Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore วิทยศาสตร์ เล่ม ๒

วิทยศาสตร์ เล่ม ๒

Published by สรวิศ จันพุ่ม, 2020-04-25 08:39:28

Description: วิทยศาสตร์ เล่ม ๒

Search

Read the Text Version

ตาราง 2.2 ªนดÔ ¢องÊาร ตวั อยา‹ งáËลง‹ ก าí เนÔด áลмลตอ‹ ÊงèÔ มÕªÕวตÔ áลÐÊÔèงáวดลŒอม ÊÒà µÑÇÍ‹ҧáËŧ‹ ¡Òí à¹Ô´ á¼ÅÅеÊÍ‹ èÔ§ÊáèÔ§ÇÁ´ªÕÅÇÕ ŒÍÔµÁ ½†¹Ø ÅÐÍͧ à¢Á‹Ò จาก¸รรมªาต Ô : Àเู ¢าä¿ การกรอ‹ น¢องดนÔ การเ¼าäËม Œ • ·áจาÅÒí กãÐËดÅŒÍว´Òง¾¡อÅÒาѧȷ§¢ÔตÒØ¹‹ ย¹Á์ ÇÑ จากมนุÉย์ : âรงงาน âรงä¿¿‡า เ¤รèอ× งยนต์ • ÍѹµÃÒµ͋ »Í´ ¤าร์บอนมอนอกä«ด์ จาก¸รรมªาตÔ : ä¿»†า • ·Òí ãËŒÍÍ‹ ¹à¾ÅÂÕ • äเ»ÁšนÁ‹ ¡ÕáÅกèԹʍ äม‹มÕÊ Õ จากมนุÉย์ : ¡ร¶ÒÃยËนاตµ ์ ÁŒเ¤ºรอè×ËØ งÃจÕè กั ร âรงงาน • ·í าãË»Œ วดศรÕ ÉÐ • »ÃСͺ´ŒÇ C, O • ä¤อ·´ยวÒí ÃŒ าãา‹ ºÑËมงต㌶ต¹‹อÖ§า»áยเนáäè×อดÁÔ‹ งŒÒ³ÊÙ§ «ลั เ¿อร์äดออกä«ด์ จาก¸รรมªาต Ô : Àูเ¢าä¿ มËาÊมุ·ร • ·áา Êí ãºËµรŒ ÐÒ¤าย¤อ • เ»นš áกʍ äมม‹ ÊÕ Õ จาก มนุÉย์ : âáรลงÐä¿¶‹า¿นา‡ Ë·นÔèÕ㪠น Œ กาéí ามรนั ·เต าí เาË มน×อาéí งมáนั รด‹ เÕ «ล • • เ»นš áกʍ ·ÕèมÕกลนèÔ ©นุ Êตà·»èÔ§อ‹Òí š¹¡ã ËÍพÍ‹ ¹ÑàŒÊת¡ µÃÔ´ÊŒÒýตั§Ò¹ว ์¡ ô • »ÃСͺ´ŒÇ S, O äนâตรเจนäดออกä«ด์ จาก¸รรมªาตÔ : ¿า‡ ¼‹า áบ¤·เÕ รÕยãนดÔน • »·อ íาãดËรŒนÐยั¤นาย์ตเา¤ ×อáงลÐ • เ»šนáกʍ ÊÕนาíé ตาล จากมนุÉย ์ : ร¶ยนต ์ เตาเ¼าอุ³ËÀมู ÔÊูง • »ÃСͺ´ÇŒ  N, O • ·Òí ãËŒà¡´Ô ½¹¡Ã´ áกÊจากÊาร»รÐกอบ จ าก มนÉุ ย์ : บนาéíุËมรนั èÕ Êร¶เ»ยรนยต์ก์ ร Ðก»า‰อรงเ¼าäËมŒ âรงงาน • ·Òí ãˌ໹š ÁÐàÃç§ äÎâดร¤าร์บอน • »ÃСͺ´ŒÇ H, C ถาตอ งการลดสารและแกสทก่ี อใหเกดิ มลพิษทางอากาศ จะมวี ิธีการอยางไร 43 บทท่ี 2 ลมฟ‡าอากาศ

​จาก​ตาราง​​2.2​ พบ​ว่า​สาร​ต่างๆ​ ท่ี​เป็น​อันตราย​ต่อ​ส่ิง​มี​ชีวิต​และ​ส่ิง​แวดล้อม​มี​แหล่ง​กำาเนิด​ ​ท้ัง​จาก​ธรรมชาติ​และ​มนุษย์​ ​โดย​แหล่ง​กำาเนิด​จาก​กิจกรรม​ของ​มนุษย์​มี​แนว​โน้ม​ใน​การ​สร้าง​ ​ผลก​ระ​ทบ​ต่อ​สิ่ง​มี​ชีวิต​และ​ส่ิง​แวดล้อม​สูง​ขึ้น​ ​ได้แก่​ กิจกรรม​ของ​มนุษย์​ที่​ส่ง​ผล​ให้​เกิด​สารประกอบ​ ​คลอ​โร​ฟลู​ออ​โร​คาร์บอน​ ​หรือ​ สาร​ซี​เอฟ​ซี​ ​สาร​ดัง​กล่าว​จะ​ทำาให้​ปริมาณ​โอโซน​ใน​บรรยากาศ​ ช​ น้ั ส​ต​ ราโ​ตสเฟย รซ​์ งึ่ ท​ าำ ห​ นา้ ท่ีใ​นก​ารกร​องรงั ส​อ​ี ลั ตราไวโอเลต​ล​ดป​ รมิ าณล​งห​ รอื ท​ เ​่ี รยี กว​า่ ​ร​ูโ​หวโ​่ อโซน​ ​ส่ง​ผล​ให้​รังสี​อัลตราไวโอเลต​ผ่าน​มายัง​ผิว​โลก​มาก​ยิ่ง​ขึ้น​ ทำา​อันตรายให้​กับ​มนุษย์​และ​ส่ิง​แวดล้อม ​ใน​ด้าน​ต่างๆ​ ​เช่น​ ​ส่ง​ผล​ให้​เป็น​โรค​ตา​และ​โรค​มะเร็ง​ผิวหนัง​ ​นอกจาก​นั้น​ยัง​ทำาลาย​ดีเอ็นเอ​ใน ​สง่ิ ​มชี​ วี ิต​อกี ด​ ว้ ย​ ​นอกจาก​นั้น​กิจกรรม​ของ​มนุษย์​และ​ธรรมชาติ​บาง​อย่าง​ทำาให้​เกิด​แกส​ซัลเฟอร์​ได​ออกไซด์​​ และ​ออกไซด์​ของ​ไนโตรเจน​ ​ยัง​ทำาให้​เกิด​ฝน​กรด​ ​ซึ่ง​ส่ง​ผล​ต่อ​ส่ิง​มี​ชีวิต​และ​สิ่ง​แวดล้อม​ ​ดัง​จะ​ศึกษา ​ได​้จาก​กจิ กรรม​​2.3​​ กจิ กรรม 2.3 ฝนเปšนกรดไดอŒ ยา‹ งไร 1. นí าบกÕ เกอร์ ¢นาด 50 cm3 ãÊ‹นéาí กลèัน 20 cm3 2. วดั ¤‹า¤วามเ»šนกรด-เบÊ¢องนาíé ãน¢Œอ 1 3. เตรÕยม¢วดร»ู ªมพ‹ูพรŒอมจุกáลÐÊายยางเก็บáกʍ ดงั รู» 4. นา í ¼ง¿ูãÊ‹ãน¢วดร»ู ªมพ‹ ู áลÐãÊ‹ นíéาÊมŒ Êายªตู ามลงä» »ด จุกáลÐ µ‹Í»ÅÒÂÊÒÂÂÒ§´ÒŒ ¹Ë¹Ö觨‹ÁØ Å§ã¹¹éíÒ ¢องบÕกเกอร·์ ÕèเตรÕยมäวŒãน¢อŒ 1 5. ·Ôéงäว Œ 15 นา·Õ จากนéันวัด¤วามเ»นš กรด-เบÊ¢องนาéí ãนบÕกเกอร์ คา ความเปนกรด-เบส ทีว่ ดั ไดท ง้ั สองครงั้ เหมอื นหรือตา งกนั อยางไร และนักเรียนคดิ วา อะไรเปนสาเหตุ นักเรียนคิดวาถามแี กสจากการทดลองอยใู นบรรยากาศมากๆ เมอื่ ละลายในน้าํ ฝนจะเกิดอะไรข้ึน 44

ข​ ณะท​ ​่ฝี น​ตกลงม​ าส​ูพ​่ น้ื โ​ลก​นนั้ ​ไ​ดล​้ ะลาย ภาพ 2.18 พชื ท่เี สียหายจากฝนกรด แ​กส ท​ อ​ี่ ยใู่​นอ​ากาศ​เ​ชน่ ​แ​กส ค​ ารบ์ อนไดออกไซด​์ ท่มี า : www.sei.org แกส​ซัลเฟอร์​ได​ออกไซด์​มา​ด้วย​ ​ซึ่ง​เป็นการ ชว่ ย​ลดม​ ลพิษ​ในอ​ากาศ​​แตท​่ ำาใหฝ​้ นน​ ั้นม​ ​สี ภาพ ​เป็นก​รด​เล็ก​น้อย​ ​และ​ถ้า​หาก​บริเวณ​ใด​มี​แกส​ ซลั เฟอร์ไ​ดอ​ อกไซด​์ ห​ รอื อ​ อกไซดข​์ องไ​นโตรเจน​ ใน​ปริมาณ​มาก​เช่น​ ​บริเวณ​ท่ี​เกิด​ภูเขาไฟ​ระเบิด​​ หรอื เ​ขตอ​ ุตสาหกรรม​​จะท​ ำาใหฝ้​ น​ที่ต​ กในบ​ รเิ วณ​ นั้น​มี​ความ​เป็นก​รด​มาก​จน​กระท่ัง​มี​​pH​ ​ตำ่า​กว่า​ 5​.6​ซงึ่ ฝนท​ ่​ีม​คี า่ ​​pH​​ตาำ่ ก​วา่ ​5​.6​เ​รยี กว​า่ ฝ​ นก​รด​ ​ฝน​กรด​ไม่​ทำา​อันตราย​ต่อ​มนุษย์​โตย​ตรง ​แต่​ทำา​อันตราย​ต่อ​พืช​และ​สัตว์​ ​ฝน​กรด​สามารถ​ ชะลา้ ง​สารพ​ ิษบ​ างช​ นดิ จ​ากด​ ิน​ลง​ส​ู่แหลง่ น​ ำ้า​แ​ ละ​ ทำาให้​แหล่ง​น้ำา​มี​ความ​เป็นก​รด​มาก​ขึ้น​ส่ง​ผล​ต่อ​ สิ่ง​มี​ชีวิต​ท่ี​อาศัย​ใน​แหล่ง​นำ้า​นั้น​ ​นอกจาก​น้�​ยัง​ ทาำ ลาย​ส่ิงก​ ่อสรา้ ง​ท่​เี ปน็ ห​ นิ อ​ ่อนแ​ ละ​โลหะ​ ฝนกรดยังกอใหเ กิดอนั ตรายอืน่ ๆ อะไรอกี บาง และจะสามารถปอ งกนั การเกดิ ฝนกรดไดอ ยา งไร ภาพ 2.19 รปู ปนที่ถกู ฝนกรดกัดกรอน ท่มี า : GNU FDL ​จาก​ท่ี​ศึกษา​มา​แล้ว​ ​จะ​พบ​ว่า​บรรยากาศ​มี​ความ​สำาคัญ​อย่าง​มาก​ต่อ​การ​ดำารง​ชีวิต​ของ​สิ่ง​มี​ชีวิต​​ และ​มี​อิทธิพล​อย่าง​ยิ่ง​ต่อ​การ​ดำาเนิน​ชีวิต​ประจำา​วัน​ ​ดัง​น้ัน​เรา​จึง​ควร​มีหน้า​ที่​ท่ี​จะ​ช่วย​กัน​ดูแล​รักษา​ ​ให้​บรรยากาศ​อยู่​ใน​สภาวะ​ท่ี​ดี​ ​เหมาะ​แก่​การ​ดำารง​ชีวิต​ ​ซ่ึง​หมาย​ถึง​จะ​ต้อง​รักษา​สภาพ​แวด​ล้อ​มอ่ืนๆ​ ทม่​ี ​คี วามเ​กยี่ ว​โยงแ​ ละส​ง่ ​ผลถ​ งึ ​บรรยากาศข​ อง​โลก​ด้วย​ บทที่ 2 ลมฟ‡าอากาศ 45

1. สภาพลมฟา อากาศในประเทศท่จี ะเกดิ ลูกเหบ็ ตก จะเกดิ ในฤดูใด เหตุใดจึงเปนเชนน้นั 2. ลมฟา อากาศแตกตา งจากภมู ิอากาศอยา งไร 3. เหตุใดประเทศไทยจงึ ไมม ีหมิ ะตก 4. อุณหภูมิของน้าํ ทะเลหรอื มหาสมุทร มคี วามสัมพันธกบั สภาพลมฟาอากาศหรือไม อยางไร 5. ปรากฏการณเ อลนโ� ญและลาน�ญาสงผลกระทบตอ ประเทศไทยอยา งไร 6. ปรากฏการณท างธรรมชาติใดท่ที ําใหอ ณุ หภูมขิ องบรรยากาศของโลกลดลง 7. ถา สามารถเปล่ียนพ้ืนท่ที ะเลทรายของโลกเปนปา จะสง ผลตอ ลมฟา อากาศของโลกหรือไม อยา งไร 8. นักพยากรณอ ากาศที่ดี ควรมีลักษณะอยา งไร 9. สภาพลมฟาอากาศแบบใดทีส่ ง ผลตอ วถิ ชี ีวติ ของคนไทยมากทีส่ ุด จงยกตัวอยางผลที่เกิดขน้ึ 10. เสนท่ีความดันอากาศเทาซ�ึงลากผา นบรเิ วณตางๆ ของโลกในแผนทอ่ี ากาศ คือเสนแสดงสิง� ใด หมายความวา อยางไร 11. ยกตัวอยางกิจกรรมทท่ี าํ ใหเ กดิ แกสเรอื นกระจก 12. การเปลี่ยนแปลงอณุ หภูมิของโลกสง ผลอยา งไรตอ สิง� มีชวี ติ และส�งิ แวดลอม 13. ฝนกรดสง ผลกระทบตอส�งิ มีชวี ิตและสิง� แวดลอมอยา งไร

การเคลอ่ื นท่ี จดุ ประสงคก ารเรยี นรูŒ อธบิ ายวธิ ีบอกตําแหนง� ของวตั ถุ ทดลองและอธบิ ายระยะทางและการกระจัดของวัตถุ ท่เี ปลยี่ นตาํ แหนง� อธิบายปรมิ าณสเกลารแ ละปริมาณเวกเตอร คาํ นวณและอธบิ ายอตั ราเรว็ และความเรว็ ในการ เคลอ่ื นท่ีของวัตถุ

สิ�งตางๆ ที่อยูโดยรอบตัวเรามักมีการเคลื่อนที่อยูเสมอ เชน นักกีฬากําลังเลนกีฬา รถยนต เคล่ือนทบี่ นถนน ลกู บอลถูกเตะใหล อยในอากาศ หรอื ผคู นกาํ ลังเดนิ ไปมาบนถนนหนทางตางๆ การ เคลอื่ นทีข่ องสงิ� ตางๆ เหลา น้�มที ิศทางและความเร็วแตกตางกันออกไป ตลอดจนลกั ษณะการเคล่อื นที่ ก็แตกตางกันดวย ลูกฟุตบอลที่ถูกเตะจากพื้นสูอากาศจะเคลื่อนที่จากจุดที่เตะและเดินทางในอากาศ เปน แนวโคงและตกสพู ื้นดิน รถประจาํ ทางวงิ� ออกจากปา ยหนง�ึ บนถนนและไปจอดทป่ี า ยถดั ไป การเคล่ือนท่ีของวัตถุเปนการเปลี่ยนตําแหน�งของวัตถุจากตําแหน�งเริ�มตน จนกระทั�งถึง จดุ หมายปลายทาง ในการศึกษาการเคลื่อนทขี่ องวัตถุ นอกจากจะศึกษาทศิ ทางของการเคลื่อนทแี่ ลว ยังตองมีการศึกษาองคประกอบอื่นๆ อีกดวย ตําแหน�งของวัตถุก็เปนองคประกอบท่ีสําคัญอันหนึ�ง จึงมคี วามจาํ เปนตอ งเรยี นรวู า จะบอกตาํ แหนง� ของวัตถุไดอยา งไรเพ่อื ใหเ ปนท่ีเขาใจตรงกัน ใหน ักเรียนยกตวั อยา งการเคลื่อนท่ีของสงิ� ของทอี่ ยูรอบตวั และพจิ ารณาวามลี กั ษณะการเคลือ่ นที่อยางไร 3.1 การบอกตาํ แหนง‹ ของวัตถุ ในชวี ิตประจําวนั เราจะพบเห็นวตั ถุส�งิ ของในทตี่ างๆ ท้ังท่อี ยูน�งิ และกาํ ลงั เคล่อื นที่ เชน รถยนต กําลังเคล่ือนท่ีเพ่ือเขาจอดในตําแหน�งท่ีกําหนด เพื่อนกําลังรออยูที่จุดนัดพบในหางสรรพสินคา หองเรียนวิทยาศาสตรที่มุมดานทิศเหน�อของโรงเรียน และจุดเร�ิมตนออกวิ�งแขงขันของนักกรีฑา ตําแหน�งตางๆ เหลาน้�มีความสําคัญตอการอธิบายการเคลื่อนท่ีของวัตถุ การระบุหรือบอกตําแหน�ง ของส�งิ ตา งๆ โดยท�ัวไปจะทาํ ไดอยางไรบาง ใหศกึ ษาจากกิจกรรม 3.1 ภาพ 3.1 ตำาแหนง่ ของวตั ถุ 48

กิจกรรม 3.1 บอกตําแหน‹งทีเ่ รานั่งอย‹ไู ดŒอยา‹ งไร 1. à¢Õ¹Ἱ¼Ñ§ËÍŒ §àÃÂÕ ¹ â´ÂáÊ´§µÒí á˹‹§¢Í§ÊÔè§µÒ‹ §æ ·ÕÍè ‹Ùã¹ËÍŒ §àÃÂÕ ¹ 2. ºÍกตíÒá˹‹§·Õ¹è §Ñè ¢Í§ต¹เͧã¹ËÍŒ §เรÂÕ ¹ตÒม¤ÇÒม¤ิ´¢Í§¹ÑกเรÂÕ ¹ 3. ºÍกตÒí á˹§‹ ·¹èÕ èѧ¢Í§ต¹เͧã¹ËÍŒ §เรÕ¹´ÇŒ ÂÇิ¸ตÕ Ò‹ §¨Òก¢ÍŒ 2 ÍกÕ 2 Çิ¸Õ ตÒม»กตกิ Òร¨´Ñ ·¹èÕ Ñè§ã¹ªéѹเรÂÕ ¹¨Ð¨Ñ´änj͋ҧเ»š¹รÐเºÕºเ»š¹á¶Ç˹ŒÒกรдҹáลÐ á¶Çต͹ลกÖ กÒรºÍกตíÒá˹‹§·Õ¹è è§Ñ ã¹ËŒÍ§เรÕ¹เ»š¹กÒรáÊ´§Ç‹Ò·Õ¹è èѧ¢Í§ต¹เͧÍ‹Ùã¹ ºรเิ dz㴢ͧˌͧ ÍÒ¨ºÍกä´Œโ´Âเ¢ÂÕ ¹á¼¹¼Ñ§¢Í§ËŒÍ§áลÐรкตØ íÒá˹§‹ ¢Í§ต¹เͧ เ»รÕºเ·ÕºกѺตÒí á˹§‹ ¢Í§เ¾è×͹·¹èÕ §èÑ ÍÂÙ‹¢ÒŒ §เ¤Õ§ กÒรºÍกตíÒá˹‹§¢Í§ต¹เͧ·Õè¹èѧเรÕ§เ»š¹á¶Ç เª‹¹ ¹§èÑ ÍÂÙ‹ã¹á¶ÇáรกáลÐเ»š¹ ¤¹·ÊèÕ Í§¨Òก·Ò§«ŒÒÂมÍ× กเç ¾Õ§¾Í·è¨Õ Ъ‹ÇÂãËŒ·รҺNjÒตÇÑ เรÒÍ·ً èตÕ Òí á˹‹§ã´ โ´Â·èÇÑ ä»กÒรºÍกตÒí á˹‹§¢Í§ÇÑต¶Øº¹¾×é¹รÒº·íÒä´ŒËลÒÂÇิ¸Õ เ»š¹กÒรºÍก´ÇŒ ÂกÒร เ·ÕºกѺá¹ÇเÊŒ¹ตร§ÊͧเʹŒ ·ตÕè §Ñé ©Òกกѹ ÊíÒËรѺËÍŒ §เรÂÕ ¹ÍÒ¨¨ÐãªáŒ ¹Ç¼¹Ñ§´ŒÒ¹ตÒ‹ §æ ¢Í§ËŒÍ§เ»š¹áก¹ÍÒŒ §Íิ§ áลÐรÐºÇØ ‹ÒÇตÑ ¶Ø ÍÂÙ‹ËÒ‹ §¨Òกá¹Ç·§éÑ Êͧเ»š¹รÐÂзҧเ·‹Òã´ เª¹‹ ตíÒá˹‹§·¹Õè Ñ觢ͧ¹กÑ เรÕ¹ A ÍÂÙ‹ ˋҧ¨Òกá¹Ç¼¹Ñ§ËÍŒ §´ÒŒ ¹Ë¹ÒŒ เ»š¹รÐÂÐ 2 เมตร áลÐËÒ‹ §¨Òกá¹Ç¼¹Ñ§ËÍŒ §´ÒŒ ¹«ŒÒ เ»š¹รÐÂÐ 1.5 เมตร ´§Ñ ÀÒ¾ 3.2 ก¨ç Ð เ¾ÂÕ §¾Í·èըкÍกตíÒá˹§‹ º¹¾×é¹รҺ䴌 โ´ÂมáÕ ¹Ç¼¹§Ñ ËÍŒ §´ŒÒ¹Ë¹ŒÒáลÐá¹Ç¼¹§Ñ ˌͧ´ŒÒ¹«ŒÒÂเ»š¹ตÒí á˹§‹ ÍÒŒ §Íิ§ ? จากแผนผงั นาย B น�ังอยู ณ ตําแหนง� ใด ภาพ 3.2 แผนผงั แสดงตาำ แหนง่ ของทีน่ ั�ง ถา เราตอ งการบอกตําแหน�งของหลอดไฟฟา ทแี่ ขวนหอ ย ลงมาจากเพดานหอ ง จะมีวิธีการบอกไดอยา งไร บทท่ี 3 การเคล่อื นท่ี 49

การบอกตําแหนง� ของสงิ� ตางๆ ทําไดห ลายวิธี โดยในแตล ะวิธตี อ งกําหนดตาํ แหน�งอางองิ หรอื ตําแหนง� ท่ีใชเปรยี บเทยี บวาวตั ถนุ ้ันอยหู างจากตําแหนง� อา งองิ ไปทางทศิ ใด เปนระยะทางเทา ใด โดยทั�วไปจะใชต าํ แหน�งท่ีทุกคนรจู ักและเปน ทสี่ งั เกตไดช ัดเจน ตาํ แหนง� อา งองิ ทใ่ี ชใ นการบอกตาํ แหนง� ของวตั ถอุ าจเปน ภาพ 3.3 หลกั กิโลเมตรใชเปน สง�ิ ทม่ี อี ยตู ามธรรมชาติ เชน แมน าํ้ ตน ไม หรอื สง�ิ ทมี่ นษุ ยส รา ง ตาำ แหนง่ อา งองิ ขน้ึ เชน ถนน สะพาน อาคารสถานท่ี การบอกตําแหน�งของ ในการบอกตำาแหนง่ วตั ถุ นอกจากจะบอกระยะทางและทศิ ทางเมอื่ เทยี บกบั ตาํ แหนง� อางอิงแลว อาจใหร ายละเอยี ดเพ�ิมเติม เพ่ือใหมีความชัดเจน เพมิ� ขนึ้ เชน การบอกตาํ แหนง� รถยนตท ก่ี าํ ลงั เคลอ่ื นท่ี นอกจาก จะบอกตาํ แหนง� และทศิ ทางเมอ่ื เทยี บกบั หลกั กโิ ลเมตรทอ่ี ยูใกล เคยี งแลว ควรบอกรายละเอยี ดวา รถกาํ ลงั วงิ� ในชอ งวง�ิ ใดและมงุ หนา ไปยงั ที่ใดหรือทิศใด 3.2 การเปลี่ยนตําแหนง‹ ของวัตถุ การบอกไดวาตนเองนั�งอยูที่ใดในหองเรียนเปนการบอกตําแหน�งของวัตถุท่ีอยูนิ�งเทียบกับ ตําแหน�งอางอิง ซึ�งอาจเปนตําแหน�งท่ีทราบแลวในหองเรียน แตถาวัตถุมีการเคล่ือนที่หรือมีการ เปลยี่ นตําแหนง� การบอกตําแหน�งใหมของวัตถุโดยเทยี บกับตาํ แหน�งเดิมจะทาํ ไดอ ยา งไร กิจกรรม 3.2 เดนิ เพอ่ื การเรียนรเูŒ กยี่ วกับ “การกระจดั ” 1. ÊรŒÒ§รÙ»เËลÂÕè มº¹¾¹é× ËÍŒ §Ëร×;¹é× Ê¹Òม กíÒ˹´¨Ø´ ก ¢ ¤ § ·èÕมมØ ·Ñé§Ê¢Õè ͧ ร»Ù ÊเÕè ËลèÂÕ ม ºÑ¹·ÖกลกÑ É³ÐáลТ¹Ò´¢Í§รÙ»เËลÂèÕ ม·èÊÕ รŒÒ§¢Öé¹ 2. กÒí ˹´ ก เ»¹š ¨Ø´เรèมิ ตŒ¹ áลŒÇเ´ิ¹ä»ตÒมเÊŒ¹รͺร»Ù เËลÂèÕ ม·ÕèÊรŒÒ§ã¹¢ŒÍ 1 º¹Ñ ·กÖ รÐÂзҧ·Õเè ´ิ¹¨Òก ก ä»Âѧ¨Ø´ต‹Ò§æ 3. ÇÑ´รÐÂÐã¹á¹Çตร§¨Òก¨´Ø เรèมิ ตŒ¹¨Òก ก ä»Âѧ¨Ø´ตÒ‹ §æ ºÑ¹·Öก¢ÍŒ มลÙ ? ระยะทางทเี่ ดนิ ไดจาก ก ไปยังจุดตางๆ กบั ระยะทางทวี่ ัดในแนวตรงจาก จุดเร�ิมตน (ก)ไปยังจุด(ข,ค,ง) แตกตางกนั หรอื ไม อยางไร 50

ถากําหนดใหพื้นท่ีสี่เหล่ียมผืนผา ก ข ค ง มีขนาดกวาง 3 เมตร และยาว 4 เมตร การเปลี่ยนตําแหน�งของผูเดินจากตําแหน�ง ก ไปที่ตําแหน�ง ข ค และ ง การบอกระยะทางท่ีวัด ตามเสน รอบรูป และระยะทางทวี่ ดั ในแนวตรงจากจดุ เรม�ิ ตน ไปยงั จุดสุดทายเปนดังตาราง 3.1 ตÒรÒ§ 3.1 กÒรเ»ลÕÂè ¹ตÒí á˹§‹ ¢Í§¼ÙŒเ´¹ิ ตÒมเÊŒ¹รͺร»Ù ÊเÕè ËลÕèÂม¼×¹¼ÒŒ ก ¢ ¤ § กÒรเ»ลÕÂè ¹ตÒí á˹§‹ รÐÂзҧÇÑ´ตÒมเʹŒ รͺร»Ù รÐÂзҧ·ÇèÕ Ñ´ã¹á¹Çตร§ ¨Òก ก ä» ¢ รÐÂÐ ก ¢ เ·‹ÒกѺ 4 เมตร รÐÂШÒก ก ä» ¢ เ·‹ÒกѺ 4 เมตร § 4¤ § 4¤ ¨Òก ก ä» ¢ áลÐ ¢ ä» ¤ 33 33 ¨Òก ก ä» ¢ ä» ¤ ä» § ¡4¢ ¡4¢ รÐÂÐ ก ¢ + ¢ ¤ เ·‹ÒกºÑ 7 เมตร รÐÂШÒก ก ä» ¤ เ·Ò‹ กѺ 5 เมตร § 4¤ § 4¤ 3 33 3 ¡4¢ ¡4¢ รÐÂÐà·กÒ‹ ¡¢ºÑ +11¢ à¤Áµ+à ¤ § รÐÂШÒก ก ä» § เ·‹ÒกѺ 3 เมตร § 4¤ § 4¤ 33 33 ¡4¢ ¡4¢ บทท่ี 3 การเคลอื่ นที่ 51

เม่ือวัตถุเปล่ียนตําแหน�ง ระยะท่ีวัดไดตามแนวการเคล่ือนที่ของวัตถุซ�ึงเปนระยะที่เดินทาง ไดจริงกับระยะท่ีวัดในแนวตรงจากตําแหน�งเริ�มตนถึงตําแหน�งสุดทาย ดังขอมูลจากตาราง 3.1 อาจ มีขนาดเทากันหรือแตกตางกันก็ได ระยะท่ีเดินทางไดตามแนวเสนทางท่ีกําหนด เรียกวา ระยะทาง (distance) สวนระยะที่วัดในแนวตรงจากตําแหน�งเร�ิมตนไปยังตําแหน�งสุดทาย เรียกวา การกระจัด (displacement) การเดนิ ทางตามตาราง 3.1 จาก ก ไป ข ไป ค ไป ง ไดร ะยะทางและการกระจดั เปนเทาใด ถา เดนิ ทางจาก ก ไป ข ไป ค ไป ง และมาหยุดทจ่ี ุดเร�มิ ตน ก ระยะทางและการกระจดั ของการเดินทางน้� เปน เทาใด เรานําความรูเก่ียวกับระยะทางและการกระจัดไปใชประโยชนในชีวิตประจําวัน เชน ในการ เดินทางโดยรถยนตจากท่ีหน�ึงไปอีกท่ีหนึ�ง จําเปนตองทราบระยะทางเพื่อการเตรียมพรอม ในดานตางๆ ถาเดินทางดวยรถยนตตองคํานึงถึงสภาพเคร่ืองยนต น้ํามัน อาหาร เคร่ืองดื่ม ตลอดจนระยะเวลาในการเดินทางดวย การเดินทางโดยรถยนตมักใชเวลามากกวาการเดินทาง โดยเคร่ืองบิน เพราะระยะทางบินส้ันกวาและบินเร็วกวา การเดินทางโดยเครื่องบินมักเปนการ เดินทางจากจุดเร�ิมตนไปยังจุดหมายปลายทาง ในทิศทางของการกระจัด ดังนั้นการเปล่ียนตําแหน�ง ดวยการกระจัดจึงจําเปนตองเก่ียวของกับทิศทางดวย ปริมาณหลายปริมาณสามารถบอกไดโดยไม จาํ เปนตองมีทิศทางกํากบั แตบางปริมาณนอกจากจะบอกขนาดแลว ยังตองบอกทิศทางดวยจงึ จะได ความสมบรู ณ 3.3 ปริมาณเวกเตอรและปริมาณสเกลาร ปริมาณการกระจัดจําเปนตองบอกทั้งขนาดและทิศทาง โดยบอกขนาดและทิศทางจาก จุดเริ�มตนไปยังจุดสุดทาย การเขียนการกระจัดจะใชสัญลักษณเปนเสนตรงท่ีมีหัวลูกศรกํากับไว โดยความยาวของเสนตรงแทนขนาดของการกระจัด และหัวลูกศรแทนทิศทางของการกระจัด เชน การเดินจาก ก ไปที่ ค เขียนแสดงการกระจัดดวยเสนตรงจาก ก ไป ค และมีลูกศรบอกทิศทาง ดงั ภาพ 3.4 ในทนี่ �้เสนตรง กค ยาว 5 หน�วย ถา กําหนดให 1 หนว� ย แทนความยาว 100 เมตร ขนาดของการกระจัดจาก ¤ ก ถึง ค จะเทา กับ 500 เมตร และมที ศิ ทางจาก ก ไป ค ¡ ภาพ 3.4 การกระจัดจาก ก ไป ค 52

การกระจดั เปน ปรมิ าณทตี่ อ งระบทุ ง้ั ขนาดและทศิ ทาง จงึ จะไดใ จความสมบรู ณ เราเรยี กปรมิ าณทต่ี อ งบอกทง้ั ขนาด A C และทิศทางวา ปริมาณเวกเตอร การเขียนสัญลักษณโดย B ทว�ั ไปจะใช แทนปริมาณเวกเตอร ความยาวของ ลกู ศรแทนขนาดของเวกเตอร และหวั ลกู ศรแสดงทศิ ทางของ ภาพ 3.5 การเขียนสัญลกั ษณ เวกเตอร ดงั ภาพ 3.5 แทนเวกเตอร การบอกปริมาณทเี่ ราคนุ เคยบางปริมาณ เชน นั�งรถยนตเ ปนระยะทาง 15 กโิ ลเมตร หรือ อณุ หภมู ิในหองเทากับ 25 องศาเซลเซยี ส เปนการบอกระยะทางและอณุ หภมู ิ ซ�ึงบอกเฉพาะขนาด ของปรมิ าณท่ีไมต อ งบอกทิศทางก็สามารถไดใจความท่สี มบูรณ เราเรยี กปรมิ าณท่ีบงบอกถึงขนาด เพยี งอยางเดียวน้ว� า ปรมิ าณสเกลาร สัญลักษณของปริมาณสเกลารใชตวั อักษรแทนปริมาณน้ันๆ นักเรียนคดิ วา “เวลา” เปนปริมาณเวกเตอรหรอื สเกลาร เพราะเหตใุ ด »ริมÒ³เÇกเตÍรเรÕÂกโ´Â‹ÍÇ‹ÒเÇกเตÍร กÒรเ¢ÂÕ ¹ÊÞÑ ลกÑ É³á ·¹เÇกเตÍรเ ¢Õ¹ä´ËŒ ลÒÂẺ เª¹‹ 1) A 2) A 3) a ในชีวิตประจาํ วนั บางคร้ังเราอาจบอกปริมาณเวกเตอรไดโ ดยไมบ อกทศิ ทาง เชน เมื่อพจิ ารณา การเดินทางของนายดิเรกจากจังหวัดสงขลาไปกรุงเทพฯ โดยรถยนตตามเสนทางท่ีปรากฏ ในแผนที่ ซง�ึ มีระยะทางประมาณ 950 กิโลเมตร กลาวไดว า ดเิ รกเดินทางไดร ะยะทางประมาณ 950 กิโลเมตร แตถาเขาเดินทางโดยเคร่ืองบินซึ�งบินตรงจากสงขลาถึงกรุงเทพฯ ระยะที่เดินทางไดจะ เทา กบั ขนาดของการกระจดั ซงึ� มคี า ประมาณ750 กโิ ลเมตร และเนอ� งจากจงั หวดั ทง้ั สองมตี าํ แหนง� ทต่ี งั้ ที่แน�นอนแลว และขอมูลการเดินทางไดบงบอกถึงการเดินทางจากจังหวัดสงขลาไปกรุงเทพฯ จงึ ไมตองระบุซ้ําวา เปน การเดนิ ทางจากทิศใดไปทิศใด จากกิจกรรมที่ผานมาจะพบวาเม่ือวัตถุเคลื่อนที่จะมีการเปล่ียนตําแหน�งของวัตถุ จึงมี ระยะทางและการกระจัดเขามาเกี่ยวของดวย นอกจากน้�เวลาก็เปนอีกปริมาณหน�ึงที่เก่ียวของกับ การเคลอ่ื นท่ี บทที่ 3 การเคล่ือนที่ 53

750 กิโลเมตร 950 กิโลเมตร ภาพ 3.6 แผนท่ปี ระเทศไทย ตาำ แหน่งจงั หวัดสงขลาและกรงุ เทพฯ 54

จากเหตุการณท่ีกลาวมาจะพบวาการเดินทางโดยเคร่ืองบินจะใชเวลาเดินทางนอยกวา การเดินทางโดยรถยนต ดังน้ันนอกจากการเคลื่อนท่ีของวัตถุจะเกี่ยวของกับระยะทางและการกระจัด แลว เวลาก็เปน ปริมาณหนึ�งทเ่ี ก่ียวขอ งกับการเคลอื่ นท่ดี ว ย เดก็ ชาย A และ B วิง� แขง ขัน 100 เมตร ถา A ใชเ วลา 15 วนิ าที และ B ใชเวลา 18 วินาที ใครควรเปน ผูช นะ เพราะเหตใุ ด จากสถานการณก ารเดินทางจากสงขลาไปกรุงเทพฯ ดว ยรถยนตและเครื่องบนิ การเดินทางดวยพาหนะใดถึงกรุงเทพฯ กอน เพราะเหตใุ ด การเดนิ ทางโดยรถยนตห รือเคร่อื งบนิ นอกจากจะตอ งทราบระยะทางและทิศทาง การเดนิ ทางแลว เราควรทราบขอมูลใดอีก 3.4 อตั ราเร็วและความเร็วของวตั ถุ การเดินทางจากท่ีหนึ�งไปยังอีกที่หน�ึง เชน การเดินทาง จากบานไปโรงเรียน นอกจากตองคํานึงถึงระยะทางและการ กระจดั แลว จาํ เปน ตอ งคาํ นงึ ถงึ เวลาท่ีใชเ ดนิ ทางดว ย ถา มเี สน ทางให เลอื กหลายเสน ทาง โดยทัว� ไปจะเลือกเสนทางที่สั้นที่สดุ และใชเ วลา เดนิ ทางนอ ยที่สุด ท้งั น�้เพอ่ื ใหถึงจุดหมายปลายทางเรว็ ท่ีสุด การแขงขันกีฬาหลายประเภท เชน การว�ิงและการวายน้ํา การรายงานผลการแขงขันตองระบุระยะทางท่ีใชแขงขันและเวลา ท่ีนักกฬี าแตละคนใช โดยถอื วา คนท่ีใชเ วลานอยที่สดุ จะเปน ผูชนะ นักกฬี าแขง ขันวิง� หรอื วา ยนํา้ จะตอง ทาํ อยางไรจึงจะชนะการแขง ขัน บทที่ 3 การเคลอ่ื นที่ 55

การพจิ ารณาวา นกั กฬี าคนใดวงิ� เรว็ หรอื ชา เราสามารถคาํ นวณและพจิ ารณาไดจ ากขอ มลู ทม่ี อี ยู ตัวอยา งเชน ใหนกั เรียนพิจารณาขอ มูลที่แสดงสถติ กิ ารแขงขันวง�ิ ทางตรงระยะทาง 100 เมตร (ชาย) ในตาราง 3.2 น�้ ตÒรÒ§ 3.2 ʶติ ิกÒรᢧ‹ ¢¹Ñ Çè§ิ ·Ò§ตร§ รÐÂзҧ 100 เมตร (ªÒÂ) รÒÂกÒรᢋ§¢¹Ñ เÇลÒ·Õè 㪌 (ǹิ Ò·Õ) จากขอ มลู ในตาราง 3.2 นักกรฑี ารายการแขง ขันใด โÍลมิ »ก (¾.È. 2551) 9.69 ว�ิงเร็วท่สี ุด «Õเกมʏ (¾.È. 2552) 10.17 ถาใหเวลาเทา กนั นักกรีฑา »รÐเ·Èä·Â (¾.È. 2541) 10.23 รายการแขง ขันใดจะวิ�งได เÍเªÕè¹เกมʏ (¾.È. 2553) 10.24 ระยะทางมากท่สี ุด ขอมูลในตารางขางตนทําใหท ราบวาในการว�งิ ระยะทาง 100 เมตร นักกรฑี าโอลมิ ปกวง�ิ โดยใช เวลาเพยี ง9.69 วนิ าที หรอื อาจกลา วไดว า ในเวลา1 วนิ าที นกั กรฑี าโอลมิ ปก วงิ� ไดร ะยะทาง10.32 เมตร สว นนักกรฑี าซเี กมสว งิ� ไดร ะยะทาง 9.83 เมตร นั�นคือถากําหนดชว งเวลาใหเ ทา กัน นักกรีฑาแตละ รายการแขงขันจะวิง� ไดระยะทางไมเ ทา กนั ในการบอกวาวัตถุใดเคลื่อนท่ีเร็วหรือชา จะพิจารณาถึงระยะทางที่ไดหรือการกระจัด เทียบกับเวลาท่ีใชในการเคล่ือนที่ โดยกําหนด ªตÕ ŒÒ (Cheetah) เ»š¹ÊÑตǏºก·èÕÇè§ิ เรÇç วาอัตราเร็ว คืออัตราสวนระหวางระยะทางท่ีได ·ÊèÕ ´Ø ã¹โลก ÊÒมÒร¶Çิè§ä´´Œ ÇŒ ÂÍÑตรÒเรÇç ÊÙ§ÊØ´¶Ö§ 100 กิโลเมตรต‹ÍªÇÑè โม§ กับเวลาที่ใช แตถาพิจารณาอัตราสวนระหวาง การกระจัดกับเวลาที่ใช จะเรียกความเร็ว โดยอัตราเร็วเปนปริมาณสเกลารและความเร็ว เปนปรมิ าณเวกเตอร จากขอ มูลในตาราง 3.2 อัตราเร็ว ÍÑตรÒเรçÇ = รÐเÂÇÐล·ÒÒ§ ของนักกรฑี าแตละรายการมคี า เทาใด ¤ÇÒมเรÇç = กÒรเÇกลรÒШѴ 56

เพ่ือใหเ ขา ใจถงึ ความแตกตางระหวางความเรว็ และอัตราเรว็ ใหศึกษาจากตัวอยางตอไปน้� ตÑÇÍÂÒ‹ § 3.1 ÊØªÒต«ิ ŒÍมǧิè º¹Ê¹Òม โ´Âเ¢ÒÇิ§è ¨Òก¨Ø´เรมèิ ตŒ¹ ก ตร§ä»·Ò§·Èิ เ˹Í× ¶Ö§ ¨Ø´ ¢ 1ää´´. รŒรŒ ÊÐÐªØ ÂÂÒÐÐต··Çิ ÒÒ§èิ §§¨Ò91ก200กเมเ¶มตÖ§ตรร¤¶áŒÒäล´·ÐŒรØกเÐæลÂÕéÂÐรÇ·ÐäÒ»§Ð·เ··ÒÒ§‹Ò§·ã´Èิ1ตเÐมÇต¹Ñ รÍÍเ¢กÒÇãªè§ิ ŒเตÇรล§ÒäÇ»§èิ ÍÕก51¨¹Ç¶ิ¹§Ö Ò¨·Ø´Õ ¤ 2. ÊØªÒติǧèิ ¨Òก ก ¶Ö§ ¤ ãªเŒ ÇลÒเ·Ò‹ ã´ 3. ÊØªÒตÇิ ิ觨Òก ก ¶§Ö ¤ ´ÇŒ ÂÍÑตรÒเรçÇเ·Ò‹ ã´ 4. ÊØªÒติǧèิ ¨Òก ก ¶Ö§ ¤ ä´ŒกÒรกรШѴเ·‹Òã´ 5. 滯 ÒติÇิ觨Òก ก ¶§Ö ¤ ä´¤Œ ÇÒมเรçÇเ·‹Òã´ à˹Í× ¢ 90 เมตร ¤ 120 เมตร 150 เมตร 㵌 ¡ แผนภาพแสดงเสน ทางวง�ิ ของสชุ าติ Ǹิ Õ·íÒ 1. รÐÂзҧ·èÊÕ ªØ ÒตÇิ èิ§ä´Œ = 120 เมตร + 90 เมตร = 210 เมตร 2. ã㹪ŒเเÇÇลลÒÒรÇ5ม1 ·ÇÑé§ิ¹ÊÒé¹ิ ·2Õ Ê10ªØ ÒตxÇิ ิè§51ä´รŒ =ÐÂÐ4·2Ò§Çิ¹1Òเ·มÕตร ´§Ñ ¹¹éÑ ÊªØ ÒตÇิ ิ§è ¨Òก ก ä» ¢ ¶§Ö ¤ = รÐเÂÇÐล·ÒÒ§ 3. ÍÑตรÒเรÇç ´Ñ§¹Ñé¹ ÍÑตรÒเรÇç ¢Í§ÊªØ Òติ = 24120Çเ¹ิ มÒต·รÕ = 5 เมตร/ǹิ Ò·Õ ¹Ñ蹤×Í ÊØªÒตÇิ ิ§è ´ÇŒ ÂÍตÑ รÒเรÇç 5 เมตรตÍ‹ ǹิ Ò·Õ 4. ¨ÒกตÒí á˹§‹ เรèิมตŒ¹ ก เม×èÍÇÑ´รÐÂзҧตร§¨Òก ก ä» ¤ ÇÑ´ä´Œ 150 เมตร 5. ¤ÇÒมเรçÇ = กÒรเÇกลรÒШ´Ñ = 14520Çเ¹ิ มÒต·รÕ = 3.57 เมตร/ǹิ Ò·Õ ¹Ñ蹤Í× ÊØªÒติÇิè§´ÇŒ ¤ÇÒมเรçÇ 3.57 เมตรตÍ‹ ǹิ Ò·Õ ม·Õ Èิ ·Ò§¨Òก ก ä» ¤ บทท่ี 3 การเคล่อื นที่ 57

เม่ือพจิ ารณาวัตถทุ เ่ี คลื่อนที่เปนแนวตรง เชน กรณก� ารแขง ขันว�ิงทางตรงระยะทาง 100 เมตร หรือการแขงขันวายน้ําจากขอบสระดานหนึ�งไปยังขอบสระอีกดานหน�ึง จะพบวาอัตราเร็วและ ความเรว็ ของวตั ถจุ ะมคี า เดียวกัน แตการระบุความเร็วจะตองมีทิศทางกํากบั ไวด วยเสมอ เชน รถยนต เคล่อื นทีด่ ว ยความเร็ว 80 กโิ ลเมตรตอ ช�ัวโมงไปทางทิศเหน�อ ชีวิตประจําวันของเราเก่ียวของกับการ ภาพ 3.7 มาตรวดั อัตราเรว็ ของรถ เดินทางดวยยานพาหนะชนิดตางๆ เสมอ เชน รถจกั รยานยนต รถยนต หรือรถไฟ ยานพาหนะ ใหสังเกตและสบื คน ขอมูลเกี่ยวกบั เหลา น�้ มี อุปกรณ บอก อัตราเร็ว ที่ เรียกวา ขอจาํ กัดของอตั ราเร็วทกี่ าํ หนดใช มาตรวดั อตั ราเรว็ ดังภาพ 3.7 มาตรวดั ดังกลาว กบั ยานพาหนะบนถนนประเภทตางๆ บอกหน�วยอัตราเร็วของยานพาหนะเปนหน�วย หรือสภาพการจราจรท่แี ตกตา งกนั ระยะทางตอ หนว� ยเวลา เชน กโิ ลเมตรตอ ชว�ั โมง ซง�ึ เปน อตั ราเรว็ ในขณะตา งๆ ทรี่ ถเคลอ่ื นท่ี มาตร น้�มีไวใหผูขับขี่สังเกตเพ่ือขับข่ียานพาหนะดวย อตั ราเรว็ ตามกฎหมาย โดยเฉพาะอยา งยง�ิ เมอื่ ขบั รถในเมืองหรือขับรถในทางโคงตองปฏิบัติตาม กฎหมายอยา งเครง ครดั การขบั รถดว ยอตั ราเรว็ สงู เกินไปนอกจากจะส้ินเปลืองเชือ้ เพลงิ แลว ยงั อาจทําใหเกิดอันตรายข้ึน เชน เม่ือตองหยุด รถอยางกะทันหันอาจทําใหรถลื่นไถลและเสีย การทรงตัวชนรถคนั ทอ่ี ยูข า งหนา ได 58

จากการศึกษาการเคลื่อนที่ผานมา ¢³Ð·èÕเรÒÍÒ‹ ¹มÒตรÇ´Ñ ÍÑตรÒเรçǢͧร¶ เรา ทราบ แลว วา ขณะ วัตถุ เคล่ือนที่ ¶ŒÒเËç¹เ¢มç ªÕéÍ‹·Ù èตÕ ÑÇเล¢ 36 km/h áÊ´§ÇÒ‹ จะมีการเปลี่ยนตําแหน�ง และบางคร้ัง ¢³Ð¹¹Ñé ร¶เ¤ล×è͹·è´Õ ÇŒ ÂÍÑตรÒเรçÇ 10 m/s อาจ มี การ เปล่ียนแปลง อัตราเร็ว แล ะ ความเร็วดวย การเปล่ียนแปลงดังกลาว Çิ¸¤Õ ´ิ เกิดจากสาเหตุอะไร เพราะเหตุใดจึงเปน 36 กิโลเมตรตÍ‹ ªÑÇè โม§ เชน นัน้ ซึง� จะไดศึกษาในระดับตอไป = 36 (กิโลเมตร) 1 (ªÑèÇโม§) 36 x 1000 (เมตร) = 60 x 60 (ǹิ Ò·)Õ = 10 เมตร / Çิ¹Ò·Õ (m/s) บทท่ี 3 การเคลอ่ื นท่ี 59

1. ใหพจิ ารณาแผนผังแปลงเกษตร ของโรงเรยี นแหง หน�งึ เปน ดงั น�้ กาํ หนดใหแ ปลงปลกู พืชแตล ะแปลง มขี นาดเทา กนั คือกวา ง 1 เมตร ยาว 2 เมตร และระยะหางระหวาง แปลงเทา กับ 1 เมตร 1.1 ถาเจา ของแปลงหมายเลข 1 จะตองเดนิ ไปตกั น้าํ ที่บอ น้าํ เพอ่ื นาํ มารดตน ไม ในแปลงของตน โดยตองเดินบนเสน ประเทานน้ั เขาจะเลือกเสน ทางเดนิ ทส่ี ้ันที่สดุ เสนทางใด ใหเขียนแผนผงั แสดงเสน ทางเดิน 1.2 ถา เจา ของแปลงเดินจากกง�ึ กลางของแปลงหมายเลข 1 ถึงกึ�งกลางแปลง หมายเลข 30 ขนาดของการกระจดั ท่ีไดเ ทากบั กเี่ มตร 2. ใหน กั เรียนบอกตาํ แหนง� ของโรงเรียน โดยใชส ถานท่ีทีอ่ ยูใกลโรงเรยี นเปน ตาํ แหน�งอางองิ 3. นกั เรียน 2 คน วง�ิ แขงขันกนั จาก A ไปยงั B คนหนงึ� ว�ิงไปตามแนวเสนตรง สว นอกี คนหนง�ึ วิ�งไปตามเสน ทางโคง ถา นกั เรยี นทง้ั สองคนเรมิ� ออกว�งิ และถงึ เสน ชยั พรอมกนั นกั เรียนคนใดวง�ิ เร็วกวา เพราะเหตใุ ด A B 4. เดก็ หญงิ ออ ยใจเดินไปทางทศิ ตะวนั ออกเปน ระยะทาง 150 เมตร แลวเดนิ ยอนกลบั มา ทางทศิ ตะวนั ตก 30 เมตร ตองการทราบวาเด็กหญงิ ออ ยใจเดนิ ไดเปนระยะทางเทาไร และมกี ารกระจดั เทาไร และถา เขาใชเวลาเดนิ ทงั้ หมด 3 นาที เด็กหญงิ ออยใจมอี ตั ราเรว็ และความเรว็ เทา ใด 5. วตั ถุสองชิน้ เคลอ่ื นที่ไดระยะทางเทากนั ในเวลาที่เทา กนั แลว ปรมิ าณใดของการเคล่อื นท่ี ของวัตถุทง้ั สองชน้ิ ทม่ี คี าเทากนั และเปนไปไดห รอื ไมทีว่ ัตถทุ ง้ั สองมีความเร็วไมเ ทากนั 6. ถาจะเดนิ ทางจากท่บี านพกั ไปยังศาลากลางจังหวดั ทอ่ี ยูใกลท ี่สุด 6.1 จะเดนิ ทางไปศาลากลางจงั หวัดใด ตั้งอยูที่ใด 6.2 จะเดนิ ทางโดยใชเ สนทางใด เพราะเหตใุ ด

หนว‹ ยของส่งิ มีชีวติ จุดประสงคก ารเรียนรŒู อธบิ ายสวนประกอบของกลองจลุ ทรรศนแ ละใช กลองจุลทรรศนไดอ ยา งถูกวิธี อธิบายรูปราง ลักษณะ และสว นประกอบสาํ คญั ของเซลล ตา งๆ ของสิ�งมชี ีวิตเซลลเ ดียวและสง�ิ มชี ีวติ หลายเซลล ทดลอง เปรยี บเทียบ และอธบิ ายหนาท่ีของสว นประกอบ ท่ีสาํ คัญของเซลลพืชและเซลลส ตั ว ทดลองและอธบิ ายกระบวนการสารผานเซลล โดยการแพร และการออสโมซสิ

เม่อื เร�ส งั เกต สิ่งม ี ชีวติ ร อบต ัว จะพ บ ว่� สิ่งม ีช วี ติ แตล่ ะช นดิ ม ีขน�ด รปู ร �่ ง แ ละ ลักษณะเ ฉพ�ะ ที่ แตก ต่�ง กันแต่ส่ิง มี ชีวิต ทุก ชนิด มี คว�ม เหมือน กัน อยู่ อย่�ง หนึ่ง คือ ประกอบ ด้วย หน�วย ย่อย ขน�ด เล็ก ท่เ ี รียกว ่� เซลล เซลล์ ส่วน ใหญ่ มี ขน�ด เล็ก จน สังเกต ด้วย ต� เปล่� ไม่ เห็น นัก วิทย�ศ�สตร์ จึง ใช้ กล้องจุลทรรศน์ ค น้ ห� ว่� เ ซลล์ ท ี่ประกอบก นั ข ้นึ ม �เ ป็น สง่ิ มีช วี ิตน ั้น ม รี ูป ร่�งล ักษณะอ ย�่ งไร กล้องจุลทรรศน์ มี ส่วน ประกอบ อะไร บ้�ง และ มี ประโยชน์ ต่อ ก�ร ศึกษ� เซลล์ ของ ส่ิง มี ชีวิต อย�่ งไร 62

4.1 รูŒจักและใชงŒ านกลŒองจล� ทรรศน เร�ส�ม�รถใช้ กล้องจุลทรรศน์ ในก�ร หลกั การทíางานของกล้องจลุ ทรรศน์ ศกึ ษ�ส ง่ิ ท เ ี่ ร�มองด ว้ ยต �เ ปล่�ไ มเ ่ หน็ เ ชน่ เ ซลล ์ ใชค้ วามรพÙ้ é×น°านทางวิทยาศาสตร์ กล้องจุลทรรศน์ มี หล�ย แบบ โดย แบบ ท่ี ใช้ ใน เก่ียวกบั การสะท้อนแสงและการหักเห บท เรียน น้� เป็น กล้องจุลทรรศน์ แบบ ใช้ แสง ของแสง นกั เรยี นจะไ ดศ ้ กึ ษ�ส ว่ นป ระกอบแ ละว ธิ ก ี �รใ ชง ้ �น กลอ้ งจลุ ทรรศนแ ์ บบใ ช้ แสง จ�กก ิจกรรม 4.1 ปุมปรับภาพหยาบ เลนสใ กลต า ท�ำ หน้�ที่ปรบั ภ�พ ตดิ ต้ังอยู่ส่วนบนของ กำ�ลงั ขย�ยตำ่� ลำ�กล้อง โดยท่วั ไป มกี ำ�ลังขย�ย 10x ปุมปรบั ภาพละเอียด ลาํ กลอ ง ท�ำ หน�้ ท่ปี รับภ�พ ใหค้ มชดั ขนึ้ ปล�ยด้�นบนเป็นท่ี ใส่เลนส์ใกล้ต� ด�้ นล่�ง แขน เป็นทีต่ ดิ ต้ังเลนส์ใกลว้ ตั ถุ เปน็ สว่ นท่ยี ดึ ติด เลนสใกลว ัตถุ ระหว่�งล�ำ กลอ้ ง ติดอย่บู นแปน กลม และฐ�น มีทงั้ ก�ำ ลงั ขย�ยต่ำ�และสูง (4x, 10x, 40x) ที่หน�บสไลด แทนวางวตั ถุ ใช้กดสไลด์ให้แน�น อยู่กับท่ี ใชว้ �งสไลด์ กล�งแทน่ มชี ่องที่แสงผ�่ น ฐาน เข้�สลู่ ำ�กลอ้ ง เปน็ ส่วนท่รี องรับ คอนเดนเซอร นำ�้ หนกั ของกล้อง ท�ำ หน�้ ท่รี วมแสง กระจกสะทอนแสง ใช้สะทอ้ นแสงเข้�สู่ ล�ำ กล้อง ภาพ 4.1 สว นประกอบของกลอ้ งจุลทรรศนแ์ บบใชแ้ สง บทที่ 4 หน่วยของสง่ิ มีชวี ิต 63

กจิ กรรม 4.1 สว‹ นประกอบและวิธีการใชŒงานกลอŒ งจล� ทรรศนแ บบใชŒแสง 1. ศึกÉาส่วน»ระกอบของกลอ้ งจลุ ทรรศน์จากÀาพ 4.1 เ»รียบเทียบกบั กล้องจุลทรรศน์ท่ี ใชจ้ ริงในชéันเรียน 2. นíาสไลด์ถาวรมาศกึ ÉาÀายใต้กล้อง จลุ ทรรศน์ ตามวิ¸กี ารในÀาพ 4.2 วาดÀาพส่ิงท่ีนกั เรยี นสังเกตได้ ระวัง! พรอ้ มระบุกาí ลังขยายท่ี ใช้ 3. นíาÀาพทีว่ าดได้จากขอ้ 2 มาจัดแสดง • อยา่ »รบั กระจกกล้องจุลทรรศน์ เพ่×อศึกÉารว่ มกนั ใหร้ บั แสงจากดวงอาทติ ย์ 4. อÀ»ิ รายรว่ มกันเก่ยี วกบั »˜Þหาของ โดยตรง การใชง้ านกล้องจลุ ทรรศน์ ว่านกั เรยี น • อยา่ หมนุ »†มุ »รบั Àาพจนเลนส์ ใกลว้ ัตถกุ ระแทกสไลด์ พบ»˜Þหาใดบา้ ง และได้แก้ไข»Þ˜ หานéัน อยา่ งไร กíาลงั ขยายของกล้องจุลทรรศน์บอกเราว่า กล้องจุลทรรศนส์ ามารถขยายÀาพ ของวตั ถไุ ด้ก่เี ท่า กíาลงั ขยายของกลอ้ ง = กíาลังขยายของเลนสŠใกล้วัตถุ X กาí ลังขยายของเลนสŠใกล้ตา ? นกั เรยี นทราบหรอื ไมว า กาํ ลงั ขยายสงู สดุ ของกลอ งจลุ ทรรศนท ใ่ี ชใ นชนั้ เรยี น เทากับเทา ใด การดแÙ ลรกั Éากล้องจลุ ทรรศนแ์ บบใชแ้ สง • ใช¼้ า้ ท่สี ะอาดและแหง้ เชด็ ทาí ความสะอาดสว่ นท่เี »šนโลหะ • สาí หรับส่วนทเี่ »นš เลนสแ์ ละกระจก ทíาความสะอาดโดยใชก้ ระดาÉเช็ดเลนส์เทา่ นéนั • เล×่อนทีห่ นบี สไลดŠให้ตัéง©ากกบั ตัวกล้อง • หมนุ เลนสŠใกลว้ ัตถทุ ี่มีกาí ลังขยายตíา่ สุดให้อยÙ่ในแนวลาí กล้องแลว้ เลอ×่ นใหอ้ ยÙ่ในระดับ ตาí่ สุด • »รบั กระจกเงาใหอ้ ย่Ùในแนวตังé ©ากกบั พ×éน • ใช้¼้าคลุมไว้เม×อ่ เลกิ ใชง้ าน • อย่าเก็บกล้องไว้ในท่ชี น×é เพราะจะทาí ให้เลนส์ขึนé รา 64

1. หมนุ ให้ เลนส์ใ กลว้ ตั ถ ุก�ำ ลงั ข ย�ย 2. ปรับก ระจกเง�ใ ต้ แทน่ ว �งว ัตถใ ุ ห้แ สง 3. นำ�ส ไลดท ์ ี่ จะ ศึกษ�ว �ง บนแ ทน่ ว �ง ตำ่� สดุ อ ย่ ตู รง กับแนวล �ำ ก ลอ้ ง สะทอ้ นเ ข้�ล ำ�ก ลอ้ ง เตม็ ท ่ี โดยเ มอ่ื วตั ถุ ให ้วตั ถ ุอยูก ่ ล�งบรเิ วณท ีแ่ สง มองผ ่�น เลนส์ใ กล้ ต�ล งไ ป จะ เห็น ผ่�น แล้วค ่อยๆ หมนุ ป ุ่ม ปรับ วงกลมส ว�่ ง ภ �พ หย�บ ใหล้ ำ� กล้องเ ล่ือนม � อย ู่ ใกลว ้ ัตถทุ ี่จะศ กึ ษ�ม �ก ทีส่ ุด 4. มองผ �่ นเ ลนส์ใ กลต ้ � ลงต �มล �ำ ก ลอ ้ ง 5. ถ้�ต อ้ งก�ร ขย�ย ภ�พใ ห้ใ หญข่ ้ึนให ้ 6. ปรบั ไ ดอ ะแฟร ม เมื่อ ตอ้ งก�รป รบั พรอ้ มก ับ หมุนป ่มุ ปรับ ภ�พ หย�บ ช้�ๆ หมนุ เลนส์ใ กล ้วัตถทุ ่ีมก ี ำ�ลังข ย�ย คว�มเ ขม้ ข อง แสงท ี ่เข้� สู ล่ �ำ ก ลอ้ ง ให เ้ ลนส์ ใกล้ วัตถขุ ยับ ออกห �่ ง จ�กว ตั ถ ุ สงู ขนึ้ เข�้ ม � ใน แนวล ำ�ก ลอ้ งแ ละ ทลี ะ นอ้ ย จนม องเ ห็นว ตั ถทุ ่ีจ ะ ศกึ ษ� ไ ม ค่ วรข ยับ สไลด์อ กี แล้ว หมนุ ป มุ่ แลว้ จ งึ ป รับภ �พ ใหช้ ดั โดยก�ร หมุน ปรบั ภ �พล ะเอยี ดเ พอ่ื ใหเ้ หน็ ภ �พ ป่มุ ปรับภ �พล ะเอียด ชัดเจนข นึ้ ภาพ 4.2 วิธีการใชก้ ลอ้ งจลุ ทรรศน์แบบใชแ้ สง นอกจากกลอ้ งจลุ ทรรศน์แบบใชแ้ สงแลว้ ยงั มกี ลอ้ งจุลทรรศนอ์ ิเล็กตรอน ท่ีช่วยใหส้ ามารถมองเหน็ วัตถุขนาดเลก็ จนถงึ ระดบั นาโนเมตรได้ 1,000,000,000 nm = 1,000,000 μm = 1,000 mm = 1 m 1 พันลา้ นนาโนเมตร เทา่ กับ 1 ล้านไมโครเมตร เท่ากบั 1,000 มิลลิเมตร เทา่ กบั 1 เมตร นักเรียนทร�บแล้วว�่ กลอ้ งจลุ ทรรศน์มีส่วนประกอบและวธิ ีก�รใช้ง�นอย�่ งไร นักเรียนจะไดใ้ ช้ กลอ้ งจลุ ทรรศนเ์ ป็นเคร่อื งมอื ในก�รศกึ ษ�สิ่งมชี ีวติ ต�่ งๆ ต่อไป บทที่ 4 หนว่ ยของส่งิ มีชวี ติ 65

4.2 เซลลข องสิ่งมีชวี ติ จ�กก จิ กรรม 4.1 ที ่นกั เรียนน ำ� สไลดถ์ �วร ม� ศึกษ�ภ �ย ใต ก้ ลอ้ งจลุ ทรรศน์น ้ัน พบว ่� ส่ิง มี ชีวติ ประกอบด ว้ ยห นว� ยย อ่ ยเ ลก็ ๆ เ รยี กว �่ เ ซลล ์ ส งิ่ ม ช ี วี ติ บ �งช นดิ ป ระกอบด ว้ ยเ ซลลเ ์ พยี งเ ซลลเ ์ ดยี วเ ท�่ นน้ั เรียกว ่� ส ิง� มีชวี ติ เซลลเดยี ว เ ชน่ อ ะมีบ� พ�ร� ม เี ซย ี ม ย ีสต ์ สิง่ ม ช ี ีวติ บ�ง ชนิด ประกอบด ้วยเ ซลล ์ เปน็ จ ำ�นวน ม�ก เรยี กว �่ สิง� มชี วี ติ หลายเซลล เช่น ค น สัตว ์ พ ชื ภาพภายใต้กลอ้ งจลุ ทรรศน์ ก. พารามเี ซียม ยีสต์ อะมบี า ข. ไฮดรา เซลล์เมด็ เลอื ดขาว เน้�อเยอ่ื ลําเลียงในพืช ภาพ 4.3 ก. ตวั อยา งส�ิงมชี วี ิตเซลล์เดียว : อะมีบา พารามีเซยี ม ยีสต์ ข. ตวั อยา งสงิ� มีชวี ติ หลายเซลล์ : ไฮดรา ตวั อยา งเซลล์ของส�งิ มชี ีวิตหลายเซลล์ : เซลล์เมด็ เลอื ดขาว เซลลเ์ น�้อเยอ่ื ลําเลียงในพืช เซลล์ ของสิ่ง มี ชีวิตต่�งๆ เหล่�น้� ภ�ยใน ระวัง! เซลลม์ สี ว่ น ประกอบอะไรบ �้ ง แ ละส ่วนป ระกอบ ของ เซลล์ สิ่ง มี ชีวิตแต่ละ ชนิด เหมือน หรือ • ระวงั อนั ตรายจากวตั ถแุ หลมคม แตก ต่�ง กัน อย่�งไร นักเรียน จะ ได้ ศึกษ� ในกจิ กรรม 4.2 เชน่ เขม็ เข่ีย เซลล์ ของ พืช และ เซลล์ จ�ก ตัว นักเรียน เอง »ากคีบ รวมทéังกระจก»ด ใน กิจกรรม 4.2 สไลด์ทแ่ี ตกหัก 66

กิจกรรม 4.2 รปู ร‹างและส‹วนประกอบของเซลลพ ชื และเซลลส ัตว ตอนที่ 1 เ«ลลพ์ ช× 1. ศึกÉาเ«ลลเ์ ยอ่× หวั หอมแดง 1.1 หยดนาéí บนกระจกสไลด์ 1 หยด 1.2 ใช»้ ากคบี ลอกเย×่อหรอ× ¼วิ ด้านในของ หวั หอมแดงออก แลว้ ตดั เ»šนชิéนเล็กæ วางบนหยดนíาé บนกระจกสไลด์ ระวัง ไม่ให้เน×éอเย×่อพบั «้อนกนั 1.3 หยดสารละลายไอโอดนี 1 หยดบนเย่×อ หวั หอมแดง 1.4 วางกระจก»ดสไลด์ทาí มมุ »ระมา³ 45 องศากบั กระจกสไลด์ดา้ นหน่ึง แลว้ เล×่อน กระจก»ด สไลด์ไ»สัม¼สั กับขอบดา้ นนอก ของหยดนาéí ใชเ้ ขม็ เขีย่ รองรบั กระจก »ด สไลด์ไว้ แลว้ ค่อยæ ลดเข็มเข่ยี ลงจน กระจก»ด สไลด์»ด ลงบนกระจกสไลด์จน สนิท ใชก้ ระดาÉเย×อ่ แตะข้างæ กระจก »ดสไลด์ เพ่อ× «บั ของเหลวสว่ นเกนิ ออก 1.5 นาí ไ»สอ่ งดดÙ ้วยกลอ้ งจลุ ทรรศน์โดยใชเ้ ลนส์ ใกลว้ ัตถกุ าí ลังขยายตí่าและสงÙ ตามลíาดับ สงั เกตและวาดÀาพที่เหน็ ในกล้อง จลุ ทรรศน์ 2. ศึกÉาเ«ลลŠใบสาหรา่ ยหางกระรอก การเตรียมสไลดเ์ ยอ่ื หัวหอมแดง 2.1 ใช»้ ากคีบเดด็ ใบของสาหร่ายหางกระรอก บรเิ ว³ใกล้สว่ นยอด 1 ใบ วางบนหยดนาéí บนกระจกสไลด์อกี แ¼น่ หนง่ึ »ดดว้ ยกระจก »ดสไลด์ 2.2 นíาไ»ส่องดดÙ ้วยกลอ้ งจุลทรรศน์โดยใชเ้ ลนส์ ใกล้วัตถกุ íาลงั ขยายตา่í และสงÙ ตามลíาดับ สังเกตและวาดÀาพทเี่ ห็นในกล้อง จลุ ทรรศน์ การเด็ดใบสาหรา ยหางกระรอก บทท่ี 4 หนว่ ยของสิง่ มชี วี ิต 67

3. เ»รียบเทยี บเ«ลล์พช× ทéังสองชนิด ที่นกั เรียนสังเกตÀายใต้กล้องจลุ ทรรศน์กบั Àาพ ตอ่ ไ»นีé แล้วชสéี ว่ น»ระกอบในÀาพท่นี ักเรยี นวาด ¼นงั เ«ลล์ เย่×อห้มุ เ«ลล์ ไ«โทพลา«ึม นิวเคลยี ส คลอโรพลาสต์ ภาพเซลล์สาหรายหางกระรอก ภายใตก้ ล้องจุลทรรศนแ์ บบใชแ้ สง ¼นังเ«ลล์ เยอ×่ หุ้มเ«ลล์ ไ«โทพลา«ึม นวิ เคลยี ส ภาพเซลล์เย่อื หัวหอมแดง ภายใตก้ ลอ้ งจุลทรรศน์แบบใชแ้ สง ? อธิบายลักษณะและสวนประกอบสําคัญของเซลลเยือ่ หวั หอมแดงและเซลล ของใบสาหรายหางกระรอก ? จากการศึกษาเซลลภ ายใตกลอ งจุลทรรศน สว นประกอบใดท่ีพบในเซลล ของใบสาหรา ยหางกระรอก แตไมพ บในเซลลเยือ่ หัวหอมแดง 68

ตอนท่ี 2 เ«ลล์สตั ว์ การใชก้ ้านสาํ ลขี ดู เยอื่ บขุ า้ งแกม้ 1. หยดนาíé เกลอ× ความเข้มข้น 0.85% เย×อ่ หุ้มเ«ลล์ 1 หยดบนกระจกสไลด์ นิวเคลยี ส ไ«โทพลา«มึ 2. ใชก้ า้ นสาí ลที ่สี ะอาด ขดÙ เบาæ ที่ดา้ นใน ของกระพุ้งแกม้ แล้วนíาไ»แตะลงบน ภาพเซลล์เยื่อบขุ ้างแก้มภายใต้ หยดนéíาเกล×อบนกระจกสไลด์ กลอ้ งจุลทรรศนแ์ บบใชแ้ สง 3. หยดสารละลายไอโอดนี 1 หยดลงบน หยดนéาí เกล×อ แล้ว»ด ด้วยกระจก »ด สไลด์ 4. นาí สไลด์ไ»ส่องดÙดว้ ยกลอ้ งจลุ ทรรศน์ โดยใชเ้ ลนสŠใกล้วตั ถุกíาลังขยายตาí่ และ สงÙ ตามลíาดบั สังเกตและวาดÀาพ 5. เ»รียบเทียบเ«ลล์ทีส่ ังเกตไดÀ้ ายใต้ กล้องจลุ ทรรศน์กับÀาพเ«ลลต์ ่อไ»นีé แล้วชสีé ่วน»ระกอบในÀาพทนี่ ักเรยี นวาด ? ในการศึกษาเซลลพ ืชและเซลลส ัตว นกั เรยี นคิดวาเหตใุ ดจึงตองหยด สารละลายไอโอดีน ? อธบิ ายลักษณะและสวนประกอบสําคัญของเซลลเยือ่ บขุ างแกม ? อธิบายพรอมท้ังเปรียบเทียบรูปรางและสว นประกอบของเซลลเย่ือหวั หอมแดง เซลลข องใบสาหรา ยหางกระรอกและเซลลเย่อื บุขา งแกม จ�ก กิจกรรม 4.2 นักเรียน คงจะ เห็น แล้ว ว่� เซลล์ พืช และ เซลล์ สัตว์ แตก ต่�ง กัน ท้ัง รูป ร่�ง และ ส่วน ประกอบ บ�ง อย่�ง นักเรียน ส�ม�รถ ศึกษ� ส่วน ประกอบ สำ�คัญ ของ เซลล์ พืช และ เซลล์ สัตว์ ต ลอด จนค ว�มแ ตก ต่�ง ระหว�่ ง เซลล์ ท้ังส องไ ดเ้ พิ่ม เติม จ�ก ภ�พ 4.4 บทที่ 4 หน่วยของสิ่งมีชีวติ 69

เซลลพ์ ืช ¼นงั เ«ลล์ เซลลส์ ัตว์ เยอ่× หุ้มเ«ลล์ แวควิ โอล นิวเคลียส คลอโรพลาสต์ ออร์แกเนลลอ์ ่น× æ ภาพ 4.4 สว นประกอบสาํ คัญของเซลลพ์ ืชและเซลล์สตั ว์ นักเรียน จะ เห็น ได้ ว่� เซลล์ พืช และ เซลล์ สัตว์ มี ส่วน ประกอบ 3 ส่วน ท่ี เหมือน กัน ได้แก่ เยอ่ื ห ุ้ม เซลล์ ไ ซโ ทพ ล� ซมึ และ นิวเคลยี ส 1. เยือ่ หุมเซลล อยู่ด �้ นน อกส ุด ของเ ซลล์ ทำ� หน�้ ทหี่ ่อห ุ้มส ่วน ต�่ งๆ ทอี่ ย่ภ ู �ยใน เซลล์ อ ีกท ้งั ยงั ค วบคมุ ปริม�ณ และ ชนิด ของ ส�ร ที ่เข�้ แ ละ ออก จ�กเ ซลล์ ส �ำ หรบั เซลลพ ์ ชื ย งั มผ ี นงั เซลลห่อ หมุ้ เยอ่ื หมุ้ เซลล์ อีก ชั้นห น่งึ ท�ำ ให ้เซลล์พ ืชแ ละส ว่ นต �่ งๆ ข องพ ชื คง รูป ร�่ งอ ยไ ู่ ด ้ ผนัง เซลล์ม ัก จะ ยอม ให้ ส�ร เกือบท กุ ชนดิ ผ �่ นเ ข�้ แ ละอ อกไ ด้ 2. ไซโทพลาซมึ เ ปน็ ส ว่ นท อ ่ี ยภ ู่ �ยในเ ยอ่ื ห มุ้ เ ซลล ์ ม ล ี กั ษณะก ง่ึ เ หลว ป ระกอบด ว้ ยน �้ำ เ ปน็ ส ว่ นใ หญ ่ โ ดยม ส ี �รต �่ งๆ ล ะล�ยแ ละแ ขวนลอยอ ย ู่ ท งั้ ส �รท จ ่ี �ำ เปน็ ต อ่ ก �รด �ำ รงช วี ติ ข องเ ซลล ์ เ ชน่ น �้ำ ต�ล โ ปรตนี รวมท งั้ ของเ สยี ต�่ งๆ จ�กก จิ กรรมข องเ ซลลด ์ ้วย นอกจ�กน ้ันภ �ยใน ไซโ ทพ ล�ซ มึ ยัง ม ีสว่ นป ระ กอบ เล็กๆ เรียก ว�่ อ อรแกเนลล กระจ�ยอ ยู่ท ่ัวไป ออรแ ์ กเนลล์ม ห ี ล�ยช นิด ท�ำ หน้�ท ่ีแตก ต่�งก นั ในก ระบวนก�รด ำ�รง ชีวิต ของ เซลล ์ เ ซลล์ พืช และส ตั ว์ มีอ อร์แ กเนลลบ ์ �ง ชนดิ ท ่ีเหมือน กนั และ บ�งช นดิ แตก ต�่ งก นั เ ช่น • แวคิวโอล เป็น ออร์ แกเนลล์ ที่ มี อยู่ ท้ัง ใน เซลล์ พืช และ เซลล์ สตั ว ์ มล ี ักษณะ เปน็ ถ ุง ภ �ยใน ม ีส�รละล�ย อย ู่ แวค ิวโ อล ใน เซลล พ์ ชื เ กบ็ ส ะสมน �้ำ แ ละส �ร อน่ื ๆ ท งั้ ท ม ่ี ป ี ระโยชนแ ์ ละไ มม่ ป ี ระโยชน ์ น อกจ�ก รสเ»รยéี วของมะนาว นนั้ เ ซลลบ์ �งเ ซลล์ เ ชน่ เซลล์ เม็ด เลอื ด ข�ว ย ังม แี วค วิ โอลท ่ ีเกดิ จ �ก มาจากกรดท่อี ยÙ่ใน ก�รนำ�ส �ร เข�้ ส ูเ่ ซลล ์ ส่วนส ิง่ มช ี ีวิต เซลล์ เดยี ว บ�งช นดิ ม ีแ ว คิวโ อล ท่ ี แวคิวโอล ทำ�ห น้�ทีค ่ วบคมุ ป รมิ �ณ นำ้� และ ของเ สียภ �ยในเ ซลล ์ • คลอโรพลาสต เป็น ออร์ แกเนลล์ ที่ พบ ใน เซลล์ พืช มี ลักษณะ เป็นเ มด็ เ ลก็ ๆ ภ �ยในม ี ส�ร คลอ โร ฟล ลซ์ ึง่ ม ีส ีเขียว ทำ�ห น้�ท ี่ สำ�คัญใ นก ระบวนก�รส ังเคร�ะห์ ดว้ ยแ สง 70

3. นิวเคลียส เป็น ออร์ แกเนลล์ ท่ี มี รูป ร่�ง ค่อน ข้�ง กลม ภ�ยใน มี ส�ร ท่ี ควบคุม ลักษณะ ท�ง พนั ธกุ รรม และค วบคมุ ก�รท ำ�ง�นห รือ กจิ กรรม ต�่ งๆ ข องเ ซลล ์ ซึง่ ม ี ผลต ่อ ก�ร ด�ำ รง ชวี ิตข องสง่ิ ม ีชีวิต เซลล ์ท่ี นกั เรียนเ หน็ ใน กจิ กรรม 4.2 เ ป็นเ ซลลจ ์ �ก สว่ น เล็กๆ ของ ตวั น ักเรียน เอง หัวห อมแดง และส �หร�่ ยห �ง กระรอก นักเรยี นค ิดว �่ เซลล์ใ นบ รเิ วณต �่ งๆ ของ พืช และ สัตว ์ จะ ม ีรูป ร�่ งแ ตก ต่�งก ัน หรอื ไ ม่ ใ ห้พ ิจ�รณ�ภ �พ 4 .5 เ«ลลค์ มุ บรเิ ว³ใบ เ«ลล์ขนราก เ«ลล์เร³Ù เ«ลลเ์ มด็ เล×อดแดง จากเกสรเพศ¼้Ù เ«ลล์»ระสาท เ«ลล์กลา้ มเน×éอ เ«ลลอ์ สุจิ เ«ลล์เย่×อบ¼ุ วิ ลíาไส้เล็ก ภาพ 4.5 เซลลจ์ ากสว นตางๆ ของพืชและสตั ว์ เซลลเ หลา น�ม้ รี ูปรางเปน อยา งไร สงิ่ มชี วี ิตหลายเ«ลล»์ ระกอบดว้ ยเ«ลลท์ ่มี ี นักเรยี นเหน็ สวนประกอบใดบาง ร»Ù รา่ งแตกต่างกันไ» เ«ลลต์ ่างæ เหลา่ นีé ในเซลลเ หลาน้� ทาí หนา้ ทีแ่ ตกตา่ งกนั ดว้ ย แต่สาí หรบั สิ่งมีชวี ิตเ«ลล์เดยี ว กระบวนการดาí รงชีวติ ทัéงหมดเกิดขึéนในเ«ลลเ์ พียง 1 เ«ลล์ บทที่ 4 หน่วยของส่งิ มชี วี ติ 71

ในส งิ่ ม ช ี วี ติ ห ล�ยเ ซลล ์ เ ซลลแ ์ ตล่ ะบ รเิ วณอ �จม ร ี ปู ร �่ งล กั ษณะแ ตกต �่ งก นั ต �มห น�้ ทข ี่ องเ ซลล ์ เซลลท ์ ม ี่ ร ี ปู ร �่ งค ล�้ ยก นั จ ดั เ รยี งต วั เ ปน็ กล มุ่ เ พอื่ ท �ำ ห น�้ ทอ ่ี ย�่ งเ ดยี วกนั เ รยี กว �่ เนอ�้ เยอ่ื เ ชน่ เ นอ�้ เยอื่ ทท ี่ �ำ หน้�ท ่ลี �ำ เลยี ง น�้ำ แ ละ อ�ห�รข องพ ืช เ นอ้� เยื่อบผุ วิ ท �งเ ดิน อ�ห�ร ของ มนุษย์ เ ปน็ ตน้ 4.3 การลาํ เลยี งสารเขŒาและออกจากเซลล เ ซลลข ์ องส ง่ิ ม ช ี วี ติ จ ะด �ำ รงช วี ติ อ ยไ ู่ ดจ ้ �ำ เปน็ ต อ้ งไ ดร ้ บั อ �ห�รแ ละแ กส อ อกซเิ จนจ �กภ �ยนอกเ ซลล ์ เข�้ สภู่ �ยในเ ซลล์ และต ้องก ำ�จดั ส �ร และข อง เสยี จ �กภ �ยในเ ซลลอ์ อก ส่ ูภ�ยนอก กอ่ น จะศ กึ ษ�ก �ร เคลือ่ นที่ ของ อนภุ �ค ของส �รต �่ งๆ เ ข�้ และอ อกจ �ก เซลล ์ ม �ศึกษ�ก ัน ก่อนว �่ โดย ทัว่ ไป แลว้ อ นุภ�ค ของ ส�ร เคลอ่ื นทอี่ ย�่ งไร กจิ กรรม 4.3 การแพรข‹ องสาร 1. ใสน่ าéí 30 cm3 ลงในบกี เกอร์ ระวงั 2. ใชช้ ้อนตักเกล็ดด่างทับทิม 2-3 เกล็ดหย่อน หลีกเลี่ยงไม่ใหด้ ่างทบั ทิม ลงในนาéí สังเกตการเ»ล่ียนแ»ลงÀายในเวลา สมั ¼สั กับร่างกาย โดยเ©พาะ 5 นาที ดวงตา ? หลงั จากหยอ นเกลด็ ดางทับทมิ ลงไปในนํ้า เกดิ การเปล่ียนแปลงอยางไร และนักเรียนจะอธิบายไดอ ยางไร จากบทที่ 2 นักเรียนคงคุ้นเคยกับเร่×องความเขม้ ขน้ ของสารละลายแล้วว่า เ»นš อตั ราสว่ น ระหวา่ ง»รมิ า³ของตวั ละลายกบั »ริมา³ของตวั ทíาละลายในสารละลายนัéน นกั เรยี นอ¸ิบายไดห้ ร×อไมว่ ่าสารละลายเขม้ ขน้ และสารละลายเจ×อจางแตกตา่ งกันอย่างไร 72

เม่ือเ กลด็ ด�่ งท ับทิมล ะล�ย น้�ำ เ ร� จะ เหน็ ว�่ น�ำ้ บ รเิ วณใ กล้ กบั เ กลด็ ด �่ งท บั ทมิ ม สี ี ม่วง เนอ่� งจ�ก อนภุ �ค ของด �่ งท บั ทมิ กระจ�ย ออกไ ปท กุ ท ิศท�ง จนใ นท ีส่ ดุ น ้ำ� ทัง้ บีกเ กอร์ก ็จ ะ มส ี ีม ว่ ง ของ ด�่ ง ทับทิม ทั่ว ถึงกัน ท้ังหมด ปร�กฏก�รณ์ ดัง กล่�ว น้� เรียก ว่� ก ารแพร  ซ่ึง เป็นก�ร เคลื่อนท่ี ของ อนุภ�ค ของ ส�ร จ�ก บริเวณที่ มี คว�ม เข้ม ข้น ของ อนุภ�ค ของ ส�ร ม�ก ไป สู่ บริเวณท่ี มี คว�ม เข้ม ข้น ของ อนุภ�ค ของ ส�ร น้อย กว�่ เมอื่ เวลาผา นไป เมื่อเวลาผานไป ภาพ 4.6 การแพรข องสารจากบรเิ วณทมี่ คี วามเข้มขน้ มากไปบรเิ วณท่มี คี วามเขม้ ข้นน้อยกวา ในชวี ิตประจําวันนักเรยี นมปี ระสบการณเ ก่ียวกับการแพร ของสารบางหรือไม อธบิ ายพรอ มกับยกตวั อยา งประกอบ จ�กก จิ กรรม 4 .3 ใ หน ้ กั เรยี นล องจ นิ ตน�ก�รถ งึ ก �รเ คลอ่ื นทข ี่ องอ นภุ �คว �่ อ นภุ �คข องส �รแ ตล่ ะ อนภุ �คม ก ี �รเ คลอื่ นท่ีโ ดยอ สิ ระ แ ตโ ่ ดยร วมแ ลว้ จ ะส ง่ ผ ลใ หส ้ �รม ก ี �รแ พรจ ่ �กบ รเิ วณท ม ่ี จ ี �ำ นวนอ นภุ �ค ม�ก ไ ปส ่บู ริเวณ ท ม่ี จ ี �ำ นวนอ นภุ �คน อ้ ย กว�่ บทท่ี 4 หน่วยของส่งิ มชี ีวติ 73

ก�ร แพร่ ของ ส�ร เข้� และ ออก จ�ก เซลล์ ก็ เกิด ข้ึน ใน ลักษณะ คล้�ย กัน ส�ร หล�ย ชนิด ส�ม�รถ แพร ่ผ่�น เยือ่ ห ุ้ม เซลล์ไ ด ้ เชน่ น �้ำ แ กส ออกซเิ จน แกส ค�รบ์ อนไดออกไซด์ ดัง นน้ั เมือ่ ค ว�มเ ข้ม ขน้ ของ ส�ร ภ�ยนอก เซลล์ ม�กกว่� ภ�ยใน เซลล์ ส�ร จึง แพร่ เข้� สู่ เซลล์ ใน ท�ง กลับ กัน ถ้� คว�ม เข้ม ข้น ของ ส�ร ภ�ยใน เซลล์ ม�กกว่� ภ�ยนอก ส�ร ก็ จะ แพร่ ออก จ�ก เซลล์ กระบวนก�ร น้� มี คว�ม สำ�คัญ ต่อ สง่ิ ม ชี ีวติ อ ย�่ ง ม�ก ¡ (ก.1) ในส ภ�พ แวดล้อมท ี ค่ ว�ม (ก.2) เมอ่ื ส ภ�พ แวดลอ้ ม (ก.3) เมื่อค ว�มเ ขม้ ข้น ภ�ยนอก เขม้ ข้น ของส �รภ �ยนอก เปล่ียนแปลง โดย คว�ม และภ �ยในเ ซลล์ อย่ใู น และ ภ�ย ในเซลลใ์ กลเ ้ คียงก ัน เขม้ ข น้ ของ ส�รภ �ยนอก ระดบั ท ใ ่ี กล้ เคียง กัน ปรมิ �ณอ นุภ�ค ท ่ีเคล่ือนที่ เ ซลล ์ม�กกว่� ภ�ยใน เซลล ์ อกี คร้งั ก�ร เคล่อื นท่ ี เข้� และ ออก เซลล์ จะ ปริม�ณอ นุภ�คท เ ี่ ข้� ส่ ู ของส�รเ ข�้ และ ออกจ �ก ใกล เ้ คยี ง กัน เซลล์ จะม �กกว่� ปริม�ณ เซลล์กจ ็ ะเ ท�่ กัน อนุภ�คท ี ่ออก จ�กเ ซลล ์ ¢ (ข.1) ใน สภ�พแ วดลอ้ มท ่ คี ว�ม (ข.2) เมอ่ื ส ภ�พแ วดล้อม (ข.3) เ ม่อื คว�ม เข้ม ขน้ ภ�ยนอก เขม้ ข ้นข องส �รภ �ยนอก เปลย่ี นแปลง โดย คว�มเ ขม้ ข้น และภ �ยใน เซลลอ ์ ย ใู่ น และ ภ�ย เซลล์ ใกล เ้ คยี ง กัน ของส �รภ �ยนอกเ ซลล ์น้อย กว�่ ร ะดับ ที่ ใกล้ เคียง กนั อ ีก ครั้ง ปริม�ณ อนภุ �ค ทเี ่ คล่ือนที่ ภ�ยใน เซลล ์ ป รมิ �ณ อนภุ �คท ่ี ก�ร เคล่อื นที ่ของส �รเ ข�้ เข้� และอ อกเ ซลลจ์ ะ ออกจ �กเ ซลล์ จะ ม�กกว่� และอ อกจ �ก เซลล ก์ จ็ ะ ใกล ้เคียงก ัน ปริม�ณ อนุภ�คท ี เ่ ข�้ ส เ ู่ ซลล ์ เท่�ก ัน ภาพ 4.7 ก. การแพรของสารเมือ่ เซลลอ์ ยูในสภาพแวดลอ้ มท่ีมคี วามเข้มข้นของสารมากกวา ภายในเซลล์ ข. การแพรของสารเม่อื เซลล์อยูในสภาพแวดล้อมที่มีความเข้มขน้ ของสารน้อยกวาภายในเซลล์ 74

ก �รแ พรเ ่ ปน็ ก ลไกท ส ี่ �รห ล�ยช นดิ ผ �่ นเ ข�้ แ ละอ อกจ �ก เม่อื นําผัก ผลไมท ีเ่ ห่ยี ว เซลล ์ แ ตก ่ ย ็ งั ม ส ี �รอ กี ห ล�ยช นดิ ท ี่ไ มส ่ �ม�รถแ พรผ ่ �่ นเ ยอื่ ห มุ้ ไปแชน ํ้าไวส กั ครู เซลล์ไ ดโ้ ดยตรง เชน่ ส �ร ท่ม ี อี นภุ �คข น�ดใ หญ ่ เ ย่อื ห มุ้ เซลล ์ ผักและผลไมจะเตง ข้นึ จงึ เ ปน็ เยอ่ื เลอื กผา นทส ่ี �ม�รถค วบคมุ ก �รผ �่ นเ ข�้ และออกจ �ก นกั เรียนสงสัยหรือไมว า เซลล์ ของส �รต �่ งๆ ได ้ เหตุใดจงึ เปนเชนนั้น น้ำ� ส�ม�รถ ผ่�น เย่ือ หุ้ม เซลล์ ได้ โดย อิสระ และ ก�ร เคลื่อนที่ ของ นำ้� เข้� และ ออก จ�ก เซลล์ ก็ มี คว�ม สำ�คัญ ม�ก ต่อ ก�รด �ำ รง ชวี ิต ของส ิ่ง มีช ีวติ ต �่ ง ๆ นกั เรียนจ ะไ ด ้ศกึ ษ�ก �รแ พร ่ ของน �้ำ ผ�่ น เยือ่ เลือก ผ�่ น ใ น กจิ กรรม 4.4 กจิ กรรม 4.4 การแพร‹ผ‹านเย่อื เลือกผ‹าน 1. นíาเ«ลโลเ¿นขนาด 15 cm x 15 cm ชุบนาéí ให้เ»‚ยก บุลงในบีกเกอร์เ»ล่า ขนาด 100 cm3 แล้วนาí สารละลายนíาé ตาลทรายความเข้มข้น 20% เทลงในบีกเกอร์ 30 cm3 2. นíาหลอดแก้วขนาดเสน้ ¼่านศนÙ ย์กลาง 0.5 cm หลอดแกว้ ยาว 20 cm จ่มุ ลงในสารละลายนíéาตาลทราย นéíา ในบีกเกอร์ แลว้ รวบแต่ละด้านของเ«ลโลเ¿น เข้าดว้ ยกันให้เ»นš ถงุ ถงุ เ«ลโลเ¿น 3. ใชย้ างรัด»ากถุงติดกับหลอดแกว้ ให้แน่น สารละลาย โดยพยายามอย่าใหม้ ¿ี องอากาศ นéาí ตาล ในหลอดแก้วและในถุงเ«ลโลเ¿น 4. ยึดหลอดแก้วกับขาตัéง ให้ตงัé ตรง ชดุ ทดลองการแพรผา นเยอ่ื เลอื กผา น ทาí เคร×อ่ งหมายแสดงระดบั ของเหลวในหลอด 5. ใส่นาíé ลงในบกี เกอรŠใบเดิม ใหร้ ะดบั นíéา ในบีกเกอรอ์ ยÙ่ใตย้ างที่รดั »ากถุงเลก็ น้อย 6. สงั เกตการเ»ล่ียนแ»ลงในเวลา 5 นาที บันทกึ ¼ล ? ระดบั ของเหลวในหลอดแกว จะเปล่ียนแปลงอยางไร เพราะเหตใุ ด บทที่ 4 หน่วยของส่ิงมีชีวติ 75

ระดับสารละลายนาํ้ ตาลทรายในหลอดแกว ตัง้ แตเ ร�ิมจนส้ินสดุ การทดลองมกี าร เปลย่ี นแปลงอยา งไร และจะอธิบายปรากฏการณท เ่ี กิดข้ึนไดอ ยางไร ถาต้งั ชุดทดลองไวต อไปอีกระยะหนง�ึ นกั เรียนคิดวา ระดบั ของสารละลายในหลอดแกว จะเปนอยา งไร และความเขมขน ของสารละลายนา้ํ ตาลทรายในถงุ เซลโลเฟนจะมากหรอื นอยกวา 20% ถา ทําการทดลองใหม โดยเปล่ียนแปลงความเขม ขน ของสารละลายนา้ํ ตาลทรายภายใน ถุงเซลโลเฟน นกั เรยี นคิดวา ระดับสารละลายนํา้ ตาลทรายในหลอดแกว จะมกี าร เปลย่ี นแปลงหรอื ไม อยา งไร จ�กก จิ กรรม 4.4 ก �รเ ปล่ียนแปลง ระดับ นกั เรยี นเคยพบกบั เ«ลโลเ¿นมาแล้ว ของเหลวใ นห ลอดแ กว้ แ สดงว �่ ม ก ี �รแ พรข ่ องน �้ำ เ«ลโลเ¿นเ»šนเย่×อเล×อก¼า่ น ท่ยี อมให้ จ�กภ �ยนอก ถงุ เ ซลโ ลเฟน ผ �่ น เข�้ ไปภ �ยใน ถงุ อนÀุ าคของสาร¼่านได้ แตอ่ นุÀาค อนÀุ าคของสารนันé ตอ้ งมีขนาดเล็กกวา่ รÙ ต �มค ว�มเ ข�้ ใจเ กยี่ วก บั ก �รแ พร ่ น กั เรยี น ของเ«ลโลเ¿น จึงจะลอด¼า่ นไ»ได้ คงจะ อธิบ�ย ได้ ว่� เหตุ ใด น้ำ� ที่ อยู่ ในบีก เกอร์ จึง แพร่ เข้� สู่ ถุง เซล โลเฟ นท่ี บรรจุ ส�รละล�ย น �ำ้ ต�ล ทร�ย 2 0% เซล โลเฟน เป็น เย่ือ เลือก ผ่�น ซ่ึง ยอม ให้ อนุภ�ค ของน้ำ� ผ่�น ได้ แต่น้ำ�ต�ล ทร�ย มี ขน�ด อนุภ�ค ใหญ ่กว�่ ร ู ของ เซล โลเฟน จ ึงไม ส่ �ม�รถ ผ่�นเ ซลโ ลเฟน ได้ กระบวนก�ร แพร่ ของ น้ำ� จ�ก บริเวณ ที่ มี อนุภ�ค น้ำ� ม�ก ไป สู่ บริเวณ ท่ี มี อนุภ�ค นำ้� น้อย กว่� ผ่�น เย่ือ เลือก ผ่�นน �้ เรียกว ่� กระบวน ก� รออสโมซิส อ �จก ล�่ วไ ดอ ้ กี อ ย�่ งห นง่ึ ว �่ อ อส โ มซ ส ิ เ ปน็ ก�รเ คลอ่ื นทข ่ี องน �ำ้ จ �กส �รละล�ยท ม ี่ ค ี ว�มเ ขม้ ข น้ น้อยไ ปส ู่ ส�รละล�ยท ่มี ี คว�มเ ขม้ ข ้นม �ก ผ่�นเ ยอ่ื เ ลือก ผ่�น 76

อนภุ าคของน้ํา อนุภาคของสาร ทศิ ทางการ ออสโมซิสของน้ํา ภาพ 4.8 น้ําออสโมซิสจากภายนอกเข้าสภู ายในเซลล์ซึ�งมคี วามเข้มขน้ ของอนุภาคสารมากกวาภายนอก ออส โ มซ ส ิ เ ปน็ กร ะบ วนก �รท ส ี่ �ำ คญั ย งิ่ ใ นก �รด �ำ รงช วี ติ ข องส ง่ิ ม ช ี วี ติ เ นอ�่ งจ�กเ ซลลข ์ องส ง่ิ ม ช ี วี ติ มีน �ำ้ เปน็ ส่วนป ระกอบห ลัก แ ละ เซลล ์จะอ ยู่ใ น ส่ิงแ วดล้อม ทสี่ ัมผัสก ับ น้�ำ อ ย ู่ตลอด เวล� ก �รแ พรแ ่ ละอ อส โ มซ สิ น อกจ�กจ ะม ค ี ว�มส �ำ คญั ต อ่ ก จิ กรรมต �่ งๆ ภ �ยในเ ซลลแ ์ ลว้ ย งั เ กย่ี วขอ้ ง กับ กระบวนก�รล �ำ เลยี ง ส�ร ต่�งๆ ใ นพ ชื ซ ง่ึ นักเรยี นจ ะไ ดศ้ ึกษ�ก �ร ลำ�เลยี ง ใน พชื ต ่อไ ป ตน หอมสวยๆ สาํ หรับตกแตง จานขาวผัดน้� เกย่ี วของกบั กระบวนการ ออสโมซสิ หรอื ไม อยางไร บทที่ 4 หนว่ ยของส่งิ มชี ีวิต 77

1. ใหเปรียบเทียบความเหมอื นและความแตกตางของเซลลพืชและเซลลสัตวโดยใชแผนภาพ ตอไปน้� สวนทีเ่ หมอื นกันใหเขียนไวตรงกลางที่วงกลมทับซอ นกนั สวนท่ีแตกตางกัน ใหเ ขยี นลงในวงกลมในสวนที่ไมท ับซอน เ«ลล์พ×ช เ«ลลส์ ัตว์ 2. อะมบี าเปน ส�ิงมชี ีวิตเซลลเ ดยี วทต่ี องการออกซเิ จนเพ่อื การหายใจ โดยมี คารบ อนไดออกไซดเกิดข้ึนจากกระบวนการน้� ใหน ักเรยี นเขยี นลูกศร แสดงทศิ ทางการแพรข องออกซเิ จนและคารบอนไดออกไซด ผาน เยือ่ หุมเซลลข องอะมีบา พรอมอธิบายวาเหตใุ ดจงึ เกิดการแพรใน ทศิ ทางนนั้ 3. เด็กหญิงสายปานตอ งการศึกษาเซลลเม็ดเลือดแดงภายใตก ลอ งจุลทรรศน โดยเตรียม สไลดด ว ยการหยดตัวอยางเลือดลงบนหยดนํ้ากลั�นบนกระจกสไลด แลวนาํ ไปศกึ ษาภายใต กลอ งจลุ ทรรศน พบวาเซลลเ ม็ดเลอื ดแดงในสไลดทกุ เซลลแตกหมด 3.1 ในการทดลองน้� ความเขม ขนของสารภายในและภายนอกเซลลเ มด็ เลอื ดแดง แตกตางกันอยา งไร 3.2 นักเรยี นคดิ วาเหตุใดเซลลเ มด็ เลือดแดงจงึ แตก

การดาํ รงชีวิตของพืช จุดประสงคก ารเรยี นรŒู สังเกตและอธบิ ายโครงสรางและหนา ท่ีของการลาํ เลยี งนา้ํ และอาหารของพชื และกระบวนการท่ีเก่ียวของกบั การลําเลยี งนํา้ ในพืช ทดลองและอธิบายปจจัยบางประการท่จี ําเปน ในกระบวนการสังเคราะห ดว ยแสงและผลทีไ่ ดจากการสงั เคราะหดว ยแสง อธบิ ายความสําคัญของกระบวนการสงั เคราะหดวยแสงท่ีมีตอส�ิงมีชวี ติ และ สง�ิ แวดลอ ม สงั เกตและอธบิ ายโครงสรางท่ใี ชในการสืบพนั ธุท ้ังแบบอาศยั เพศและ ไมอ าศัยเพศของพชื อธบิ ายกระบวนการสืบพันธุแ ละการเจริญเติบโตของพชื ทดลอง สํารวจและอธิบายเกี่ยวกบั การตอบสนองของพชื ตอสง�ิ เราบางชนดิ อธิบายหลักการและผลของการใชเทคโนโลยีชีวภาพในการขยายพนั ธุ ปรบั ปรุงพนั ธุ และเพมิ� ผลผลติ รวมถงึ การนําความรไู ปใชป ระโยชน

พืชมีกิจกรรมตางๆ ในการดํารงชีวิตเชนเดียวกับส�ิงมีชีวิตอ่ืนๆ เชน เจริญเติบโต สืบพันธุ เคลื่อนไหว หายใจ การตอบสนองตอส�ิงแวดลอม เปนตน ในการดําเนินกิจกรรมเหลาน�้พืชตองใช พลังงานท่ีไดจ ากการหายใจ ซึง� เปน การเผาผลาญอาหารท่ีพชื สรางข้ึนเองจากกระบวนการสังเคราะห ดว ยแสง ในการสงั เคราะหด ว ยแสงพชื จาํ เปน ตอ งใชน าํ้ เปน วตั ถดุ บิ ในการสรา งอาหาร ซง�ึ พชื ตอ งลาํ เลยี งนา้ํ จากรากไปยงั ใบและสว นตา งๆ ของพชื หลงั จากนน้ั พชื กจ็ ะลาํ เลยี งอาหารไปยงั เนอ�้ เยอ่ื ทกุ สว นของพชื พืชลําเลยี งนํ้าและอาหารอยา งไร 5.1 การลําเลยี งนา้ํ และอาหารของพชื นักเรียนไดเคยเรียนมาแลววา รากพชื ทาํ ¢¹ÃÒ¡ หนา ทดี่ ดู นา้ํ และแรธ าตทุ ลี่ ะลายปนอยูในนา้ํ โดย ÃÒ¡ มขี นราก ซง�ึ เปน สว นของเซลลผ วิ รากทย่ี นื่ ออกไป ขนรากมีลักษณะเปนเสนเล็กๆ จํานวนมากอยู รอบๆ ราก ทาํ หนาทีด่ ูดนาํ้ จากภาพ 5.1 ลักษณะและจาํ นวนของขนรากมี ภาพ 5.1 เมล็ดขา วโพดทกี่ าํ ลงั งอก ความเหมาะสมกบั การดูดนํา้ ในดนิ อยางไร แสดงสวนขนราก นํา้ ท่พี ืชดูดขึ้นมาจะลําเลียงไปสูสว นใดของพชื นกั เรยี นจะไดศึกษาจากกิจกรรมตอไปน้� กิจกรรม 5.1 การลาํ เลียงนํา้ ของพชื 1. ãʹ‹ Òíé ŧ㹢Ǵ»Ò¡¡ÇÒŒ §ËÃÍ× º¡Õ à¡Í⏠¹Ò´ 2Ë5Â0´Åc§mã¹3 º»Õ¡ÃàСÁÍÒóŠãºË43¹¢è֧ͧáÀÅҌǪ¤¹¹Ðãˌࢌҡѹ Ë´¹éÒí ÊÕ¼ÊÁÍÒËÒÃÊÕá´§ËÃÍ× Ê¹Õ Òíé à§Ô¹ 20 2. ¹Òí ¾×ª·ÕèÁÅÕ íÒµ¹Œ ãÊáÅÐÁÃÕ Ò¡µÔ´Í‹ÁÙ Ò 1 µŒ¹ હ‹ µŒ¹à·Õ¹ºÒŒ ¹ µ¹Œ ¡ÃÐ椄 (ËÃÍ× ÍҨ㪌 ¡ŒÒ¹ãº¾ª× ·ÕèÁàÕ ÊŒ¹ãºà˹ç ä´ªŒ ´Ñ ਹ હ‹ 㺼ѡ¡Ò´¢ÒÇ) Ê§Ñ à¡µáÅк¹Ñ ·Ö¡ ÅѡɳÐÃÒ¡ ÅÒí µŒ¹ áÅÐ㺠80

3. ᪋¾ª× ¨Ò¡¢ÍŒ 2 ŧã¹ÀÒª¹Ð·èºÕ Ãè¹Ø Òíé ÊÕ ¨¹¡Ãз§Ñè à˹ç ÊàÕ ¤Åè×͹仺ÃàÔ Ç³µÒ‹ §æ ¢Í§ ¾ª× ઋ¹ ÅÒí µ¹Œ 㺠4. ¹íÒ¾ª× ¢é¹Ö ¨Ò¡¹éÒí ÊÕ Ê§Ñ à¡µáÅкѹ·Ö¡¡ÒÃà»ÅÂèÕ ¹á»Å§¢Í§¾×ª ¨Ò¡¹¹éÑ ãªÁŒ մ⡹ẋ§ ÅíÒµ¹Œ Í͡໚¹ 2 ·‹Í¹ ·‹Í¹·ÕËè ¹Ö§è ãªÁŒ մ⡹¼Ò‹ µÒÁá¹ÇÂÒǢͧÅíÒµ¹Œ áÅÇŒ 㪌áÇ‹¹¢ÂÒ ʋͧ´ÙºÃÔàdz·µÕè Ô´ÊÕ Ê§Ñ à¡µáÅкѹ·Ö¡¼Å 5. Ë´¹Òéí º¹ÊäÅ´ 1-2 Ë´ áÅÇŒ ¹íÒÅíÒµŒ¹·‹Í¹·èÕ 2 µ´Ñ µÒÁá¹Ç¢ÇÒ§â´ÂãªÁŒ ´Õ ⡹µ´Ñ ãËŒºÒ§·èÕÊ´Ø áÅÇŒ Çҧŧº¹Ë´¹Òéí º¹ÊäÅ´ »´ ´ŒÇ¡ÃШ¡»´ÊäÅ´ ¹íÒä»Ê‹Í§´´Ù ŒÇ ¡ÅÍŒ §¨ØÅ·ÃÃȹ¡íÒÅѧ¢ÂÒµèíÒ Ê§Ñ à¡µÊ‹Ç¹·µèÕ ´Ô ÊÕ ÇÒ´ÀÒ¾ áÅк¹Ñ ·Ö¡Ê§èÔ ·Õàè Ëç¹ ? น้าํ สีมลี ําดับการเคล่ือนท่จี ากบริเวณใดไปยัง บริเวณใดของพชื ? เมือ่ นาํ สว นของลําตนมาผาตามแนวยาวและตัด ตามขวาง แลวสังเกตสว นท่ีตดิ สี สวนของลาํ ตน มกี ารตดิ สอี ยา งไร และสว นน้ันนา� จะทาํ หนาที่ใด ? นักเรยี นจะนาํ ความเขาใจเกี่ยวกบั การลําเลียงน้าํ ของพืชทไี่ ดเ รยี นรูจ ากกจิ กรรมน�้ไปใชป ระโยชน อยา งไรบาง ตนกระสังในนาํ้ สี จากกจิ กรรม เมอ่ื สงั เกตสว นตา ง ๆ ของพชื จะเหน็ บรเิ วณทต่ี ดิ สี มลี กั ษณะเปน เสน เลก็ ๆ ตอ เนอ� ง จากสวนราก ลําตน จนถึงสว นยอด ถา สังเกตบรเิ วณอืน่ ๆ เชน กา นใบและเสน ใบ จะเหน็ สตี ิดอยทู ่ี บรเิ วณเหลา นั้นดวย เม่ือนําสวนของลําตนมาตัดตามขวางใหบางที่สุดแลวสองดูดวยกลองจุลทรรศน จะเห็นวามี เน้�อเยื่อท่ีติดสีเฉพาะบางสวนของลําตน เน�องจากน้ําสีเคลื่อนผานเซลลขนรากมายังเซลลที่อยูถัดมา เขาสูเน้�อเย่ือท่ีทําหนาท่ีลําเลียงน้ํา ซึ�งมีอยูเฉพาะที่ เซลลเหลาน้�เรียงกันเปนทอตอเน�องตั้งแตราก ลําตน กิ�ง จนถงึ ใบ เราเรยี กกลุมเซลลเหลานว้� า เนอ�้ เยอื่ ลาํ เลียงนํ้า เมื่อนํ้าเคลื่อนท่ีไปตามเน้�อเย่ือลําเลียงน้ํา จากสวนลางของลําตน เขาสูใบผานทางเสนใบ เซลลบริเวณใบท่ีมีการสังเคราะหดวยแสง จะนํานํ้าไปใชในกระบวนการสรางอาหาร อาหารที่พืช สรา งขนึ้ ไดแ ก นาํ้ ตาล จะถกู ลาํ เลยี งในรปู ของสารละลายไปตามเนอ�้ เยอ่ื ลาํ เลยี งอาหาร ซง�ึ เปน เนอ�้ เยอ่ื ที่เรียงตัวตอเน�องจากใบไปตามกานใบ ก�ิง ลําตน และราก เพ่ือสงอาหารไปเล้ียงเซลลทุกเซลล ของพืช บทที่ 5 การดาํ รงชีวติ ของพืช 81

à¹×éÍàÂÍ×è ÅíÒàÅÕ§ÍÒËÒà à¹×Íé àÂÍè× ÅÒí àÅÕ§¹éíÒ ÅÒíà¹àÅ×éÍÂÕà§×Íè¹íéÒ ÅíÒààŹÕÂéÍ× §àÍÂÒè×ÍËÒà ÅÒíà¹àÅé×ÍÕÂà§è×͹íÒé ÅÒí ààŹÕÂ×Íé §àÍÂÒ×Íè ËÒà ภาพ 5.2 ลาํ ตน ตดั ตามขวางและตามยาวแสดงเน้�อเยอื่ ลําเลยี งนํ้าและเน้�อเยือ่ ลาํ เลยี งอาหาร น้าํ และอาหารจะถกู ลาํ เลียงไปยงั สว นตางๆ ของพืช โดยมีทศิ ทางดังภาพ 5.3 ¡ÒäÒ¹Òéí ·ÔÈ·Ò§¡ÒÃÅíÒàÅÂÕ §ÍÒËÒà ·ÔÈ·Ò§¡ÒÃÅíÒàÅÂÕ §¹íéÒ à«ÅÅ· ÕÁè ¡Õ ÒÃ Ê§Ñ à¤ÃÒÐË´ ÇŒ Âáʧ à¹éÍ× àÂèÍ× ÅíÒàÅÕ§¹íéÒ à¹Íé× àÂÍ×è ÅíÒàÅÂÕ §¹Òíé à¹×éÍàÂè×ÍÅíÒàÅÂÕ §ÍÒËÒà à¹é×ÍàÂÍè× ÅÒí àÅÕ§ÍÒËÒà »Ò¡ãº à¹éÍ× àÂÍ×è ÅíÒàÅÂÕ §¹íÒé à¹Íé× àÂÍè× ÅíÒàÅÕ§ÍÒËÒà ภาพ 5.3 ทศิ ทางการลําเลยี งน้าํ และอาหารของพืช 82

ทศิ ทางการลาํ เลียงน้ําและทิศทางการลาํ เลียงอาหารแตกตางกันอยา งไร พืชใบเลี้ยงคู มีการจัดเรียงตัวของกลุมเน�้อเยื่อลําเลียงน้ําและอาหารที่มีลักษณะเฉพาะ ซ�ึงจะ แตกตา งจากในพชื ใบเลยี้ งเดี่ยว ดงั ภาพ 5.4 ลกั ษณะการจัดเรียงตัวของกลุมเน้อ� เย่อื ทีแ่ ตกตา งกันน้� ทาํ ใหจาํ แนกไดว าเปนพชื จาํ พวกใด à¹éÍ× àÂ×èÍÅÒí àÅÕ§ÍÒËÒà à¹×éÍàÂÍè× ÅÒí àÅÕ§¹éíÒ ก. ข. ภาพ 5.4 ภาพตดั ตามขวางของลําตน พชื แสดงการจัดเรียงตวั ของกลุมเน้�อเยอ่ื ลาํ เลยี ง ก. พชื ใบเลีย้ งคู ข. พชื ใบเลยี้ งเดี่ยว (วาดภาพโดย รศ.เรณู ศรสาํ ราญ) การจัดเรียงตัวของกลมุ เน้อ� เย่อื ลาํ เลียงนํา้ และอาหารในลําตน ของพชื ใบเลีย้ งเด่ยี วและพืชใบเลีย้ งคแู ตกตา งกนั อยางไร นา้ํ ทีพ่ ชื ดูดจากภายนอกจะเคล่อื นผา นเซลลราก แลวจึงเขาสูเ น้อ� เยอื่ ลําเลียงนา้ํ ของราก ลาํ ตน และใบ ตามลาํ ดับ สิง� ท่ีน�าสงสัยคอื นํ้าเขาสูเซลลร ากโดยวิธใี ด บทที่ 5 การดํารงชวี ติ ของพชื 83

ในภาวะปกติ สารละลายทอี่ ยูในดนิ รอบ ๆ ราก มกั มคี วามเขม ขน ตา่ํ คอื มปี รมิ าณนาํ้ อยมู ากกวา สารละลายทมี่ ีอยูภายในเซลลขนราก น้าํ จากดนิ จึงออสโมซิสเขาสูเซลลขนรากสงผลใหเ ซลลขนรากมี ความเขมขนของสารละลายตํ่ากวาเซลลที่อยูถัดไป นํ้าจึงออสโมซิสจากเซลลขนรากไปยังเซลลที่อยู ถัดไปตอๆ ไปไดอ ีกเรื่อยๆ จนกระทง�ั ถึงเนอ้� เยื่อลาํ เลียงนํ้า ดงั ภาพ 5.5 à«ÅÅ¢ ¹ÃÒ¡ à¹Í×é àÂ×èÍÅÒí àÅÂÕ §¹éíÒ ´¹Ô ¹éíÒáÅÐáË¸ÒµØ ภาพ 5.5 ภาพตดั ตามยาวของรากแสดงการออสโมซสิ ของน้ําจากดินเขาสู เซลลข นรากไปยังเซลลทอ่ี ยถู ดั ไปและเน�อ้ เยือ่ ลาํ เลียงนาํ้ ขณะทพ่ี ชื ลําเลียงนํ้าไปตามเน้�อเยื่อลําเลยี งนาํ้ ขน้ึ สูส ว นบนของลําตนในแนวต้ังน้นั นา้ํ บางสว น จะผานออกดานขางตามแนวรัศมีของลําตนหรือก�ิงกาน ทําใหเซลลบริเวณรอบๆ เน�้อเย่ือลําเลียงนํ้า ไดรบั น้าํ เชนกนั กลไกการดูดซบั แรธ าตขุ องพชื จะแตกตา งไปจากการดดู นํ้า รากพืชสามารถดดู แรธ าตไุ ด แมว า ความเขมขนของแรธาตุในดินจะนอยกวาความเขมขนภายในเซลลราก สวนใหญการดูดแรธาตุเปน กระบวนการลาํ เลยี งแบบใชพ ลงั งาน โดยพลงั งานทน่ี าํ มาใชเ ปน พลงั งานท่ีไดจ ากการหายใจระดบั เซลล ซง�ึ นักเรียนจะไดศกึ ษาในระดับที่สงู ข้ึน ¡ÒÃËÒÂã¨ÃдºÑ à«Åŏ໚¹¡Ãкǹ¡Òà ÊÅÒÂÊÒÃÍÒËÒÃÀÒÂã¹à«Åŏà¾Íè× ãËäŒ ´Œ ¾Åѧ§Ò¹ä»ãªŒ 84

จากท่ีไดก ลา วมาแลว วา พชื มกี ารลาํ เลยี งนาํ้ และแรธ าตจุ ากเซลลห นง�ึ ไปยงั อกี เซลลห นงึ� พชื ยงั มี กระบวนการท่ีมสี วนชวยลําเลียงนํ้าและแรธ าตไุ ปตามเน�อ้ เยอ่ื ลาํ เลียงนา้ํ จากรากไปยังสวนตา งๆ ของ พืชอีกดวย กระบวนการดังกลา วน้�นักเรียนจะไดศึกษาตอไป ถานกั เรียนนําถงุ พลาสติกมาคลุมใบไมใ นวันทอ่ี ากาศแจม ใส เมอื่ ทง้ิ ไวสักครู จะเห็นไอนาํ้ เกาะ อยูภายในถุงพลาสตกิ ไอน้ําเหลาน้�มาจากสว นใดของใบ นกั เรยี นจะไดศ ึกษาจากกจิ กรรมตอ ไปน�้ กจิ กรรม 5.2 เซลลคมุ ของใบ 1. Ê§Ñ à¡µáÅк¹Ñ ·Ö¡Å¡Ñ ɳмÔÇ㺠·Ñé§´ÒŒ ¹º¹áÅдҌ ¹ÅÒ‹ §¢Í§ãºÇ‹Ò¹¡ÒºËÍ ËÃ×ÍãºäÁŒ ª¹Ô´Í¹è× æ ઋ¹ ¾ÅºÑ ¾Å§Ö µíÒÅÖ§ 2. ¹Òí ãºäÁŒã¹¢ŒÍ 1 ÁÒ©¡Õ á©Åº ãËŒà¹é×ÍàÂ×Íè ¼ÔÇ㺴ŒÒ¹Å‹Ò§ÅÍ¡Í͡໚¹á¼¹‹ ºÒ§µ´Ô Í‹¡Ù ºÑ ÃÍ©¡Õ µ´Ñ à¹Í×é àÂè×ͼÇÔ ãº´ÒŒ ¹ÅÒ‹ §à»¹š ªÔ¹é àÅ¡ç æ ¹íÒä»ÇÒ§º¹Ë´¹éÒí º¹ÊäÅ´áÅÇŒ »´ ´ŒÇ ¡ÃШ¡»´ ÊäÅ´ 3. ÊÍ‹ §´´Ù ÇŒ ¡Ōͧ¨ÅØ ·ÃÃȹ¡Òí Åѧ¢ÂÒµÒèí áÅСíÒÅ§Ñ ¢ÂÒÂʧ٠µÒÁÅÒí ´Ñº ÇÒ´ÀÒ¾ à«ÅÅ· àèÕ Ëç¹ 4. µÃǨ´àÙ ¹Í×é àÂÍè× ¼ÇÔ ãº´ŒÒ¹º¹â´Â»¯ºÔ µÑ Ô µÒÁ¢ŒÍ 1-3 การฉ�กแฉลบใบไม ? จากการสงั เกตดว ยตาเปลา ลักษณะของผวิ ใบดา นบนและผวิ ใบดา นลาง เหมือนหรอื แตกตา งกนั อยางไร ? จากการสงั เกตเนอ้� เยอื่ ผิวใบทง้ั ดา นบนและดา นลางผา นกลองจลุ ทรรศน นกั เรยี นพบเซลลทแ่ี ตกตา งจากเซลลอ ื่นๆ ในบริเวณน้ันหรือไม เซลลด งั กลา ว มลี กั ษณะอยางไร ? จากการตรวจดูเน้�อเยือ่ ผิวใบในขอ 2 และพบเซลลท มี่ ลี กั ษณะแตกตางกับ เซลลอ ่นื เซลลเ หลา นท�้ ่บี รเิ วณใดมจี าํ นวนมากกวา กัน ระหวางบริเวณผวิ ใบ ดา นบนกับผวิ ใบดานลา ง บทท่ี 5 การดาํ รงชีวติ ของพืช 85

เมื่อสงั เกตผวิ ใบท้งั ดา นบนและดานลา งของใบผานกลอ งจลุ ทรรศน จะพบวา ผิวใบท้ังสองดาน ประกอบดวยเซลลซ ึง� มีผนงั เซลลบางและเรียงตวั กันเปน แผน สวนใหญม ีรปู รา งคลายกนั แตบางเซลล กม็ ีลกั ษณะแตกตางไปคือ มรี ปู รางคลายกบั เมลด็ ถ�วั อยเู ปน คๆู แตละเซลลเ รยี กวา เซลลคมุ ภายใน เซลลคุมมีคลอโรพลาสตอยูดวย ชองเลก็ ๆ ท่อี ยรู ะหวางเซลลค ุม 2 เซลล เรียกวา ปากใบ ดังภาพ 5.6 และปากใบเหลา น้�สามารถเปดปดได ดงั ภาพ 5.7 »Ò¡ãº ¹ÇÔ à¤ÅÕÂÊ à«Åŏ¤ØÁ ก. ข. ภาพ 5.6 ภาพถายเนอ้� เยอื่ ผวิ ใบแสดงปากใบและเซลลคมุ จากกลองจลุ ทรรศนแบบใชแสง ก. ภาพกาํ ลังขยายตํ่า ข. ภาพกําลงั ขยายสงู (เออ้ื เฟอภาพโดยภาควชิ าชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร มหาวทิ ยาลัยศรนี ครนิ ทรวโิ รฒ) »Ò¡ãº ¹ÇÔ à¤ÅÂÕ Ê à«ÅŤ ØÁ ¤ÅÍâþÅÒʵ à«ÅŤ ØÁ ก. ข. ภาพ 5.7 รปู รางของเซลลค มุ เมือ่ ปากใบเปด และปด ก. รปู รางของเซลลคมุ เมอ่ื ปากใบเปด ข. รปู รางของเซลลคมุ เมื่อปากใบปด เซลลค มุ มีการสังเคราะหด วยแสงหรอื ไม ทราบไดอ ยา งไร 86

เม่ือนักเรียนนําถุงพลาสติกคลุมใบไวสัก ระยะหนงึ� ตอ มาปรากฏวามีไอนํ้าเกาะอยภู ายใน ถงุ พลาสตกิ จากการศกึ ษา พบวา ไอนาํ้ เหลา นเ�้ กดิ ¾ª× ᵋÅЪ¹Ô´ÁÕ¨íҹǹ¢Í§»Ò¡ãº จากการเคลื่อนที่ของน้ําในพืชออกสูภายนอกใน äÁà‹ ·‹Ò¡Ñ¹ ã¹¾ª× º¡Ê‹Ç¹ãËÞ‹ ¼ÇÔ ãº รูปของไอน้ํา เรียกวา การคายนา้ํ กระบวนการน�้ ´ŒÒ¹ÅÒ‹ §¨ÐÁÕ¨íҹǹ¢Í§»Ò¡ãºÁÒ¡¡Ç‹Ò มักจะเกิดข้ึนท่ีปากใบซ�ึงอยูบริเวณใบของพืช ¼ÔÇ㺴Ҍ ¹º¹«§Öè ໹š ʋǹ·ÕèÃºÑ áʧᴴ ปากใบยงั พบไดท บ่ี รเิ วณอนื่ ๆ ของพชื อกี ดว ย เชน â´ÂµÃ§ ÊÇ‹ ¹¾ª× ¹íÒé ·èÁÕ ¼Õ ÔÇ㺴Ҍ ¹Å‹Ò§ ที่ผลและลําตน ปากใบนอกจากจะเปนทางผาน áµÐ¹éÒí હ‹ ºÑÇ ¨ÐÁ»Õ Ò¡ãºà©¾ÒмÇÔ ãº´ÒŒ ¹º¹à·Ò‹ ¹é¹Ñ ¾ª× ¹Òéí ·Õè 㺨Á¹íÒé હ‹ ÊÒËËÒÂËÒ§¡ÃÐÃÍ¡¨ÐäÁ‹Á»Õ ҡ㺠ของไอน้ําแลว ยังเปนชองทางแลกเปลี่ยนแกส เชน ออกซเิ จนและคารบ อนไดออกไซดด วย การคายน้ําของพืชเกี่ยวของกับปจจัยใดบาง และในสภาวะตางๆ พืชคายนํ้าในปริมาณเทากัน หรือไม ใหนกั เรียนพิจารณาจากตาราง 5.1 µÒÃÒ§ 5.1 ÍѵÃÒ¡ÒäÒ¹íÒé ¢Í§¾×ªª¹´Ô Ë¹Ö§è ªèÍ× Pelargonium sp. ã¹àÇÅÒµÒ‹ §æ ·ÕèÁÍÕ ³Ø ËÀÙÁÔáÅФÇÒÁࢌÁ¢Í§áʧµ‹Ò§¡Ñ¹ เวลา อุณหภมู ิ เปอรเซ็นตความเขม ของแสง อตั ราการคายนา้ํ (นาิกา) ( ํC) เมื่อเปรียบเทียบกับเวลาเทีย่ งวัน (g/m2 /hr) 6.00 16 0 10 8.00 16 70 30 10.00 21 100 130 12.00 29 100 270 13.00 32 100 310 14.00 34 100 280 15.00 35 100 240 16.00 34 100 170 18.00 29 0 70 ดัดแปลงขอ มูลจาก Sands, M.K., 1971. Problems in Plant Physiology. ใหนักเรยี นอธิบายความสัมพนั ธระหวางอณุ หภูมิกับอตั ราการคายนํ้าจากตาราง 5.1 จากขอ มูลน้� พืชคายนํ้ามากท่ีสดุ ในชว งใด และการคายน้ําของพืชมคี วามเกยี่ วของ กบั ปจ จัยใดบา ง นักเรยี นคดิ วา ปจจยั ใดอกี บางที่จะมผี ลตอ การคายนาํ้ ของพชื บทที่ 5 การดํารงชีวติ ของพืช 87

ในการคายน้ําของพืชเกิดจากน้ําในสถานะของเหลวบริเวณชองใกลปากใบจะระเหยกลาย เปนไอ และแพรออกทางปากใบสภู ายนอก เมือ่ อากาศรอ นและความช้ืนในบรรยากาศตํา่ ไอนา้ํ จะแพร ผา นปากใบออกสภู ายนอกไดม าก ดงั น้ันในสภาพเชน น้� ถา ปากใบเปด อตั ราการคายน้าํ จะสงู สวนเมือ่ ความช้ืนในบรรยากาศสงู นา้ํ จะระเหยไดน อย อัตราการคายน้าํ จึงต่าํ นอกจากความชน้ื ในบรรยากาศ แลว การคายนํ้ายังข้ึนอยูกับปจจัยอื่นๆ อีก เชน ความเขมของแสง อุณหภูมิ กระแสลม เปนตน การคายนา้ํ เกย่ี วขอ งกบั กระบวนการลาํ เลียงนํ้าของพืชอยางไร การคายนํ้าของพชื มีผลตอสภาพแวดลอ ม บริเวณทพี่ ืชเจริญอยูห รือไม อยา งไร การคายน้ํามีสวนทําใหพืชลําเลียงนํ้าขึ้นไปยังสวนบนของลําตนและสวนตางๆ ของพืชได เน�องจากโมเลกลุ ของนา้ํ มีแรงดงึ ดูดระหวา งโมเลกุลของน้าํ ดว ยกนั เอง เม่อื ใบคายนา้ํ ออกไป โมเลกุล ของนํ้าในเซลลใบจะดึงโมเลกุลของน้ําที่อยูขางเคียง ตอกันไปเร่ือยๆ จนถึงทอลําเลียงในใบ ลําตน ราก จนในท่สี ุดจะไปดึงน้าํ จากดนิ เขา สูราก ทําใหการลาํ เลยี งน้ําเปน ไปอยา งตอ เน�อง 5.2 การสงั เคราะหดŒวยแสง จากการศกึ ษาทผ่ี า นมาในบทท่ี 4 นกั เรยี นไดท ราบมาแลว วา ในเซลลข องใบพชื มคี ลอโรพลาสต ในคลอโรพลาสตม คี ลอโรฟล ล นอกจากนย�้ งั ทราบอกี ดว ยวา ผลผลติ ท่ีไดจ ากการสงั เคราะหด ว ยแสงคอื น้ําตาล พืชจะเปลี่ยนนา้ํ ตาลเปน แปงทีเ่ ราสามารถตรวจสอบได นักเรียนจะไดศึกษาวานอกจากคลอโรฟลลแลว พืชตองอาศัยปจจัยอะไรอีกบางท่ีจําเปนใน กระบวนการสงั เคราะหดว ยแสงจากกจิ กรรมตอ ไปน้� กิจกรรม 5.3 ป˜จจยั บางประการที่จาํ เปšนตอ‹ การสังเคราะหด วŒ ยแสง µÍ¹·Õè 1 1. à¾Òе¹Œ ¼Ñ¡ºŒ§Ø ãËÊŒ Ù§»ÃÐÁÒ³ 10 cm ¨Ò¡¹Ñ¹é ¹Òí ä»änj㹷èÕÁ״໹š àÇÅÒ 1 ¤×¹ 2. ¹Òí ¶§Ø ·è·Õ íÒ¨Ò¡¡ÃдÒÉÅÍ¡ÅÒÂáÅСÃдÒÉ·ÖºáʧÊÕ´Òí ª¹Ô´ÅÐ 1 ¶Ø§ ¤ÅÁØ ·Õè 㺠ãªÅŒ Ç´àÂºç ¡ÃдÒÉàÂºç »Ò¡¶Ø§ãËŒ»´Ê¹Ô· áŌǹíÒ¡Ãжҧ¼¡Ñ ºØŒ§ä»µÑ§é äÇ¡Œ ÅÒ§á´´ »ÃÐÁÒ³ 3 ªÇÑè âÁ§ 88

3. ¹íÒ㺼¡Ñ ºŒØ§ÁÒ·Òí ¡Ò÷´Åͧâ´Âà´´ç 㺼ѡºŒØ§ ·ÍÕè ÂÙ¹‹ Í¡¶Ø§ 1 㺠㺷ÊÕè ÇÁ´ÇŒ ¶§Ø ¡ÃдÒÉÅÍ¡ÅÒ 1 㺠áÅÐ㺷ÊèÕ ÇÁ´ÇŒ ¶§Ø ¡ÃдÒÉÊÕ´Òí 1 㺠·Òí à¤ÃÍè× §ËÁÒÂ㺾תáµÅ‹ Ð㺠áÅŒÇÊ¡´Ñ ¤ÅÍâÿÅŏ ÍÍ¡¨Ò¡ãº¾×ª´ŒÇÂÇÔ¸¡Õ Òô§Ñ ¹éÕ 3.1 ãÊ‹¹íÒé 150 cm3 㹺¡Õ à¡ÍϵŒÁ¨¹à´×Í´ ãʋ㺼ѡºØŒ§Å§ä» µŒÁµÍ‹ ä»»ÃÐÁÒ³ 1 ¹Ò·Õ 3.2 ¤Õºãº¼¡Ñ ºŒ§Ø ¢Ö¹é ¨Ò¡¹Òíé à´×Í´ãʋŧã¹ËÅÍ´ ·´Åͧ¢¹Ò´ãËÞ‹ ãºÅÐ 1 ËÅÍ´ àµÔÁ การสวมถุงกระดาษลงบนใบผักบงุ áÍÅ¡ÍÎÍŏŧ仾ͷ‹ÇÁ㺠áªË‹ ÅÍ´·´Åͧ㹺աà¡Í÷ èÕÁÕ¹íÒé µÁŒ Í‹٠µÁŒ µÍ‹ ä»ÍÕ¡ »ÃÐÁÒ³ 2 ¹Ò·Õ ¨¹¡ÃзèѧÊÕ ãº«´Õ Ê§Ñ à¡µÊ¢Õ Í§áÍÅ¡ÍÎÍÅŠã¹ËÅÍ´·´Åͧ ¤Õºãº¼¡Ñ ºØŒ§¨Ò¡ËÅÍ´·´Åͧ ¨‹ØÁŧ㹹Òíé à¹ç 4. Ἃ㺼ѡºØŒ§º¹¡ÃШ¡¹Ò�Ô¡Ò ËÅÍ´·´Åͧ áÅŒÇË´ÊÒÃÅÐÅÒÂäÍâÍ´¹Õ º¹ áÍÅ¡ÍÎÍŏ 㺼ѡº§ŒØ áµÅ‹ Ðãºà¾×èÍ·´Êͺệ§ Ê§Ñ à¡µáÅкѹ·Ö¡¼Å 㺼¡Ñ ºŒØ§ ¹Òíé การใหค วามรอ นแก ใบผักบุงท่อี ยูในแอลกอฮอล ? เหตุใดจึงตองนําตนผักบุงไปไวใ นท่ีมดื สนทิ เปน เวลา 1 คืน กอนทดลอง ? เมื่อใชส ารละลายไอโอดนี ตรวจสอบแปงในใบผกั บุงท้ัง 3 ใบ ไดผลอยางไร ผลการตรวจสอบเหมอื นกนั หรอื ไม เพราะเหตุใด ? เหตุใดจงึ ไมใสแ อลกอฮอลใ นบีกเกอรแลวตมใบผักบุงในบีกเกอรโดยตรง ? การแชใบผักบุง ในหลอดแกวบรรจแุ อลกอฮอลแลวใหค วามรอ นมีวตั ถุประสงคใ ด บทที่ 5 การดาํ รงชวี ติ ของพชื 89

µÍ¹·èÕ 2 ËÁÒÂàËµØ ã¹¡Ò÷´ÅͧµÍ¹·Õè 2 ¹éÕ ãËŒ¹¡Ñ àÃÂÕ ¹Í͡Ẻ¡Ò÷´ÅͧáÅÐŧÁ×Í»¯ÔºÑµÔ ¹¡Ñ àÃÕ¹ºÒ§¤¹ÍÒ¨ãªÊŒ ÒÃÅÐÅÒ à¾Íè× ÈÖ¡ÉÒÇ‹Òá¡Ê ¤Òú ͹ä´Í͡䫴Á ¼Õ ŵ‹Í¡Òà â«à´ÂÕ ÁäδÃ͡䫴 «è§Ö ÁÊÕ ÁºµÑ Ô´´Ù Êѧà¤ÃÒÐˏ´ŒÇÂáʧËÃ×ÍäÁ‹ áÅÇŒ ¹Òí àÊ¹Í á¡Ê¤Òú ͹ä´Í͡䫴ä´Œ áµÊ‹ ÒùéÕ à»š¹ÊÒÃÍ¹Ñ µÃÒ ¹Ñ¡àÃÂÕ ¹µÍŒ §ÊÇÁ ¶§Ø ÁÍ× ·¡Ø ¤ÃÑé§·èÕ ãªÊŒ ÒÃÅÐÅÒ¹Õé ? จากกจิ กรรมท้ังสองตอน นกั เรียนจะสรปุ ผลไดว า อยางไร จากกิจกรรม 5.3 นักเรียนจะพบวา แสงและแกสคารบอนไดออกไซดเปนปจจัยท่ีจําเปนตอ การสังเคราะหดวยแสง นอกจากน้�คลอโรฟลลและน้ําก็จําเปนอยางย�ิงตอการสังเคราะหดวยแสง เชนกนั Ë´عªÒй¶§à¡ÑŒÒ¡äŹԾ´§äª×ÃŒ»¨Ñºâд¤¡ÊÂÇÒ§Ñ·ÃÒàÁʤèÑÇà§Ñäâ»àÒŒÁ¤àÐÁ¢ÃËÍ×èÍÒ´§Ð¤ÇŒËáÇ´ÊÒáÁ§ŒÇÊÁÂࢧÒáÁŒÁ¡Ê¢Ò§Í㡨¹§¢ÐáàéÖ¹ÇÊÅá§Òൾ‹ ÁèÔ á¢Ö¹é ʧ ᡍÊä´¤ÍÒÍϺ¡àÁäÍÍè׫¤¹¤´ÒÇÃÒ¡ ºÁÒÍà⢹ÊÁŒ¹Öé äѧ¢´à¤¹Œá¤ÍÒ¢µÍÃÃÍÒᡋ⺏§´ÐäµáÍ«ËÂÅ‹´¹¡´·ÐʏÊäÇŒºÇÑè´§ÙÂäÃÍ¢»áÔà͹éÖ»ÇÊ¡³Ã§Í䨫ÁÔÁµÑ дҡÑÃೊã¾äÒ¹ÁáÔèÁº‹á¡ÃµÊáµҋҡ§Ò¡Èѹ ¤ÅÍâÿÅŏ ¹éÒí 椄 àäѺùÒãйÒéí Ëä¡Á´Òà‹ŒÇþÂÊÂÕ áѧ§àʾ¤§Ã͹ҨŒÍÐÐÂË·Å´Òí §ŒÇãËÂŒÍáµÑÊçҶ¡ÒŒÒþª× ä´Œ ໚¹ãʹÒÊ÷Nj »Òí¹Ã˷йèÕÁ¡ŒÒÊÕÍ·Õຢ´èÕ ·ÂÕ Ù´Õ¾èÇ«¢ºÑºÍ¾§¾Å§Ñת§Ò¹áʧ ภาพ 5.8 ปจ จยั ที่จาํ เปนในการสังเคราะหดวยแสง 90

พืชสังเคราะหน้ําตาลจากกระบวนการสังเคราะหดวยแสง ภาพ 5.9 หวั มันสําปะหลัง ทําใหพืชมีแหลงพลังงานและวัตถุดิบในการสังเคราะหสารอินทรีย เปน รากท่เี ก็บ อ่ืนๆ ไดอกี มากมายหลายชนดิ เชน แปง ไขมัน โปรตนี สารเหลา น้� สะสมอาหาร บางสวนพืชจะใชในกระบวนการดํารงชีวิต เชน การเจริญเติบโต การสืบพันธุ บางสวนจะเก็บสะสมไวตามสวนตางๆ ของพืช เชน ผล ราก ใบ ลาํ ตน นอกจากนพ�้ ชื ยงั เปลย่ี นนา้ํ ตาลไปเปน สารทจ่ี าํ เปน ตอการดํารงชีวิตอื่นๆ เชน เซลลูโลสท่ีเปนสวนประกอบของผนัง เซลลพ ชื เอนไซมท ี่ใชเ ปน ตัวเรงในปฏิกริ ยิ าเคมี น้ํามันหอมระเหย เปน ตน อาหารทพี่ ชื สรา งขน้ึ นอกจากจะใชเ ปน แหลง พลงั งานสาํ หรบั พชื เองแลว ยังเปนอาหารของส�งิ มีชีวติ อี่นๆ เชน คน สตั ว อีกดว ย เหตุใดจงึ กลาววาพชื เปน ผูผลติ อาหารของโลก ถาโลกน�้ไมมกี ระบวนการสังเคราะหด ว ยแสงเกดิ ขน้ึ นักเรียนคิดวา สง�ิ มชี ีวติ จะเปน อยางไร การสงั เคราะหดวยแสงนอกจากจะไดน้ําตาลแลว ยงั ไดผลผลิตใดอีกบา ง นกั เรยี นจะตรวจสอบ จากการทํากจิ กรรมตอ ไปน้� กิจกรรม 5.4 ผลผลติ ทีเ่ กดิ จากการสังเคราะหดŒวยแสง 1. ãʵ‹ ¹Œ ÊÒËÃÒ‹ ÂËÒ§¡ÃÐÃÍ¡änj㹡ÃÇ ËÅÍ´·´Åͧ á¡ÇŒ ¡ÒŒ ¹ÊÑé¹áŌǤÇíÒè ŧã¹Í‹Ò§á¡ÇŒ ËÃÍ× ¹Òéí º¡Õ à¡ÍÏ¢¹Ò´ 2 ÅԵà «§Öè Á¹Õ éíÒÍÂÙ‹´ÇŒ  ÍÒ‹ §á¡ŒÇ â´ÂãËŒ»ÅÒ¡Ҍ ¹¡ÃÇÂá¡ÇŒ ¨ÁÍ‹Ùã¹¹Òéí ¡ÃÇÂá¡ÇŒ ˵Œ¹Ò§Ê¡ÒÃËÐÃËÒÍ¡ 2. ãʹ‹ Òíé ¨¹àµçÁËÅÍ´·´Åͧ·ÁèÕ ¢Õ ¹Ò´ ãËÞ¡‹ ÇÒ‹ ¡ŒÒ¹¡ÃÇÂᡌÇàÅ¡ç ¹ŒÍ ¤ÇÒèí ชุดการทดลองในการศึกษาผลผลิต ËÅÍ´·´Åͧ¤Ãͺ¡ÒŒ ¹¡ÃÇÂá¡ÇŒ ท่เี กิดจากการสงั เคราะหดวยแสง ´Ñ§ÀÒ¾ ÃÐÇ§Ñ ÍÂÒ‹ ãËŒÁ¿Õ ͧÍÒ¡ÒÈ à¡´Ô ¢é¹Ö ã¹ËÅÍ´·´Åͧ ¹íÒÍÒ‹ §¹éÕ ä» µÑé§äÇŒ¡ÅÒ§á´´»ÃÐÁÒ³ 3-4 ªÇÑè âÁ§ ÊѧࡵáÅкѹ·Ö¡¼Å¡ÒÃà»ÅÕè¹á»Å§ ·èÕà¡´Ô ¢¹éÖ ã¹ËÅÍ´·´Åͧ บทที่ 5 การดํารงชีวติ ของพชื 91

3. ¤‹Í æ ¡ËÅÍ´·´ÅͧÍÍ¡¨Ò¡»ÅÒ¡ÃÇÂá¡ŒÇ á¡ÊÍÍ¡«Ôਹ áµ»‹ Ò¡ËÅÍ´·´ÅÍ§Â§Ñ ÍÂÙ‹ãµÃŒ дºÑ ¹íÒé 㪹Œ éÔÇÍØ´»Ò¡ ໚¹á¡Ê ·Õªè ‹ÇÂãËŒ ËÅÍ´·´ÅͧäÇŒ áŌǡËÅÍ´·´Åͧ¢¹Öé ¢³Ðà´ÂÕ Ç¡¹Ñ à¡´Ô ¡ÒÃÅ¡Ø äËÁŒ ÃÕºá˸‹ Ù»µÔ´ä¿Å§ä»ã¹ËÅÍ´·´Åͧ Êѧࡵ¡Òà à»ÅèÂÕ ¹á»Å§·àÕè ¡´Ô ¢Ö¹é ? ฟองอากาศออกมาจากสว นใดของพชื ? นกั เรียนคิดวาฟองอากาศทเี่ กิดขึ้นในหลอดทดลองคอื แกสอะไร ทราบไดอ ยางไร ? นักเรยี นจะอธิบายผลการทดลองท่ีเกิดขึ้นไดอ ยางไร ? ถา ทาํ การทดลองน้�ในท่มี ืด ผลการทดลองจะเปนอยางไร ? นักเรยี นสามารถใชชุดการทดลองน้�ศึกษาเรอ่ื งใดไดอ ีก และจะออกแบบ การทดลองอยางไร จากกิจกรรม 5.4 ทําใหทราบวาแกส ¡Ãкǹ¡ÒÃËÒÂã¨à»¹š ¡ÒÃÊÅÒ ออกซเิ จนเปน ผลผลติ จากกระบวนการสงั เคราะห ÊÒÃÍÒËÒÃà¾è×Íãˌ䴾Œ Åѧ§Ò¹ÊÒí ËÃѺ ดวยแสง ซ�ึงมีความสําคัญตอส�ิงมีชีวิตเปน ¡ÒôÒí çªÕÇÔµ อยา งยงิ� เนอ� งจากสง�ิ มชี วี ติ ทง้ั พชื และสตั วต อ งใช แกส ออกซเิ จนในกระบวนการหายใจ สว นผลผลติ ที่ไดจากการสังเคราะหดวยแสงนอกจากจะได น้ําตาล แกสออกซิเจนแลวยังไดน้ําเปนผลผลิต อกี ดวย หลังจากส�ิงมีชีวิตใชแกสออกซิเจนในกระบวนการหายใจ ก็จะเกิดแกสคารบอนไดออกไซด แลว ปลอ ยออกสบู รรยากาศ พชื สามารถใชแ กส คารบ อนไดออกไซดน �้ในกระบวนการสงั เคราะหด ว ยแสง เพ่ือสรางอาหารและปลอยแกสออกซิเจนที่เกิดขึ้นกลับคืนสูบรรยากาศ หมุนเวียนกันเชนน้� ดังภาพ 5.10 แกสคารบอนไดออกไซดและแกสออกซิเจนท่ีเกี่ยวของกับกระบวนการสังเคราะหดวยแสงน�้ ผา นเขาและออกจากใบทางปากใบโดยกระบวนการแพร 92


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook