ าตให้ใช้หนงั สอื น้ีในสถานศกึ ษาได้ ประกาศ ณ วนั ที่ 22 มกราคม พ.ศ. 2553 (นายชินภทั ร ภมู ิรัตน) เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขน้ั พนื้ ฐาน



คำานาำ สถาบนั สง่ เสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี มอี าำ นาจหนา้ ที่ในการพฒั นาหลกั สตู รวธิ กี าร เรยี นรู้ การประเมนิ ผล การจดั ทาำ หนังสือเรยี น แบบฝึกหดั และสอ่ื การเรียนรู้ทุกประเภทที่ใช้ประกอบ การเรียนรใู้ นกลมุ่ สาระการเรยี นรูว้ ิทยาศาสตร์ของการจดั การศึกษาขัน้ พน้ื ฐาน หนงั สอื เรยี นรายวชิ าพื้นฐานวทิ ยาศาสตร์ วทิ ยาศาสตร์ 1 ชั้นมัธยมศึกษาปที ่ี 1 เล่ม 1 น้ี จดั ทาำ ตามสาระและมาตรฐานการเรียนรู้ กลมุ่ สาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ หลักสูตรแกนกลางการศึกษาข้นั พืน้ ฐาน พุทธศกั ราช 2551 โดยมเี น้ือหาเกย่ี วกบั เรยี นรวู้ ทิ ยาศาสตรอ์ ยา่ งไร สารรอบตวั สารละลาย และสารละลายกรดและเบส ซ่งึ จะเปน็ ประโยชน์ต่อการพัฒนาความรู้ ทักษะ จิตวทิ ยาศาสตร์ และการ สืบเสาะหาความร้ทู างวิทยาศาสตรข์ องผู้เรียนได้เป็นอย่างดี สำานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพ้ืนฐานหวังเป็นอย่างย่ิงว่า หนังสือเรียนเล่มนี้จะเป็น ประโยชนต์ ่อการจดั การเรียนรู้ และเป็นสว่ นสาำ คัญในการพฒั นาคุณภาพและมาตรฐานการศึกษา กลุ่ม สาระการเรียนรูว้ ิทยาศาสตร์ ขอขอบคุณสถาบันส่งเสริมการสอนวทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยตี ลอดจน บคุ คลและหนว่ ยงานอืน่ ๆ ท่มี สี ว่ นเก่ียวข้องในการจัดทาำ ไว้ ณ โอกาสนี้ (นายชนิ ภัทร ภมู ริ ัตน) เลขาธิการคณะกรรมการการศกึ ษาขัน้ พน้ื ฐาน 22 มกราคม 2553

คำาชี้แจง สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สสวท.) ได้รับมอบหมายจาก กระทรวงศกึ ษาธกิ าร ใหด้ าำ เนนิ การจดั ทาำ หลกั สตู รแกนกลางการศกึ ษาขน้ั พน้ื ฐาน พทุ ธศกั ราช 2551 ของกลมุ่ สาระการเรยี นร้วู ทิ ยาศาสตร์ ซง่ึ ประกอบดว้ ยตวั ช้วี ดั และสาระการเรยี นร้แู กนกลาง สาระ หลกั 8 สาระ ไดแ้ ก่ สง่ิ มชี วี ติ กบั กระบวนการดาำ รงชวี ติ ชวี ติ กบั สง่ิ แวดลอ้ ม สารและสมบตั ขิ องสาร แรงและการเคลอ่ื นท่ี พลงั งาน กระบวนการเปลย่ี นแปลงของโลก ดาราศาสตรแ์ ละอวกาศ ธรรมชาติ ของวทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี และกาำ หนดมาตรฐานการเรยี นรวู้ ทิ ยาศาสตร์ ซง่ึ เปน็ เปา้ หมายสาำ หรบั ผเู้ รยี นทกุ คนทจ่ี ะไดร้ บั การพฒั นาทง้ั ดา้ นความรู้ กระบวนการคดิ กระบวนการสบื เสาะหาความรู้ การ แกป้ ญั หา ความสามารถในการสอ่ื สาร การตดั สนิ ใจ การนาำ ความรไู้ ปใชใ้ นชวี ติ ประจาำ วนั ตลอดจนมี จติ วทิ ยาศาสตร์ คณุ ธรรมและคา่ นยิ มทถ่ี กู ตอ้ งเหมาะสม โดยมงุ่ เนน้ ความเปน็ ไทยควบคกู่ บั ความเปน็ สากล ตง้ั แตป่ กี ารศกึ ษา 2553 เปน็ ตน้ ไป โรงเรยี นจะตอ้ งใชห้ ลกั สตู รแกนกลางการศกึ ษาขน้ั พน้ื ฐาน พทุ ธศกั ราช 2551 จงึ จาำ เปน็ ตอ้ งมสี อ่ื การเรยี นการสอนท่ไี ดร้ บั การพฒั นาอยา่ งเหมาะสมและเปน็ ไป ตามเปา้ หมายของหลกั สตู รดงั กลา่ ว หนังสือเรียนรายวิชาพื้นฐานวิทยาศาสตร์ สำาหรับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 เล่ม 1 สสวท.ได้ พฒั นาขึ้นตามมาตรฐานการเรยี นรกู้ ลุม่ สาระการเรยี นร้วู ทิ ยาศาสตร์ เพ่อื นำาไปใชเ้ ปน็ หนังสือเรยี น หลักประกอบด้วยเน้ือหาความรู้ที่เป็นหลักการพ้ืนฐานที่จำาเป็นสามารถนำามาใช้ประโยชน์ในชีวิต ประจาำ วนั มกี ิจกรรมการเรียนร้ทู หี่ ลากหลาย โดยเฉพาะอย่างยง่ิ การสาำ รวจตรวจสอบ การปฏิบัติ ทดลอง การสบื คน้ ขอ้ มลู การอภปิ ราย อนั จะกอ่ ใหเ้ กดิ ทกั ษะทสี่ าำ คญั ในการเรยี นรแู้ ละการดาำ รงชวี ติ ในการจดั ทาำ หนงั สอื เรยี นวทิ ยาศาสตรเ์ ลม่ นี้ไดร้ บั ความรว่ มมอื อยา่ งดยี ง่ิ จากคณาจารย์ ผทู้ รงคณุ วฒุ ิ นักวชิ าการอสิ ระ นักวิชาการ และครูผสู้ อนจากสถาบันต่างๆ ทงั้ ภาครฐั และเอกชน จงึ ขอขอบคณุ ไว้ ณ ท่นี ี้ สสวท.หวังเป็นอย่างยิ่งว่า หนังสือเรียนวิทยาศาสตร์เล่มน้ีจะเป็นประโยชน์แก่นักเรียนและ ผู้เกี่ยวข้องทกุ ฝ่าย ท่ีจะช่วยใหก้ ารจัดการศกึ ษาวทิ ยาศาสตร์มปี ระสิทธภิ าพและประสทิ ธผิ ล หาก มขี ้อเสนอแนะใดทีจ่ ะทาำ ให้หนงั สอื เรยี นวิทยาศาสตร์เล่มน้สี มบรู ณย์ ง่ิ ข้นึ โปรดแจ้ง สสวท. ทราบ ดว้ ย จกั ขอบคุณยง่ิ (นางพรพรรณ ไวทยางกูร) ผ้อู าำ นวยการ สถาบันส่งเสรมิ การสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี



1บทที่















¨Ó¹Ç¹¤¹ 14 12 10 8 ªÒ 6 ËÞÔ§ 4 2 0 10 11 12 13 ÍÒÂØ/»‚





·ÍÁÑÊ áÍÅÇÒ àÍ´ÔÊ¹Ñ (¤.È. 1847-1931) ¹Ñ¡àÃÕ¹ÍÒ¨¨Ðá»Å¡ã¨ ¶ÒŒ ·ÃҺNjÒàÍ´ÔÊ¹Ñ äÁä‹ ´ŒàÃÕ¹˹§Ñ Ê×ÍÍ‹ҧ¹¡Ñ àÃÕ¹·èÇÑ ä» à¢Ò à¤Âä»âçàÃÕ¹ᵋàÃÕ¹äÁ‹ä´Œ ¤Ã¢Ù ͧà¢ÒºÍ¡ÇÒ‹ ÊÁͧà¢Ò·Öºà¡¹Ô ä» à¢Ò¨Ö§µÍŒ §ÍÂè¡Ù ºÑ ºÒŒ ¹áÅÐàÃÕ¹¡ÒÃÍÒ‹ ¹¡ÒÃà¢Õ¹¡ÑºÁÒÃ´Ò áµà‹ Í´ÊÔ Ñ¹ÁÅÕ Ñ¡É³Ð¢Í§¹¡Ñ ÇÔ·ÂÒÈÒʵÏÁÒ µéѧáµà‹ ´¡ç æ ¤Í× ªÒ‹ §Êѧࡵ ª‹Ò§Ê§ÊÑ ÍÂÒ¡Ã͌٠ÂÒ¡àËç¹ áÅÐÍÂÒ¡·íÒÊè§Ô ãËÁæ‹ àÊÁÍ à¢ÒÁÑ¡ËÒ¤ÇÒÁèŒÙ Ò¡¡ÒÃÍÒ‹ ¹ áÅзíÒ¡Ò÷´Åͧ´ŒÇµ¹àͧàÊÁÍ ´ÇŒ ¤ÇÒÁ¤´Ô ÃÔàÃÔèÁ ¢Í§à¢Ò ã¹·ÕÊè Ø´·íÒãËàŒ ¢Ò»ÃдÉÔ °Ë ÅÍ´ä¿ä´ŒÊíÒàèç ออวลิ ไรต วิลเบอร ไรต à¤Ã×èͧºÔ¹à»¹š ¼Å§Ò¹ÍÕ¡ÍÂÒ‹ §Ë¹§Öè «è§Ö áÊ´§¶Ö§¤ÇÒÁ¤Ô´ÃÔàÃÔèÁ¢Í§Á¹ÉØ Â ¹Ñ¡àÃÕ¹ÍÒ¨¨Ð¹Ö¡äÁ‹¶§Ö Ç‹Ò ¾¹èÕ ÍŒ § µÃСÅÙ äõ (ÍÍÇÅÔ äõáÅÐÇÔÅàºÍÏ äõ) ໚¹ª‹Ò§«‹ÍÁ¨¡Ñ ÃÂÒ¹ ä´¤Œ ´Ô ·Òí à¤Ã×èͧº¹Ô â´ÂàÃÔèÁ¨Ò¡¨Ñ¡ÃÂÒ¹ â´Â¤Ãéѧáá·íÒ໚¹à¤Ã×èͧË͹¡Í‹ ¹ áÅÇŒ »ÃѺ»Ã§Ø àÃ×èÍÂæ ¨¹à»¹š à¤Ã×èͧº¹Ô ã¹·èÊÕ ´Ø ¤ÇÒÁ¤´Ô ÃÔàÃÔèÁ㹡Òà ·íÒà¤Ã×èͧºÔ¹¹¹éÑ à¡Ô´¨Ò¡áçº¹Ñ ´ÒÅ㨨ҡÀÒ¾ÇҴẺ¨Òí Åͧ¢Í§Ê§èÔ µ‹Ò§æ ·¨Õè зÒí ãˤŒ ¹ºÔ¹ä´Œ â´Â·èÕ ÊÁÑ¡͋ ¹¢Í§ÅÕâ͹Òâ´ ´ÒÇÔ¹ªÕ ä´ŒÁ¹Õ ¡Ñ ÇÔ·ÂÒÈÒʵÏ ªÍè× âÃà¨ÍÏ ຤͹ ªÒÇÍѧ¡ÄÉ à¤Â¨Ô¹µ¹Ò¡ÒÃäÇÇŒ ‹Ò Ê¡Ñ Çѹ˹֧è Á¹ÉØ Â͏ Ò¨¨Ðº¹Ô ä´ŒàËÁÍ× ¹¹¡ กิจกรรม 1.4 ใบพดั มหัศจรรย ãËŒ¹¡Ñ àÃÕ¹·Òí Ẻ¨Òí Åͧà¤Ã×èͧË͹ËÃ×Íà¤Ã×èͧº¹Ô µÒ‹ §æ ¨Ò¡¡ÃдÒÉËÃ×ÍÅͧ·íÒ㺾ѴÁËÈÑ ¨ÃÏ ´Ñ§¹éÕ ¢é¹Ñ µÍ¹¡Ò÷íÒ 1. µÑ´¡ÃдÒɵÒÁẺ·Õ¡è íÒ˹´ãËŒ 2. ¾Ñºãº¾Ñ´ãËÍŒ ÂÙµ‹ ç¡Ñ¹¢ŒÒÁ¡Ñ¹ (´Ñ§ÀÒ¾) Ẻ㺾´Ñ 3. µ´Ô ¤ÅԻ˹ºÕ ¡ÃдÒÉ·èÕ»ÅÒ¡ÃдÒÉ 4. ·´Åͧ»Å‹Í¡ÃдÒɨҡ·ÊÕè Ù§ Ê§Ñ à¡µáÅк¹Ñ ·¡Ö ¼Å 12



