Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore หนังสือเรียนนักธรรมเอกพระธีรวัฒน์ จนฺทโสภโณ

หนังสือเรียนนักธรรมเอกพระธีรวัฒน์ จนฺทโสภโณ

Published by suanvang, 2021-07-18 13:56:41

Description: หนังสือเรียนนักธรรมเอกพระธีรวัฒน์ จนฺทโสภโณ

Keywords: หนังสือเรียน,นักธรรมเอก,พระธีรวัฒน์

Search

Read the Text Version

100 แนวคาํ ถาม แนวคาํ ตอบ ๑๒. ปฏปิ ตฺติอนฺตรธานํ คอื อนั ตรธานแห่งการปฏบิ ตั ิ ใน อนั ตรธาน ๔ ประการน้นั หมายความว่าอยา่ งไร ? ๑๒. หมายความว่า พวกภกิ ษุไมใ่ ฝ่ ใจบาํ เพญ็ ฌาน เจริญ วิปัสสนาเพอื่ ใหม้ รรคผลนิพพานเกิดข้ึน รักษาเพียงปาริ ๑๓. ก่อนพุทธกาล ศาสนาพราหมณ์เขาถอื เร่ืองต่อไปน้ีกนั สุทธิศีล ๔ ยิ่งนานไปยง่ิ พากนั เบื่อหน่ายในการรักษาปาร อย่างไร ? ๑) เร่ืองโลกธาตุ ๒) เร่ืองเทวดากบั ธาตุ ๓) เรื่อง สุทธิศีล ดว้ ยคดิ ทอ้ ใจว่า จะประกอบกิจสักเท่าใด กม็ อิ าจ การกราบไหว้ ๔) เรื่องความมุ่งหมาย ๕) เร่ืองพระเจา้ สาํ เร็จมรรคผลได้ ในท่สี ุดกห็ มายเอาวา่ บดั น้ี การตรัสรูผ้ ล ไม่มีแลว้ ก็คลายความเพียรมากไปดว้ ยความเกียจคร้าน ไม่ ๑๔. จงอธิบายเร่ือง “อมฤตธรรม” ตามหวั ขอ้ ตอ่ ไปน้ี.. นาํ พาถึงกองอาบตั ทิ ต่ี นตอ้ งหรือไม่ พากนั ยา่ํ ยีล่วงละเมดิ ๑) คาํ แปล ๒) ความหมาย ๓) ความสาํ คญั อาบตั นิ อ้ ยใหญ่ ตลอกถงึ อาบตั ปิ าราชิกเชน่ น้ี ชื่อวา่ อนั ตรธานแห่งการปฏิบตั ิ ฯ ๔) ความเป็นมา ๑๓. เขาถอื กนั ว่า.. ๑) โลกธาตแุ ละส่ิงท้งั ปวงพระอศิ วรเป็นเจา้ ทรง สร้าง ๒) ธาตุท้งั ปวงลว้ นมีเทวดาประจาํ ท้งั สิ้น ๓) การกราบไหวเ้ ซ่นสรวงพระอิศวรและเทวดา น้นั ๆ เป็นตน้ เป็นการวอนขอใหป้ ระสิทธ์ิพรน้นั ๆ แก่ตน ๔) ถา้ จะมุ่งหมายอะไร ตอ้ งทรมานตนใหไ้ ดร้ บั ความลาํ บากเสียหาย ๕) พระเจา้ เป็นผบู้ นั ดาลให้สําเร็จหรือไมส่ ําเร็จแต่ ผเู้ ดียว ฯ ๑๔. อธิบายไดด้ งั น้ี ๑) แปลว่า ธรรมที่ไม่ตาย หรือธรรมทีท่ าํ ใหไ้ ม่ ตาย ๒) หมายถงึ ธรรม ท่ีทาํ ใหบ้ ุคคลหมดกิเลสาสวะ และใหบ้ คุ คลถึงความดบั แห่งความเกิด ความแก่ ความตาย อย่างส้ินเชิง ๓) เป็นธรรมอย่างเดยี วทีส่ ามารถใหส้ ัตวพ์ น้ จาก ทกุ ขโ์ ดยประการท้งั ปวง ๔) มคี วามเป็นมาว่า ในกาลกอ่ น พวกเทวดาอยาก หาของกนั ตาย จึงไปทูลถามพระผูเ้ ป็นเจา้ พระผูเ้ ป็นเจา้ รับสัง่ ใหก้ วนสมทุ รจะไดเ้ กิดน้าํ ทพิ ยท์ เ่ี ทวดาดม่ื แลว้ ไม่ตาย พวกเทวดาจงึ กวนสมุทรตามเทวโองการของพระผูเ้ ป็นเจา้ สมุทรจงึ เกิดเป็นน้าํ ทิพย์ เรียกวา่ น้าํ อมฤตบา้ ง น้าํ สุราบา้ ง เม่ือพระบรมศาสดาตรสั รู้เป็นพระสัมมาสมั พุทธเจา้ แลว้ ทรงแสดงธรรมท่เี ป็นไปเพื่อความไมต่ ายจึงตรัสเรียกธรรม ของพระองคว์ ่า อมฤตธรรม ฯ พระธรี วัฒน์ จนฺทโสภโณ : วัดไผ่เงนิ โชตนาราม | นักธรรมช้ันเอก 100

101 แนวคาํ ถาม แนวคาํ ตอบ ๑๕. จงตอบคาํ ถามต่อไปน้ีใหช้ ดั เจน ๑๕. ตอบคาํ ถามไดด้ งั น้ี ๑) พราหมณ์พาวรีเป็นใคร ๑) เป็นอาจารยข์ องมาณพ ๑๖ คน ๒) ท่านเลิศในทางไหน ๒) ไมเ่ ลิศในทางไหนเพราะทา่ นไม่ไดบ้ วช ๓) พระอนุรุทธเถระเป็นลกู ใคร ๓) เป็นลูกของพระเจา้ อมโิ ตทนะ ๔) พระอนุรุทธเถระท่านเลิศในทางไหน ๔) ท่านไดร้ บั ยกยอ่ งจากพระบรมศาสดาว่าเป็นผู้ ๕) พระโสณะโกฬิวสิ ะ เป็นศิษยข์ องใคร เลิศในทางทิพยจกั ษุ ๕) เป็นศษิ ยข์ องพระมหากจั จายนะ ฯ ๑๖. พระบรมศาสดาทรงจาํ พรรษา ณ ที่ไหนในหวั ขอ้ ๑๖. ตอบตามหัวขอ้ ต่อไปน้ี ต่อไปน้ี ? ๑) พรรษาท่ี ๑ ๑) พรรษาที่ ๑ ท่ีป่ าอิสิปตนมฤคทายวนั ๒) พรรษาท่ี ๒-๔ ที่เวฬุวนั เมอื งราชคฤห์ ๒) พรรษาท่ี ๒-๔ ๓) พรรษาท่ี ๕ ทกี่ ูฏาคารศาลา ป่ ามหาวนั ใกล้ ๓) พรรษาท่ี ๕ กรุงไพศาลี ๔) พรรษาท่ี ๖ ๔) พรรษาที่ ๖ ท่มี กุฏบรรพต ๕) พรรษาท่ี ๗ ๕) พรรษาท่ี ๗ ทีภ่ ายใตป้ าริฉตั รรุกขชาติ ใน ดาวดึงส์เทวโลก ๑๗. จงตอบคาํ ถามในหวั ขอ้ ต่อไปน้ี ๑๗. ตอบคาํ ถามดงั น้ี ๑) อจลเจดีย์ คืออะไร ? ๑) คือ สถานทีป่ ระดษิ ฐานเชิงบนั ไดท้งั ๓ คือ ๒) อจลเจดยี เ์ กิดข้ึนเมอื่ ไร ? บนั ไดทอง บนั ไดเงิน บนั ไดแกว้ ๓) พระอุณาโลม คืออะไร ? ๒) เกิดข้ึนเม่ือวนั อสั สยชุ ปุณณมี เพญ็ เดอื น ๑๑ ๔) พระอุณหิส คอื อะไร ? ในปี ทีเ่ สด็จลงจากเทวโลก ๕) หนงั สือปฐมสมโพธิ ท่านแต่งมุ่งหมายอะไร ? ๓) คอื พระโลมาทีข่ าวละเอยี ดออ่ น คลา้ ยสาํ ลี อยู่ ระหว่างพระโขนง ๔) คือพระเศียรทกี่ ลมเป็นปริมณฑล ดจุ ประดบั ดว้ ยกรอบพระพกั ตร์ ๕) ม่งุ แสดงอภินิหาร ฯ ๑๘. ท่านผรู้ จนาหนงั สือพทุ ธานุพุทธประวตั ิ มีพระประสงค์ ๑๘. เพือ่ จะแสดงคาํ สัง่ สอนของพระสัมมาสมั พทุ ธเจา้ ซ่ึง อยา่ งไร จงึ รจนาข้นึ ? เป็นความจริงทกุ สมยั ๑๙. จงแสดงเขตแห่งมชั ฌมิ ประเทศ ตามบาลจี มั มกั ขนั ธกะ ๑๙. เขตแห่งมชั ฌมิ ประเทศ คือ มหาวรรค พระวินยั ภายในแต่สถานทไี่ หนเขา้ มาท้งั ๕ ทิศ ? ๑) ทศิ บรู พา ภายในแต่มหาศาลนครเขา้ มา ๒) ทศิ อาคเนย์ ภายในแตแ่ ม่น้าํ สัลลวดเี ขา้ มา ๓) ทิศทกั ษิณ ภายในแตเ่ สตกณั ณิกนิคมเขา้ มา ๔) ทศิ ปัจฉิม ภายในแต่ถนู คามเขา้ มา ๕) ทิศอุดร ภายในแตภ่ เู ขาอุสีรธชะเขา้ มา พระธรี วฒั น์ จนฺทโสภโณ : วัดไผ่เงินโชตนาราม | นักธรรมช้ันเอก 101

102 แนวคาํ ถาม แนวคาํ ตอบ ๒๐. “ กายคอื รูป ประชุมแห่งมหาภตู ท้งั ๔ มมี ารดาบดิ า เป็นแดนเกิด เจริญเพราะขา้ วสุกและขนมสดน้ี…สุข ทกุ ข์ ๒๐. ตอบคาํ ถามดงั น้ี อุเบกขาท้งั ๓ น้ีดบั ไปเป็นธรรมดา…” จากขอ้ ความน้ี ถาม ๑) เป็นพระดาํ รสั ของพระบรมศาสดา ว่า… ๒) ตรสั กบั ฑฆี นขปริพพาชก ท่ีถ้าํ สุกรขาตา ๓) เพราะฑีฆนขปริพพาชกแสดงทฏิ ฐิวา่ “พระ ๑) เป็นคาํ พดู ของใคร ๒) พูดกบั ใคร ทไ่ี หน สมณโคดม ขา้ พเจา้ มคี วามเห็นว่า ส่ิงท้งั ปวงไมค่ วรแก่ ๓) ทาํ ไมจึงพูดคาํ เหลา่ น้นั ขา้ พเจา้ ขา้ พเจา้ ไมช่ อบใจหมด” ๔) ผฟู้ ังคาํ น้ีไดอ้ ะไร ๕) การพูดคร้งั น้ีมีผลสูงสุดเพยี งไร ๔) ฑีฆนขปริพพาชกไดด้ วงตาเห็นธรรม ๒๑. พระปุณณมนั ตานีบตุ ร ต้งั อยูใ่ นคณุ ธรรม ๑๐ ๕) มผี ลสูงสุคดอื พระสารีบตุ รผนู้ ง่ั ถวายงานพดั อยู่ ประการ คืออะไร จงตอบแยกเป็นขอ้ ๆ มาให้ครบ เบ้อื งพระปฤษฎางค์ ไดบ้ รรลพุ ระอรหัตผล ฯ ๒๒. ๑) ธรรมเุ ทศ ๔ ใครแสดงแก่ใคร ? ๒๑. คุณธรรม ๑๐ ประการของพระปุณณมนั ตานีบุตร คอื ๒) ธรรมเุ ทศน้นั แต่ละขอ้ ความว่าอยา่ งไร ? ๑) มกั นอ้ ย ๒) สันโดษ ๒๓. ๑) ปัญจมหาวิโลกนะ ๕ ประการ คอื อะไร จง ๓) ชอบสงดั ๔) ไมช่ อบเกี่ยวขอ้ งดว้ ยหมู่ ตอบใหค้ รบ ๕) ปรารภความเพียร ๖) บริบรู ณด์ ว้ ยศลี ๒) อนั ตรธาน ๕ คอื อะไร จงตอบใหค้ รบ ๗) บริบูรณด์ ว้ ยสมาธิ ๘) บริบูรณ์ดว้ ยปัญญา ๙) บริบรู ณด์ ว้ ยวิมตุ ติ ๑๐) บริบูรณ์ดว้ ยความรู้ เหน็ ดว้ ยวมิ ุตติ ฯ ๒๒. ๑) พระรฏั ฐบาลแสดงแกพ่ ระเจา้ โกรพั ยะ ๒) ใจความของธรรมเุ ทศแตล่ ะขอ้ น้นั คอื ๒.๑ โลกคอื หมสู่ ตั วอ์ นั ชราเป็นผนู้ าํ นาํ เขา้ ไปใกล้ ไมย่ งั่ ยืน ๒.๒ โลกคือหม่สู ัตวไ์ มม่ ีผปู้ ้องกนั ไม่ เป็นใหญจ่ าํ เพราะตน ๒.๓ โลกคือหมสู่ ตั วไ์ มม่ อี ะไรเป็นของ ของตน จาํ ตอ้ งละสิ่งท้งั ปวงไป ๒.๔ โลกคอื หมูสตั วพ์ ร่องอยู่เป็นนิตย์ ไม่รูจ้ กั อิ่ม เป็นทาสแห่งตณั หา ๒๓. ๑) คอื การเลอื กความเหมาะสม ๕ อย่างไดแ้ ก่ ๑. กาล ๒. ทวปี ๓. ประเทศ ๔.ตระกลู ๕.พระมารดา ๒) อนั ตรธาน คอื ความเสื่อมสูญ ๕ อยา่ ง ไดแ้ ก่ ๒.๑ ปริยตฺตอิ นฺตรธานํ ความเสื่อมสูญแห่งปริยตั ิ ๒.๒ ปฏปิ ตฺตอิ นฺตรธานํ ความเส่ือมสูญแห่งการ ปฏิบตั ิ ๒.๓ ปฏิเวธอนฺตรธานํ ความเสื่อมสูญแห่งปฏิเวธ ๒.๔ ลิงฺคอนฺตรธานํ ความเสื่อมสูญแห่งเพศ สมณะ ๒.๕ ธาตอุ นฺตรธานํ ความเสื่อมสูญแห่งธาตุ พระธีรวฒั น์ จนฺทโสภโณ : วดั ไผ่เงนิ โชตนาราม | นักธรรมช้ันเอก 102

103 แนวคาํ ถาม แนวคาํ ตอบ ๒๔. ๑) ชมพูทวีปแปลว่าอะไร ไดแ้ ก่ดนิ แดนประเทศ ๒๔. ๑) ชมพูทวีป แปลว่า ทวีปแห่งไมห้ วา้ ไดแ้ ก่ อะไรในปัจจุบนั ประเทศอนิ เดีย ปากีสถาน บงั กลาเทศ เนปาล ภฐู าน สิขิม ๒) กรุงกบิลพสั ด์ุ ปัจจุบนั เป็นดินแดนอย่ใู น และบางส่วนของประเทศอาฟกานิสถาน ประเทศอะไร ๒) อยใู่ นประเทศเนปาล ๓) ในมหาวรรคแห่งพระวนิ ยั กาํ หนดเขตมชั ฌมิ ๓) กาํ หนดไวด้ งั น้ี ทศิ บูรพา ภายในแตม่ หาศาล ประเทศไวอ้ ยา่ งไร นครเขา้ มา ทศิ อาคเนย์ ภายในแต่แมน่ ้าํ สัลลวดเี ขา้ มา ทศิ ๔) ปัจจุบนั กาํ หนดเขตมชั ฌิมประเทศไวอ้ ยา่ งไร ทกั ษิณ ภายในแต่เสตกณั ณิกนิคมเขา้ ทิศประจมิ ภายในแต่ ถนู คามเขา้ มา ทิศอดุ ร ภายในแต่ภเู ขาอุสีรธชะเขา้ มา ๔) กาํ หนดดงั น้ี ทศิ บรู พา ภายในเบงกอลเขา้ มา ทศิ ทกั ษณิ ภายในแต่เดกกนั เขา้ มา ทิศประจมิ ภายใน บอมเบยเ์ ขา้ มา ทิศอดุ ร ภายในประเทศเนปาลเขา้ มา ฯ ๒๕. บุคคลตอ่ ไปน้ีเกี่ยวขอ้ งกบั พระพุทธเจา้ อยา่ งไร ? ๒๕. เกี่ยวขอ้ งกบั พระพุทธเจา้ ดงั น้ี ๑) พระเจา้ สุกโกทนะ ๑) พระเจา้ สุกโกทนะ เป็นพระกนิษฐภาดาของ ๒) พระเจา้ สุปปพุทธะ พระเจา้ สุทโธทนะ จงึ เป็นพระเจา้ อาวข์ องของพระพทุ ธเจา้ ๓) พระกาฬทุ ายี ๒) พระเจา้ สุปปพุทธะ เป็นพระเชษฐาของพระ ๔) กาฬเทวลิ ดาบส นางสิริมหามายา จงึ เป็นพระปิตุลาของพระพุทธเจา้ ๕) ตปสุ สะ และ ภลั ลกิ ะ ๓) พระกาฬทุ ายี เป็นสหชาตขิ องพระพุทธเจา้ ก่อนบวชท่านเป็นอาํ มาตยอ์ ย่ใู นกรุงกบิลพสั ด์ุ พระเจา้ สุทโธทนะ ทรงส่งไปทลู นิมนตพ์ ระพทุ ธเจา้ เสด็จกรุง กบิลพสั ดุ์ เมื่อท่านไดอ้ ุปสมบทแลว้ จึงทลู นิมนต์ พระพุทธเจา้ เสดจ็ กรุงกบิลพสั ดุ์ ๔) กาฬเทวลิ กาบส คอื อสิตดาบสนนั่ เอง เป็นคน แรกที่ไดท้ าํ นายพระลกั ษณะของพระมหาบรุ ุษ ในสมยั เป็น พระราชกมุ าร เมือ่ ประสูตใิ หม่ ๆ ไดล้ กุ ข้นึ กราบทพี่ ระบาท ท้งั สองของพระกุมารดว้ ยศีรษะของตน แลว้ ทูลทาํ นายพระ ลกั ษณะของพระโอรส คอื เจา้ ชายสิทธตั ถะ ๕) ตปสุ สะ และ ภลั ลกิ ะ คือสองพานิชทไ่ี ดเ้ ขา้ เผา้ พระพุทธเจา้ ในสมยั ทพี่ ระองคป์ ระทบั เสวยวิมุตติสุขอยู่ใต้ ตน้ ราชายตนะ ไดถ้ วายขา้ วสตั ตกุ อ้ น สัตตุผงแด่พระองค์ และเป็นผถู้ งึ รตั นะสองเป็นคนเรา ๒๖. ๑) หลานของพระอญั ญาโกณฑญั ญะทีป่ รากฏคือ ๒๖. ๑) พระปุณณมนั ตานีบุตร ๒) เตวาจกิ อุบาสก คอื ….. ๒) เศรษฐีบดิ าของยสะ คืออุบาสกผูเ้ ขา้ ถงึ รตั นะ๓ ๓) ศิษยข์ องพระอสั สชิ คอื … ๓) พระสารีบุตร ๔) ผเู้ ลิศในทางขยายธรรมย่อให้พสิ ดาร คอื … ๔) พระมหากจั จายนะ ๕) พระนางปชาบดีโคตมี เลิศในทาง… ๕) รัตตญั �ู พระธรี วัฒน์ จนฺทโสภโณ : วดั ไผ่เงนิ โชตนาราม | นักธรรมช้ันเอก 103

104 แนวคาํ ถาม แนวคาํ ตอบ ๒๗. ๑) พระสารีบตุ รนิพพานท่ไี หน ๒๗. ๑) พระสารีบุตรนิพพานทห่ี ้องเกิดบา้ นของท่าน ที่ อปุ ตสิ สคาม เมืองนาลนั ทา ๒) พระมหาโมคคลั ลานะนิพพานก่อนหรือหลงั พระสารีบุตร ๒) หลงั พระสารีบุตร ๓) มี ๓ คนคอื นางวสิ าขา นางมลั ลกิ า และธิดา ๓) ใครบา้ งที่มเี ครื่องประดบั ลดามหาประสาธน์ เศรษฐีเมืองพาราณสี ๔) “อนิจฺจา วต สงฺขารา อปุ ฺปาทวยธมฺมโิ น ๔) ทา้ วสักกเทวราชเป็นผูก้ ล่าว อุปฺปัชชิตฺวา นิรุชฺฌนฺติ เตสํ วูปสโม สุโข” ใครเป็นผูก้ ลา่ ว ๕) ในพระจุฬามณีเจดีย์ บนสวรรคช์ ้นั ดาวดึงส์ คาถาน้ ีเป็ นคนแรก ๕) ปัจจุบนั พระเข้ียวแกว้ เบ้ืองบนขวาของพระ ๒๘. ๑) เพราะวา่ การเหน็ คนแก่ คนเจ็บ และคนตาย พุทธองคป์ ระดิษฐานอยู่ทไ่ี หน เปรียบเหมือนไดเ้ ห็นทูตสวรรค์ (เทวทตู ) มาบอกใหท้ ราบ ๒๘. ๑) ทาํ ไม คนแก่ คนเจบ็ คนตาย และสมณะ จึง ความจริงแห่งชีวิตว่า คนเราทกุ คน ตอ้ งแก่ ตอ้ งเจ็บ ตอ้ งตาย จดั เป็นเทวทตู เช่นน้ีเหมือนกนั ส่วนการเห็นสมณะ กเ็ หมอื นกบั การเหน็ ๒) ความเมา ๓ ประการ ท่พี ระสิทธตั ถราชกุมาร ทูตสวรรคม์ าช้ีทางออกแห่งชีวติ ทาํ ตนให้พน้ จากความแก่ ทรงบรรเทา ไดแ้ ก่อะไร เจ็บ ตาย เพราะชีวิตของสมณะ เป็นชีวิตที่สงบ สามารถม่งุ ๓) พระสิทธตั ถราชกุมารทรงดาํ ริหาอุบายแก้ ไปสูความพน้ ทกุ ขใ์ นทสี่ ุดได้ ทกุ ข์ ๓ อยา่ งน้นั คือทกุ ขอ์ ะไรบา้ ง ๒) ความเมา ๓ ประการ คอื ความเมาในวยั ความ ๒๙. กิจทพ่ี ระพุทธเจา้ ทรงบาํ เพญ็ เป็นปกติน้นั เมาในความไม่มโี รค และความเมาในชีวิต ๑) เรียกว่าอะไร ? มกี ่ีประการ ? ๒) จงบอกกิจน้นั ๆ มาให้ครบ ๓) ทุกข์ ๓ อย่างน้นั คอื ความแก่ ความเจ็บ และ ๓) กิจขอ้ ไหนบา้ ง จดั เป็นสตั ตูปการกิจ ความตาย ๒๙. ๑) เรียกวา่ พุทธกิจ มี ๕ ประการ ๓๐. ๑) ธมั มจกั กปั ปวตั ตนสูตร แปลวา่ อะไร ๒) ทางสุดโตง่ ๒ สายทบ่ี รรพชิตไมค่ วรเสพ คือ ๒) คอื ๒.๑ เวลาเชา้ เสดจ็ บณิ ฑบาต ๒.๒ เวลาเยน็ แสดงธรรม อะไรบา้ ง ๒.๓ เวลาคา่ํ ประทานโอวาทแก่ภกิ ษุ ๓) จดุ เด่นของปฐมเทศนา คอื อะไร ๒.๔ เวลาเทย่ี งคืน แกป้ ัญหาเทวดา ๔) ทกุ ขร์ วมยอดในอริยสจั คอื อะไร ๒.๕ เวลาใกลร้ ุ่ง ทรงตรวจดสู ัตวโ์ ลกผู้ ๕) เพลิงกิเลส ๓ กอง ในอาทติ ตปริยายสูตร คือ ควรจะบรรลุธรรม ฯ ๓) ยกเวน้ ขอ้ ท่ี ๑ นอกน้นั จดั เขา้ ในสัตตปู การกิจ ท้งั สิ้น ๓๐. ๑) สูตรว่าดว้ ยการหมนุ ลอ้ พระธรรม (ประกาศ ธรรม) ๒) กามสุขลั ลิกานุโยค และอตั ตกิลมถานุโยค ๓) มชั ฌมิ าปฏปิ ทา (ทางสายกลาง หรือมรรคมีองค์ ๘) ๔) อปุ าทานขนั ธ์ พระธีรวัฒน์ จนฺทโสภโณ : วดั ไผ่เงินโชตนาราม | นักธรรมช้ันเอก 104

105 อะไรบา้ ง ๕) ราคคั คิ เพลิงคือราคะ โทสคั คิ เพลงิ คอื โทสะ และโมหัคคิ เพลงิ คอื โมหะ แนวคาํ ถาม แนวคาํ ตอบ ๓๑. ๑) พระพุทธเจา้ ประกอบดว้ ยสัมปทาคณุ เท่าไร ๓๑. ๑) ประกอบดว้ ยสัมปทาคุณ ๓ ประการ ๒) สัมปทาคุณแตล่ ะขอ้ มคี วามหมายอยา่ งไร ๒) คือ ๓) การทพี่ ระองคม์ อี านุภาพมาก จดั เขา้ ใน ๒.๑ เหตุสมั ปทา ไดแ้ ก่พระมหากรุณาสมาโยค สมั ปทาคณุ ขอ้ ไหน และพระอตุ สาหะในการบาํ เพญ็ บารมีเพอ่ื สมั มาสมั โพธิญาณ ๓๒. จงอธิบายความหมายของคาํ ตอ่ ไปน้ี พอไดค้ วาม ๒.๒ ผลสัมปทา คอื ความสาํ เร็จแห่งรูปกาย ๑) พรหมจรรย์ ๒) ธรรมเุ ทศ ๓) อริยธรรม ๔) สงั เวชนียสถาน อานุภาพปหานะ การละกิเลสและญาณท่ีหยง่ั รูป้ ระจกั ชดั ๕) ปลงอายุสงั ขาร ๒.๓ สตั ตปู การสัมปทา คอื ทรงบาํ เพญ็ อปุ การะ ๓๓. ๑) ฉพั พณั ณรังสี คืออะไร บอกมาให้ครบ แก่สัตวด์ ว้ ยโยคะและอาสยะอนั บริสุทธ์ิ ๓) จดั เขา้ ในสมั ปทาคณุ ขอ้ ที่ ๒ คือ ผลสัมปทา ๒) กษตั ริยท์ ่ีออกบรรพชาพร้อมกบั พระอุบาลี ท้งั หมดมีกี่พระองค์ ๓๒. ๑) พรหมจรรย์ คอื ศลี สมาธิ ปัญญา อนั เป็นตวั ของพระศาสนา ๓) พระเจา้ สุทโธทนะทรงสดบั ธรรมเทศนาคร้งั แรกจากพระพุทธเจา้ แลว้ สาํ เร็จอะไร ๒) ธรรมเุ ทศ คอื หวั ขอ้ ธรรมท่ียกข้นึ แสดง ๓) อริยะธรรม คอื ธรรมที่ประเสริฐ ๔ ประการ ๔) ยมกปาฏหิ าริย์ คอื อะไร คือ ศลี สมาธิ ปัญญา และวิมตุ ติ ๔) สังเวชนียสถาน คือสถานที่ให้เกิดความสังเวช สลดใจและเล่ือมใส มี ๔ แห่ง คอื ๔.๑ สถานท่ีท่พี ระพุทธเจา้ ประสูติ ๔.๒ สถานท่ีพระพุทธเจา้ ตรสั รู้ ๔.๓ สถานที่ท่พี ระพุทธเจา้ แสดงปฐม เทศนา และ ๔.๔ สถานท่ีท่ีพระพุทธเจา้ เสด็จดบั ขนั ธ ปรินิพพาน ๕) ปลงอายสุ งั ขาร คอื การทพ่ี ระพุทธเจา้ ทรง ตดั สินพระทยั ว่า นบั แตน่ ้ีไป ๓ เดอื น พระองคจ์ กั ปรินิพพาน ๓๓. ๑) รังสี ๖ คือ สีนิลเขียวสด๑, สีเหลอื ง๑, สีแดง๑, สีขาว๑, สีหงสบาท๑, (คอื สีปนเหลืองหรือสีแสด) และสี ประภสั สร ๒) ๖ องค์ ๓) สาํ เร็จเป็นพระโสดาบนั ๔) ยมกปาฏหิ าริย์ คอื ปาฏิหาริยท์ ่ีแสดงเป็นคูๆ่ เชน่ ทรงบนั ดาลให้ท่อน้าํ และท่อไฟออกจากส่วนพระกาย เป็ นคู่ๆ พระธรี วฒั น์ จนฺทโสภโณ : วัดไผ่เงินโชตนาราม | นักธรรมช้ันเอก 105

106 แนวคาํ ถาม แนวคาํ ตอบ ๓๔. ๑) เหตแุ ห่งการทาํ สงั คายนา คืออะไร ๓๔. ๑) เหตแุ ห่งการทาํ สังคายนา มี ๓ คือ ๒) ผลแห่งการทาํ สังคายนาคอื อะไร ๑.๑ เพราะอลชั ชีกล่าวจว้ งจาบหรือ ๓) ลิงคอนั ตรธาน คอื อะไร ละเมิดพระธรรมวินยั ๓๕. ๑) ชมพูทวีป กบั ทวปี เอเซีย ต่างกนั อยา่ งไร ๑.๒ เพราะความเขา้ ใจผดิ เห็นผิด และ ๒) ชาติภมู ิของพระบรมศาสดาอยู่ในชมพทู วีป ปฏิบตั ิพระธรรมวินยั ผดิ หรือทวีปเอเซีย จงช้ีแจง ๑.๓ เพราะประสงคใ์ ห้พระธรรมวินยั ๓๖. บคุ คลและสถานทต่ี อ่ ไปน้ี เก่ียวขอ้ งกบั พระพทุ ธเจา้ มนั่ คงถาวร อยา่ งไร ๒) ผลแห่งการทาํ สงั คายนา มี ๓ คอื ๒.๑ กาํ จดั และป้องกนั อลชั ชีได้ ๑) พระเจา้ อมโิ ตทนะ ๒.๒ ทาํ ความเหน็ ให้ถูกปฏบิ ตั ถิ กู ได้ ๒) ตน้ พระศรีมหาโพธ์ิ ๒.๓ พระศาสนามน่ั คงและถาวรยง่ิ ข้นึ ๓๗. ๑) หลงั จากตรสั รู้แลว้ ประทบั อยู่ใตร้ ่มมหาโพธ์ิ ๓) ลงิ คอนั ตรธาน คือ เพศอนั ตรธาน ทรงพิจารณาธรรมอะไร มีความหมายอย่างไร ๒) เมือ่ พจิ ารณาในยามสุดทา้ ยแห่งราตรี ๓๕. ๑) ต่างกนั อยา่ งน้ี ชมพูทวีปมีบริเวณแคบ หมาย พระองคท์ รงเปลง่ อทุ านวา่ อย่างไร เอาประเทศทเ่ี รียกในปัจจุบนั คอื อนิ เดยี ปากีสถาน เนปาล ภฏู าน สิกขมิ และบางส่วนของประเทศอาฟกานิสถาน (แควน้ กมั โพชะ อนั เป็นแควน้ หน่ึงในมหาชนบท ๑๖ ซ่ึง ปรากฏในบาลี ปัจจบุ นั ส่วนหน่ึงของแควน้ น้ีอยใู่ น ประเทศอาฟกานิสถาน) ส่วนทวีปเอเซีย มีบริเวณกวา้ ง ใหญ่ ครอบไปถึงประเทศอื่น นอกชมพูทวีปดว้ ย เช่น ไทย อินโดนีเซีย มาเลเซีย พมา่ จนี ญป่ี ่ ุน ศรีลงั กา เป็นตน้ แม้ อนิ เดยี เนปาล ปากีสถาน เป็นตน้ ซ่ึงอยู่ในเขตชมพูทวีป ก็ อยูใ่ นทวีปเอเซียเช่นกนั ๒) ชาติภูมิของพระบรมศาสดาน้นั ตามแผนท่ี อินเดยี ก็อยูใ่ นชมพทู วีปและอยูใ่ นเอเซียดว้ ย เพราะชมพู ทวีปกค็ อื สว่นหน่ึงของทวปี เอเซีย ๓๖. ๑) พระเจา้ อมโิ ตทนะ เป็นพระกนิฏฐภาดาของ พระเจา้ สุทโธทนะ จงึ เป็นพระเจา้ อาวข์ องพระพุทธเจา้ ๒) ตน้ พระศรีมหาโพธ์ิ เป็นสหชาตขิ อง พระพุทธเจา้ และเป็นไมท้ พ่ี ระพุทธเจา้ ประทบั นงั่ ตรัสรู้ ๓๗. ๑) ทรงพิจารณาปฏจิ จสมุปบาท มีความหมายวา่ ธรรมท้งั หลายอาศยั กนั และกนั เกิดข้นึ ๒) ทรงเปลง่ อทุ านในยามสุดทา้ ยว่า “เมอ่ื ใด ธรรมท้งั หลายปรากฏแก่พราหมณผ์ ูม้ เี พยี รเพ่งอยู่ เมอื่ น้นั พราหมณย์ อ่ มกาํ จดั มารและเสนามารเสียได้ ดจุ พระอาทิตย์ กาํ จดั มดื ทาํ ให้อาการสว่าง” ฉะน้นั พระธีรวัฒน์ จนฺทโสภโณ : วัดไผ่เงนิ โชตนาราม | นกั ธรรมช้ันเอก 106

107 แนวคาํ ถาม แนวคาํ ตอบ ๓๘. ๑) ศษิ ยเ์ อกพระอสั สชิ คอื ใคร เลิศในทางไหน ๓๘. ๑) คอื พระสารีบุตร ท่านเลิศในทางมปี ัญญา ๒) พระมหากสั สปะ ท่านมีผลงานสําคญั ๒) ทา่ นมผี ลงาน คือการกระทาํ สงั คายนาคร้งั ท่ี ๑ อะไรบา้ ง ท่ีทาํ ใหพ้ ระศาสนาดาํ รงอยู่ไดจ้ นถงึ ปัจจุบนั ๓๙. ๑) ในมรรคมอี งค์ ๘ ทาํ ไมพระองคจ์ งึ ทรงแสดง ที่ทา่ นเป็ นประธานในการกระทาํ คร้งั น้นั ปัญญาไวก้ ่อนศลี และสมาธิ ๓๙. ๑) เพราะเหตทุ วี่ า่ หากไมท่ รงปัญญาก่อนแลว้ แม้ ศีลและสมาธิก็อาจปฏบิ ตั ิผิดทางได้ เพราะขาดปัญญา ๒) จงแสดงญาณ ๓ ในอริยสจั ๔ มาดู ฉะน้นั พระบรมศาสดาจงึ ทรงแสดงปัญญากอ่ นศลี และ สมาธิ ๔๐. ๑) พระอญั ญาโกณฑญั ญะ ไดด้ วงตาเห็นธรรม คอื เหน็ วา่ อยา่ งไร ๒) ญาณ ๓ คอื สัจจญาณ๑ กิจจญาณ๑ และกต ญาณ๑ ๒) ศษิ ยเ์ อกของพระอญั ญาโกณฑญั ญะคือใคร เลิศในทางไหน ๔๐. ๑) คือเห็นวา่ “ส่ิงใดสิ่งหน่ึงมีการเกิดเป็นธรรมดา ๔๑. ๑) พราหมณ์พาวรี ผูกปัญหาใหศ้ ิษยก์ ่ีคน ไปทูล ส่ิงน้นั ท้งั หมดมคี วามดบั ไปเป็นธรรมดา” ถามพระบรมศาสดาเพอ่ื ประสงคอ์ ะไร ๒) ศิษยเ์ อกคอื พระปุณณมนั ตานีบตุ ร ท่านเลศิ ๒) ใครทลู ถามว่า “จะพจิ ารณาเห็นอยา่ งไร ในทางธรรมกถึก มจั จุราชจงึ มองไม่เหน็ ” ๔๑. ๑) ผูกปัญหาใหศ้ ษิ ย์ ๑๖ คน เพ่อื ประสงคจ์ ะ ๔๒. ๑) พระพุทธองคร์ บั สง่ั ให้ใครเป็นผไู้ ปแจง้ ขา่ ว สอบสวนให้แน่นอนวา่ พระโอรสของศากยราชเสดจ็ ออก ปรินิพพานแก่พวกมลั ลกษตั ริย์ บรรพชา ปฏิญญาณพระองคเ์ ป็นพระอรหนั ตสมั มาสมั พทุ ธ เจา้ ตามข่าวลือน้นั เป็นจริงหรือไม่ ๒) พระกายของพระพุทธเจา้ ท่ีปรากฏอย่ใู น ปัจจุบนั คอื อะไร ๒) โมฆราชมานพ เป็นผูก้ ราบทูลถามปัญหา ๔๓. ๑) เพราะเหตใุ ดพระพุทธศาสนาจงึ เสื่อมจาก เชน่ น้นั ทรงพยากรณ์วา่ “ดกู อ่ นโมฆราช ทา่ นจงเป็นผูม้ ี ประเทศอินเดีย สติ ถอนอตั ตานุทฏิ ฐิออกเสียแลว้ พจิ ารณาเห็นโลกโดย ความเป็นของสูญทุกเมอื่ เถดิ ทา่ นจะขา้ มมจั จุราชเสียได้ ๒) ใครเป็นหวั หนา้ พระธรรมทตู ท่นี าํ ดว้ ยขอ้ ปฏบิ ตั อิ ยา่ งน้ี มจั จุราชจะไม่เหน็ ท่านผพู้ ิจารณาเหน็ พระพุทธศาสนาเขา้ มายงั สุวรรณภมู ิ โลกดว้ ยอาการอยา่ งน้ี” ๔๒. ๑) พระอานนทเถระ ๒) คือพระธรรมกาย ไดแ้ กพ่ ระธรรมที่ พระพุทธเจา้ ทรงแสดงไวท้ ้งั หมด และพระรูปกาย ไดแ้ ก่ พระบรมสารีริกธาตขุ องพระองคท์ ป่ี รากฏในทต่ี ่างๆ ๔๓. ๑) เพราะภยั ๒ ประการเกิดข้นึ แก่ พระพทุ ธศาสนา คือ ๑.๑ ภยั ภายใน เกิดจากชาวพทุ ธเอง เชน่ ความ ประพฤตยิ ่อหย่อนต่อพระธรรมวนิ ยั ของพระภิกษสุ ามเณร และความแตกสามคั คีของคณะสงฆใ์ นสมยั น้นั ๑.๒ ภยั ภายนอก เกิดจากการทาํ ลายลา้ งของคน นอกศาสนา และเกิดจากการกลนื ของศาสนาพราหมณ์หรือ พระธีรวัฒน์ จนฺทโสภโณ : วดั ไผ่เงนิ โชตนาราม | นักธรรมช้ันเอก 107

108 ฮินดู เป็นตน้ ๒) พระโสณะและพระอตุ ตระ เป็นหัวหนา้ แนวคาํ ถาม แนวคาํ ตอบ ๔๔. ๑) หนงั สือพทุ ธานุพทุ ธประวตั ิมกี ี่ปริเฉท ๔๔. ๑) มี ๑๓ ปริเฉท จาํ นวนพระสาวก ๘๐ รูป อยู่ จาํ นวนพระสาวก ๘๐ รูป อย่ใู นปริเฉททเ่ี ทาไร ในปริเฉทท่ี ๑๒ ๒) ปัญจหมาวิโลกนะ คืออะไร ๒) ปัญจมหาวโิ ลกนะ คือการท่พี จิ ารณาเลอื ก ความเหมาะสม ๕ อย่าง ของพระโพธิสตั ว์ กอ่ นลงมาอุบตั ิ ในมนุษยโลก เพือ่ ตรสั รูเ้ ป็นพระสัมมาสมั พุทธเจา้ คอื กาล ๑ ทวีป๑ ประเทศ๑ ตระกูล๑ มารดา๑ ๔๕. ๑) เทศนากณั ฑไ์ หนที่ทรงแสดงบอ่ ยยง่ิ กว่า ๔๕. ๑) เทศนาที่ทรงแสดงบอ่ ยในปฐมโพธิกาล คือ อนุ เทศนากณั ฑอ์ ื่นๆ ในปฐมโพธิกาล ปพุ พกิ ถาและ จตุราริยสัจจ์ ๒) เทศนากณั ฑน์ ้นั มีเน้ือความวา่ อย่างไร ๒) เน้ือความย่อคอื อนุปพุ พกิ ถา ๕ คือ ๒.๑ ทานกถา กลา่ วถงึ ทาน ๔๖. ๑) ทา่ นโกณฑญั ญะ ไดด้ วงตาเหน็ ธรรมน้นั ๒.๒ สีลกถา กลา่ วถึงการรกั ษาศีล เห็นธรรมอะไร ความว่าอย่างไร ๒.๓ สคั คกถา กลา่ วถงึ สวรรค์ ๒.๔ กามาทนี วกถา กลา่ วถึงโทษของ ๒) ญาณ ๓ ในอริยสัจ ๔ คอื อะไร บอกมาให้ ครบ กาม ๔๗. ๑) ภทั ทวคั คยี ก์ ุมาร คอื ใคร มคี วามเก่ียวขอ้ งกบั ๒.๕ เนกขมั มานิสงั สกถา กล่าวถึง พระพทุ ธเจา้ อยา่ งไร อานิสงส์ของการบวช ๒) ภทั ทวคั คยี ก์ มุ ารฟังธรรมจากพระพุทธเจา้ ใน และจตรุ าริยสัจจ์ คร้งั แรกแลว้ ไดบ้ รรลุมรรคผลช้นั ไหน ๑. ทุกข์ สภาวะทีท่ นไดย้ าก ๒. สมทุ ยั สาเหตุทาํ ใหท้ กุ ขเ์ กิด ๓. นิโรธ ความดบั ทกุ ข์ ๔. มรรค ขอ้ ปฏบิ ตั ิให้ถงึ ความดบั ทุกข์ ๔๖. ๑) เห็นความเกิดและความดบั ของสังขารท้งั ปวง ความว่า “ส่ิงใดสิ่งหน่ึง มคี วามเกิดเป็นธรรมดา สิ่งน้นั ท้งั หมดลว้ นมีความดบั เป็ นธรรมดา” ๒) คอื สัจจญาณ กจิ จญาณ และกตญาณ ๔๗. ๑) ภทั ทวคั คียก์ มุ าร คอื โอรสของพระเจา้ มหา โกศล เมอื งสาวตั ถี จาํ นวน ๓๐ องค์ ไดพ้ าชายาของตนๆ ไปประพาสป่ า ไดเ้ ทีย่ วตามหาหญงิ แพศยาคนหน่ึงซ่ึงลกั เคร่ืองประดบั หายไปไดพ้ บพระพุทธเจา้ ในไร่ฝ้าย และได้ ฟังพระธรรมเทศนาของพระพุทธองคจ์ นไดบ้ รรลุมรรคผล แลว้ ไดร้ ับอปุ สมบทดว้ ยเอหิภิกขอุ ปุ สัมปทาท่ีเมืองปาวา พระธรี วฒั น์ จนฺทโสภโณ : วดั ไผ่เงนิ โชตนาราม | นักธรรมช้ันเอก 108

109 แควน้ โกศล ๒) องคเ์ ลก็ สุด (นอ้ งคนสุดทอ้ ง) ไดบ้ รรลโุ สดา ปัตติผล นอกน้นั ไดบ้ รรลสุ กทาคามผิ ล แนวคาํ ถาม แนวคาํ ตอบ ๔๘. ๑) พระมหากสั สปะ และพระรัฏฐปาละ เลิศ ๔๘. ๑) พระมหากสั สปะเลศิ ใน ๓ ทาง คือ ในทางใด ๑.๑ อยู่ป่ าเป็นวตั ร ๒) ธมั มุเทศ ๔ ขอ้ ทพ่ี ระรัฐปาละแสดงแก่พระ ๑.๒ ใชผ้ า้ ๓ ผืนเป็นวตั ร เจา้ โกรพั ยะ มอี ะไรบา้ ง บอกมาใหค้ รบ ๑.๓ เท่ยี วบณิ ฑบาตเป็นวตั ร ส่วนพระรัฐปาละ เลศิ ในทางบวชดว้ ยศรัทธา ๔๙. ๑) เหตคุ อื ความเสื่อมท่ที าํ ให้คนออกบวชน้นั ๒) ธมั มุเทศ ๔ ขอ้ คอื พระเจา้ โกรพั ยะตรัสถามพระรฐั ปาละว่าอย่างไร ๒.๑ โลกคอื หมสู่ ัตว์ อนั ชรานาํ เขา้ ไป ใกล้ ไมย่ งั่ ยนื ๒) พระโสณโกฬวิ สิ ะ ฟังธรรมจากพระพทุ ธ ๒.๒ โลกคอื หมู่สัตว์ ไมม่ ีผปู้ ้องกนั ไม่ องคท์ ี่ไหน จงึ ทูลขอบวช บวชแลว้ ไดร้ บั ยกยอ่ งจากพระ เป็ นใหญ่เฉพาะตน พทุ ธองคอ์ ย่างไร ๒.๓ โลกคือหมสู่ ตั ว์ ไม่มีอะไรเป็น ๕๐. ๑) พระอคั รสาวกท้งั สองนิพพานท่ีไหน ใคร ของๆตน จาํ ตอ้ งละสิ่งท้งั ปวงไป นิพพานกอ่ น ๒.๔ โลกคือหม่สู ัตว์ พร่องอยูเ่ ป็นนิตย์ ไมร่ ู้จกั อิ่ม เป็นทาสแห่งตณั หา ๒) ผลงานคร้งั สุดทา้ ยของพระสารีบตุ รคืออะไร ๔๙. ๑) คือ ความแก,่ ความเจบ็ , ความส้ินไปแห่งโภค ทรัพย,์ ความส้ินญาตมิ ิตร ๒) ฟังธรรมท่เี ขาคชิ ฌกฏู แขวงกรุงราชคฤห์ ไดร้ ับยกยอ่ งวา่ เป็นเลิศกวา่ ภกิ ษทุ ้งั หลายผปู้ รารภความเพยี ร ๕๐. ๑) พระสารีบุตรนิพพานทบี่ า้ นเกิดของท่านเอง เมอื งนาลนั ทา ส่วนพระโมคคลั ลานะนิพพานทีต่ าํ บลกาฬ ศิลา แควน้ มคธ โดยพระสารีบตุ รนิพพานก่อนพระโมคคลั ลานะ ๑๕ วนั คอื พระสารีบตุ รนิพพานวนั เพญ็ เดอื น ๑๒ ส่วนพระโมคลั ลานะนิพพานวนั ดบั เดือน ๑๒ คอื เดอื น กตั ติกมาส ปีเดียวกนั ๒) ผลงานคร้งั สุดทา้ ยของพระสารีบตุ ร คอื ทา่ น ไดแ้ สดงธรรมโปรดมารดาของทา่ นซ่ึงเป็นมิจฉาทฏิ ฐิใหไ้ ด้ สําเร็จเป็นสมั มาทิฏฐิพระโสดาบนั พระธรี วัฒน์ จนฺทโสภโณ : วัดไผ่เงนิ โชตนาราม | นักธรรมช้ันเอก 109

110 แนวคาํ ถาม แนวคาํ ตอบ ๕๑. ๑) ในพุทธุปบาทกาลน้ี ผทู้ ถ่ี ูกแผน่ ดินสูบ คอื ๕๑. ๑) ผูท้ ่ีถูกแผ่นดนิ สูบ ๕ คน คือ ใครบา้ ง ๑.๑ สุปปพุทธศากยราชา ๑.๒ พระเทวทตั ต์ ๒) เพราะประพฤติเสียหายอยา่ งไร จงึ ถูก ๑.๓ นางจิญจมาณวิกา แผ่นดนิ สูบ จงช้ีแจง ๑.๔ นนั ทมานพ ๑.๕ นนั ทยกั ษ์ ๒) เพราะประพฤตเิ สียหายดงั น้ี ๒.๑ สุปปพุทธศากยราชา เพราะโทษ ปิ ดทางโคจรของพระพุทธเจา้ ๒.๒ พระเทวทตั ต์ เพราะโทษทาํ สงั ฆ เภท ๒.๓ นางจญิ จมาณวกิ า เพราะโทษใส่ ไคลพ้ ระตถาคตเจา้ ดว้ ยอสทั ธรรม ๒.๔ นนั ทมานพ เพราะโทษประทุษร้าย นางภิกษุณีอบุ ลวรรณาเถรี ดว้ ยอสทั ธรรม ๒.๕ นนั ทยกั ษ์ เพราะโทษประหารพระ สารีบตุ ร อคั รสาวก พระธีรวฒั น์ จนฺทโสภโณ : วัดไผ่เงินโชตนาราม | นกั ธรรมช้ันเอก 110

111 ตัวอย่างข้อสอบวิชาพทุ ธานุพุทธประวตั ิ ธรรมศึกษาช้ันเอก สอบในสนามหลวง พ.ศ. ๒๕๔๐ คาํ ช้ีแจง ๑) ปัญหาน้ีออกตามตาํ ราทปี่ รากฏในหลกั สูตรนกั ธรรมและธรรมศกึ ษาช้นั เอกที่ใชก้ นั อย่ใู นยคุ น้ี คอื พทุ ธานุพุทธ ประวตั ิ ปฐมสมโพธิ และสังคตี ิกถา ๒) ขอ้ สอบมี ๕๐ ขอ้ นกั เรียนตอ้ งตอบทุกขอ้ ใหเ้ วลาสอบ ๕๐ นาที ๑. ตามแนวพุทธานุพุทธประวตั แิ สดงว่า ชมพูทวีปคร้งั ๑๕. ใครทูลถามพระพุทธเจา้ ว่า “ใครเลา่ ขา้ มพน้ ชาตแิ ละชราได้ พุทธกาล มีระบบการปกครองแบบใด ? แลว้ ” ?  สหพนั ธรฐั  นนั ทมาณพ ๒. บุคคลใดทาํ นายลกั ษณะพระมหาบุรุษเป็นคนแรก ? ๑๖. “โลกมีอะไรผูกพนั ไว”้ เป็นปัญหาของใคร ?  กาฬเทวลิ ดาบส  อุทยั มาณพ ๓. ขอ้ ใดจดั ลาํ ดบั พนี่ อ้ งถูกตอ้ งแลว้ ? ๑๗. พระพทุ ธเจา้ ตรสั ตอบปัญหาขอ้ ๑๖ น้นั อยา่ งไร ?  สุกโกทนะ - อมิโตทนะ - โธโตทนะ - ฆนิโตทนะ  โลกมีความเพลดิ เพลินผกู พนั ไว้ ๔. ขอ้ ใดเป็นมติของพระอรรถกถาจารย์ ? ๑๘. ใครเป็นพระอปุ ัชฌายข์ องพระราธะ ?  พระมหาบรุ ุษเสด็จหนีออกผนวชเวลากลางคนื  พระสารีบตุ ร ๕. อุทานในยามตน้ วา่ “เมื่อใดธรรมท้งั หลาย….” คาํ ท่ีขดี เส้น ๑๙. พระราธะเป็นที่มาของความขอ้ ใด ? ใต้ คอื ขอ้ ใด ?  การบวชดว้ ยญตั ติจตุตถกรรม  อริยสจั ๔ ๒๐. สามเณรรูปแรกในพระพุทธศาสนา คอื ใคร ? ๖. คร้นั ตรสั รู้แลว้ พระพทุ ธองคเ์ สดจ็ จากตน้ พระศรีมหาโพธิ  สามเณรราหุล ไปยงั ที่ใด ? ๒๑. พระอนุรุทธะออกบวชขณะพระพุทธเจา้ ประทบั อยู่ทไ่ี หน ?  ตน้ ไทร  อนุปิ ยนิคม ๗. พระพุทธเจา้ เสด็จจากอชปาลนิโครธไปยงั ท่ีใด ? ๒๒. พระโสณโกฬวิ สิ ะไดร้ บั ยกยอ่ งวา่ เป็นเลิศทางไหน ?  สระมจุ ลนิ ท์  ปรารภความเพียร ๘. พระอญั ญาโกณฑญั ญะไดบ้ รรลุพระอรหตั ผลดว้ ยธรรมขอ้ ๒๓. บคุ คลตอ่ ไปน้ีใครบวชดว้ ยศรัทธาทส่ี ุด ? ใด ?  พระรัฐบาลเถระ  อนตั ตลกั ขณสูตร ๒๔. ธรรมเุ ทศ ๔ ใครแสดงแกใ่ คร ? ๙. ทาํ ไมพระพุทธเจา้ จงึ มุง่ ประดิษฐานพระศาสนาในแควน้  พระรฐั บาล - พระเจา้ โกรัพยะ มคธก่อน ? ๒๕. ธรรมุเทศ ๔ ขอ้ น้นั ขอ้ ๑ คอื ความในขอ้ ท่วี า่ หมสู่ ตั ว…์ .?  เพราะทรงเห็นความบริบรู ณแ์ ห่งอปุ นิสยั ของมคธ  ถกู ชรานาํ ไป ๑๐. “ส่ิงท้งั ปวงไม่ควรแก่ขา้ พเจา้ ขา้ พเจา้ ไม่ชอบใจหมด” คาํ ๒๖. พระพุทธเจา้ ทรงจาํ พรรษาสุดทา้ ย ณ ทใ่ี ด ? น้ีใครพดู กบั ใคร ?  บา้ นเวฬวุ คาม ไพศาลี  อคั คเิ วสสนะพดู กบั พระพทุ ธเจา้ ๒๗. ธรรมขอ้ ใดทพ่ี ระพุทธเจา้ แสดงวา่ เมอ่ื บุคคลเจริญเต็มท่ี ๑๑. “กปั ปิ ละ” เป็นชื่อของใคร ? แลว้ จะต่ออายไุ ด้ ?  บดิ าของพระมหากสั สปะ  อิทธิบาท ๔ ๑๒. พระพทุ ธเจา้ ตรสั วา่ “เดย๋ี วน้ีทา่ นแก่แลว้ ” แกใ่ คร ทไี่ หน ? ๒๘. ขอ้ ธรรมท่ีพระพทุ ธเจา้ แสดงท่ีอุปัฏฐานศาลาเมืองไพศาลี  แกพ่ ระมหากสั สปะที่เวฬุวนั คร้งั สุดทา้ ยน้นั คือขอ้ ใด ? ๑๓. บคุ คลตอ่ ไปน้ีใครต้งั อาศรมอย่ทู ฝี่ ่ังแมน่ ้าํ โคธาวารี ?  อภญิ ญาเทสิตธรรม พระธีรวัฒน์ จนฺทโสภโณ : วัดไผ่เงนิ โชตนาราม | นักธรรมช้ันเอก 111

112  พราหมณพ์ าวรี ๒๙. ธรรมตามท่เี ฉลยในขอ้ ๒๘ น้นั แปลว่าอะไร ? ๑๔. พระพทุ ธเจา้ ตรสั วา่ “สติเป็นเคร่ืองก้นั กระแสได”้ แก่ใคร ธรรมที่พระตถาคตแสดงดว้ ยปัญญาอนั ยง่ิ ? ๔๑. พระสัพพกามีเถระมหี นา้ ทอ่ี ะไรในทุตยิ สังคายนา ?  เป็นผูต้ อบปัญหา  อชิตมาณพ ๔๒. ขอ้ ใดไม่ใช่คณุ สมบตั ิของพระเถระผูก้ ารกสงฆใ์ นทุตยิ สงั คายนา ? ๓๐. ณ บา้ นภณั ฑุคามพระศาสดาทรงแสดงอริยธรรม ๆ น้นั  เป็นเอหิภกิ ขอุ ุปสมั ปทา คอื ขอ้ ใด ? ๔๓. จงบอกสาเหตุแรกของตติยสงั คายนา ?  ศีล - สมาธิ - ปัญญา - วมิ ุตติ  เดียรถยี ป์ ลอมตวั เขา้ มาบวชในพระศาสนา ๓๑. คาํ วา่ “สงั คายนา” หมายถึงขอ้ ใด ? ๔๔. ตตยิ สงั คายนาทาํ กนั ที่ไหน ?  การรวบรวมพระธรรมวินยั ไวเ้ ป็นหมวดหมู่  อโศการาม - ปาตลบี ุตร  สงฆป์ ระชุมกนั จดั และชาํ ระพระธรรมวินยั ๔๕. ตตยิ สงั คายนาทาํ เมือ่ ไรและใชเ้ วลาก่ีเดอื น ?  การรอ้ ยกรองศาสนธรรมไวโ้ ดยสงฆผ์ ทู้ รงความรู้  พุทธศตวรรษที่ ๓ - ๙ เดอื น ๓๒. ปฐมสังคายนาทาํ ข้ึนทไี่ หน ? ๔๖. จากตตยิ สงั คายนาแสดงวา่ …  สัตตบณั คหู า เมอื งราชคฤห์  ไดแ้ บง่ ธรรมวนิ ยั ออกเป็น ๓ ปิ ฎก ๓๓. ใครเป็นอคั รศาสนูปถมั ภกปฐมสังคายนา ?  แบง่ ธรรมวนิ ยั เป็น ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขนั ธ์  พระเจา้ อชาตศตั รู  แบง่ วินยั ปิ ฎกเป็น ๒๑,๐๐๐ พระธรรมขนั ธ์ ๓๔. ในปฐมสงั คายนาใครเป็นหัวหนา้ ฝ่ ายสงฆ์ ? ๔๗. ในการสงั คายนาพระธรรมวินยั คร้งั ท่ี ๓ ทา่ นยกอะไรข้ึนทาํ  พระมหากสั สปเถระ กอ่ น ? ๓๕. ปฐมสงั คายนา ใชก้ ารกสงฆเ์ ป็นองคป์ ระชุมจาํ นวนเท่าไร  พระวนิ ยั ๔๘.ในตตยิ สังคายนา ท่านจดั การอยา่ งไรกบั ภกิ ษปุ ลอม ? ?  ใหล้ าสิกขาหรือจบั สึก ๔๙. ในจตตุ ถสงั คายนาใครเป็นประธานฝ่ ายสงฆ์ ?  ๕๐๐ องค์  พระมหินทเถระ ๓๖. ในการปฐมสงั คายนา ใชเ้ วลานานก่ีเดอื น ? ๕๐. จตตุ ถสงั คายนา มขี ้ึนท่ีไหน ?  ๗ เดอื น  ลงั กา ๓๗. ทุตยิ สังคายนา จดั ข้นึ เม่อื ไร ?  ๑๐๐ ปี หลงั พทุ ธปรินิพพาน ๓๘. ทตุ ิยสงั คายนา มอี ะไรเป็นมูลเหตุ ?  ภกิ ษุชาววชั ชีประพฤตินอกรีต ๓๙. ทุตยิ สังคายนา จดั ข้นึ ท่ไี หน ?  เมืองเวสาลี - วาลุการาม ๔๐. ใครเป็นศาสนูปถมั ภกในทตุ ยิ สงั คายนา ?  พระเจา้ กาลาโศกราช พระธีรวัฒน์ จนฺทโสภโณ : วัดไผ่เงินโชตนาราม | นกั ธรรมช้ันเอก 112

113 วนิ ัยมุขเล่ม ๓ นักธรรมเอก กณั ฑ์ท่ี ๒๓ สังฆกรรม มลู เหตุท่ีให้เกดิ สังฆกรรมมี ๒ คือ :- ๑. ภกิ ษบุ ริษทั มากข้นึ . ๒. มพี ระพทุ ธประสงคจ์ ะใหส้ งฆเ์ ป็นใหญใ่ นการบริหารคณะ. คําสวดในสังฆกรรมทต่ี ้องใช้ มี ๒ คือ :- ๑. ญตั ติ คาํ เผดียงสงฆ.์ ๒. อนุสาวนา คาํ ประกาศความปรึกษาและตกลงของสงฆ.์ สังฆกรรมแยกออกเป็ น ๔ คือ :- ๑. อปโลกนกมั ม์ กรรมทที่ าํ เพยี งบอกกนั ในชุมนุมสงฆ์ ไมม่ ญี ตั ติ และอนุสาวนา. ๒. ญตั ติกมั ม์ กรรมที่ทาํ เพียงต้งั ญตั ติ ไมม่ อี นุสาวนา. ๓. ญตั ตทิ ุตยิ กมั ม์ กรรมที่ทาํ ดว้ ยต้งั ญตั ตแิ ละสวดอนุสาวนาหนเดียว. ๔. ญตั ติจตตุ ถกมั ม์ กรรมทที่ าํ ดว้ ยต้งั ญตั ติและสวดอนุสาวนา ๓ หน. (๑) อปโลกนกมั ม์ มี ๕ คือ :- ๑. นิสสารณา คอื นาสนะสามเณรผูก้ ลา่ วต่พู ระพทุ ธเจา้ . ๒. โอสารณา คอื รับสามเณรรูปน้นั ผูป้ ระพฤติเรียบร้อยแลว้ เขา้ หมู่. ๓. ภณั ฑูกมั ม์ บอกขออนุญาตปลงผมคนจะบวชทีภ่ ิกษจุ ะทาํ เอง. ๔. พรหมทณั ฑ์ คอื ประกาศไม่ว่ากลา่ วภกิ ษุหัวด้ือว่ายาก. ๕. กมั มลกั ขณะ เช่นอปโลกนแ์ จกอาหารในโรงฉนั เป็นตน้ . (๒) ญตั ติกัมม์ มี ๙ คือ :- ๑. โอสารณา คอื เรียกอปุ สัมปทาเปกขะท่ีถามอนั ตรายิกธรรมแลว้ เขา้ ไปในสงฆ.์ ๒. นิสสารณา คอื ประกาศถอนพระธรรมกถึก ฯ ล ฯ ๓. อโุ บสถ. ๔. ปวารณา. ๕. สมมตติ ่างเร่ือง เช่นสมมตติ นเป็นผถู้ ามอนั ตรายกิ ธรรมเป็นตน้ . ๖. ให้คนื จีวรและบาตรเป็นตน้ ท่เี ป็นนิสสคั คยี ์ ฯ ล ฯ ๗. รบั อาบตั ิอนั ภกิ ษุแสดงในสงฆ.์ ๘. ประกาศเลื่อนปวารณา. ๙. กมั มลกั ขณะ คือประกาศเริ่มตน้ ระงบั อธิกรณ์ดว้ ยตฯิ วตั ถารกวนิ ยั . พระธีรวฒั น์ จนฺทโสภโณ : วัดไผ่เงนิ โชตนาราม | นกั ธรรมช้ันเอก 113

114 (๓) ญตั ติทุติยกัมม์ มี ๗ คือ :- ๑. นิสสารณา คือควา่ํ บาตร. ๒. โอสารณา คอื หงายบาตร. ๓. สมมตติ า่ งเรื่อง เช่นสมมตสิ ีมาเป็นตน้ . ๔. ให้ตา่ งอยา่ ง เช่นให้ผา้ กฐินเป็นตน้ . ๕. ประกาศถอนหรือเลกิ อานิสงส์กฐินเป็นตน้ . ๖. แสดงทส่ี ร้างกุฎีใหแ้ ก่ภกิ ษ.ุ ๗. กมั มลกั ขณะ คือญตั ตทิ ุตยิ กมั มท์ ี่สวดในลาํ ดบั ไปในการระงบั อธิกรณด์ ว้ ยตณิ วตั ถารกวินยั . (๔) ญตั ตจิ ตตุ ถกมั ม์ มี ๗ คือ :- ๑. นิสสารณา คอื สงฆท์ าํ กรรม ๗ อยา่ ง มตี ชั ชนียกมั มเ์ ป็นตน้ .ฅ ๒. โอสารณา คือสงฆร์ ะงบั กรรม ๗ อยา่ งน้นั . ๓. สมมติ คอื สมมติภกิ ษุเป็นผใู้ ห้โอวาทแกภ่ กิ ษณุ ี. ๔. ให้ คอื ให้ปริวาสและมานตั แก่ภกิ ษผุ ูต้ อ้ งอาบตั สิ งั ฆาทิเสส. ๕. นิคคหะ คือปรบั ภิกษุผูป้ ระพฤติปริวาสหรือมานัตอยู่ ตอ้ งอาบตั ิสังฆาทิเสสซ้าํ เขา้ อีก ให้ต้งั ตน้ ประพฤตใิ หม่. ๖. สมนุภาสนา คือสวดห้ามภกิ ษุไมใ่ หถ้ ือร้ันการอนั มชิ อบ. ๗. กมั มลกั ขณะ ไดแ้ ก่อุปสมบทและอพั ภาน. จํานวนสงฆ์ผ้ทู ํากรรม ๔ ประเภทนี้ มี ๔ คือ :- ๑. จตุรวรรค สงฆม์ ีจาํ นวน ๔ รูป. ๒. ปัญจวรรค \" \" ๕ \" ๓. ทสวรรค \" \" ๑๐ \" ๔. วสี ตวิ รรค \" \" ๒๐ \" สังฆกรรม ๔ ประเภทน้นั มีกาํ หนดจาํ นวนสงฆอ์ ยา่ งต่าํ สําหรับทาํ กรรมน้นั ๆ ดังนี้ คือ :- ๑. สงฆจ์ ตรุ วรรค ทาํ สงั ฆกรรมไดท้ กุ อยา่ งเวน้ แตป่ วารณา ให้ผา้ กฐิน อุปสมบท และอพั ภาน. ๒. สงฆป์ ัญจวรรค ทาํ ปวารณา ใหผ้ า้ กฐิน อปุ สมบทในปัจจนั ต-ชนบท. ๓. สงฆท์ สวรรค ใหอ้ ุปสมบทในมธั ยมชนบท. ๔. สงฆว์ สี ติวรรค ทาํ อพั ภาน. กรรมท่ีสงฆม์ จี าํ นวนนอ้ ยกวา่ ทาํ ได้ สงฆม์ ีจาํ นวนมากกวา่ ทาํ ไดโ้ ดยแท.้ ภิกษุผคู้ วรเขา้ กรรมไดต้ อ้ งประกอบดว้ ยองค์ ๓ คอื :- ๑. เป็นภกิ ษุปกต.ิ ๒. มสี งั วาสเสมอดว้ ยสงฆ.์ พระธีรวฒั น์ จนฺทโสภโณ : วดั ไผ่เงินโชตนาราม | นกั ธรรมช้ันเอก 114

115 ๓. เป็นสมานสงั วาสของกนั และกนั . กรรมยอ่ มวบิ ตั ิโดยเหตุ ๔ ประการ คอื :- ๑. วิบตั ิโดยวตั ถุ. ๒. \" สีมา. ๓. \" ปริสะ. ๔. \" กรรมวาจา. (๑) กรรมวิบัตโิ ดยวตั ถุ เพราะเหตุ ๔ คือ :- ๑. อปุ สมบทคนทีม่ อี ายหุ ยอ่ นกวา่ ๒๐ ปี . ๒. \" คนทีเ่ ป็นอภพั พบคุ คล. ๓. สมมตสิ ีมาคาบเก่ียวหรือทบั สีมาอน่ื . ๔. ทาํ ผดิ ระเบยี บ. (๒) กรรมวิบตั โิ ดยสีมาเพราะเหตเุ หล่านเี้ ป็ นต้น คือ :- ๑. สมมติสีมาใหญเ่ กินกาํ หนด. ๒. สมมตสิ ีมาเล็กเกินกาํ หนด. ๓. สมมติสีมามีนิมติ ขาด. ๔. สมมติสีมามีฉายาเป็นนิมติ . ๕. สมมตสิ ีมาไม่มีนิมิต. (๓) กรรมวิบัติโดยปริสะ เพราะเหตุ ๓ คือ :- ๑. ภกิ ษผุ ูเ้ ขา้ ประชุมเป็นสงฆไ์ ม่ครบกาํ หนดตามหนา้ ท่ีสงั ฆกรรม. ๒. สงฆค์ รบกาํ หนดแลว้ แตไ่ ม่นาํ ฉนั ทะของภกิ ษุผูค้ วรนาํ มา. ๓. มผี คู้ ดั คา้ นกรรมอนั สงฆก์ ระทาํ . (๔) กรรมวิบัติโดยกรรมวาจาน้ัน เพราะเหตุ ๗ คือ :- ๑. ไม่ระบวุ ตั ถุ. ๒. \" สงฆ.์ ๓. \" บุคคล. ๔. ไมต่ ้งั ญตั ต.ิ ๕. ต้งั ญตั ติตอ่ ภายหลงั . ๖. ทิ้งอนุสาวนาในกรรมวาจาที่มีอนุสาวนา. ๗. สวดในกาลทไ่ี มค่ วร. ไม่ระบวุ ัตถุแยกเป็ น ๓ คือ :- ๑. ไมร่ ะบุคน. เช่นผูอ้ ปุ สมบท ในการอุปสมบท. ๒. ไม่ระบุของ. เช่นผา้ กฐิน ในการให้ผา้ กฐิน. พระธีรวฒั น์ จนฺทโสภโณ : วดั ไผ่เงินโชตนาราม | นักธรรมช้ันเอก 115

116 ๓. ไม่ระบกุ ารทปี่ รารภ. เช่นการสมมติสีมา. ไม่ระบบุ คุ คลแยกเป็ น ๒ คือ :- ๑. ไมร่ ะบชุ ื่ออปุ ัชฌาย์ ในการอุปสมบท. ๒. ไมร่ ะบชุ ่ือภกิ ษุผูร้ ับ ในการใหผ้ า้ กฐิน. ในคาํ ว่าทงิ้ อนุสาวนามีเกณฑ์อยู่ ๓ คือ :- ๑. สวดอนุสาวนาไมค่ รบกาํ หนด. ๒. สวดใหต้ กหล่น. ๓. สวดผดิ . (ขอ้ ๒-๓ ถา้ มใี นญตั ตดิ ว้ ย เขา้ ใจว่าเสียเหมอื นกนั ) ผ้สู วดกรรมวาจาต้องสนใจในประเภทพยญั ชนะ ๑๐ คือ :- ๑. สิถลิ พยญั ชนะออกเสียงเพลา ไดแ้ กพ่ ยญั ชนะที่ ๑ ท่ี ๓ ใน วรรคท้งั ๕. ๒. ธนิต พยญั ชนะออกเสียงแขง็ ไดแ้ กพ่ ยญั ชนะที่ ๒ ที่ ๔ ในวรรคท้งั ๕. ๓. ทฆิ ะ สระทอี่ อกเสียงยาว. ๔. รัสสะ สระทีอ่ อกเสียงส้ัน. ๕. ครุ สระทมี่ ีพยญั ชนะสังโยค. ๖. ลหุ สระทไี่ มม่ ีพยญั ชนะสงั โยค. ๗. นิคคหิต อกั ขระทวี่ ่ากดเสียง. ๘. วมิ ตุ อกั ขระทีว่ า่ ปล่อยเสียง. ๙. สมั พนั ธ์ บทเขา้ สนธิเช่ือมกบั บทอน่ื . ๑๐. ววตั ถิตะ บทแยกกนั . กรรมย่อมเสียเพราะว่าผดิ พลาดในประเภทพยญั ชนะ ๔ คือ :- ๑. ว่าสถิ ลิ เป็นธนิต เช่นวา่ \" สุณาตุ เม \" เป็น \" สุณาถุ เม.\" ๒. ว่าธนติ เป็นสถิ ลิ เช่นว่า \" ภนฺเต สงฺโฆ \" เป็น \"พนฺเต สงฺโค.\" ๓. วา่ วมิ ุตเป็นนิคคหติ เช่นวา่ \" เอสา�ตฺติ \" เป็น \" เอส� �ตฺต.ิ \" ๔. ว่านิคคหติ เป็นวมิ ตุ เช่นว่า \" ปตฺตกลฺล� \" เป็น \" ปตฺตกลฺลา.\" (ส่วนอีก ๖ สถานน้นั ว่ากลบั กนั หรือแยกกนั กรรมวาจาไมเ่ สีย แต่ควรวา่ ให้ถกู และดี) กัณฑ์ที่ ๒๔ สีมา คาํ วา่ สีมา แปลว่าเขตหรือแดน มี ๒ คือ :- ๑. พทั ธสีมา แดนทผี่ กู ไดแ้ ก่เขตทีส่ งฆก์ าํ หนดเอาเอง. พระธีรวัฒน์ จนฺทโสภโณ : วดั ไผ่เงนิ โชตนาราม | นักธรรมช้ันเอก 116

117 ๒. อพทั ธสีมา แดนทไี่ ม่ไดผ้ ูก ไดแ้ ก่เขตท่ีเขากาํ หนดไวโ้ ดยปกติ ของบา้ นเมอื ง หรือมอี ย่างอื่นเป็น เคร่ืองกาํ หนด. พัทธสีมา มีขนาด ๒ อย่าง คือ :- ๑. สีมาเล็กพอจภุ ิกษุ ๒๑ รูปไดน้ งั่ หตั ถบาสกนั . ๒. สีมาใหญไ่ ม่เกินกวา่ ๓ โยชน.์ วตั ถุทคี่ วรใชเ้ ป็นนิมิตมี ๘ คอื :- ๑. ภูเขา. ๕. จอมปลวก. ๒. ศิลา. ๖. หนทาง. ๓. ป่ าไม.้ ๗. แมน่ ้าํ . ๔. ตน้ ไม.้ ๘. น้าํ . (๑) ภูเขาท่ีใช้ได้มี ๓ คือ :- ๑. ภูเขาดินลว้ น. ๒. ภเู ขาศิลาลว้ น. ๓. ภเู ขาศิลาปนดิน. (๒) ศิลาท่ีใช้ได้ประกอบด้วยองค์ ๔ คือ :- ๑. ศิลาแทห้ รือศลิ าเจือแร่. ๒. สณั ฐานโตไม่ถงึ ชา้ ง เทา่ ศีรษะโคหรือกระบอื เข่อื ง ๆ. ๓. เป็นศลิ าแท่งเดียว. ๔. อยา่ งเล็กเท่ากอ้ นน้าํ ออ้ ย หนกั ๓๒ ปะละ. (๓) ศิลาอีก ๓ ชนิดก็ใช้ได้ คือ :- ๑. ศลิ าดาด. ๒. ศลิ าเทือก. ๓. ศิลาดวด. (๔) ป่ าไม้ทใ่ี ช้ได้ประกอบด้วยองค์ ๒ คือ :- ๑. หมู่ไมม้ แี กน่ หรือหมูไ่ มช้ นิดเดียวกบั ไมม้ แี ก่น. ๒. ข้ึนเป็นหมูก่ นั อยา่ งต่าํ เพยี ง ๔-๕ ตน้ . หัวข้อแห่งการผกู พทั ธสีมาในบัดนี้ มีดงั น้ี คือ :- ๑. พ้ืนที่อนั จะสมมตเิ ป็นสีมาตอ้ งไดร้ ับอนุญาตจากบา้ นเมืองกอ่ น. ๒. ตอ้ งประชุมภิกษผุ อู้ ยใู่ นเขตสีมาหรือนาํ ฉันทะของเธอมา. ๓. สวดถอน. ๔. เตรียมนิมิตไวต้ ามทศิ . ๕. เมอื่ สมมตสิ ีมา ตอ้ งประชุมภกิ ษุผูอ้ ยใู่ นภายในนิมติ . ๖. ทกั นิมิต. ๗. สวดสมมติสีมา. การทกั นิมิตสีมาสองช้ันมี ๒ วิธี คือ :- ๑. ทกั สลบั กนั . ๒. ทกั ขา้ มลกู . ประโยชน์ของการสมมติสีมาสองช้ัน มี ๓ คือ :- พระธรี วฒั น์ จนฺทโสภโณ : วัดไผ่เงินโชตนาราม | นักธรรมช้ันเอก 117

118 ๑. เขตนิสยั เขตลาภ แผ่ไปทวั่ ถงึ . ๒. ของสงฆอ์ าจรวมเป็นเจา้ ของเดียวกนั . ๓. สงั ฆกรรรรมทาํ ไดส้ ะดวก. พทั ธสีมาในบดั น้ี มี ๓ คือ :- ๑. ขณั ฑสีมา. ๒. มหาสีมา (สีมาผูกทวั่ วดั ). ๓. สีมาสองช้นั . อพทั ธสีมา มี ๓ คือ :- ๑. คามสีมาหรือนิคมสีมา. ๒. สัตตพั ภนั ตรสีมา. ๓. อทุ กกุ เขป. (นบั วิสุงคามสีมาตามอรรถกถาเขา้ ดว้ ยเป็น ๔) น่านนาํ้ ท่สี งฆ์จะกาํ หนดเป็ นอุทกุกเขปได้ มี ๓ คือ ๑. นที แม่น้าํ . ๒. สมุทร ทะเล. ๓. ชาตสระ ท่ขี งั น้าํ อนั เป็นเอง. แม่นาํ้ ทจี่ ะใช้เป็ นแดนอทุ กุกเขปได้น้ัน ต้องประกอบด้วยองค์ ๒ คือ :- ๑. แมน่ ้าํ มีกระแสน้าํ มนี ้าํ ไม่ขาดแหง้ ตลอดฤดูฝน. ๒. มนี ้าํ ลกึ พออนั จะเปี ยกอนั ตรวาสก ของภกิ ษุณีผูค้ รองเป็นปริมณฑล เดินขา้ มอยใู่ นท่ีใดท่ีหน่ึง. ลาํ คลองท่จี ะถือเป็ นแม่น้าํ ได้ ต้องประกอบด้วยลักษณะเช่นน้ี คือ :- ๑. คลองน้ันมีกระแสน้าํ เซาะกวา้ งออกไปแลว้ พน้ จากความเป็ นของ คนขุด (เช่นลาํ น้าํ ในระหว่า ปากเกร็ด). ๒. คลองน้นั เป็นทางแมน่ ้าํ เกา่ (เช่นคลองบางใหญ)่ . ชาตสระน้ัน มี ๓ คือ :- ๑. บึง. ๒. หนอง. ๓. ทะเลสาบ. สถานท่ี ๆ จะทําสังฆกรรมในน่านนา้ํ ๓ ชนิด คือ :- ๑. จะทาํ บนเรือ. ๒. จะทาํ บนแพ. ๓. จะทาํ บนร้านทีป่ ลูกข้นึ ในน้าํ (ยอ่ มทาํ ไดท้ ้งั น้นั ). พระธีรวฒั น์ จนฺทโสภโณ : วดั ไผ่เงินโชตนาราม | นักธรรมช้ันเอก 118

119 หาดท่ีจะกําหนดเอาโดยฐานเป็ นอุทกุกเขปได้น้ัน ต้องประกอบด้วยองค์ ๒ คือ :- ๑. หาดน้นั น้าํ ยงั ท่วมถึง แมเ้ ฉพาะในฤดูน้าํ . ๒. ยงั เป็นที่สาธารณะ ไมเ่ ปิ ดให้จบั จอง. สีมาสังกระ ๔ ๑. สมมติสีมาคาบเกี่ยวกนั . ๒. วตั ถพุ าดพิงถึงกนั ในระหว่างสีมาท้งั สอง. ๓. สงฆส์ องหมจู่ ะทาํ สังฆกรรมเวลาเดียวกนั ไม่เวน้ ระหว่างแนว สงฆใ์ ห้ห่างกนั พอไดต้ ามกาํ หนด. ๔. ทาํ สังฆกรรมในเรือหรือแพทผี่ ูกกบั หลกั ปักไวบ้ นตลิ่ง หรือทาํ ในท่ีไมไ่ ดก้ าํ หนดจามอุทกุกเขป. กัณฑ์ท่ี ๒๕ สมมติเจ้าหน้าท่ีทําการสงฆ์ ภกิ ษผุ ู้ควรเลอื กเป็ นเจ้าหน้าทน่ี ้ัน ต้องประกอบด้วยองค์ ๕ คือ :- ๑. ไม่ถึงความลาํ เอยี งเพราะความชอบพอ ๒. \" \" เกลียดชงั ๔ น้ีเป็นองคส์ รรพ- ๓. \" \" งมงาย สาธารณะ ๔. \" \" กลวั ๕. เขา้ ใจการทาํ หนา้ ท่ีอยา่ งน้นั (น้ีองคฺเฉพาะ). เจ้าหน้าที่อนั สงฆ์พงึ สมมติ มี ๕ คือ :- ๑. เจา้ อธิการแห่งจีวร. ๒. เจา้ อธิการแห่งอาหาร. ๓. เจา้ อธิการแห่งเสนาสนะ. ๔. เจา้ อธิการแห่งอาราม. ๕. เจา้ อธิการแห่งคลงั . (๑) หน้าทเ่ี จ้าอธกิ ารแห่งจีวรแบ่งออกเป็ น ๓ คือ :- ๑. จีวรปฏิคคาหกะ เป็นผรู้ บั จีวร. ๒. จีวรนิทหกะ เป็นผูเ้ ก็บจีวร. ๓. จีวรภาชกะ เป็นผูแ้ จกจีวร. (๑) ข้อท่ีจวี รปฏคิ คาหกภกิ ษพุ ึงรู้ดังนี้ คือ :- ๑. จีวรท่ีเขาถวายแก่สงฆ์ ท่ีตนมีหนา้ ท่อี ปุ ัฏฐาก ควรรบั . ๒. จีวรท่ีเขาถวายแก่สงฆ์ ที่ตนไมม่ ีหนา้ ทอี่ ุปัฏฐาก และทเี่ ขาถวายเป็น ปาฏบิ ุคคล ไม่ควรรบั . ๓. จีวรประเภทไร มจี าํ นวนเทา่ ไร รบั ไวห้ รือมไิ ดร้ บั ไว้ ควรรู้ดว้ ย. จีวรทีเ่ ขาถวายแก่สงฆ์มเี กณฑ์แห่งคาํ ถวาย ดังน้ี คือ :- พระธีรวฒั น์ จนฺทโสภโณ : วัดไผ่เงินโชตนาราม | นกั ธรรมช้ันเอก 119

120 ๑. ขา้ พเจา้ ถวายในสีมาหรือแกส่ ีมา. ๒. ขา้ พเจา้ ถวายตามกติกาของสงฆ.์ ๓. ขา้ พเจา้ ถวายแกส่ งฆ.์ ๔. ขา้ พเจา้ ถวายแก่สงฆผ์ จู้ าํ พรรษาแลว้ . จีวรทีเ่ ขาถวายเป็ นปาฏิบคุ ลิกมีเกณฑ์ ดงั น้ี คือ :- ๑. จีวรทเี่ ขาถวายเฉพาะภิกษผุ ไู้ ดร้ ับภตั ตาหารของเขา. ๒. จีวรทเ่ี ขาถวายแก่ภิกษุผอู้ ยใู่ นเสนาสนะของเขา. ๓. จีวรท่ีเขาแกภ่ ิกษุผูไ้ ดร้ ับอปุ ัฏฐากอยา่ งอ่ืนของเขา. ๔. จีวรทเ่ี ขาถวายแกภ่ กิ ษเุ ฉพาะรูป. (๒) ข้อที่จีวรนิทหกภกิ ษพุ ึงรู้ดงั นี้ คือ :- ๑. ผา้ อจั เจกจีวรที่เขาถวาย ควรเกบ็ ไวจ้ นกว่าจะออกพรรษา แลว้ จึงแจกแกภ่ กิ ษุผอู้ ยจู่ าํ พรรษา. ๒. จีวรทเ่ี ขาถวายไมพ่ อแจก ควรเกบ็ ไวจ้ นกว่าจะไดม้ าพอแจกกนั . ๓. จีวรท่เี ขาถวายพอแจกทวั่ กนั มิใช่อจั เจกจีวร ไมค่ วรเกบ็ . ๔. จีวรมีจาํ นวนเท่าไร เก็บไวห้ รือมิไดเ้ ก็บไว้ ควรรู้ดว้ ย. (๓) ข้อท่จี ีวรภาชกภกิ ษพุ งึ รู้ดังนี้ คือ :- ๑. จีวรทีเ่ ขาถวายไม่นิยมเป็นพิเศษ พอแจกทวั่ กนั ควรแจก. ๒. จีวรทเี่ ขาถวายเป็นผา้ กฐิน หรือเป็นมูลแห่งเสนาสนปัจจยั ไม่ ควรแจก. ๓. จีวรมีจาํ นวนเทา่ ไร แจกไปหรือไม่ไดแ้ จก ควรรู้ดว้ ย. จวี รภาชกภกิ ษุควรทาํ ความกําหนด ๕ อย่าง คือ :- ๑. พงึ กาํ หนดเขต. ๒. \" \" กาล. ๓. \" \" วตั ถุ คือจีวร. ๔. \" \" บุคคล คอื สหธรรมิกผรู้ ับแจก. ๕. \" \" นิยมต่าง. (๑) การกําหนดเขตน้ัน มีข้อกาํ หนดอยู่ ๒ คือ :- ๑. กาํ หนดอาวาสท้งั มวล. ๒. กาํ หนดอาวาสท้งั หลาย ซ่ึงอยใู่ นเขตกติกาทไ่ี ดท้ าํ กนั ไว.้ (๒) กําหนดกาลน้ัน มีข้อกําหนดอยู่ ๓ คือ :- ๑. กาํ หนดจีวรกาลโดยปกต.ิ ๒. กาํ หนดจีวรที่ขยายไปตลอดเหมนั ตฤดู เพราะไดก้ รานกฐิน. ๓. กาํ หนดกาลท่พี น้ จีวรกาลไปแลว้ . (๓) การกําหนดวตั ถุน้ัน มีข้อกําหนด ๖ คือ :- พระธรี วัฒน์ จนฺทโสภโณ : วดั ไผ่เงินโชตนาราม | นกั ธรรมช้ันเอก 120

121 ๑. เป็นของเหมือนกนั หรือแผกกนั . ๒. ที่แผกกนั เป็นผา้ ชนิดไร. ๓. ดีเลวอยา่ งไร. ๔. ราคาถูกแพงเป็นอยา่ งไร. ๕. เป็นจีวรชนิดไรบา้ ง. ๖. ไตรจีวรอยา่ งไหน มีจาํ นวนเทา่ ไร. (๔) การกําหนดบคุ คลน้ัน มีข้อกาํ หนดอยู่ ๒ คือ :- ๑. เป็นภกิ ษ.ุ ๒. เป็นสามเณร. (๕) การกาํ หนดนยิ มต่างกัน มีข้อกําหนดอยู่ ๓ คือ :- ๑. ผา้ ทเี่ ขาถวายเป็นผา้ กฐิน. ๒. ผา้ ทเี่ ป็นบริวารของผา้ กฐิน. ๓. ผา้ ไตรจีวรของภกิ ษุที่มรณะแลว้ . (๒) หน้าท่ีเจ้าอธกิ ารแห่งอาหารแบ่งออกเป็ น ๔ คือ :- ๑. ภตั ตุทเทสกะ เป็นผแู้ จกภตั . ๒. ยาคภู าชกะ เป็นผแู้ จกยาค.ู ๓. ผลภาชกะ เป็นผแู้ จกผลไม.้ ๔. ขชั ชภาชกะ เป็นผแู้ จกของเค้ียว. ข้อท่ีภตั ตทุ เทสกภกิ ษพุ งึ รู้ ดงั น้ี ๑. ภตั ไมไ่ ดน้ ิยมตา่ ง เป็นของควรแจก. ๒. ภตั มีนิยมต่าง เป็นของไม่ควรแจก. ๓. ภตั ทีแ่ จกไม่ทว่ั กนั แจกไปแลว้ เพียงลาํ ดบั แคไ่ หน ควรจาํ ไว.้ (ภตั เป็นของควรแจก หรือไมค่ วรแจกน้นั หมายเอาแจกทว่ั ไป). ภัตมนี ยิ มต่างน้ัน ในบาลี มี ๔ เพิ่มตามอรรถกถาอกี ๑เป็ น ๕ คือ :- ๑. อาคนั ตกุ ภตั อาหารที่เขาถวายเฉพาะภิกษุอาคนั ตุกะ. ๒. คมิยภตั อาหารท่เี ขาถวายเฉพาะภกิ ษุผูจ้ ะไปอยทู่ ี่อน่ื . ๓. คลิ านภตั อาหารทีเ่ ขาถวายเฉพาะภิกษไุ ข.้ ๔. คลิ านุปัฏฐากภตั อาหารทเี่ ขาถวายเฉพาะภกิ ษผุ ูพ้ ยาบาลไข.้ ๕. กุฏภิ ตั อาหารทเี่ ขาถวายแกภ่ ิกษผุ อู้ ยใู่ นกุฏที ่เี ขาสร้าง (ขอ้ น้ีมีในอรรถกถา). การแจกภตั มี ๒ อย่าง คือ :- ๑. แจกอาหารอนั เขานาํ มามอบถวาย. ๒. รบั นิมนตไ์ วแ้ ลว้ ส่งพระไปรับท่ีบา้ นเรือนของเขา. พระธีรวฒั น์ จนฺทโสภโณ : วัดไผ่เงินโชตนาราม | นกั ธรรมช้ันเอก 121

122 ภตั ทอี่ อกชื่อในบาลี มี ๗ อย่าง คือ :- ๑. สังฆภตั อาหารทถ่ี วายสงฆ.์ ๒. อุทเทสภตั อาหารอทุ ศิ สงฆ.์ ๓. นิมนั ตนะ การนิมนตห์ รืออาหารที่ไดใ้ นทนี่ ิมนต.์ ๔. สลากภตั อาหารถวายตามสลาก. ๕. ปักขิกภตั อาหารถวายปักษล์ ะ ๑ คร้งั . ๖. อุโปสถถกิ ภตั อาหารถวายในวนั อุโบสถ. ๗. ปาฏิปทกิ ภตั อาหารถวายในวนั ปาฏบิ ท. สังฆภตั น้ัน เขาถวายสงฆ์พอแจกทั่วกนั ในอาราม มวี ิธีถวาย ๒ คือ :- ๑. เขานาํ มาถวายเอง. ๒. เขาส่งมาถวายเอง. อุทเทสภัตน้นั เขาถวายสงฆ์ไม่พอแจกท่วั กนั ในอาราม มวี ิธถี วาย ๓ คือ :- ๑. เขานาํ มาถวายเอง. ๒. เขาส่งมาถวาย. ๓. เขาขอสงฆไ์ ปรบั มาจากบา้ นของเขา. อานิสงส์แห่งข้าวยาคู มี ๕ คือ :- ๑. แกห้ ิว. ๔. ชาํ ระทางปัสสาวะ. ๒. ระงบั ระหาย. ๕. ละลายอาหารดิบ. ๓. ยงั ลมให้เดินคล่อง. ทางได้ผลไม้ มี ๔ คือ :- ๑. ผลไมท้ ่เี กิดข้ึนในสวนวดั ทีไ่ วยาวจั กรจดั ทาํ . ๒. ผลไมท้ ี่ผเู้ ช่าสวนวดั จดั ทาํ เขาถวายตามส่วน. ๓. ผลไมท้ ที่ ายกส่งมาถวาย. ๔. ผลไมท้ ีเ่ ขาอนุญาตใหไ้ ปเกบ็ เอาเองได.้ (๓) หน้าทีข่ องเจ้าอธกิ ารแห่งเสนาสนะ มี ๒ คือ :- ๑. เสนาสนคาหาปกะ มหี นา้ ทแี่ จกเสนาสนะใหภ้ ิกษถุ ือ. ๒. เสนาสนปัญญาปกะ มีหนา้ ท่แี ต่งต้งั เสนาสนะ. เสนาสนะทีจ่ ะพงึ แจกให้ถือน้ัน มี ๒ คือ :- ๑. แจกกฎุ ีใหถ้ อื เป็นหลงั ๆ หรือเป็นห้อง ๆ. ๒. แจกเตียงนอนให้ถอื เป็นท่ี ๆ. การให้ถือเสนาสนะเนื่องด้วยสมยั ในบาลี มี ๓ คือ :- ๑. ปรุ ิมิโก การใหถ้ อื เม่อื วนั เขา้ ปุริมพรรษา. พระธรี วฒั น์ จนฺทโสภโณ : วดั ไผ่เงินโชตนาราม | นกั ธรรมช้ันเอก 122

123 ๒. ปจฺฉิมโิ ก \" \" พรรษาหลงั . ๓. อนฺตรามตุ ฺตโก การให้ถอื ในระหวา่ งพน้ จากน้นั . การให้ถือเสนาสนะตามพระมติ มี ๒ คือ :- ๑. วสฺสูปนายิโก การใหถ้ ือในวนั เขา้ พรรษา. ๒. ตพฺพริ ินิมตุ ฺโต การให้ถอื ในคราวพน้ จากน้นั . ภิกษทุ ไ่ี ม่ควรย้ายเสนาสนะในเวลานอกพรรษา มี ๓ คือ :- ๑. ภิกษผุ ทู้ าํ อุปการะแกส่ งฆ.์ ๒. ภิกษุที่ไดป้ ฏิสงั ขรณเ์ สนาสนะ สงฆข์ ออนุญาตให้อยมู่ กี าํ หนด. ๓. ภิกษุผเู้ ป็นภณั ฑาคาริก. การแจกเสนาสนะ พึงกาํ หนดเสนาสนะและฐานะของผู้ถือเสนาสนะด้วย คือ :- ๑. ถา้ กุฎีพอ พงึ แจกให้ถอื เป็นหลงั ๆ หรือแมท้ ้งั บริเวณ มีไม่พอ พึงผ่อนให้ถือเป็นหอ้ ง ๆ ถา้ กุฎี โถง พึงผอ่ นให้ถือชว่ั เตยี งนอน ชว่ั ทน่ี อนเป็นที่ ๆ. ๒. ฐานะของผูถ้ ือเสนาสนะเป็ นผูใ้ หญ่หรือผูน้ ้อย เป็ นผูท้ าํ อุปการะแก่ สงฆ์หรือหามิได้ เป็ นผูเ้ ล่า เรียนหรือประกอบกิจในทางไร เป็นผู้ อาศยั หรือเป็นทอ่ี าศยั ของใครเป็นตน้ . (๔) หน้าท่ขี องเจ้าอธิการแห่งอารามแบ่งออกเป็ น ๒ คือ :- ๑. การรักษาอาราม. ๒. การดนู วกรรม. หน้าทขี่ องภิกษุผ้ดู นู วกรรม มี ๒ คือ :- ๑. เป็นผูด้ กู ารปลกู สร้างที่มีทายกเป็นเจา้ ของ. ๒. เป็นผดู้ ูการปฏสิ ังขรณส์ ิ่งหักพงั ชาํ รุดในอาราม. (๕) หน้าท่ขี องเจ้าอธิการแห่งคลงั แบ่งออกเป็ น ๒ คือ :- ๑. ภณั ฑาคริก มีหนา้ ท่ีรกั ษาคลงั เกบ็ พสั ดุของสงฆ.์ ๒. อปั ปมตั ตกวสิ ัชชกะ มีหนา้ ท่จี ่ายของเลก็ นอ้ ยใหแ้ กภ่ กิ ษุ. ข้อทภ่ี ัณฑาคาริกภิกษุพงึ รู้ดงั นี้ คือ :- ๑. ของท่เี ป็นครุภณั ฑค์ วรเก็บ. ๒. ของทเ่ี ป็นลหุภณั ฑไ์ มค่ วรเกบ็ . ในเสนาสนขนั ธ์มสี มมตอิ ีก ๒ คือ :- ๑. สมมติใหเ้ ป็นผรู้ บั ผา้ สาฎก เรียกสาฎิยคาหาปกะ. ๒. สมมติให้เป็นผูร้ บั บาตร เรียกปัตตคาหาปกะ. พระธีรวัฒน์ จนฺทโสภโณ : วดั ไผ่เงินโชตนาราม | นกั ธรรมช้ันเอก 123

124 กัณฑ์ท่ี ๒๖ กฐิน องค์กาํ หนดสิทธขิ องภกิ ษุผู้จะกรานกฐิน มี ๓ คือ :- ๑. เป็นผจู้ าํ พรรษาถว้ นไตรมาสไม่ขาด. ๒. อยอู่ าวาสเดียวกนั . ๓. ภกิ ษมุ จี าํ นวนแต่ ๕ รูปข้ึนไป. ผ้าอันเป็ นวัตถุแห่งกฐิน มี ๕ คือ :- ๑. ผา้ ใหม.่ ๔. ผา้ บงั สุกลุ . ๒. ผา้ เทยี มใหม่. ๕. ผา้ ตกตามร้าน. ๓. ผา้ เก่า. ผ้าอันไม่ควรใช้เป็ นวัตถุแห่งกฐิน มี ๒ คือ :- ๑. ผา้ ที่ไม่ไดเ้ ป็นสิทธิ. ๒. ผา้ ทไี่ ดม้ าโดยอาการอนั มชิ อบ คอื ทาํ นิมิตและพูดเลียบเคียง. ๓. ผา้ เป็นนิสัคคีย.์ ๔. ผา้ ทเี่ ก็บคา้ งคนื ไว้ (หมายเอาผา้ กฐินท่ที าํ คา้ งคืนไม่เสร็จในวนั เดียว). องค์แห่งภิกษผุ ้คู วรกรานกฐินตามบาลี มี ๘ คือ :- ๑. รู้จกั บพุ พกรณ.์ ๕. รู้จกั มาติกา. ๒. รู้จกั ถอนไตรจีวร. ๖. รู้จกั ปลโิ พธิกงั วล. ๓. รู้จกั อธิษฐานไตรจีวร. ๗. รู้จกั การเดาะกฐิน. ๔. รู้จกั การกราน. ๘. รู้จกั อานิสงส์กฐิน. บุพพกรณ์ มี ๗ คือ :- ๑. ซกั ผา้ . ๕. เยบ็ เป็นจีวร. ๒. กะผา้ . ๖. ยอ้ มจีวรทเี่ ยบ็ แลว้ . ๓. ตดั ผา้ . ๗. ทาํ กปั ปะ คือ พนิ ทุ. ๔. เนาหรือดน้ ผา้ ทต่ี ดั แลว้ . คาํ วา่ \" ถา้ ผา้ กฐินน้นั มบี ริกรรมสาํ เร็จแลว้ \" มีสนั นิษฐานเป็น ๒ นยั คือ :- ๑. หมายเอาผา้ ทเี่ ยบ็ มาเสร็จแลว้ ๒. หมายวา่ ภกิ ษุผูร้ บั ผา้ น้นั ขวนขวายทาํ เสร็จเป็นส่วนตน. คาํ กรานผ้ากฐิน อมิ าย สงฆฺ าฏยิ า ก�◌ิน� อตถิ รามิ (สงั ฆาฏ)ิ . อมิ นิ า อตุ ฺตราสงฺเคน ก�◌ิน� อตฺถรามิ (อตุ ตราสงค)์ . อมิ นิ า อนฺตรวาสเกน ก�◌ิน� อตฺถรามิ (อนั ตรวาสก). พระธีรวัฒน์ จนฺทโสภโณ : วดั ไผ่เงนิ โชตนาราม | นกั ธรรมช้ันเอก 124

125 คาํ บอกของผ้กู ราน (คือผรู้ บั ) ในสงฆ์ อตฺถต� ภนฺเต สงฺฆสฺส ก�◌นิ �, ธมมฺ โิ ก ก�◌ินตฺถาโร อนุโมทถ. (ถา้ ผกู้ รานแกก่ วา่ ว่า \" อตฺถต� อาวโุ ส \"). คาํ อนุโมทนากฐินของภิกษทุ ้ังหลาย อตฺถต� อาวุโส สงฺฆสฺส ก�◌นิ �, ธมฺมโก ก�◌นิ ตฺถาโร อนุโมทาม.ิ (ถา้ ผอู้ นุโมทนาอ่อนกว่าผูก้ รานว่า \" อตฺถต� ภนฺเต \"). ของทเ่ี ป็นบรวิ ารแห่งกฐนิ ควรไดแ้ กใ่ คร มตอิ รรถกถาวา่ ถา้ ทายกถวายเฉพาะภกิ ษุผู้ กรานกฐนิ กล่าวว่า \" เยน อมหฺ าก� ก�◌นิ � คหติ �, ตสฺเสว เทม \" แปลวา่ \" ภกิ ษุรูปใด ไดร้ บั ผา้ กฐนิ ของพวกขา้ พเจา้ ๆ ถวายแกภ่ กิ ษรุ ปู นนั้ \" เช่นน้ี สงฆไ์ ม่เป็นใหญ่ ถา้ เขาไมไ่ ด้ จาํ กดั ไว้ ถวายกแ็ ลว้ ไป สงฆเ์ ป็นใหญ่. อานสิ งส์แห่งการกรานกฐิน ๕ คือ :- ๑. เทีย่ วไปไม่ตอ้ งบอกลาตามสิกขาบทที่ ๖ แห่งอเจลกวรรค. ๒. เทีย่ วจาริกไปไม่ตอ้ งถือเอาไตรจีวรไปครบสาํ รับ (เพียง ๒ ผืน). ๓. ฉนั คณโภชน์ได้ (และฉันปรมั ปรโภชนไ์ ด)้ . ๔. เก็บอติเรกจีวรไวไ้ ดต้ ามปรารถนา. ๕. จีวรอนั เกิดข้นึ ในทน่ี ้นั เป็นของไดแ้ ก่พวกเธอ. (ท้งั ไดโ้ อกาสขยายเขตจีวรกาลให้ยาวออกไปตลอด ๔ เดือนฤดูเหมนั ตด์ ว้ ย). อานิสงส์กฐินและการขยายเขตจีวรกาล ทรงอยู่ได้ เพราะมีปลโิ พธ ๒ คือ :- ๑. อาวาสปลโิ พธ กงั วลในอาวาส. ๒. จีวรปลิโพธ กงั วลในจีวร. (ปลิโพธท้งั ๒ น้ี แมย้ งั เหลอื อยเู่ พียงอยา่ งเดียว กย็ งั รกั ษาอยกู่ อ่ น). การกําหนดความมีและความสิ้นแห่งปลิโพธท้ัง ๒ น้ัน ดงั น้ี :- ๑. ภิกษุยงั อยใู่ นอาวาสน้นั หรือหลกี ไป ผูกใจอยวู่ า่ จะกลบั มา ชื่อวา่ ยงั มอี าวาสปลโิ พธ. ๒. เธอหลีกไปจากอาวาสน้นั ดว้ ยทอดธุระวา่ จกั ไมก่ ลบั ช่ือวา่ สิ้น อาวาสปลโิ พธ. ๓. ภกิ ษยุ งั ไม่ไดท้ าํ จีวรเลย หรือทาํ คา้ ง หรือหายเสียในเวลาทาํ แต่ยงั ไม่สิ้นความหวงั ว่าจะไดจ้ ีวรอีก ชื่อวา่ ยงั มจี ีวรปลิโพธ. ๔. เธอทาํ จีวรเสร็จแลว้ หรือกาํ ลงั ทาํ คา้ งอยู่ ทาํ เสีย หายเสีย ไฟไหม้ เสีย สิ้นความหวงั ว่าจะไดจ้ ีวร อีก ช่ือว่าสิ้นจีวรปลิโพธ.(การเดาะกฐินเรียกเป็นศพั ท์ว่า \" กฐินุทฺธาโร \" บา้ ง \" กฐินุพฺภาโร \"บา้ ง แปลวา่ \" ร้ือไมส้ ะดึง \"). มาตกิ า (หัวข้อเพ่อื เดาะกฐิน) ๘ คือ :- ๑. เดาะกฐินกาํ หนดดว้ ยหลีกไป (ปกฺกมนฺนติกา). พระธีรวัฒน์ จนฺทโสภโณ : วดั ไผ่เงินโชตนาราม | นกั ธรรมช้ันเอก 125

126 ๒. การเดาะกฐินกาํ หนดดว้ ยทาํ จีวรเสร็จ (นิฏฺฐานนฺติกา). ๓. เดาะกฐินดว้ ยสันนิษฐาน (สนฺนิฏฺฐานนฺติกา). ๔. เดาะกฐินกาํ หนดดว้ ยความเสียหรือความหาย (นาสนนฺติกา). ๕. เดาะกฐินกาํ หนดดว้ ยสิ้นหวงั (อาสวจฺเฉทกิ า). ๖. เดาะกฐินกาํ หนดดว้ ยไดย้ ินขา่ ว (สวนฺนติกา). ๗. เดาะกฐินกาํ หนดดว้ ยลว่ งเขต (สีมาติกฺกนฺติกา). ๘. เดาะกฐินพร้อมกบั ภกิ ษทุ ้งั หลาย (สหุพฺภารา). กณั ฑ์ที่ ๒๗ บรรพชาและอุปสมบท บรรพชา การบวชด้วยไตรสรณคมน์อาจแยกออกเป็ น ๒ ตอน คือ :- ๑. การใหค้ รองผา้ กาสายะ (เป็นอนั ให้บรรพชา). ๒. การใหส้ รณคมน์ (เป็นอนั ใหอ้ ปุ สมบท). การบวชด้วยเอหิภกิ ขุอุปสัมปทาแยกได้เป็ น ๒ ตอน คือ :- ๑. พระดาํ รสั ว่า มาเถิดภกิ ษุหรือเป็นภกิ ษมุ าเถดิ (เป็นอนั ประทานบรรพชา). ๒. พระดาํ รัสว่า ประพฤติพรหมจรรยเ์ พื่อทาํ ท่ีสุดทุกข์โดยชอบเถิด หรือว่าประพฤติพรหมจรรย์ (เป็นอนั ประทานอปุ สมบท). คาํ บอกภัณฑูกรรมชนดิ ทีพ่ าบรรพชาเปกขะไปด้วย บอกว่า :- ๑. สงฆ� ภนฺเต อมิ สสฺ ทารกสสฺ ภณฺฑูกมมฺ � อาปจุ ฺฉาม.ิ ๒. อมิ สสฺ สมณกรณ� อาปุจฺฉาม.ิ ๓. อย� ปพฺพชติ กุ าโม (บอก ๓ ครงั้ ๒ ครงั้ หรอื ครงั้ เดยี วกไ็ ด)้ . คาํ แปล ๑. ทา่ นเจา้ ขา้ ขา้ พเจา้ บอกภณั ฑกู รรมแห่งทารกน้ีแก่สงฆ.์ ๒. ขา้ พเจา้ บอกการทาํ ทารกน้ีให้เป็นสมณะ. ๓. ทารกผูน้ ้ีใคร่จะบวช. คาํ บอกภัณฑูกรรมชนิดที่ไม่พาบรรพชาเปกขะไปด้วย หรือ ชนดิ ทีส่ ่งภิกษุหนุ่มหรือสามเณรไป บอกแทน บอกว่า :- เอโก ภนฺเต ปพฺพชฺชาเปกฺโข อตฺถิ ตสฺส ภณฺฑกู มมฺ �อาปุจฺฉาม.ิ คาํ แปล ท่านเจา้ ขา้ บรรพชาเปกขะมีอยผู่ ูห้ น่ึง ขา้ พเจา้ บอกภณั ฑูกรรมแห่งเขา. พระธีรวัฒน์ จนฺทโสภโณ : วดั ไผ่เงนิ โชตนาราม | นักธรรมช้ันเอก 126

127 อปุ สมบท ผู้ควรได้รับอุปสมบทต้องประกอบด้วยองคคุณ ๓ คือ :- ๑. เป็นผชู้ าย. ๒. มอี ายคุ รบ ๒๐ ปี บริบูรณ.์ ๓. มิใช่อภพั บคุ คลผูถ้ กู หา้ มโดยเดด็ ขาด. (เฉพาะบรุ ุษพเิ ศษมอี ายุ ๒๐ โดยปี ทา่ นอนุญาต). อภัพบุคคลจัดโดยวตั ถุ มี ๓ พวก คือ :- ๑. พวกมีเพศบกพร่อง. ๒. พวกประพฤติผดิ พระธรรมวนิ ยั . ๓. พวกประพฤตผิ ดิ ตอ่ กาํ เนิดของตน. (๑) พวกมีเพศบกพร่องแยกออกเป็ น ๒ คือ :- ๑. บณั เฑาะก.์ ๒. อุภโตพยญั ชนก. (๑) บัณเฑาะก์แยกออกเป็ น ๓ คือ :- ๑.ชายมีราคะกลา้ ประพฤตินอกจารีตในทางเสพกามและเยา้ ยวนชายอื่นให้เป็นเช่นน้นั .๒.ชายผูถ้ ูกตอน ๓. กะเทยโดยกาํ เนิด. (๒) พวกประพฤติผดิ พระธรรมวนิ ัยแยกออกเป็ น ๗ คือ :- ๑. คนฆา่ พระอรหนั ต.์ ๕. ภกิ ษุตอ้ งปาราชิกลกั เพศไปแลว้ . ๒. คนทาํ ร้ายภกิ ษุณี. ๖. ภิกษุผูท้ าํ สังฆเภท. ๓. คนลกั เพศ (เถยยสังวาส). ๗. คนทําร้ายพระศาสดาจนถึงห้อ ๔. ภกิ ษไู ปเขา้ รีตเดียรถยี .์ พระโลหิต. (๓) พวกประพฤติผดิ ต่อกําเนิดของตนแยกออกเป็ น ๒ คือ :- ๑. คนฆา่ มารดา. ๒. คนฆ่าบดิ า. ประเภทแห่งคนผ้ตู ้องห้ามบวชโดยอาการไม่สมควรมี ๒ คือ :- ๑. บางพวกไมใ่ หร้ ับบรรพชา. ๒. บางพวกห้ามไม่ใหร้ ับอุปสมบท. พวกที่ถูกห้ามไม่ให้รับบรรพชา มี ๘ พวก คือ :- ๑. คนมีโรคอนั จะตดิ ต่อกนั เป็นตน้ คอื โรค ๕ อยา่ ง มโี รคเร้ือน เป็นอาท.ิ ๒. คนมีอวยั วะบกพร่อง คอื มมี ือเทา้ ขาดเป็นตน้ . ๓. คนมอี วยั วะไม่สมประกอบ คอื มีมอื เป็นแผน่ เป็นตน้ . พระธรี วฒั น์ จนฺทโสภโณ : วัดไผ่เงนิ โชตนาราม | นักธรรมช้ันเอก 127

128 ๔. คนพิการ คือคนตาบอดตาใสเป็นตน้ . ๕. คนทรุ พล คอื คนแกง่ อ่ นแงน่ เป็นตน้ . ๖. คนมเี กี่ยวขอ้ ง คอื คนอนั มารดาบดิ าไมไ่ ดอ้ นุญาตเป็นตน้ . ๗. คนเคยถูกลงอาญาหลวง มหี มายปรากฏอยู่ คือคนถกู เฆ่ยี น หลงั ลายเป็นตน้ . ๘. คนประทษุ ร้ายความสงบ คอื โจรผูร้ ้ายที่ข้ึนชื่อโด่งดงั เป็นตน้ . พวกท่ถี กู ห้ามไม่ให้อปุ สมบท มี ๑๐ คือ :- ๑. คนไมม่ ีอุปัชฌาย.์ ๖. คนไม่มีจีวร. ๒. มีคนอนื่ จากภิกษุเป็นอปุ ัชฌาย.์ ๗. คนไมม่ ีท้งั บาตรท้งั จีวร. ๓. ถอื สงฆเ์ ป็นอุปัชฌาย.์ ๘. คนยมื บาตรเขามา. ๔. ถือคณะเป็นอุปัชฌาย.์ ๙. คนยืมจีวรเขามา. ๕. คนไม่มบี าตร. ๑๐. คนยมื ท้งั บาตรท้งั จีวรเขามา. บรุ พกจิ แห่งอปุ สมบท มี ๑๑ คือ :- ๑. ใหบ้ รรพชา. ๒. ขอนิสัย. ๓. ถอื อปุ ัชฌาย.์ ๔. ขนานชื่อมคธแห่งอุปสัมปทาเปกขะ. ๕. บอกนามอปุ ัชฌาย.์ ๖. บอกบาตรจีวร. ๗. สง่ั ใหอ้ ุปสัมปทาเปกขะไปยืนขา้ งนอก. ๘. สมมติภกิ ษุรูปหน่ึง เป็นผูซ้ กั ซอ้ มอปุ สมั ปทาเปกขะถงึ อนั ตรายกิ - ธรรม. ๙. เรียกอุปสัมปทาเปกขะเขา้ มาในสงฆ.์ ๑๐. ใหข้ ออปุ สมบท. ๑๑. สมมตภิ ิกษรุ ูปหน่ึงสอบถามอุปสมั ปทาเปกขะถงึ อนั ตรายกิ ธรรม ในสงฆ.์ การจดั ภิกษผุ ้สู วดกรรมวาจาเป็ นคู่น้ัน มีทางสันนิษฐาน ดงั นี้ :- ก. ธรรมเนียมสวดอยา่ งอนื่ มีสวดภาณวารเป็นตน้ สวดทีละคู่. ข. สวดรูปเดียวอาจตกหล่น สวดคู่คงตกหล่นไม่พร้อมกนั เป็ นอัน ทานกันอยใู่ นตวั เอง รูปหน่ึง พลาดเป็นลม่ . ค. เนื่องจากอุปสมบทคราวละคู่ รูปหน่ึงสวดกรรมวาจาสาํ หรับอปุ สมั ปทาเปกขะรูปหน่ึง. ปัจฉิมกิจ มี ๖ คือ :- ๑. วดั เงาแดดในทนั ใด. ๔. บอกสังคีติ. ๒. บอกประมาณแห่งฤดู. ๕. บอกนิสัย. ๓. บอกส่วนแห่งวนั . ๖. บอกอกรณียกิจ ๔. พระธรี วฒั น์ จนฺทโสภโณ : วดั ไผ่เงินโชตนาราม | นักธรรมช้ันเอก 128

129 เงาแดดน้นั ปันเป็ น ๒ ภาค คือ :- ๑. หายมานจฺฉายา เวลามีเงาเส่ือม. ๒. วฑฺฒมานจฺฉายา เวลามีเงาเจริญ. กัณฑ์ท่ี ๒๘ วิธีระงับวิวาทาธิกรณ์ วิวาทาธิกรณ์ในบาลีแจกไว้ ๙ คู่ คือ :- ๑. วิวาทกนั วา่ น้ีเป็นธรรม น้ีไม่เป็นธรรม. ๒. น้ีเป็นวินยั น้ีไม่เป็นวินยั . ๓. น้ีพระตถาคตเจา้ ตรัสภาษติ ไว้ น้ีพระตถาคตเจา้ ไมไ่ ดต้ รัสภาษติ ไว.้ ๔. น้ีพระตถาคตเจา้ ทรงประพฤตมิ า น้ีพระตถาคตเจา้ ไมไ่ ดท้ รง ประพฤตมิ า. ๕. น้ีพระตถาคตเจา้ ทรงบญั ญตั ิไว้ น้ีพระตถาคตเจา้ ไมไ่ ดท้ รงบญั ญตั ไิ ว.้ ๖. น้ีเป็นอาบตั ิ น้ีไมเ่ ป็นอาบตั .ิ ๗. น้ีเป็นอาบตั ิเบา น้ีเป็นอาบตั ิหนกั . ๘. น้ีเป็นอาบตั มิ สี ่วนเหลอื น้ีเป็นอาบตั หิ าส่วนเหลือไม่ได.้ ๙. น้ีเป็นอาบตั หิ ยาบ น้ีไมเ่ ป็นอาบตั หิ ยาบคาย. วิวาทมูลคือรากเง่าแห่งการเถยี ง มี ๒ คือ :- ๑. ผูก้ ่อข้ึนดว้ ยปรารถนาดี คือเห็นแก่พระธรรมวินัย และมีจิต สัมปยตุ ดว้ ย อโลภะ อโทสะ อโม หะ. ๒. ผกู้ ่อข้ึนดว้ ยปรารถนาเลว คือก่อข้ึนดว้ ยทิฏฐิมานะ แมร้ ู้ว่าผดิ ก็ขืน ทาํ และประกอบดว้ ยโทษ ๖ คู่ คือ :- คู่ที่ ๑ เป็นผมู้ กั โกรธ เป็นผถู้ ือโกรธ. คทู่ ี่ ๒ เป็นผูล้ บหลู่ เป็นผูต้ ีเสมอท่าน. คู่ที่ ๓ เป็นผูม้ ปี กติอสิ สา เป็นผูม้ ีปกตติ ระหน่ี. คูท่ ี่ ๔ เป็นผูอ้ วดดี เป็นผูเ้ จา้ มายา. คู่ท่ี ๕ เป็นผมู้ ปี รารถนาลามก มคี วามเห็นผิด. คูท่ ี่ ๖ เป็นผูถ้ ือแต่ความเห็นของตน ถืออย่างแน่นแฟ้น รวมเขา้ ในภาวะเป็นผูม้ ีจิตสัมปยตุ ดว้ ย โลภะ โทสะ โมหะ. ววิ าทาธิกรณ์เร่ืองใหญ่ ๆ ท่านนาํ มากล่าวไว้ ๓ เรื่องคือ :- ๑. เร่ืองพระธรรมกถึกกบั พระวินยั ธร เรื่องน้ีจดั เขา้ ในเภทกรวตั ถุ ที่ ๒ และที่ ๖ ระงบั ดว้ ยยอมกนั เอง. พระธีรวฒั น์ จนฺทโสภโณ : วดั ไผ่เงินโชตนาราม | นักธรรมช้ันเอก 129

130 ๒. เร่ืองภิกษุชาววชั ชีบุตรกล่าววตั ถุ ๑๐ ประการ เร่ืองน้ีจดั เขา้ ใน คู่ท่ี ๒ สงฆร์ ะงบั ตามลาํ พงั ดว้ ยการช้ีขาด. ๓. เรื่องเดียรถยี ป์ ลอมบวชในพระศาสนา เรื่องน้ีจดั เขา้ ในคู่ที่ ๑ ระงบั ดว้ ยอาํ นาจอาณาจกั ร. วตั ถุ ๑๐ ประการ (โดยย่อ) คือ :- ๑. เร่ืองเกลือในเขนง (สิงฺคิโลณกปปฺ ). ๒. เร่ืองสองนิ้ว (ทฺวงฺคุลกิ ปฺป). ๓. เร่ืองเขา้ ละแวกบา้ น (คามนฺตรกปปฺ ). ๔. เรื่องอาวาส (อาวาสกปฺป). ๕. เรื่องอนุมตั ิ (อนุมติกปฺป). ๖. เร่ืองเคยประพฤติมา (อาจิณฺณกปปฺ ). ๗. เร่ืองไมไ่ ดก้ วน (อมถิตกปปฺ ). ๘. เร่ืองสุราอยา่ งอ่อน (กปฺปติ ชโลคึ ปาต�ุ ). ๙. เร่ืองผา้ นิสีทนะ (กปฺปติ อทสก� นสิ ที น�). ๑๐. เรื่องเงนิ ทอง (ชาตรูปรชต). วิธีระงับวิวาทาธกิ รณ์คร้ังที่ ๒ คือประชุมภิกษุชาวปาจนี และชาวปาฐาทวี่ าลุการาม เมืองไพศาลี เลอื กภกิ ษฝุ ่ ายละ ๔ รูป คือ :- ภิกษฝุ ่ ายปาจนี ๔ รูป คือ :- ๑. พระสัพพกามี. ๒. พระสาฬหะ. ๓. พระขชุ ชโสภิต. ๔. พระวาสภคามี. ภิกษุฝ่ ายปาฐา ๔ รูป คือ :- ๑. พระเรวตะ. ๒. พระสมั ภตู ะ สาณวาสี. ๓. พระยศ กากณั ฑกบุตร. ๔. พระสุมนะ. ทางป้องกันวิวาทาธิกรณ์ในส่วนธรรมและวินัย พระศาสดาและพระสาวกได้ทํามา มี ๓ ทาง คือ :- ๑. ไดท้ รงแสดงโอวาทปาฏโิ มกข์ อนั ระบถุ ึงหัวใจพระศาสนาในทปี่ ระชุมสงฆเ์ นือง ๆ. ๒. ไดท้ รงต้งั ธรรมเนียมทาํ สังฆอุโบสถ ดว้ ยสวดปาฏโิ มกขท์ กุ ก่ึงเดือน. ๓. พระสาวกไดท้ าํ สังคายนาพระธรรมวนิ ยั ต้งั ไวเ้ ป็นแบบแผนเป็นคราว ๆ มา. วิธรี ะงับวิวาทาธกิ รณ์ มี ๒ คือ :- พระธีรวฒั น์ จนฺทโสภโณ : วดั ไผ่เงินโชตนาราม | นักธรรมช้ันเอก 130

131 ๑. สัมมุขาวนิ ยั วิธีระงบั ตอ่ หนา้ . ๒. เยภยุ ยสิกา วธิ ีระงบั เป็นไปตามขา้ งมาก. สัมมุขาวินยั มี ๓ วิธี คือ :- ๑. ดว้ ยการตกลงกนั เอง. ๒. ดว้ ยการต้งั ผวู้ นิ ิจฉยั . ๓. ดว้ ยอาํ นาจแห่งสงฆ.์ (๑) วธิ ีระงบั ด้วยการตกลงกันเองสงเคราะห์ด้วยองค์ ๔ คือ :- ๑. สงฺฆสมฺมุขตา ความเป็นต่อหนา้ สงฆ.์ ๒. ธมฺมสมฺมขุ ตา ความเป็นต่อหนา้ ธรรม. ๓. วินยสมฺมขุ ตา ความเป็นตอ่ หนา้ วินยั . ๔. ปคุ ฺคลสมฺมุขตา ความเป็นตอ่ หนา้ บุคคล. (แตเ่ สดจ็ ฯ เขา้ พระทยั วา่ สงฺฆสมฺมุขตา ไมม่ ีในวินยั น้ี). ผู้ท่ถี กู เลอื กให้เป็ นผู้วินจิ ฉัย เม่ือตนอาจวินจิ ฉัยควรให้ผู้เลือกปฏิญญา ๒ ข้อก่อน คือ :- ๑. จะแจง้ ขอ้ อธิกรณ์น้นั ตามจริง. ๒. จกั ยอมรับความวินิจฉยั อนั ชอบแก่ธรรมวนิ ยั และสตั ถสุ าสน์. (๒) วิธีระงับด้วยการต้งั ผู้วนิ ิจฉัย สงเคราะห์ด้วยองค์ ๓ เวน้ สงฺฆสมฺมุขตา บ้าง ด้วยองค์ ๔ บ้าง,(แต่เสด็จ ฯ ทรงเห็นว่า สงฺฆสมฺมุขตา ไม่น่าไดใ้ นอธิการน้ี). (๓) วิธีระงบั ด้วยอํานาจแห่งสงฆ์ คือ :- ๑. สงฆเ์ ห็นภิกษบุ างพวกประพฤตผิ ิดแผกออกไป ไม่เห็นชอบดว้ ยนเขา้ ประชุมเป็ นสงฆว์ ินิจฉัยขอ้ ที่ แผกกนั น้นั ว่าผิด ดว้ ยอาณาสงฆ.์ ๒. มีภิกษุเป็นคู่วิวาท แมเ้ ธอจะไม่มอบให้วินิจฉัย เห็นแก่พระธรรม วินัย ช้ีขาดขอ้ ที่ผิดดว้ ยอาณา สงฆก์ ไ็ ด.้ สมั มุขาวนิ ยั น้ี สงเคราะหด์ ว้ ยองค์ ๓ เวน้ ปคุ ฺคลสมฺมขตา บา้ ง ดว้ ยองค์ ๔ บา้ ง. ภิกษุผู้ท่ีสงฆ์ควรมอบอธิกรณ์ให้แยกไปวนิ ิจฉัย (วิธีนี้เรียกอุพพาหิกา) ควรประกอบด้วยองค์ ๑๐ คือ :- ๑. เป็นผูม้ ีศลี . ๕. เป็ นผูอ้ าจช้ีแจงให้คู่วิวาทเข้าใจ ๒. เป็นพหูสูต. และใหเ้ ลอ่ื มใส. ๓. เป็นผทู้ รงพระปาฏโิ มกข.์ ๖. เป็ นผู้ฉลาดเพื่อยังอธิ กรณ์ อัน ๔. เป็ นผู้ม่ันในพระวินัย ไม่คลอน เกิดข้นึ ใหร้ ะงบั . แคลน. ๗. รู้เร่ืองอธิกรณ.์ ๘. รู้เหตเุ กิดอธิกรณ.์ พระธีรวฒั น์ จนฺทโสภโณ : วดั ไผ่เงนิ โชตนาราม | นักธรรมช้ันเอก 131

132 ๙. รู้การตดั อธิกรณ.์ ๑ ๐ . รู้ ท า ง ตั ด อ ธิ ก ร ณ์ . เยภุยยสิกา ภิกษผุ คู้ วรท่จี ะสมมติใหเ้ ป็นผจู้ บั สลากตอ้ งประกอบดว้ ยองค์ ๕คอื :- ๑. ไม่ถงึ อคติ ๔ อยา่ ง นบั เป็น ๔ องค.์ ข. รู้จกั สลากทีเ่ ป็นอนั จบั และไม่เป็นอนั จบั เป็นองคห์ น่ึง. วิธใี ห้จับสลาก มี ๓ คือ :- ๑. ปกปิ ด. ๒. กระซิบบอก. ๓. เปิ ดเผย. เยภยุ ยสิกาไม่ควรใช้ในเรื่องเหล่านี้ คือ :- ๑. ไม่ควรใชใ้ นเรื่องเล็กนอ้ ยทไี่ มไ่ ปถงึ ไหน. ๒. ไมค่ วรใชเ้ พอ่ื สนบั สนุนมตอิ นั ไม่เป็นธรรม. ๓. ไมค่ วรใชเ้ พอื่ แยกสงฆอ์ อกเป็นพวก. การให้จบั สลากแมใ้ นเรื่องทีส่ มควร หากใหจ้ บั โดยวิธีมชิ อบเหลา่ น้ีใชไ้ มไ่ ด้ คอื :- ๑. ใหจ้ บั ดว้ ยอาการผดิ ระบอบ คอื เมอื่ ภิกษุยงั ไมพ่ ร้อมกนั . ๒. เธอท้งั หลายไมไ่ ดจ้ บั ตามมต.ิ กณั ฑ์ที่ ๒๙ วธิ ีระงับอนุวาทาธิกรณ์ เร่ืองทจี่ ัดว่ามีมลู ๓ คือ :- ๑. เรื่องท่ีไดเ้ ห็นเอง. ๒. เรื่องทีไ่ ดย้ นิ เอง หรือมผี ูบ้ อกและช่ือวา่ เป็นจริง. ๓. เร่ืองทีร่ ังเกียจโดยอาการ. ภกิ ษุผ้จู ะว่าอรรถคดใี นเมื่อเห็นพร้อมด้วยองค์ ๕ จงึ ควรว่าองค์ ๕ น้ัน คือ :- ๑. เป็นกาลอนั สมควร. ๒. เป็นเร่ืองจริง (หรือแน่ใจว่าเป็นอยา่ งน้นั ). ๓. จกั ไดภ้ กิ ษุผเู้ คยเห็นกนั ผูเ้ คยพบกนั เขา้ เป็นฝ่ าย โดยธรรมโดยวินยั . ๕. ความยงุ่ ยิ่งตลอดถงึ ความแตกแห่งสงฆ์ มกี ารน้นั เป็นเหตุจกั ไมม่ .ี ภิกษุผ้จู ะเป็ นโจทก์พงึ ต้ังอยู่ในธรรม ๕ คือ :- ๑. จกั พูดโดยกาละ จกั ไมพ่ ดู โดยอกาละ. ๒. จกั พดู ดว้ ยคาํ จริง จกั ไม่พูดดว้ ยคาํ เท็จ. ๓. จกั พูดดว้ ยคาํ สุภาพ จกั ไม่พดู คาํ หยาบ. พระธรี วฒั น์ จนฺทโสภโณ : วดั ไผ่เงนิ โชตนาราม | นกั ธรรมช้ันเอก 132

133 ๔. จกั พูดดว้ ยคาํ ประกอบดว้ ยประโยชน์ จกั ไมพ่ ูดดว้ ยคาํ ไร้ประโยชน.์ ๕. จกั มเี มตตาจิตพดู จกั ไม่เพง่ โทษพดู . อีกประการหน่งึ พึงทาํ ไว้ในใจซ่ึงธรรม ๕ คือ :- ๑. ความการุญ. ๔. ความออกจากอาบตั .ิ ๒. ความหวงั ประโยชน์. ๕. ความทาํ วนิ ยั เป็นเบ้อื งตน้ . ๓. ความเอน็ ดู. การโจท มี ๒ คือ :- ๑. โจทดว้ ยกาย. ๒. โจทดว้ ยวาจา. ผ้วู นิ จิ ฉัยอธกิ รณ์ มีรวม ๓ คือ :- ๑. สงฆ์ (สาํ หรับเร่ืองสลกั สาํ คญั ). ๒. คณะ (สาํ หรบั เร่ืองไมส่ าํ คญั นกั ). ๓. บุคคล (สาํ หรับเร่ืองเลก็ นอ้ ย). ภกิ ษผุ ู้จะเข้าสู่วนิ จิ ฉัย ควรประพฤติ ดงั น้ี :- ๑. พงึ เป็นผเู้ จียมตน. ๒. พงึ เป็นผูร้ ู้จกั ท่ีนง่ั (ไมเ่ บยี ดพระเถระ ไม่กีดภกิ ษุผอู้ ่อนกว่า). ๓. พึงนงั่ อาสนะอนั สมควร. ๔. ไมพ่ งึ พูดเร่ืองตา่ ง ๆ. ๕. พึงรักษาดุษณีภาพ. คําขอโอกาสของโจทก์ต่อจําเลย \" กโรตุ เม อายสฺมา โอกาส� อหนฺต� วตฺตุกาโม \" ขอท่านจงทาํ โอกาสแกข่ า้ พเจา้ ๆ ใคร่จะกล่าวกะท่าน. คําให้โอกาสต่อโจทก์ \" กโรมิ อายสฺมโต โกาส� \" ขา้ พเจา้ ทาํ โอกาสแก่ท่าน. ภิกษุผ้พู ร้อมด้วยองค์ ๕ ขอให้ทาํ โอกาส ไม่ควรทาํ องค์ ๕น้ัน คือ :- ๑. เป็นผูม้ คี วามประพฤติทางกายไมบ่ ริสุทธ์ิ. ๒. เป็นผูป้ ระพฤติทางวาจาไม่บริสุทธ์ิ. ๓. เป็นผูม้ อี าชีวะไม่บริสุทธ์ิ. ๔. เป็นผเู้ ขลาไม่ฉลาด. ๕. ถกู ซกั เขา้ ไม่อาจใหค้ าํ ตอบขอ้ ท่ีถูกซกั . พระธรี วัฒน์ จนฺทโสภโณ : วดั ไผ่เงนิ โชตนาราม | นักธรรมช้ันเอก 133

134 องค์ ๕ อกี ประเภทหนงึ่ คือ :- ๑. เป็นอลชั ชี. ๒. เป็นผพู้ าล. ๓. เป็นผูม้ ิใช่ปกตตั ตะ. ๔. เป็นผูม้ ปี รารถนาในอนั กาํ จดั กล่าว. ๕. หาใช่ผมู้ ปี รารถนาในอนั ใหอ้ อกจากอาบตั กิ ลา่ วไม่. พระธีรวฒั น์ จนฺทโสภโณ : วดั ไผ่เงนิ โชตนาราม | นกั ธรรมช้ันเอก 134

135 ปัญหา ธรรมวจิ ารณ์ นกั ธรรมเอก พระธรี วฒั น์ จนฺทโสภโณ : วดั ไผ่เงินโชตนาราม | นกั ธรรมช้ันเอก 135

136 พระธรี วฒั น์ จนฺทโสภโณ : วดั ไผ่เงนิ โชตนาราม | นักธรรมช้ันเอก 136

137 พระธรี วฒั น์ จนฺทโสภโณ : วดั ไผ่เงนิ โชตนาราม | นักธรรมช้ันเอก 137

138 พระธรี วฒั น์ จนฺทโสภโณ : วดั ไผ่เงนิ โชตนาราม | นักธรรมช้ันเอก 138

139 พระธรี วฒั น์ จนฺทโสภโณ : วดั ไผ่เงนิ โชตนาราม | นักธรรมช้ันเอก 139

140 พระธรี วฒั น์ จนฺทโสภโณ : วดั ไผ่เงนิ โชตนาราม | นักธรรมช้ันเอก 140

141 พระธรี วฒั น์ จนฺทโสภโณ : วดั ไผ่เงนิ โชตนาราม | นักธรรมช้ันเอก 141

142 พระธรี วฒั น์ จนฺทโสภโณ : วดั ไผ่เงนิ โชตนาราม | นักธรรมช้ันเอก 142

143 พระธรี วฒั น์ จนฺทโสภโณ : วดั ไผ่เงนิ โชตนาราม | นักธรรมช้ันเอก 143

144 พระธรี วฒั น์ จนฺทโสภโณ : วดั ไผ่เงนิ โชตนาราม | นักธรรมช้ันเอก 144

145 พระธรี วฒั น์ จนฺทโสภโณ : วดั ไผ่เงนิ โชตนาราม | นักธรรมช้ันเอก 145

146 พระธรี วฒั น์ จนฺทโสภโณ : วดั ไผ่เงนิ โชตนาราม | นักธรรมช้ันเอก 146

147 พระธรี วฒั น์ จนฺทโสภโณ : วดั ไผ่เงนิ โชตนาราม | นักธรรมช้ันเอก 147

148 ปัญหา พทุ ธาประวตั ิ นกั ธรรมเอก พระธรี วฒั น์ จนฺทโสภโณ : วดั ไผ่เงินโชตนาราม | นกั ธรรมช้ันเอก 148

149 พระธรี วฒั น์ จนฺทโสภโณ : วดั ไผ่เงนิ โชตนาราม | นักธรรมช้ันเอก 149


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook