0 พระธรี วฒั น์ จนฺทโสภโณ : วดั ไผ่เงินโชตนาราม | ธรรมศึกษาช้ันเอก 0
1 สารบัญ หน้า เรื่อง ๘ ๐๐ วิชาเรียงความกระทู้ ๑๑ - หลกั เกณฑก์ ารแต่งกระทู้ ๑๒ - วธิ ีการแตง่ กระทู้ ๑๕ - ๘ ข้นั ตอนการเขียนกระทธู้ รรมตรี ๑๕ - ตวั อยา่ งกระทธู้ รรม ธรรมศึกษาช้นั ตรี ๑๕ อกั ษรย่อช่ือคมั ภีร ๑๖ - พระวนิ ยั ปิ ฎก - พระสุตตนั ตปิ ฎก ๑๙ - พระอภธิ รรมปิ ฎก ๒๐ พทุ ธศาสนสุภาษติ ๒๐ - หมวดท่ี ๑ อตั ตวรรค หมวดตน ๒๑ - หมวดที่ ๒ จิตตวรรค - หมวดจิต ๒๑ - หมวดที่ ๓ บคุ คลวรรค ‟ หมวดบุคคล ๒๒ - หมวดท่ี ๔ กมั มวรรค หมวดกรรม ๒๒ ๒๓ - หมวดที่ ๕ มจั จุวรรค หมวดความตาย ๒๓ - หมวดที่ ๖ ธมั มวรรค หมวดธรรม ๒๔ - หมวดท่ี ๗ อปั ปมาทวรรค หมวดไม่ประมาท ๒๔ - หมวดท่ี ๘ ขนั ตวิ รรค หมวดอดทน ๒๕ - หมวดที่ ๙ วริ ิยวรรค หมวดความเพยี ร ๒๕ - หมวดท่ี ๑๐ ปญุ ญวรรค หมวดบุญ ๒๖ - หมวดที่ ๑๑ วรรค หมวดสุข ๒๖ - หมวดที่ ๑๒ ชยวรรค หมวดชนะ ๒๗ - หมวดที่ ๑๓ กิเลสวรรค หมวดกิเลส ๒๘ - หมวดที่ ๑๔ ปาปวรรค หมวดบาป ๒๘ - หมวดที่ ๑๕ ทกุ ขวรรค หมวดทกุ ข์ ๒๙ - หมวดท่ี ๑๖ โกธวรรค หมวดโกรธ ๒๙ - หมวดท่ี ๑๗ วาจาวรรค หมวดวาจา - หมวดที่ ๑๘ มิตตวรรค หมวดมิตร - หมวดที่ ๑๙ เสวนาวรรค หมวดคบหา - หมวดท่ี ๒๐ สามคั คีวรรค หมวดสามคั คี พระธรี วฒั น์ จนฺทโสภโณ : วดั ไผ่เงินโชตนาราม | ธรรมศึกษาช้ันเอก 1
2 - หมวดท่ี ๒๑ ทานวรรค หมวดทาน ๓๐ - หมวดท่ี ๒๒ สีลวรรค หมวดศลี ๓๐ หน้า เรื่อง ๓๑ - หมวดที่ ๒๓ ปัญญาวรรค หมวดปัญญา ๓๒ - หมวดที่ ๒๔ ปกิณณกวรรค หมวดเบด็ เตลด็ ๓๓ วชิ าธรรม ๓๓ ๓๓ - ทุกะ หมวด ๒ ๓๓ - ธรรมมีอุปการะมาก ๒ ๓๓ - ธรรมเป็นโลกบาล คือ คุม้ ครองโลก ๒ ๓๓ - ธรรมอนั ทาํ ใหง้ าม ๒ ๓๓ - บคุ คลหาไดย้ าก ๒ ๓๓ - ตกิ ะ หมวด ๓ ๓๓ - รตนะ ๓ ๓๔ - คุณของรตนะ ๓ ๓๔ - โอวาทของพระพทุ ธเจา้ ๓ ๓๔ ๓๔ - ทุจริต ๓ ๓๔ - กายทุจริต ๓ วจที ุจริต ๔ มโนทจุ ริต ๓ ๓๔ - สุจริต ๓ ๓๔ - กายสุจริต ๓ วจสี ุจริต ๔ มโนสุจริต ๓ ๓๔ - อกุศลมูล ๓ ๓๕ - กศุ ลมลู ๓ ๓๕ - สปั ปุริสบญั ญตั ิ ๓ ๓๕ - บญุ กิริยาวตั ถุ ๓ ๓๕ - จตกุ กะ หมวด ๔ ๓๕ - วฒุ ทิ คอื ธรรมเคร่ืองเจริญ ๔ ๓๕ - จกั ร ๔ ๓๖ - อคติ ๔ ๓๖ - ปธาน คอื ความเพยี ร ๔ ๓๖ - อธิษฐานธรรม ๔ ๓๖ - อิทธิบาท ๔ ๓๗ - ควรทาํ ความไม่ประมาทในท่ี ๔ สถาน - พรหมวหิ าร ๔ - อริยสจั ๔ - ปัญจกะ หมวด ๕ พระธรี วฒั น์ จนฺทโสภโณ : วดั ไผ่เงินโชตนาราม | ธรรมศึกษาช้ันเอก 2
3 - อนนั ตริยกรรม ๕ ๓๗ - อภิณหปัจจเวกขณะ ๕ ๓๗ หน้า เรื่อง ๓๗ - ธมั มสั สวนานิสงส์ ๕ ๓๗ - พละ ๕ ๓๗ - ขนั ธ์ ๕ ๓๗ - ฉักกะ หมวด ๖ ๓๗ - คารวะ ๖ ๓๗ - สาราณิยธรรม ๖ ๓๘ - สัตตกะ หมวด ๗ ๓๘ - อริยทรัพย์ ๗ ๓๘ - สปั ปุริสธรรม ๗ ๓๘ - อัฏฐกะ หมวด ๘ ๓๘ - โลกธรรม ๘ ๓๙ - ทสกะ หมวด ๑๐ ๓๙ - บญุ กิริยาวตั ถุ ๑๐ ๔๐ วชิ าพุทธประวัติ บทที่ ๑ ๔๐ - ชมพทู วปี และประชาชน ๔๐ - วรรณะ ๔ ๔๐ - การศกึ ษาของวรรณะ ๔ ๔๑ - ความเช่ือของชาวชมพทู วปี บทท่ี ๒ ๔๑ - สกั กชนบท ๔๑ - ศากยวงศ์ บทที่ ๓ ๔๒ - พระศาสดาประสูติ ๔๒ - อสิตดาบสเขา้ เยยี่ ม ๔๒ - ประสูตไิ ด้ ๕ วนั ทาํ นายลกั ษณะ ๔๒ - ประสูตไิ ด้ ๗ วนั พระมารดาสิ้นพระชนม์ ๔๒ - พระชนมายุ ๗ ปี ขดุ สระโบกขรณี ๓ สระ ๔๒ - พระชนมายุ ๑๖ ปี อภเิ ษกพระชายา บทที่ ๔ ๔๒ - เสด็จออกบรรพชา พระธรี วฒั น์ จนฺทโสภโณ : วดั ไผ่เงินโชตนาราม | ธรรมศึกษาช้ันเอก 3
4 บทท่ี ๕ ๔๒ - ตรัสรู้ ๔๒ เร่ือง หน้า - ทกุ รกิริยา ๓ วาระ ๔๒ - อุปมา ๓ ขอ้ ปรากฏ ๔๒ - ปัญจวคั คียห์ นี ๔๒ - ความเพยี รทางจติ ทาํ ใหบ้ รรลุธรรม ๔๒ ๔๓ - ทรงชนะมาร ไดต้ รัสรู้ บทท่ี ๖ ๔๓ - เสวยวมิ ุตตสิ ุขใตร้ ่มมหาโพธ์ิ ๗ วนั ๔๓ - ใตร้ ่มอชปาลนิโครธ ๗ วนั ๔๓ - ใตร้ ่มมุจลินท์ ๗ วนั ๔๔ - ใตร้ ่มราชายตนะ ๗ วนั ๔๔ - ทรงพจิ ารณาดอกบวั ๔ เหล่า ๔๔ - ทรงตดั สินพระทยั แสดงธรรม ๔๔ - ทรงแสดงปฐมเทศนา ๔๔ - ปฐมสาวก ๔๔ - ปัญจวคั คียบ์ รรลุพระอรหนั ต์ บทที่ ๗ ๔๔ - ส่งสาวกไปประกาศพระศาสนา ๔๕ - ยสกุลบุตรบวช ๔๕ - สหายพระยสะ ๕๔ คน บวช ๔๕ - ทรงโปรดภทั ทวคั คียส์ หาย ๓๐ คน ๔๕ - ทรงโปรดชฎิล ๓ พนี่ อ้ ง ๔๕ - ทรงแสดงอาทติ ตปริยายสูตร บทที่ ๘ ๔๖ - เสดจ็ กรุงราชคฤหแ์ ควน้ มคธ ๔๖ - ความปรารถนา ๕ ประการ ของพระเจา้ พมิ พสิ าร ๔๖ - ทรงอนุญาตใหภ้ กิ ษรุ ับอาราม ๔๖ - ทรงไดพ้ ระอคั รสาวก ๔๖ - พระโมคคลั ลานะบวชได้ ๗ วนั บรรลุพระอรหนั ต์ ๔๖ - อุบายแกง้ ่วง ๘ ขอ้ ๔๖ - งพระสารีบุตรและพระโมคคลั ลาเป็ นอคั รสาวก บทท่ี ๙ พระธีรวฒั น์ จนฺทโสภโณ : วดั ไผ่เงนิ โชตนาราม | ธรรมศึกษาช้ันเอก 4
5 - บาเพญ็ พทุ ธกิจในมคธและเสดจ็ สกั กะ ๔๗ - พระมหากสั สปะ ถือธุดงคค์ ุณ ๓ อยา่ งคอื ๔๗ เร่ือง หน้า - จาตรุ งคสนั นิบาต ๔๗ - ทรงอนุญาตเสนาสนะ ๔๗ - ทรงแสดงวิธีทาํ ปพุ พเปตพลี ๔๗ - พระพทุ ธองค์ ทรงแสดงทิศ ๖ แก่สิงคาละมาณพ ๔๗ บทที่ ๑๐-๑๑ - สดจ็ โปรดพทุ ธบิดา ๔๘ - พระเจา้ สุทโธทนะทรงบรรลุโสดาบนั ๔๘ บทที่ ๑๑ - ๑๒ - พระพทุ ธองคท์ รงปลงอายสุ งั ขาร ๔๙ - เหตใุ ห้เกิดแผน่ ดินไหว มี ๘ อยา่ ง ๔๙ - การบูชามี ๒ อยา่ ง ๔๙ - บุคคลท่ีควรบรรจใุ วใ้ นสถูปเพอื่ บชู า มี ๔ จาพวก ๔๙ - สงั เวชนียสถาน คือสถานทีค่ วรระลึกถึง มี ๔ อยา่ ง ๔๙ - ก่อนปรินิพพานพระพทุ ธเจา้ ต้งั พระธรรมวนิ ยั เป็ นศาสดา ๔๙ - ปัจฉิมโอวาท ๕๐ - ปรินิพพาน ๕๐ บทท่ี ๑๓- ๑๖ - ส่งขา่ วสารการเสดจ็ ดบั ขนั ธปรินิพพานแก่เจา้ มลั ลกษตั ริย์ ๕๐ - ถวายพระเพลิงพระพทุ ธสรีระ ๕๐ - พระสุภทั ทะกล่าวจาบจว้ งพระธรรมวนิ ยั ๕๐ - วนั อฏั ฐมีบูชา คอื วนั ถวายพระเพลิง ๕๐ - ส่ิงท่ีพระพทุ ธองคอ์ ธิษฐานมิใหเ้ พลิงไหม้ มี ๔ ประการ ๕๐ - แบ่งพระบรมสารีริกธาตุ ๕๐ - ประเภทแห่งสมั มาสมั พทุ ธเจดีย์ มี ๔ ประเภท ๕๐ - สงั คายนา ๕๑ วชิ าศาสนพิธี - หมวดท่ี ๑ กศุ ลพธิ ี ๕๒ - ๑.พธิ ีแสดงตนเป็นพทุ ธมามกะ ๕๒ - พธิ ีเวยี นเทยี นในวนั สาคญั ทางพระพทุ ธศาสนา ๕๒ - พธิ ีรักษาอุโบสถศลี ๕๓ - หมวดท่ี ๒ บญุ พธิ ี ๕๓ พระธีรวฒั น์ จนฺทโสภโณ : วดั ไผ่เงนิ โชตนาราม | ธรรมศึกษาช้ันเอก 5
6 - หมวดที่ ๓ ทานพธิ ี ๕๓ - ทาน มี ๒ ประเภท ๕๓ เร่ือง หน้า - หมวดท่ี ๔ ปกิณกะ ๕๓ - วธิ ีแสดงความเคารพพระ ๕๓ - วธิ ีประเคนของพระ ๕๔ - คาํ แสดงตนเป็นพทุ ธมามกะ ๕๔ - คาํ อาราธนาศีล ๕ ๕๕ - คาํ สมาทานศลี ๕ ๕๕ - คาํ อาราธนาธรรม ๕๕ - คาํ อาราธนาพระปริตร ๕๕ - คาํ ถวายสงั ฆทาน ๕๕ - คาถวายสงั ฆทาน ๕๕ วชิ าวนิ ัยมุข ๕๖ ๕๖ - กัณท่ี ๑ วิธีการอุปสมบท ๕๖ - การบวชในพระพทุ ธศาสนามี ๒ อยา่ ง คือ ๕๖ - สมบตั ิของการอุปสมบทอุตอ้ งถึงพร้อมดว้ ยสบตั ิ ๕ คือ ๕๖ - วตั ถุสมบตั ิ ๕๗ - กณั ฑ์ท่ี ๒ พระวินัย ๕๗ - พระวนิ ยั น้นั แบ่งเป็น ๒ ส่วน ๕๗ - การบญั ญตั ิพระวนิ ยั ๕๗ - อาบตั ิ ๕๗ - โทษ ๕๘ - ชื่ออาบตั ิ ๕๘ - ครุกาบตั -ิ ลหุกาบตั ิ ๕๘ - สมุฏฐาน ๕๘ - สจิตตกะ-อจติ ตกะ ๕๘ - โลกวชั ชะ-ปัณณัตตวิ ชั ชะ ๕๘ - อาการทีต่ อ้ งอาบตั ิ ๖ อยา่ ง ๕๘ - อานิสงส์พระวนิ ยั ๕๙ - ผลท่มี ุ่งหมายแห่งพระวนิ ยั ๘ อยา่ ง ๕๙ - กณั ฑ์ท่ี ๓ สิกขาบท ๖๐ - อุทเทส ๙ - อนุศาสน์ ๘ อยา่ ง นิสสยั ๔ อกรณียกิจ ๔ พระธรี วฒั น์ จนฺทโสภโณ : วดั ไผ่เงินโชตนาราม | ธรรมศึกษาช้ันเอก 6
- สิกขาของภิกษุมี ๓ อยา่ ง 7 - อาบตั นิ ้นั วา่ โดยชื่อ มี ๗ อยา่ ง ๖๐ เรื่อง ๖๐ - ศลี ๒๒๗ หน้า - ปาราชิก ๔ - สงั ฆาทิเสส มี ๑๓ ขอ้ ๖๐ - อนิยตกณั ฑ์ มี ๒ ขอ้ ๖๑ - นิสสคั คยิ ปาจิตตยี ์ มี ๓๐ ขอ้ ๖๑ - ปาจติ ตีย์ มี ๙๒ ขอ้ ๖๑ - ปาฏิเทสนียะ มี ๔ ขอ้ ๖๑ - เสขยิ ะ สารูป มี ๒๖ ขอ้ ๖๒ - โภชนปฏิสงั ยตุ ต์ มี ๓๐ ขอ้ ๖๕ - ธมั มเทสนาปฏสิ งั ยตุ ต์ มี ๑๖ ขอ้ ๖๖ ๖๖ - ปกิณสถะ มี ๓ ขอ้ ๖๗ ๖๘ -อธิกรณสมถะ มี ๗ ขอ้ ๖๘ วชิ าคหิ ิปฏิบตั ิ - จตุกกะ คือ หมวด ๔ ๖๙ - ทิฏฐธมั มิกตั ถประโยชน์ ๖๙ - สมั ปรายกิ ตั ถประโยชน์ ๖๙ ๖๙ - มิตตปฏิรูป ๖๙ ๗๐ - คนปลอกลอก มีลกั ษณะ ๔ ๗๐ - คนดีแตพ่ ดู มีลกั ษณะ ๔ ๗๐ - คนหวั ประจบ มีลกั ษณะ ๔ ๗๐ - คนชกั ชวนในทางฉิบหาย มีลกั ษณะ ๔ ๗๐ - มิตรแท้ ๔ จาพวก ๗๐ - มิตรมีอุปการะ มีลกั ษณะ ๔ ๗๐ - มิตรร่วมสุขร่วมทุกข์ มีลกั ษณะ ๔ ๗๐ - มิตรแนะประโยชน์ มีลกั ษณะ ๔ ๗๐ - มิตรมีความรักใคร่ มีลกั ษณะ ๔ ๗๐ - สงั คหวตั ถุ ๔ อยา่ ง ๗๑ - ฆราวาสธรรม ๔ อยา่ ง ๗๑ - ปัญจกะ คอื หมวด ๕ - มิจฉาวณิชชา คอื การคา้ ขายไม่ชอบธรรม ๕ อยา่ ง พระธีรวฒั น์ จนฺทโสภโณ : วดั ไผ่เงนิ โชตนาราม | ธรรมศึกษาช้ันเอก 7
- สมบตั ิของอุบาสกอุบาสิกา ๕ ประการ 8 - ฉักกะ คือ หมวด ๖ ๗๑ - ทิศ ๖ ๗๑ เร่ือง ๗๑ - ปุรัตถิมทิส คือ ทศิ เบ้ืองหนา้ มารดาบดิ า - ทกั ขณิ ทสิ คือทิศเบ้ืองขวา อาจารย์ ศษิ ย์ หน้า - ปัจฉิมทิส คอื ทศิ เบ้ืองหลงั ภรรยา สามี - อุตตรทิส คอื ทศิ เบ้ืองซา้ ย มิตร กลุ บตุ ร ๗๑ - เหฏฐิมทสิ คือทิศเบ้ืองตา่ บ่าว นาย ๗๑ - อุปริมทิส คอื ทศิ เบ้ืองบน สมณพราหมณ์ กลุ บตุ ร ๗๒ - อบายมุข คือเหตเุ ครื่องฉิบหาย ๖ ๗๒ - ด่ืมน้าํ เมา มีโทษ ๖ ๗๒ - เท่ียวกลางคนื มีโทษ ๖ ๗๒ - เท่ียวดูการเล่น มีโทษตามวตั ถุทไี่ ปดู ๖ ๗๓ - เล่นการพนนั มีโทษ ๖ ๗๓ - คบคนชวั่ เป็นมิตร มีโทษตามบคุ คลท่ีคบ ๖ ๗๓ - เกียจคร้านการทางาน มีโทษ ๖ ๗๓ ข้อสอบพร้อมเฉลย ๗๓ ๗๓ - ปัญหาและเฉลยธรรมวภิ าค หมวดท่ี ๒ – ๓ ๗๓ - ปัญหาและเฉลยธรรมวภิ าค หมวดที่ ๔–๕ - ปัญหาและเฉลยธรรมวภิ าค หมวดที่ ๖–๑๐ ๗๔ - ปัญหาและเฉลยคหิ ิปฏิบตั ิ หมวดที่ ๔ – ๖ ๗๗ - ปัญหาและเฉลยพทุ ธประวตั ิ ปริเฉทที ๑ – ๔ ๘๐ - ปัญหาและเฉลยพทุ ธประวตั ิ ปริเฉทที ๕ – ๘ ๘๓ - ปัญหาและเฉลยพทุ ธประวตั ิ ปริเฉทที ๙-๑๒ ๘๖ - ปัญหาและเฉลยพทุ ธประวตั ิ ปริเฉทท่ี ๑๓ – ๑๖ ๘๘ - ปัญหาและเฉลยศาสนพธิ ี หมวดที ๑ – ๒ ๘๐ - ปัญหาและเฉลยศาสนพธิ ี หมวดที ๓ – ๔ ๙๓ - ปัญหาและเฉลยวนิ ยั มุข กณั ฑท์ ี ๑ – ๒ ๙๕ - ปัญหาและเฉลยวนิ ยั มุข กณั ฑท์ ี ๓ – ๔ ๙๗ - ปัญหาและเฉลยวนิ ยั มุข กณั ฑท์ ี ๕ – ๗ ๑๐๐ - ปัญหาและเฉลยวนิ ยั มุข กณั ฑท์ ี ๘ – ๙ ๑๐๓ ๑๐๖ ๑๐๙ พระธีรวฒั น์ จนฺทโสภโณ : วดั ไผ่เงินโชตนาราม | ธรรมศึกษาช้ันเอก 8
9 เนื้อหาวชิ ากระทู้ธรรม นักธรรมศึกษาช้ันตรี หลกั เกณฑ์การแต่งกระทู้ พระธีรวฒั น์ จนฺทโสภโณ : วดั ไผ่เงินโชตนาราม | ธรรมศึกษาช้ันเอก 9
10 ผจู้ ะแต่งกระทู้ จาํ เป็นจะตอ้ งทราบหลกั เกณฑใ์ นการแตง่ กระทูก้ ่อน หลกั เกณฑใ์ นการแต่งกระทู้ น้นั ผศู้ ึกษาพงึ ทราบตามทส่ี นามหลวงแผนกธรรมไดว้ างเป็ นหลกั เอาไวด้ งั ขอ้ ความวา่ แต่งอธิบายใหส้ มเหตุสมผล อา้ งสุภาษติ อื่นมาประกอบดว้ ย ๑ ขอ้ และบอกช่ือคมั ภีร์ทม่ี าแห่ง สุภาษิตน้นั ดว้ ย สุภาษติ ที่อา้ งมาน้นั ตอ้ งเรียงเชื่อมความใหส้ นิทตดิ ตอ่ สมกบั กระทูต้ ้งั ช้นั น้ี (ธรรมศกึ ษาช้นั ตรี)กาํ หนดให้เขียนลงในใบตอบ ต้งั แต่ ๒ หนา้ (เวน้ บรรทดั ) ข้นึ ไป วธิ ีการแต่งกระทู้ เม่ือทราบหลกั เกณฑก์ ารแตง่ กระทูโ้ ดยยอ่ แลว้ ต่อไปควรทราบวธิ ีการแตง่ วธิ ีการแตง่ กระทมู้ ีองคป์ ระกอบ ใหญ่ ๆ ๓ อยา่ ง คอื ๑. คาํ เริ่มต้น ไดแ้ ก่คาํ วา่ ณ บัดนี้ จกั อธิบายขยายความธรรมภาษติ ที่ได้ยกขึน้ นิกเขปบท เพ่ือเป็ น แนวทางแห่งการศึกษา และปฏบิ ตั ธิ รรมตามสมควรแก่เวลา หรืออ่ืนใดตามท่ีเหมาะสม ๒. คาํ ขยายความ คอื อธิบายเน้ือความแห่งธรรมภาษติ ซ่ึงเป็ นกระทูป้ ัญหา พร้อมท้งั อา้ งสุภาษติ อ่ืนมา ประกอบอยา่ งนอ้ ย ๑ ขอ้ พร้อมท้งั บอกทม่ี าใหถ้ ูกตอ้ ง ๓. คาํ ลงท้าย คือ สรุปเน้ือความทไ่ี ดอ้ ธิบายมาแลว้ โดยยอ่ อีกคร้งั หน่ึง ใหส้ อดคลอ้ งกบั กระทูป้ ัญหา จบ ลงดว้ ยคาํ วา่ สมกบั ธรรมภาษติ ว่า……….หรือ พระพทุ ธองค์จึงตรัสว่า………. ตามความเหมาะสม (ช่องวา่ งทีเ่ วน้ ไวห้ มายถึง กระทปู้ ัญหาพรอ้ มท้งั คาํ แปล) พระธรี วฒั น์ จนฺทโสภโณ : วดั ไผ่เงินโชตนาราม | ธรรมศึกษาช้ันเอก 10
11 ๘ ข้นั ตอนการเขียนกระทู้ธรรมตรี การแตง่ กระทธู้ รรมช้นั ตรี จะมีข้นั ตอนหลกั ๆ อยู่ ๘ ข้นั ตอนใหญ่ จะเห็นวา่ มีตวั เลขกาํ กบั อยู่ ดา้ นหนา้ หมายถึงข้นั ตอนที่ตอ้ งเขียนดงั น้ี ข้นั ตอนที่ ๑ เขียน \"สุภาษิตบทต้งั พร้อมคาํ แปล\" เป็นสุภาษติ ท่สี นามหลวงกาํ ใหเ้ ป็นโจทย์ ตอ้ งเขียนไว้ ก่ึงกลางหนา้ กระดาษ ข้นั ตอนที่ ๒ ยอ่ หนา้ เขยี น คาํ นาํ หรืออารัมภบท คอื เขียนคาํ วา่ \"บดั น้ี จกั ได้ ...สืบต่อไป\" ข้นั ตอนที่ ๓ ยอ่ หนา้ เขียน อธิบายเน้ือความสุภาษติ บทต้งั ประมาณ ๘-๑๕ บรรทดั จากน้นั ต่อดว้ ยคาํ \"สมดงั สุภาษิต ทีม่ าใน ...วา่ \" เช่น \"สมดงั สุภาษติ ทมี่ าใน ขทุ ฺทกนิกาย ธรรมบท วา่ \" ตอ้ ง ปิ ดดว้ ยคาํ วา่ \"วา่ \" เสมอ เป็ นการบอกท่ีมาของสุภาษติ เชื่อมก่อนจะเขยี นในข้นั ที่ ๔ ข้นั ตอนที่ ๔ เขียน สุภาษิตเชื่อมพร้อมคาํ แปล เป็นสุภาษติ ทเ่ี ราจาํ มาเอง ใหอ้ ยกู่ ่ึงกลางและตรงกบั สุภาษิตบทต้งั ดว้ ย ข้นั ตอนที่ ๕ ยอ่ หนา้ เขียน อธิบายเน้ือความสุภาษติ เชื่อม ประมาณ ๘-๑๕ บรรทดั ข้นั ตอนท่ี ๖ ยอ่ หนา้ เขยี น สรุปความกระทธู้ รรม ใหไ้ ดใ้ จความสาระสาํ คญั ประมาณ ๕-๖ บรรทดั เมื่อ สรุปเสร็จแลว้ ตอ้ งเขียนต่อดว้ ยคาํ วา่ \"สมดงั สุภาษติ ทย่ี กข้นึ เป็ นนิกเขปบทเบ้ืองตน้ วา่ ข้นั ตอนที่ ๗ ใหย้ กสุภาษติ บทต้งั พรอ้ มคาํ แปล มาเขียนปิ ดอีกคร้งั หน่ึง และจะตอ้ งเขยี นใหอ้ ยกู่ ่ึงกลาง ตรงกนั พอกบั สุภาษติ เชื่อม ข้นั ตอนท่ี ๘ บรรทดั สุดทา้ ยเขียนคาํ วา่ \"มีนยั ดงั พรรณนามาดว้ ยประการฉะน้ี\" เพอื่ ปิ ดการเขียนเรียงแก้ กระทธู้ รรมท้งั หมด สาํ คญั : ต้งั แตข่ ้นั ตอนที่ ๑ จนถึง ๘ ตอ้ งเขียน \"เวน้ บรรทดั ทกุ บรรทดั \" พระธีรวฒั น์ จนฺทโสภโณ : วดั ไผ่เงนิ โชตนาราม | ธรรมศึกษาช้ันเอก 11
12 ตัวอย่างกระทู้ธรรม ธรรมศึกษาช้ันตรี พระธรี วฒั น์ จนฺทโสภโณ : วดั ไผ่เงินโชตนาราม | ธรรมศึกษาช้ันเอก 12
13 พระธรี วฒั น์ จนฺทโสภโณ : วดั ไผ่เงินโชตนาราม | ธรรมศึกษาช้ันเอก 13
14 ขอขอบคณุ ข้อมลู ภาพจากเวบ็ เพจ ธรรมศึกษา พระธีรวฒั น์ จนฺทโสภโณ : วดั ไผ่เงนิ โชตนาราม | ธรรมศึกษาช้ันเอก 14
15 อกั ษรย่อชื่อคมั ภรี ์ พระไตรปิ ฎกภาษาบาลี ภาษาไทย อรรถกถา ฎกี าปกรณวเิ สส และไวยากรณ์ (ภาษาบาล)ี ****************************** อกั ษรย่อเรียงตามลาํ ดบั คมั ภีร์ ดงั นี้ พระวนิ ัยปิ ฎก คาํ ย่อ คาํ เตม็ ว.ิ มหา. (บาลี) วนิ ยปิฏก ภิกฺขวุ ิภงฺคปาลิ (ภาษบาลี) วิ.มหา. (ไทย) วินยปิฎก ภิกขุวภิ งั ค์ (ภาษาไทย) วิ.ภิกฺขนุ ี. (บาลี) วินยปิฏก ภิกฺขุนีวภิ งฺคปาลิ (ภาษบาลี) ว.ิ ภิกฺขนุ ี. (ไทย) วินยปิฎก ภิกขนุ ีวิภงั ค์ (ภาษาไทย) วิ.ม. (บาลี) วินยปิ ฏก มหาวคฺคปาลิ (ภาษาบาลี) ว.ิ ม. (ไทย) วนิ ยปิ ฎก มหาวรรค (ภาษาไทย) วิ.จู. (บาลี) วินยปิฏก จูฬวคฺคปาลิ (ภาษาบาลี) ว.ิ จู. (ไทย) วนิ ยปิฎก จูฬวรรค (ภาษาไทย) ว.ิ ป. (บาลี) วนิ ยปิ ฏก ปริวารวคฺคปาลิ (ภาษาบาลี) วิ.ป. (ไทย) วนิ ยปิ ฎก ปริวารวรรค (ภาษาไทย) พระสุตตนั ตปิ ฎก สุตฺตนฺตปิ ฏก ทีฆนิกาย สีลกฺขนฺธวคฺคปาลิ (ภาษาบาลี) สุตตนั ตปิฎก ทีฆนิกาย สีลกั ขนั ธวรรค (ภาษาไทย) ท.ี สี. (บาลี) สุตฺตนฺตปิ ฏก ทีฆนิกาย มหาวคฺคปาลิ (ภาษาบาลี) ท.ี สี. (ไทย) สุตตนั ตปิ ฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค (ภาษาไทย) ท.ี ม. (บาลี) สุตฺตนฺตปิ ฏก ทีฆนิกาย ปาฏิกวคฺคปาลิ (ภาษาบาลี) ท.ี ม. (ไทย) สุตตนั ตปิ ฎก ทฆี นิกาย ปาฏิกวรรค (ภาษาไทย) ท.ี ปา. (บาลี) สุตฺตนฺตปิ ฏก มชฺฌมิ นิกาย มลู ปณฺ ณาสกปาลิ (ภาษาบาลี) ที.ปา. (ไทย) สุตตนั ตปิฎก มชั ฌมิ นิกาย มลู ปัณณาสก์ (ภาษาไทย) ม.มู. (บาลี) สุตฺตนฺตปิ ฏก มชฺฌิมนิกาย มชฺฌมิ ปณฺ ณาสกปาลิ (ภาษาบาลี) ม.ม.ู (ไทย) สุตตนั ตปิฎก มชั ฌิมนิกาย มชั ฌิมปัณณาสก์ (ภาษาไทย) ม.ม. (บาลี) สุตฺตนฺตปิ ฏก มชฺฌมิ นิกาย อุปริปณฺ ณาสกปาลิ (ภาษาบาลี) ม.ม. (ไทย) สุตตนั ตปิฎก มชั ฌมิ นิกาย อุปริปัณณาสก์ (ภาษาไทย) ม.อุ. (บาลี) สุตฺตนฺตปิ ฎก สยํ ตุ ฺตนิกาย สคาถวคฺคปาลิ (ภาษาบาลี) ม.อุ. (ไทย) สุตตนั ตปิฎก สังยตุ ตนิกาย สคาถวรรค (ภาษาไทย) ส.ํ ส. (บาลี) สุตฺตนฺตปิ ฎก สยํ ตุ ฺตนิกาย นิทานวคฺคปาลิ (ภาษาบาลี) ส.ํ ส. (ไทย) สุตตนั ตปิ ฎก สยํ ตุ ฺตนิกาย นิทานวรรค (ภาษาไทย) ส.ํ นิ. (บาลี) สุตฺตนฺตปิฎก สยํ ตุ ฺตนิกาย ขนฺธวคฺคปาลิ (ภาษาบาลี) ส.ํ นิ. (ไทย) สุตตนั ตปิ ฎก สยํ ตุ ฺตนิกาย ขนั ธวรรค (ภาษาไทย) ส.ํ ข. (บาลี) ส.ํ ข. (ไทย) พระธรี วฒั น์ จนฺทโสภโณ : วดั ไผ่เงินโชตนาราม | ธรรมศึกษาช้ันเอก 15
16 ส.ํ สฬา. (บาลี) สุตฺตนฺตปิ ฎก สยํ ตุ ฺตนิกาย สฬายตนวคฺคปาลิ (ภาษาบาลี) ส.ํ สฬา. (ไทย) สุตตนั ตปิฎก สังยตุ ตนิกาย สฬายตนวรรค (ภาษาไทย) ส.ํ ม. (บาลี) สุตฺตนฺตปิ ฎก สยํ ตุ ฺตนิกาย มหาวารวคฺคปาลิ (ภาษาบาลี) ส.ํ ม. (ไทย) สุตตนั ตปิ ฎก สยํ ตุ ฺตนิกาย มหาวารวรรค (ภาษาไทย) องฺ.เอกก. (บาลี) องฺคุตฺตรนิกาย เอกกนิปาตปาลิ (ภาษาบาลี) องฺ.เอกก. (ไทย) สุตตนั ตปิฎก องั คุตตรนิกาย เอกกนิบาต (ภาษาไทย) องฺ.ทุก. (บาลี) สุตฺตนฺตปิ ฎก องฺคุตฺตรนิกาย ทกุ นิปาตปาลิ (ภาษาบาลี) องฺ.ทุก. (ไทย) สุตตนั ตปิฎก องั คุตตรนิกาย ทกุ นิบาต (ภาษาไทย) องฺ.ติก. (บาลี) สุตฺตนฺตปิ ฎก องฺคุตฺตรนิกาย ติกนิปาตปาลิ (ภาษาบาลี) องฺ.ติก. (ไทย) สุตตนั ตปิฎก องั คุตตรนิกาย ติกนิบาต (ภาษาไทย) องฺ.จตุกฺก. (บาลี) สุตฺตนฺตปิ ฎก องฺคุตฺตรนิกาย จตุกฺกนิปาตปาลิ (ภาษาบาลี) องฺ.จตุกฺก. (ไทย) สุตตนั ตปิฎก องั คุตตรนิกาย จตุกกนิบาต (ภาษาไทย) องฺ.ป�ฺจก. (บาลี) สุตฺตนฺตปิ ฎก องฺคุตฺตรนิกาย ป�ฺจกนิปาตปาลิ (ภาษาบาลี) องฺ.ป�ฺจก. (ไทย) สุตตนั ตปิฎก องั คุตตรนิกาย ปัญจกนิบาต (ภาษาไทย) องฺ.ฉกฺก. (บาลี) สุตฺตนฺตปิ ฎก องฺคุตฺตรนิกาย ฉกฺกนิปาตปาลิ (ภาษาบาลี) องฺ.ฉกฺก. (ไทย) สุตตนั ตปิ ฎก องั คุตตรนิกาย ฉกั กนิบาต (ภาษาไทย) องฺ.สตฺตก. (บาลี) สุตฺตนฺตปิ ฎก องฺคุตฺตรนิกาย สตฺตกนิปาตปาลิ (ภาษาบาลี) องฺ.สตฺตก. (ไทย) สุตตนั ตปิฎก องั คุตตรนิกาย สัตตกนิบาต (ภาษาไทย) องฺ.อฏฺฐก. (บาลี) สุตฺตนฺตปิ ฎก องฺคุตฺตรนิกาย อฏฺ ฐกนิปาตปาลิ (ภาษาบาลี) องฺ.อฏฺฐก. (ไทย) สุตตนั ตปิฎก องั คุตตรนิกาย อฏั ฐกนิบาต (ภาษาไทย) องฺ.นวก. (บาลี) สุตฺตนฺตปิ ฎก องฺคุตฺตรนิกาย นวกนิปาตปาลิ (ภาษาบาลี) องฺ.นวก. (ไทย) สุตตนั ตปิฎก องั คุตตรนิกาย นวกนิบาต (ภาษาไทย) องฺ.ทสก. (บาลี) สุตฺตนฺตปิฎก องฺคุตฺตรนิกาย ทสกนิปาตปาลิ (ภาษาบาลี) องฺ.ทสก. (ไทย) สุตตนั ตปิฎก องั คุตตรนิกาย ทสกนิบาต (ภาษาไทย) องฺ.เอกาทสก. (บาลี) สุตฺตนฺตปิ ฎก องฺคุตฺตรนิกาย เอกาทสกนิปาตปาลิ (ภาษาบาลี) องฺ.เอกาทสก. (ไทย) สุตตนั ตปิฎก องั คุตตรนิกาย เอกาทสกนิบาต (ภาษาไทย) ขุ.ขุ. (บาลี) สุตฺตนฺตปิฎก ขุทฺทกนิกาย ขุทฺทกปาฐปาลิ (ภาษาบาลี) ข.ุ ขุ. (ไทย) สุตตนั ตปิฎก ขุททกนิกาย ขุททกปาฐะ (ภาษาไทย) ข.ุ ธ. (บาลี) สุตฺตนฺตปิ ฎก ขทุ ฺทกนิกาย ธมฺมปทปาลิ (ภาษาบาลี) ข.ุ ธ. (ไทย) สุตตนั ตปิฎก ขุททกนิกาย ธมั มบท (ภาษาไทย) ขุ.อุ. (บาลี) สุตฺตนฺตปิฎก ขทุ ฺทกนิกาย อุทานปาลิ (ภาษาบาลี) ข.ุ อุ. (ไทย) สุตตนั ตปิฎก ขุททกนิกาย อุทาน (ภาษาไทย) ขุ.อิติ. (บาลี) สุตฺตนฺตปิ ฎก ขุทฺทกนิกาย อิติวตุ ฺตกปาลิ (ภาษาบาลี) ข.ุ อิติ. (ไทย) สุตตนั ตปิฎก ขุททกนิกาย อิติวตุ ฺตกะ (ภาษาไทย) ขุ.สุ. (บาลี) สุตฺตนฺตปิฎก ขุทฺทกนิกาย สุตฺตนิปาตปาลิ (ภาษาบาลี) ข.ุ สุ. (ไทย) สุตตนั ตปิฎก ขทุ ทกนิกาย สุตตนิบาต (ภาษาไทย) ข.ุ เปต. (บาลี) สุตฺตนฺตปิ ฎก ขุทฺทกนิกาย เปตวตฺถุปาลิ (ภาษาบาลี) ขุ.เปต. (ไทย) สุตตนั ตปิฎก ขุททกนิกาย เปตวตั ถุ (ภาษาไทย) ข.ุ เถร. (บาลี) สุตฺตนฺตปิ ฎก ขุทฺทกนิกาย เถรคาถาปาลิ (ภาษาบาลี) พระธรี วฒั น์ จนฺทโสภโณ : วดั ไผ่เงนิ โชตนาราม | ธรรมศึกษาช้ันเอก 16
17 ขุ.เถร. (ไทย) สุตตนั ตปิ ฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา (ภาษาไทย) ขุ.เถรี. (บาลี) สุตฺตนฺตปิ ฎกขทุ ฺทกนิกาย เถรีคาถาปาลิ (ภาษาบาลี) ขุ.เถรี. (ไทย) สุตตนั ตปิฎก ขุททกนิกาย เถรีคาถา (ภาษาไทย) ขุ.ชา. (บาลี) สุตฺตนฺตปิ ฎกขทุ ฺทกนิกาย ชาตกปาลิ (ภาษาบาลี) ข.ุ ชา. (ไทย) สุตตนั ตปิฎก ขทุ ทกนิกาย ชาดก (ภาษาไทย) ข.ุ ชา.เอกก.(บาลี) สุตฺตนฺตปิ ฎก ขุทฺทกนิกาย เอกกนิปาตชาตกปาลิ (ภาษาบาลี) ขุ.ชา. เอกก.(ไทย) สุตตนั ตปิฎก ขทุ ทกนิกาย เอกกนิบาตชาดก (ภาษาไทย) ข.ุ ชา.ทุก.(บาลี) สุตฺตนฺตปิฎก ขทุ ฺทกนิกาย ทุกนิปาตชาตกปาลิ (ภาษาบาลี) ข.ุ ชา. ทกุ .(ไทย) สุตตนั ตปิฎก ขทุ ทกนิกาย ทุกนิบาตชาดก(ภาษาไทย) ขุ.ชา.ทกุ .(บาลี) สุตฺตนฺตปิ ฎก ขทุ ฺทกนิกาย ทกุ นิปาตชาตกปาลิ (ภาษาบาลี) ข.ุ ชา. ทุก.(ไทย) สุตตนั ตปิฎก ขทุ ทกนิกาย ทุกนิบาตชาดก (ภาษาไทย) ขุ.ชา.ติก.(บาลี) สุตฺตนฺตปิฎก ขุทฺทกนิกาย ติกนิปาตชาตกปาลิ (ภาษาบาลี) ขุ.ชา. ติก.(ไทย) สุตตนั ตปิฎก ขุททกนิกาย ติกนิบาตชาดก (ภาษาไทย) ขุ.ชา.จตุกฺก.(บาลี) สุตฺตนฺตปิ ฎก ขุทฺทกนิกาย จตุกฺกนิปาตชาตกปาลิ (ภาษาบาลี) ข.ุ ชา. จตุกฺก.(ไทย) สุตตนั ตปิฎก ขทุ ทกนิกาย จตุกกนิบาตชาดก (ภาษาไทย) ขุ.ชา.ป�ฺจก.(บาลี) สุตฺตนฺตปิ ฎก ขุทฺทกนิกาย ป�ฺจกนิปาตชาตกปาลิ (ภาษาบาลี) ข.ุ ชา. ป�ฺจก.(ไทย) สุตตนั ตปิฎก ขทุ ทกนิกาย ป�ฺจกนิบาตชาดก(ภาษาไทย) ขุ.ชา.ฉกฺก.(บาลี) สุตฺตนฺตปิ ฎก ขทุ ฺทกนิกาย ฉกฺกนิปาตชาตกปาลิ (ภาษาบาลี) ข.ุ ชา. ฉกฺก.(ไทย) สุตตนั ตปิฎก ขทุ ทกนิกาย ฉกั กนิบาตชาดก (ภาษาไทย) ข.ุ ชา.สตฺตก.(บาลี) สุตฺตนฺตปิ ฎก ขทุ ฺทกนิกาย สตฺตกนิปาตชาตกปาลิ (ภาษาบาลี) ขุ.ชา. สตฺตก.(ไทย) สุตตนั ตปิฎก ขทุ ทกนิกาย สตฺตกนิบาตชาดก (ภาษาไทย) ข.ุ ชา.อฏฺ ฐก.(บาลี) สุตฺตนฺตปิ ฎก ขทุ ฺทกนิกาย อฏฺ ฐกนิปาตชาตกปาลิ (ภาษาบาลี) ขุ.ชา. อฏฺฐก.(ไทย) สุตตนั ตปิฎก ขทุ ทกนิกาย อฏฺฐกนิบาตชาดก (ภาษาไทย) ข.ุ ชา.นวก.(บาลี) สุตฺตนฺตปิ ฎก ขทุ ฺทกนิกาย นวกนิปาตชาตกปาลิ (ภาษาบาลี) ขุ.ชา. นวก.(ไทย) สุตตนั ตปิฎก ขุททกนิกาย นวกนิบาตชาดก (ภาษาไทย) ข.ุ ชา.ทสก.(บาลี) สุตฺตนฺตปิฎก ขุทฺทกนิกาย ทสกนิปาตชาตกปาลิ(ภาษาบาลี) ขุ.ชา. ทสก.(ไทย) สุตตนั ตปิฎก ขุททกนิกาย ทสกนิบาตชาดก(ภาษาไทย) ข.ุ ชา.เอกาทสก.(บาลี) สุตฺตนฺตปิ ฎก ขุทฺทกนิกาย เอกาทสกนิปาตชาตกปาลิ (ภาษาบาลี) ข.ุ ชา. เอกาทสก.(ไทย) สุตตนั ตปิฎก ขทุ ทกนิกาย เอกาทสกนิบาตชาดก (ภาษาไทย) ขุ.ชา.ทฺวาทสก.(บาลี) สุตฺตนฺตปิ ฎก ขทุ ฺทกนิกาย ทฺวาทสกนิปาตชาตกปาลิ (ภาษาบาลี) ขุ.ชา. ทฺวาทสก.(ไทย) สุตตนั ตปิ ฎก ขุททกนิกาย ทฺวาทสกนิบาตชาดก (ภาษาไทย) ขุ.ชา.เตรสก.(บาลี) สุตฺตนฺตปิ ฎก ขุทฺทกนิกาย เตรสกนิปาตชาตกปาลิ (ภาษาบาลี) ขุ.ชา. เตรสก.(ไทย) สุตตนั ตปิฎก ขทุ ทกนิกาย เตรสกนิบาตชาดก(ภาษาไทย) ข.ุ ชา.ปกิณฺณก.(บาลี) สุตฺตนฺตปิ ฎก ขุทฺทกนิกาย ปกิณฺ ณกนิปาตชาตกปาลิ (ภาษาบาลี) ข.ุ ชา. ปกิณฺ ณก.(ไทย) สุตตนั ตปิฎก ขุททกนิกาย ปกิณฺณกนิบาตชาดก(ภาษาไทย) ข.ุ ชา.วีสต.ิ (บาลี) สุตฺตนฺตปิ ฎก ขทุ ฺทกนิกาย วีสตินิปาตชาตกปาลิ (ภาษาบาลี) ข.ุ ชา. วสี ติ.(ไทย) สุตตนั ตปิฎก ขุททกนิกาย วสี ตินิบาตชาดก (ภาษาไทย) ขุ.ชา.ตึสติ.(บาลี) สุตฺตนฺตปิ ฎก ขุทฺทกนิกาย ตึสตินิปาตชาตกปาลิ (ภาษาบาลี) ข.ุ ชา. ตึสต.ิ (ไทย) สุตตนั ตปิฎก ขทุ ทกนิกาย ตึสตินิบาตชาดก (ภาษาไทย) พระธรี วฒั น์ จนฺทโสภโณ : วดั ไผ่เงินโชตนาราม | ธรรมศึกษาช้ันเอก 17
18 ขุ.ชา.จตฺตาลีส.(บาลี) สุตฺตนฺตปิฎก ขทุ ฺทกนิกาย จตฺตาลีสนิปาตชาตกปาลิ (ภาษาบาลี) ขุ.ชา. จตฺตาลีส(ไทย) สุตตนั ตปิ ฎก ขุททกนิกาย จตฺตาลีสนิบาตชาดก (ภาษาไทย) ขุ.ชา.ป�ฺญาส.(บาลี) สุตฺตนฺตปิ ฎก ขุทฺทกนิกาย ป�ฺญาสนิปาตชาตกปาลิ (ภาษาบาลี) ข.ุ ชา. จตฺตาลีส(ไทย) สุตตนั ตปิฎก ขุททกนิกาย ป�ฺญาสนิบาตชาดก (ภาษาไทย) ขุ.ชา.สฏฺ ฐิ.(บาลี) สุตฺตนฺตปิ ฎก ขทุ ฺทกนิกาย สฏฺฐินิปาตชาตกปาลิ (ภาษาบาลี) ขุ.ชา. สฏฺฐิ(ไทย) สุตตนั ตปิฎก ขทุ ทกนิกาย สฏฺฐินิบาตชาดก (ภาษาไทย) ขุ.ชา.สตฺตติ.(บาลี) สุตฺตนฺตปิ ฎก ขุทฺทกนิกาย สตฺตตินิปาตชาตกปาลิ (ภาษาบาลี) ข.ุ ชา. สตฺตติ (ไทย) สุตตนั ตปิฎก ขทุ ทกนิกาย สตฺตตินิบาตชาดก (ภาษาไทย) ขุ.ชา.อสีติ.(บาลี) สุตฺตนฺตปิ ฎก ขทุ ฺทกนิกาย อสีตินิปาตชาตกปาลิ (ภาษาบาลี) ข.ุ ชา. อสีติ (ไทย) สุตตนั ตปิฎก ขทุ ทกนิกาย อสีตินิบาตชาดก (ภาษาไทย) ขุ.ชา.ม.(บาลี) สุตฺตนฺตปิ ฎก ขุทฺทกนิกาย มหานิปาตชาตกปาลิ (ภาษาบาลี) ขุ.ชา. ม.(ไทย) สุตตนั ตปิ ฎก ขุททกนิกาย มหานิบาตชาดก (ภาษาไทย) ขุ.ม. (บาลี) ขุทฺทกนิกาย มหานิทฺเทสปาลิ (ภาษาบาลี) ขุ.ม. (ไทย) สุตตนั ตปิฎก ขุททกนิกาย มหานิทเทส (ภาษาไทย) ข.ุ จู. (บาลี) ขทุ ฺทกนิกาย จูฬนิทฺเทสปาลิ (ภาษาบาลี) ขุ.จู. (ไทย) สุตตนั ตปิฎก ขุททกนิกาย จูฬนิทเทส (ภาษาไทย) ข.ุ ป. (บาลี) ขทุ ฺทกนิกาย ปฏิสมฺภิทามคฺคปาลิ (ภาษาบาลี) ขุ.ป. (ไทย) สุตตนั ตปิ ฎก ขทุ ทกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค (ภาษาไทย) ข.ุ อป. (บาลี) ขุทฺทกนิกาย อปทานปาลิ (ภาษาบาลี) ข.ุ อป. (ไทย) สุตตนั ตปิฎก ขุททกนิกาย อปทาน (ภาษาไทย) ข.ุ พุทฺธ. (บาลี) ขทุ ฺทกนิกาย พุทฺธวสํ ปาลิ (ภาษาบาลี) ขุ.พทุ ฺธ. (ไทย) สุตตนั ตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงส์ (ภาษาไทย) พระอภธิ รรมปิ ฎก อภิ.สงฺ. (บาลี) อภิธมฺมปิ ฏก ธมฺมสงฺคณีปาลิ (ภาษาบาลี) อภิ.สงฺ. (ไทย) อภิธมั มปิ ฎก ธมั มสังคณี (ภาษาไทย) อภิ.ว.ิ (บาลี) อภิธมฺมปิ ฏก วิภงฺคปาลิ (ภาษาบาลี) อภิ.ว.ิ (ไทย) อภิธมั มปิ ฎก วภิ งั ค์ (ภาษาไทย) อภิ.ป.ุ (บาลี) อภิธมฺมปิฏก ปคุ ฺคลป�ฺญตฺติปาลิ (ภาษาบาลี) อภิ.ปุ. (ไทย) อภิธมั มปิ ฎก ปคุ คลบญั ญตั ิ (ภาษาไทย) อภิ.ก. (บาลี) อภิธมฺมปิ ฏก กถาวตฺถุปาลิ (ภาษาบาลี) อภิ.ก. (ไทย) อภิธมั มปิ ฎก กถาวตถุ (ภาษาไทย) อภิ.ย.(บาลี) อภิธมฺมปิ ฏก ยมกปาลิ (ภาษาบาลี) อภิ.ย.(ไทย) อภิธรรมปิ ฎก ยมก (ภาษาบาลี) อภิ.ป.(บาลี) อภิธมฺมปิ ฎก ปฏฺฐานปาลิ (ภาษาบาลี) อภิ.ป.(ไทย) อภิธรรมปิ ฎก ปัฏฐาน (ภาษาไทย) พระธรี วฒั น์ จนฺทโสภโณ : วดั ไผ่เงนิ โชตนาราม | ธรรมศึกษาช้ันเอก 18
พทุ ธศาสนสุภาษิต 19 แบ่งตามหมวดได้ดงั นี้ ๏ หมวดที่ ๒ จิตตวรรค - หมวดจิต ๏ หมวดที่ ๑ อตั ตวรรค – หมวดตน ๏ หมวดที่ ๔ กมั มวรรค - หมวดกรรม ๏ หมวดที่ ๓ บุคคลวรรค – หมวดบคุ คล ๏ หมวดที่ ๖ ธมั มวรรค - หมวดธรรม ๏ หมวดที่ ๕ มจั จุวรรค – หมวดความตาย ๏ หมวดที่ ๘ ขนั ติวรรค - หมวดอดทน ๏ หมวดที่ ๗ อปั ปมาทวรรค – หมวดไม่ประมาท ๏ หมวดท่ี ๑๐ ปุญญวรรค - หมวดบญุ ๏ หมวดที่ ๙ วริ ิยวรรค – หมวดความเพยี ร ๏ หมวดที่ ๑๒ ชยวรรค - หมวดชนะ ๏ หมวดที่ ๑๑ สุขวรรค – หมวดสุข ๏ หมวดที่ ๑๔ ปาปวรรค - หมวดบาป ๏ หมวดท่ี ๑๓ กิเลสวรรค – หมวดกิเลส ๏ หมวดท่ี ๑๖ โกธวรรค - หมวดโกรธ ๏ หมวดท่ี ๑๕ ทุกขวรรค – หมวดทุกข์ ๏ หมวดที่ ๑๘ มิตตวรรค - หมวดมติ ร ๏ หมวดที่ ๑๗ วาจาวรรค – หมวดวาจา ๏ หมวดที่ ๒๐ สามคั คีวรรค - หมวดสามคั คี ๏ หมวดท่ี ๑๙ เสวนาวรรค – หมวดคบหา ๏ หมวดที่ ๒๒ สีลวรรค - หมวดศลี ๏ หมวดท่ี ๒๑ ทานวรรค – หมวดทาน ๏ หมวดที่ ๒๔ ปกิณณกวรรค – หมวดเบด็ เตลด็ ๏ หมวดท่ี ๒๓ ปัญญาวรรค – หมวดปัญญา อตฺตนา ว กตํ ปาปํ อตฺตนา สงฺกิลิสฺสติ หมวดที่ ๑ ตนทาํ บาปเอง ยอ่ มเศร้าหมองเอง อัตตวรรค - หมวดตน ขุ.ธ. ๒๕/๓๗ อตฺตา หเว ชิตํ เสยฺโย อตฺตนา อกตํ ปาปํ อตฺตนา ว วิสุชฺฌติ ชนะตนนนั่ แหละ เป็นดี ตนไมท่ าํ บาปเอง ยอ่ มหมดจดเอง ขุ.ธ. ๒๕/๒๙ ข.ุ ธ. ๒๕/๓๗ อตฺตา หิ กิร ททุ ฺทโม อตฺตตฺถปั�ฺญา อสุจี มนุสฺสา ไดย้ นิ ว่าตนแลฝึ กยาก มนุษยผ์ เู้ ห็นแก่ประโยชน์ตน เป็นคนไม่สะอาด ขุ.ธ. ๒๕/๓๖ ข.ุ สุ. ๒๕/๒๙๖/๓๓๙ อตฺตา สุทนฺโต ปรุ ิสสฺส โชติ อตฺตานํ ทมยนฺติ ปณฺฑิตา ตนท่ีฝึ กดีแลว้ เป็นแสงสว่างของบรุ ุษ บณั ฑิต ยอ่ มฝึกตน ส.ํ ส. ๑๕/๒๔๘ ขุ.ธ. ๒๕/๒๕ อตฺตา หิ อตฺตโน นาโถ อตฺตานํ ทมยนฺติ สุพฺพตา ตนแล เป็นทีพ่ ่ึงของตน ผปู้ ระพฤติดี ยอ่ มฝึ กตน ข.ุ ธ. ๒๕/๓๖, ๖๖ ข.ุ ธ. ๒๕/๓๔ อตฺตา หิ อตฺตโน คติ ตนแล เป็นคติของตน ขุ.ธ. ๒๕/๓๖ พระธีรวฒั น์ จนฺทโสภโณ : วดั ไผ่เงนิ โชตนาราม | ธรรมศึกษาช้ันเอก 19
หมวดท่ี ๒ 20 ๏ จติ ตวรรค - หมวดจิต จิตฺตสฺส ทมโถ สาธุ จิตฺเต สงฺกิลิฏฺ เฐ ทุคฺคติ ปาฏิกงฺขา การฝึ กจิตเป็นความดี เมือ่ จิตเศร้าหมองแลว้ ทุคติเป็นอนั หวงั ได้ ขุ.ธ. ๒๕/๑๙ ม.ม.ู ๑๒/๖๔ จิตฺตํ คุตฺตํ สุขาวหํ จิตท่ีคุม้ ครองแลว้ นาํ สุขมาให้ จิตฺเต อสงฺกิลิฏฺ เฐ สุคติ ปาฏิกงฺขา ขุ.ธ. ๒๕/๑๓ เมื่อจิตไมเ่ ศร้าหมอง สุคติเป็นอนั หวงั ได้ วหิ �ฺญตี จิตฺตวสานุวตฺตี ม.มู. ๑๒/๖๔ ผปู้ ระพฤติตามอาํ นาจจิตยอ่ มลาํ บาก ขุ.ชา. ๒๗/๓๑๖ จิตฺเตน นียติ โลโก โลกถูกจิตนาํ ไป กุสโล จ ชหาติ ปาปกํ ส.ํ ส. ๑๕/๑๘๑ คนฉลาดยอ่ มละบาป ขุ.อุ. ๒๕/๑๖๘ หมวดที่ ๓ นยํนยติ เมธาวี ๏ บุคคลวรรค - หมวดบคุ คล คนมีปัญญา ยอ่ มแนะนาํ ทางท่คี วรแนะนาํ ขุ.ชา.ทุก. ๒๗/๑๘๑๙ สาธุ โข ปณฺ ฑิโต นาม ธีโร โภเค อธิคมฺม สงฺคณฺ หาติ จ ญาตเก ช่ือวา่ บณั ฑิตยอ่ มทาํ ประโยชนใ์ ห้สาํ เร็จไดแ้ ล ผมู้ ปี รีชาไดโ้ ภคะแลว้ ยอ่ มสงเคราะห์หมญู่ าติ ส.ํ ส. ๑๕/๘๒๕ ขุ.ชา. ๒๗/๙๓๖ ปฌฺฑิโต สีลสมฺปนฺโน ชลํ อคฺคีว ภาสติ สนฺโต น เต เย น วทนฺติ ธมฺมํ บณั ฑิตผสู้ มบูรณด์ ว้ ยศลี ยอ่ มรุ่งเรืองเหมือนไฟสว่าง ผใู้ ดไม่พูดเป็นธรรม ผนู้ ้นั ไม่ใช่สตั บรุ ุษ ที.ปา. ๑๑/๑๙๗ ส.ํ ส. ๑๕/๗๒ อนตฺถํ ปริวชฺเชติ อตฺถํ คณฺ หาติ ปณฺ ฑิโต บณั ฑิตยอ่ มเวน้ สิ่งท่ีไมเ่ ป็ นประโยชน์ ถึงเอาแต่ส่ิงที่เป็น ประโยชน์ องฺ.จตุกฺก ๒๑/๔๒ ทนฺโต เสฎฺ โฐ มนุสฺเสสุ ในหม่มู นุษย์ ผฝู้ ึ กตนแลว้ เป็นผูป้ ระเสริฐสุด ขุ.ธ. ๒๕/๓๓ พระธีรวฒั น์ จนฺทโสภโณ : วดั ไผ่เงินโชตนาราม | ธรรมศึกษาช้ันเอก 20
21 หมวดท่ี ๔ ต�ฺจ กมฺมํ กตํ สาธุ ยํกตฺวา นานุตปฺปติ ๏ กมั มวรรค - หมวดกรรม ทาํ กรรมใดแลว้ ไม่ร้อนใจภายหลงั กรรมทท่ี าํ น้นั แลเป็นดี ข.ุ ธ. ๒๕/๒๓ สานิ กมฺมานิ นยนฺติ ทุคฺคติ กรรมชวั่ ของตนเอง ยอ่ มนาํ ไปสู่ทุคคติ ข.ุ ธ. ๒๕/๔๗ สุกรํ สาธุนา สาธุ น ตํ กมฺมํ กตํ สาธุ ยํกตฺวา อนุตปฺปติ ความดี อนั คนดีทาํ ง่าย ทาํ กรรมใดแลว้ ร้อนใจภายหลงั กรรมท่ีทาํ แลว้ น้นั ไมด่ ี ขุ.อุ. ๒๕/๑๖๗ ข.ุ ธ. ๒๕/๒๓ สาธุ ปาเปน ทกุ ฺกรํ นิสมฺม กรณํ เสยฺโย ความดี อนั คนชว่ั ทาํ ยาก ใคร่ครวญก่อนแลว้ จึงทาํ ดีกวา่ ขุ.อุ. ๒๕/๑๖๗ ว.ว หมวดท่ี ๕ นยั ท.ี มหา. ๑๐/๑๔๑ ๏ มจั จวุ รรค - หมวดความตาย ยถา ทณฺ เฑน โคปาลา คาโว ปาเชติ โคจรํ สพฺพํ เภทปริยนฺติ เอวํ มจฺจาน ชีวิตํ เอวํ ชรา จ มจฺจุ จ อายุ ปาเชนฺติ ปาณินํ ชีวติ ของสัตวเ์ หมอื นภาชนะดิน ซ่ึงลว้ นมีความสลายเป็น ผเู้ ล้ียงโคยอ่ มตอ้ นฝงู โค ไปสู่ท่ีหากินดว้ ยพลองฉนั ใด ทสี่ ุด ความแก่และความตาย ยอ่ มตอ้ นอายขุ องสัตวม์ ชี ีวติ ไป ท.ี มหา. ๑๐/๑๔๑ ฉนั น้นั ขุ.ธ. ๒๕/๓๓ น มิยฺยมานํ ธนมนฺเวติ กิ�ฺจิ ทรัพยส์ กั นิดก็ติดตามคนตายไปไมไ่ ด้ ม.ม. ๑๓/๔๑๒ อฑฺฒา เจว ทฬิทฺทา จ สพฺเพ มจฺจุ ปรายนา ยถา วาริวโห ปโู ร วเห รุกฺเข ปกลู เช ท้งั คนมคี นจน ลว้ นมแี ต่ความตายเป็ นเบ้ืองหนา้ เอวํ ชราย มรเณน วุยฺ หนฺเต สพฺพปาณิโน ท.ี มหา. ๑๐/๑๔๑ หว้ งน้าํ ที่เตม็ ฝั่ง พึงพดั ตน้ ไมซ้ ่ึงเกิดทตี่ ล่ิงไปฉนั ใด สัตวม์ ีชีวิตท้งั ปวง ยอ่ มถูกความแก่และความตายพดั ไป ทหรา จ มหนฺตา จ เย พาลา เย จ ปณฺ ฑิตา ฉนั น้นั สพฺเพ มจฺจุวสํ ยนฺติ สพฺเพ มจฺจุปรายนา (เตมิยโพธิสตฺต) ขุ.ชา.มหา. ๒๘/๑๖๔ ท้งั เดก็ ท้งั ผใู้ หญ่ ท้งั เขลา ท้งั ฉลาด ลว้ นไปสู่อาํ นาจแห่งความตาย ลว้ นมคี วามตายเป็นเบ้อื ง อจฺเจนติ กาลา ตรยนฺติ รตฺติโย วโยคุณา อนุปพุ ฺพํ ชหนฺติ หนา้ เอตํ ภยํ มรเณ เปกฺขมาโน ป�ุ ฺญานิ กยริ าถ สุขาวหานิ พระธีรวฒั น์ จนฺทโสภโณ : วดั ไผ่เงนิ โชตนาราม | ธรรมศึกษาช้ันเอก 21
กาลยอ่ มล่วงไป ราตรียอ่ มผา่ นไป ช้นั แห่งวยั ยอ่ มละ 22 ลาํ ดบั ไป ผเู้ ล็งเห็นภยั ในมรณะน้นั พึงทาํ บญุ อนั นาํ ความสุขมาให้ หมวดที่ ๖ (นนฺทเทวปุตฺต) ส.ํ ส. ๑๕/๘ ๏ ธมั มวรรค – หมวดธรรม ธมฺมํ จเร สุจริตํ น ตํ ทจุ ฺจริตํ จเร ธมฺโม รหโท อกทฺทโม พึงประพฤติธรรมให้สุจริต ไม่ควรประพฤติใหท้ ุจจริต ธรรมเหมือนห้วงน้าํ ไม่มีตม ข.ุ ธ. ๒๕/๓๘ ข.ุ ชา.ฉกฺก. ๒๗/๒๐๒ น ทุคฺคตึ คจฺฉติ ธมฺมจารี ธมฺโม สุจิณฺ โณ สุขมาวหาติ ผปู้ ระพฤติธรรม ไม่ไปสู่ทคุ ติ ธรรมทป่ี ระพฤติดีแลว้ นาํ สุขมาให้ ข.ุ เถร. ๒๖/๓๑๔ ส.ํ ส. ๑๕/๕๘ ธมฺเม ฐิตํ น วิชหาติ กิตฺติ ธมฺโม หเว รกฺขติ ธมฺมจารี เกียรติ ยอ่ มไม่ละผตู้ ้งั อยใู่ นธรรม ธรรมยอ่ มรักษาผปู้ ระพฤติธรรม องฺ.ป�ฺจก. ๒๓/๕๑ ข.ุ เถร. ๒๖/๓๑๔ หมวดท่ี ๗ อปฺปมตฺตา สตีมนฺโต สุสีลา โหถ ภิกฺขโว ๏ อปั ปมาทวรรค - หมวดไม่ประมาท สุสมาหิตสงฺกปปฺ า สจิตฺตมนุรกฺขถ ภิกษุท้งั หลาย ! พวกเธอจงเป็นผไู้ ม่ประมาท มสี ติ มศี ีลดี อปปฺ มาโท อมตํ ปทํ งาม ความไมป่ ระมาท เป็นทางไมต่ าย ต้งั ความดาํ ริไวใ้ หด้ ี คอยรักษาจิตใจของตน ข.ุ ธ. ๒๕/๑๘ ที.มหา. ๑๐/๑๔๒ อปปฺ มาท�ฺจ เมธาวี ธนํ เสฏฺ ฐวํ รกฺขติ อปปฺ มาทรตา โหถ สจิตฺตมนุรกฺขถ ปราชญย์ อ่ มรักษาความไมป่ ระมาทไว้ เหมอื นรักษาทรพั ย์ ทคุ ฺคา อุทฺธรถตฺตานํ ปงฺเก สนฺโนว ก�ุ ฺชโร อนั ประเสริฐ ทา่ นท้งั หลายจงยนิ ดีในความไมป่ ระมาท จงตามรักษาจิต ข.ุ ธ. ๒๕/๑๘ ของตน จงถอนตนข้ึนจากหล่มคือกิเลสที่ถอนไดย้ าก เหมือนชา้ ง อปฺปมตฺตา น มยี นฺติ ท่ีตกหล่ม ถอนตนข้ึน ฉะน้นั ผไู้ ม่ประมาท ยอ่ มไม่ตาย ขุ.ธ. ๒๕/๑๘ อปฺปมตฺโต หิ ฌายนฺโต ปปโฺ ปติ วิปุลํ สุขํ ผไู้ มป่ ระมาทพนิ ิจอยู่ ยอ่ มถึงสุขอนั ไพบลู ย์ ขุ.ธ. ๒๕/๑๘ พระธีรวฒั น์ จนฺทโสภโณ : วดั ไผ่เงินโชตนาราม | ธรรมศึกษาช้ันเอก 22
ข.ุ ธ. ๒๕/๓๓/๕๘ 23 อปฺปมาทรโต ภิกฺขุ ปมาเท ภยทสฺสิ วา ยอ่ มเผาสงั โยชน์นอ้ ยใหญ่ไป เหมือนไฟไหมเ้ ช้ือนอ้ ย ส�ฺโญชนํ อณุ ◌ํ ถูลํ ฑหํ อคฺคีว คจฺฉติ ใหญ่ไป ฉะน้นั ภิกษุยนิ ดีในความไมป่ ระมาท หรือเห็นภยั ในความ ขุ.ธ. ๒๕/๑๙ ประมาท อปปฺ มาทรโต ภิกฺขุ ปมาเท ภยทสฺสิ วา อภพฺโพ ปริหานาย นิพฺพานสฺเสว สนฺติเก หมวดที่ ๘ ภิกษุยนิ ดีในความไมป่ ระมาท หรือเห็นภยั ในความ ๏ ขนั ติวรรค - หมวดอดทน ประมาท เป็นผไู้ ม่ควรเพอื่ จะเสื่อม (ช่ือวา่ ) อยใู่ กลพ้ ระนิพพาน ขนฺตี ปรมํ ตโป ตีติกฺขา ทีเดียว ขนั ติคือความอดทน เป็นตบะอยา่ งยงิ่ ขุ.ธ. ๒๕/๑๙ ที.มหา. ๑๐/๕๗ เกวลานปํ ิ ปาปานํ ขนฺติ มูลํ นิกนฺตติ ขนฺติพลา สมณพฺราหฺมณา ครหกลหาทีนํ มูลํ ขนฺติ ขนฺติโก สมณพราหมณ์ มคี วามอดทนเป็นกาํ ลงั ขนั ติ ยอ่ มตดั รากแห่งบาปท้งั ส้ิน องฺ.อฏฺ ฐก. ๒๓/๒๒๗ ผมู้ ีขนั ติชื่อวา่ ยอ่ มขดุ รากแห่งความติเตียนและการ อตฺตโนปิ ปเรส�ฺจ อตฺถาวโห ว ขนฺติโก ทะเลาะกนั ได สคฺคโมกฺขคมํ มคฺคํ อารุฬฺโห โหติ ขนฺติโก ส.ม. ๒๒๒ ผมู้ ขี นั ติ ช่ือวา่ นาํ ประโยชน์มาให้ ท้งั แก่ตนท้งั แก่ผอู้ ื่น ขนฺติโก เมตฺตวา ลาภี ยสสฺสี สุขสีลวา ผมู้ ขี นั ติ ชื่อวา่ เป็นผขู้ ้ึนสู่ทางไปสวรรคแ์ ละนิพพาน ปิ โย เทวมนุสฺสานํ มนาโป โหติ ขนฺติโก ส.ม. ๒๒๒ ผมู้ ขี นั ตินับว่ามีเมตตา มลี าภ มยี ศ และมีสุขเสมอ ผมู้ ขี นั ติเป็นทีร่ ักทีช่ อบใจของเทวดา และมนุษยท์ ้งั หลาย หมวดที่ ๙ ส.ม. ๒๒๒ ๏ วริ ิยวรรค - หมวดความเพยี ร ข.ุ สุ. ๒๕/๓๖๑ กาลาคต�ฺจ น หาเปติ อตฺถํ คนขยนั ยอ่ มไม่พร่าประโยชนช์ ว่ั ตามกาล ปฏิรูปการี ธุรวา อุฏฺ ฐาตา วินฺทเต ธนํ ขุ.ชา.ฉกฺก. ๒๗/๑๙๕ คนมธี ุระหมนั่ ทาํ การงานให้เหมาะเจาะ ยอ่ มหาทรัพยไ์ ด้ วิริเยน ทกุ ฺขมจฺเจติ คนล่วงทกุ ขไ์ ดเ้ พราะความเพียร พระธรี วฒั น์ จนฺทโสภโณ : วดั ไผ่เงินโชตนาราม | ธรรมศึกษาช้ันเอก 23
ขุ.สุ. ๒๕/๓๖๑ 24 น นิพฺพินฺทยิ การิสฺส สมฺมทตฺโถ วปิ จฺจติ ผมู้ ปี ัญญาเฉลียวฉลาดยอ่ มต้งั ตนไดด้ ว้ ยตน้ ทุนแมน้ อ้ ย ประโยชน์ยอ่ มไมส่ าํ เร็จโดยชอบแก่ผทู้ าํ โดยเบอื่ หน่าย เหมอื นคนก่อไฟนอ้ ยข้ึนฉะน้นั ข.ุ ชา.จตฺตาฬีส. ๒๗/๕๓๓ ขุ.ชา.เอก. ๒๗/๒ อปฺปเกนปิ เมธาวี ปาภเฏน วจิ กฺขโณ อฏฺ ฐาตา กมฺมเธยฺเยสุ อบฺปมตฺโต วธิ านวา สมฏุ ฺ ฐาเปติ อตฺตานํ อณุ อคคึว สนฺธมํ สมํ กปเฺ ปติ ชีวติ ํ สมภตํ อนุรกฺขติ ผขู้ ยนั ในหนา้ ท่กี ารงาน ไม่ประมาท หมวดท่ี ๑๐ เขา้ ใจเล้ียงชีพพอสมควร จึงรักษาทรัพยท์ ี่หามาได้ ๏ ปญุ ญวรรค - หมวดบุญ อง.อฏฺ ฐก. ๒๓/๒๙๘ ป�ุ ฺญํ โจเรหิ ทหู รํ ผทู้ าํ บญุ แลว้ ยอ่ มยนิ ดีในโลกน้ี ตายแลว้ ยอ่ มยนิ ดีชื่อว่า บญุ อนั โจรนาํ ไปไม่ได้ ยนิ ดีในโลกท้งั สอง ส.ํ ส. ๑๕/๕๐ เขายอ่ มยนิ ดีว่าเราทาํ บญุ ไวแ้ ลว้ ไปสู่สุคติยอ่ มยนิ ดียงิ่ ข้นึ ข.ุ ธ. ๒๕/๑๗ ป�ฺญํ สุขํ ชีวติ สงฺขยมฺหิ บญุ นาํ สุขมาใหใ้ นเวลาสิ้นชีวิต ป�ฺญ�ฺ ปริโส กยริ า กยริ าถนํ ปุนปฺปนุ ํ ขุ.ธ. ๒๕/๕๙ ตมฺหิ ฉนฺทํ กยริ าถ สุโข ป�ุ ฺญสฺส อุจฺจโย ถา้ บุรุษจะพ่งึ ทาํ บญุ ควรทาํ บญุ น้นั บอ่ ยๆ สุโข ป�ุ ฺญสฺส อุจฺจโย ควรทาํ ความพอใจในบุญน้นั การส่งั สมบุญนาํ ความสุขมา ความสัง่ สมบญุ นาํ สุขมาให้ ให้ ข.ุ ธ. ๒๕/๓๐ ข.ุ ธ. ๒๕/๓๐ ป�ุ ฺญานิ ปรโลกสฺมึ ปติฏฺ ฐา โหนฺติ ปาณินํ สหาโย อตฺถชาตสฺส โหติ มติ ฺตํ ปุนปฺปุนํ บุญเป็นที่พ่ึงของสตั วใ์ นโลกหนา้ สยํกตานิ ป�ุ ฺญานิ ตํ มิตฺตํ สมฺปรายกิ ํ ส.ํ ส. ๑๕/๒๖ สหายเป็นมิตรของคนผมู้ ีความตอ้ งการเกิดข้ึนบอ่ ยๆ บญุ ท้งั หลายทตี่ นทาํ เองน้นั จะเป็นมติ รในสัมปรายภพ อิธ นนฺทติ เปจฺจ นนฺทติ กตปุญโ�ฺ อุภยตฺถ นนฺทติ ส.ํ ส. ๑๕/๕๑ ป�ุ ฺญํ เม กตนุติ นนฺทติ ภิยฺโย นนฺทุติ สุคตึ คโต หมวดท่ี ๑๑ ข.ุ ธ. ๒๕/๕๙ ๏ สุขวรรค - หมวดสุข พระธรี วฒั น์ จนฺทโสภโณ : วดั ไผ่เงินโชตนาราม | ธรรมศึกษาช้ันเอก 24 สพฺพตถ ทกุ ฺขสฺส สุขํ ปหานํ ละเหตุทกุ ขไ์ ดเ้ ป็นสุขในท่ีท้งั ปวง
อพฺยา ปชฺฌํ สุขํ โลเก 25 ความไม่เบียดเบยี นเป็ นสุขในโลก ข.ุ ธ. ๒๕/๘๖ ขุ.ธ. ๒๕/๕๙ นตฺถิ สนฺติปรํ สุขํ อทสฺสเนน พาลานํ นิจฺจเมว สุขี สิยา ความสุข (อื่น) ยงิ่ กว่าความสงบไมม่ ี จะพึงมีความสุขเป็นนิตย์ กเ็ พราะไม่พบเห็นคนพาล ขุ.ธ. ๒๕/๔๒ ข.ุ ธ. ๒๕/๔๒ สุขํ สุปติ พุทฺโธ จ เยน เมตฺตา สุภาวติ า นิพฺพานํ ปรมํ สุขํ ผเู้ จริญเมตตาดีแลว้ ยอ่ มหลบั และตื่นเป็นสุข นิพพานเป็นสุขอยา่ งยงิ่ ว.ว. หมวดที่ ๑๒ น ตํ ชิตํ สาธุ ชิตํ ย ◌ํ ชิตํ อวชิยฺยติ ๏ ชยวรรค - หมวดชนะ ความชนะใดท่ีชนะแลว้ กลบั แพไ้ ด้ ความชนะน้นั ไมด่ ี ขุ.ชา.เอก. ๒๗/๒๒ ชยํ เวรํ ปสวติ อกฺโกเธน ชิเน โกธํ ผชู้ นะยอ่ มก่อเวร พึงชนะความโกรธดว้ ยความไมโ่ กรธ ส.ํ ส. ๑๕/๑๒๒ ขุ.ธ. ๒๕/๔๕ อสาธุ สาธุนา ชิเน สพฺพทานํ ธมฺมทานํ ชินาติ พึงชนะคนไมด่ ีดว้ ยความดี การใหธ้ รรมยอ่ มชนะการให้ท้งั ปวง ข.ุ ธ. ๒๕/๔๕ ข.ุ ธ. ๒๕/๖๓ ชิเน กทริยํทาเนน พึงชนะคนตระหนี่ดว้ ยการให้ สพฺพรสํ ธมฺมรโส ชินาติ ขุ.ธ. ๒๕/๔๕ รสแห่งธรรมยอ่ มชนะรสท้งั ปวง สจฺเจนาลิกวาทินํ ข.ุ ธ. ๒๕/๖๓ พึงชนะคนพูดปดดว้ ยคาํ จริง ขุ.ธ. ๒๕/๔๕ สพฺพรตึ ธมฺมรติ ชินาติ ความยนิ ดีในธรรมยอ่ มชนะความยนิ ดีท้งั ปวง ผคู้ นหลอกลวง เยอ่ หยง่ิ เพอ้ เจอ้ ข้ีโอ่ อวดดี และไมต่ ้งั มน่ั ขุ.ธ. ๒๕/๖๓ ตณฺ หกฺขโย สพฺพทุกฺขํ ชินาติ ความส้ินตณั หายอ่ มชนะทุกขท์ ้งั ปวง ขุ.ธ. ๒๕/๖๓ หมวดท่ี ๑๓ ๏ กเิ ลสวรรค - หมวดกเิ ลส กุหา ถทฺธา ลปา สิงฺคี อุนฺนฬา จาสมาหิตา น เต ธมฺเม วิรูหนฺติ สมฺมาสมฺพทุ ฺธเทสิเต พระธรี วฒั น์ จนฺทโสภโณ : วดั ไผ่เงินโชตนาราม | ธรรมศึกษาช้ันเอก 25
ยอ่ มไม่งอกงามในธรรมที่พระสมั มาสัมพุทธเจา้ ทรง 26 แสดงแลว้ องฺ.จตุกฺก. ๒๑/๓๔ โกธสฺส วิสมลู สฺส มธุรคฺคสฺส พฺราหฺมณ วธํ อริยา ปสสํ นฺติ ต�ฺหิ เฉตฺวา น โสจติ โลโภ โทโส จ โมโห จ ปรุ ิสํ ปาปเจตสํ พราหมณ์ พระอริยเจา้ ยอ่ มสรรเสริญผฆู้ ่าความโกรธ ซ่ึงมี หึสนฺติ อตฺตสมฺภูตา ตจสารวํ สมฺผลํ โคนเป็ นพษิ โลภะ โทสะ โมหะ เกิดจากตวั เอง ปลายหวาน เพราะคนตดั ความโกรธน้นั ไดแ้ ลว้ ยอ่ มไม่ ยอ่ มเบียดเบียนผมู้ ีใจชวั่ ดุจขยุ ไผฆ่ ่าตน้ ไผ่ ฉะน้นั เศร้าโศก ข.ุ มหา. ๒๙/๑๘ ส.ํ ส. ๑๕/๒๓๖ เยน สลฺเลน โอติณฺโณ ทิสา สพฺพา วธิ าวต ตเมว สลฺลํ อพฺพยุ ฺห น ธาวติ น สีทติ บคุ คลถูกลูกศรใดแทงแลว้ ยอ่ มแล่นไปทว่ั ทิศ ถอนลูกศรน้นั แลว้ ยอ่ มไม่แล่นและไมจ่ ม ขุ.มหา. ๒๙/๕๐๑ หมวดที่ ๑๔ ปาณิมฺหิ เจ วโณ นาสฺส หเรยฺย ปาณินา วิสํ ๏ ปาปวรรค - หมวดบาป นาพฺพณํ วิสมนฺเวติ นตฺถิ ปาปํ อกุพฺพโต ถา้ ฝ่ามือไมม่ แี ผล กพ็ ึงนาํ ยาพิษไปดว้ ยฝ่ามือได้ อิธ โสจติ เปจฺจ โสจติ ปาปการี อุภยตฺถ โสจติ ยาพิษซึมเขา้ ฝ่ามอื ไม่มีแผลไม่ไดฉ้ นั ใด บาปยอ่ มไม่มแี ก่ โส โสจติ โส วหิ �ฺญติ ทสิ ฺวา กมฺมกิลิฏฺฐมตฺตโน ผไู้ มท่ าํ ฉนั น้นั ผทู้ าํ บาป ยอ่ มเศร้าโศกในโลกน้ี ละไปแลว้ กเ็ ศร้าโศก ชอื่ ขุ.ธ. ๒๕/๓๑ วา่ เศร้าโศกในโลกท้งั สอง เขาเห็นกรรมอนั เศร้าหมองของตน จึงเศร้าโศกและ วาณิโชว ภยํมคฺคํ อปปฺ สตฺโถ มหทฺธโน เดือดร้อน วิสํ ชีวิตุกาโมว ปาปานิ ปริวชฺชเย ขุ.ธ. ๒๕/๑๗ ควรงดเวน้ บาปเสีย เหมอื นพ่อคา้ มพี วกนอ้ ยมที รัพยม์ าก เวน้ หนทางทม่ี ภี ยั และเหมือนผรู้ ักชีวิตเวน้ ยาพิษเสีย อุทพินทุนิปาเตน อุทกุมฺโภปิ ปูรติ ฉะน้นั อาปรู ติ พาโล ปาปสฺส โถกํ โถกปํ ิ อาจินํ ข.ุ ธ. ๒๕/๓๑ แมห้ มอ้ น้าํ ยงั เตม็ ดว้ ยหยาดน้าํ ฉนั ใด คนเขลาส่งั สมบาปแมท้ ีละนอ้ ยๆ กเ็ ต็มดว้ ยบาปฉนั น้นั ขุ.ธ. ๒๕/๓๑ หมวดที่ ๑๕ สงฺขารา ปรมา ทกุ ฺขา ๏ ทกุ ขวรรค - หมวดทุกข์ สังขาร เป็นทกุ ขอ์ ยา่ งยง่ิ นตฺถิ ขนฺธสมา ทกุ ฺขา ทุกขเ์ สมอดว้ ยขนั ธ์ ไมม่ ี ข.ุ ธ. ๒๕/๔๒ พระธรี วฒั น์ จนฺทโสภโณ : วดั ไผ่เงินโชตนาราม | ธรรมศึกษาช้ันเอก 26
27 ข.ุ ธ. ๒๕/๔๒ คนไมม่ ีที่พ่ึง อยเู่ ป็นทุกข์ องฺ.ทสก. ๒๔/๒๗, ๓๑ ทรุ าวาสา ฆรา ทกุ ฺขา เหยา้ เรือนทป่ี กครองไม่ดี นาํ ทุกขม์ าให้ ทกุ ฺขํ เสติ ปราชิโต ข.ุ ธ. ๒๕/๕๕ ผแู้ พ้ ยอ่ มอยเู่ ป็นทกุ ข์ ทฬิทฺทิยํทุกฺขํ โลเก ส.ํ ส. ๑๕/๑๒๒ ความจน เป็นทกุ ขใ์ นโลก องฺ.ฉกฺก. ๒๒/๓๙๔ อกิ�ฺจนํ นานุปตนฺติ ทกุ ฺขา ทุกข์ ยอ่ มไม่ตกถึงผหู้ มดกงั วล อิณาทานํ ทุกฺขํ โลเก ส.ํ ส. ๑๕/๑๒๒ การเป็นหน้ี เป็นทุกขใ์ นโลก นยั องฺ.ฉกฺก. ๒๒/๓๙๔ ปิยานํ อทสฺสนํ ทุกฺขํ การพลดั พรากจากส่ิงทีร่ ัก เป็นทุกข์ ทุกฺขํ อนาโถ วิหรติ ขุ.ธ. ๒๕/๒๖/๔๓ หมวดที่ ๑๖ อปปฺ ิยาน�ฺจ ทสฺสนํ ทกุ ฺขํ ๏ โกธวรรค - หมวดโกรธ การพบเห็นสิ่งทไี่ ม่เป็นที่รัก เป็นทุกข์ ขุ.ธ. ๒๕/๒๖/๔๓ น หิ สาธุ โกโธ ความโกรธไมด่ ีเลย โกธํ ฆตฺวา สุขํ เสติ ข.ุ ชา.ฉกฺก. ๒๗/๑๘๘ ฆ่าความโกรธได้ อยเู่ ป็นสุข ส.ํ ส. ๑๕/๕๗,๖๔ โกโธ สตฺถมลํ โลเก โกธาภิภูโต กุสลํ ชหาติ ความโกรธเป็นดงั สนิมในโลก ผถู้ ูกความโกรธครอบงาํ ยอ่ มละกุศลเสีย ส.ํ ส. ๑๕/๖๐ นยั ขุ.ชา.ทสก. ๒๗/๒๘๖ อนตฺถชนโน โกโธ ทกุ ฺขํ สยติ โกธโน ความโกรธกอ่ ความพนิ าศ คนมกั โกรธ ยอ่ มอยเู่ ป็นทกุ ข์ องฺ.สตฺตก. ๒๓/๙๙ องฺ.สตฺตก. ๒๓/๙๘ โกโธ จิตฺตปปฺ โกปโน ญาติมิตฺตา สุหชฺชา จ ปริวชฺเชนฺติ โกธนํ ความโกรธทาํ จิตใหก้ าํ เริบ ญาติมิตรและสหาย ยอ่ มหลีกเล่ียงคนมกั โกรธ องฺ.สตฺตก. ๒๓/๙๙ องฺ.สตฺตก. ๒๓/๙๙ พระธรี วฒั น์ จนฺทโสภโณ : วดั ไผ่เงินโชตนาราม | ธรรมศึกษาช้ันเอก 27
28 กุทฺโธ ธมฺมํ น ปสฺสติ โกธํ ทเมน อุจฺฉินฺเท ผโู้ กรธ ยอ่ มไมเ่ ห็นธรรม พงึ ตดั ความโกรธดว้ ยความข่มใจ องฺ.สตฺตก. ๒๓/๙๙ นยั องฺ.สตฺตก. ๒๓/๑๐๐ หมวดที่ ๑๗ สโํ วหาเรน โสเจยฺยํเวทติ พฺพํ ๏ วาจาวรรค - หมวดวาจา ความสะอาดพึงรู้ไดด้ ว้ ยถอ้ ยคาํ นยั ขุ.อ.ุ ๒๕/๑๗๘ หทยสฺส สทสิ ี วาจา วาจาเช่นเดียวกบั ใจ ตเมว วาจํ ภาเสยฺย ยายตฺตานํ น ตาปเย ขุ.ชา.เอก. ๒๗/๑๓๘ ควรกล่าวแต่วาจาท่ไี ม่ยงั ตนให้เดือดร้อน ส.ํ ส. ๑๕/๒๗๘ โมกฺโข กลฺยาณิยา สาธุ เปล่งวาจางามยงั ประโยชนใ์ ห้สาํ เร็จ กลฺยาณิเมว มุ�ฺเจยฺย น หิ มุ�ฺเจยฺย ปาปิกํ ข.ุ ชา.เอก. ๒๗/๒๘ โมกฺโข กลฺยาณิยา สาธุ มตุ ฺวา ตปปฺ ติ ปาปิ กํ บคุ คลพึงเปล่งวาจางามเท่าน้นั ไมพ่ ึงเปล่งวาจาชว่ั เลย มุตฺวา ตปฺปติ ปาปิกํ การเปล่งวาจางาม ยงั ประโยชนใ์ ห้สาํ เร็จ ผเู้ ปล่งวาจาชว่ั คนเปล่งวาจาชว่ั ยอ่ มเดือดรอ้ น ยอ่ มเดือดร้อน ขุ.ชา.เอก. ๒๗/๒๘ ขุ.ชา.เอก. ๒๗/๒๘ ทฏุ ฺ ฐสฺส ผรุสา วาจา ตเมว วาจํ ภาเสยฺย ยายตฺตานํ น ตาปเย คนโกรธมีวาจาหยาบ ปเร จ น วหิ ึเสยฺย สา เว วาจา สุภาสิตา ข.ุ ชา.ทสก. ๒๗/๒๗๓ บคุ คลพึงกล่าวแต่วาจาท่ีไมเ่ ป็นเหตุยงั ตนใหเ้ ดือดร้อน และไม่เป็นเหตุเบยี ดเบียนผอู้ ื่น วาจาน้นั แลเป็นสุภาษิต สจฺ จํ เว อมตา วาจา (วงฺคีสเถร) ข.ุ สุ. ๒๕/๔๑๑ คาํ สตั ยแ์ ลเป็นวาจาไม่ตาย ส.ํ ส. ๑๕/๗๔๐/๒๗๘ สหาโย อตฺถชาตสฺส โหติ มติ ฺตํ ปนุ ปปฺ นุ ํ สหายเป็นมิตรของผมู้ คี วามตอ้ งการเกิดข้ึนเนืองๆ หมวดที่ ๑๘ ส.ํ ส. ๑๕/๕๑ ๏ มติ ตวรรค - หมวดมติ ร พระธีรวฒั น์ จนฺทโสภโณ : วดั ไผ่เงินโชตนาราม | ธรรมศึกษาช้ันเอก 28 มาตา มติ ฺตํ สเก ฆเร มารดาเป็ นมิตรในเรื อนของตน ส.ํ ส. ๑๕/๕๐
29 สเจ ลเภถ นิปกํ สหายํจเรยฺย เตนตฺตมโน สติมา มติ ฺตทุพโภ หิ ปาปโก โน เจ ลเภถ นิปกํ สหายํเอโก จเร น จ ปาปานิ กยริ า ผปู้ ระทษุ ร้ายมิตรเป็นคนเลวแท้ ถา้ ไดส้ หายผรู้ อบคอบ พงึ พอใจมสี ติเทย่ี วไปกบั เขา ขุ.ชา.ทสก. ๒๗/๒๙๗ ถา้ ไม่ไดส้ หายผรู้ อบคอบ พึงเทยี่ วไปคนเดียว และไม่พงึ ทาํ ความชว่ั ภริยา ปรมา สขา วิ.มหา. ๕/๓๓๖, ม.อุป. ๑๔/๒๙๗ ภรรยาเป็นเพือ่ นสนิท ส.ํ ส. ๑๕/๕๑ สพพตฺถ ปูชิโต โหติ โย มิตฺตานํ น ทุพฺภติ ผไู้ มป่ ระทุษร้ายมติ ร ยอ่ มมีผูบ้ ูชาในที่ท้งั ปวง นตฺถ พาเล สหายตา ข.ุ ชา.นวก. ๒๗/๕๔ ความเป็ นสหายไม่มีในคนพาล ว.ิ มหา. ๕/๓๓๖, ขุ.ธ. ๒๕/๒๓ หมวดที่ ๑๙ ๏ เสวนาวรรค - หมวดคบหา นิหียติ ปรุ ิโส นิหีนเสวี ผคู้ บคนเลวยอ่ มเลวลง วสิ ฺสาสา ภยมนฺเวติ องฺ.ติก. ๒๐/๑๕๘ เพราะความไวใ้ จภยั จึงตามมา ข.ุ ชา.เอก. ๒๗/๓๐ ทุกฺโข พาเลหิ สงฺคโม สมาคมกบั คนพาลนาํ ทกุ ขม์ าให้ อติจิรํ นิวาเสน ปิ โย ภวติ อปฺปิ โย ขุ.ชา.นวก. ๒๗/๒๖๕ เพราะอยดู่ ว้ ยกนั นานเกินไป คนท่ีรักกนั กม็ กั หน่าย ข.ุ ชา.เตรส. ๒๗/๓๔๗ สุโข หเว สปฺปุริเสน สงฺคโม สมาคมกบั สตั บุรุษนาํ สุขมาให้ ยํ เว เสวติ ตาทโิ ส ข.ุ ชา.ทกุ . ๒๗/๕๕ คบคนใดก็เป็ นเช่นคนน้ นั ว.ว. น ปาปชนสเํ สวี อจฺจนฺตสุขเมธติ ผไู้ ม่คบคนชวั่ ยอ่ มไดร้ ับสุขส่วนเดียว น ปาปชนสเํ สวี อจฺจนฺตสุขเมธติ ข.ุ ชา.เอก. ๒๗/๔๖ ผไู้ ม่คบคนชวั่ ยอ่ มไดร้ ับสุขส่วนเดียว ขุ.ชา.เอก. ๒๗/๔๖ สงฺเกเถว อมิตฺตสฺมึ มติ ฺตสฺมิมฺปิ น วสิ ฺสเส ควรระแวงในศตั รู แมใ้ นมิตรกไ็ มค่ วรไวใ้ จ ธีโร จ สุขสวํ าโส ญาตีนวํ สมาคโม ขุ.ชา.ทกุ . ๒๗/๕ อยรู่ ่วมกบั ปราชญน์ าํ สุขมาให้ เหมอื นสมาคมกบั ญาติ ขุ.ธ. ๒๕/๔๒ หมวดที่ ๒๐ ๏ สามคั ควี รรค - หมวดสามคั คี พระธรี วฒั น์ จนฺทโสภโณ : วดั ไผ่เงนิ โชตนาราม | ธรรมศึกษาช้ันเอก 29
สุขา สงฺฆสฺส สามคฺคี 30 ความพร้อมเพรียงของหมู่ ใหเ้ กิดสุข ขุ.อิติ. ๒๕/๒๓๘ สามคฺยเมวา สิกฺเขถ พุทฺเธเหตํ ปสสํ ิต.ํ สามคฺยรโต ธมฺมฏฺ โฐ โยคกฺเขมา น ธสํ ติ สมคฺคานํ ตโป สุโข พงึ ศกึ ษาความสามคั คี, ความสามคั คีน้นั ทา่ นผรู้ ู้ท้งั หลาย ความพร้อมเพรียงของผพู้ ร้อมเพรียงกนั ใหเ้ กิดสุข สรรเสริญแลว้ , ขุ.ธ. ๒๕/๔๑ ผยู้ นิ ดีในสามคั คี ต้งั อยใู่ นธรรม ยอ่ มไมค่ ลาดจากธรรม อนั เกษมจากโยคะ ขุ.ชา.เตรส. ๒๗/๓๔๖ วิวาทํ ภยโต ทสิ ฺวา อวิวาท�ฺจ เขมโต สุขา สงฺฆสฺส สามคฺคี สมคฺคาน�ฺจนุคฺคโห สมคฺคา สขิลา โหถ เอสา พุทฺธานุสาสนี สมคฺครโต ธมฺมฏฺโฐ โยคกฺเขมา น ธสํ ติ ท่านท้งั หลายจงเห็นความววิ าทโดยความเป็นภยั และ ความพร้อมเพรียงของหมเู่ ป็นสุข และการสนบั สนุนคนผู้ ความไม่ววิ าทโดยความปลอดภยั แลว้ พร้อมเพรียงกนั เป็นสุข, เป็นผพู้ ร้อมเพรียง มีความรประนีประนอมกนั เถิด น้ีเป็น ผยู้ นิ ดีในคนผพู้ ร้อมเพรียงกนั ต้งั อยใู่ นธรรมยอ่ มไมค่ ลาด พระพุทธานุศาสนี จากธรรมอนั เกษมจากโยคะ ข.ุ จริยา. ๓๓/๕๙๕ ข.ุ อิติ. ๒๕/๒๓๘ หมวดท่ี ๒๑ องฺ.ป�ฺจก. ๒๒/๔๔ ๏ ทานวรรค - หมวดทาน อคฺคสฺมึ ทานํ ททตํ อคฺคํ ปุ�ฺญํ ปวทฺฒติ นตฺถิ จิตฺเต ปสนฺนมฺห อปฺปกา นาม ทกฺขิณา อคฺคํ อายุ จ วณฺโณ จ ยโส กิตฺติ สุขํ พลํ เมือ่ จิตเลื่อมใสแลว้ ทกั ขิณาทานชื่อว่านอ้ ยยอ่ มไม่มี เมื่อให้ทานในวตั ถุอนั เลิศ บญุ อนั เลิศ อายุ ข.ุ วิมาน. ๒๖/๘๒ วรรณะ ยศ เกียรติ สุข และ กาํ ลงั อนั เลิศ กเ็ จริญ ขุ.อิติ. ๒๕/๒๙๙ วิเจยฺย ทานํ สุคตปฺปสตฺถํ การเลือกให้ อนั พระสุคตทรงสรรเสริญ ส.ํ ส. ๑๕/๓๐ พาลา หเว นปฺปสสํ นฺติ ทานํ อคฺคทายี วรทายี เสฏฺ ฐทายี จ โย นโร คนพาลเท่าน้นั ยอ่ มไม่สรรเสริญทาน ทีฆายุ ยสวา โหติ ยตฺถ ยตฺถูปปชฺชติ ข.ุ ธ. ๒๕/๓๘ ผใู้ หส้ ่ิงทเี่ ลิศ ใหส้ ่ิงทดี่ ี ใหส้ ่ิงทีป่ ระเสริฐ ยอ่ มเป็นผมู้ ีอายยุ นื มียศ ในภพทต่ี นเกิด สุขสฺส ทาตา เมธาวี สุขํ โส อธิคจฺฉติ องฺ.ป�ฺจก. ๒๒/๕๖ ปราชญผ์ ใู้ ห้ความสุข ยอ่ มไดร้ ับความสุข องฺ.ป�ฺจก. ๒๒/๔๕ ททํ มติ ฺตานิ คนฺถต ผใู้ ห้ ยอ่ มผกู ไมตรีไวไ้ ด้ ททมาโน ปิ โย โหติ ส.ํ ส. ๑๕/๓๑๖ ผใู้ ห้ยอ่ มเป็นที่รัก พระธรี วฒั น์ จนฺทโสภโณ : วดั ไผ่เงินโชตนาราม | ธรรมศึกษาช้ันเอก 30
31 เสฏฐนฺทโท เสฏฐมุเปติ ฐานํ องฺ.ป�ฺจก. ๒๒/๕ ผใู้ หส้ ่ิงประเสริฐ ยอ่ มถึงฐานะที่ประเสริฐ อาทิ สีลํ ปติฏฺ ฐา จ กลฺยาณาน�ฺจ มาตุกํ หมวดที่ ๒๒ ปมุขํ สพฺพธมฺมานํ ตสฺมา สีลํ วโิ สธเย ๏ สีลวรรค - หมวดศีล ศีลเป็นทีพ่ ่งึ เบ้ืองตน้ เป็นมารดาของกลั ยาณธรรม ท้งั หลาย สีลํ ยาว ชรา สาธุ เป็นประมขุ ของธรรมท้งั ปวง เพราะฉะน้นั ควรชาํ ระศีล ศีลยงั ประโยชน์ใหส้ าํ เร็จตราบเทา่ ชรา ใหบ้ ริสุทธ์ิ ส.ํ ส. ๑๕/๕๐ (สีลวเถร) ข.ุ เถร. ๒๖/๓๕๘ สฺขํ ยาว ชรา สีลํ สีลํ กิเรว กลฺยาณํ ศลี นาํ สุขมาใหต้ ราบเท่าชรา ท่านว่าศลี น้นั เทยี วเป็นความดี ข.ุ ธ. ๒๕/๕๙ ข.ุ ชา.เอก. ๒๗/๒๘ สวํ าเสน สีลํ เวทติ พฺพํ อวณฺณ�ฺจ อกิตฺต�ิ ฺจ ทุสฺสีโล ลภเต นโร ศลี พงึ รู้ไดเ้ พราะอยรู่ ่วมกนั วณฺณํ กิตฺตึ ปสสํ �ฺจ สทา ลภติ สีลวา นยั ข.ุ อุ. ๒๕/๑๗๘ คนผทู้ ศุ ีลยอ่ มไดร้ ับความติเตียน และความเสียชื่อเสียง ส่วนผมู้ ศี ีลยอ่ มไดร้ ับช่ือเสียงและความยกยอ่ งสรรเสริญ สาธุ สพฺพตฺถ สวํ โร ทกุ เมื่อ ความสาํ รวมในทที่ ้งั ปวงเป็นดี (สีลวเถร) ข.ุ เถร. ๒๖/๓๕๗ ส.ํ ส. ๑๕/๑๐๖ สีลํ รกฺเขยฺย เมธาวี ปราชญพ์ งึ รักษาศลี ขุ.อิติ. ๒๕/๒๘๒ หมวดที่ ๒๓ ข.ุ ธ. ๒๕/๓๓/๕๙ ๏ ปัญญาวรรค - หมวดปัญญา ป�ฺญา นรานํ รตนํ นตฺถิ ป�ฺญาสมา อาภา ปัญญาเป็ นรัตนะของนรชน แสงสวา่ งเสมอดว้ ยปัญญา ไมม่ ี ส.ํ ส. ๑๕/๕๐ ส.ํ ส. ๑๕/๕ ป�ฺญาว ธเนน เสยฺโย ป�ฺญา โลกสฺมิ ปชฺโชโต ปัญญาเทียวประเสริฐกวา่ ทรัพย์ ปัญญาเป็นแสงสวา่ งในโลก ข.ุ เถร. ๒๖/๓๘๘/๓๗๙ ส.ํ ส. ๑๕/๖๑ พระธีรวฒั น์ จนฺทโสภโณ : วดั ไผ่เงินโชตนาราม | ธรรมศึกษาช้ันเอก 31 สุโข ป�ฺญาย ปฏิลาโภ การไดเ้ ฉพาะซ่ึงปัญญานาํ มาซ่ึงความสุข
32 นตฺถิ ฌานํ อป�ฺญสฺส ข.ุ ธ. ๒๕/๖๕ ความพนิ ิจไม่มีแก่คนไร้ปัญญา (ฌานไม่มีแก่ผไู้ ม่มี ป�ฺญา เจนํ ปสาสติ ปัญญา) ปัญญายอ่ มปกครองคนน้นั ขุ.ธ. ๒๕/๖๕ ส.ํ ส. ๑๕/๑๗๕/๕๒ นตฺถิ ป�ฺญา อฌายโต ปัญญาไม่มแี ก่ผไู้ ม่พินิจ หมวดท่ี ๒๔ อลโส คิหี กามโภคี น สาธุ อส�ฺญโต ปพฺพชิโต น สาธุ ๏ ปกณิ ณกวรรค - หมวดเบด็ เตลด็ ราชา น สาธุ อนิสมฺมการี โย ปณฺฑิโต โกธโน ตํ น สาธุ คฤหัสถผ์ บู้ ริโภคกามเป็นผเู้ กียจคร้าน ไมด่ ี, บรรพชิตไม่ อจินฺติตมฺปิ ภวติ จินฺติตมฺปิ วนิ สฺสติ สาํ รวม ก็ไม่ดี, น หิ จินฺตามยา โภคา อิตฺถิยา ปุริสสฺส วา พระราชาไม่ทรงใคร่ครวญก่อนแลว้ ทาํ ไม่ดี, บณั ฑิตมกั ส่ิงทไ่ี ม่ไดค้ ิดไว้ ยอ่ มมีได,้ ส่ิงท่คี ิดไว้ ก็เสียหายได,้ โกรธ กไ็ มด่ ี โภคะของสตรีหรือบุรุษท่ีสาํ เร็จไดด้ ว้ ยนึกเอาไม่มเี ลย (โพธิสตฺต) ขุ.ชา.วสี . ๒๗/๔๔๖ (มหาชนกโพธิสตฺต) ขุ.ชา.มหา. ๒๘/๑๖๗ อสาเร สารมติโน สาเร จาสารทสฺสิโน อปปฺ สฺสาทา ทุกฺขา กามา นตฺถิ กามา ปรํ ทกุ ฺขํ เต สารํ นาธิคจฺฉนฺติ มจิ ฺฉาสงฺกปฺปโคจรา เย กาเม ปฏิเสวนฺติ นิรยนฺเต อุปปชฺชเร ผเู้ ขา้ ใจส่ิงทไ่ี มเ่ ป็นสาระว่าเป็นสาระ และเห็นสิ่งที่เป็น กามท้งั หลายมีความยนิ ดีนอ้ ย มีทกุ ขม์ าก ทุกขอ์ นั ยง่ิ กว่า สาระว่าไมเ่ ป็นสาระ กามไมม่ ี เขามีความดาํ ริผดิ เป็นโคจร จึงไมป่ ระสบส่ิงทเ่ี ป็นสาระ ผใู้ ดสอ้ งเสพกาม ผนู้ ้นั ยอ่ มเขา้ ถึงนรก ขุ.ธ. ๒๕/๑๖ (โพธิสตฺต) ข.ุ ชา.เอกาทสก. ๒๗/๓๑๕ อตีตํ นานุโสจนฺติ นปฺปชปฺปนฺติ นาคตํ อพฺยาปชฺโฌ สิยา เอวํ สจฺจวาที จ มาณโว ปจฺจุปฺปนฺเนน ยาเปนฺติ เตน วณฺโณ ปสีทติ อสฺมา โลกา ปรํ โลกํ เอวํเปจฺจ น โสจติ บคุ คลไม่เศร้าโศกถึงสิ่งท่ลี ่วงไปแลว้ ไมใ่ ฝ่หาถึงสิ่งทย่ี งั พงึ เป็นคนไมเ่ บียดเบยี น (ผอู้ ื่น) และกล่าวคาํ สตั ยอ์ ยา่ งน้ี มาไม่ถึง, ละไปจากโลกน้ีไปสู่โลกอ่ืนแลว้ ยอ่ มไมเ่ ศร้าโศก ยงั ชีวิตใหเ้ ป็นไปดว้ ยสิ่งทเี่ กิดข้ึนเฉพาะหนา้ เพราะเหตุ ข.ุ ชา.มหา. ๒๘/๓๓๒ น้นั ผวิ พรรณยอ่ มผอ่ งใส ส.ํ ส. พระธีรวฒั น์ จนฺทโสภโณ : วดั ไผ่เงนิ โชตนาราม | ธรรมศึกษาช้ันเอก 32
33 พระธรี วฒั น์ จนฺทโสภโณ : วดั ไผ่เงนิ โชตนาราม | นักธรรมช้ันตรี 33
34 เนื้อหาวชิ าธรรม ธรรมศึกษาช้ันตรี ทกุ ะ คอื หมวด ๒ ธรรมมีอปุ การะมาก ๒ อย่าง ๑. สติ ความระลึกได้ ๒ . สัมปชัญญะ ความรู้ตวั ธรรมเป็ นโลกบาล คอื คุ้มครองโลก ๒ อย่าง ๑. หิริ ความละอายแก่ใจ ๒. โอตตัปปะ ความเกรงกลวั ธรรมอันทาํ ให้งาม ๒ อย่าง ๑. ขันติ ความอดทน ๒. โสรัจจะ ความเสง่ียม บคุ คลหาได้ยาก ๒ อย่าง ๑. บพุ พการี บุคคลผทู้ าํ อุปการะก่อน ๒. กตัญ�ูกตเวทีบคุ คลผรู้ ูอ้ ุปการะที่ท่านทาํ แลว้ และตอบแทน ติกะ คือ หมวด ๓ รตนะ ๓ อย่าง พระพทุ ธ ๑ พระธรรม ๑ พระสงฆ์ ๑ โอวาทของพระพทุ ธเจ้า ๓ อย่าง ๑. เว้นจากทุจริต คือประพฤติชวั่ ดว้ ยกาย วาจา ใจ ๒. ประกอบสุจริต คือประพฤติชอบ ดว้ ยกาย วาจา ใจ ๓. ทาํ ใจของตนให้หมดจดจากเคร่ืองเศร้าหมองใจ มีโลภ โกรธ หลง เป็ นตน้ ทุจริต ๓ อย่าง ๑. ประพฤตชิ วั่ ดว้ ยกาย เรียก กายทุจริต ๒. ประพฤติชวั่ ดว้ ยวาจา เรียก วจีทุจริต พระธีรวฒั น์ จนฺทโสภโณ : วดั ไผ่เงินโชตนาราม | นกั ธรรมช้ันตรี 34
35 ๓. ประพฤติชวั่ ดว้ ยใจ เรียก มโนทจุ ริต กายทจุ ริต ๓ อย่าง ฆ่าสตั ว์ ๑ ลกั ฉอ้ ๑ ประพฤตผิ ดิ ในกาม ๑ วจีทุจริต ๔ อย่าง พดู เทจ็ ๑ พดู ส่อเสียด ๑ พดู คาํ หยาบ ๑ พดู เพอ้ เจอ้ ๑ มโนทจุ ริต ๓ อย่าง โลภอยากไดข้ องเขา ๑ พยาบาทปองร้ายเขา ๑ เห็นผดิ จากคลองธรรม ๑ ทุจริต (ความประพฤตชิ วั่ ) ๓ อยา่ งน้ี เป็นสิ่งไม่ควรทาํ ควรละเสีย สุจริต ๓ อย่าง ๑ ประพฤติชอบดว้ ยกาย เรียก กายสุจริต ๒. ประพฤตชิ อบดว้ ยวาจา เรียก วจสี ุจริต ๓. ประพฤติชอบดว้ ยใจ เรียก มโนสุจริต กายสุจริต ๓ อย่าง เวน้ จากฆ่าสตั ว์ ๑ เวน้ จากลกั ฉอ้ ๑ เวน้ จากประพฤติผดิ ในกาม ๑ วจสี ุจริต ๔ อย่าง เวน้ จากพดู เทจ็ ๑ เวน้ จากพดู ส่อเสียด ๑ เวน้ จากพดู คาํ หยาบ ๑ เวน้ จากพดู เพอ้ เจอ้ ๑ มโนสุจริต ๓ อย่าง ไม่โลภอยากไดข้ องเขา ๑ ไม่พยาบาทปองร้ายเขา ๑ เห็นชอบตามคลองธรรม ๑ สุจริต (ความประพฤตชิ อบ) ๓ อยา่ งน้ี เป็นกิจควรทาํ ควรประพฤติ อกศุ ลมูล ๓ อย่าง รากเหงา้ ของอกศุ ล เรียกอกศุ ลมูล มี ๓ อยา่ ง คือ โลภะ อยากได๑้ โทสะ คดิ ประทษุ รา้ ยเขา ๑ โมหะ หลงไม่รู้จริง ๑ กศุ ลมูล ๓ อย่าง รากเหงา้ ของกุศล เรียกกศุ ลมูล มี ๓ อยา่ ง คอื อโลภะ ไม่อยากได้ ๑ อโทสะ ไม่คดิ ประทษุ ร้ายเขา ๑ อโมหะ ไม่หลง ๑ สัปปรุ ิสบัญญัติ คือขอ้ ทีท่ า่ นสตั บุรุษต้งั ไว้ ๓ อยา่ ง ๑. ทาน สละสิ่งของของตน เพอ่ื ประโยชน์แก่ผอู้ ่ืน ๒. ปัพพชั ชา ถือบวช เป็นอุบายเวน้ จากการเบียดเบียนกนั และกนั ๓. มาตาปิ ตุอุปัฏฐาน ปฏบิ ตั มิ ารดา บดิ าของตนใหเ้ ป็ นสุข บุญกิริยาวัตถุ ๓ อย่าง ส่ิงเป็นท่ีต้งั แห่งการบาํ เพญ็ บญุ เรียกบญุ กิริยาวตั ถุ โดยยอ่ มี ๓ อยา่ ง พระธีรวฒั น์ จนฺทโสภโณ : วดั ไผ่เงนิ โชตนาราม | นกั ธรรมช้ันตรี 35
36 ๑. ทานมยั บุญสาํ เร็จดว้ ยการบริจาคทาน ๒. สีลมัย บุญสาํ เร็จดว้ ยการรักษาศีล ๓. ภาวนามัย บญุ สาํ เร็จดว้ ยการเจริญภาวนา บญุ มีความหมาย ๒ ประการ คอื ๒. สภาพท่กี ่อใหเ้ กิดความน่าบชู า ๑. เครื่องชาํ ระสิ่งท่ีไม่ดีทนี่ อนเนื่องอยใู่ นใจ จตุกกะ คือ หมวด ๔ วุฑฒิ คอื ธรรมเป็ นเคร่ืองเจริญ ๔ อย่าง ๑. สปั ปุริสูปสงั เสวะ คบทา่ นผปู้ ระพฤตชิ อบดว้ ยกาย วาจา ใจ ที่เรียกวา่ สตั บรุ ุษ ๒. สทั ธมั มสั สวนะ ฟังคาํ สอนของท่านโดยเคารพ ๓. โยนิโสมนสิการ ตริตรองใหร้ ูจ้ กั ส่ิงทด่ี ีหรือชวั่ โดยอุบายท่ชี อบ ๔. ธมั มานุธมั มปฏิปัตติ ประพฤตธิ รรมสมควรแก่ธรรมทีไ่ ดต้ รองเห็นแลว้ จักร ๔ ๑. ปฏิรูปเทสวาสะ อยใู่ นประเทศอนั สมควร ๒. สปั ปรุ ิสูปัสสยะ คบสตั บรุ ุษ ๓. อตั ตสมั มาปณิธิ ต้งั ตนไวช้ อบ ๔. ปุพเพกตปญุ ญตา ความเป็นผไู้ ดก้ ระทาํ ความดีไวใ้ นปางก่อน อคติ ๔ ๑. ลาํ เอียง เพราะรกั ใคร่กนั เรียกฉนั ทาคติ ๒. ลาํ เอียง เพราะไม่ชอบกนั เรียกโทสาคติ ๓. ลาํ เอียง เพราะเขลา เรียกโมหาคติ ๔. ลาํ เอียง เพราะกลวั เรียกภยาคติ อคติ ๔ ประการน้ี ไม่ควรประพฤติ ปธาน คือความเพียร ๔ อย่าง ๑. สงั วรปธาน เพยี รระวงั บาปไม่ใหเ้ กิดข้ึนในสนั ดาน ๒. ปหานปธาน เพยี รละบาปทเ่ี กิดข้นึ แลว้ ๓. ภาวนาปธาน เพยี รใหก้ ศุ ลเกิดข้นึ ในสนั ดาน ๔. อนุรกั ขนาปธาน เพยี รรักษากศุ ลที่เกิดข้ึนแลว้ ไม่ใหเ้ ส่ือม อธิษฐานธรรม ๔ คือธรรมท่คี วรต้ังไว้ในใจ ๔ อย่าง ๑. ปัญญา รอบรูส้ ่ิงทคี่ วรรู้ ๒. สัจจะ ความจริงใจ คือประพฤติสิ่งใดกใ็ หไ้ ดจ้ ริง พระธีรวฒั น์ จนฺทโสภโณ : วดั ไผ่เงนิ โชตนาราม | นกั ธรรมช้ันตรี 36
37 ๓. จาคะ สละส่ิงที่เป็นขา้ ศึกแก่ความจริงใจ สละกิเลส ๔. อุปสมะ สงบใจจากส่ิงทีเ่ ป็นขา้ ศกึ แก่ความสงบ อิทธิบาท คอื คณุ เคร่ืองให้สําเร็จความประสงค์ ๔ อย่าง ๑. ฉันทะ พอใจรกั ใคร่ ในส่ิงน้นั ๒. วิริยะ เพยี รประกอบสิ่งน้นั ๓. จติ ตะเอาใจฝักใฝ่ในสิ่งน้นั ไม่วางธุระ ๔. วิมงั สา หมน่ั ตริตรองพจิ ารณาเหตุผลในสิ่งน้นั คุณ ๔ อยา่ งน้ี มีบริบรู ณ์แลว้ อาจชกั นาํ บุคคลใหถ้ ึงส่ิงท่ีตอ้ งประสงค์ ซ่ึงไม่เหลือวสิ ยั ควรทาํ ความไม่ประมาทในท่ี ๔ สถาน ๑. ในการละกายทจุ ริต ประพฤตกิ ายสุจริต ๒. ในการละวจที ุจริต ประพฤตวิ จสี ุจริต ๓. ในการละมโนทุจริต ประพฤตมิ โนสุจริต ๔. ในการละความเห็นผดิ ทาํ ความเห็นใหถ้ ูก อีกอยา่ งหน่ึง ๑. ระวงั ใจไม่ใหก้ าํ หนดั ในอารมณ์เป็นท่ตี ้งั แห่งความกาํ หนดั ๒. ระวงั ใจไม่ใหข้ ดั เคอื งในอารมณ์เป็นท่ีต้งั แห่งความขดั เคอื ง ๓. ระวงั ใจไม่ใหห้ ลงในอารมณ์เป็นทต่ี ้งั แห่งความหลง ๔. ระวงั ใจไม่ใหม้ วั เมาในอารมณ์เป็นทตี่ ้งั แห่งความมวั เมา ความประมาท คอื ความขาดสติอันก่อให้เกิดผลเสีย ๓ ประการ คอื ๑. ใหเ้ กิดการทาํ ความชว่ั ๒. ใหห้ ลงลืมทาํ ความดี ๓. ไม่ทาํ ความดีอยา่ งต่อเนื่อง ความไม่ประมาท คือความมีสติกาํ กบั ใจอยเู่ สมอ ใหเ้ กิดความคดิ เป็ นกศุ ล ดงั น้ี ๑. ไม่ทาํ ความชว่ั ๒. ไม่ลืมทาํ ความดี ๓. ทาํ ความดีใหด้ ียงิ่ ข้นึ ไปอยา่ งต่อเนื่อง เม่ือสรุปคาํ สอนท้งั ๒ นยั น้ี ยอ่ มไดค้ วามไม่ประมาท ๓ ประการ คือ ๑. ระวงั อยา่ ไปทาํ ความชว่ั ๒. อยา่ ลืมทาํ ความดี ๓.อยา่ ปล่อยใจใหไ้ ปคดิ เร่ืองบาปเรื่องอกศุ ล พรหมวหิ าร ๔ ๑. เมตตา ความรกั ใคร่ปรารถนาจะใหเ้ ป็ นสุข ๒. กรุณา ความสงสาร คดิ จะช่วยใหพ้ น้ ทุกข์ ๓. มทุ ติ า ความพลอยยนิ ดี เม่ือผอู้ ื่นไดด้ ี ๔. อเุ บกขา ความวางเฉย ไม่ดีใจ ไม่เสียใจเมื่อผอู้ ื่นถึงความวบิ ตั ิ อริยสัจ ๔ ๑. ทุกข์ ความไม่สบายกาย ไม่สบายใจ ๒. สมุทัย คอื เหตใุ หท้ กุ ขเ์ กิด พระธรี วฒั น์ จนฺทโสภโณ : วดั ไผ่เงนิ โชตนาราม | นักธรรมช้ันตรี 37
38 ๓. นิโรธ คือความดบั ทกุ ข์ ๔. มรรค คือขอ้ ปฏิบตั ใิ หถ้ ึงความดบั ทุกข์ ปัญจกะ คือ หมวด ๕ อนันตริยกรรม ๕ ๑. มาตฆุ าต ฆ่ามารดา ๒. ปิ ตฆุ าต ฆ่าบิดา ๓. อรหันตฆาต ฆ่าพระอรหนั ต์ ๔. โลหิตปุ บาท ทาํ ร้ายพระพทุ ธเจา้ จนถึงยงั พระโลหิตใหห้ อ้ ข้ึนไป ๕. สังฆเภท ยงั สงฆใ์ หเ้ แตกจากกนั อภิณหปัจจเวกขณะ ๕ ๑. ควรพจิ ารณาทกุ วนั ๆ วา่ เรามีความแก่เป็ นธรรมดา ไม่ล่วงพน้ ความแก่ไปได้ ๒. ควรพจิ ารณาทุกวนั ๆ วา่ เรามีความเจบ็ เป็ นธรรมดา ไม่ล่วงพน้ ความเจบ็ ไปได้ ๓. ควรพจิ ารณาทุกวนั ๆ วา่ เรามีความตายเป็ นธรรมดา ไม่ล่วงพน้ ความตายไปได้ ๔. ควรพจิ ารณาทกุ วนั ๆ วา่ เราจะตอ้ งพลดั พรากจากของรกั ของชอบใจท้งั ส้ิน ๕. ควรพจิ ารณาทุกวนั ๆ วา่ เรามีกรรมเป็นของตวั เราทาํ ดีจกั ไดด้ ี ทาํ ชวั่ จกั ไดช้ ว่ั ธัมมสั สวนานิสงส์ คือ อานิสงส์แห่งการฟังธรรม ๕ อย่าง ๑. ผฟู้ ังธรรมยอ่ มไดฟ้ ังสิ่งทีย่ งั ไม่เคยฟัง ๒. ส่ิงใดไดเ้ คยฟังแลว้ แต่ยงั ไม่เขา้ ใจชดั ยอ่ มเขา้ ใจส่ิงน้นั ชดั ๓. บรรเทาความสงสยั เสียได้ ๔. ทาํ ความเห็นใหถ้ ูกตอ้ งได้ ๕. จิตของผฟู้ ังยอ่ มผอ่ งใส พละ คือธรรมเป็ นกาํ ลัง ๕ อย่าง ๑. สัทธา ความเช่ือ ๒. วิริยะ ความเพยี ร ๓. สติ ความระลึกได้ ๔. สมาธิ ความต้งั ใจมน่ั ๕. ปัญญา ความรอบรู้ อินทรีย์ ๕ กเ็ รียก เพราะเป็นใหญ่ในกิจของตน ขันธ์ ๕ กายกบั ใจน้ีแบง่ ออกเป็น ๕ กอง เรียกวา่ ขนั ธ์ ๕ คือ ๑. รูป ๒. เวทนา ๓. สัญญา ๔. สังขาร ๕. วิญญาณ ฉักกะ คือ หมวด ๖ พระธรี วฒั น์ จนฺทโสภโณ : วดั ไผ่เงินโชตนาราม | นักธรรมช้ันตรี 38
39 คารวะ ๖ อย่าง ความเอ้ือเฟ้ื อ ในพระพทุ ธเจา้ ๑ ในพระธรรม ๑ ในพระสงฆ์ ๑ ในความศึกษา ๑ ในความไม่ประมาท ๑ ในปฏสิ นั ถารคือตอ้ นรับปราศรัย ๑ สาราณยิ ธรรม ๖ อย่าง ธรรมเป็ นทีต่ ้ังแห่งความให้ระลึกถงึ เรียก สาราณิยธรรม มี ๖ อยา่ ง คอื ๑. เขา้ ไปต้งั กายกรรมประกอบดว้ ยเมตตา ในเพอ่ื นภิกษุสามเณร ท้งั ต่อหนา้ และลบั หลงั คือช่วยขวนขวายใน กิจธุระของเพอื่ นดว้ ยกายมีพยาบาลภกิ ษไุ ข้ เป็ นตน้ ดว้ ยจติ เมตตา ๒. เขา้ ไปต้งั วจีกรรมประกอบดว้ ยเมตตาในเพอื่ นภิกษุสามเณร ท้งั ต่อหนา้ และลบั หลงั คอื ช่วยขวนขวายใน กิจธุระของเพอื่ นดว้ ยวาจา เช่นกล่าวสง่ั สอน เป็ นตน้ ๓. เขา้ ไปต้งั มโนกรรมประกอบดว้ ยเมตตาในเพื่อนภิกษุสามเณร ท้งั ต่อหน้าและลบั หลงั คือคิดแต่ส่ิงที่เป็ น ประโยชน์แก่เพอ่ื นกนั ๔. แบ่งปันลาภท่ตี นไดม้ าโดยชอบธรรม ใหแ้ ก่เพอื่ นภกิ ษุสามเณร ไม่หวงไวบ้ ริโภคจาํ เพาะผเู้ ดียว ๕. รกั ษาศลี ใหบ้ ริสุทธ์ิเสมอกนั กบั เพอื่ นภิกษุสามเณรอ่ืน ๆ ไม่ทาํ ตนใหเ้ ป็ นท่รี ังเกียจของผอู้ ่ืน ๖. มีความเห็นร่วมกนั กบั ภิกษุสามเณรอื่น ๆ ไม่ววิ าทกบั ใคร ๆ เพราะมีความเห็นผดิ กนั สัตตกะ คือ หมวด ๗ อริยทรัพย์ ๗ ทรัพย์ คือ คุณความดีท่มี ีในสันดานอย่างประเสริฐ เรียกอริยทรัพย์ มี ๗ อย่าง คอื ๑. สทั ธา เช่ือสิ่งทคี่ วรเช่ือ ๒. ศีล รักษากาย วาจา ใหเ้ รียบร้อย ๓. หิริ ความละอายตอ่ บาปทจุ ริต ๔. โอตตปั ปะ สะดุง้ กลวั ต่อบาป ๕. พาหุสจั จะ ความเป็นคนเคยไดย้ นิ ไดฟ้ ังมามาก คอื ทรงจาํ ธรรม และรู้ศิลปวทิ ยามาก ๖. จาคะ สละใหป้ ันส่ิงของของตนแก่คนท่ีควรใหป้ ัน ๗. ปัญญา รอบรูส้ ิ่งท่ีเป็นประโยชนแ์ ละไม่เป็ นประโยชน์ อริยทรัพย์ ๗ ประการน้ี ดีกวา่ ทรัพยภ์ ายนอก มีเงนิ ทอง เป็ นตน้ ควรแสวงหาไวใ้ หม้ ีในสนั ดาน สัปปุริสธรรม ๗ อย่าง ธรรมของสตั บุรุษ เรียกวา่ สปั ปุริสธรรม มี ๗ อยา่ ง คือ ๑. ธมั มญั �ตุ า ความเป็นผรู้ ู้จกั เหตุ เช่นรูจ้ กั วา่ สิ่งน้ีเป็ นเหตุแห่งสุขส่ิงน้ีเป็ นเหตแุ ห่งทกุ ข์ ๒. อตั ถญั �ุตา ความเป็ นผรู้ ูจ้ กั ผล เช่นรูจ้ กั วา่ สุขเป็ นผลแห่งเหตอุ นั น้ี ทกุ ขเ์ ป็ นผลแห่งเหตอุ นั น้ี ๓. อตั ตญั �ุตา ความเป็ นผรู้ ู้จกั ตนวา่ เราวา่ โดยชาติ ตระกูล ยศศกั ด์ิ สมบตั ิ บริวาร ความรู้ และคุณธรรม เพยี งเท่าน้ี แลว้ ประพฤตติ นใหส้ มควรแก่ทเ่ี ป็นอยู่ อยา่ งไร ๔. มตั ตญั �ุตา ความเป็ นผูร้ ู้ประมาณในการแสวงหาเครื่องเล้ียง ชีวิตแต่โดยทางท่ีชอบ และรู้จกั ประมาณใน การ บริโภคแต่พอสมควร ๕. กาลญั �ตุ า ความเป็นผรู้ ู้จกั กาลเวลาอนั สมควรในอนั ประกอบกิจน้นั ๆ พระธรี วฒั น์ จนฺทโสภโณ : วดั ไผ่เงินโชตนาราม | นกั ธรรมช้ันตรี 39
40 ๖. ปริสญั �ุตา ความเป็ นผรู้ ู้จกั ประชุมชน และกิริยาที่จะตอ้ งประพฤตติ อ่ ประชุมชนน้นั ๆ วา่ หมู่น้ีเมื่อเขา้ ไป หา จะตอ้ งทาํ กิริยาอยา่ งน้ี จะตอ้ งพดู อยา่ งน้ี เป็ นตน้ ๗. ปุคคลปโรปรัญ�ตุ า ความเป็นผรู้ ูจ้ กั เลือกบุคคลวา่ ผนู้ ้ีเป็ นคนดีควรคบ ผนู้ ้ีเป็ นคนไม่ดีไม่ควรคบ เป็ นตน้ อฏั ฐกะ คือ หมวด ๘ โลกธรรม ๘ ธรรมทคี่ รอบงําสัตว์โลกอยู่ และสัตว์โลกย่อมเป็ นไปตามธรรมน้ัน เรียกว่า โลกธรรม โลกธรรมน้ัน มี ๘ อย่าง คอื มลี าภ ๑ ไม่มลี าภ ๑ มยี ศ ๑ ไม่มยี ศ ๑ นินทา ๑ สรรเสริญ ๑ สุข ๑ ทุกข์ ๑ โลกธรรม ๘ น้ี ทา่ นแบง่ ออกเป็น ๒ ฝ่ าย ท่ีดี คอื มีลาภ มียศ สรรเสริญ สุข เรียกวา่ อิฏฐารมณ์ แปลวา่ อารมณ์ที่น่าปรารถนา ๑ ที่ไม่ดี คือ ไม่มีลาภ ไม่มียศ นินทา ทกุ ข์ เรียกวา่ อนิฏฐารมณ์ แปลวา่ อารมณ์ทไี่ ม่น่าปรารถนา ๑ ทสกะ คือ หมวด ๑๐ บญุ กริ ิยาวตั ถุ ๑๐ อย่าง ๑. ทานมยั บญุ สาํ เร็จดว้ ยการบริจาคทาน ๒. สีลมยั บญุ สาํ เร็จดว้ ยการรกั ษาศีล ๓. ภาวนามยั บุญสาํ เร็จดว้ ยการเจริญภาวนา ๔. อปจายนมยั บญุ สาํ เร็จดว้ ยการประพฤติถ่อมตนแก่ผใู้ หญ่ ๕. เวยยาวจั จมยั บญุ สาํ เร็จดว้ ยการช่วยขวนขวายในกิจทีช่ อบ ๖. ปัตตทิ านมยั บญุ สาํ เร็จดว้ ยการใหส้ ่วนบุญ ๗. ปัตตานุโมทนามยั บุญสาํ เร็จดว้ ยการอนุโมทนาส่วนบญุ ๘. ธมั มสั สวนมยั บญุ สาํ เร็จดว้ ยการฟังธรรม ๙. ธมั มเทสนามยั บุญสาํ เร็จดว้ ยการแสดงธรรม ๑๐. ทิฏ�ุชุกมั มะ การทาํ ความเห็นใหต้ รง พระธีรวฒั น์ จนฺทโสภโณ : วดั ไผ่เงินโชตนาราม | นกั ธรรมช้ันตรี 40
41 เนื้อหาวิชาพทุ ธประวตั ิ ธรรมศึกษาช้ันตรี สรุปบทที่ ๑ ชมพูทวีปและประชาชน • “พทุ ธประวตั ิ” หมายถึง ความเป็นมาของพระพทุ ธเจา้ และพระพทุ ธศาสนา • ชมพทู วปี ในปัจจบุ นั คอื ดินแดนของประเทศ อินเดีย,เนปาล,บงั คลาเทศ • ชนชาติ มี ๒ ชนชาติในชมพทู วปี คือ ๑. มิลกั ขะ เป็นเจา้ ของถ่ินเดิม ๒. อริยกะ เป็ นพวกทอี่ พยพเขา้ มายดึ ครอง • การแบง่ เขตการปกครอง แบง่ เป็น ๒ เขต ๑. มชั ฌมิ ชนบท หรือ มธั ยมประเทศ (ส่วนกลาง) เป็ นทีอ่ ยขู่ องพวกอริยกะ ๒. ปัจจนั ตชนบท หรือ ปัจจนั ตประเทศ ( ส่วนปลายแดน) เป็ นท่อี ยขู่ องพวกมิลกั ขะ • การปกครอง แบง่ การปกครองเป็นอาณาจกั ร หรือรฐั หรือแควน้ มีหวั หนา้ ปกครองประจาํ แควน้ • มธั ยมประเทศแบง่ ออกเป็น ๑๖ แควน้ • ระบบวรรณะ (แบง่ แยกชนช้นั ) มี ๔ วรรณะ คอื ๑. กษตั ริย์ คือ ผนู้ าํ ในการปกครองบา้ นเมือง ใหค้ วามสงบสุข ( สูง) ๒. พราหมณ์ คอื ผมู้ ีหนา้ ท่อี บรมสง่ั สอน ประกอบพธิ ีกรรมต่างๆ ( สูง) ๓. แพศย์ คอื ผทู้ ่ที าํ การเกษตร กสิกรรม ช่างฝีมือ คา้ ขาย ( กลาง ) ๔. ศทู ร คือ ผรู้ ับจา้ งใชแ้ รงงาน ทาส คนรับใช้ ( ต่าํ สุด) • จณั ฑาล คือ บตุ รทเ่ี กิดจากบิดา มารดาตา่ งวรรณะกนั ถือวา่ ต่าํ ท่สี ุด • ลทั ธิ และการนบั ถอื ประชาชนในชมพทู วปี นบั ถือ ศาสนาพราหมณ์ มีพระพรหมเป็ นศาสดา และ ยดึ ถือ คมั ภีร์ไตรเพท เป็นหลกั คาํ สอน พระธรี วฒั น์ จนฺทโสภโณ : วดั ไผ่เงินโชตนาราม | นักธรรมช้ันตรี 41
42 • ความเชื่อ ของคนในชมพทู วปี ๑. เช่ือวา่ ตายแลว้ เกิด ๒. เชื่อวา่ ตายแลว้ สูญ และ ๑. เช่ือวา่ การเกิด การตายมีเหตุปัจจยั ๒. เช่ือวา่ การเกิดการตายไม่มีเหตปุ ัจจยั บทท่ี ๒ สักกชนบทและศากยวงศ์ • สกั กชนบท แปลวา่ ชนบทแห่งชาวสกั กะ ทเี่ รียกอยา่ งน้ีเพราะวา่ ชนบทน้ีต้งั ภูมิลาํ เนาอยใู่ นดงไมส้ กั กะ • ศากยวงศก์ บั โกลิยวงศ์ เป็นพนี่ อ้ งกนั มาแต่สมยั พระเจา้ โอกกากราช เป็ นพระเจา้ แผน่ ดินมาจนถึงพระเจา้ สุ ทโธทนะ • สกั กชนบทแบ่งเป็นเมืองใหญ่ใหญ่ ๆ ได้ ๓ เมือง คือ ๑. เมืองเดิมของพระเจา้ โอกกากราช ๒.เมืองกบลิ พสั ดุ์ (เรียกวา่ ศากยวงศ)์ ๓. เมืองเทวทหะ (เรียกวา่ โกลิยวงศ)์ • ศากยวงศ์ มีพระราชโอรสและพระราชธิดาของพระเจา้ โอกกากราชเป็นผกู้ ่อต้งั • โกลิยวงศ์ พระราชธิดาพระเจา้ โอกกากราชกบั พระเจา้ กรุงเทวทหะเป็นผกู้ ่อต้งั • กบิลพสั ดุ์ ทไ่ี ดช้ ื่อน้ีเพราะเป็นที่อยขู่ องกบลิ ดาบสมาก่อน • พระเจา้ ชยั เสน ทรงมีพระโอรสชื่อวา่ สีหหนุ มีพระราชธิดาช่ือวา่ ยโสธรา • ศากยวงศ์ มีความหมายวา่ ผมู้ ีความสามารถ • ศากยวงศ์ เรียกตามโคตรวา่ โคตมะ หรือ โคดมโคตร • กบิลพสั ด์ เป็นเมืองของพระพทุ ธบดิ า เรียกว่า ศากยวงค์ • กรุงเทวทหะ เป็นเมืองของพระพทุ ธมารดา เรียกวา่ โกลิยวงศ์ • เจา้ ชายสิทธตั ถะก่อนจุติมายงั โลกมนุษยป์ ระทบั อยใู่ นสวรรคช์ ้นั ดุสิต • พระเจา้ สุทโธทนะเป็นพทุ ธบิดาของพระพทุ ธเจา้ • พระนางสิริมหามายาเป็นพทุ ธมารดาของพระพทุ ธเจา้ พระธรี วฒั น์ จนฺทโสภโณ : วดั ไผ่เงินโชตนาราม | นักธรรมช้ันตรี 42
43 บทท่ี ๓ ประสูติ (เกดิ ) • พระโพธิสตั ร์เลดจ็ สู่พระครรภ์ ในราตรีวนั พฤหสั บดี ข้ึน ๑๕ ค่าํ เดือน ๘ ปี ระกา พระมารดาทรง สุบินเห็นพญาชา้ งเผอื ก • พระโพธิสตั วอ์ ยใู่ นครรภ์ ๑๐ เดือนพอดี • พระโพธิสตั วท์ รงประสูติทสี่ วนลุมพนิ ีวนั ใตร้ ่มไมส้ าละ (ตน้ รงั ) ระหวา่ งกรุงกบลิ พสั ดุก์ บั กรุงเทวท หะ ปัจจบุ นั เรียกวา่ “รุมมินเด” ประเทศเนปาล เมื่อวนั ศุกร์ ข้ึน ๑๕ ค่าํ เดือน ๖ ปี จอ (วนั วสิ าขบูชา) • พระโพธิสตั ว์ เดินได้ ๗ กา้ วพรอ้ มกบั พดู วา่ “เราเป็ นเลิศ เป็ นผปู้ ระเสริฐท่สี ุดแห่งโลกการเกิดของเราคร้งั น้ี เป็ นคร้งั สุดทา้ ยบดั น้ีภพใหม่ไม่มีอีกแลว้ ” • สหชาติ คอื สิ่งท่เี กิดวนั เวลาเดียวกนั กบั พระโพธิสตั ว์ มี ๗ อยา่ ง ๑.พระนางพมิ พา ๒. พระอานนท์ ๓. กาฬทุ ายอี าํ มาตย์ ๔. ฉนั นะอาํ มาตย์ ๕. มา้ กณั ธกะ ๖. ตน้ พระศรีมหาโพธ์ิ ๗. ขมุ ทรพั ย์ ท้งั ๔ • ประสูติ ๓ วนั มี อสิตดาบส หรือ กาฬเทวลิ ดาบส เขา้ เยยี่ ม และพยากรณ์ ๒ อยา่ ง (ถา้ อยปู่ กครอง บา้ นเมืองจะเป็นพระเจา้ จกั รพรรดิ ถา้ ออกบวช จะเป็ นพระพทุ ธเจา้ ) • ประสูติได้ ๕ วนั พระเจา้ สุทโธทนะเชิญพราหมณ์ ๑๐๘ มาทานอาหาร ,ขนานพระนาม และ ทาํ นาย ลกั ษณะ • ทาํ นาย ๒ อยา่ งคอื ๑.ถา้ อยเู่ ป็นฆราวาสจะไดเ้ ป็ นพระเจา้ จกั รพรรดิ ๒. ถา้ บวชจะไดเ้ ป็ นพระพทุ ธเจา้ • สิทธตั ถะ แปลวา่ “ผมู้ ีความสาํ เร็จสมปรารถนา” • ประสูตไิ ด้ ๗ วนั พระมารดาทวิ งคต • พระเจา้ สุทโธทนะแต่งต้งั ใหน้ างปชาบดีดูแลแทน • อายุ ๗ พรรษา บิดาใหข้ ดุ สระ ๓ ฤดูถวาย และทรงใหศ้ กึ ษาศิลปวทิ ยา ๑๘ ศาสตร์ • ครูคนแรก คือ ครูวศิ วามิตร • อายุ ๗ พรรษา ทรงไดป้ ฐมฌานใตร้ ่มชมพพู ฤกษ์ (ตน้ หวา้ ) • อายุ ๑๖ พรรษา บดิ าทรงให้สร้างปราสาท ๓ หลงั ถวาย และทรงใหอ้ ภิเษกสมรส • เจา้ ชายสิทธตั ถะทรงอภิเษกสมรสกบั พระนางยโสธรา หรือ พมิ พา บทที่ ๔ เสดจ็ ออกผนวช ๑. เทวทูตคือ สิ่งที่เทวดาเนรมิตข้นึ มี ๔ ประการ คือ คนแก่ คนเจบ็ คนตาย สมณะ ๒. เจา้ ชายสิทธตั ถะเสดจ็ ออกผนวชเมื่อพระชนมายุ ๒๙ พรรษา ๓. มหาภเิ นษ¬กรมณ์ หมายถึง การเสด็จออกบวชของเจา้ ชายสิทธตั ถะ ๔. เจา้ ชายสิทธตั ถะทรงออกผนวชมีใครตดิ ตามไปดว้ ย นายฉนั นะและมา้ กณั ฐกะ ๕. เจา้ ชายสิทธตั ถะ ทรงผนวชดว้ ยวธิ ี อธิษฐานเพศบรรพชิต ๖. เจา้ ชายสิทธตั ถะทรงอธิษฐานเพศบรรพชิต ท่ีไหน ณ ริมฝั่งอโนมานที ๗. ฆฏิการพรหมเป็นผถู้ วายบาตรและเคร่ืองบริขาร ๘. หลงั จากบรรพชาทรงประทบั แรมท่ี อนุปิ ยอมั พวนั พระธรี วฒั น์ จนฺทโสภโณ : วดั ไผ่เงินโชตนาราม | นักธรรมช้ันตรี 43
44 ๙. ปัญจวคั คีย์ หมายถึง บคุ คลผมู้ ีพวกหา้ มี โกณฑญั ญะ วปั ปะ ภทั ทิยะ มหานามะ และอสั สชิ บทที่ ๕ ตรัสรู้ • หลงั จากเสดจ็ ออกบรรพชาแลว้ ทรงประทบั แรมท่ี อนุปิ ยอมั พวนั • หลงั จากออกบรรพชาแลว้ เขา้ ศึกษาท่สี าํ นกั ของ อาฬาดาบส กาลามโครตและอุททกดาบส รามบุตร • ทรงบาํ เพญ็ ทกุ กรกิริยาท่ี อุรุเวลาเสนานิคม ทุกกรกิริยา หมายถึง กิริยาท่ที าํ ไดย้ าก • มี ๓ วาระ คือ ๑. กดั ฟันดว้ ยฟัน กดเพดานดว้ ยล้ิน ๒. กล้นั ลมหายใจเขา้ -ออก ๓. อดอาหารจนซูบผอบ • ปัญจวคั คีย์ ดูแลในระหวา่ งบาํ เพญ็ เพยี ร • ทรงเลิกบาํ เพญ็ เพยี ร “เพราะมิใช่หนทางแห่งการตรสั รู้” • นางสุชาดา ถวายขา้ วมธุปายาสก่อนตรัสรู้ • ญาณที่ทรงไดใ้ นระหวา่ งบรรลุธรรม ตามลาํ ดบั คอื ๑. ปฐมยาม บรรลุปุพเพนิวาสานุสสตญิ าณ คอื ระลึกชาติได้ ๒. มชั ฌมิ ยาม บรรลุจุตปู ปาตญาณ คือ รู้การเกิดและตายของสตั วท์ ้งั ปวง ๓. ปัจฉิมยาม บรรลุอาสวกั ขยญาณ คอื รู้อริยสจั ๔ คือ ทุกข์ สมุทยั นิโรธ มรรค • โสตถิยพราหมณ์ ถวายหญา้ คาก่อนวนั ตรสั รู้ • พระสมั มาสมั พทุ ธเจา้ ตรสั รู้เมื่อพระชนมายุ ๓๕ พรรษา • ตรงกบั วนั พธุ ข้ึน ๑๕ค่าํ เดือน๖ ใตต้ น้ ศรีมหาโพธ์ิ ริมฝั่งแม่น้าํ เนรัญชรา ต.อุรุเวลาเสนานิคม แควน้ มคธ • ตรสั รู้หลงั จากบรรพชา ๖ ปี • พระพทุ ธเจา้ ตรสั รู้ อริยสจั ๔ • พระพทุ ธเจา้ ทรงชนะมารและเสนามารดว้ ย บารมี๑๐ • คาํ วา่ “ สมั มาสมั โพธิญาณ” หมายถึง ญาณเป็ นเคร่ืองตรัสรู้โดยชอบ ปริเฉทท่ี ๖ เสวยวมิ ุตตสิ ุขและปฐมเทศนา • สตั ตมหาสถาน คือสถานท่ีสาํ คญั ๗ แห่ง ไดแ้ ก่สถานที่เคยเสวยวมิ ุตติสุข เป็ นเวลา ๗ สปั ดาห์ ๔๙ วนั สปั ดาหท์ ี่ ๑ ประทบั บนรัตนบลั ลงั คใ์ ตต้ น้ ศรีมหาโพธ์ิ ทรงพจิ ารณาปฏิจจสมุปบาท สปั ดาหท์ ี่ ๒ ทรงประทบั ยนื จอ้ งพระเนตรดูตน้ พระศรีมหาโพธ์ิ โดยมิไดก้ ระพริบพระเนตรตลอด ๗ วนั สถานท่นี ้นั จึงไดช้ ื่อวา่ อนิมิสเจดีย์ สปั ดาห์ที่ ๓ พระองคท์ รงเนรมิตทจ่ี งกรมระหวา่ ง อนิมิสเจดียก์ บั ตน้ พระศรีมหาโพธ์ิแลว้ เสด็จจงกรม ณ ท่ี น้นั ตลอด ๗ วนั สถานทีน่ ้ีเรียกวา่ รตั นจงกรมเจดีย์ สปั ดาหท์ ่ี ๔ พระองคท์ รงนงั่ ขดั สมาธิในเรือนแกว้ ซ่ึงเทวดาเนรมิตถวาย ทรงพจิ ารณาพระอภิธรรมตลอด ๗ วนั สถานทีน่ ้นั ไดช้ ื่อวา่ รตั นฆรเจดีย์ สปั ดาหท์ ่ี ๕ ทรงประทบั ใตร้ ่มไม้ อชปาลนิโครธ (ตน้ ไทร) - พบพราหมณ์ทีช่ อบตวาดวา่ หึ หึ พระธีรวฒั น์ จนฺทโสภโณ : วดั ไผ่เงินโชตนาราม | นักธรรมช้ันตรี 44
45 - ทรงขบั ธิดามารท้งั ๓ คอื นางตณั หา นางราคา นางอรดี สปั ดาห์ท่ี ๖ ทรงประทบั ใตร้ ่มไม้ มุจลินท์ (ไมจ้ กิ ) มีฝนตกพราํ เจอื ลมหนาวตลอด ๗ วนั มีพญานาคช่ือวา่ มุจลินท์ ขนดหางเป็น ๗ รอบ แผพ่ งั พานปรกพระองค์ เพอ่ื ไม่ใหล้ มและฝนถูกตอ้ งพระองค์ สปั ดาห์ท่ี ๗ ทรงประทบั ใตต้ น้ ราชายตนะ(ไมเ้ กด) - พอ่ คา้ สองพน่ี อ้ งคอื ตปสุ สะและภลั ลิกะ ถวายขา้ วสตั ตผุ งสตั ตกุ อ้ น - ถึงพระพทุ ธและพระธรรมเป็นสรณะ เรียกวา่ เทววฺ าจิกอุบาสก - พระองคท์ รงมอบพระเกตธุ าตุ ๘ เสน้ แก่อุบาสกท้งั อง • ทา้ วสหมั บดีพรหมอาราธนาใหแ้ สดงธรรม • พระพทุ ธองคท์ รงพจิ ารณาดอกบวั ๔ เหล่า เปรียบปัญญาคน คือ ๑. อุคฆฏติ ญั �ู มีปัญญาเฉียบแหลม (บวั พน้ น้าํ ) ๒. วปิ จิตญั �ู มีปัญญาปานกลาง (บวั เสมอผวิ น้าํ ) ๓. เนยยะ มีปัญญาพอแนะนาํ ได้ (บวั ในน้าํ ) ๔.ปทปรมะ ดอ้ ยปัญญา (บวั อในโคลนตม) O พระพทุ ธองคท์ รงคดิ ถึงอาฬารดาบสและอุททกดาบสเป็ นคนแรกทีจ่ ะแสดงธรรมใหฟ้ ัง O พระองคไ์ ดพ้ บอุปกาชีวกระหวา่ งทางไปกรุงพาราณสี • ปฐมเทศนา ช่ือวา่ ธมั มจกั กปั ปวตั ตนสูตร • แสดงแก่ปัญจวคั คีย์ เม่ือวนั ข้ึน ๑๕ ค่าํ เดือน ๘ ณ ป่ าอิสิปตนมฤคทายวนั กรุงพาราณสี แควน้ กาสี • เน้ือความธรรมโดยยอ่ คือ ส่ิงทีบ่ รรพชิตไม่ควรเสพท่สี ุด ๒ อยา่ ง ๑. กามสุขลั ลิกานุโยค การพนั พนั ตนในกาม ๒.อตั ตกิลมถานุโยค การทรมานตนใหล้ าํ บาก ๓. ส่ิงที่บรรพชิตควรเสพคือ มชั ฌมิ าปฏปิ ทา คอื ขอ้ ปฏบิ ตั ิอนั เป็ นทางสายกลาง อนั ประกอบดว้ ยอริยมรรค มีองค์ ๘ • โกณฑญั ญะไดด้ วงตาเห็นธรรม คือ โสดาปัตติผล • เอหิภิกขอุ ุปสมั ปทา คอื พระพทุ ธเจา้ ทรงบวชใหโ้ กณฑญั ญะเป็ นรูปแรก • พระอญั ญาโกณฑญั ญะจึงเป็นพระสงฆอ์ งคแ์ รกในพทุ ธศาสนา • วนั น้ีเป็นวนั ที่มีพระรัตนตรยั ครบ คือ พระพทุ ธ พระธรรม พระสงฆ์ เรียกวา่ “วนั อาสาฬหบูชา” ตรงกบั วนั ข้นึ ๑๕ ค่าํ เดือน ๘ • ทรงแสดงธรรมชื่อวา่ อนตั ตลกั ขณสูตร โปรดปัญจวคั คยี ์ ในวนั แรม ๕ ค่าํ เดือน ๙ และท้งั หมดไดบ้ รรลุ พระอรหนั ต์ • มีพระอรหนั ตเ์ กิดข้ึนในโลก ๖ องค์ คือ พระพทุ ธเจา้ ๑ พระปัญจวคั คยี ์ ๕ • ใจความยอ่ ของอนตั ตลกั ขณสูตร คือ ขนั ธ์ ๕ คอื รูป เวทนา สญั ญา สงั ขาร วญิ ญาณ เป็ นของไม่เท่ยี ง เป็ นทุกข์ เป็นอนตั ตา ไม่ควรยดึ มนั่ ถือมนั่ บทที่ ๗ ส่งสาวกไปประกาศศาสนา พระธีรวฒั น์ จนฺทโสภโณ : วดั ไผ่เงินโชตนาราม | นักธรรมช้ันตรี 45
46 • ยสกลุ บตุ ร เป็นบุตรของมหาเศรษฐี มารดาช่ือวา่ สุชาดา ในกรุงพาราณสี แควน้ กาสี • เบือ่ หน่ายในชีวิตเปล่งอุทานวา่ “ที่น่ีวนุ่ วายหนอ ท่ีน่ีขดั ขอ้ งหนอ” • พระบรมศาสดาทรงแสดงธรรมเทศนาชื่อ “อนุปุพพกิ ถา” แก่ยสะเป็ นคนแรก • “อนุปุพพกิ ถา” คือ วาจาปรารภธรรมท่ีพงึ พรรณนาโดยลาํ ดบั มี ๕ ประการ ๑. ทาน การใหป้ ันส่ิงของๆ ตนแก่ผอู้ ่ืน ๒. ศลี การรกั ษากาย วาจาใหเ้ รียบร้อย ๓. สคั คะ สวรรคอ์ นั บคุ คลพงึ ไดด้ ว้ ยทานและศลี ๔. กามาทีนพ โทษของกาม ซ่ึงมีแตค่ วามทกุ ข์ ความวนุ่ วายไม่สงบ ๕. เนกขมั มะ อานิสงส์แห่งการออกบวช • ทรงแสดงสามุกกงั สิกเทศนา คือ อริยสจั ๔ ปิ ดทา้ ย * ยสะไดด้ วงตาเห็นธรรม คอื บรรลุโสดาปัตตผิ ล • พอ่ ของยสะฟังอนุปุพพกิ ถาและอริยสจั ๔ บรรลุพระโสดาบนั แสดงตนเป็ นอุบาสกขอถึงพระรตั นตรยั ตลอดชีวติ นบั วา่ เป็นอุบาสกคนแรกทถี่ ึงพระรัตนตรยั เรียกวา่ เตวาจกิ อุบาสก • ยสกุลบตุ รสาํ เร็จพระอรหตั ผลดว้ ยการฟังธรรมซ้าํ เป็ นคร้งั ที่สอง และทลู ขอบรรพชาอุปสมบท • พระพทุ ธองคท์ รงอนุญาตใหเ้ ป็ นพระภกิ ษดุ ว้ ยพระดาํ รัสวา่ “เธอจงเป็ นภิกษุมาเถิด ธรรมอนั เรากล่าวดีแลว้ เธอจงประพฤติพรหมจรรย”์ • มารดาและภรรยาเก่าของพระยสะเป็นพระโสดาบนั ดว้ ยการฟังอนุปพุ พกิ ถาและอริยสจั ๔และแสดงตนเป็น อุบาสิกาขอถึงพระรตั นตรยั ตลอดชีวติ เรียกวา่ เตวาจิกอุบาสกา • เพอ่ื นสนิทพระยสะบวชตาม ๔ คน คอื วมิ ล สุพาหุ ปุณณชิ ควมั ปติ และสหายพระยสะอีก ๕๐ คน • ส่งสาวกออกประกาศพระศาสนา พระพทุ ธองคส์ ่งภกิ ษทุ ้งั ๖๐ องค์ ไปเผยแผพ่ ระพทุ ธศาสนายงั ต่างถ่ิน ทรงแสดงอนุปพุ พกิ ถาและอริยสจั แก่ภทั ทวคั คยี ์ ๓๐ คน และส่งไปประกาศทีเ่ มือง ปาวา • โปรดชฏลิ ๓ พน่ี อ้ ง ทตี่ าํ บลอุรุเวลา แขวงเมืองราชคฤห์ ซ่ึงอาศยั ริมฝ่ังแม่น้าํ เนรัญชรา ตามลาํ ดบั คอื พชี่ ายใหญ่ชื่ออุรุเวลกสั สปะมีบริวาร ๕๐๐ ต้งั อาศรมอยตู่ าํ บลอุรุเวลา นอ้ งชายกลาง ช่ือนทีกสั สปะ มีบริวาร ๓๐๐ ต้งั อาศรมอยตู่ าํ บลนที นอ้ งชายเลก็ ช่ือคยากสั สปะ มีบริวาร ๒๐๐ ต้งั อาศรมอยตู่ าํ บลคยา • แสดงอาทิตตปริยายสูตรทต่ี าํ บลคยาสีสะ • ใจความโดยยอ่ อายตนะภายนอก กระทบกบั อายตนะภายในแลว้ เกิดเป็ นของรอ้ นดว้ ยราคะ โทสะ โมหะ ไม่ ควรยดึ ติดกบั ส่ิงน้นั ๆ” • โปรดพระเจา้ พมิ พสิ ารทส่ี วนลฏั ฐิวนั หรือสวนตาลหนุ่ม มีขา้ ราชบริพาร ๑๒ นหุต ( ๑๒ หม่ืน) แวดลอ้ ม • ท้งั หมดฟังธรรมจากพระศาสดาดว้ ยอนุปุพพกิ ถาและอริยสจั ๑๑ นหุต ต้งั อยใู่ นโสดาบนั ๑ นหุตต้งั อยใู่ น ไตรสรณคมน์ • ความปรารถนาของพระเจา้ พมิ พสิ าร ๕ ประการและสาํ เร็จดงั ประสงค์ ๑. ขอใหข้ า้ พเจา้ ไดเ้ ป็นพระเจา้ แผน่ ดินแห่งแควน้ มคธน้ี ๒. ขอใหพ้ ระอรหนั ตผ์ ตู้ รัสรูเ้ องโดยชอบ เสด็จมายงั แวน่ แควน้ มคธน้ี พระธีรวฒั น์ จนฺทโสภโณ : วดั ไผ่เงนิ โชตนาราม | นักธรรมช้ันตรี 46
47 ๓. ขอใหข้ า้ พเจา้ ไดเ้ ขา้ ไปนงั่ ใกลพ้ ระอรหนั ตพ์ ระองคน์ ้นั ๔. ขอใหพ้ ระอรหนั ต์ แสดงธรรมแก่ขา้ พเจา้ ๕. ขอใหข้ า้ พเจา้ รูท้ วั่ ถึงธรรมของพระอรหนั ตน์ ้นั • พระเจา้ พมิ พสิ ารถวายเวฬุวนาราม ดว้ ยการหลงั่ น้าํ ทกั ษโิ ณทกใหต้ กลงบนพระหตั ถข์ องพระศาสดา • พระเวฬุวนารามเป็นวดั แรกในพระพทุ ธศาสนา บทที่ ๘ เสดจ็ กรุงราชคฤห์ • อุปติสสะเป็นบุตรแห่งตระกูลหวั หนา้ หมู่บา้ น บดิ าช่ือ วนั คนั ตพราหมณ์ มารดาชื่อวา่ สารีพราหมนี จึงได้ นามวา่ สารีบุตร • โกลิตเป็นบตุ รแห่งตระกูลหวั หนา้ หมู่บา้ นโกลิตคาม มารดาชื่อวา่ โมคคลั ลี จงึ ไดน้ ามวา่ โมคคลั ลานะ ท้งั สองทา่ น ศึกษาในสาํ นกั สญั ชยั ปริพาชก • ฟังธรรมจากพระอสั สชิไดด้ วงตาเห็นธรรมดว้ ยหวั ขอ้ ธรรม (สรุปอริยสจั ๔) ธรรมเหล่าใดเกิดแต่เหตุ พระตถาคตเจา้ ทรงแสดงเหตแุ ห่งธรรมน้นั และความดบั เหตุแห่งธรรมเหล่าน้นั พระมหาสมณะตรัสสอนอยา่ งน้ี” • ตสิ สะและโกลิตะพรอ้ มดว้ ยสหาย ๒๕๐ คน เขา้ เฝา้ พระผมู้ ีพระภาคเจา้ • พระพทุ ธองคต์ รสั อุบายแก่ง่วงแก่โมคคลั ลานะ ๙ ขอ้ พรอ้ มกบั ขอ้ เตือนใจ ๓ ขอ้ ซ่ึงปฏบิ ตั ิธรรมใกลบ้ า้ น กลั ลวาลมุตตคาม • พระโมคคลั ละสาํ เร็จพระอรหนั ตใ์ นวนั ท่ี ๗ หลงั จากการบวชดว้ ยอุบายแกง้ ่วง และ “ตณั หกั ขยธรรม” • อุบายแกง้ ว่ ง ๘ ขอ้ ๑. เม่ือมีสญั ญาอขา่ งไร ใหใ้ ส่ใจถึงสญั ญาอยา่ งน้นั ใหม้ ากๆ ๒. ใหพ้ จิ ารณาธรรมท่ไี ดฟ้ ังมาแลว้ ๓. ใหท้ ่องบน่ ธรรมน้นั ซ่ึงไดเ้ รียนไดฟ้ ังมาแลว้ ๔. ใหย้ อน (แยง)หูท้งั ๒ ขา้ งและเอามือลูบตวั ๕. ใหย้ นื ข้ึน เอาน้าํ ลูบตวั เหลียวมองดูทิศตา่ งๆ และแหงนหนา้ มองดูทอ้ งฟ้า ๖. ใหใ้ ส่ใจถึงแสงสวา่ งกลางวนั ๗. ใหเ้ ดินจงกรม สาํ รวมอินทรีย์ ทาํ จิตให้เป็ นสมาธิ ไม่ฟุ้งซ่าน ๘. ใหส้ าํ เร็จสีหไสยาสน์ คือ นอนตะแคงขา้ งขวาซอ้ นเทา้ มีสตติ ้งั ใจวา่ จะลุกข้ึน และเม่อื ตื่นแลว้ จง ลุกข้ึนทนั ที • พระสารีบุตรบรรลุธรรมดว้ ยการฟังธรรมช่ือว่าเวทนาปริคคหสูตร หลงั บวช ๑๕ วนั • ตรสั แก่ทฆี นขะ เป็นหลานของพระสารีบุตร ทถ่ี ่าํ สุกรขาตา ทเ่ี ขาคชิ กูฏ ใกลก้ รุงราชคฤห์ • พระพทุ ธเจา้ ทรงแต่งต้งั พระสารีบุตรและพระโมคคลั ลานะในตาํ แหน่งคูพ่ ระอคั รสาวก • สารีบุตร ไดร้ ับการยกยอ่ งเป็นเอตทคั คะวา่ มีปัญญาเลิศ เป็ นพระอคั รสาวกเบ้ืองขวา พระธรี วฒั น์ จนฺทโสภโณ : วดั ไผ่เงินโชตนาราม | นกั ธรรมช้ันตรี 47
48 • พระโมคคลั ลานะ ไดร้ บั การยกยอ่ งเป็ นเอตทคั คะวา่ มีฤทธ์ิล้าํ เลิศ เป็ นอคั รสาวกเบ้อื งซา้ ย • พระศาสดาเปรียบพระสารีบตุ รเหมือนมารดาผใู้ หก้ าํ เนิดบตุ ร เปรียบพระโมคคลั ลานะเหมือนนางนมผเู้ ลียง บตุ รท่เี กิดแลว้ บทที่ ๙ บาํ เพญ็ พทุ ธกจิ ในมคธและเสดจ็ สักกะ • พระมหากสั สปะมีช่ือเดิมวา่ ปิ ปผลิมาณพ เป็นบุตรกบลิ พราหมณ์กสั สปโคตร ในบา้ นมหาตฏิ ฐะ จงั หวดั มคธรฐั แตง่ งานกบั นางภทั ทกาปิ ลานี บตุ รีพราหมณ์โกสิยโครต แห่งสาคลนคร จงั หวดั มคธรัฐ • ปิ ปผลิมาณพไดเ้ ดินทางไปพบพระพทุ ธเจา้ ทใ่ี ตต้ น้ ไทร มีชื่อวา่ พหุปตุ ตกนิโครธ ก่ึงทางระหวา่ งกรุงรา ชคฤหก์ บั เมืองนาลนั ทา • พระพทุ ธเจา้ ทรงบวชให้พระกสั สปะดว้ ยการประทานโอวาท ๓ ขอ้ ๑. กสั สปะ ทา่ นพงึ ศึกษาวา่ เราจกั เขา้ ไปต้งั ความละอายและความยาํ เกรงไวใ้ นภกิ ษทุ ้งั ทเ่ี ป็ นผเู้ ฒ่า-ผู้ ใหม่-ปานกลาง ๒. ธรรมอนั ใดทีป่ ระกอบดว้ ยกุศล เราจะต้งั ใจฟังและพจิ ารณาเน้ือความแห่งธรรมน้นั ๓. เราจกั ไม่ละสตอิ อกจากกาย คอื พจิ ารณากายเป็ นอารมณ์ • เมื่อพระกสั สปะบวชแลว้ ภิกษสุ หธรรมิกนิยมเรียกท่านวา่ “พระมหากสั สปะ” • การอุปสมบทดว้ ยการรับโอวาท ๓ ขอ้ เรียกวา่ โอวาทปฏิคคหณูปสมั ปทา • พระมหากสั สปะไดฟ้ ังพระพทุ ธโอวาท ๓ ขอ้ แลว้ บาํ เพญ็ เพยี รบรรลุธรรมในวนั ท่ี ๘ แห่งการอุปสมบท • พระมหากสั สปะ ถือธุดงคค์ ุณ ๓ อยา่ งคอื ๑. ถือการนุ่งห่มผา้ บงั สุกลุ เป็นวตั ร ๒. ถือการเทย่ี วบณิ ฑบาตรเป็นวตั ร ๓. ถือการอยปู่ ่ าเป็นวตั ร • ไดร้ ับยกยอ่ งจากพระศาสดาวา่ เป็นผูเ้ ลิศกวา่ ภกิ ษทุ ้งั หลายผทู้ รงธุดงค์ • จาตุรงคสนั นิบาต แปลวา่ การประชุมพรอ้ มดว้ ยองค์ ๔ คือ ๑. พระอรหนั ตข์ ีณาสพ อยจู่ บพรหมจรรย์ ๑๒๕๐ องค์ มาประชุมกนั ๒. พระสาวกเหล่าน้นั ลว้ นเป็นเอหิภกิ ขุ ผไู้ ดอ้ ภญิ ญา ๖ ๓. พระสาวกเหล่าน้นั ต่างมากนั เองโดยมิไดน้ ดั หมายกนั มากอ่ น ๔. เป็นวนั เพญ็ พระจนั ทร์เตม็ ดวง เสวยมาฆฤกษ์ พระบรมศาสดาทรงแสดงโอวาทปาฏโิ มกขใ์ น ท่ามกลางสาวกเหล่าน้นั พระศาสดาทรงอนุญาตเสนาสนะ( ที่นอนและทนี่ งั่ ) ๕ ชนิด คือ ๑.วหิ าร คอื กุฏมิ ีหลงั คา ๒. อฑั ฒโยค คอื กระทอ่ ม ๓.ปราสาท คือเรือนช้นั (กุฏหิ ลาย ๆ ช้นั ) ๔. หมั มิยะ ไดแ้ ก่ เรือนหรือกฏุ ิหลงั คาตดั ๕. คูหา ไดแ้ ก่ ถ้าํ • ราชคหกเศรษฐี เป็นผถู้ วายเสนาสนะ ๖๐ หลงั เป็นคนแรก ทรงแสดงวิธีทาํ ปพุ พเปตพลี พระธีรวฒั น์ จนฺทโสภโณ : วดั ไผ่เงนิ โชตนาราม | นักธรรมช้ันตรี 48
49 • พระเจา้ พมิ พสิ ารทรงกระปุพพเปตพลีทาํ เป็ นคร้ังแรก • ทกั ษณิ าอุทิศคนตายทว่ั ไป เรียกวา่ ทกั ษณิ านุปทาน • มตกทาน แปลวา่ การอุทศิ ใหผ้ ตู้ าย • ทกั ษณิ าอุทศิ เฉพาะบรุ พบิดา เรียกวา่ ปุพพเปตพลี • การอุปสมบทแบบญตั ตจิ ตตุ ถกรรมอุปสมั ปทา พระราธะบวชเป็ นองคแ์ รก มีพระสารีบตุ รเป็ นอุปัชฌาย์ ที่ เวฬุวนั มหาวหิ าร กรุงราชคฤห์ • พระราธไดร้ บั ยกยอ่ งจากพระศาสดาวา่ เป็ นผเู้ ลิศกวา่ ภกิ ษทุ ้งั หลายในทางปฏิภาณ” • การบวชหรืออุปสมบทกรรมมี ๓ วธิ ี คอื ๑. เอหิภิกขอุ ุปสมั ปทา ๒. ตสิ รณคมนูปสมั ปทา ๓. ญตั ตจิ ตุตถกรรม พระพทุ ธองค์ ทรงแสดงทิศ ๖ แก่สิงคาละมาณพ บทท่ี ๑๐- ๑๑ เสดจ็ โปรดพทุ ธบดิ า • พระเจา้ สุทโธทนะส่งอาํ มาตยไ์ ปทูตเชิญพระพทุ ธองค์ ๑๐ คณะดว้ ยกนั • กาฬุทายอี าํ มาตย์ เป็นคณะสุดทา้ ยและทูตเชิญพระพทุ ธองคห์ ลงั จากตนบรรลุธรรม และบวชแลว้ ๘ วนั • ระยะทางจากราชคฤห์สู่กรุงกบลิ พสั ดุ์ ๖๐ โยชน์ (๙๖๐ กิโลเมตร) • เดินทางวนั ละโยชน์ (๑๖ กิโลเมตร) เป็นเวลา ๖๐ วนั พอดี • ชาวกบลิ พสั ดุส์ รา้ งนิโครธาราม ถวาย • ทรงแสดงพระธรรมเทศนาเร่ือง มหาเวสสนั ดรชาดกแก่ประยรู ญาติ • พระเจา้ สุทโธทนะทรงบรรลุโสดาบนั ดว้ ยคาถาเคร่ืองเตอื นใจสมณะวา่ “ ไม่ควรประมาทในกอ้ นขา้ วอนั จะพงึ ลุกข้นึ ยนื รับ ควรประพฤตธิ รรมใหส้ ุจริตผปู้ ระพฤติธรรมยอ่ มอยเู่ ป็ น สุขท้งั ในโลกน้ีท้งั ในโลกอื่น” • ทรงแสดงธรรมโปรดพระนางมหาปชาบดี และเจา้ สุทโธทนะ เม่ือจบพระธรรมเทศนา พระนางต้งั อยใู่ น โสดาบนั ส่วนพระพทุ ธบดิ า ไดบ้ รรลุสกทาคสมิผล ในวนั ทีส่ อง • ในวนั ทีส่ ามพระพทุ ธองคท์ รงแสดงธรรมมหาธรรมปาลชาดก โปรดพระบดิ าใหด้ าํ รงอยใู่ นพระอนาคามิผล • พระนางพมิ พาเทวบี รรลุโสดาบนั ดว้ ยธรรมเทศนาช่ือวา่ จนั ทกินนรีชาดก • พระสารีบตุ รทรงบรรพชาราหุลสามเณรทน่ี ิโครธาราม • พระราหุลเป็นสามเณรองคแ์ รกในพระพทุ ธศาสนา ดว้ ยไตรสรณคมน์ • พระเจา้ สุทโธทนะทลู ขอประทานพระพทุ ธานุญาตวา่ “ แตน่ ้ีต่อไป กลุ บตุ รผใู้ ดประสงคจ์ ะบรรพชา หาก มารดาบิดายงั ไม่ยอมพร้อมใจอนุญาตใหบ้ วชแลว้ กข็ องดไว้ อยา่ ไดร้ ีบใหบ้ รรพชาอุปสมบทแก่กลุ บุตรเป็ นอนั ขาด” • บรรลุพระอรหนั ตด์ ว้ ยพระธรรมเทศนาช่ือวา่ ราหุโลวาทสูตร” หลงั จากอุปสมบทแลว้ • ทา่ นไดร้ บั ยกยอ่ งวา่ เป็นผเู้ ลิศกวา่ ภิกษุท้งั ในทางใคร่ต่อการศกึ ษา” บทที่ ๑๑-๑๒ พระธีรวฒั น์ จนฺทโสภโณ : วดั ไผ่เงินโชตนาราม | นกั ธรรมช้ันตรี 49
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113