¤ÇÒÁÁҹТͧ¹Ñ¡ÇÔ·ÂÒÈÒʵÏä·Â พระบิดาแหงวิทยาศาสตรไทย »ÃÐà·Èä·Â àÃÒ ÁÕ ¹Ñ¡ ÇÔ·ÂÒÈÒʵÏ ·èÕÊíÒ¤ÑÞ ·‹Ò¹ ˹Öè§ ¤×Í ¾ÃкҷÊÁà´ç¨¾ÃШÍÁà¡ÅŒÒ਌ÒÍÂÙ‹ËÑÇ ÃѪ¡ÒÅ·èÕ 4 áË‹§¡Ã§Ø ÃµÑ ¹â¡Ê¹Ô ·Ã ¾ÃÐͧ¤· Ã§à»¹š ¹¡Ñ Ç·Ô ÂÒÈÒʵÃ͏ ÂÒ‹ §á·¨Œ ÃÔ§ ·Ã§È¡Ö ÉÒ ¤³ÔµÈÒʵÏ ´ÒÃÒÈÒʵÏ ·Ã§»¯ÔºµÑ Ô¡Ò÷´ÅͧáÅÐ·Ã§à¡ºç ¢ÍŒ ÁÅÙ µÒ‹ §æ µÒÁ¡Ãкǹ¡ÒÃÇ·Ô ÂÒÈÒʵÏ ã¹·ÊèÕ ´Ø ä´Œ·Ã§¾Âҡó ÇÒ‹ ¨Ðà¡´Ô ÊØÃÔÂ»Ø ÃÒ¤ÒàµÁç ´Ç§ã¹Çѹ·èÕ 18 ÊÔ§ËÒ¤Á ¾.È. 2411 处 ·Ã§¾Âҡóä´Œ¶¡Ù µÍŒ §ÇÒ‹ ÊÃØ ÔÂ»Ø ÃÒ¤Ò´§Ñ ¡ÅÒ‹ ǹéÕ ¨Ðà˹ç ä´Œª´Ñ ਹ ·èÕµÒí ºÅËÇÒŒ ¡Í ¨§Ñ ËÇ´Ñ »ÃШǺ¤ÃÕ Õ¢¹Ñ ¸ ¾ÃÐͧ¤ä´Œ·Ã§¾Âҡó ŋǧ˹ŒÒ¶Ö§ 2 »‚ áÅлÃÒ¡¯Ç‹ÒÊèÔ§·Õè¾ÃÐͧ¤·Ã§·íÒ¹ÒÂäÇŒ พระบาทสมเด็จพระจอมเกลา ¹Ñé¹»ÃÒ¡¯à»š¹¨ÃÔ § »ÃШѡɏᡋÊÒµҷÑ駪ÒÇä·ÂáÅЪÒÇ เจาอยหู ัว (พ.ศ. 2347 - 2411) µ‹Ò§»ÃÐà·È·Õè䴌ࢌÒÁÒ´ÙÊØÃÔ ÂØ»ÃÒ¤ÒµÒÁ·èÕ¾ÃÐͧ¤·íÒ¹ÒÂäÇŒ ´ŒÇ¾ÃÐÍѨ©ÃÔ ÂÐÀÒ¾¢Í§¾ÃÐͧ¤ã¹´ŒÒ¹ÇÔ·ÂÒÈÒʵϹéÕ »ÃÐà·Èä·Â¨Ö§¶Í× Ç‹Ò¾ÃÐͧ¤ à»¹š “¾ÃкԴÒáË‹§Ç·Ô ÂÒÈÒʵÏ ä·Â” â´ÂÃѰºÒÅä´Œ¶ÇÒ¾ÃÐÃÒªÊÁÑÞÞÒ¹ÒÁ¹éÕ àÁ×èÍ»‚ ¾.È. 2525 áÅлÃÐà·Èä·ÂÂѧ¡íÒ˹´ãËŒÇѹ·Õè 18 ÊÔ§ËÒ¤Á ໚¹ ÇѹÇÔ·ÂÒÈÒʵÏá˧‹ ªÒµÔ «§èÖ ã¹ªÇ‹ §¹Ñ¹é ÁÕ¡ÒèѴ¡Ô¨¡ÃÃÁÊÑ»´Òˏ ÇÔ·ÂÒÈÒʵ⏠¹éÖ ·¡Ø »‚ ถานักเรยี นศกึ ษาประวัติของนกั วิทยาศาสตรหลายๆ ทา น จะพบวา แตล ะทา นตองใชความ มุงมั่น พยายาม และความอดทนในการศึกษาเร่ืองหน่ึงๆ นักวิทยาศาสตรของไทยหลายทาน ท้ังที่ไดรบั การยกยอ งวา เปน นักวิทยาศาสตรดีเดน แหง ชาติ และแมแตทานที่ยังไมไดรับการยกยอง หลายทาน มีผลงานเปน ท่ียอมรบั นบั ถอื ไมเพียงแตในประเทศไทยเทา นน้ั แตเปน ท่ียอมรับใน ตา งประเทศดวย ความจรงิ ประเทศไทยเรามีผูท่ีใหความสนใจและความสาํ คญั ทางดานวิทยาศาสตร มานานแลว แตไมคอยเปนที่รูจกั มากนกั แมในหมูคนไทยดว ยกัน ท้ังนี้ อาจเปน เพราะคนไทยเรา ไมนิยมเขียนบันทึกความรูตางๆ หรือการคนพบใดๆ ไวเปนหลักฐาน ตางจากพวกชาวตะวันตก ท่ีนยิ มเขียนบนั ทึกเร่อื งราวตางๆ ไวโดยละเอียด ทาํ ใหคนรุน หลังไดใ ชอ างเปน หลกั ฐานได ใหน กั เรยี นแตละคนคน ควา ชีวประวตั ิและผลงานของนกั วทิ ยาศาสตรท ไ่ี ดรบั การยกยองวา เปน นักวทิ ยาศาสตรดเี ดนแหงชาติมา 1 คน เขียนรายงานและแลกเปลี่ยนเรียนรกู นั ในหองเรยี น 14

จากกิจกรรมทน่ี ักเรียนทําขางตน นักเรียนจะพบวา การ ทาํ งาน อยาง นัก วิทยาศาสตร คอื การทาํ งานอยางเปนกระบวนการ ซึ่งนกั วิทยาศาสตรจะตอ งมีลักษณะของความเปนคนชา งสงั เกต อยากรูอยากเหน็ มีความเปนเหตุเปน ผล มีความคดิ รเิ ร่มิ และมีความมานะบากบ่นั ในการทํางานจน ประสบผลสาํ เรจ็ นกั เรยี นอาจฝกฝนตนเองใหมีนิสยั ในการทาํ งานแบบนกั วทิ ยาศาสตรได โดยฝกฝนใหเปน คนชา งสงั เกต เพราะการสงั เกตจะนําไปสูปญ หาตา งๆ ท่ีเราอยากจะศกึ ษาคน ควา เราตองฝก วางแผน ในเรื่องท่ีจะศกึ ษา คน ควา ซึง่ การวางแผนรวมถงึ การต้งั สมมติฐานดว ย เพราะสมมติฐานจะเปนตวั กําหนดแนวทางในการศกึ ษา ฝก ออกแบบการทดลองเพอ่ื เกบ็ ขอมลู และนําขอมูลมาศกึ ษาวิเคราะห เพือ่ เรยี บเรียงเปนความรใู หม กจิ กรรม 1.5 เลียนแบบการทาํ งานของนกั วทิ ยาศาสตร ã˹Œ ¡Ñ àÃÕ¹͋ҹʶҹ¡Òó· è¡Õ íÒ˹´ãËŒ¹áéÕ ÅÐ㪡Œ Ãкǹ¡ÒÃ·Ò§Ç·Ô ÂÒÈÒʵÏÈÖ¡ÉÒËÒ ÊÒà˵آͧà˵¡Ø Òó·Õèà¡Ô´¢¹Öé ʶҹ¡Òó âçàÃÕ¹á˧‹ Ë¹Ö§è ¨Ñ´ãËÁŒ §Õ Ò¹¡¹Ô àÅÂÕé § â´Âã˹Œ Ñ¡àÃÕÂ¹ÃºÑ ¼´Ô ªÍº¡¹Ñ àͧ 㹡Òè´Ñ ÍÒËÒà ËÅ§Ñ §Ò¹àÅÔ¡ä´ŒäÁ‹¹Ò¹ »ÃÒ¡¯ÇÒ‹ ÁչѡàÃÕ¹ËÅÒ¤¹à¡Ô´·ŒÍ§Ã‹Ç§ µŒÍ§¹Òí ʧ‹ âç¾ÂÒºÒÅ ·Ò§âç¾ÂÒºÒÅÍÂÒ¡·ÃÒºÊÒà赯 ¨Ö§ãËŒ¹Ñ¡àÃÕ¹ªÇ‹ ¡¹Ñ ºÍ¡ÇÒ‹ ÍÒËÒâͧ¹¡Ñ àÃÕ¹·¡Õè Ô¹à¢ÒŒ ä»ÁÍÕ ÐäúŒÒ§ «Ö§è ä´¢Œ ŒÍÁÅÙ ¢Í§ÍÒËÒÃ·Õ¹è ¡Ñ àÃÕ¹ 10 ¤¹áá ¡¹Ô ä´Œ ´§Ñ µÒÃÒ§ ¹Ñ¡àÃÂÕ ¹¤¹·èÕ ¡ÇŽ ÂàµÕëÂǼѴ ËÁÙ·Í´ ÃÒ¡ÒÃÍÒËÒà 䡋·Í´ äÍÈ¡ÃÕÁ ¾·Ø ÃÒ »ÃÒ¡¯ÇÒ‹ ¼ÙŒ·ÁÕè ÍÕ Ò¡Ò÷͌ §ÃÇ‹ § 䴌ᡋ ¹Ñ¡àÃÕ¹¤¹·Õè 1, 3, 4, 5, ¢ŒÒÇà˹ÕÂÇ ¢¹Á¨Õº 6, 8 áÅÐ 9 1 ✓ ✓ ✓ ✓ - ✓✓ «è§Ö ¨Ò¡à˵ءÒó¤ çéÑ ¹éÕ ¹¡Ñ àÃÕ¹ 2 - ✓ ✓ ✓✓✓ - ËÅÒ¤¹ä´µŒ §Ñé ÊÁÁµ°Ô Ò¹¶Ö§ÊÒà赯 3 ✓ ✓ ✓ ✓✓ - ✓ ¢Í§·ŒÍ§Ã‹Ç§äÇŒ ´Ñ§¹éÕ 4 - ✓ ✓ ✓✓✓✓ 5 ✓ ✓ ✓ ✓ - ✓✓ 6 ✓ ✓ ✓ - - ✓✓ 7 ✓ ✓ ✓ ✓✓ - - 8 ✓ ✓ ✓ ✓✓ - ✓ 9 - - ✓ ✓✓ - ✓ 10 ✓ - - ✓ ✓ ✓ - ? นกั เรยี นคิดวา สมมติฐานของนกั เรียนคนใด ¹¡Ñ àÃÂÕ ¹ ÊÒà˵¢Ø ͧ·ŒÍ§Ã‹Ç§¤×Í เปนไปไดม ากท่สี ดุ เพราะเหตใุ ด ¡ÈØ Å ¡ÇŽ ÂàµÕÂë Ǽ´Ñ ³°Ñ ÇÃÕ  ËÁÙ·Í´ ¢ŒÒÇà˹ÕÂÇ ¾Ñ·¸ ¢¹Á¨Õº ÇÃø¹ ä¡‹·Í´ ÊØÇªÔ Ò äÍÈ¡ÃÁÕ ÍÃØ³Õ ¾Ø·ÃÒ บทท่ี 1 เรยี นรŒูวิทยาศาสตรอยา‹ งไร 15







2. ชว ยหูฟง ภาพ 1.7 สเต็ตโทสโคป หูเปนประสาทสัมผสั อีกอยางหน่งึ ที่เราใชในการสังเกต โดยการฟง เสยี ง หกู ม็ ปี ญ หาเชน เดยี วกบั ตา บางคนอาจจะหตู งึ หรอื อาการผดิ ปกติของรางกายอาจทําใหห อู ้อื หรอื เปนหูหนวก ทาํ ให ไดยินไมช ัดเจนบางคนตองใชเครอ่ื งชวยฟง แพทยม เี ครอ่ื งชว ยฟง เรยี กวา สเตต็ โทสโคป ใชช ว ยฟง สงิ่ ท่ี ไมอาจไดย ินดว ยหธู รรมดา เชน ฟงเสยี งการเตนหวั ใจ การทาํ งาน ของปอด หลอดลม ฯลฯ 3. เทอรม อมิเตอรบ อกรอ น-เย็น à·¾¹ÂÔ Ò¡ÃÕ¡àÅ‹ÒÇÒ‹ ¤Ãé§Ñ ˹§Öè ෾਌Òà«àµÍÏ เรา อาจ ใช ผิวกายใน การ สังเกต à¤ÂŧÁÒà·ÕèÂÇâÅ¡Á¹ÉØ Âã¹Ä´ËÙ ¹ÒÇ áÅÐä´äŒ » à·èÂÕ Ç¡ºÑ à¾×Íè ¹Á¹ÉØ Â 2 ¤¹ àªÒŒ Ç¹Ñ Ë¹§Öè àË¹ç ¤¹ ไดในบางคร้งั ซ่งึ พบวา การตดั สินใจ ¤¹Ë¹§Öè ¹Ñ§è à»Ò† ¢ŒÒǵŒÁ ¨Ö§¶ÒÁÇÒ‹ à»Ò† ·íÒäÁ โดยใชผิวกายสัมผสั อาจทาํ ใหไดขอมูล ¤¹¹Ñ¹é ºÍ¡Ç‹Ò ໆÒãËŒàÂ¹ç ¢³Ðà´ÕÂǡѹ à˹ç ท่ีสับสน เชน สมั ผัสความรอ น เยน็ ÍÕ¡¤¹Ë¹§Öè ¹Ñ§è à»Ò† ÁÍ× ¤¹¹¹éÑ ºÍ¡ÇÒ‹ ໆÒãËŒÍØ‹¹ นักเรียนลองทําการทดลองงา ยๆ ดูวา à«àµÍϨ֧¤´Ô Ç‹ÒÁ¹ÉØ Âà ªÍè× ¶Í× äÁä‹ ´Œ ¨Ö§¡ÅºÑ ÊÇÃä ผิว สัมผัส ของ เรา เชื่อ ถือ ได เสมอ ไป áÅÐäÁ‹Å§ÁÒâÅ¡Á¹ÉØ Â͏ Õ¡àÅ ¶ŒÒ¹¡Ñ àÃÕ¹ หรอื ไม ¾ºà«àµÍÏ ¨Ð͸ԺÒÂãËŒà«àµÍÏ¿˜§Ç‹ÒÍÂÒ‹ §äà กจิ กรรมเสริม รอŒ นหรือเย็น 1. ã˹Œ ¡Ñ àÃÕ¹àµÃÕÂÁ¹íÒé µ‹Í仹éÕ ÍÂÒ‹ §ÅÐ 1 ¢¹Ñ นํา้ อนุ นํ้าธรรมดา นาํ้ เยน็ ¡. ¹éíÒàÂ繨Ѵ (¹éíÒ+ ¹éíÒá¢ç§) นา้ํ อุน นา้ํ ธรรมดา น้าํ เย็น ¢. ¹íéÒ¸ÃÃÁ´Ò (¹éÒí Í³Ø ËÀÙÁËÔ ÍŒ §) ¤. ¹éíÒ͋ع¤Í‹ ¹¢ÒŒ §¨´Ñ (¾ÍãËŒÁÍ× ·¹ä´)Œ 2. áªÁ‹ Í× Ë¹§Öè ŧ㹹Òéí àÂ¹ç ¨Ñ´áÅÐÍ¡Õ Á×Í˹֧è ã¹¹Òéí ÍØ‹¹¨´Ñ Ê¡Ñ ¤Ã‹Ù áÅÇŒ ¡ÁÍ× ·é§Ñ Êͧ¢ŒÒ§ ÁÒ᪋㹹éÒí ¸ÃÃÁ´Ò¾ÃÍŒ Áæ ¡¹Ñ ? มือใดจะมีความรูสึกรอนหรือเย็นอยางไร ? ผวิ สมั ผสั ของมือเราเช่อื ถอื ไดเสมอไปหรือไม ? เครือ่ งมอื ท่ใี ชวัดความรอ นเย็นทเ่ี ชือ่ ถอื ไดค อื อะไร บทท่ี 1 เรียนรูŒวทิ ยาศาสตรอย‹างไร 19

ในการปฏบิ ตั ทิ างวทิ ยาศาสตรจ งึ มเี ครอ่ื งมอื วดั ปรมิ าณความรอ น เยน็ ซงึ่ เรยี กวา เทอรม อมเิ ตอร ซึ่งมหี นวยบอกปริมาณความรอ น เยน็ และวัดปริมาณความรอ นออกมาเปน อุณหภมู ิ เทอรม อมิเตอร ทนี่ กั เรยี นทุกคนเคยพบมาแลว ไดแก เทอรมอมเิ ตอรว ัดไข หนว ยของอณุ หภมู ทิ ีน่ กั เรยี นรจู กั ไดแกอะไรบา ง รางกายคนปกติ มอี ุณหภมู เิ ทา ไร ถา ใชเ ทอรมอมิเตอรม าวัด จะรูไดอ ยางไรวาคนท่ีถูกวัดมไี ขหรอื ไม สูงหรอื ตา่ํ เพียงใด หนวยของอุณหภูมิ ท่ีใชกันมากมีอยู ภาพ 1.8 เทอรมอมเิ ตอรว ัดไข สามมาตรา หรอื สามสเกล ไดแ ก ฟาเรนไฮต เซลเซียส และเคลวนิ à«Åà«ÂÕ Ê ¿Òàùäε à«Åà«ÕÂÊ (Ander Celsius) à»¹š ¼»ŒÙ ÃдÔɰ Êà¡Å¢Í§ à·ÍÏÁÍÁàÔ µÍÃà »¹š à«¹ç µàÔ ¡Ã´ («Ö§è ËÁÒ¶§Ö ầ‹ ª‹Ç§ÃÐÂÐ ÍØ³ËÀÁÙ ÔÊà¡Å¹ºéÕ Í¡Í³Ø ËÀÙÁÔ໹š ͧÈÒ¿Òàùäε ( íF) ãËàŒ »š¹ 100 ªÇ‹ §à·Ò‹ æ ¡¹Ñ ) ã¹»‚ ¤.È.1742 à«Åà«ÂÕ Ê µÒÁªÍè× ¢Í§ ¿Òàùäε (Daniel Gabriel Fahrenheit) àÅ×͡㪨Œ ´Ø ËÅÍÁàËÅǢͧ¹éÒí ᢧç áÅШشà´Í× ´¢Í§¹Òéí ¹¡Ñ ¿Ê¡Ô ʏªÒÇàÂÍÃÁѹ «Öè§»ÃдÔÉ°à ·ÍÏÁÍÁàÔ µÍÏ¢¹éÖ à»¹š ¨Ø´ÍŒÒ§Í§Ô Êͧ¨´Ø áÅÐẋ§ª‹Ç§ÃÐËÇÒ‹ §¨Ø´·§éÑ Êͧ໹š àÁè×ÍÃÒÇÊÒÁÃÍŒ »Á‚ ÒáÅÇŒ µÍ¹àÃÔèÁµ¹Œ ¿ÒàùäεÊÌҧ 100 ͧÈÒ ·Ñ§é ¹àéÕ ¾èÍ× ãË㌠ª§Œ Ò‹ ¢éÖ¹ 㹵͹áá ͧÈÒ¹éÕ Êà¡ÅºÍ¡Í³Ø ËÀÙÁâÔ ´Âµé§Ñ Í³Ø ËÀÙÁԢͧ¢Í§¼ÊÁÃÐËÇÒ‹ § àÃÕ¡ÇÒ‹ ͧÈÒà«ç¹µÔà¡Ã´ ( Cí ) ËÁÒ¶֧ ẋ§à»¹š ¹Òéí ᢧç áÅÐà¡Å×Í໹š ȹ٠ (0) ͧÈÒ áÅеÑé§Í³Ø ËÀÙÁ¢Ô ͧ 100 ͧÈÒ µ‹ÍÁÒàÁÍ×è à«Åà«ÕÂÊä´ŒÊé¹Ô ªÕÇԵŧ ¨§Ö à»ÅèÂÕ ¹ÁÒ ¹éíÒá¢ç§·èÕ 30 ͧÈÒ áÅÐÍ³Ø ËÀÁ٠ԢͧËҧ¡Ò¤¹»¡µÔ àÃÕÂ¡Ç‹Ò Í§ÈÒà«Åà«ÂÕ Ê à¾Íè× à»¹š à¡ÂÕ ÃµáÔ ¡¼‹ »ÙŒ ÃдÔɰ ·Õè 96 ͧÈÒ áÅÐàÁè×ÍãªÊŒ à¡ÅÍ³Ø ËÀÙÁÔ¹éÕ ¿ÒàùäεǏ Ñ´ Êà¡Åà«Åà«ÂÕ Êµ§éÑ ãËŒ¨Ø´à´Í× ´¢Í§¹íÒé ໚¹ 100 ͧÈÒà«Åà«ÕÂÊ ÍØ³ËÀÙÁ¢Ô ͧ¹Òíé à´×Í´ä´Œ 212 íF µÍ‹ ÁÒ¿Òàùäε ä´Œ»ÃºÑ áÅШشàÂ×Í¡á¢§ç ¢Í§¹Òíé ໹š 0 ͧÈÒà«Åà«ÂÕ Ê Êà¡Å ¨´Ø àÂÍ× ¡á¢§ç ¢Í§¹Òíé ¨Ò¡ 30 Fí ໚¹ 32 Fí à¾Í×è ·Òí ãËጠº§‹ à«Åà«ÕÂÊä´ŒÃºÑ ¤ÇÒÁ¹ÂÔ Á¡ÇÒŒ §¢ÇÒ§¡ÇÒ‹ ¿Òàùäε áÅÐ ªÇ‹ §ÃÐËÇÒ‹ §¨Ø´à´Í× ´áÅШشàÂ×Í¡á¢ç§¢Í§¹íéÒ à»š¹ 180 à¡×ͺ·Ø¡»ÃÐà·È¹Í¡¨Ò¡ã¹ÊËÃѰÍàÁÃÔ¡Ò à¾ÃÒÐãªÊŒ дǡ ªÇ‹ §à·Ò‹ æ ¡¹Ñ »¨˜ ¨ºØ ѹ ͧÈÒ¿ÒàùäεÂ§Ñ ¤§ãªµŒ ÒÁ»¡µÔ ¡Ç‹Ò áÅе‹ÍÁÒàÁ×èÍÁ¢Õ ÍŒ µ¡Å§¡ÒÃãªËŒ ¹Ç‹ ÂÊÒ¡Å (˹‹Ç SI) ÍÂã‹Ù ¹»ÃÐà·ÈÊËÃѰÍàÁÃÔ¡Ò Ë¹‹Ç¹¡éÕ çä´ŒÃºÑ ¡Òþ¨Ô ÒóÒÍ¹âØ ÅÁãË㌠ªµŒ ‹Íä»ä´àŒ ¾ÃÒÐ໚¹ Ãкº·àèÕ ËÁÍ× ¹ÃкºàÁµÃÔ¡ ·èÕÁÕ°Ò¹¢Í§Ë¹Ç‹ Â໹š ÊÔº à¤ÅÇ¹Ô à¤ÅÇÔ¹ (Lord William Kelvin) ä´ÊŒ ÃÒŒ §Êà¡Åà¤ÅÇ¹Ô (K) ã¹»‚ ¤.È.1854 Êà¡Å¢Í§à¤ÅÇ¹Ô ãªËŒ Å¡Ñ ¡Òú¹¤ÇÒÁ¤Ô´¢Í§·ÄÉ®Õ È¹Ù Âʏ ÑÁºÙó «Ö§è ໚¹Í³Ø ËÀÙÁÔ·èÕÁáÕ µã‹ ¹·ÄÉ®Õ â´Â·¨èÕ ´Ø ¹Ñé¹à»¹š ¨´Ø ·âÕè ÁàšŨ ·¡Ø ª¹´Ô ËÂØ´¡ÒÃà¤ÅèÍ× ¹··èÕ é§Ñ ËÁ´áÅз¨Õè Ø´¹¹éÑ ¨ÐäÁÁ‹ Õ ¾Åѧ§Ò¹ã´¶¡Ù µÃǨ¾º µÒÁ·ÄÉ®Õ ÍØ³ËÀÁÙ Ô 0 à¤ÅÇÔ¹ ໚¹ÍسËÀÁÙ ÔµÒèí ·ÊèÕ ´Ø à·Ò‹ ·¨Õè Ð໚¹ä»ä´Œã¹¨¡Ñ ÃÇÒÅ «Öè§à·Ò‹ ¡ºÑ ÍØ³ËÀÁÙ Ô -273.15 Cí ´§Ñ ¹¹Ñé ¨´Ø àÂÍ× ¡á¢§ç ¢Í§¹íÒé ¨§Ö ໹š 273.15 à¤ÅÇÔ¹ Êà¡Å¹äéÕ Áã‹ ª¤Œ Òí ÇÒ‹ ͧÈÒ áµã‹ ªàŒ »¹š ¨íҹǹ à¤ÅÇ¹Ô (K) à·‹Ò¹¹Ñé ઋ¹ 273 K à»¹š µ¹Œ µÒÁ¢ŒÍµ¡Å§¢Í§Ë¹‹ÇÂàÍÊäÍ (SI) ¡Òí ˹´ãËŒãªÍŒ سËÀÙÁàÔ ¤ÅÇ¹Ô áµ‹µÒÁ¤ÇÒÁ໹š ¨ÃÔ§áÅÇŒ ÍØ³ËÀÁÙ Ôȹ٠ ͧÈÒÊÑÁºÙØÃ³ ÁàÕ ©¾ÒÐã¹·ÄÉ®àÕ ·Ò‹ ¹Ñé¹ ÍÕ¡·Ñ§é ÍØ³ËÀÙÁàÔ ¤ÅÇ¹Ô Âѧ«ºÑ «ÍŒ ¹áÅÐäÁ‹ÊдǡÊíÒËÃºÑ ¼ÙŒãªŒ ·Ò§Ç·Ô ÂÒÈÒʵϨ§Ö Í¹âØ ÅÁ ãËŒãªÍŒ ³Ø ËÀÙÁÔ໚¹Í§ÈÒà«Åà«ÕÂÊ (ÊÞÑ Åѡɳ Cí ) µÒÁÃкºàÁµÃÔ¡ ãˌ໚¹Ë¹Ç‹ ÂÇ´Ñ Í³Ø ËÀÙÁÔÊÒ¡Åä´ŒµÍ‹ ä» 20









¤ÇÒÁ˹Òṋ¹¢Í§ÊÒäԴà·ÂÕ º¨Ò¡ÁÇŢͧÊÒà ใน กิจกรรม ท่ี ได ทํา ไป แลว (¹éÒí ˹¡Ñ ) µ‹Í»ÃÔÁҵà ¹ÂÔ ÒÁ·Ò§¤³ÔµÈÒʵÏ นักเรียน ทราบ แลว วา ไข ไก ใหมๆ ¢Í§¤ÇÒÁ˹Òá¹¹‹ ¢Í§ÊÒè֧໚¹´§Ñ ¹éÕ จะ จม นํ้า แต เม่ือ เติม เกลือ ลง ไป ในนา้ํ จนมีความเขม ขน มากพอไขไก ¤ÇÒÁ˹Òá¹¹‹ ¢Í§ÊÒÃã´ (D) = ¹íéÒ˹¡Ñ ¢Í§ÊÒùÑé¹ (M) กลบั ลอยขน้ึ การทไ่ี ขไ กจ มนา้ํ อธบิ าย ตามหลักวิทยาศาสตรวาเปนเพราะ ¡Òú͡¤ÇÒÁ˹Òá˹Ã×¹‹Íà»DÃ=ÕºMVà·ÂÕ »ºÃ¢ÔÁÍÒ§µÊÃÒ(ÃV) ไขม ีความหนาแนน มากกวา นํ้า แตถา ÁÑ¡ãªàŒ ·Õº¡Ñº¤ÇÒÁ˹Òá¹¹‹ ¢Í§¹Òíé à¾ÃÒÐ ผสมสารอน่ื เชน เกลือลงไปทําให ¹íÒé 1 š٠ºÒÈ¡à «¹µàÔ ÁµÃ ÁÁÕ ÇÅ 1 ¡ÃÁÑ นา้ํ เกลอื มีความหนาแนน มากกวา ไข ¤ÇÒÁ˹Òá¹¹‹ ¢Í§¹Òíé ¨Ö§à·‹Ò¡Ñº 1 ÊÒÃã´·ÁèÕ Õ ไขจึงลอยได ¤ÇÒÁ˹Òṋ¹¹ŒÍ¡ÇÒ‹ ¤ÇÒÁ˹Òṋ¹¢Í§¹Òéí ¨ÐÅ͹éíÒ áµ¶‹ ÒŒ ¤ÇÒÁ˹Òá¹¹‹ ÁÒ¡¡ÇÒ‹ ¨Ð¨Á และจากการทดลองตอนท่ี 2 เราพบวา หลอดหยดหรือปลอกปากกาลอยนา้ํ ในขวด แตเมือ่ เราบีบขวด นน่ั คือ เพิ่มความดนั ภายในขวด ความดันจะไปบบี อากาศใหอัดกนั แนนความหนาแนน ของอากาศจึงเพิ่มขึ้น ทาํ ใหป ลอกปากกาจะจมลงสูกนขวด เมอื่ หยุดบีบขวด (ลดความดันภายในขวด) ปลอกปากกาจะกลบั ลอยขน้ึ มาตามปกติ นั ก เ รี ย น ค ง เ ค ย ไ ด  ยิ น ช่ื อ ท ะ เ ล ส า บ ภาพ 1.13 คนนอนลอยตวั ในทะเลเดดซี แหงหน่ึงในแถบภูมิภาคตะวันออกกลางท่ี ทม่ี า : www.travelblog.org/ มชี ือ่ วา เดดซี หรอื ทะเลตาย (Dead Sea) หมายถึงทะเลที่ไมม สี ิง่ มชี วี ิตอยไู ด และกลา วกนั วา ในทะเลน้ี คนไมจ มนา้ํ แตส ามารถนอนลอยตวั เลน ได คําอธิบายสําหรับเร่ืองนี้คือ เราทราบ แลววาในน้าํ ทะเลปกติจะมีเกลอื โซเดียมคลอไรด (เกลือแกง) ละลายน้ําอยูทําใหนา้ํ ทะเลมีรสเคม็ ทะเลเดดซีเปนทะเลท่ีมีเกลือโซเดียมคลอไรด ละลายอยูมากกวาทะเลท่ัวไปหลาย เทา นํ้าใน ทะเลเดดซีมีความหนาแนนสูงกวาน้ําทะเลโดย ทวั่ ไป วตั ถทุ มี่ คี วามหนาแนน ตาํ่ กวา ในนา้ํ ทะเลน้ี จึงไมจ ม บทที่ 1 เรียนรŒวู ิทยาศาสตรอ ย‹างไร 25





1.6.1 วทิ ยาศาสตรกบั การพฒั นา การคน พบสมบัติของสารและปฏกิ ริ ยิ าอนั เกิดจากสารตางๆ ทําใหเกิดอุตสาหกรรมเคมีและ อตุ สาหกรรมอยา งอนื่ ข้ึนอกี มากมาย เชน การพบปฏิกริ ยิ าท่ีทาํ ใหแรท่ีมีสารประกอบของเหลก็ กลายเปนเหลก็ บริสุทธ์ิ ความรูนนี้ าํ ไปสูอุตสาหกรรมการถลุงแรเหลก็ ซ่งึ ถกู นําไปใชในอุตสาหกรรม รถยนตแ ละวสั ดกุ อ สรา งตามมา ความรเู รอื่ งสมบตั ขิ องโลหะถกู นาํ ไปใชใ นการผลติ โลหะผสมทเ่ี รยี กวา อลั ลอยด ชนิดตางๆ ท่ีมีสมบัติเฉพาะตามความตองการในการใชงาน ทําใหสามารถสรางเครอ่ื งบิน จรวด ยานอวกาศตลอดจนอปุ กรณไ ฟฟา และอเิ ลก็ ทรอนกิ สต า งๆ การศกึ ษาเรอ่ื งปฏกิ ริ ยิ าเคมบี างชนดิ ทําใหมีการผลิตวัสดุสังเคราะหชนดิ ตา งๆ ขึน้ มากมาย วัสดุสงั เคราะหที่เรานาํ มาใชในชีวิตประจําวนั กันมากที่สุด คอื พลาสติก ซง่ึ เปน วัสดุทอี่ ํานวยความสะดวกอยา งมากในชวี ิตประจาํ วนั สารเคมหี ลาย ชนดิ ที่มีประโยชนในทางเกษตร เชน ปยุ เคมี สารกาํ จัดแมลงและสารกาํ จัดวชั พชื เปน ตน ส่งิ ตางๆ เหลา น้ีลวนแลวแตทาํ ใหการดาํ เนนิ ชวี ิตมนษุ ยเปล่ียนแปลงไป สง ผลใหสังคมเกดิ การเปล่ยี นแปลง อยา งมาก การเปล่ียนแปลงในสงั คมมิใชเกดิ ขึน้ เฉพาะในสงั คมใดสังคมหนึ่ง แตมผี ลกระทบไปทว่ั โลก ผูคนสว นมากไดรับความพงึ พอใจ ในความสะดวกสบายที่ไดรับจากผลผลติ ของวทิ ยาศาสตรจนทาํ ให นกึ ไมออกวา ถา ปราศจากสิ่งเหลาน้ันแลวเราจะดําเนินชวี ิตกนั อยางไร ภาพ ก. ยานอวกาศ ภาพ ข. ดาวเทยี ม ภาพ ค. พลาสตกิ ชนิดตางๆ ท่ีมา http://thaiastro.nectec.or.th/ ทมี่ า http://funscience.gistda.or.th/spaceexploration/ ภาพ 1.14 ความกา วหนาและผลผลติ ของวิทยาศาสตร กิจกรรม 1.8 วทิ ยาศาสตรกับการพัฒนา ãËŒ¹¡Ñ àÃÕ¹ầ‹ ¡ÅÁ‹Ø ÍÀÔ»ÃÒ 㹻ÃÐà´¹ç µÍ‹ 仹éÕ 1. ¶ÒŒ àÃÒäÁ‹Á¶Õ ا¾ÅÒʵԡ ËÃ×ÍÀÒª¹Ð¾ÅÒʵԡ ¡ÒôíÒà¹¹Ô ªÕÇµÔ »ÃШíÒÇ¹Ñ ¢Í§àÃҨРà»ÅÕÂè ¹á»Å§ä»ÍÂÒ‹ §äà 2. ¡ÒÃ㪾Œ ÅÒʵ¡Ô ËÃ×ÍʧèÔ ¢Í§·èÕ ãªŒ¤Ãѧé à´ÕÂÇáÅÇŒ ·Ô§é Ê‹§¼Å¡ÃзºµÍ‹ ÊÔ§è áÇ´ÅŒÍÁáÅÐ µ‹Íâš͋ҧäà 3. »Â‰Ø ÊÒáÒí ¨´Ñ áÁŧ áÅÐÊÒáÒí ¨´Ñ ÇªÑ ¾ª× ·Õè 㪌 㹡Ò÷Òí ¹Ò ·Òí Êǹ ·Òí äË ʧ‹ ¼Å¡Ãзº ·éѧ´ŒÒ¹ºÇ¡áÅдŒÒ¹ÅºµÍ‹ ªÕÇµÔ ¢Í§ªÒÇ¹Ò ªÒÇÊǹ ªÒÇäË áÅмŒºÙ ÃÔâÀ¤Í‹ҧäà 4. ¶ŒÒàÃÒäÁÁ‹ Õâ·Ã·ÈÑ ¹ â·ÃÈѾ· áÅÐÍØ»¡Ã³ÊÍ×è ÊÒõҋ §æ àÃҨзÃÒºà˵ءÒó· Õè à¡´Ô ¢¹Öé ã¹·èÕ͹è× æ ä´ŒËÃ×ÍäÁ‹ ÍÂÒ‹ §äà 28

1.6.2 ผลกระทบจากวทิ ยาศาสตรและเทคโนโลยี โดยทว่ั ไป จะดเู หมอื นวา เราไดร บั ผลประโยชนม ากมายมหาศาลจากวทิ ยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี แตถา เราพิจารณาใหละเอยี ดรอบคอบถึงสิง่ ท่ีวทิ ยาศาสตรและเทคโนโลยีหยิบยนื่ ใหแลว เราก็จะ พบวาวทิ ยาศาสตรและเทคโนโลยีไมไดหยบิ ยนื่ ใหเฉพาะสิง่ ที่เปน ผลดา นบวกเสมอไป เราจะพบวา มหี ลายสงิ่ หลายอยา งที่เปนผลกระทบ ใหนกั เรียนอานและรวมกันอภิปรายจากขอความตอ ไปนี้ ¡. ¼Å¡ÃзºµÍ‹ ÊØ¢ÀÒ¾â´ÂµÃ§ ¢. ÃâÙ ËÇâ‹ Í⫹ ÍØµÊÒË¡ÃÃÁËÅÒª¹´Ô ·Òí ãËàŒ ¡Ô´ÊÒþÉÔ ã¹ ¡ÒÃ㪼Œ ÅÔµÀѳ±à¾Íè× ÍÒí ¹Ç¤ÇÒÁÊдǡʺÒÂ㹪ÇÕ µÔ ËÅÒª¹´Ô Êè§Ô áÇ´ÅÍŒ Á «è§Ö ໚¹¼Å¡Ãзº¶Ö§ªÇÕ µÔ Á¹ÉØ Â ¡Í‹ ãËàŒ ¡Ô´¼ÅÃŒÒÂáç·Õäè Á‹ÁãÕ ¤Ãà¤Â¤Ô´¶Ö§ÁÒ¡‹Í¹ હ‹ ¢ÂÐ µÇÑ ÍÂÒ‹ §àª¹‹ »Þ˜ ËÒ梯 ÀÒ¾¢Í§»ÃЪҪ¹·àèÕ ¢µ ¾ÅÒʵ¡Ô ·èÕÁÍÕ Â‹¨Ù íҹǹÁÒ¡ÁÒÂã¹»¨˜ ¨Øº¹Ñ ¨¹à»š¹¼ÅãËŒ 굯 ÊÒË¡ÃÃÁÁÒºµÒ¾´Ø Í¹Ñ à¡´Ô ¨Ò¡ÊÒÃà¤ÁÕ ÊÔè§áÇ´ÅŒÍÁ¶Ù¡·Òí ÅÒ ËÃ×Í¡ÒÃãªÊŒ ÒÃà¤ÁªÕ ¹´Ô ˹§Öè ÃŒ¨Ù Ñ¡¡Ñ¹ã¹¹ÒÁ ËÅÒª¹´Ô ¡ÒÃ¼ÅµÔ ä¿¿‡Ò¨Ò¡¡ÒÃà¼Ò¶‹Ò¹Ë¹Ô ¢Í§ÊÒà CFC ·èÕãªàŒ »¹š µÑÇ·íÒ¤ÇÒÁà¹ç ã¹µàŒÙ Âç¹ ã¹à¤Ã×èͧ»ÃºÑ ·áÕè Á‹àÁÒÐ ¨§Ñ ËÇÑ´ÅíÒ»Ò§ ÁÊÕ ÒûÃСͺ¢Í§ ÍÒ¡ÒÈ ãªÍŒ Ѵ㹡Ãл‰Í§Êà»Ã áÅÐãªãŒ ¹¡ÒüÅÔµâ¿Á â´Â㪌 ¡Òí Áж¹Ñ (¶Ò‹ ¹ËÔ¹µÒÁ¸ÃÃÁªÒµÁÔ ¡Ñ ÁÕ¸ÒµØ à»¹š ÊÒéմ¾‹¹ã¹â¿Áãˌ໚¹Ã¾Ù Ã¹Ø ÊÒÃà¤ÁªÕ ¹´Ô ¹àéÕ ¢éÒ任л¹ ¡Òí Áжѹ»Ð»¹ÍÂÙ)‹ «§Öè à¡´Ô ¢Öé¹ã¹Ã»Ù ¢Í§á¡Ê ÍÂãÙ‹ ¹ºÃÃÂÒ¡ÒÈáÅÐÅÍ¢¹éÖ Ê‹ÙºÃÃÂÒ¡ÒȪÑé¹ÊÙ§ ÊÒùäéÕ ´Œ·Òí ÅÒ 䴌ŋͧÅÍÂä»ã¹ÍÒ¡ÒÈ ·Òí ãË»Œ ÃЪҪ¹·ÍèÕ Â‹Ù âÍ⫹㹺ÃÃÂÒ¡ÒȪ¹Ñé ÊÙ§·íÒãËàŒ ¡´Ô ÃâÙ ËÇâ‹ Í⫹¢Öé¹ ¢³Ð¹éÕ ã¡ÅàŒ ¤ÂÕ §ä´ÃŒ ºÑ ÊÒþÉÔ à¡´Ô ¡ÒÃà¨ºç »†Ç ¡Òà ¾ºÇ‹Òä´Œà¡´Ô ÃâÙ Í⫹¢Öé¹·ºÕè ÃÔàdz¢ÇéÑ âš㵌 µÒÁ»¡µÔâÍ⫹㹠ÃèÑÇäËŤÃéѧãËÞ¢‹ ͧÊÒæҋ áÁŧã¹àÁ×ͧ⺾ÒÅ ºÃÃÂÒ¡ÒȨÐ໚¹µÑǻ͇ §¡¹Ñ Ã§Ñ ÊÕºÒ§ÍÂÒ‹ §¨Ò¡´Ç§ÍҷԵ ઋ¹ »ÃÐà·ÈÍÔ¹à´ÂÕ ·Òí ã˼Œ ÙŒ¤¹àÊÕªÇÕ Ôµ¹ºÑ ¨Òí ¹Ç¹ Ã§Ñ ÊÕÍÅÑ µÃÒäÇâÍàŵ äÁã‹ ËŒÊÍ‹ §¼‹Ò¹ÁÒ处 âÅ¡â´ÂµÃ§ àÁè×ÍäÁÁ‹ Õ ¾Ñ¹¤¹ ¡ÒÃÃÐàºÔ´¢Í§âç俿҇ ¾Å§Ñ §Ò¹¹ÇÔ à¤ÅÂÕ Ã âÍ⫹¡Ñ¹äÇŒ ÃѧÊÕ¹¨éÕ Ðʧ‹ ÁÒ处 âÅ¡·íÒã˼Œ Œ¤Ù ¹ä´ŒÃѺáʧᴴ㹠·èÕàªÍÃ⏠¹ºÔÅ »ÃÐà·ÈÃÊÑ à«ÂÕ «Ö§è ·Òí ã˼Œ ÙŒ¤¹ ºÃÔàdz·ÁèÕ ÃÕ âÙ ËÇâ‹ Í⫹ à¡Ô´âäÃÒŒ  ઋ¹ ÁÐàÃç§¼ÔÇ˹ѧ ÊÒà CFC àÊÕªÕÇµÔ ¨íҹǹÁÒ¡ã¹·¹Ñ ·áÕ ÅŒÇÂѧà¡Ô´¼Åµ‹Íà¹×Íè § ¹ÁéÕ ¹ÉØ Â㏠ª¡Œ ѹÁÒ¹Ò¹áÅÇŒ áÅÐ处 ¤§ãª¡Œ ѹµÍ‹ ä» Á¹ÉØ ÂàÅ×Í¡ ¹Ñºà»š¹ÊÔºæ »‚ à¾ÃÒСÁÑ Á¹Ñ µÀÒ¾ÃÑ§Ê·Õ ¶Õè Ù¡ ¤ÇÒÁÊдǡʺÒÂÁÒ¡¡Ç‹Ò·è¨Õ ÐàÅÍ× ¡¤ÇÒÁ»ÅÍ´ÀÂÑ ¢Í§ ¾´Ñ ¾Ò仵ÒÁ¡ÃÐáÊÅÁä´äŒ »µ¡¤ÒŒ §Í‹Ùã¹»ÃÐà·È ºÃÃÂÒ¡ÒÈ «§Öè àÃÒÁͧäÁ‹àË¹ç ·Ñ¹µÒ ¨§Ö ¤´Ô Ç‹ÒäÁ‹à¡èÕÂǡѺµÑÇàÃÒ µ‹Ò§æ ã¹ÂâØ Ã» à´ç¡æ ·Õàè ¡Ô´¨Ò¡¾‹ÍáÁ·‹ èÕä´ÃŒ Ѻ ÊÒù¨éÕ ÐÅÍ¢¹éÖ ä»ÊÐÊÁàÃ×èÍÂæ ä» áÅÐÃâÙ ËÇâ‹ Í⫹¨Ðà¡Ô´ ¡ÁÑ Á¹Ñ µÀÒ¾Ã§Ñ Ê¡Õ çä´ÃŒ Ѻ¤ÇÒÁ·Ø¡¢·ÃÁÒ¹¨Ò¡ à¾ÁèÔ àµÁÔ ã¹·èÊÕ ´Ø äÁà‹ ¾Õ§ºÃÔàdz¢ÑéÇâÅ¡ãµàŒ ·‹Ò¹éѹ·èÕ¨Ðä´ÃŒ ºÑ ¤ÇÒÁà¨çº»Ç† ´ŒÇÂâäÌÒÂáç ¼Å¡Ãзº ᵨ‹ Ð໚¹·§éÑ âÅ¡ ¤. á¡Ê àÃ×͹¡ÃШ¡ ÁËÕ Å¡Ñ °Ò¹·Ò§Ç·Ô ÂÒÈÒʵê ÕéÇ‹Ò “á¡Ê ” ·èÕà¡Ô´¨Ò¡¡ÒûÃСͺ¡Ô¨¡ÃÃÁ¢Í§Á¹ÉØ Â áÅлÅÍ‹ Âá¡Ê àËÅÒ‹ ¹éѹãËŒ¢Öé¹ä»ÍÂÙ‹ã¹ ªé¹Ñ ºÃÃÂÒ¡ÒÈ ·Õàè »š¹µÑÇ¡Ò÷íÒãËÍŒ Ò¡ÒȢͧâÅ¡à»ÅèÕÂ¹ä» ¹Ñ¹è ¤Í× ÃŒÍ¹¢éÖ¹áÅÐÊ‹§¼ÅãËŒâÅ¡à»ÅèÂÕ ¹á»Å§ä» Í‹ҧ·èàÕ ÃÕÂ¡Ç‹Ò â¡ÅºÍÅ ÇÍÃÁ ÁÔè§ áº¡ÃÍÊ·ҷÕè ¡Òí ÒãÈËÁ⌠ÅÒ¡¡·ÃÍŒÊÕè ¹´Ø àÁËÒŨ‹ÒÒ¹¡éÕ¡ÊÒÇ‹ ù·ãÕ»èËÃÞФ‹ à·×ÍȤÃÒÃÒèí ú Ç͹䷴ÕÁèÍÍÕÍØµ¡Êä«Ò´Ë ¡(CÃÃOÁ2á) Å«Ðè§Ö ¡à¡Ò´Ô⨹ҡʡ‹§¢¨Ô ¹¡ÒôÃËÁ¹¢Í¡Ñ §·Á§Ñé ¹ËÉØ ÅÂҏ á»ÅÐÅʋ͋ǹᷡèÕ¶ÊÙ¡àË»Åŋҋ͹¢éÕ Ê¹éÖ Ù‹ ä» ã¶¹‹Òª¹é¹Ñ ˺¹Ô ÃùÂéÒí ÒÁ¡¹Ñ ÒÈᨡ¹Ê·ËÒí Ø§ãµËŒÁÀŒ ÁÙ áÍÔ ¡Òʍ¡¸ÒÃÈÃà»ÁŪÒèÂÕ µ¹ËÔ ¼Ãѹ×Íä»á¡áÊËÃŶ‹§Â·¹è·Õ µíÒ) ãË¢ÍŒàŒ ¡Á´Ô ÅÙ ·CÒO§2Ç·Ô ÁÂÒÒ¡È·ÒèÊÕ ÊØ´µÃ¤ªÍ× ÕéÇ¡‹ÒÒááàʍ¼àÒÃä×ËÍÁ¹àŒ¡ªÃÍ×é Ðਾ¡Å§Ô 6¿5Í%Ê«à»ÅÔ ¹š (áડ¹‹ Ê ¹Í¡¨Ò¡¹éÕ Â§Ñ ÁÕá¡Ê ··èÕ íÒãË⌠šÃÍŒ ¹¢Ö¹é Í¡Õ ËÅÒµÇÑ ·¶Õè ¡Ù µ¡à»¹š ¨íÒàÅ 䴌ᡋ CO2 • ¢á¡ЍʷÁ·Õè Õà·Ñº¹¶Á(ºC¹H¾4)×é¹·´Õàè¹Ô ¡´Ô ͨµØ ÒʡҡËÒ¡ÃÃËÃÁÁÑ¡áË¡ÁÊÁª¢ÕÇÍÀ§Ò«¾Ò¡ÏÍÅ¹Ô Ï·¡ÃҍÕ«µ ÁÒ‹ àÕ §·æ¹»àªÃ‹¹ÐÁáÒ¡³Ê ·2Õè¶5¡Ù%»ÁÅÕʋ͋ǹ¨ÃÒ‹Ç¡Á¹ãÒ¹¢áŒÒǡʍ ¢âÍŧ¡àÃÊ͌չ¢Í§»ÈØÊѵǏ • á乡µÊ ÷ÊÑ èãÕ ÍªÍ¡Œ ¡¹Ñ ä㫹´µ ŒÙà(ÂNç¹2Oà)¤Ãà¡×èÍ´Ô §¨»ÒáºÑ ¡ÍÒÒáà¼ÒÈÒäË¡ÁÃТŒ »Í§‰Í৪Ê×éÍà໾ÃÅÂ§Ô ¿ÏÍÅÊÏ«ÔŤÃáÑé§ÅËй¡Ö§è Òà¤ÃÊÂÅãªÒጠ¡µÊ ÑǤ¢ÍŧͻâÃÂØ‰ ¿à¤ÅÁÍÙ áÕÍÅâÃФÊÒÒÃúà¤ÍÁ¹µÕ (ÇÑ ËÍÃ×¹è ×Íæ·Õè • àÃÕ¡¡Ñ¹ÇÒ‹ CFCS) áµÊ‹ ÒùéÕ ·Òí ãËàŒ ¡Ô´»˜ÞËÒ¡ºÑ ª¹éÑ âÍ⫹㹺ÃÃÂÒ¡ÒȪÑé¹ÊÙ§ËÃ×Íà¡Ô´ÃâÙ ËÇâ‹ Í⫹ (The ozone hole) «Öè§à»¹š ÍÕ¡»Þ˜ ËÒ˹§Öè ¢Í§âÅ¡ (äÁ‹à¡èÕÂÇ¡ºÑ »Þ˜ ËÒâÅ¡ÃÍŒ ¹¢Öé¹) »˜¨¨ºØ ¹Ñ á¡Ê CFCS ¶¡Ù ¡àÅ¡Ô ä»áÅÇŒ áÅÐãªáŒ ¡Ê Íè׹᷹ á¡Ê ·èÕ¹íÒÁÒãªáŒ ·¹ä´Œá¡‹ äÎâ´Ã¤ÅÍâÿÅÙÍÍâäÒú ͹ (HCFCS) «§èÖ ä´ªŒ ×èÍÇ‹Ò໚¹ÁԵáѺâÍ⫹ (Ozone friendly) Í‹ҧäáçµÒÁ Á¢Õ ŒÍÁÅÙ ÇÒ‹ ᡍÊãËÁ¹‹ ÁéÕ ÈÕ ¡Ñ ÂÀÒ¾Ê٧㹡ÒÃ໚¹á¡Ê àÃ×͹¡ÃШ¡ áÅжŒÒÁÕ¡ÒÃ㪡Œ ѹÁÒ¡ã¹âÅ¡ ᡍʹÍéÕ Ò¨¨Ð ໹š ᡍÊâÅ¡ÃÍŒ ¹µÇÑ ·èÁÕ ºÕ ·ºÒ·ÊÙ§ÁÒ¡Í¡Õ µÇÑ Ë¹§Öè ã¹Í¹Ò¤µ บทท่ี 1 เรียนรŒวู ทิ ยาศาสตรอยา‹ งไร 29







2บทที่ สารรอบตัว จุดประสงคการเรียนรู อธบิ ายสมบัตแิ ละการเปล่ียนสถานะของสาร โดยใชแบบจําลอง การจัดเรียงอนภุ าคของสาร ทดลองและอธิบายการเปลย่ี นแปลงสมบตั ิ มวลและพลงั งานของสาร เมอ่ื สารเปล่ยี นสถานะ ทดลองและอธบิ ายการถายโอนความรอนโดยการนาํ การพาและ การแผร งั สี พรอ มท้งั ยกตวั อยา งการใชป ระโยชน ทดลองและอธบิ ายสมบตั ิ องคประกอบของสารผสมท่เี ปนเน�อ้ เดียว และสารผสมทเี่ ปนเนอ้� ผสม ทดลองและจําแนกสารเปนสารแขวนลอย คอลลอยด และสารละลาย โดยใชเนอ�้ สารหรือขนาดอนุภาคของสารเปน เกณฑ

ในวันสำาคัญของประเพณไี ทย​เ​ช่น​ว​นั สงกรานต​ วันลอยกระทง​วันเขา้ พรรษา​วันออกพรรษา​ วนั วสิ าขบชู านนั้ ​คนไทยมกั มกี จิ กรรมหลายอยา่ ง​ทง้ั ทาำ บญุ ตกั บาตรดว้ ยอาหารคาวหวาน​จดุ ธปู ​จดุ เทยี น บูชาพระและถวายสังฆทาน​ ส่ิงของเครื่องใช้ต่างๆ​ ท่ีนำามาทำากิจกรรมนี้หากพิจารณาจากลักษณะ และสมบตั ิของสารแลว้ ​สามารถจาำ แนกไดห้ ลายประเภท ยกตวั อยา งสงิ� ของหรอื สารที่มสี ถานะ เปน ของแข็ง ของเหลว และแกส ทใ่ี ชในงานเทศกาลสงกรานต ภาพ 2.1 งานเทศกาลสงกรานต 2.1 สถานะของสาร สาร​แต่ละ​ชนิด​มสี​มบัตทิ​ ี่​เปน​ลกั ษณะ​เฉพาะข​ อง​สารน​ ั้น​เ​ช่น​​ที่อ​ ุณหภูมิห​ ้อง​เ​กลอื ​เปน ​ของแข็ง​ สี​ขาว​ น้ำา​เปน​ของเหลว​ใส​ ลักษณะ​เฉพาะ​เช่น​นี้​สามารถ​ใช้​จำาแนก​สาร​แต่ละ​ชนิด​ออก​จากกัน​ ​ถ้า​ อณุ หภมู เ​ิ ปลย่ี นแปลงไ​ป​ส​มบตั บ​ิ างป​ ระการข​ องส​ารก​ จ​็ ะเปลย่ี นไ​ป​เ​ชน่ ​ท​ ค​่ี วามด​ นั อ​ากาศ​1​​บ​ รรยากาศ​ ​น้ำา​บริสุทธิ์​มี​สถานะ​เปน​ของเหลว​ใส​ ​เมื่อ​อุณหภูมิ​ลด​ลง​เปน​ ​0​ องศา​เซลเซียส​ ​หรือ​ต่ำา​กว่า นำ้า​จะ​กลาย​เปน​น้ำาแข็ง​ และ​เม่ือ​อุณหภูมิ​สูง​ขึ้น​เปน​ ​100​ ​องศา​เซลเซียส​ นำ้า​ก็จะ​เดือด​กลาย เ​ปน​ไอ​​ซึ่งส​มบัต​เิ หล่าน​ ี​้สามารถน​ าำ ​มาใ​ช​ท้ ดสอบ​สารท​ ่ี​สงสยั ​วา่ เ​ปน ​นำ้าบ​ รสิ ทุ ธหิ์​ รือ​ไม่​ ลองออกแบบวธิ ีการทดสอบ เพอื่ ยืนยนั วาสารทเี่ ปนของเหลวใสคือ นาํ้ บริสทุ ธิ์ ใ​นก​ารต​ รวจส​อบเ​พอ่ื ย​นื ยนั ว​า่ สาร​นนั้ ๆ​เ​ปน ส​ารใ​ด​จ​าำ เปน ต​ อ้ งใ​ชส​้ มบตั ต​ิ า่ งๆ​ของสารมาวเิ คราะห​ ประกอบ​กัน​​สถานะ​ของส​ารเ​ปน ​สมบัต​ิอย่าง​หน่งึ ​ท​ น​่ี าำ ​มา​ใช้​เปนเ​กณฑใ​นก​ ารจ​ำาแนกส​าร​ โ​ดย​ท่ัวไปก​ ารจ​าำ แนก​สาร​ท​เ่ี ปน ​ของแขง็ ​ ​ของเหลว​ แ​ ละ​แกส๊ ​ ​พจิ ารณา​จากร​ปู ร​า่ งแ​ ละป​ ริมาตร​ ของ​สาร​ 34

​ของแข็ง​มี​ปริมาตร​และ​รูป​ร่าง​ท่​ีแน่นอน​ ​ของเหลว​มี​ปริมาตร​ท่​ีแน่นอน​ ​แต่​มี​รูป​ร่าง​ไม่​ แน่นอน​เม่อื ​นำา​มา​ใส่​ใน​ภาชนะ​ต่างๆ​ ​ภาย​ใต้​แรง​โน้ม​ถ่วง​ของ​โลก​จะ​มี​รูป​ร่าง​เปล่ยี นแปลง​ไป​ตาม​ ลักษณะ​ของ​ภาชนะ​ ​หรือ​เม่ือ​เท​ลง​บน​พื้น​ราบ​ ​ของเหลว​จะ​ไหล​นอง​ไป​ตาม​พ้ืน​ ​แก๊ส​ มี​ปริมาตร​และ​รูป​ร่าง​ไม่​แน่นอน​เมื่อ​บรรจุ​อยู่​ใน​ภาชนะ​ปิด​จะ​ฟุ้ง​กระจาย​อยู่​เต็มภาชนะ ถ้า​เปดิ ​ฝา​ภาชนะ​ทบ่ี​ รรจอ​ุ อก​แกส๊ ก​จ็ ะฟุ้​งกร​ะ​จา​ยอ​อกไ​ปใ​น​อากาศ​ ​สาร​แต่ละ​ชนิด​ต่าง​ประกอบ​ด้วย​เน้�อ​สาร​ที่​เปน​อนุ​ภาค​เล็กๆ​ ​อยู่​รวม​กัน​มากมาย​ ​อนุ​ภาค​เล็กๆ​​ เหล่า​น้ี​เราไม่​สามารถ​มอง​เห็น​ได้​ แต่​อนุภาค​เหล่า​น้ี​สามารถ​แสดง​สมบัติ​ของ​สารได้​ ​การจัด​เรียง​ และ​การ​ยึด​เหนี่ยว​ของ​อนุภาค​ ทำาให้​สาร​แต่ละ​ชนิด​แสดง​สมบัติ​เปน​ของแข็ง​ ของเหลว​ หรือ​แก๊ส​ อนภุ าคของสารท้ัง​3​สถานะมีการจัดเรยี งอนภุ าคแตกตา่ งกนั อยา่ งไร​ศึกษาไดจ้ ากกจิ กรรม​2.1 ลักษณะทีใ่ ชจาํ แนกของแขง็ ของเหลว และแกส ออกจากกนั คือสิ�งใด กิจกรรม 2.1 ของแขง็ ของเหลว และแกส ÊÁÁµÔãËàŒ Áç´â¿Á 1 àÁ´ç ᷹͹ÀØ Ò¤¢Í§ÊÒà µÍ¹·Õè 1 Ẻ¨Òí Åͧ͹ÀØ Ò¤¢Í§ ¢Í§á¢ç§ ¢Í§àËÅÇ áÅÐá¡Ê 1 ͹ØÀÒ¤ 1. ¹íҢǴ¾ÅÒʵ¡Ô ¢¹Ò´ 500 cm3 ·¡èÕ Œ¹¢Ç´à¨ÒÐÃÙ ¢¹Ò´ อุปกรณการทดลอง àÊŒ¹¼Ò‹ ¹Èٹ¡ ÅÒ§ 1 mm »ÃÐÁÒ³ 10-15 ÃÙ ºÃÃ¨àØ Á´ç â¿Á ¢¹Ò´àʹŒ ¼‹Ò¹È¹Ù ¡ÅÒ§ 5-10 mm ŧ㹢Ǵ㺹ջé ÃÐÁÒ³ 80 cm3 »´ »Ò¡¢Ç´´ŒÇ¨¡Ø ÂÒ§·ÕÁè ·Õ ‹Í¹Òí á¡Ê 1 ·‹ÍàÊÕºÍÂÙ‹ (´Ñ§ÀÒ¾) 2. ¤ÇèíÒ»Ò¡¢Ç´Å§ ¨Ò¡¹éѹà»Ò† ÅÁà¢ÒŒ ä»ã¹·‹Í¹íÒá¡Ê ÍÂÒ‹ §ªŒÒæ àºÒæ Ê§Ñ à¡µ¡ÒÃà¤Åè×͹µÇÑ ¢Í§àÁç´â¿Á º¹Ñ ·Ö¡¼Å 3. ¤Í‹ Âæ à»Ò† ÅÁãËጠçÁÒ¡¢¹Öé àÃè×ÍÂæ ¨¹¶§Ö áç·ÕèÊ´Ø Ê§Ñ à¡µ ¡ÒÃà¤ÅÍ×è ¹µÑǢͧàÁ´ç â¿Á ºÑ¹·¡Ö ¼Å¡ÒÃà»ÅÕÂè ¹á»Å§·Ø¡¤Ã§Ñé ·Õàè »Ò† ÅÁŧä»ã¹¢Ç´ ? การเปาลมใสใ นขวดพลาสติกดวยกําลงั ลมทแ่ี รงแตกตา งกนั ทําใหเ ม็ดโฟม เคล่ือนทแี่ ตกตางกันอยางไร บทที่ 2 สารรอบตัว 35

µÍ¹·Õè 2 ͹ØÀÒ¤¢Í§¢Í§á¢ç§ ¢Í§àËÅÇ áÅÐá¡Ê 1. ¾¨Ô ÒóÒÅ¡Ñ É³Ð¢Í§à¡Åç´´‹Ò§·Ñº·ÁÔ º¹Ñ ·¡Ö ¼Å 2. ¹Òí º¡Õ à¡Í÷ ºÕè Ãè¹Ø Òíé 100 cm3 µ§Ñé ·§Ôé äÇŒã˹Œ Òíé 㹺¡Õ à¡ÍÃ͏ ¹ً §èÔ æ ¨Ò¡¹¹éÑ ËÂÍ‹ ¹´Ò‹ §·ºÑ ·ÁÔ 1-2 à¡Å´ç ŧ㹺¡Õ à¡ÍÏ Ê§Ñ à¡µ¡ÒÃà»ÅèÂÕ ¹á»Å§·àèÕ ¡Ô´¢¹éÖ ¹Ò¹ 2 ¹Ò·Õ º¹Ñ ·¡Ö ¼Å 3. ¹íҢǴ»´ ½Ò·èÕÀÒÂ㹺ÃÃ¨ÊØ íÒÅªÕ ºØ ÊÒÃÅÐÅÒÂáÍÁâÁà¹ÂÕ à¨×ͨҧÁÒÇÒ§äÇ¡Œ ÅҧⵍР¨Ò¡¹é¹Ñ ແ´½Ò¢Ç´ÍÍ¡ ·éÔ§äÇŒ»ÃÐÁÒ³ 2 ¹Ò·Õ ÊѧࡵáÅк¹Ñ ·Ö¡¼Å ? เกลด็ ดา งทับทิมมีลกั ษณะอยางไร ? เมอื่ หยอนเกลด็ ดางทับทมิ ลงในนํ้า เกดิ การเปล่ยี นแปลงอยางไร เพราะเหตใุ ด ? เม่อื เปดฝาขวดทบ่ี รรจสุ ําลชี บุ สารละลายแอมโมเน�ยเจือจาง เกิดการเปลย่ี นแปลง อยา งไร เพราะเหตใุ ด ? แบบจําลองการเคลือ่ นทีข่ องอนภุ าคในตอนท่ี 1 มคี วามสมั พันธก บั กิจกรรม ในตอนที่ 2 อยางไร ​จากกิจกรรมท่ี​2.1​ เราจะพบว่าเม่ือ​เป่า​ลม​เบาๆ​ ​เม็ด​โฟม​ใน​ขวด​จะ​เกิด​การ​สั่น​สะเทือน​แต่​ ยัง​คง​อยู่​ใน​ตำาแหน่ง​เดิม​ ​เปรียบ​เสมือน​อนุภาค​ของ​ของแข็ง​ที่เรียง​ชิด​ติด​กันและมี​ตำาแหน่ง​ที่​แน่นอน​​ แต่ละ​อนุภาค​จะมี​การ​ส่ัน​และมีแรง​ยึด​เหนี่ยว​ซ่ึง​กัน​และ​กัน​สูง​ ​ด้วย​เหตุ​น้ี​จึง​ทำาให้​ของแข็ง​คง​รูป​ร่าง​ อยู่​ได้​ และมี​รูป​ทรง​ที่​แน่นอน​เปรียบเสมือนกับกองเชียรกีฬา​ ท่ีทุกคนน่ังในตำาแหน่งที่แน่นอนไม่มี การเคลอ่ื นทีแ่ ต่มีการยกมอื โบกไปมา ก. แบบจาำ ลอง ข. กองเชยี รกีฬา อนภุ าคของของแข็ง ภาพ 2.2 แบบจำาลองและการเปรยี บเทยี บอนุภาคของของแข็ง 36

​เมอ่ื ​เปา่ ​ลม​ให​แ้ รง​ขน้ึ ​ ​เมด็ ​โฟม​เกดิ ​การ​เคลอ่ื นท​่เี ปลย่ี นตาำ แหนง่ ​ ​ทาำ ใหร้ ะยะ​ทาง​หา่ งของเมด็ โฟม​ มาก​ข้ึน​ ​แต่​ยัง​คง​ตกอยู่ที่​ก้น​ภาชนะ​ ​เปรียบ​เสมือน​อนุภาค​ของ​ของเหลวท่ีมี​การ​ส่ัน​และ​เคล่ือนท่ี​ เปลย่ี นตาำ แหนง่ ไปท​ วั่ ข​ องเหลว​แตล่ ะอ​ นภุ าคข​ องของเหลวอยู่ใกลก้ นั ​จงึ มแ​ี รงย​ดึ เ​หนยี่ วซ​ ง่ึ ก​ นั และก​ นั ​ ​แต​น่ ้อย​กวา่ ข​ องแข็ง​​ดงั ​นั้นข​ องเหลวจงึ ม​ รี​ูป​ทรงตามภ​ าชนะ​ท่​ีบรรจ​ุอย​ู่ ก. แบบจำาลองการจดั เรยี ง ข. การเคล่ือนท่ีของฝูงคนท่ีเดนิ เปลย่ี นขบวนรถไฟฟา้ อนุภาคของของเหลว ภาพ 2.3 แบบจำาลองและการเปรยี บเทียบอนภุ าคของของเหลว ​เม่ือ​เป่า​ลม​ให้​แร​งมากๆ​ ​เม็ด​โฟมจะเคล่ือนที่เร็ว​และกระจาย​เต็ม​ภาชนะ​ และอยู่ห่างกันมาก​​ เปรียบ​เสมือนอนุภาค​ของ​แก๊ส​ซ่ึงอยู่​ห่าง​กัน​มากและ​มี​แรง​ยึด​เหน่ียว​ระหว่าง​อนุภาค​น้อย​ ​อนุภาค​ เคลื่อนท่ี​เปล่ียนตำาแหน่งตลอด​เวลา​อย่าง​รวดเร็ว​ ​จึง​ทำาให้​แก๊ส​เกิด​การ​ฟุ้ง​กระจาย​เต็ม​ภาชนะ​ ​และ​ เมื่อเ​ปดิ ​ฝาภ​ าชนะ​ อ​ นภุ าคข​ องแ​ กส๊ ​ก็ฟุ้​งก​ระจ​ายออก​ส​ูอ่ าก​ าศภายนอกภาชนะ​ เปรียบเสมอื น​ ฝงู นก ที่โบยบนิ อย่างอสิ ระ ก. แบบจาำ ลองการจดั เรียง ข. ฝงู นกนางนวลโบยบินอย่างอสิ ระ อนุภาคของแกส๊ ภาพ 2.4 แบบจาำ ลองและการเปรยี บเทียบอนภุ าคของแก๊ส บทท่ี 2 สารรอบตัว 37

เน�่องจาก​อนุภาค​ของ​สารมี​การ​เคลื่อนที่​ พลังงานที่เก่ียวข้องกับการเคล่ือนท่ีน้ี​ เรียกว่า พลงั งานจลน​เมือ่ พจิ ารณาการเคล่อื นท่ีของอนุภาคของสารสถานะต่างๆ​พบว่า​อนภุ าคของของแข็ง มกี ารเคลื่อนท่ีแบบสนั่ ​โดยที่ตำาแหน่งของอนภุ าคไม่เปลยี่ นแปลง​จงึ มีพลังงานจลนเน่อ� งจากการส่ัน ของอนุภาคเท่านั้น​ อนุภาคของของเหลวมีการเคลื่อนท่ีแบบส่ันและสามารถเคลื่อนที่เปล่ียน ตาำ แหนง่ ได​้ ทาำ ใหม้ พี ลงั งานจลนเ นอ�่ งจากการสน่ั และการเคลอื่ นทเ่ี ปลย่ี นตาำ แหนง่ ​อนภุ าคของแกส๊ มกี าร เคล่ือนท่ีแบบสั่นและเปลี่ยนตำาแหน่ง​ เช่นเดียวกับของเหลว​ แต่อนุภาคของแก๊สสามารถเคลื่อนที่ ได้อยา่ งอสิ ระและรวดเร็วกว่า​ดงั นัน้ ​พลงั งานจลนของอนุภาคของแก๊สจึงมคี ่ามากกว่าของเหลวและ ของแข็ง นอกจากสถานะจะเปนสมบัติเฉพาะของสาร µÒÃÒ§ 2.1 ¤ÇÒÁ˹Òṋ¹¢Í§ÊÒà แล้ว​ ความ​หนา​แน่นของสาร​ยัง​เปน​สมบัติเฉพาะ​ตัว ª¹Ô´¢Í§ÊÒà ʶҹР¤ÇÒÁ˹Òṋ¹ ของ​สาร​แต่ละ​ชนิด​ด้วย​ ความหนาแน่นจะเปน (¡ÃÁÑ /ÅÙ¡ºÒÈ¡à «¹µÔàÁµÃ) ตัวบ่งช้ีว่า​ สาร​​1​ ​หน่วย​ปริมาตร​ มี​มวล​อยู่​เท่าใด​​ สาร​ที่​มีความ​หนา​แน่นมาก​ ย่อม​มี​มวล​มากกว่าสาร​ ä¹Å͹ ¢Í§á¢§ç 1.1 ที่​มี​ความหนาแน่นน้อยกว่า​เม่ือ​มี​ปริมาตรเท่า​กัน​ àËÅç¡ ¢Í§á¢ç§ 7.9 ความหนาแ​ น่น​มีห​ น่วย​เปน ​​กรมั /​ล​กู บาศกเ​ ซนตเิ มตร​ ¹íéÒá¢ç§ ¢Í§á¢§ç 0.92 หรือ​​กิโลกรมั ​/ล​กู บาศก​เ มตร​​ ¹éÒí (·Õè 4 Cí ) ¢Í§àËÅÇ 1.0 ¹éÒí ·ÐàÅ ¢Í§àËÅÇ 1.03 ¹íéÒÁ¹Ñ ¾ª× ¢Í§àËÅÇ 0.9 »ÃÍ· ¢Í§àËÅÇ 13.6 ใ​ห​้พิจารณา​ความ​หนาแ​ น่น​ของ​สาร​ในต​ าราง​2.1​แลว้ ตอบคาำ ถาม ของแขง็ มคี วามหนาแนนมากกวาของเหลวเสมอไปหรือไม เพราะเหตใุ ด เพราะเหตใุ ด นา้ํ แข็งจงึ ลอยนา้ํ ได สาร​แต่ละ​ชนิด​มี​ความ​หนา​แน่น​เฉพาะ​ตัว​ ของแข็ง​ บางช​ นดิ ​มค​ี วามห​ นาแ​ นน่ ม​ ากกวา่ ข​ องเหลวบ​ างช​ นดิ ​แ​ ตอ​่ าจม​ ​ี ความ​หนา​แน่น​น้อย​กว่า​ของเหลว​อีก​ชนิด​หนึ่ง​ ​เหล็ก​มี​ความ​ หนา​แน่น​มากกว่า​นำ้า​จึง​จม​น้ำา​ ​ทำานอง​เดียวกัน​ ​ของเหลว​กับ ข​ องเหลวท​ ไี่​มล​่ ะลายก​นั ​ข​ องเหลวท​ ม​่ี ค​ี วามห​ นาแ​นน่ ม​ ากกวา่ จ​ะ​ จมอ​ ยู่​ดา้ น​ลา่ ง​​ของเหลวท​ ่มี​ ีค​วามห​ นาแ​ นน่ น​ ้อย​กว่าจ​ะ​อยด​ู่ ้าน​ นำ้ามัน บน​ เชน่ ​ น้าำ กบั นำา้ มัน​ ​สำาหรับ​แก๊ส​กับแ​ ก๊สก็เช่นกัน​ แก๊ส​ท​มี่ ี​ นา้ำ ความ​หนาแนน่ มากกวา่ ​จะอ​ ยด​ู่ า้ นลา่ ง​แกส๊ ทห่ี นาแนน่ ​น้อยกว่า จะลอยขนึ้ สดู่ า้ นบน​เชน่ ​ลกู โปง่ ลอยขน้ึ ไปในอากาศได​้ เนอ่� งจาก ภาพ 2.5 ของเหลวท่มี ี มีแกส๊ ท่มี คี วามหนาแนน่ นอ้ ยกว่าอากาศอัดอยู่ภายใน​ ความหนาแน่นตา่ งกนั 38

ภาพ 2.6 โคมลอย จ.เชยี งใหม่ ทําไมโคมจงึ ลอยอยูในอากาศไดในระดบั ความสูงท่แี ตกตา งกนั ภาพ 2.7 เรอื เดินสมทุ ร ทาํ ไมเรอื ท่ีทาํ จากเหลก็ จึงลอยทผ่ี ิวนํ้าได สถานะข​ องส​ารแ​ ละ​คา่ ข​ อง​ความห​ นา​แน่น​ของส​ารขึ้นอยกู่ ับอุณหภูมขิ องสาร​​หาก​อุณหภูมิ​ของ​ สารเ​ปลย่ี นแปลง​ค​วามห​ นาแ​ นน่ ข​ องส​ารจ​ะเ​ปลย่ี นไ​ป​เ​มอ่ื อ​ ณุ หภมู ข​ิ องส​ารเ​ปลย่ี นแ​ ปล​งม​ ากๆ​ส​ถานะ​ ของส​าร​กอ็ าจ​เปลีย่ นไ​ป​ด้วย ทาํ ไมนํา้ ที่ 80 Cํ จงึ มีความหนาแนนนอ ยกวานํา้ ท่ี 4 ํC อุณหภูมิของสารเปลี่ยนแปลงไดอยางไร บทที่ 2 สารรอบตวั 39

2.2 ความรอน ​ใน​แต่ละวันร่างกายของ​นักเรียนจะ​สัมผัส​ ใหพจิ ารณาสถานการณตอ ไปน�้ กับ​ส่ิงแวดล้อมรอบตัว​ บางคร้ังนักเรียนมี ถา นํานํ้ารอน (60 Cํ ) หยดใสม ือ 1 หยด ความรู้สึกร้อนมากแต่บางครั้งนักเรียนก็มี จะรูสึกรอนเพียงเล็กนอย แตถาจุมมือลงในน้าํ ความรู้สึกเย็น​ เช่น​ ในฤดูหนาวนักเรียนจะมี รอ นในภาชนะจะรสู กึ รอ นมากกวา นา้ํ รอ น 1 หยด ความรู้สึกเย็น​ ท้ังนี้เพราะ​ ความร้อนจาก ร่างกายของนักเรียนถ่ายโอนออกสู่สิ่งแวดล้อม ในทางกลับกัน​ ในฤดูร้อนนักเรียนจะมีความ รู้สึกร้อนมาก​ ทั้งน้ีเพราะความร้อนจาก สิ่งแวดล้อมถ่ายโอนเข้าสู่ร่างกายของนักเรียน ความร้อนเปนพลังงานรูปแบบหน่ึง​ ความรู้สึก ร้อนและความรู้สึกเย็น​ จึงเกิดจากการถ่ายโอน ความร้อน อุณหภูมขิ องนาํ้ รอ นหน�ึงหยด (60 ํC) กับอณุ หภูมิของนํา้ รอนในภาชนะเทา กนั หรือไม เพราะเหตใุ ด นาํ้ รอ น 1 หยดมปี รมิ าณความรอ นนอ ยกวาน้ํารอ นในภาชนะหรอื ไมเ พราะอะไร ทําไมเมื่อจุมมือลงในน้ํารอ นท่ใี สไ วใ นภาชนะ จงึ รูส ึกรอ นมากกวา นํ้ารอ นหนึง� หยด เมอื่ หยดนา้ำ รอ้ นใสม่ อื ​1​หยด​จะรสู้ กึ รอ้ นชว่ั ขณะหนงึ่ ​เพราะขณะทผี่ วิ หนงั สมั ผสั กบั หยดนาำ้ รอ้ น จะเกิดการถ่ายโอนความร้อนจากหยดน้ำาสู่ผิวหนังทำาให้รู้สึกร้อน​ จนกระทั่งเข้าสู่สมดุลความร้อน​ คือ​ ไม่มีการถ่ายโอนความร้อนอีกต่อไป​ ทำาให้ไม่รู้สึกร้อนหรือเย็น​ การถ่ายโอนความร้อนจะเกิดขึ้นก็ต่อ เม่ือวัตถุท้ังสองมีอุณหภูมิไม่เท่ากัน​ โดยจะถ่ายโอนความร้อนจากวัตถุท่ีมีอุณหภูมิสูงไปสู่วัตถุที่มี อณุ หภูมิตำา่ ​จนกระทงั่ วัตถทุ ั้งสองมอี ุณหภูมิเทา่ กัน​หรืออยู่ในสมดลุ ความร้อน ปริมาณความรอนของสารใดๆ จะข้ึนกับมวลและอุณหภูมิของสารน้ัน วัตถุชนิดเดียวกัน มีอุณหภมู เิ ทากนั วัตถทุ มี่ ีมวลมากกวาจะมปี ริมาณความรอนมากกวา วตั ถทุ ม่ี มี วลนอ ยกวา หนว ยวดั ปรมิ าณความรอ น เรยี กวา แคลอรี หรือ จูล ปรมิ าณความรอน 1 แคลอรี หรอื 4.186 จลู หมายถงึ ปรมิ าณความรอนท่ีทาํ ใหน ํ้าบรสิ ุทธิ์ มวล 1 กรมั มีอณุ หภมู เิ พิ�มข้นึ 1 องศาเซลเซยี ส 40

ถาตองการตมน้ํา 100 กรัม ท่ี 25 ํC ความดัน 1 บรรยากาศใหเ ดือดจะตอ ง ใชปรมิ าณความรอ นเทาใด ​นัก​วิทยาศาสตร​ได้​ประดิษฐ​เคร่ือง​มือ​สำาหรับ​วัด​อุณหภูมิ​ของ​สาร​เรียก​ว่า​ ​เท​อร​มอ​มิเตอร​ ​ซง่ึ แบบทน่ี ิยมใชก้ นั ทว่ั ไปคือ​แบบกระเปาะ​แบบดิจิทลั ​และแบบทม่ี หี น้าปด เทอรม อมเิ ตอรแ บบกระเปาะ เทอรมอมิเตอรแ บบดิจทิ ลั เทอรมอมิเตอรแ บบมหี นา ปด ภาพ 2.8 เทอรมอมเิ ตอรแบบต่างๆ เม่ือ​นำา​เท​อร​มอ​มิเตอร​แบบ​กระเปาะ​จุ่ม​ลง​ใน​สาร​หรือ​สัมผัส​กับ​สาร​ท่ี​ต้องการ​วัด​อุณหภูมิ​ ​จะ​ เกิด​การ​ถ่าย​โอน​ความ​ร้อน​ระหว่าง​สาร​กับ​เท​อร​มอ​มิเตอร​ ​ถ้า​สาร​น้ัน​มี​อุณหภูมิสูงกว่า​เท​อร​มอ​มิเตอร​ สารจะ​เกิด​การ​ถ่าย​โอน​ความ​ร้อน​ให้​เท​อร​มอ​มิเตอร​ ​ทำาให้​ของเหลว​ท่ี​บรรจุ​อยู่​ภาย​ใน​หล​อด​เล็กๆ ของเ​ท​อร​มอม​ ิเตอรเ​ พมิ่ ปรมิ าตรและมี​ระดับส​ูงข​ ้นึ ​​จน​กระทง่ั เ​ขา้ ​สสู่ มด​ ลุ ​ความ​รอ้ น​​ของเหลว​ก​็จะห​ ยุด​ เพม่ิ ​ปริมาตร​​เรา​จึง​อ่านค​ ่า​ของ​อณุ หภมู ิข​ องส​ารไ​ด้​ ​แต่​เม่ือ​นำา​เท​อร​มอ​มิเตอร​แบบ​กระเปาะ​จุ่ม​ลง​ใน​สาร​หรือ​สัมผัส​กับ​สาร​ท่ี​มี​อุณหภูมิ​น้อย​กว่า ​เท​อร​มอ​มิเตอร​ ​เท​อร​มอ​มิเตอร​จะ​สูญ​เสียความ​ร้อน​ให้​แก่​สาร​ ​ทำาให้​ของเหลว​ท่​ีบรรจุ​ภายใน เทอ​ ร​ม อ​มเิ ตอรล​ด​ปริมาตร​ลง​​เ​ราจ​ึง​เหน็ ​ว่าข​ องเหลวใ​น​หลอ​ ดเ​ลก็ ๆ​​ของ​เทอ​ รม​ อม​ เิ ตอร​ม​รี ะดับ​ตำ่าล​ง​ เมื่อเข้า​สสู่ มด​ ุลค​วามร​อ้ น​​เรา​จึง​อา่ น​คา่ ข​ อง​อณุ หภูม​ไิ ด​้ บทที่ 2 สารรอบตวั 41

µÒÃÒ§ 2.2 à»ÃÂÕ ºà·ÂÕ ºÊà¡Å¢Í§à·ÍÃÁ ÍÁàÔ µÍõ ÒÁ˹Nj ÂÍØ³ËÀÁÙ Ô Ë¹Ç‹ Â¢Í§ÍØ³ËÀÙÁÔ ¨Ø´àÂÍ× ¡á¢§ç ¢Í§¹Òéí ¨´Ø à´×Í´¢Í§¹Òéí ¼ÅµÒ‹ §¢Í§Êà¡Å à«Åà«ÂÕ Ê ( íC) 0 100 100 ¿Òàùäε ( Fí ) 32 212 180 à¤ÅÇ¹Ô (K) 273 373 100 อณุ หภมู ปิ กติของรา งกายมนุษยม คี า 37.5 องศาเซลเซยี ส คิดเปน กี่องศาฟาเรนไฮต 2.3 ผลของความรอนทีม่ ตี อการเปลีย่ นแปลงของสาร ​การ​เดินท​ าง​ทาง​อากาศข​ อง​มนุษย​ใน​สมยั ​แรกๆ​อาศัยการเ​ดินทางดว้ ย​บอลลนู ​โดยเตมิ อ​ากาศ​ ร้อน​เข้าไป​ภายใน​บอลลูนแล้ว​ ​ทำาให้​บอลลูน​ลอย​อยู่​ใน​อากาศ​ได้​ อากาศ​ร้อน​ทำาให้​บอลลูน​ลอย​อยู่​ใน​ อากาศ​ไดอ้​ ยา่ งไร​​ให้พ​ จิ ารณาภ​ าพต​ ่อ​ไปน​ ี้​ ก.ภาพขวดมลี ูกโปง ครอบอยู่ ข.ภาพขวดมีลกู โปงครอบอยู่ ค.ภาพขวดมีลูกโปง ครอบอยู่ แช่ในอา่ งนำา้ แข็ง แช่ในอา่ งนาำ้ รอน อากาศในขวดและลกู โปงมกี ารเปลี่ยนแปลงอยางไรเมือ่ ไดร บั ความรอ น และสญู เสียความรอ น มวลของอากาศในสถานการณด ังกลาวมกี ารเปล่ยี นแปลงหรอื ไม อยางไร 42


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook