Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore หนังสือเรียนนักธรรมเอกพระธีรวัฒน์ จนฺทโสภโณ

หนังสือเรียนนักธรรมเอกพระธีรวัฒน์ จนฺทโสภโณ

Published by suanvang, 2021-07-18 13:56:41

Description: หนังสือเรียนนักธรรมเอกพระธีรวัฒน์ จนฺทโสภโณ

Keywords: หนังสือเรียน,นักธรรมเอก,พระธีรวัฒน์

Search

Read the Text Version

50 ๕. พทุ ธิจริต ประพฤตไิ ปตามความรู้ (มพี ุทธิเป็นเจา้ เรือน) ๖. วิตกั จริต ประพฤติไปตามความตรึก (มคี วามวติ กเป็นเจา้ เรือน) กรรมฐานเป็ นที่สบายแก่จริ ตของคน ๑. คนที่มรี าคจริตเป็นเจา้ เรือน ควรเจริญกรรมฐาน ๑๑ ประการ คอื อสุภะ๑๐ และกายคตาสติ๑ ๒. คนที่มโี ทสจริตเป็นเจา้ เรือน ควรเจริญกรรมฐาน ๘ ประการ คอื วรรณกสิณ ๔ และพรหมวหิ าร๔ ๓. คนท่ีมโี มหจริตเป็นเจา้ เรือน ควรเจริญกรรมฐาน คือ อานาปานสติ ๔. คนทมี่ ีสทั ธาจริตเป็นเจา้ เรือน ควรเจริญอนุสสติ ๖ ประการ คือ ๑) พุทธานุสสติ ๒) ธมั มานุสสติ ๓) สงั ฆานุสสติ ๔) สีลานุสสติ ๕) จาคานุสสติ ๖) เทวตานุสสติ ๕. คนทมี่ พี ทุ ธิจริตเป็นเจา้ เรือน ควรเจริญกรรมฐาน ๔ ประการ คอื ๑) มรณัสสติ ๒) อปุ สมานุสสติ ๓) อา หาเรปฏิกูลสัญญา ๔) จตุธาตุววตั ถาน ๖. คนที่มวี ิตกจริตเป็นเจา้ เรือน ควรเจริญอานาปานสติ กรรมฐานเป็นทสี่ บายแก่จริตทุกอยา่ ง ๑. ภตู กสิณ๔ คือ ๑. ปฐวกี สิณ ๒. อาโปกสิณ ๓.เตโชกสิณ ๔.วาโยกสิณ ๒. อรูปกรรมฐาน ๔ คือ ๑.อากาสานญั จายตนะ ๒.วญิ ญาณญั จายตนะ ๓. อากิญจญั ญายตน ๔. เนวสัญญานาสัญญายตนะ ผลของสมถะ อารมณ์ของกรรมฐาน ๔๐ อยา่ งน้นั ผลม่งุ หมายของสมถะก็คือใหไ้ ดส้ มาธิ หวงั ให้จิตเป็นสมาธินิ่งอยใู่ น อารมณ์ ทาํ ใหป้ ราศจากนิวรณ์ เมื่อจิตเป็นสมาธิก็เป็นเหตุใหไ้ ดฌ้ าน ซ่ึงฌานน้นั กเ็ ป็นผลแห่งการปฏิบตั ิกรรมฐาน วิปัสสนากรรมฐาน วปิ ัสสนากรรมฐาน กรรมฐานเป็นเหตุให้เกิดปัญญา รู้เท่าทนั สภาวธรรมท้งั หลายทเ่ี กิดข้ึนตามความเป็นจริง หรือขอ้ ปฏบิ ตั ติ า่ งๆ ในการฝึกฝนอบรมปัญญาให้เกิดความเห็นแจง้ ชดั ส่ิงท้งั หลาย ตรงตอ่ สภาวะของมนั รู้แจง้ ชดั อยา่ ง แทจ้ ริง จนสามารถเพิกถอนความหลงผิดท่หี ลงยึดถือในสิ่งท้งั หลายเสียได้ จนยกจิตของตนเองข้นึ สู่ไตรลกั ษณ์ เพ่อื พน้ จากอาํ นาจของกิเลส เพือ่ มุ่งจดุ สูงสุดคอื วมิ ุตติ (ความหลุดทแ่ี ทจ้ ริง) วปิ ัสสนาน้ี เป็นขอ้ ท่สี ืบเนื่องมาจากสมถกรรมฐาน เพราะผทู้ ่จี ะใชว้ ิปัสสนาพจิ ารณาสังขารในข้นั ละเอียดลึก ถงึ ข้นั จะตอ้ งอาศยั สมถะเป็นรากฐาน เป็นบาทฐานของวปิ ัสสนาเสียก่อน บางคร้ังอาจจะเจริญวิปัสสนาอยา่ งเดียว หรือ จะเจริญพร้อมกนั ไปเลยกไ็ ด้ สาํ หรับผูท้ ่เี จริญเฉพาะวปิ ัสสนาลว้ นๆ โดยไม่ทาํ สมถะเลย คือไมท่ าํ สมถะจนไดฌ้ านแลว้ จึงเจริญวิปัสสนา เม่อื สาํ เร็จผลแห่งวมิ ุตติ หรือเมื่อบรรลุมรรคผลแลว้ กย็ อ่ มไม่ไดอ้ ภิญญาอะไร ส่วนผูท้ ที่ าํ สมถะมาแลว้ จนไดฌ้ าน เอาฌานน้นั มาเป็นบาทในการเจริญวิปัสสนา เมื่อบรรลุมรรคผลแลว้ ยอ่ มมีอิทธิฤทธ์ิตา่ งๆ เช่น แสดงฤทธ์ิได้ รู้ใจคนอืน่ เป็นตน้ พระธรี วฒั น์ จนฺทโสภโณ : วดั ไผ่เงนิ โชตนาราม | นักธรรมช้ันเอก 50

51 ข้อควรจํา - ผลที่ม่งุ หมายของสมถะ คือ ฌาน - ผลทมี่ งุ่ หมายของวิปัสสนา คอื ญาณ ธรรมอันเป็ นปัจจัยให้เกิดนามรูป อวิชชา เป็นเหตุเป็นปัจจยั ให้เกิด ตณั หา ตณั หา เป็นเหตุเป็นปัจจยั ให้เกิด อปุ าทาน อปุ าทาน เป็นเหตุเป็นปัจจยั ให้เกิด กรรมคอื ภาวะ กรรม เป็นเหตุเป็นปัจจยั ให้เกิด ชาตคิ ือนามรูป เหตปุ ัจจัยให้เกดิ นามรูป คือเบญจขันธ์ ๑. อวชิ ชา ตณั หา อุปาทาน กรรม อาหาร เป็นเหตุเป็นปัจจยั ให้เกิดรูป ๒. อวชิ ชา ตณั หา อปุ าทาน กรรม ผสั สะ เป็นเหตุเป็นปัจจยั ให้เกิดเวทนา ๓. อวชิ ชา ตณั หา อปุ าทาน กรรม ผสั สะ เป็นเหตุเป็นปัจจยั ให้เกิดสัญญา ๔. อวิชชา ตณั หา อุปาทาน กรรม ผสั สะ เป็นเหตุเป็นปัจจยั ให้เกิดสังขาร ๕. อวชิ ชา ตณั หา อุปาทาน กรรม นาม และรูป เป็นเหตเุ ป็นปัจจยั ให้เกิดวิญญาณ. ความสงสัยในส่วนอดีต ๕ คือ ๑. เราไดม้ แี ลว้ หรือหนอในชาติกอ่ น ๒. หรือวา่ เราไม่ไดม้ แี ลว้ ๓. เราไดม้ แี ลว้ ในชาตกิ ่อน เราเป็นอะไรหนอ ๔. เราไดม้ ีแลว้ ในชาติก่อน เราเป็นผมู้ สี ุขทกุ ขเ์ ป็นอยา่ งไรหนอ ๕. เราไดเ้ ป็นอะไรแลว้ จึงไดเ้ ป็นอะไรอกี เล่าในชาตกิ อ่ น ความสงสัยในส่วนอนาคต ๕ คือ ๑. เราจกั มีหรือหนอในชาตหิ นา้ ๒. หรือว่าเราจกั ไมม่ ี ๓. เราจกั มีในชาตหิ นา้ เราจกั เป็นอะไรหนอ ๔. เราจกั มใี นชาตหิ นา้ เราจกั เป็นผมู้ ีสุขทกุ ขเ์ ป็นอยา่ งไรหนอ ๕. เราจกั เป็นอะไรแลว้ จึงจกั เป็นอะไรในชาติหนา้ ต่อไปอีกเล่าหนอ ความสงสัยในส่วนปัจจุบนั ๖ คือ ๑. เด๋ียวน้ีเรามหี รือหนอ พระธีรวัฒน์ จนฺทโสภโณ : วัดไผ่เงนิ โชตนาราม | นกั ธรรมช้ันเอก 51

52 ๒. หรือว่าเราไม่มี ๓. เรามอี ยเู่ ดี๋ยวน้ี เราเป็นอะไรหนอ ๔. เรามอี ยเู่ ด๋ียวน้ี เราเป็นอยา่ งไรหนอ ๕. เราเป็นสัตวม์ าแต่ไหนหนอ ๖. เราจะเกิดที่ไหนอีกเลา่ หนอ อานสิ งส์การเจริญวิปัสสนา ๑. มีสติมน่ั คง ไม่หลงทาํ กาลกิริยา (ตาย) ๒. มสี ุคตภิ พ คือ มนุษยแ์ ละโลกสวรรคเ์ ป็นทไี่ ปในเบ้อื งหนา้ ๓. เป็นอุปนิสัยมรรคผลนิพพาน ตดิ สันดานตอ่ ไปในภพหนา้ ดว้ ย ๔. ถา้ มีอุปนิสัยจะไดบ้ รรลุมรรคผลนิพพานในปัจจุบนั ชาตนิ ้ี ก็ยอ่ มจะไดบ้ รรลุมรรคผล ทาํ ให้แจง้ ซ่ึงพระ นิพพานในปัจจบุ นั ชาติน้ีทีเดียว พุทธคุณ คุณความดีของพระพุทธเจ้า คุณของพระพทุ ธเจา้ หรือ ลกั ษณะแห่งคณุ ของพระพทุ ธเจา้ ทท่ี รงเป็นบุคคล ทเี่ ป็นท่พี ่ึงของโลก มลี กั ษณะคุณ พเิ ศษเป็นหลายประการ ตามท่ีพุทธบริษทั ไดส้ รรเสริญพระองคน์ ้นั มีท้งั หมด ๙ ประการ ๑. อรหงั เป็นพระอรหันต์ คอื ผทู้ หี่ ่างไกลจากกิเลสาวะ และบาปธรรมท้งั ปวง ทรงเป็นผูบ้ ริสุทธ์ิจากอนุสัย กิเลสที่นอนเน่ืองหมกั หมมอยใู่ นจิตใจสรรพสัตว์ ทรงทาํ ลายและหักกรรมแห่งสงั สารวฏั เสียได้ อนั ไดแ้ ก่ อวิชชา ตณั หา อปุ าทาน กรรม ไดแ้ ลว้ ควรเป็นผูแ้ นะนาํ สัง่ สอนมหาชนให้รู้ตามได้ ควรแกก่ ารไดร้ บั ทกั ษิณาทานจากมหาชน ๒. สัมมาสัมพุทโธ เป็นผตู้ รสั รู้ชอบไดด้ ว้ ยพระองคเ์ อง ไม่มีผูใ้ ดเป็นครูเเป็นศาสดา การตรัสรู้น้ี คือ ตรัสรู้ อริยสัจ ๔ ซ่ึงไมม่ ีใครทราบ ไมเ่ คยไดย้ ินมากอ่ น พระองคเป็นผทู้ รงประกาศเป็นคร้ังแรก ๓. วิชชาจรณสมั ปันโน ผปู้ ระกอบไปดว้ ยความรู้ และความประพฤติ คือประกอบดว้ ยวชิ ชา ๓ หรือวชิ ชา ๘ และจรณ ๑๕ อนั เป็นปฏปิ ทาเป็นเคร่ืองใหบ้ รรลุถึงวชิ ชาน้นั ๔. สุคโต เป็นผเู้ สด็จไปดีแลว้ ทรงเสด็จไปดว้ ยหนทางแห่งอริยมรรค สู่ทหี่ มายอนั เป็นแดนบรมสุข คือ พระ นิพพาน เสด็จไปสู่สถานอนั จะไมม่ ีวนั ทจ่ี ะตกลงสู่ทต่ี ่าํ อกี และทรงสอนให้คนอ่ืน เดินตามมรรคน้นั ไปท้งั พระองคแ์ ละ พระสาวก ไดเ้ สดจ็ เท่ียวไป (สู่ที่จาริก) ตามชนบทนอ้ ยใหญ่ เพื่อประโยชน์เก้ือกูลและความสุขแก่มหาชนผเู้ กิดใน ภายหลงั ดว้ ย ๕. โลกวิทู เป็นผูร้ ู้แจง้ โลก รู้แจง้ สภาวะอนั เป็นธรรมดาของโลก ไดแ้ ก่ สังขาร และโลกอนั เป็นท่ีหลงอยแู่ ห่ง สรรพสัตว์ พร้อมท้งั อารมณ์ทท่ี าํ ใหห้ ลงติดอยู่ ทรงช้ีแจงให้ชาวโลกเห็นจริง รู้เทา่ ทนั เหตกุ ารณ์ ไมต่ กอยภู่ ายใตอ้ าํ นาจ แห่งกิเลส มีจิตอนั พน้ เป็นอสิ ระแลว้ จากคติโลก พระธีรวฒั น์ จนฺทโสภโณ : วดั ไผ่เงนิ โชตนาราม | นกั ธรรมช้ันเอก 52

53 ๖. อนุตตโร ปรุ ิสทมั มสารถิ เป็นผูท้ ี่สามารถฝึกใครตอ่ ใครได้ ไม่มีคนอนื่ เท่าเทียมได้ พระองคท์ รงฝึก พราหมณ์ ฝึกกษตั ริย์ ฝึกคนธรรมดาสามญั หรือกระทงั่ ฝึกมหาโจร เช่นโจรองนคุลมิ าล กท็ รงฝึกใหก้ ลบั มาเป็นคนดีได้ เป็ นตน้ ๗. สัตถา เทวมนุสสานงั เป็นศาสดา เป็นครูผูส้ อนของเหลา่ เทวดาและมนุษยท์ ้งั หลาย เป็นทพี่ ่ึงของเหลา่ เทวดาท้งั หลาย คอื ในตอนกลางคืน เหลา่ เทวดาจะมาทูลถามปัญหากบั พระพทุ ธเจา้ เป็นประจาํ ดงั น้นั พระองคจ์ ึงไดน้ าม ว่า เป็นศาสดาของเหลา่ เทวดา ๘. พุทโธ เป็นผูต้ น่ื และเบกิ บานแลว้ คอื ตน่ื จากความเช่ือถอื และขอ้ ปฏิบตั ทิ ่พี ากนั ปฏบิ ตั ิตามกนั มาอยา่ งผดิ ๆ และซ้าํ ยงั ทรงปลุกให้ผูอ้ ื่นตืน่ ตามมาดว้ ย ทรงช้ีแนะในขอ้ ปฏบิ ตั แิ บบใหมท่ ที่ รงคน้ พบ อนั เป็นธรรมท่สี ามารถพิสูจน์ ให้เห็นจริงไดด้ ว้ ยตนเอง ๙. ภควา เป็นผมู้ ีโชค หรือผูท้ รงจาํ แนกธรรมใหเ้ หมาะกบั อุปนิสยั ของผจู้ ะรับรสพระธรรมน้นั เพราะ ความสามารถของพระองค์ ทาํ ใหค้ นอน่ื ผยู้ งั ไมพ่ อจะบรรลุกบ็ รรลุได้ เพราะไดฟ้ ังธรรมที่ถกู กบั อปุ นิสยั เหมาะกบั จริต ของตวั เอง พุทธคุณท้งั ๙ ประการดงั ท่ีไดพ้ รรณนามาน้ี เป็นพระคณุ ท้งั ทเ่ี ป็นประโยชน์ส่วนพระองค์ คือ บาํ เพญ็ ประโยชนส์ ่วนพระองคเ์ สร็จสิ้นแลว้ (อตั ตหิตสมบตั )ิ และท้งั ท่เี ป็นประโยชนเ์ พื่อผอู้ ื่น เพอื่ ส่วนรวม (ปรหิตปฏบิ ตั )ิ รวมอยใู่ นพระพุทธคุณท้งั ๙ น้ีท้งั สิ้น พุทธคุณ ๙ น้ี เรียกอกี อยา่ งหน่ึงว่า นวารหาทคิ ณุ หรือ นวรหคณุ หรือ นวารหคุณ ซ่ึงท้งั หมดน้ี แปลวา่ คณุ พระพุทธเจา้ ๙ ประการ เหมือนกนั หมด วิปลาส ความสําคัญผดิ หรือความเข้าใจผิด วปิ ลาส หรือพิปลาสน้ี หมายถึง กริยาทถ่ี ือเอาโดยอาการทผี่ ดิ ไปจากความเป็นจริงคลาดเคลอ่ื นจากความจริง ของสภาวธรรมที่มอี ยเู่ ป็นอยตู่ ามธรรมดาของโลก ความเขา้ ใจผิดน้ี แยกเป็น ๓ ประเดน็ คือ ๑. ดว้ ยสาํ คญั ผดิ สัญญาวปิ ลาส ๒. ดว้ ยความคดิ ผดิ จิตตวปิ ลาส ๓. ดว้ ยความเห็นผิด ทิฏฐิวปิ ลาส ความสาํ คญั ผิด ๓ ประการน้ี เป็นการสาํ คญั ผิดในเหตุ ๔ ลกั ษณะ คอื ๑. เห็นของไมเ่ ทยี่ ง วา่ เท่ียง ๒. เห็นของท่ีเป็นทุกข์ ว่าเป็นสุข ๓. เห็นของท่ีไมใ่ ช่ตน วา่ เป็นตน ๔. เห็นของทีไ่ ม่งาม วา่ งาม บคุ คลผหู้ ลงผิด สาํ คญั ผิดในของเหล่าน้ี ยอ่ มมองไม่เห็นทางท่จี ะพน้ ไปจากความทกุ ขไ์ ด้ เพราะภาพมายา เหล่าน้นั การทมี่ นุษยไ์ มพ่ จิ ารณาเห็นสงั ขาร เป็นไปตามความจริง ก็เพราะความไมเ่ ท่ยี งน้นั มีสนั ตติ ความสืบตอ่ ของ พระธีรวฒั น์ จนฺทโสภโณ : วดั ไผ่เงินโชตนาราม | นักธรรมช้ันเอก 53

54 สังขารมาบงั ไว้ ความทกุ ขก์ ม็ ีอิริยาบถความเคลื่อนไหวแห่งร่างกายเขา้ มาบงั ไว้ ส่วนอนตั ตาน้นั ก็มฆี นสญั ญา ความสาํ คญั เห็นเป็นกลมุ่ กอ้ นแยกออกใหเ้ ห็นไดย้ ากมาบงั ไว้ เมอ่ื เป็นเช่นน้ี กห็ ลงไปกบั ส่ิงทปี่ ระสบเขา้ ถา้ ชอบใจก็ เห็นวา่ สวยงาม หลงยดึ ติดในส่ิงน้นั วปิ ลาสน้ี โดยแทแ้ ลว้ ก็คือ การหลงผดิ ไม่เขา้ ใจในไตรลกั ษณ์นน่ั เอง จึงเป็นเป็นเหตุใหห้ ลงยดึ ติดในสิ่งทชี่ อบ ว่า สวย มหาสติปัฦฏฐานสูตร สติปัฏฐานสูตรน้ี หมายถึงการต้งั จิตพิจารณาส่ิงท้งั หลายให้รู้เห็นตามความเป็นจริงของสิ่งน้นั ๆตามลกั ษณะ ของมนั การพจิ ารณาตามสตปิ ัฏฐานน้ี เป็นทางสายเอก หรือสายตรงทจี่ ะใหเ้ ขา้ ถึงนิพพานได้ ดงั พระพุทธเจา้ ตรสั ไว้ ตอนหน่ึงว่า “ดกู ่อนภกิ ษทุ ้งั หลาย หนทางน้ีเป็นทางสายเอก เพื่อความบริสุทธ์ิแห่งสรรพสัตว์ เพ่อื ลว่ งความโศกและ ปริเทวะ เพ่ือความดบั สูญแห่งทกุ ขแ์ ละโทมนสั เพือ่ ธรรมท่ถี ูกตอ้ ง เพื่อทาํ ให้แจง้ ซ่ึงพระนิพพาน หนทางน้ี คอื สตปิ ัฏ ฐาน๔” ดงั น้นั สติปัฏฐาน ๔จึงเป็นทางสาํ หรับนกั ปฏบิ ตั ิธรรม เพอื่ บรรลนุ ิพพานเป็นเป้าหมายจะตอ้ งใชป้ ฏิบตั ิ ท่านได้ แยกออกแสดงเป็นขอ้ ๆ ดงั ต่อไปน้ี ๑. กายานุปัสสนาสติปัฏฐาน การต้งั สติพิจารณากายเป็นอารมณใ์ หเ้ ห็นเป็นเพียงสักว่า กายเท่าน้ัน ไม่ใช่มนุษย์ บุคคลหรือสตั วไ์ รๆท้งั น้นั โดยจาํ แนกออกพิจารณาเป็นลกั ษณะตา่ งๆ ดงั น้ี ๑.๑ กาํ หนดลมหายใจมสี ติรู้อยทู่ ุกขณะ (อานาปานสต)ิ ๑.๒ กาํ หนดการเคลอ่ื นไหวอริ ิยาบถของร่างกาย เช่น กาํ ลงั ยืน เดิน นงั่ หรือนอน เป็นตน้ (อริ ิยาบถ) ใหร้ ู้ตวั อยทู่ ุกขณะ ๑.๓ กาํ หนดชดั ลงไปทร่ี ่างกายทกุ อยา่ ง ใหร้ ู้ตวั ตลอดเวลาในการกา้ วไป ถอยกลบั มองซ้าย แลขวา การคูเ้ ขา้ การเหยียดออก การถ่ายอุจจาระและปัสสาวะ ยอ่ มทาํ ความรู้สึกตวั ในการเดิน การยนื การนง่ั การหลบั การตน่ื การพดู การน่ิง การนุ่งห่มเส้ือผา้ เป็นตน้ (สัมปชญั ญะ) ๑.๔ พิจารณาร่างกายน้ี ว่าเป็นของไมส่ ะอาด อวยั วะ ๓๒ ลว้ นแตเ่ ป็นของสกปรกปฏิกลู ตอ้ งอาบน้าํ ชาํ ระ ขดั สี อยเู่ ป็นประจาํ (ปฏกิ ูลมนสิการ) ๑.๕ พจิ ารณาเห็นร่างกายวา่ เป็นเพียงธาตุ แตล่ ะอยา่ งๆ คอื แบง่ ร่างกายออกเป็นธาตุ คอื ธาตดุ ิน ธาตนิ ้าํ ธาตุ ไฟ ธาตุลม (ธาตมุ นสิการ) ๑.๖ พจิ ารณาร่างกาย หรือซากศพทีน่ ่าขยะแขยง เช่น ศพที่กาํ ลงั ข้ึนอืด ส่งกลิน่ เหมน็ ฟุ้งไป หรือซากศพอกี ต่างๆแลว้ นอ้ มเขา้ มาเปรียบเทียบกบั ร่างกายของเราเอง ให้เห็นเป็นของท่มี ลี กั ษณะเหมอื นๆกนั กบั ซากศพน้นั (นวสีวถิกา) ๒. เวทนานุปัสสนาสตปิ ัฏฐาน การกาํ หนดพจิ ารณาเวทนา ใหร้ ู้ตามเป็นจริงว่า เป็นเพียงเวทนาเท่าน้นั ไมใ่ ช่ มนุษย์ ไมใ่ ช่สตั วบ์ คุ คล ตวั ตน เรา เขา ท่ไี หน คอื เราเสวยเวทนาอะไรอยกู่ ร็ ู้ เช่น เรากาํ ลงั ไดร้ ับ(เสวย) ทุกขเวทนา สุข เวทนา หรือ อทกุ ขมสุขเวทนา กร็ ู้ว่าตนกาํ ลงั ไดร้ บั หรือประสบกบั อารมณ์น้นั ๆ อยู่ พระธรี วฒั น์ จนฺทโสภโณ : วัดไผ่เงนิ โชตนาราม | นักธรรมช้ันเอก 54

55 ๓. จิตตานุปัสสนาสติปัฏฐาน การกาํ หนดพิจารณาให้เห็นจิตใจจิต เป็นเพยี งจิตเท่าน้นั ไมใ่ ช่สัตว์ บุคคล ตวั ตน เรา เขา คอื ในขณะน้นั จิตมรี าคะ กร็ ู้วา่ มีราคะ จิตมโี ทสะกร็ ู้วา่ จิตมโี ทสะ จิตมีโมหะ ก็รู้ว่าจิตมโี มหะ มจี ิตปราศจาก ราคะโทสะ โมหะ ก็รู้วา่ มีจิตปราศจากราคะ โทสะ โมหะ หรือจิตฟ้งุ ซ่าน ไม่เป็นสมาธิ กร็ ู้ หรือแมแ้ ตจ่ ิตหลดุ พน้ แลว้ ก็ รู้วา่ ตนมจี ิตหลุดพน้ แลว้ คอื รู้จิตตามท่ีมนั เป็นอยใู่ นขณะน้นั ๆ ๔. ธมั มานุปัสสนาสตปิ ัฏฐาน การต้งั สตพิ ิจารณาธรรมทเี่ กิดกบั จิต ให้เห็นวา่ เป็นแตส่ กั ว่าธรรม ไม่ใช่สตั ว์ บคุ คล ตวั ตน เรา เขา คอื เมอื่ ธรรมเกิดกบั จิต ก็กาํ หนดรู้ทนั ในหมวดน้ี ท่านจาํ แนกธรรมทีเ่ กิดข้ึนเป็น ๕ ลกั ษณะ คือ ๔.๑ กาํ หนดรู้นิวรณ์ คือ กามฉันทะ พยาบาท ถนี มิทธะ อุทธจั จกุกกจุ จะ หรือวิจิกิจฉา อยา่ งใดอยา่ ง หน่ึง เกิดข้ึนก็กาํ หนดรู้ ๔.๒ กาํ หนดรู้ อุปาทานขนั ธ์ ๕ เช่น รูปเกิดหรือ รูปดบั ก็รู้ ในส่วนของเวทนา สญั ญา สังขาร หรือ วิญญาณ กเ็ หมอื นกนั ถา้ อนั ไหนเกิดหรือดบั กก็ าํ หนดรู้เทา่ ทนั ๔.๓ กาํ หนดรู้อายตนะภายในและอายตนะภายนอก เช่น กาํ หนดรู้ นยั นต์ า และรูป เม่อื กระทบกนั เขา้ แลว้ ยอ่ มก่อให้เกิดสงั โยชน์ เม่อื รู้แลว้ กก็ าํ หนดละสงั โยชน์เหล่าน้นั เสีย เป็นตน้ ๔.๔ กาํ หนดรู้รู้โพชฌงค์ ๗ วา่ มอี ยใู่ นจิตหรือไมม่ ี หรือโพชฌงคน์ ้ี เกิดข้ึนอยา่ งไร ก็รู้หรือบริบูรณด์ ว้ ย อาการอยา่ งไร ก็กาํ หนดรู้ ตามอาการทม่ี นั บริบูรณ์ ๔.๕ กาํ หนดรู้อริยสัจ ๔ ตามเป็นจริงว่า น้ีทกุ ข์ น้ีทุกขสมุทยั น้ีทุกขนิโรธ และน้ีทกุ ขนิโรธคามนิ ี ปฏิปทา รู้ชดั แยกออกเป็นส่วนตามความเป็นจริงวา่ ธรรมแต่ละอยา่ งน้นั คืออะไรเป็นอยา่ งไร เป็นอยอู่ ยา่ งไร มอี ยใู่ น ตนหรือไมม่ ี เกิดข้นึ เจริญบริบรู ณ์ และดบั ไปไดอ้ ยา่ งไร เป็นตน้ ตามเป็นจริงของมนั อยา่ งน้นั ๆ เม่อื ผปู้ ฏิบตั ิกาํ หนดรู้ตามสตปิ ัฏฐานตามที่พรรณนามาน้ี แต่ละอยา่ งๆ ยอ่ มเป็นผทู้ ต่ี ณั หาและทฏิ ฐิ ไม่ หมกั หมมหมกั ดองอยใู่ นจิต ไมย่ ดึ มนั่ ถอื มนั่ ในอะไรๆ ยอ่ มบรรลถุ ึงแดนอนั เกษม คอื พระนิพพานเสียได้ คริ ิมานนทสูตร คร้งั หน่ึง ทา่ นพระคิริมานนทป์ ่ วยหนกั ไดร้ ับทุกขเวทนามาก พระอานนทจ์ ึงไปทลู พระพุทธเจา้ ให้เสดจ็ ไป โปรดดูอาการของท่านบา้ ง พระพทุ ธองคไ์ มไ่ ดเ้ สดจ็ ไปตามคาํ ทลู ของพระอานนท์ แต่ไดบ้ อกให้พระอานนทน์ ้นั กลบั ไปแสดงสญั ญา ๑๐ ประการให้พระคิริมานนทฟ์ ัง เมอ่ื ฟังแลว้ ท่านกจ็ ะหายเป็นปกตเิ อง แลว้ พระองคก์ ท็ รงบอก สญั ญา ๑๐ อยา่ งน้นั ใหแ้ ก่พระอานนทท์ ราบ คอื ๑. อนิจจสญั ญา กาํ หนดสงั ขารน้ีวา่ เป็นของไมเ่ ท่ยี ง ๒. อนตั ตสัญญา กาํ หนดธรรมท้งั ปวงว่า เป็นอนตั ตา ๓. อสุภสัญญา กาํ หนดกายน้ีว่า เป็นของไม่งาม ๔. อาทนี วสัญญา กาํ หนดกายน้ีว่า มีโรคตา่ งๆ ประจาํ อยู่ หรือเป็นรังของโรคนนั่ เอง ๕. ปหานสญั ญา กาํ หน4ดเพ่อื จะละ อกุศลวติ ก และบาปธรรมทเ่ี กิดข้ึนแลว้ ๖. วริ าคสญั ญา กาํ หนดถึงสวิราคธรรม คือ อริยมรรคว่าเป็นธรรมทป่ี ราศจากอาสวกิเลสท้งั ปวง พระธรี วฒั น์ จนฺทโสภโณ : วดั ไผ่เงนิ โชตนาราม | นกั ธรรมช้ันเอก 55

56 ๗. นิโรธสัญญา กาํ หนดหมายเอานิโรธ คือ อริยผลอนั ปราศจากกิเลสตณั หาไดส้ ิ้นเชิง ๘. สัพพโลเก อนภิรตสญั ญา กาํ หนดจิตไม่คิดเพลดิ เพลินไปตามโลก ละอุปาทาน ความถอื มน่ั เสีย ๙. สพั พสงั ขาเรสุ อนิฏฐสญั ญา กาํ หนดจิตไม่คดิ ปรารถนาในสงั ขารท้งั ปวง วางอุเบกขา เห็นดว้ ยปัญญา ซ่ึง สังขารท้งั ปวงอนั เป็นของทต่ี กอยภู่ ายใตห้ ลกั แห่งไตรลกั ษณ์ ๑๐. อานาปานสติ มสี ติกาํ หนดลมหายใจเขา้ ออก เพ่ือรกั ษาจิตไม่ให้คดิ ฟุ้งซ่าน ข้อควรจํา อตั ตสมบตั ิ - อรหงั - สัมมาสมั พุทโธ - วชิ ชาจรณสัมปันโน - โลกวทิ ู ปรหิตปฏิบตั ิ - อนุตตโร ปุริสทมั มสารถิ - สตั ถา เทวมนุสสานงั อตั ตสมบตั ิ + ปรหิตปฏบิ ตั ิ - สุคโต - พุทโธ - ภควา พระธรี วฒั น์ จนฺทโสภโณ : วัดไผ่เงินโชตนาราม | นกั ธรรมช้ันเอก 56

57 วชิ าพทุ ธานุพทุ ธประวัติ นักธรรมเอก พุทธานุพุทธประวตั ิ เป็นการศึกษาถงึ ประวตั คิ วามเป็นมาของพระพทุ ธเจา้ และพระสาวกของพระองค์ หรือ เรียกอกี อยา่ งหน่ึงว่า อนุพทุ ธประวตั ิ เป็นการรวบรวมเอาประวตั ิทน่ี กั ศกึ ษาไดเ้ คยเรียนกนั มาแลว้ ในธรรมศกึ ษาช้นั ตรี และธรรมศกึ ษาช้นั โท มารวมไวใ้ นธรรมศกึ ษาช้ันเอกน้ี เพอ่ื จะไดศ้ ึกษาในรายละเอยี ดข้ึนไปอีกให้แจ่มแจง้ การจะเรียน ให้เขา้ ใจไดด้ ีน้นั นกั ศึกษาควรจะดู ในหนงั สือธรรมศกึ ษาช้นั ตรีและธรรมศกึ ษาช้นั โทประกอบดว้ ย สร้างกรุงกบลิ พัสด์ุ ประเทศอนิ เดียนบั ว่าเป็นแหลง่ อารยธรรมโบราณทีม่ คี วามเป็นมาน่าศึกษามาก ประเทศต่างๆในแถบเอเชียหรือ ในยโุ รปเอง กย็ งั รับเอาวฒั นธรรมไปจากอนิ เดียเป็นส่วนมาก ไม่ว่าจะเป็นดา้ นศาสนา ภาษา หรือศิลปกรรมต่างๆ อยา่ งเช่นในประเทศไทยเรา กเ็ อาภาษาบาลี สนั สกฤตมาใชม้ ากมาย รวมท้งั พระพุทธศาสนา ศาสนาพราหมณ์ ฮินดู ดว้ ย นอกจากน้ี พิธีกรรมต่างๆ ท่ีเราประพฤตปิ ฏิบตั อิ ยทู่ ้งั พิธีราษฎร์ และพธิ ีหลวง กม็ ีพธิ ีกรรมของอนิ เดียปะปนอยแู่ ทบ ท้งั น้นั ดงั น้นั อินเดียจึงเป็นอู่อารยธรรมทที่ รงอทิ ธิพลตอ่ โลกอยมู่ าก โดยเฉพาะในเอเชียดว้ ยกนั แมแ้ ต่ประเทศจีนยงั สู้ ไมไ่ ด้ อ่อู ารยธรรมของโลก ท่ีมกี ารพฒั นามาเป็ นเวลานานน้ัน มอี ยู่ด้วยกัน ๕ แห่ง คือ ๑. ออู่ ารยธรรมอยี ปิ ต์ มีแหล่งกาํ เนิดอยทู่ ี่บริเวณลุ่มแมน่ ้าํ ไนล์ ๒. ออู่ ารยธรรมบาบิโลน มีแหล่งกาํ เนิดอยทู่ ่ีบริเวณล่มุ แม่น้าํ ไทกริซและยเู ฟรตสี ๓. ออู่ ารยธรรมอนิ เดีย มีแหลง่ กาํ เนิดอยทู่ บ่ี ริเวณแมน่ ้าํ สินธุ และแม่น้าํ คงคา ๔. อู่อารยธรรมจีน มีแหลง่ กาํ เนิดอยทู่ ่ีบริเวณแม่น้าํ หวงเหอ (แมน่ ้าํ เหลือง) ออู่ ารยธรรมตา่ งๆในสมยั โบราณน้นั มีแหล่งกาํ เนิดตามลมุ่ แม่น้าํ เป็นส่วนใหญ่ ท้งั น้ีก็เพราะว่า มนุษยต์ อ้ งการ ใชน้ ้าํ ในการเพาะปลูกทาํ การเกษตรและการบริโภคใชส้ อย ดงั น้นั สถานที่ใดทมี่ นี ้าํ อุดมสมบรู ณ์ มนุษยก์ จ็ ะต้งั ถ่นิ ฐาน ภูมิลาํ เนาอยตู่ ามทน่ี ้นั ๆ นานๆเขา้ กก็ ลายเป็นการสร้างอารยธรรมพฒั นาเจริญข้ึนมาเป็นลาํ ดบั ประเทศอินเดียน้นั แต่เดิมมีชนพ้ืนเมืองอาศยั อยกู่ อ่ นทาํ การเพาะปลกู เล้ียงสัตวก์ นั มานาน ชนพวกน้ีมชี ่ือ เรียกวา่ มลิ กั ขะ หรือ ดราวเิ ดียน เป็นชนผิวดาํ คล้าํ ต่อมาไดม้ ีชนเผ่าอน่ื ซ่ึงเป็นพวกผิวขาวเหลอื ง ไดอ้ พยพเขา้ มาอยใู่ น อินเดีย โดยเขา้ ทางดา้ นภาคเหนือผา่ นภเู ขา้ หิมาลยั ลงมา ชนพวกน้ีมชี ่ือเรียกวา่ ชาวอริยกะ หรือ อารยนั พวกอริยกะน้ี ไดต้ อ่ สู้กบั พวกพ้ืนเมอื งแลว้ ก็เอาชนะได้ จึงไดจ้ ดั การปกครองบา้ นเมืองข้นึ ดว้ ยกฎระเบยี บทพี่ วกตนสร้างข้ึน และกไ็ ด้ มกี ารแบ่งคนออกเป็น ๔ วรรณะสืบมาจนถงึ ปัจจบุ นั น้ี เพือ่ สะดวกต่อการปกครอง ในกล่มุ ชนชาวอริยกะหรืออารยนั น้นั มกี ษตั ริยอ์ งคห์ น่ึง ช่ือวา่ โอกากราช ปกครองเมืองหน่ึง (ไมป่ รากฏชื่อ) พระองคไ์ ดอ้ ภิเษกสมรสกบั นอ้ งสาวของตนเอง(ภคนิ ี) (ไมป่ รากฏช่ือ) มพี ระราชบตุ รและพระราชธิดา ๙ พระองค์ คือ บตุ ร ๔ และธิดา ๕ ต่อมาเมอื่ พระมเหสีสิ้นพระชนมแ์ ลว้ ก็ไดท้ รงอภิเษกสมรสกบั พระมเหสีองคใ์ หม่ (ไมป่ รากฏชื่อ) คร้นั ตอ่ มาพระนางกไ็ ดม้ พี ระราชโอรสองคห์ น่ึง พระเจา้ โอกากราชทรงพอพระทยั พล้งั พระโอษฐพ์ ระราชทานพรแก่ พระนางวา่ ถา้ หากพระนางตอ้ งการอะไรก็จะให้ท้งั สิ้น พระนางจึงทลู ขอพระราชสมบตั ิให้กบั บุตรของตนเอง พระเจา้ โอกากราช กจ็ าํ ตอ้ งยอมให้เพือ่ เป็นการไมเ่ สียสัตย์ ดงั น้นั พระองคจ์ ึงมีรบั สง่ั ใหบ้ ุตรท้งั ๙ ออกไปสร้างพระนครแห่ง พระธรี วฒั น์ จนฺทโสภโณ : วดั ไผ่เงินโชตนาราม | นกั ธรรมช้ันเอก 57

58 อื่นอยใู่ หม่ พระราชบุตรท้งั ๔ จึงไดพ้ าภคินีท้งั ๕ พร้อมท้งั บริวารออกไปต้งั พระนครอยใู่ หม่ โดยไดไ้ ปต้งั อยทู่ างทศิ ใต้ ของภูเขาหิมาลยั ซ่ึงสถานท่ีน้นั ไดม้ ีดาบสตนหน่ึงชื่อว่า “กบลิ ” มาอาศยั อยกู่ อ่ น เมอื่ สร้างพระนครเสร็จแลว้ พระนคร น้นั จึงไดต้ ้งั ตามนามของดาบสน้นั ว่า กบลิ พสั ดุ์ หลงั จากน้นั พระราชบตุ รท้งั ๔ พระองคก์ ไ็ ดอ้ ภเิ ษกสมรสกบั ดว้ ย นอ้ งสาวของตน ๔ นาง ยกเวน้ แต่พ่สี าวคนโต (เชษฐภคนิ ี) แต่ภายหลงั ตอ่ มาพระนางก็ไดอ้ ภิเษกสมรสกบั เจา้ ชายแห่ง กรุงเทวทหะ พระราชบุตรท้งั ๔ พระองคท์ ไ่ี ดอ้ ภิเษกสมรสกบั นอ้ งสาวท้งั ๔ น้นั ไดป้ กครองเมือง ต้งั พระราชวงศศ์ ากยะสืบ มา ส่วนพีส่ าว(เชษฐภคินี) ทีท่ รงไดอ้ ภิเษกสมรสกบั เจา้ กรุงเทวทหะน้นั ไดต้ ้งั ราชวงศ์โกลิยะสืบมา ตอ่ มากษตั ริยท์ ้งั ๒ วงศน์ ้ี กไ็ ดม้ กี ารเกี่ยวพนั ธ์กนั มาเป็นลาํ ดบั กษตั ริยใ์ น ศากยวงศ์ ไดม้ ีกษตั ริยป์ กครองกนั มาหลายพระองค์ จนมาถึงสมยั ของพระเจา้ ชยเสนะ พระองคไ์ ดม้ ี บุตร ๒ พระองค์ คอื เจา้ ชายสีหนุ และพระราชธิดายโสธรา หลงั จากที่พระราชบดิ าสิ้นพระชนมแ์ ลว้ เจา้ ชายสีหนุก็ได้ เป็นกษตั ริยต์ ่อมา และก็ไดอ้ ภิเษกสมรสกบั พระนางกญั จนา ซ่ึงเป็นนอ้ งสาว(กนิษฐภคนิ ี) ของพระเจา้ อญั ชนะแห่งกรุง เทวทหะ พระองคไ์ ดม้ บี ุตรธิดา ๗ พระองค์ เป็นบุตร ๕ พระองค์ เป็นบุตรี ๒ พระองค์ คอื ๑) สุทโธทนะ ๒) สุกโกทนะ ๓) อมิโตทนะ ๔) โธโตทนะ ๕) ฆนโิ ตทนะ ๖) พระนางปมิตา ๗) พระนางอมติ า เมอ่ื พระเจา้ สีหนุไดส้ ิ้นพระชนมแ์ ลว้ พระเจา้ สุทโธทนะกไ็ ดร้ ับการคดั เลือกให้เป็นกษตั ริยป์ กครองสืบมา ส่วนทางดา้ นกรุงเทวทหะน้นั ซ่ึงเป็นเมืองทีม่ ีความเกี่ยวพนั ธก์ นั มาแตใ่ นอดีต จนถงึ พระเจา้ อญั ชนะ ก็ได้ อภิเษกสมรสกบั พระนางยโสธรา ซ่ึงเป็นพระราชธิดาของพระเจา้ ชัยเสนะ ซ่ึงกเ็ ป็นนอ้ งสาวของพระเจา้ สีหนุนนั่ เอง พระองคไ์ ดม้ ีบุตรธิดา ๔ พระองค์ คือ ๑) สุปปพทุ ธะ ๒) ทณั ฑปาณิ ๓) พระนางมายา ๔) พระนางปชาบดี(โคตม)ี พระธรี วัฒน์ จนฺทโสภโณ : วัดไผ่เงนิ โชตนาราม | นักธรรมช้ันเอก 58

59 พระศาสดาประสูติ ปัญจมหาบริจาค นบั ถอยหลงั จากภทั รกลั ป์ น้ีไป ๔ อสงขยั ๑ แสนกลั ป์ พระบรมโพธิสัตวบ์ งั เกิดเป็นสุเมธดาบส ไดพ้ บพระพทุ ธเจา้ พระ นามว่า ทปี ังกร ไดก้ ระทาํ ความปรารถนาพระสัพพญั �ตุ ญาณ เมือ่ ไดร้ บั พุทธพยากรณ์แลว้ ทรงบําเพ็ญเบญจมหาบปริจาค ๕ ประการ คือ ๑) บริจาคทรัพย์เป็ นทาน ๒) บริจาคอวัยวะเป็ นทาน ๓) บริจาคบตุ รเป็ นทาน ๔) บริจาคภรรยาให้เป็ นทาน ๕) บริจาคชีวิตให้เป็ นทาน และบําเพ็ญบารมี ๓๐ ประการ คือ ๑) ทศบารมี ๑๐ ประการ ๒) ทศอปุ บารมี ๑๐ ประการ ๓) ทศปรมตั ถบารมี ๑๐ ประการ บารมี ๓๐ ประการ ๑) ทานบารมี ทรงบาํ เพญ็ ทาน ๒) สีลบารมี ทรงบาํ เพญ็ ศีล ๓) เนกขมั มบารมี ทรงบาํ เพญ็ การบรรพชา ๔) ปัญญาบารมี ทรงบาํ เพญ็ ปรีชาญาณ ๕) วิริยบารมี ทรงบาํ เพญ็ ความเพียร ๖) ขนั ตบิ ารมี ทรงบาํ เพญ็ ขนั ตธิ รรม ๗) สัจจบารมี ทรงบาํ เพญ็ ความสตั ย์ ๘) อธิษฐานบารมี ทรงบาํ เพญ็ การกระทาํ อธิษฐาน ๙) เมตตาบารมี ทรงบาํ เพญ็ การเจริญเมตตา ๑๐) อุเบกขาบารมี ทรงบาํ เพญ็ การวางเฉย สุทธาวาส ๕ พระบรมโพธิสตั ว์ ไดบ้ าํ เพญ็ สมติงสะบารมที ้งั ๓๐ ประการบริบูรณ์ในชาติทีเ่ ป็นพระเวสสันดร คร้ันทวิ งคต แลว้ ไดอ้ ุบตั เิ ป็นสันดุสิตเทวราช เสวยทรพั ยส์ มบตั ิอยใู่ นดสุ ิตเทวโลก บรรลถุ ึงกาลแกก่ ลา้ แห่งพระโพธิญาณแลว้ เทพย ดาท้งั หลายจึงอาราธนาให้จุตลิ งสู่พระครรภ์ ก่อนทพ่ี ระสมั มาสัมพุทธเจา้ จะอุบตั ิข้ึนในโลก ทา้ วมหาพรหมท้งั หลายใน ช้นั สุทธาวาสท้งั ๕ คือ อวิหา อตปั ปา สุทสั สา สุทสั สี และอกนิฏฐกาพรหม ลงมาเที่ยวโฆษณาทว่ั หมืน่ โลกธาตุ อนั เป็น ธาตแุ ห่งพทุ ธโกลาหลวา่ ตอ่ ไปน้ีอกี แสนปี พระสมั มาสัมพทุ ธเจา้ จะบงั เกิดข้ึนในโลก ถา้ ผใู้ ดใคร่จะพบเห็น จงบาํ เพญ็ ทาน รกั ษาศลี เจริญภาวนา และบาํ เพญ็ กศุ ลตา่ งๆ ปัญจโกลาหล เหตทุ ่ีทาํ ใหท้ า้ วมหาพรหมเกิดโกลาหลน้นั มี ๕ ประการ คือ ๑. พุทธโกลาหล ก่อนพระพทุ ธเจา้ อบุ ตั ิ ๑๐๐,๐๐๐ ปี ๒. กปั ปโกลาหล กอ่ นกลั ป์ จะพินาศ ๑๐,๐๐๐ ปี ๓. จกั กวตั โิ กลาหล ก่อนพระเจา้ จกั รพรรดิจะอุบตั ิ ๑๐๐ ปี ๔. มงั คลโกลาหล กอ่ นพระพทุ ธองคจ์ ะแสดงมงคล ๑๒ ปี ๕. โมเนยยโกลาหล กอ่ นที่จะมคี นทลู ถามถงึ โมเนยยปฏิบตั ิ ๗ ปี พระธรี วฒั น์ จนฺทโสภโณ : วดั ไผ่เงนิ โชตนาราม | นกั ธรรมช้ันเอก 59

60 ปัญจบพุ พนมิ ติ คร้นั กาล ๑๐๐,๐๐๐ ปี ลุลว่ งไป ปัญจบุพพนิมิต ๕ ประการ กป็ รากฏมีแกพ่ ระบรมโพธิสัตว์ คือ ๑. ทพิ ยบปุ ผาที่ประดบั พระวรกายเห่ียวแหง้ ๒. ทพิ ยภูษาทที่ รงเศร้าหมอง ๓. พระเสโท(เหงอ่ื ) บงั เกิดไหลออกทางช่องพระกจั ฉะ(รักแร้) ๔. พระสรีระกายมีอาการปรากฏ ๕. มพี ระทยั กระสันเป็นทุกขเ์ บ่อื หน่ายเทวโลก เมอ่ื ปัญจบพุ พนิมิตปรากฏดงั น้ี เทพเจา้ ท้งั หลายกร็ ู้ประจกั ษว์ า่ สนั ดุสิตเทวราชองคน์ ้ี คือองคพ์ ระสพั พ�ั ุ โพธิสตั ว์ จึงพากนั กราบทูลอาราธนา เพ่ือให้จุตลิ งมาเกิดในมนุษยโลก ปัญจมหาวโิ ลกนะ ลาํ ดบั น้นั พระบรมโพธสตั วย์ งั มิไดร้ บั อาราธนา ทรงพิจารณาดปู ัญจมหาวิโลกนะ ๕ ประการ คือ ๑. กาล พระพทุ ธเจา้ จะอบุ ตั ขิ ้ึนในโลก เฉพาะในกาลทีม่ นุษยม์ ีอายุ ระหว่าง ๑๐ ปี ถงึ ๑๐๐,๐๐๐ ปี ๒. ทวีป ในทวปี ท้งั ๔ จะอุบตั ิข้ึนเฉพาะในชมพูทวีปเทา่ น้นั ๓. ประเทศ จะอุบตั ขิ ้ึนเฉพาะในมชั ฌมิ ประเทศเท่าน้นั ๔. สกุล ในระหวา่ งสกลุ กษตั ริย์ กบั สกุลพราหมณ์ ในกาลใดชาวโลกยกยอ่ งสกุลใดวา่ สูงสุด จะอบุ ตั ิข้นึ ใน สกลุ น้นั ๕. มารดา ธรรมดาสตรีที่จะเป็นพทุ ธมารดาน้นั ตอ้ งไมเ่ ป็นสตรีท่ีมีสนั ดานต่าํ ชา้ โลเลต่างๆ มเี ป็นนกั เลงสุรา เป็นตน้ ต้งั แต่เกิดมารกั ษาเบญจศลี เป็นประจาํ และบาํ เพญ็ บารมีมาถงึ แสนกลั ป์ คร้นั ทรงพจิ ารณาเห็นบริบรู ณ์ จึงรบั อาราธนา แลว้ จุตใิ นทพิ ยอทุ ยาน ลงมาปฏิสนธิในพระครรภแ์ ห่งพระนาง เจา้ สิริมหามายา อคั รมเหสีแห่งพระเจา้ สุทโธทนมหาราช ณ กรุงกบลิ พสั ดุม์ หานคร สุบินนมิ ิต จาํ เดิมแต่กอ่ นอาสาฬหปณุ ณมี ๗ วนั มหาชนชาวกบิลพสั ดชุ์ วนกนั เลน่ นกั ขตั ฤกษเ์ อิกเกริกไปทวั่ พระนคร พระนางเจา้ สิริมหามายาเทวี ก็ทรงสุคนธวิเลปนะลบู ไลด้ ว้ ยของหอม ทรงเลน่ นกั ขตั ฤกษเ์ ช่นกนั เม่ือครบ ๗ วนั อนั เป็น อาสาฬหปุณณมี เวลาทรงโสรจสรงน้าํ หอม ๑๑ กระออม ทรงบริจาคมหาทานดว้ ยทรพั ย์ ๔ แสนกหาปณะ เสวย โภชนาหารอนั ประณีต แลว้ ทรงอธิษฐานสมาทานอุโบสถศลี เขา้ สู่ห้องบรรทมอนั เป็นมงคลสิริ ไสยาสนเ์ หนือพระแทน่ เขา้ สู่นิทรารมย์ ในเพลาราตรีในสมยั ใกลร้ ุ่ง ทรงพระสุบนิ ว่า ทา้ วมหาราชท้งั ๔ มายกพระองคไ์ ปพร้อมพระแท่น บรรทม นาํ ไปยงั ป่ าหิมพานต์ ประดิษฐานไวบ้ นแผ่นมโนศิลา ภายใตต้ น้ รงั และมเี ทพธิดามาเชิญเสดจ็ ไปสรงในสระ อโนดาดแลว้ ฉลองพระองคด์ ว้ ยทิพยภษู าลูบไลด้ ว้ ยของหอม ประดบั ดว้ ยบปุ ผชาติอนั เป็นทิพย์ แลว้ เชิญเสด็จข้นึ บรรทมทวี่ ิมานทองบนยอดเขาเงนิ ณ ท่ใี กลน้ ้นั มสี ุวรรณครี ีลูกหน่ึง มพี ญาชา้ งเผือกทอ่ งเทีย่ วอยู่ ลงจากภูเขาไดแ้ ลว้ ได้ ข้นึ มายงั หิรญั ครี ี ชูงวงซ่ึงถือดอกบวั ขาว มกี ลิน่ หอมฟุ้งตลบเขา้ มาภายในกนกวมิ าน กระทาํ ประทกั ษณิ พระนางราชเทวี พระธีรวัฒน์ จนฺทโสภโณ : วดั ไผ่เงนิ โชตนาราม | นักธรรมช้ันเอก 60

61 สิ้น ๓ รอบแลว้ เหมือนหน่ึงเขา้ ไปสู่อทุ รประเทศ พอต่ืนพระบรรทม และขณะเมอื่ ทรงพระสุบินน้นั พระบรมโพธิสตั ว์ เสดจ็ จุตลิ งปฏิสนธิในครรโภทร หมื่นโลกธาตกุ ก็ มั ปนาทหวนั่ ไหว ทํานายสุบินนมิ ติ คร้นั เวลารุ่งเชา้ พระราชเทวจี ึงกราบทลู พระสุบินนิมิตใหพ้ ระราชสามีทรงทราบ พระเจา้ สุทโธทนะจึงตรสั ให้ หาพราหมณาปาโมกขม์ าทาํ นาย พราหมณท์ ้งั หลายกราบทูลพยากรณว์ ่า พระราชโอรสในพระครรภน์ ้นั จะเป็นอคั รบุรุษ มีอานุภาพมาก ถา้ สถติ อยใู่ นฆราวาสวสิ ยั จะเป็นพระบรมจกั รพรรดิ ถา้ ออกบรรพชาจะไดต้ รัสรู้เป็นองคส์ มเดจ็ พระ สัมมาสัมพุทธเจา้ แน่แท้ เม่ือพระนางเจา้ ทรงครรภค์ รบถว้ นทสมาส (๑๐ เดือน) มีพระทยั ปรารถนาจะเสดจ็ กรุงเทวทหะ จึงกราบทลู ขอ พระราชานุญาต เมอ่ื ไดร้ บั พระบรมราชานุญาตแลว้ เวลาเชา้ ในวนั วิสาขปณุ ณมี เสด็จโดยพระเสลี่ยงทองแวดลอ้ มดว้ ย บริวารออกจากพระนคร ลุถึงลมุ พนิ ีวนั อนั ต้งั อยรู่ ะหว่างพระนครท้งั สอง เป็นรมณียสถาน บริบรู ณ์ไปดว้ ยรุกขชาตปิ ปุ ผ ชาติและผลาผล พระนางปรารถนาจะเสด็จประพาส อมาตยท์ ้งั หลายกเ็ ชิญเสด็จแวะ พร้อมดว้ ยนารีราชบริวาร เสดจ็ ไป ยงั ตน้ รงั ทรงจบั กิ่งรัง พอพระหัตถถ์ งึ กิ่งรัง พระนางทรงประทบั ยนื หันพระปฤษฎางคอ์ ิงกบั ตน้ สาละ พระหัตถข์ วา เหนี่ยวกิ่งรงั ผนั พระพกั ตร์ไปทางทศิ บรู พาประสูติพระราชโอรส เสียงท้าวมหาพรหม พระโพธิสัตวเ์ มือ่ ประสูติแลว้ ทรงทอดพระเนตรทศิ ท้งั ๑๐ มิทรงเห็นผูใ้ ดจะเสมอเหมอื นพระองค์ จึงบา่ ยพระ พกั ตร์สู่ทศิ อุดร เสด็จดาํ เนินไป ๗ กา้ ว แลว้ เปล่งพระสุรเสียงอนั ไพเราะดจุ ทา้ วมหาพรหม ซ่ึงประกอบไดด้ ว้ ย องค์ ๘ ประการ คือ ๑) แจ่มใส ๕) หยดย้อย ๒) ชัดถ้อยชัดคาํ ๖) ไม่เครือ ไม่พร่า ไม่แหบ ๓) หวานกล่อมใจ ๗) ซึง้ ๔) เสนาะโสต ๘) มีกงั วาน อาสภวิ าจา ดาํ รัสอาสภิวาจาอยา่ งอาจหาญว่า “เราเป็นผูเ้ ลิศในโลก เราเป็นผูป้ ระเสริฐทีส่ ุดในโลก เราเป็นผเู้ จริญทส่ี ุดในโลก ชาติน้ี เป็นชาติสุดทา้ ย ภพใหมไ่ มม่ อี ีก” ขณะน้นั ท้งั หมืน่ โลกธาตุก็หวน่ั ไหว เกิดโอภาสแสงสว่างไปทวั่ โลกท้งั ปวง ตรัสได้ ๓ ชาติ พระชาตทิ ่ีพระบรมโพธิสตั ว์ พอประสูติจากพระครรภข์ องพระมารดาแลว้ เปลง่ สีหนาทเจรจาได้ มีอยู่ ๓ ชาติ คือ ๑. ชาตทิ ีเ่ ป็นพระมโหสถ ๒. ชาตทิ ี่เป็นพระเวสสนั ดร ๓. ชาตสิ ุดทา้ ยทีเ่ ป็นสิทธตั ถกมุ ารน้ี สหชาติ อน่ึง ในวนั ทพ่ี ระบรมโพธิสัตวป์ ระสูติ มสี หชาตทิ ี่บงั เกิดข้ึนในวนั เดียวกนั น้นั ๗ คอื ๑. พิมพา ๒. พระอานนท์ ๓. กาฬุทายีอาํ มาตย์ ๔. ฉันนะอาํ มาตย์ ๕ มา้ กณั ฐกะ ๖. ตน้ พระศรีมหาโพธ์ิ ๗.ขมุ ทองท้งั ๔ มมุ เมอื ง พระธรี วฒั น์ จนฺทโสภโณ : วดั ไผ่เงนิ โชตนาราม | นักธรรมช้ันเอก 61

62 ทํานายลักษณะ ลาํ ดบั น้นั ทา่ นกาฬเทวลิ ดาบส (หรืออสิตดาบส) ผูไ้ ดส้ มาบตั ิ ๘ คือ รูปฌาน ๔ อรูปฌาน ๔ มฤี ทธ์ิมาก เป็นผู้ คนุ้ เคยกบั ศากยสกุล ไดส้ ดบั ข่าวแลว้ ไดม้ าเย่ยี มพระเจา้ สุทโธทนะ จึงให้เชิญพระราชโอรสมาเพอื่ นมสั การพระดาบส แตพ่ ระบาทท้งั สองของพระบรมโพธิสตั วก์ ลบั ข้ึนไปปรากฏบนศีรษะของพระดาบสเป็นอศั จรรย์ พระดาบสเห็นดงั น้นั ก็สะดุง้ ตกใจ จึงกม้ ลงกราบที่พระบาทท้งั สองของพระโพธิสัตว์ พระเจา้ สุทโธทนะทอดพระเนตรเห็นดงั น้นั จึงยก หัตถข์ ้นึ อภวิ นั ทนาการดว้ ยสาํ คญั พระโอรสวา่ เป็นดุจทา้ วมหาพรหม พระดาบสกพ็ ิจารณาเห็นพระลกั ษณะแห่งพระ โพธิสตั วบ์ ริบรู ณไ์ ปดว้ ยมหาปรุ ิสลกั ษณะ ๓๒ ประการ กท็ ราบไดว้ า่ พระราชกมุ ารองคน์ ้ี จะตรสั รู้เป็นสัพพญั �โู ดย แน่นอน จึงทูลให้พระเจา้ สุทโธทนะทราบ แลว้ ทลู ลากลบั และดาํ ริวา่ ตวั เรามีชีวิตอยไู่ ม่ทนั ทจ่ี ะไดเ้ ห็นพระราชกุมาร ตรัสรู้เป็นพระสพั พ�ั เู จา้ แน่ นาลกะผเู้ ป็นหลานจะไดท้ นั เห็น จึงตรงไปยงั บา้ นนอ้ งสาวตนเอง แลว้ เรียกนาลกะผเู้ ป็น หลานมา บอกเน้ือความให้ฟังทกุ ประการ แลว้ แนะนาํ ให้บวชอยคู่ อยท่าต้งั แตว่ นั น้นั ฝ่ ายนาลกะ ผูไ้ ดส้ ั่งสมบารมีมาเป็น อนั มากก็เช่ือคาํ ของลงุ ปลงผม โกนหนวด นุ่งห่มผา้ กาสาวพสั ตร์ อธิษฐานเพศบรรพชาวา่ “ทา่ นผใู้ ดเป็นอดุ มบุคคลใน โลก ขา้ พเจา้ ขอบรรพชาเฉพาะสาํ นกั ท่านผนู้ ้นั ” แลว้ บ่ายหนา้ ไปยงั ทศิ อนั เป็นทส่ี ถติ แห่งพระบรมโพธิสัตว์ ถวาย นมสั การดว้ ยเบญจางคประดิษฐ์ แลว้ สะพายบาตร ออกจากเคหสถาน ไปเจริญสมณธรรมยงั ป่ าหิมพานต์ เมอ่ื พระโพธิสตั วม์ ีพระชรรษาได้ ๕ วนั พระเจา้ สุทโธทนมหาราช รบั สัง่ ใหเ้ ชิญพราหมณาจารย์ ๑๐๘ คนท่ี สาํ เร็จไตรเพท คือ ฤชุเวท สามเวท และยชุรเวท มาบริโภคโภชนาหารแลว้ ให้เลอื กสรรพราหมณท์ ี่มีความรู้เกี่ยวทาํ นาย ลกั ษณะ ๘ คน คอื ๑. รามพราหมณ์ ๒. ลกั ษณพราหมณ์ ๓. ยญั ญ พราหมณ์ ๔. ธุรพราหมณ์ ๕. โภชนพราหมณ์ ๖. สุทตั ตพราหมณ์ ๗. สยามพราหมณ์ ๘. โกณฑญั ญพราหมณ์ ไดท้ าํ นายพระสุบินนิมติ ของพระเทวีแต่วนั แรกปฏิสนธิ และไดเ้ ห็นมหาปรุ ิสลกั ษณะ ๓๒ ประการ กบั อนุพยญั ชนะ ๘๐ ประการของพระโพธิสัตวแ์ ลว้ เวน้ โกณฑญั ญ พราหมณผ์ ูเ้ ดียว ไดย้ กนิ้วมอื ข้นึ สองนิ้ว ทลู ทาํ นายวา่ “พระราชกมุ ารน้ี มีคตเิ ป็น ๒ คือ ถา้ ดาํ รงอยใู่ นเพศฆราวาส จะได้ เป็นพระเจา้ จกั รพรรดิ ถา้ เสดจ็ ออกผนวช จะไดต้ รัสรู้เป็นพระสัมมาสมั พทุ ธเจา้ ” ส่วนโกณฑญั ญพราหมณ์ มอี ายนุ อ้ ยกว่าพราหมณ์ท้งั หมด เม่ือพจิ ารณาโดยถถ่ี ว้ นแลว้ จึงยกนิ้วข้นึ เพียงนิ้วเดียว โดยทาํ นายวา่ “พระราชกุมาร จะสถติ อยใู่ นฆราวาสวสิ ัยหามิได้ จะทรงออกบรรพชา ตรัสเป็ นองคส์ มั มาสมั พุทธเจา้ โดยแน่แท”้ ราชาภิเษก ถวายพระนาม พระบรมโพธิสตั ว์ มีพระรศั มโี อภาสจากพระสรีรกาย เหตุน้นั พราหมณท์ ้งั หลายจึงถวายพระนามว่า “องั ครี สราชกุมาร” อกี ประการหน่ึงบรมราชโอรสราชจะทรงปรารถนาสิ่งใด ส่ิงน้นั จะสาํ เร็จตามปรารถนาทุกประการ เหตนุ ้นั พราหมณ์ท้งั หลายจึงถวายพระนามวา่ “สิทธตั ถราชกมุ าร” พระราชชนนีทวิ งคต ฝ่ ายพระนางเจา้ สิริมหามายาราชเทวี คร้นั ประสูติโอรสได้ ๗ วนั ก็ทิวงคต ข้ึนไปบงั เกิดในดุสิตเทวเทวโลก ตาม ประเพณีพทุ ธมารดา พระเจา้ สุทโธทนะ จึงจดั สรรพเ่ี ล้ียงนางนมมาให้คอยอภบิ าลบาํ รุงรักษาและมอบให้อยใู่ นความ ดแู ลของพระนางเจา้ มหาปชาบดีพระราชเทวี อีกประการหน่ึง ซ่ึงเป็นพระกนิษฐภคนิ ีของพระนางเจา้ สิริมหามายาเทวี สาํ เร็จปฐมฌาน พระธรี วฒั น์ จนฺทโสภโณ : วัดไผ่เงินโชตนาราม | นกั ธรรมช้ันเอก 62

63 สมยั หน่ึง ถึงวนั วปั ปมงคลการแรกนาขวญั ของบรมกษตั ริย์ ตรัสให้ประดบั ตกแตง่ พระนคร พระองคแ์ วดลอ้ มดว้ ยหมู่ อมาตยพ์ ราหมณ์คฤหบดี เสดจ็ สู่สถานทก่ี ระทาํ การแรกนาขวญั ตรัสให้เชิญพระโพธิสัตวเ์ สดจ็ ไป ณ ท่นี ้นั ดว้ ย และให้ ประทบั อยภู่ ายใตต้ น้ หวา้ ตน้ หน่ึง ส่วนพระองคพ์ ร้อมดว้ ยมุขมนตรี ทรงแรกนาขวญั ดว้ ยพระองคเ์ อง ขณะน้นั พวกพี่ เล้ยี งนางนมท้งั หลาย ละทิง้ พระโพธิสัตวไ์ วแ้ ต่พระองคเ์ ดียว ชวนกนั มาดูการแรกนาขวญั พระโพธิสัตวก์ ็เสด็จลุกข้ึนนง่ั สมาธิ ขดั บลั ลงั กเ์ จริญอานาปานสตกิ รรมฐาน ยงั ปฐมฌานใหเ้ กิดข้ึนให้เกิดข้ึน เวลาน้นั เป็นเวลาบา่ ย เงาร่มไมท้ ้งั หลาย ก็ชายไปตามตะวนั ท้งั สิ้น แต่เงาไมห้ วา้ น้นั ปรากฏเป็นปริมณฑลตรงอยดู่ จุ เวลาเท่ยี งวนั พี่เล้ียงนางนมท้งั หลายกลบั มา เห็นปรากฏการณ์เช่นน้นั จึงไปกราบทูลพระบรมกษตั ริยใ์ ห้ทรงทราบ พระองคก์ ็รีบเสดจ็ มา ทอดพระเนตรเห็นความ มหศั จรรยเ์ ช่นน้นั กย็ กหตั ถน์ มสั การ และดาํ รัสว่า “กาลเมอื่ ประสูตใิ หม่ๆ ใคร่จะให้ถวายนมสั การพระดาบส กลบั กระทาํ ปาฏิหาริยข์ ้นึ ไปยืนอยบู่ นชฎา พอ่ เองก็ประณตไหวเ้ ป็นคร้ังแรก และคร้ังน้ีกท็ าํ อญั ชลีเป็นคาํ รบสอง” แลว้ ให้ เชิญเสด็จกลบั พระนคร เมื่อพระชนมไ์ ด้ ๑๖ พรรษา พระราชบดิ าตรัสใหส้ ร้างปราสาท ๙ ช้นั ข้นึ ๓ หลงั เพอื่ ใหเ้ ป็นทป่ี ระทบั อยตู่ าม ฤดกู าลท้งั ๓ คอื ๑. รมยปราสาท ๒. สุรมยปราสาท ๓. สุขปราสาท พระโพธิสัตวท์ รงแสดงศิลปะใหป้ รากฏแก่หมู่ พระญาติวงศ์ ทรงอภิเษกสมรสกบั พระนางพิมพาเทวี เสวยสุขสโมสรโดยมีสตรีลว้ นๆ ขบั กลอ่ มประโคมดนตรี ตลอด ท้งั กลางคืน กลางวนั ดุจเสวยทิพยสมบตั สิ ืบตอ่ มา บรรพชา เทวทตู ๔ สมยั พระมหาบรุ ุษเสด็จประพาสพระราชอทุ ยานถงึ ๓ วาระ ไดพ้ บคนแก่ชรา คนเจบ็ ป่ วย และคนตาย ซ่ึง เทพยดาเนรมติ ในระหวา่ งทาง กเ็ กิดความสังเวชสลดใจวา่ “ตวั เราน้ีก็ไม่สามารถจะพน้ เสียจากสภาพเหลา่ น้ีไปได”้ ก็ เสด็จกลบั พระราชวงั ยงั มิทนั ถึงพระราชยทุ ยาน ในวาระที่ ๔ ทอดพระเนตรเห็นบรรพชิต ทรงดาํ ริวา่ “การประพฤติ เป็นสมณเพศ เป็นบญุ พธิ ีอนั ประเสริฐ ควรท่ีเราจะถอื เอาอุดมเพศเห็นปานน้ี” กม็ ีพระทยั พอใจในบรรพชาในเวลาน้นั เสดจ็ ออกไปถึงพระอุทยานทรงสาํ ราญอยตู่ ลอดท้งั วนั พอตะวนั เยน็ กเ็ สด็จกลบั ราหุลประสูติ ในขณะน้นั ราชบตุ รไดน้ าํ ข่าวสาส์นไปจากพระราชวงั กราบทลู ว่า “บดั น้ีพระนางพิมพาเทวไี ดป้ ระสูตพิ ระโอรสแลว้ ” พระมหาบรุ ุษไดท้ รงทราบจึงออกพระโอษฐต์ รสั ว่า “บว่ งเกิดข้ึนแลว้ เคร่ืองพนั ธนาการเกิดข้ึนแลว้ แกเรา” จาํ เดิมแต่ น้นั พระกมุ ารจึงไดพ้ ระนามว่า ราหุล และพระองคเ์ สดจ็ ถงึ พระราชนิเวศน์ กีสาโคตมชี มโฉม ในกาลน้นั นางขตั ตยิ กญั ญาองคห์ น่ึง พระนามว่า กีสาโคตมี เสด็จเยี่ยมสีหบญั ชร ไดท้ อดพระเนตร เห็นพระมหาบุรุษ กท็ รงปี ติโสมนสั จึงตรัสชมว่า “พระราชกุมารน้ี เป็นบุตรของพระราชมารดาบิดาองคใ์ ด พระราช มารดาบดิ าพระองคน์ ้นั ก็อาจดบั เสียไดซ้ ่ึงหฤทยั อนั เป็นทุกข์ อน่ึง ผิว่าเป็นภสั ดา(สาม)ี ของนารีใด นารีน้นั กอ็ าจดบั เสีย ไดซ้ ่ึงหฤทยั ทกุ ข”์ พระโพธิสตั วท์ รงสดบั ถึงความดบั ทกุ ข์ ทรงพอพระทยั ในการทจี่ ะแสวงหาความดบั ทุกข์ จึงเปล้ือง สร้อยพระศออนั ประดบั ดว้ ยแกว้ มุกดาหารมีราคาถงึ แสนกหาปณะ ส่งใหร้ าชบรุ ุษนาํ ไปถวาย เพ่อื บูชาจริยคุณแกพ่ ระ นาง พระนางกีสาโคตมีสาํ คญั วา่ พระสิทธตั ถกมุ าร มพี ระทยั ปฏพิ ทั ธ์เสน่หา จึงไดม้ อบสร้อยพระศอให้ กเ็ กิดโสมนสั ยนิ ดีเป็นอยา่ งยง่ิ พระธรี วฒั น์ จนฺทโสภโณ : วัดไผ่เงินโชตนาราม | นักธรรมช้ันเอก 63

64 เสด็จห้องพมิ พา วนั น้นั พระบรมโพธิสตั วม์ ีพระทยั ยนิ ดียิง่ นกั ในบรรพชา ปราศจากอาลยั ในเบญจกามคณุ คอื รูป เสียง กลิน่ รส โผฏฐพั พะ มไิ ดย้ ินดีในการฟ้อนราํ ขบั ประโคมแห่งนางบาํ เรอท้งั หลาย กห็ ยงั่ ลงสู่ความหลบั ประมาณครู่หน่ึง เมอ่ื ตน่ื บรรทมข้นึ มา ไดท้ อดพระเนตรอาการวปิ ริตแห่งนางบาํ เรอท้งั หลายขณะหลบั มีพระทยั สังเวชยิ่งนกั เช่นเดียวกบั เห็น ซากศพเกล่อื นกลาดในป่ าชา้ ภพท้งั ๓ คอื กามภพ รูปภพ และอรูปภพ ปรากฏดจุ เรือนที่ถกู ไฟไหม้ จึงตรัสแกน่ ายฉนั นะวา่ “น่ีแน่ะฉันนะ เราจะออกบรรพชาคืนน้ี เจา้ จงไปผกู มา้ มาใหเ้ ราตวั หน่ึงโดยเร็ว” แลว้ จึงเสดจ็ ไปยงั หอ้ งพิมพาราช เทวดี ว้ ยพระประสงคจ์ ะทอดพระเนตรพระพกั ตร์ของพระราชกุมาร แต่พระนางพิมพาทอดพระกายเหนือพระเศยี ร พระโอรส โดยมิรู้พระองค์ ทรงประทบั ยนื เหยียบบนธรณีพระทวาร ดาํ ริว่า “ถา้ เราจะยกพระหตั ถพ์ มิ พา อมุ้ องคโ์ อรส พระนางก็จะต่นื ก็จะเป็นอนั ตรายต่อบรรพชา อยา่ เลย ตอ่ เมื่อไดส้ าํ เร็จพระสรรเพชฌดาญาณแลว้ จึงจะกลบั มาทศั นา” จึงเสด็จลงจากปรางคป์ ราสาท เสด็จข้ึนมา้ กณั ฐกะ มนี ายฉนั นะตามเสด็จออกจากพระนคร ถงึ อโนมานที ในกาลน้นั เป็นวนั อาสาฬหปณุ ณมีเพญ็ เดือน ๘ ขณะน้นั พญาวสั สวดีมาร เห็นพระโพธิสัตว์ จึงดาํ ริวา่ สิทธตั ถกุมาร ปรารถนาจะหนีออกจากวิสัยของเรา ควรเราจะกระทาํ อนั ตรายตอ่ บรรพชา จึงร้องหา้ มว่า “ดกู ่อนกุมาร ท่านอยา่ ออก บรรพชาเลย อีก ๗ วนั จกั รรัตนะอนั เป็นทิพยจ์ ะปรากฏแก่ท่าน ทา่ นจะไดเ้ ป็นพระเจา้ จกั รพรรดิ” พระโพธิสตั วจ์ ึงตรสั วา่ “ทา่ นจงไปเสียเถดิ เราไม่ปรารถนาจกั รพรรดิสมบตั ิ เราปรารถนาทจ่ี ะยงั หม่นื โลกธาตใุ ห้หวน่ั ไหว ในกาลไดพ้ ุทธ รัตนสมบตั ิ” แลว้ เสด็จผ่าน กรุงกบิลพสั ดุ์ เมอื งสาวตั ถี และเมอื งเวสาลสี ิ้นหนทาง ๓๐ โยชน์ บรรลถุ งึ ฝั่งแมน่ ้าํ อโนมา นที ณ พรหมแดนพระนครท้งั ๓ ในเวลาใกลร้ ุ่ง เสด็จทรงมา้ ขา้ มไปยงั อกี ฝั่งหน่ึง ทรงลงจากหลงั มา้ ประทบั นงั่ บนกอง ทราย ทรงเปล้ืองพระภูษาอาภรณห์ ่อส่งให้นายฉันนะ ตรัสว่า “เจา้ จงนาํ เคร่ืองประดบั กบั มา้ กณั ฐกะกลบั พระนคร เราจะ บรรพชา ณ ทนี่ ้ี” ทรงตดั พระเกศโมฬดี ว้ ยพระขรรค์ พระเกศาท่ีเหลอื ปรากฏประมาณ ๒ องคลุ ีมว้ นกลมเป็น ทกั ขิณาวฏั ทุกๆ เส้นทวั่ ท้งั พระอุตตมงั คศโิ รตม์ ต้งั อยตู่ ราบเทา่ ปรินิพพาน พระมสั สุโลมาก็ปรากฏพอควรแก่พระเกศา แลว้ ทรงจบั พระโมฬนี ้ีขวา้ งข้นึ ไปบนอากาศทรงอธิษฐานว่า ถา้ ขา้ พเจา้ จะไดต้ รัสรู้เป็นพระสมั มาสมั โพธิญาณ ขอจฬุ า โมฬนี ้ีจงลอยอยใู่ นอากาศ อยา่ ไดต้ กลงมา ปรากฏวา่ จฬุ าโมฬแี ละผา้ โพกพระเศียรกล็ อยอยใู่ นอากาศ สมเดจ็ อมรินทราธิ ราชจึงนาํ ผอบแกว้ มารองรับและนาํ ไปบรรจไุ วใ้ นพระจฬุ ามณีเจดีย์ ณ ดาวดึงส์เทวโลก ในกาลน้นั ทา้ วมหาพรหมนามวา่ ฆฏิกาพรหม เคยเป็นสหายพระโพธิสตั วค์ ร้ังเสวยพระชาติเป็นโชติปาล มาณพ ในกาลแห่งพระกสั สปสัมมาสัมพทุ ธเจา้ ไดน้ าํ เครื่องอฏั ฐบริขารมาถวาย พระโพธิสัตวจ์ ึงทรงไตรจีวรกาสาว พสั ตร์อธิษฐานเพศบรรพชา และมอบพระภษู าผา้ ทรงท้งั คูแ่ ต่ยงั เป็นคฤหัสถเ์ พศใหแ้ ก่ทา้ วฆฏกิ าพรหม ทา้ วเธอไดน้ าํ พระภษู าท้งั คูไ่ ปบรรจุไวใ้ นทสุ สเจดีย์ ในพรหมโลก บาํ เพญ็ เพยี ร กาลเมื่อพระมหาบุรุษทรงบรรพชาแลว้ จึงดาํ รัสใหน้ ายฉันนะนาํ มา้ กณั ฐกะกบั เครื่องอาภรณ์ และนาํ ข่าว กลบั ไปบอกยงั กรุงกบลิ พสั ดุ์ นายฉนั นะมีความอาลยั ไมอ่ ยากจะจากพระองคไ์ ป ส่วนมา้ กณั ฐกะพอพน้ ทศั นวสิ ยั ก็ทาํ กาลกิริยาในระหวา่ งทาง ดว้ ยอานุภาพความสวามภิ กั ด์ิ จึงไปอุบตั ใิ นดาวดึงส์เทวโลก ไดน้ ามว่า กณั ฐกเทพบุตร พระธีรวัฒน์ จนฺทโสภโณ : วัดไผ่เงินโชตนาราม | นกั ธรรมช้ันเอก 64

65 พระโพธิสตั วเ์ ม่ือส่งนายฉันนะแลว้ ประทบั อยพู่ ระองคเ์ ดียว ณ บริเวณน้นั อนั ไดน้ ามอนุปิ ยอมั พวนั เวน้ จาก การเสวยพระกระยาหารตลอด ๗ วนั อ่มิ ไปดว้ ยบรรพชาสุข คร้นั วนั ท่ี ๘ เสด็จออกจากไพรสณฑน์ ้นั จาริกไปโดยลาํ ดบั สิ้นทาง ๓๐ โยชน์ กบ็ รรลถุ งึ กรุงราชคฤห์ เสด็จเขา้ ไปบิณฑบาต ประชาชนท้งั เมืองเห็นเขา้ ตา่ งแตกตืน่ โกลาหล คดิ กนั ไปตา่ งๆ นานา ราชบุรุษท้งั หลาย จึงกราบทูลเร่ืองน้ีแกพ่ ระเจา้ พิมพสิ าร พระองคท์ รงรบั สั่งให้ติดตามดู เมอ่ื พระ โพธิสตั วเ์ สด็จออกจากเมอื งไปประทบั เสวยพระกระยาหารทเี่ ชิงเขาบณั ฑวะ จึงกราบทูลให้พระเจา้ พมิ พสิ ารทรงทราบ พระองคจ์ ึงเสด็จไปสอบถาม ทราบว่าเคยเป็นพระสหายที่ไม่เคยพบเห็นหนา้ กนั จึงเช้ือเชิญใหพ้ ระโพธิสัตวอ์ ยู่ โดยจะ แบ่งสมบตั ใิ ห้ครองคร่ึงหน่ึง พระโพธิสตั วต์ รสั ขอบพระทยั และตรสั บอกความประสงคว์ ่า ปรารถนาสัมมาสมั โพธิ ญาณจึงออกบรรพชา พระเจา้ พมิ พสิ ารทรงอนุโมทนา และตรสั ว่า ถา้ บรรลุพระสัพพญั �ตุ ญาณแลว้ ขอใหก้ ลบั มาโปรด โยมบา้ ง แลว้ ทลู ลากลบั พระโพธิสตั วเ์ สดจ็ ไปสู่สาํ นกั แห่งอาฬารดาบส กาลามโคตร ศึกษาจนสาํ เร็จสมาบตั ิ ๗ จนหมด ความรู้ของอาจารย์ จึงลาไปสู่สาํ นกั อทุ กดาบส รามบตุ ร ศึกษาจนสาํ เร็จสมาบตั ิ ๘ คอื รูปฌาน ๔ อรูปฌาน ๔ จึงเรียน ถามธรรมพเิ ศษทยี่ ง่ิ ๆข้นึ ไป พระดาบสบอกไมร่ ู้แลว้ ต้งั พระโพธิสัตวเ์ ป็นอาจารยเ์ สมอตน พระองคท์ รงดาํ ริว่า ทาง ปฏิบตั ิน้ีหาใช่ทางโพธิญาณไม่ มีพระประสงคป์ ระกอบความเพยี รดว้ ยพระองคเ์ อง จึงลาออกสาํ นกั จาริกไปสู่อรุ ุเวลา ประเทศ พิจารณาเห็นเป็นสถานทร่ี ื่นรมยเ์ หมาะแกก่ ารบาํ เพญ็ เพียร จึงยบั ย้งั อาศยั อยู่ ณ ท่นี ้นั ฝ่ ายโกณฑญั ญพราหมณ์ ไดส้ ดบั ข่าวพระมหาบรุ ุษเสด็จออกบรรพชา จึงไปหาบตุ รพราหมณ์ท้งั ๗ คนซ่ึง ทาํ นายลกั ษณะดว้ ยกนั กลา่ ววา่ บดั น้ี สิทธตั ถกมุ ารเสดจ็ ออกบรรพชาแลว้ พระองคจ์ ะไดต้ รัสรู้เป็ นพระพทุ ธเจา้ แน่นอน ถา้ บิดาของพวกทา่ นมีชีวิตอยจู่ ะออกบวชดว้ ยกนั ถา้ ท่านท้งั หลายปรารถนาจะบวชก็จงมาบวชตามพร้อมกนั เถิด บตุ ร พราหมณท์ ้งั ๗ คน ยอมรับจะบวชเพียง ๔ คน โกณฑญั ญะจึงพามาณพท้งั ๔ คือ วปั ปะ ภทั ทยิ ะ มหานามะ อสั สชิ ออก บรรพชาเป็น ๕ คนดว้ ยกนั จึงมนี ามบญั ญตั ิว่า ปัญจวคั คีย์ ชวนกนั สืบเสาะติดตามพระมหาบุรุษในคามนิคมตา่ งๆ มา พบพระองค์ ณ อรุ ุเวลาประเทศ ไดเ้ ห็นพระองคก์ าํ ลงั กระทาํ ความเพยี รอยดู่ าํ ริวา่ คงจะไดต้ รสั รู้แน่ จึงพากนั ทาํ วตั ร ปฏบิ ตั ิอปุ ัฏฐากตา่ งๆ ทุกกรกิริยา ฝ่ ายพระโพธิสตั วด์ าํ ริวา่ “เราจะกระทาํ ความเพียรทุกกรกิริยาให้ถึงท่สี ุดแห่งความเพียรอยา่ งอกุ ฤษฏ”์ จึงเสดจ็ เขา้ ไป บณิ ฑบาต แลว้ ทรงปริวติ กว่า เรายงั กงั วลอยกู่ บั การแสวงหาอาหารมิสมควร จาํ เดิมแตน่ ้นั ไปประทบั ใตต้ น้ ไมใ้ ด กเ็ สวย ผลทีห่ ลน่ จากตน้ ไมน้ ้นั ภายหลงั ไปบิณฑบาต ไดอ้ าหารมากผ็ อ่ นเสวยใหล้ ดนอ้ ยลง จนกระทงั่ ไม่เสวยเลย จาํ เดิมแตต่ ดั อาหารเสียท้งั สิ้น มหาปุริสลกั ษณะ ๓๒ ประการ และอนุพยญั ชนะ ๘๐ ประการก็อนั ตรธานไปสิ้น พระมงั สะ(เน้ือ) พระโลหิต(เลอื ด) กเ็ หือดแห้งซูบผอมย่งิ นกั ยงั แต่พระตจะ(หนงั ) หุ้มพระอฐั ิ(กระดูก) อยมู่ าวนั หน่ึง ทรงพระประชวร บงั เกิดพระกายออ่ นเพลียอิดโรยหิวโหย จนกระทงั่ ทรงวิสัญญีภาพ(สลบ) ลม้ ลงไป เมอ่ื ทรงไดส้ ญั ญาฟ้ืนคนื สติ ทรงดาํ ริว่า ตวั เรายงั ประกอบดว้ ยลมหายใจ นบั ว่ายงั เป็นความพยายามท่หี ยาบอยู่ จึง ทรงกล้นั ลมหายใจ เมอื่ ลมหายใจมิอาจออกทางช่องนาสิก(จมูก) และพระโอษฐ(์ ปาก)ได้ กด็ ้นั ดน้ ไปจะออกทางโสต ทวาร(หู) เมือ่ มอิ าจออกไดก้ ต็ ลบข้นึ ไปบนพระเศียร บงั เกิดเวทนาอยา่ งแรงกลา้ ทาํ ให้ปวดพระเศียร เมื่อไม่มีทางออกจึง หวนลงกลบั สู่อุทรประเทศ(ทอ้ ง) ทาํ ใหเ้ สียดพระอุทรอยา่ งแสนสาหสั กไ็ ม่สามารถจะบรรลคุ ุณธรรมพเิ ศษ จึงดาํ ริว่า บคุ คลใดในโลกทีจ่ ะทาํ ทุกกรกิริยาอยา่ งอุกฤษฏ์ กเ็ พยี งแค่น้ี ไมย่ งิ่ ไปกว่าน้ี การปฏบิ ตั เิ ช่นน้ีเห็นจะมใิ ช่ทางพระ พระธีรวัฒน์ จนฺทโสภโณ : วัดไผ่เงนิ โชตนาราม | นกั ธรรมช้ันเอก 65

66 โพธิญาณ ในขณะน้นั สมเดจ็ พระอมรินทราชทรงพิณ ๓ สายมาดีดถวาย พระโพธิสัตวส์ ดบั แลว้ ทรงพิจารณาเห็นว่า มชั ฌมิ าปฏปิ ทาเป็นหนทางแห่งโพธิญาณ แต่ร่างกายทที่ ุรพลเช่นน้ีมิอาจจะเจริญสมาธิได้ ควรจะเสวยอาหารบาํ รุง ร่างกายเสียก่อน จึงทรงถือบาตรเสด็จบิณฑบาตเสวยต่อไป ฝ่ ายปัญจวคั คียเ์ ห็นเช่นน้นั จึงปรึกษากนั ว่า พระสิทธตั ถ กุมารทรงบาํ เพญ็ ทุกกรกิริยา กม็ ิอาจจะตรสั รู้ได้ เด๋ียวน้ีมาละความเพยี รเสียแลว้ มาเสวยพระกระยาหารใหมอ่ ีก ท่ีไหน เลยจะตรัสรู้สมั มาสัมโพธิญาณได้ เราท้งั หลายจะมาเฝ้าอุปัฏฐากเพือ่ ประโยชน์อนั ใด จึงพากนั ละทง้ิ พระโพธิสตั ว์ เดินทางไปสิ้นหนทาง ๑๕ โยชน์ ลถุ งึ ป่ าอสิ ิปตนมฤคทายวนั ใกลก้ รุงพาราณสี สุชาดาบวงสรวง ความปรารถนาของสุชาดา กลุ ธิดาผหู้ น่ึงนามว่า สุชาดา เป็นธิดาของเสนกุฎมุ พี อยบู่ า้ นเสนานิคมแห่งอรุ ุเวลาประเทศ เมื่อเจริญวยั นางไดก้ ระทาํ การบนบานต่อเทพยดาท่สี ิงสถิตอยู่ ณ ตน้ ไทรตน้ หน่ึงใกลบ้ า้ นวา่ ถา้ ขา้ พเจา้ แตง่ งานต้งั แต่ยงั อยใู่ นวยั รุ่นสาวกบั ชายที่ ทรัพยส์ มบตั ิ มชี าติสกุลเสมอกนั ๑ และมีบตุ รคนแรกเป็นชาย ๑ ขา้ พเจา้ จะทาํ การบวงสรวงแกบ้ นแกพ่ ระองคด์ ว้ ย ส่ิงของมคี ่าหน่ึงแสนกหาปณะ วิธที ําข้าวมธุปายาส ตอ่ มา นางไดส้ าํ เร็จสมความปรารถนาทกุ อยา่ ง จึงปรารถนาทีจ่ ะทาํ พลกี รรมบวงสรวงเทพยดา จึงใหท้ าสกรรมกรของ นาง นาํ แมว่ วั นมประมาณ ๑,๐๐๐ ตวั ไปเล้ยี งทป่ี ่ าชะเอม ใหก้ ินเครือเถาชะเอม เพอื่ หวงั จะใหน้ ้าํ นมทห่ี วาน แลว้ ใหแ้ บ่ง แมว่ วั ออกเป็น ๒ พวก พวกละ ๕๐๐ ตวั จึงใหร้ ีดเอาน้าํ นมแห่งววั นม ๕๐๐ ฝ่ ายหน่ึงไปให้แม่ววั นม ๕๐๐ อกี ฝ่ ายหน่ึง ดื่มกิน แลว้ ใหแ้ ม่ววั ทด่ี ่ืมน้าํ นมน้นั ไปเล้ยี งในป่ าชะเอม แลว้ แบ่งออกเป็น ๒ พวก รีดน้าํ นมจากพวกหน่ึงไปให้อีกพวก หน่ึงดื่มกิน ทาํ อยโู่ ดยทาํ นองน้ี จนกระทง่ั เหลอื แม่ววั นมอยู่ ๘ ตวั ในวนั ข้ึน ๑๔ คา่ํ เดือน ๖ ในเวลาใกลร้ ุ่ง นางใหค้ น ไปจบั แมว่ วั นมท้งั ๘ ผกู ไวแ้ ลว้ รีดน้าํ นมใส่กะทะบนเตาไฟหุงขา้ วมธุปายาส สุบนิ นิมติ ในคืนวนั น้นั พระบรมโพธิสัตวบ์ รรทมหลบั ไป ทรงสุบินนิมิต ๕ ประการ คือ ๑. พระองคท์ รงบรรทมหงายบนพ้ืนดิน มีภูเขาหิมวนั ตเ์ ป็นเขนย พระพาหาซ้ายหยงั่ ลงไปในมหาสมทุ รทิศ บรู พา พระพาหาขวาหยง่ั ลงไปในมหาสมุทรทิศปัศจิม พระบาทท้งั คลู่ งไปในมหาสมุทรทศิ ทกั ษิณ ๒. หญา้ แพรกงอกข้นึ แตพ่ ระนาภี(สะดือ) สูงข้ึนไปถึงห้องฟ้า ๓. หมู่หนอนลว้ นมตี วั ขาว หัวดาํ ไต่ข้ึนมาจากพระบาทจนถงึ พระชาณุ(เขา่ ) ๔. นก ๔ จาํ พวก คอื สีเหลอื ง สีเขียว สีแดง และสีดาํ บนิ มาจากทศิ ท้งั ๔ มาจบั ฟบุ ลงแทบพระบาท แลว้ กลบั กลายเป็นสีขาวไปท้งั สิ้น ๕. พระองคเ์ สด็จข้นึ ไปจงกรมบนยอดเขาทเ่ี ปรอะเป้ื อนไปดว้ ยมูตรคูถ แต่พระบาทของพระองคม์ ไิ ดเ้ ปรอะ เป้ื อน พระองค์ทรงทาํ นายด้วยพระองค์เองว่า ขอ้ ๑ เป็นนิมิตที่จะไดต้ รสั รู้พระสัมมาสัมโพธิญาณ ขอ้ ๒ เป็นนิมิตที่จะเทศนาอริยมรรค ๘ ประการแก่ เทวดา และมนุษยท์ ้งั หลาย พระธรี วฒั น์ จนฺทโสภโณ : วดั ไผ่เงินโชตนาราม | นกั ธรรมช้ันเอก 66

67 ขอ้ ๓ เป็นนิมิตท่ีหมู่คฤหัสถจ์ ะมาสู่สาํ นกั ของพระองคเ์ ป็นอนั มาก และบรรลุไตรสรณคมน์ ขอ้ ๔ เป็นนิมิตวา่ วรรณะท้งั ๔ จะมาบรรพชาในพระธรรมวนิ ยั และตรัสรู้วมิ ุตติธรรม ขอ้ ๕ เป็นนิมิตว่า พระองคจ์ ะไดป้ ัจจยั ๔ แต่ไม่ตดิ อยใู่ นปัจจยั เหลา่ น้นั ถวายข้าวมธุปายาส พอราตรีสว่างข้ึน ๑๕ ค่าํ แห่งวิสาขปณุ ณมี พระบรมโพธิสัตวท์ รงชาํ ระสรีรกาย แลว้ ประทบั นงั่ ทีโ่ คนตน้ ไทร ฝ่ ายนาง สุชาดาใชใ้ ห้นางปณุ ณทาสีไปกวาดภายใตต้ น้ ไทร นางไปพบพระโพธิสัตวเ์ ขา้ ใจว่า เป็นเทวดานง่ั คอยรับเครื่องพลี กรรม จึงรีบกลบั มาบอกนางสุชาดา นางสุชาดาพร้อมดว้ ยบริวารนาํ ขา้ วมธุปายาสไปยงั ตน้ ไทร เห็นพระมหาสตั วก์ ็เกิด โสมนสั ยินดี จึงนาํ ขา้ วมธุปายาสเขา้ ไปถวายพร้อมท้งั ถาดทองประณตไวแ้ ลว้ กลา่ ววา่ “มโนรถของขา้ สาํ เร็จ ฉนั ใด ขอ ส่ิงทพ่ี ระองคป์ ระสงค์ จงสาํ เร็จ ฉันน้นั ” แลว้ ทลู ลากลบั ทรงลอยถาด พระโพธิสตั วท์ รงถอื ถาดขา้ วมธุปายาส เสดจ็ มายงั ริมฝั่งแม่น้าํ เนรัญชรา เสดจ็ สรงชาํ ระพระวรกายให้สะอาดแลว้ ข้ึนมา ประทบั นง่ั ป้ันขา้ วมธุปายาสได้ ๔๙ ป้ัน ทรงเสวยจนหมดแลว้ ถอื ถาดทองพลางอธิษฐานวา่ “ถา้ ขา้ พเจา้ จะไดต้ รสั รู้เป็น พระบรมโลกนารถ ขอให้ถาดน้ี จงลอยทวนกระแสน้าํ ข้นึ ไป” จึงลอยถาดในแม่น้าํ ขณะน้นั ถาดทองไดล้ อยทวน กระแสน้าํ ไปไกลประมาณ ๘๐ ศอกแลว้ กจ็ มลง พระโพธิสัตวท์ อดพระเนตรเห็นนิมิตดงั น้นั ก็ทรงโสมนสั เสดจ็ กลบั สาลวนั (ป่ ารัง) เสดจ็ สู่ต้นพระศรีมหาโพธ์ิ พอสายณั ห์ตะวนั บ่าย ก็เสด็จจากป่ ารัง ทรงรับหญา้ คา ๘ กาํ มือทโี สตถิย พราหมณถ์ วายในระหวา่ งทาง เสด็จไปไกล้ โพธิมณฑล แลว้ ทรงปลู าดหญา้ คาอธิษฐานเป็นรตั นบลั ลงั ก์ ประทบั นง่ั ผินพระพกั ตร์สู่ทิศบูรพา พระปฤษฎางคส์ ู่ลาํ ตน้ มหาโพธ์ิ ขดั สมาธิต้งั พระกายตรง ดาํ รงสตมิ น่ั เจริญอานาปานสตภิ าวนาแลว้ ต้งั สตั ยาธิษฐานว่า “ถา้ กมลสนั ดานยงั ไม่ พน้ อาสวะกิเลสตราบใด แมพ้ ระมงั สะ(เน้ือ) พระโลหิต(เลอื ด) จะเหือดแห้งไป เหลอื แต่พระตจะ(หนงั ) นหารุ(เอน็ ) และพระอฐั ิ(กระดกู ) ก็ตามทเี ราจะไมล่ ุกข้นึ จากบลั ลงั กน์ ้ี” ผจญมาร ทรงสูด้ ว้ ยพระบารมี ในกาลน้นั พระญาวสั สวดีมารผูม้ ีใจบาป ตดิ ตามพระมหาบรุ ุษอยทู่ กุ เมือ่ จึงดาํ ริวา่ “พระสิทธตั ถ กุมารปรารถนาจะพน้ วิสยั แห่งเรา เราควรจะทาํ อนั ตราย อยา่ ให้พน้ วิสัยเราไปได”้ แลว้ ประกาศใหพ้ ลเสนามารมา ประชุมพร้อมกนั ให้เนรมิตกายมปี ระการต่างๆ ฝ่ ายพระบรมโพธิสตั ว์ ทอดพระเนตรเห็นพญามาร ทรงชา้ งคิรีเมขละ พร้อมดว้ ยพลเสนามารเป็นจาํ นวนมากมอี าวุธครบมอื ทรงราํ พึงในพระทยั วา่ “ขา้ ศกึ เป็นจาํ นวนมาก จะกระทาํ การยา่ํ ยี เราเพียงผูเ้ ดียว ในท่ีน้ีพระประยรู ญาติพระราชบิดา และพนี่ อ้ งญาตมิ ติ รผูจ้ ะเป็นทพ่ี ่งึ พาํ นกั และช่วยรบปัจจามิตรก็ไมม่ ี เวน้ เสียแตพ่ ระบารมเี ท่าน้นั ” ดงั น้นั พระองคจ์ ึงทรงใชบ้ ารมี ๓๐ ประการและบรุ ุษโยธา ๗ ประการ คือ ศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิ ปัญญา หิริ และโอตตปั ปะ เขา้ ต่อสูก้ บั พญามาร จนพญามารพา่ ยแพ้ ยกหตั ถข์ ้ึนนมสั การกล่าวสรรเสริญแลว้ กลบั ไป องคพ์ ระบรมโพธิสตั วข์ จดั มารเสียไดก้ ่อนทพ่ี ระอาทติ ยจ์ ะอสั ดงคต พระธีรวัฒน์ จนฺทโสภโณ : วัดไผ่เงินโชตนาราม | นกั ธรรมช้ันเอก 67

68 ตรัสรู้ ปฐมยาม คร้นั ล่วงเขา้ ราตรีปฐมยาม พระมหาบุรุษทรงเจริญสมาธิภาวนา ยงั สมาบตั ิ ๘ ประการให้บงั เกิดข้ึน แลว้ ทรงบรรลุญาณ อนั เป็นปัญญาท่ี ๑ คอื ปพุ เพนิวาสานุสสตญิ าณ ความรู้ระลกึ ชาตหิ นหลงั ของตนเองได้ ทรงระลึกดว้ ยกาํ ลงั อภิญญา โดยปฏิโลมถอยหลงั ไปต้งั แต่บลั ลงั กอ์ าสน์ หน่ึงชาติ สองชาติจนกระทงั่ หาประมาณมไิ ด้ มชั ฌมิ ยาม พอลว่ งเขา้ มชั ฌิมยาม ทรงบรรลุ จตุ ูปปาตญาณ หรือทพิ พจกั ขุญาณ พระองคท์ รงมที ิพพจกั ษุ ลว่ งจกั ษุมนุษย์ เห็นเหล่า สตั วท์ ่จี ตุ แิ ละบงั เกิดในทีต่ ่าํ ชา้ และประณีต มผี ิวพรรณทรามและดีในทคุ ติและสุคติ ตามสมควรแกอ่ กศุ ลและกุศลท่ตี น ไดก้ ระทาํ ไว้ เหมอื นบุรุษทอ่ี ยใู่ นทีส่ ูงใกลท้ าง ๔ แพร่ง สามารถเห็นเหลา่ ชนทส่ี ญั จรไปมาจากที่น้ีสู่ทีโ่ นน้ ได้ ปัจฉิมยาม เมอื่ ล่วงปัจฉิมยามสมยั ใกลร้ ุ่ง ทรงหยงั่ พระญาณลงพิจารณาปัจจยาการในปฏิจจสมุปบาทธรรม คืออวิชชา เป็นปัจจยั ให้ เกิดสงั ขารเป็นตน้ อนั เป็นปัจจยั อาศยั ซ่ึงกนั และกนั เกิดข้นึ เป็นลาํ ดบั นบั ว่าเป็นท่เี กิดแห่งกองทุกขท์ ้งั ปวง แลว้ พิจารณา ถงึ การดบั กองทุกขท์ ้งั มวลว่า เม่อื อวิชชาดบั สงั ขารกพ็ ลอยดบั ตามไปดว้ ยเป็นตน้ ทรงพิจารณาท้งั โดยส่วนอนุโลมและ ปฏโิ ลม ในขณะน้นั ก็พอเป็นเวลาทีแ่ สงทองแห่งอรุณทอแสงข้นึ จบั ขอบฟ้า พระบรมโพธิสัตวก์ ็ตรสั รู้พระสพั พญั �ตุ ญาณ ดบั สูญสิ้นกิเลสวะเป็นสมจุ เฉทปหาน พร้อมดว้ ยความมหัศจรรย์ หมนื่ โลกธาตุบนั ลอื ลน่ั ดว้ ยการหวนั่ ไหวแห่ง ปฐพีดล พระทศพลจึงเปล่งสีหนาทเป็นปฐมอทุ านเยาะเยย้ ตณั หาดว้ ยพระคาถาวา่ อเนกชาติสสํ ารํ เป็นตน้ สัตตมหาสถาน ๑. ตน้ พระศรีมหาโพธ์ิ สมเด็จพระสัพพญั �ู เม่ือไดต้ รัสรู้แลว้ ก็ทรงประทบั นงั่ โดยเอกบลั ลงั กเ์ ขา้ สู่สมาบตั ิน วานุปุพพวิหาร คอื รูปฌาน ๔ อรูปฌาน ๔ และสัญญาเวทยติ นิโรธ และทรงพิจารณาปฏจิ จ- สมปุ บาทตลอด ๓ ยามแห่ง ราตรี แลว้ เปล่งอทุ าน ดงั น้ี อุทานในยามตน้ ว่า “เมอ่ื ใด ธรรมท้งั หลายปรากฏแกพ่ ราหมณ์ผมู้ ีความเพยี รเพ่งอยู่ เมือ่ น้นั ความสงสยั ท้งั ปวงของ พราหมณ์น้นั ยอ่ มสิ้นไป เพราะมารู้แจง้ ธรรมว่า เกิดแต่เหตุ” อุทานในยามท่ามกลางวา่ “เมื่อใด…….ฯลฯ เพราะไดร้ ู้ความสิ้นไปแห่งปัจจยั ท้งั หลาย (ว่าเป็นเหตุสิ้นไปแห่งผล ท้งั หลายดว้ ย) อุทานในยามสุดทา้ ยวา่ “เมอื่ ใด…….ฯลฯ เม่อื น้นั พราหมณน์ ้นั ยอ่ มกาํ จดั มารและเสนาเสียได้ ดุจอาทติ ยอ์ ทุ ยั กาํ จดั ความมดื ทาํ อากาศให้สว่างฉะน้นั ” ๒. อนิมสิ สเจดีย์ คร้นั ลว่ ง ๗ วนั เสดจ็ ออกจากตน้ พระศรีมหาโพธ์ิ ไปทางทศิ อีสานประทบั ยืนทอดพระเนตร บูชาพระศรีมหาโพธ์ิตลอดเจ็ดวนั โดยมไิ ดก้ ระพริบพระเนตร เหตุน้นั สถานท่ีน้นั จึงไดน้ ามว่า อนิมสิ สเจดีย์ ๓. รตั นจงกรมเจดีย์ พอลว่ งไปได้ ๗ วนั เสดจ็ จากท่นี ้นั กลบั มาหยดุ ณ ระหวา่ งกลางแห่งพระศรีมหาโพธ์ิกบั อ นิมิสสเจดีย์ อธิษฐานทจ่ี งกรม ทรงจงกรมกลบั ไปกลบั มาตลอด๗ วนั สถานทนี่ ้นั จึงไดน้ ามวา่ “รัตน-จงกรมเจดีย”์ พระธรี วฒั น์ จนฺทโสภโณ : วดั ไผ่เงินโชตนาราม | นกั ธรรมช้ันเอก 68

69 ๔. รตั นฆรเจดีย์ ในสัปดาห์ท่ี ๔ เสด็จไปสู่รตั นฆรเจดีย์ ซ่ึงเทวดาเนรมิตข้นึ ในทิศพายพั แห่งตน้ พระศรีมหา โพธ์ิ ทรงพจิ ารณาพระไตรปิ ฎก อนั ประกอบดว้ ย อาคม ๔ นิกาย ๕ องค์ ๙ และพระธรรมขนั ธ์ ๘,๔๐๐๐ เมื่อพระองค์ พิจารณาถงึ มหาปัฏฐาน ซ่ึงมปี ัจจยั ๒๔ พระฉพั พรรณรงั สี คอื รศั มี ๖ ประการ มีโอภาส แผ่ซ่านออกจากพระสรีรกาย แวดลอ้ มไปโดยรอบประมาณ ๑๒ ศอก ๕. อชปาลนิโครธ เม่ือหน่ึงสัปดาห์ลว่ งแลว้ กเ็ สด็จไปยงั ตน้ ไทร ซ่ึงเป็นที่พกั ร่มแห่งคนเล้ียงแพะอนั ไดช้ ื่อวา่ อชปาลนิโครธ ซ่ึงต้งั อยทู่ างทิศบูรพาแห่งตน้ พระศรีมหาโพธ์ิ มีพราหมณ์ผูห้ น่ึงมกั ตวาดผอู้ ่นื ว่า หึง หึง หรือ หุง หุง ทลู ถามถึงพราหมณ์และธรรมทท่ี าํ คนให้เป็นพราหมณแ์ ละนางมารธิดาท้งั ๓ คือ นางตณั หา นางราคา และนางหรดี รับ อาสาบิดามาเพ่อื จะทาํ ให้พระพทุ ธะตกอยใู่ นอาํ นาจ ๖. มุจจลินท์ ในสปั ดาห์ที่ ๖ เสด็จไปยงั ตน้ จิก ซ่ึงอยทู่ างทิศอาคเนยแ์ ห่งตน้ พระศรีมหาโพธ์ิ สัปดาห์น้นั มฝี น อนั เจือลมหนาวตกพรําตลอด ๗ วนั พญานาคตนหน่ึงช่ือ มุจจลนิ ท์ บงั เกิดอยใู่ นสระโบกขรณีมีอยใู่ กลต้ น้ จิกน้นั เขา้ มา วงขนดกาย ๗ รอบ วงรอบพระวรกายพระพทุ ธองค์ และแผพ่ งั พานป้องกนั ฝนมใิ ห้ถกู พระวรกาย เม่อื ฝนหายไปแลว้ จึง จาํ แลงเพศเป็นมาณพ ยนื ถวายนมสั การเฉพาะพระพกั ตร์แลว้ หลีกไป พระองคท์ รงเปล่งอุทานวา่ “ความสงดั เป็น ความสุขของบุคคลผมู้ ธี รรมอนั ตนสดบั แลว้ ยินดีในความวเิ วกเป็นตน้ ” เหตนุ ้นั สถานท่ีน้นั จึงไดน้ ามว่า มจุ จลนิ ท์ ๗. ราชายตนะ จากน้นั พระองคก์ เ็ สดจ็ ไปยงั ตน้ เกด อนั ไดน้ ามว่า ราชายตนะ ซ่ึงมีอยทู่ างทิศทกั ษณิ แห่งตน้ พระศรีมหาโพธ์ิ ทรงเสวยวมิ ตุ ติสุข ณ ทีน่ ้ี ๑ สปั ดาหอ์ นั เป็นกาลสุดทา้ ย ในกาลน้นั มพี าณิชสองพีน่ อ้ ง ชื่อตปุสสะ กบั ภลั ลกิ ะ นาํ ขา้ วสัตตกุ อ้ นและสตั ตผุ งมาถวาย ขณะน้นั บาตรของพระองคไ์ ม่มี ทา้ วมหาราชท้งั ๔ ไดน้ าํ เอาบาตรศลิ า มาถวาย เมอ่ื พระพุทธองคท์ รงทาํ ภตั กิจเสร็จ พานิช ๒ พ่นี อ้ งแสดงตนเป็นอุบาสก โดยถึงพระพทุ ธกบั พระธรรมเป็น สรณะที่พ่ึง ประเภทเทววาจิกอบุ าสก นบั วา่ เป็นอบุ าสกคนแรกในโลก แลว้ ทูลขอสิ่งของท่รี ะลกึ พระองคท์ รงประทาน พระเกสา ๘ เสน้ พรหมอาราธนา พอสัปดาหท์ ี่ ๗ ผา่ นไป พระพุทธองคเ์ สดจ็ จากร่มไมร้ าชายตนะ กลบั ไปยงั อชปาลนิโครธ ทรงปริวติ กว่า “ธรรมดาบุคคลไม่มสี ่ิงทตี่ นจะพึงเคารพสกั การะ ยอ่ มอยเู่ ป็นทุกข์ ตถาคตจะพึงยดึ ผใู้ ดเป็นท่ีเคารพสกั การะในบดั น้ี” เมอ่ื ทรงตรวจดูแลว้ ไม่เห็นมีใครท่ีจะเหมาะสมนอกจากพระโลกตุ ตรธรรมและทรงดาํ ริตอ่ ไปวา่ พระธรรมท่ีตถาคตตรสั รู้น้ี ลึกซ้ึงสุขุมคมั ภรี ภาพ ยากท่ีเหล่าสัตวจ์ ะรู้ตามได้ ดงั น้นั พระองคจ์ ึงมีความขวนขวายนอ้ ย เกิดความทอ้ ถอยในการที่ แสดงธรรมโปรดเวไนยสตั ว์ ดอกบัว ๔ เหล่า ในกาลน้นั ทา้ วสหัมบดีพรหมทราบพุทธปริวติ ก จึงดาํ ริว่า โลกท้งั ปวงจะถึงความพนิ าศคร้ังน้ี เหตุทีพ่ ระชินสีห์ไม่ ปรารถนาจะแสดงธรรมโปรดสตั ว์ จึงพร้อมดว้ ยทวยเทพท้งั หลาย ลงมาจากพรหมโลกกราบทลู อาราธนาว่า “ขา้ แต่ พระองคผ์ ูเ้ จริญ ขอพระองคผ์ ูท้ รงมหากรุณา โปรดประทานพระสัทธรรมเทศนา สตั วท์ ้งั หลายมสี นั ดานเบาบางจาก กิเลสก็มีอยใู่ นโลกเป็นอนั มาก เมื่อมไิ ดส้ ดบั พระธรรมเทศนา จกั เส่ือมสูญจากมรรคผลนิพพานอนั เป็นประโยชนอ์ ยา่ ง ใหญ่หลวง” พระพุทธองคเ์ มื่อไดท้ รงสดบั อาราธนา มพี ระหฤทยั กรุณาในหมู่สตั ว์ ทรงพิจารณากท็ ราบชดั ว่า หม่สู ัตวม์ ี ๔ จาํ พวก เปรียบไดก้ บั บวั ๔ เหลา่ คือ พระธรี วฒั น์ จนฺทโสภโณ : วดั ไผ่เงินโชตนาราม | นักธรรมช้ันเอก 69

70 ๑. อคุ ฆฏิตญั �ู บุคคลทม่ี ปี ัญญาดี และมกี ิเลสเบาบาง สามารถจะรู้ไดเ้ ร็วพลนั เหมอื นดอกบวั ทพี่ น้ น้าํ พอตอ้ ง แสงอาทิตยก์ ็บานทนั ที ๒. วิปจิตญั �ู บคุ คลผมู้ ปี ัญญาปานกลาง และมีกิเลสปานกลาง เมอื่ ไดฟ้ ังซ้าํ กอ็ าจบรรลุได้ เหมอื นดอกบวั ทอี่ ยู่ เสมอน้าํ จะบานในวนั พรุ่งน้ี ๓. เนยยะ บคุ คลทมี่ ปี ัญญาออ่ น และมกี ิเลสหนาแน่น เมือ่ ไดฟ้ ังอยบู่ ่อยๆ พยายามทาํ ความเพยี รไมข่ าดระยะ ก็ สามารถจะบรรลุได้ เหมอื นดอกบวั ทอ่ี ยใู่ ตน้ ้าํ มโี อกาสท่จี ะบานในวนั ตอ่ ไป ๔. ปทปรมะ บุคคลทป่ี ราศจากปัญญา หนาแน่นไปดว้ ยกิเลส ไม่รู้จกั เหตุและผล เป็นบคุ คลทไ่ี มค่ วรจะตรัสรู้ แต่เพ่ือเป็นนิสัยวาสนาในกาลต่อไป เปรียบไดเ้ ช่นกบั ดอกบวั ท่ีงอกข้นึ ใหม่ อยใู่ ตน้ ้าํ ลกึ ยากท่ีจะพน้ จากการเป็นอาหาร แห่งเต่าและปลา เมื่อทรงพจิ ารณาเห็นดงั น้ี จึงทรงรับอาราธนา ทา้ วสหัมบดีพรหมทรงทราบพระพทุ ธองคท์ รงรับอาราธนาแลว้ จึงพากนั ทลู ลากลบั ปฐมเทศนา เมอื่ พระผมู้ ีพระภาคทรงรบั อาราธนาแลว้ ทรงดาํ ริว่า ตถาคตจะไปแสดงธรรมโปรดผูใ้ ดก่อน ผใู้ ดจะตรัสรู้โล กตุ ตรธรรมไดโ้ ดยพลนั ก็ทรงหวนระลึกถงึ อาฬารดาบส กาลามโคตร แต่กท็ รงทราบดว้ ยทพิ พจกั ขญุ าณว่า พระดาบส สิ้นชีพตกั ษยั ไป ๗ วนั แลว้ จึงหวนราํ ลกึ ถงึ อุทกดาบส รามบตุ ร ทรงทราบวา่ สิ้นชีพไปแลว้ เมอื่ เยน็ วนั วานน้ี กท็ รง เสียดายว่า พระดาบสท้งั สองเป็นผมู้ ปี ัญญาดี ถา้ อยคู่ อยทา่ พระองค์ ไดส้ ดบั พระธรรมเทศนา กจ็ ะพลนั ตรัสรู้ เสด็จเมืองพาราณสี ตอ่ จากน้นั ทรงคาํ นึงถึงปัญจวคั คีย์ ซ่ึงเคยมอี ปุ การะแกพ่ ระองค์ กท็ รงทราบวา่ อยทู่ ี่ป่ าอสิ ิปตนมฤคทายวนั ใกลก้ รุงพาราณสี ดงั น้นั ในวนั ข้ึน ๑๔ คา่ํ เดือน ๘ ตอนเชา้ ทรงจีวรและบาตร เสด็จเที่ยวโคจรบณิ ฑบาตในบา้ นเสนา นิคม กระทาํ ภตั กิจเสร็จแลว้ ทรงดาํ เนินไปสู่ป่ าอสิ ิปตนมฤคทายวนั พบอปุ กาชีวกในระหวา่ งทาง ระหวา่ งตน้ พระศรี มหาโพธ์ิ กบั คยาประเทศ อาชีวกเห็นพระฉพั พรรณรงั สี เกิดปี ติปราโมทย์ จึงปราศยั วา่ “ดูก่อนอาวโุ ส อนิ ทรียข์ องท่าน งามย่งิ ผิวกายกผ็ ดุ ผ่อง ทา่ นมนี ามใด บวชในสาํ นกั ของผใู้ ด ใครเป็นครูของทา่ น ทา่ นไดเ้ ล่าเรียนธรรมในสาํ นกั ของ อาจารยผ์ ูใ้ ด” พระพทุ ธองคต์ รัสวา่ “ดกู อ่ นอาชีวก เราเป็นพระสยมั ภู ตรสั รู้เอง ไม่มใี ครเป็นครูอาจารย์ ตถาคตประกอบ ไปดว้ ยอรหาทิคุณเป็นตน้ ” อาชีวกฟังแลว้ กลา่ ววา่ “อาวโุ ส ท่านกลา่ วปฏญิ าณเช่นน้นั ขา้ พเจา้ เห็นจริง ควรทท่ี า่ นจะได้ นามว่า อนนั ตชินะ” กลา่ วสรรเสริญพระพทุ ธคุณแลว้ หลกี ไป พบปัญจวัคคีย์ ในวนั น้นั ต้งั แต่ตอนเชา้ ปัญจวคั คียต์ ่างระลึกถึงพระมหาบุรุษนงั่ สนทนากนั อยู่ พอเห็นพระองคเ์ สด็จมาแต่ไกล ก็จาํ ได้ จึงนดั หมายกนั วา่ พวกเราไม่พงึ ไหว้ ไมพ่ งึ ลุกข้ึนตอ้ นรับ ไม่พงึ ลุกข้นึ รบั บาตรจีวร แต่พึงจดั อาสนะไว้ เม่ือเธอ ปรารถนาจะนง่ั ก็จงนง่ั เถิด เม่ือพระองคเ์ สด็จไปถึงตา่ งคนต่างลมื สญั ญากลบั ทาํ การตอ้ นรบั เป็นอยา่ งดี แตย่ งั ใชค้ าํ วา่ อาวโุ ส และเรียกพระนามวา่ โคดม อนั เป็นการไม่เคารพ พระองคท์ รงห้าม แลว้ ตรสั ว่า “เราไดต้ รสั รู้อมฤตธรรมโดย ชอบเองแลว้ เธอท้งั หลายคอยฟังเถิด เมื่อเธอปฏบิ ตั ิตามทเี่ ราสอน มชิ า้ ก็จะไดบ้ รรลอุ มฤตธรรมน้นั ” ปัญจวคั คียค์ ดั คา้ น พระธรี วัฒน์ จนฺทโสภโณ : วัดไผ่เงนิ โชตนาราม | นักธรรมช้ันเอก 70

71 ถึง ๓ คร้ัง พระองคก์ ็ตรสั ให้ระลึกยอ้ นหลงั วา่ “คาํ น้ีพระองคเ์ คยตรสั หรือเปล่า” ปัญจวคั คียด์ าํ ริวา่ คาํ เช่นน้ีพระองคม์ ิ เคยตรัสมากอ่ น จึงยอมรับฟัง แสดงธรรมจักกปั ปวัตตนสูตร ในวนั เพญ็ ข้ึน ๑๕ คา่ํ แห่งอาสาฬหมาส (เดือน ๘) พระองคต์ รสั เรียกปัญจวคั คยี ม์ าแลว้ ทรงประกาศพระ สพั พญั �ตุ ญาณ โดยการยงั วงลอ้ แห่งธรรมให้เป็นไปแก่ชาวโลกท้งั ปวง ในวาระแรกทรงประกาศทาง ๒ สายทไ่ี ม่ควรดําเนนิ คือ ๑. กามสุขลั ลกิ านุโยค การหมกมนุ่ หาความสุขอยใู่ นกาม ๒. อตั ตกิลมถานุโยค การกระทาํ ความเพียรโดยการทรมานกายใหล้ าํ บาก ในวาระท่ี ๒ ทรงประกาศทางสายกลางท่คี วรดาํ เนนิ คือ มัชฌมิ าปฏปิ ทา ได้แก่ มรรคมอี งค์ ๘ ประการ คือ ๑. สมั มาทฏิ ฐิ ปัญญาเห็นชอบ ๒. สมั มาสังกปั ปะ ความดาํ ริชอบ ๓. สัมมาวาจา เจรจาชอบ ๔. สัมมากมั มนั ตะ การงานชอบ ๕. สมั มาชีวะ เล้ยี งชีวิตชอบ ๖. สมั มาวายามะ พยายามชอบ ๗. สัมมาสติ ความระลกึ ชอบ ๘. สมั มาสมาธิ ความต้งั ใจมนั่ ชอบ ทางสายกลางทพี่ ระองคท์ รงสอนน้ี เป็นทางดาํ เนินใหบ้ รรลถุ งึ ทางดบั ทุกขไ์ ดโ้ ดยสิ้นเชิง คอื เพ่ือรู้อริยสจั ในวาระที่ ๓ ทรงประกาศอริยสจั ๔ ประการ คือ ทกุ ข์ สมุทยั นิโรธ และมรรคว่า ๑. ทุกข์ เป็นส่ิงทค่ี วรกาํ หนดรู้ ๒. สมุทยั เป็นสิ่งที่ควรละ ๓. นิโรธ เป็นสิ่งทีค่ วรทาํ ใหแ้ จง้ ๔. มรรค เป็นส่ิงควรทาํ ให้เกิดมีข้นึ เมือ่ พระองคต์ รสั จบลง กบ็ งั เกิดมหัศจรรยห์ มน่ื โลกธาตุหวนั่ ไหว ดวงตาเห็นธรรมไดเ้ กิดมแี กพ่ วกพรหม ๑๘ โกฏิ มโี กณฑญั ญะเป็นตน้ ดงั น้นั พระองคจ์ ึงเปล่งอุทานวา่ “อ�ฺญาสิ วต โภ โกณฺฑ�ฺโญ” เหตุน้นั ท่านโกณฑญั ญะจึง ไดน้ ามว่า อญั ญาโกณฑญั ญะ ต้งั แตน่ ้นั มา สงั ฆรตั นะเกิดข้ึนในโลก ลาํ ดบั น้นั อญั ญาโกณฑญั ญะจึงทลู ขอบวช พระองคท์ รงประทานใหด้ ว้ ย เอหิภกิ ขอุ ปุ สมั ปทา นบั ว่าสังฆรัตนะเกิดข้นึ แลว้ ในโลก เป็นเหตใุ หพ้ ระรัตนตรยั ครบ บริบูรณ์ ยสบรรพชา แสดงอนตั ตลกั ขณสูตร ในกาลตอ่ มา พระพุทธองคส์ ่ังสอนนกั บวชท้งั ๔ ดว้ ยปกิณกเทศนา ให้ไดด้ วงตาเห็นธรรม แลว้ ประทานอปุ สมบทให้ ในวนั แรม ๕ ค่าํ เดือน ๘ ทรงเห็นปัญจวคั คียม์ ีอินทรียแ์ ก่กลา้ ควรท่ีจะไดฟ้ ังธรรมเทศนา เพ่ือบรรลมุ รรคผลเบ้ืองสูง ตอ่ ไป จึงตรสั เรียกมาแลว้ ตรัสอนตั ตลกั ขณสูตร พระสูตรทว่ี ่าลกั ษณะท่ีไมใ่ ช่ตวั ตน ในพระสูตรน้ีทรงยกเอาขนั ธ์ ๕ คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร และวญิ ญาณ เป็นอนตั ตา เพราะไมอ่ ยใู่ นอาํ นาจ ไมส่ ามารถจะควบคมุ ได้ ยอ่ มเป็นไปตาม อาํ นาจและสภาวธรรม ดงั น้นั ขนั ธ์ ๕ น้ี จึงไม่ใช่ตวั เรา ของเขา เม่ือจบพระธรรมเทศนา จิตของภกิ ษปุ ัญจวคั คีย์ ไมย่ ึด พระธีรวฒั น์ จนฺทโสภโณ : วดั ไผ่เงินโชตนาราม | นกั ธรรมช้ันเอก 71

72 มน่ั ถอื มน่ั เพราะอุปาทาน บรรลอุ รหัตตผลเป็นอเสขบุคคลในพระพุทธศาสนา ในกาลน้นั มพี ระอรหันตเ์ กิดข้ึนในโลก ๖ องค์ ยงั มกี ุลบุตรผหู้ น่ึง ช่ือวา่ ยสมาณพ เป็นบตุ รมหาเศรษฐีในเมืองพาราณสี มีปราสาทสาํ หรบั อยตู่ ามฤดูกาลถงึ ๓ หลงั มนี างบาํ เรอเป็นหญงิ ลว้ นๆ บาํ เรออยทู่ ้งั กลางคนื ท้งั กลางวนั วนั หน่ึง ยสตน่ื มาในยามดึก เห็นอาการวปิ ริตตา่ งๆ นานาของหญงิ บาํ เรอขณะหลบั ปรากฏดุจซากศพที่เกล่ือนกลน่ ในป่ าชา้ จึงสวมรองเทา้ เดินลงบนั ไดออกจากบา้ นไป เดินพลางบน่ พลางวา่ “ที่น่ีวุน่ วาย ทีน่ ่ีขดั ขอ้ ง” จนไปถึงป่ าอิสิปตนมฤคทายวนั พบพระพทุ ธองคข์ ณะเสด็จจงกรมตอน ใกลร้ ุ่ง พระองคต์ รสั ว่า “ทน่ี ี่ไม่วุ่นวาย ทน่ี ี่ไมข่ ดั ขอ้ ง จงมาท่ีน่ีเถดิ ” จึงถอดรองเทา้ เขา้ ไป ถวายอภิวาทแลว้ นงั่ ณ ทอ่ี นั สมควร พระองคท์ รงแสดงอนุปุพพกี ถาเพ่อื เป็นการฟอกจิตให้อ่อนโยนปราศจากนิวรณธรรมท้งั ๕ แลว้ ทรงแสดงสามุ กงั เทสิกธรรม คอื อริยสัจ ๔ ยงั ธรรมจกั ษุ คือ โสดาปัตตผิ ลให้เกิดแกย่ สกุลบุตร อบุ าสกคนแรก ฝ่ ายมารดายสะต่นื ข้ึนในตอนเชา้ ข้ึนไปดไู มพ่ บลกู ชายจึงบอกแกส่ ามี เศรษฐีใช้ใหค้ นไปตามท้งั ๔ ทิศ ส่วน เศรษฐีเดินไปทางป่ าอสิ ิปตนมฤคทายวนั พบรองเทา้ จึงเขา้ ไปถามถงึ ลกู ชายกบั พระพุทธองค์ พระองคท์ รงแสดงอนุปุ พพกี ถาและอริยสจั ๔ โปรด พอจบดวงตาเห็นธรรมกไ็ ดเ้ กิดแกเ่ ศรษฐี ส่วนยสะไดฟ้ ังธรรมเทศนาท่ีทรงแสดงแก่บิดา ซ้าํ อีกคร้งั หน่ึง กไ็ ดบ้ รรลอุ รหัตตผล เศรษฐีไดแ้ สดงตนเป็นอบุ าสก ขอถึงพระรตั นตรัยเป็นสรณะท่ีพ่งึ นบั ว่าเป็น อุบาสกคนแรกประเภท เตวาจิกอบุ าสก เศรษฐีเมื่อเห็นลูก จึงขอร้องให้กลบั เพื่อเห็นแก่แม่ พระพุทธองคต์ รสั วา่ ยสะไม่ สมควรจะกลบั ไปเพราะบรรลุมรรคผลช้นั สูง หมดสิ้นกิเลสาสวะแลว้ เศรษฐีกลา่ ววา่ “นบั วา่ ยสะไดล้ าภอนั ประเสริฐ แลว้ ” แลว้ จึงนิมนตพ์ ระองคก์ บั พระยสะเสวยพระกระยาหารเชา้ ทบ่ี า้ น แลว้ ทูลลากลบั ไป อบุ าสิกาคนแรก เมือ่ เศรษฐีกลบั ไปแลว้ ยสะจึงทลู ขอบวช พระองคท์ รงประทานให้ดว้ ยเอหิภกิ ขุอปุ สมั ปทา นบั ว่าเป็นพระ อรหนั ตอ์ งคท์ ่ี ๗ พระองคท์ รงจีวรและบาตรมพี ระยสะเป็นปัจฉาสมณเสด็จเขา้ ไปยงั บา้ นของเศรษฐีน้นั ฝ่ ายมารดาและ ภรรยาเก่าของยสกุลบุตรถวายภวิ าทและนงั่ ณ ที่อนั สมควร พระองคท์ รงแสดงอนุปพุ พกี ถาและอริยสัจ ๔ โปรดหญงิ ท้งั ๒ ใหไ้ ดบ้ รรลโุ สดาปัตติผล ปฏิญาณตนเป็นอุบาสิกาคนแรกในพระพทุ ธศาสนา ชนท้งั ๓ ไดถ้ วายอาหารบณิ ฑบาต อนั ประณีต เมือ่ เสร็จภตั กิจทรงโปรดประทานพระธรรมกถายงั ชนท้งั หลายให้ชื่นชมโสมนสั แลว้ เสดจ็ กลบั ป่ าอสิ ิปตน มฤคทายวนั ส่งสาวกประกาศศาสนา เพอื่ นของพระยสะ ๔ คน คือ วิมละ สุพาหุ ปุณณชิ ควมั ปติ และไม่ปรากฏช่ืออีก ๕๐ คน ทราบวา่ ยสะออกบวช จึงพากนั เขา้ ไปหา พระยสะไดน้ าํ ไปเขา้ เฝา้ พระบรมศาสดา พระองคท์ รงแสดงอนุปุพพกี ถาและอริยสัจ ๔ ใหไ้ ดด้ วงตา เห็นธรรมแลว้ ประทานอุปสมบท ภายหลงั ทรงตรัสสอนจนบรรลพุ ระอรหตั ตผลหมดทุกองค์ นบั ว่าในกาลน้นั มีพระ อรหนั ตเ์ กิดข้นึ ในโลก ๖๑ องค์ อยมู่ าวนั หน่ึง พระพทุ ธเจา้ ตรสั เรียกพระสาวกท้งั หลายมาแลว้ ตรัสวา่ อนุตตรวมิ ุตธรรมทต่ี ถาคตบรรลุแลว้ เธอ ท้งั หลายก็บรรลแุ ลว้ บว่ งท้งั หลายท้งั ทเี่ ป็นของทพิ ยท์ ้งั ที่เป็นของมนุษย์ ตถาคตและเธอท้งั หลายกพ็ น้ แลว้ เธอท้งั หลาย จงเทีย่ วไปตามคามนิคมชนบทตา่ งๆ เพือ่ ประโยชน์และความสุขแกช่ นเป็นอนั มาก จงแสดงธรรมมีคณุ ในเบ้อื งตน้ พระธีรวฒั น์ จนฺทโสภโณ : วดั ไผ่เงินโชตนาราม | นักธรรมช้ันเอก 72

73 ทา่ มกลาง และที่สุด จงประกาศพรหมจรรยอ์ นั บริสุทธ์ิบริบูรณ์โดยสิ้นเชิง พร้อมท้งั อรรถและพยญั ชนะ แมเ้ ราก็จะไป ยงั อรุ ุเวลาเสนานิคม โปรดชฎลิ ๓ พี่น้อง พบภัททวคั คีย์ เมอ่ื อกพรรษาปวารณาแลว้ พอวนั แรม ๑ ค่าํ เดือนกตั ติกามาส (เดือน ๑๒) จึงส่งพระสาวก ๖๐ องคไ์ ปประกาศ พระศาสนา ส่วนพระองคเ์ สด็จสู่อรุ ุเวลาเสนานิคม ในระหว่างทางท่ปี ่ าไร่ฝา้ ย ไดพ้ บภทั ทวคั คยี ์ ๓๐ องคเ์ ป็นพระราช โอรสแห่งพระยามหาโกศลราช ร่วมบิดาเดียวกบั พระเจา้ ปเสนทิโกศลพาภริยามาเทยี่ วไร่ฝ้าย องคห์ น่ึงไม่มีภรรยา จึงนาํ นางคณิกามา หญิงน้นั เห็นพระกุมารประมาทเลนิ เล่อ ถอดเครื่องประดบั ไว้ จึงลกั แลว้ หนีไป ฝ่ ายกุมารท้งั หลาย เมือ่ ไม่ เห็นเครื่องประดบั ก็ตระหนกั วา่ หญงิ แพศยาน้นั ลกั ไปจึงออกตดิ ตาม ไปพบพระพทุ ธเจา้ กก็ ราบทูลถาม พระองคต์ รัส ถามวา่ “แสวงหาตนหรือหญิง อนั ไหนประเสริฐกว่ากนั ” เมอื่ พระราชกุมารท้งั หลายยอมรับวา่ “แสวงหาตนประเสริฐ กว่า” จึงตรัสอนุปพุ พกี ถาและอริยสัจ ๔ โปรด จนกุมารท้งั หมดไดบ้ รรลุอรหัตตผลแลว้ ประทานอปุ สมบทแลว้ ส่งไป ประกาศพระศาสนา อุรุเวลกสั สปะบวช ส่วนพระองคเ์ สด็จต่อไปยงั อุรุเวลาเสนานิคม ณ ทีน่ ้นั มชี ฎิล ๓ พ่นี อ้ งต้งั อาศรมอยใู่ กลฝ้ ่ังแม่น้าํ เนรญั ชรา ตามลาํ ดบั พี่ชายใหญช่ ื่ออุรุเวลกสั สปะ มบี รวาร ๕๐๐ นอ้ งกลางชื่อนทกี สั สปะ มบี ริวาร ๓๐๐ นอ้ งสุดทอ้ งชื่อคยากสั ส ปะ มบี ริวาร ๒๐๐ พระองคเ์ สด็จไปยงั อาศรมพีช่ ายใหญ่ เขา้ ไปพกั อาศยั แลว้ ทรมานดว้ ยฤทธ์ิตา่ งๆถงึ ๓,๕๐๐ ประการ ใชเ้ วลาถึง ๒ เดือน อุรุเวลกสั สปะก็ยงั มที ฏิ ฐิอนั แรงกลา้ ถือตนวา่ เป็นพระอรหันตอ์ ยู่ พระองคจ์ ึงตรสั ว่า “อุรุเวลกสั ส ปะ ตวั ท่านมิไดเ้ ป็นพระอรหนั ต์ และการปฏบิ ตั ิของทา่ นกม็ ิใช่ทางบรรลุมรรคผล เหตุใดท่านจึงถือตนว่าเป็นพระ อรหันต”์ อุรุเวลกสั สปะสดบั พทุ โธวาท ก็ซบศีรษะลงแทบพระบาทแลว้ กราบทูลขออุปสมบท พระองคจ์ ึงตรสั วา่ “ตวั เธอเป็นอาจารยใ์ หญแ่ ห่งชฎิลท้งั ๕๐๐ เธอจงบอกกล่าวใหย้ ินพร้อมกนั เสียก่อน ตถาคตจึงจะบวชให้” อรุ ุเวลกสั สปะก็ ทลู ลาไปยงั อาศรมบอกกลา่ วแก่เหลา่ ศษิ ย์ พวกชฎิลท้งั หมดก็ยนิ ยอม จึงพากนั ลอยเคร่ืองชฎิลบริขาร และบวชในสาํ นกั พระพทุ ธองคท์ ้งั สิ้น น้องชายท้งั สองบวช นอ้ งชายท้งั สองอยใู่ ตน้ ้าํ ไดเ้ ห็นบริขารลอยมา ก็คดิ ว่า คงจะเกิดเหตุร้ายแกพ่ ี่ชายของตน จึงพาบริวารไปยงั อาศรมของพช่ี าย เห็นพชี่ ายพร้อมท้งั บริวารบวช สอบถามไดค้ วามจึงลอยเคร่ืองบริขารแลว้ บวชดว้ ยกนั หมดท้งั สิ้น ภายหลงั เห็นอนิ ทรียท์ ้งั ๕ ของภกิ ษชุ ฏิล ๑,๐๐๓ รูปแกก่ ลา้ จึงพาไปยงั คยาสีสะประเทศ แสดงอาทิตตปริยายสูตรโปรด จนสาํ เร็จพระอรหันต์ ในพระสูตรน้นั ทรงแสดงถงึ อายตนะภายในและภายนอก และชาติ ชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนสั อุปายาส เป็นของร้อน ร้อนเพราะไฟ ๓ กอง คือ ราคะ โทสะ โมหะ โปรดพระเจ้าพมิ พสิ าร พระองคป์ ระทบั อยทู่ ี่คยาสีสะประเทศพอสมควรแลว้ ทรงพาภิกษุ ๑,๐๐๓ รูปเสด็จยงั กรุงราชคฤห์ประทบั อยู่ ท่ีลฏั ฐิวนั โดยพระประสงคจ์ ะเปล้ืองปฏญิ าณท่ใี หไ้ วต้ ่อพระเจา้ พมิ พสิ าร พระเจา้ พมิ พสิ ารทรงทราบพร้อมดว้ ย พระธรี วัฒน์ จนฺทโสภโณ : วัดไผ่เงนิ โชตนาราม | นักธรรมช้ันเอก 73

74 พราหมณ์คหบดี ๑๒ นหุต เป็นบริวารเสดจ็ ไปเฝา้ พระองคท์ รงแสดงอนุปุพพีกถา และอริยสัจ ๔ โปรด เม่อื จบพระ ธรรมเทศนา พระเจา้ พมิ พิสารกบั บริวาร ๑๑ นหุตบรรลุโสดาปัตติผล ส่วนอกี ๑ นหุต เลอ่ื มใสในพระรัตนตรัย ความปรารถนาของพระเจ้าพมิ พิสาร ในกาลน้นั พระเจา้ พมิ พสิ ารจึงทลู ความสมหวงั ทไ่ี ดป้ รารถนาไวต้ ้งั แต่ยงั เป็นเดก็ ๕ ขอ้ วา่ ๑. ขอให้ข้าพเจ้าได้รับอภเิ ษกเป็ นพระราชา ๒. ขอให้พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า เสดจ็ มายังแว่นแคว้นของข้าพเจ้า ๓. ขอให้ข้าพเจ้าได้ไปนั่งใกล้พระอรหนั ต์พระองค์น้ัน ๔. ขอให้พระอรหนั ต์แสดงธรรมแก่ข้าพเจ้า ๕. ขอให้ข้าพเจ้ารู้ทวั่ ถึงธรรมน้ัน แลว้ แสดงตนเป็นอบุ าสกกราบทลู อาราธนาเสวยพระกระยาหารในเชา้ วนั รุ่งข้ึน แลว้ ลกุ ข้ึนกระทาํ อภวิ าท กระทาํ ประทกั ษิณแลว้ ลากลบั ได้อคั รสาวกขวาซ้าย ทรงรับเวฬุวัน รุ่งข้ึนตอนเชา้ พระบรมศาสดาพร้อมดว้ ยภิกษเุ ป็นบริวาร เสด็จสู่พระราชนิเวศนข์ องพระเจา้ พมิ พมิ สาร พระราชาทรงถวายภตั ตาหาร แลว้ กราบทูลถวายเวฬวุ โนทยานเพอ่ื เป็นพุทธาวาส ทรงจบั พระเตา้ ทองหลงั่ สุคนธวารีให้ ตกตอ้ งพระหัตถข์ องพระบรมศาสดา ปรากฏวา่ พ้ืนปฐพกี มั ปนาทหวน่ั ไหว พระพทุ ธองคท์ รงกระทาํ อนุโมทนาแลว้ พร้อมดว้ ยภกิ ษุท้งั หลายเสด็จไปยงั เวฬวุ นั วิหาร ไม่ห่างจากรุงราชคฤห์ มีบา้ นตาํ บลหน่ึงชื่อวา่ นาลนั ทา ท่ีหมบู่ า้ นพราหมณ์ อปุ ตสิ สคาม นายบา้ นชื่อวา่ วงั คนั ตะ ภรรยาช่ือ สารี มีบตุ รช่ือวา่ อปุ ติสสมาณพ และทหี มู่บา้ นโกลติ คาม นายบา้ นมีภรรยาช่ือ โมคคลั ลี มีบตุ รชื่อว่า โกลติ มาณพ ตระกลู ท้งั สองเป็นมิตรสหายกนั มาแลว้ ๗ ชวั่ คน มาณพท้งั ๒ เมอื่ เจริญวยั ก็เรียนอยู่ในศิลปศาสตร์ท้งั ปวงมี บริวารคนละ ๒๕๐ คน เม่ือไปดูการละเลน่ กไ็ ปดว้ ยกนั นง่ั ร่วมกนั จะสงั เวชหรือชื่นชม ก็สังเวชชื่นชม ในกาลคร้ังหน่ึง ไปดมู หรสพ มิไดม้ คี วามยินดีเหมอื นคร้งั กอ่ นๆ เหตุบารมญี าณแก่กลา้ จึงดาํ ริกนั ว่า ไมม่ ีประโยชนอ์ นั ใดในการดู มหรสพน้ี อายขุ องคนเราไมถ่ ึง ๑๐๐ ปี ก็แตกทาํ ลาย หาบญั ญตั ิมิได้ ควรท่เี ราจะแสวงหาโมกขธรรม เม่อื ดาํ ริเช่นน้ี จึง ชกั ชวนบริวารรวมเป็น ๕๐๐ คน บวชในสาํ นกั ของสญั ชยั ปริพาชกผูเ้ ป็นอาจารยใ์ หญ่อาศยั อยู่ ณ กรุงราชคฤหน์ ้นั เอง เมื่อบวชแลว้ ไม่นานก็เรียนจบลทั ธิของอาจารย์ แตย่ งั ไม่พอใจโดยเห็นว่า ลทั ธิของสัญชยั อาจารยน์ ้ี ไม่อาจยงั โมกข ธรรมใหเ้ กิดข้ึนได้ จาํ เดิมแต่น้นั ปริพาชกท้งั ๒ ไดส้ ดบั ขา่ วสมณพราหมณาจารยท์ ีเ่ ป็นปราชญม์ ีอยใู่ นทใี่ ดๆ ก็ไปสู่ท่ี น้นั แลว้ กล่าวถามปัญหา โดยทาํ นองน้ีไดเ้ ท่ยี วไปทวั่ ชมพูทวปี ทกุ แห่งก็หาไม่พบนกั ปราชญท์ ่ีสามมารถแกป้ ัญหาโมกข ธรรมได้ กพ็ ากนั กลบั สาํ นกั อาจารยแ์ ลว้ ทาํ กติกากนั ว่า เราท้งั ๒ น้ี ถา้ ผูใ้ ดไดอ้ มตธรรมกอ่ น กจ็ งบอกอกี ผูห้ น่ึง บรรลอุ มตธรรม ตอ่ มากาลคร้งั หน่ึง อปุ ตสิ สปริพาชกไดพ้ บท่านพระอสั สชิเถระกาํ ลงั บณิ ฑบาตอยใู่ นกรุงราชคฤห์ มี กิริยามารยาทเรียบร้อย เกิดศรทั ธาเล่อื มใส จึงติดตามไปขา้ งหลงั เมอื่ ทา่ นฉนั อาหารเสร็จแลว้ จึงเรียนถามวา่ “อาวโุ ส พระธีรวฒั น์ จนฺทโสภโณ : วดั ไผ่เงนิ โชตนาราม | นกั ธรรมช้ันเอก 74

75 อินทรียข์ องท่านผ่องใสยิง่ นกั ผวิ พรรณกข็ าวบริสุทธ์ิ ทา่ นบรรพชาในสาํ นกั ท่านผใู้ ดใครเป็นครูอาจารยข์ องทา่ น อาจารยข์ องทา่ นกล่าวสอนเช่นไร” ท่านพระอสั สชิเถระ จึงกลา่ วตอบว่า “อาวุโส อาตมาบวชใหมย่ งั ไม่นาน ไมอ่ าจจะ แสดงธรรมให้พิสดารได้ จะขอแสดงแตโ่ ดยยอ่ ” และกลา่ ววา่ “ธรรมท้งั หลายเหลา่ ใดเกิดแต่เหตุ ธรรมเหล่าน้นั เมอื่ เหตุ น้นั ดบั กด็ บั สูญไป พระมหาสมณะตรัสดงั น้ี” อปุ ตสิ สปริพาชกพอไดส้ ดบั พระคาถา ๒ บทตน้ กบ็ รรลุโสดาปัตตผิ ล จึง ถามวา่ “พระบรมครูของเราประทบั อยู่ ณ ท่ใี ด” เม่ือทราบว่า ประทบั อยู่ ณ พระเวฬวุ นั มหาวิหาร จึงกลา่ วว่า “ขอพระผู้ เป็นเจา้ จงไปก่อน ขา้ พเจา้ ยงั มีสหายอกี คนหน่ึงทาํ สญั ญากนั ไว้ ขา้ พเจา้ จะกลบั ไปเปลอ้ื งปฏญิ ญาเสียก่อน แลว้ จะพาส หายไปสู่สาํ นกั ของพระบรมครู” แลว้ กราบลาพระมหาเถระกลบั ไปยงั ปริพาชการาม โกลติ บรรลุธรรม ฝ่ายโกลติ ปริพาชกเห็นอปุ ตสิ สะเดินมาแตไ่ กล คิดวา่ “วนั น้ี หนา้ ตาสหายเราผอ่ งใสยง่ิ นกั ชะรอยจะไดอ้ มต ธรรมเป็นแน่” คร้นั ถงึ จึงไต่ถามอุปติสสะ และอปุ ติสสะไดบ้ อกเร่ืองราวใหฟ้ ังแลว้ กล่าวคาถาน้นั พอจบโกลิตะก็บรรลุ โสดาปัตตผิ ล ท้งั สองจึงพากนั ไปชวนอาจารยส์ ัญชยั แตอ่ าจารยไ์ มไ่ ป จึงลาอาจารย์ แลว้ ชกั ชวนบริวารได้ ๒๕๐ คน พา กนั ไปเฝา้ พระบรมศาสดาพระพุทธองคท์ รงเทศนาโปรด พอจบลงปริพาชกท่เี ป็นบริวารท้งั หมดไดบ้ รรลุอรหตั ตผล เวน้ แต่ ๒ สหาย พระองคท์ รงเหยยี ดพระหัตถ์ ประทานอปุ สมบทดว้ ยเอหิภกิ ขอุ ปุ สัมปทา เป็นภกิ ษุดว้ ยกนั ท้งั สิ้น ไดต้ าํ แหน่งอคั รสาวก จาํ เดิมแตอ่ ุปสมบทแลว้ ได้ ๗ วนั โกลิตภกิ ษุอนั สพรหมจารีเรียกทา่ นโมคคลั ลานะ เหตุเป็นบตุ รแห่งนางโมคคลั ลี ไป เจริญสมณธรรมท่บี า้ นกลั ลวาลมุตคาม ถูกถีนมทิ ธะครอบงาํ นงั่ โงกง่วงอยู่ พระพุทธองคเ์ สดจ็ ไปทรงบรรเทาแลว้ ประทานพุทธโอวาทในธาตกุ มั มฏั ฐานภาวนา กไ็ ดบ้ รรลอุ รหัตตผล ฝ่ ายอปุ ตสิ สภิกษุ ทสี่ หธรรมิกเรียกกนั วา่ สารีบุตร เพราะเป็นบตุ รแห่งนางสารีไดต้ ามเสด็จไปยงั ถ้าํ สุกรขาตา ไดส้ ดบั เวทนาปริคคหสูตรที่ทรงแสดงแกฑ่ ฆี นขปริพาชกซ่ึง เป็นหลานของท่านกไ็ ดบ้ รรลุอรหัตต ผล หลงั จากทีอ่ ุปสมบทได้ ๑๕ วนั ในวนั น้นั เอง อนั เป็ นวนั เพญ็ แห่งเดือนมาฆ (เดือน๓) เป็นวนั จาตรุ งคสันนิบาต พระพุทธองคท์ รงแสดงโอวาทปาฏิโมกข์ และทรงประทานตาํ แหน่งอคั รสาวกฝ่ าย ขวาแดท่ า่ นพระสารีบตุ รเถระ ฝ่ายซ้ายแด่ท่านพระโมคคลั ลานะ ณ ท่ามกลางพระอรหันตขณี าสพท้งั ปวง โปรดพทุ ธบิดา เสด็จกรุงกบิลพัสด์ุ พระเจา้ สุทโธทนมหาราชพุทธบดิ า ไดส้ ดบั ขา่ วว่า พระราชโอรสไดบ้ รรลพุ ระสัมมาสัมโพธิญาณแลว้ เท่ียว ประกาศศาสนา ประทบั อยู่ ณ พระเวฬวุ นั มหาวิหาร ปรารถนาจะทศั นาพระพุทธองค์ จึงตรัสให้อาํ มาตยพ์ ร้อมกบั บริวารหน่ึงพนั ไปเชิญเสดจ็ แต่อาํ มาตยแ์ ละบริวารไดฟ้ ังเทศน์ กบ็ รรลุพระอรหันตแ์ ละทูลขอบวช และมิไดท้ ลู เชิญ เสด็จ พระพทุ ธบิดาเห็นหายไปจึงส่งไปใหม่ โดยทาํ นองน้ีถงึ ๙ คร้ัง คร้ังสุดทา้ นตรัสใช้ใหก้ าฬุทายีอาํ มาตยพ์ ร้อมกบั บริวารหน่ึงพนั ไป กาฬทุ ายที ูลลาบวชดว้ ยกท็ รงอนุญาต กาฬุทายพี ร้อมดว้ ยบริวารเดินทางถึงกรุงราชคฤห์ เขา้ ไปสู่พระ เวฬุวนั ไดฟ้ ังเทศนจ์ ากพระพทุ ธองค์ พอจบกบ็ รรลพุ ระอรหัตดว้ ยกนั ท้งั หมดแลว้ ทูลขอบรรพชา พอบวชแลว้ ได้ ๗ วนั กก็ ราบทูลเชิญเสด็จกรุงกบลิ พสั ดุ์ พระพทุ ธองคท์ รงรับ แลว้ พร้อมดว้ ยภิกษุ ๒ หม่ืนรูปเป็นบริวาร เสด็จคมนาการวนั พระธีรวัฒน์ จนฺทโสภโณ : วดั ไผ่เงนิ โชตนาราม | นกั ธรรมช้ันเอก 75

76 ละหน่ึงโยชน์สิ้นเวลา ๖๐ วนั จึงถงึ กรุงกบิลพสั ดุ์ ส่วนท่านพระกาฬุทายีไดล้ ่วงหนา้ ไปแจง้ เหตุการณเ์ สด็จถวายแดพ่ ระ เจา้ สุทโธทนะทุกวนั ฝนโบกขรพรรษตก เม่อื พระพทุ ธองคเ์ สด็จถึง ก็ไดไ้ ปประทบั ท่ีนิโครธาราม ซ่ึงพระประยรู ญาตใิ หส้ ร้างรบั เสด็จ พระเจา้ สุทโธท นะพร้อมท้งั พระประยรู ญาตทิ ้งั หลายกม็ าเฝ้า แต่พระประยรู ญาติที่เป็นผูใ้ หญ่ ไม่ยอมทจ่ี ะนมสั การ โดยถอื วา่ พระพุทธ องคเ์ ป็นเดก็ คราวนอ้ ง คราวลูกหลาน พระพทุ ธองคก์ ท็ รงทรมานดว้ ยอภนิ ิหาร จนกระทง่ั พระเจา้ สุทโธทนะและพระ ประยรู ญาติยกหตั ถน์ มสั การดว้ ยความช่ืนชมโสมนสั ลาํ ดบั น้นั เมฆฝนโบกขรพรรษกต็ ้งั ข้นึ หลง่ั หยาดน้าํ ฝนมสี ีแดง ให้ตกลงในหมูพ่ ระประยรู ญาติวงศ์ น่าอศั จรรย์ ภิกษุท้งั หลายกพ็ ศิ วง เพราะไมเ่ คยเห็นมาก่อน พระพุทธองคจ์ ึงตรัสวา่ “ฝนโบกขรพรรษ ตกในกาลน้ีเท่าน้นั หามไิ ด้ อดีตกาลก็เคยตกมาแลว้ เช่นกนั ” จึงตรัสเทศนาเวสสันดรชาดก เม่ือจบลง พระประยรู ญาตกิ ท็ ลู ลากลบั ไมม่ ผี ใู้ ดจะทูลอาราธนาเพอื่ เสวยโภชนาหารในวนั รุ่งข้ึนแมแ้ ตพ่ ระองคเ์ ดียว ดงั น้นั ในเชา้ วนั รุ่งข้นึ พระพทุ ธองคพ์ ร้อมดว้ ยภกิ ษสุ งฆ์ ๒ หม่ืน เสด็จโคจรบณิ ฑบาตตามลาํ ดบั ตรอก ตามพุทธประเพณี ยงั ความ โกลาหลให้เกิดแก่ชาวเมอื งเป็นอนั มาก โปรดพิมพาเทวี พุทธบิดาบรรลุโสดาปัตติผล ในกาลน้นั พระนางพิมพาเทวี มารดาแห่งราหุลกุมาร สดบั เสียงโกลาหลของประชาชน จึงตรัสถามนางกาํ นลั ทรงทราบวา่ พระสวามที รงบาตร เสด็จเทย่ี วภิกขาจาร จึงชวนราหุล กุมารไปยงั สีหบญั ชร ทอดพระเนตรเห็นพระบรม ศาสดาจารย์ รุ่งเรืองไปดว้ ยพระรัศมี ๖ ประการ จึงตรสั สรรเสริญดว้ ยนรสีหคาถา ๘ คาถา แลว้ กราบทูลใหพ้ ระเจา้ สุ ทโธทนะทรงทราบ พระเจา้ สุทโธทนะ เม่อื ทรงสดบั ทรงสงั เวชสลดพระทยั เสด็จลงจากพระราชนิเวศน์โดยดว่ น ไป ประทบั ยนื อยใู่ นทเ่ี ฉพาะพระพกั ตร์แลว้ ตรสั ถามวา่ “ขา้ แต่องคพ์ ระผมู้ ีพระภาค ไฉนพระองคจ์ ึงมาทาํ ใหโ้ ยมไดร้ ับ ความอปั ยศ มาเท่ียวบณิ ฑบาต ดงั น้ี” หรือเขา้ พระทยั วา่ “โยมไมส่ ามารถทีจ่ ะจดั ภตั ตาหารแดภ่ ิกษุมปี ระมาณเท่าน้ีได”้ พระพทุ ธองคต์ รัสว่า “มหาบพิตร วตั รน้ีเป็นจารีตตามวงศป์ ระเพณีของตถาคต คือพุทธวงศ์” เสด็จประทบั อยใู่ น ระหว่างวถิ นี นั่ เอง ตรัสเทศนาโปรดพุทธบิดาดว้ ยสารคาถาวา่ อตุ ฺติฏเฐ นปปฺ มชฺเชยฺย เป็นตน้ ความว่า บุคคลใดไม่ ประมาทในบิณฑบาตอนั บคุ คลพึงลกุ ข้นึ ยนื รับ มอี ตุ สาหะ ประพฤตสิ ุจริตธรรม บุคคลน้นั พงึ อยเู่ ป็นสุขสาํ ราญท้งั ใน โลกน้ี โลกหนา้ พอจบพระคาถาพระบรมกษตั ริยก์ บ็ รรลโุ สดาปัตตผิ ล จึงทรงรบั บาตร แลว้ ทูลอาราธนาพระบรมศาสดา พร้อมท้งั ภิกษสุ งฆข์ ้ึนสู่ปราสาท องั คาสดว้ ยโภชนาหารอนั ประณีต โปรดพระนางมหาปชาบดี คร้นั รุ่งข้นึ เป็นวนั ทีเ่ สด็จพุทธดาํ เนินไปทรงรับภตั ตาหารบณิ ฑบาตในพระราชนิเวศน์ เม่อื เสร็จภตั กิจแลว้ จึง ตรัสเทศนาโปรดพระนางมหาปชาบดีดว้ ยสาระพระคาถาวา่ ธมฺม�ฺจเร สุจริตํ เป็นอาทิ ความวา่ บคุ คลผูใ้ ดประพฤติ สุจริตธรรม ไมป่ ระกอบทจุ ริต บุคคลน้นั ยอ่ มอยเู่ ป็นสุขท้งั ในโลกน้ีและโลกหนา้ พอจบพระธรรมเทศนาพระนางมหาป ชาบดีราชเทวี กบ็ รรลุโสดาปัตตผิ ล และพระเจา้ สุทโธทนะกบ็ รรลสุ กิทาคามิผล พระเจา้ สุทโธทนะบรรลอุ นาคามผิ ล พระธรี วัฒน์ จนฺทโสภโณ : วัดไผ่เงินโชตนาราม | นักธรรมช้ันเอก 76

77 ในวนั ท่ี ๓ กเ็ สด็จไปเสวยโภชนาหารในพระราชนิเวศน์ พร้อมดว้ ยภิกษุสงฆท์ ้งั ปวง ขณะเวลาเสวยอยู่ พระเจา้ สุทโธทนะตรัสว่า “ขา้ แต่พระองคผ์ เู้ จริญ กาลเมื่อพระองคก์ ระทาํ ทกุ กรกิริยา มเี ทพยดาองคห์ น่ึงมาบอกวา่ พระองค์ มไิ ดเ้ สวยพระกระยาหาร บดั น้ีทาํ ลายพระชนมช์ ีพแลว้ ขา้ พระองคไ์ ม่เชื่อ” จึงมพี ุทธฎีกาวา่ “มหาบพิตร ในอดีตกาล เม่อื ตถาคตเป็นโพธิสัตว์ อาจารยท์ ิศาปาโมกขน์ าํ เอากระดกู แพะแสดงแก่พระองค์ และบอกว่าบตุ รของท่านตายเสียแลว้ พระองคย์ งั ไม่เช่ือ” คร้นั เสร็จภตั กิจแลว้ ทรงตรัสเทศนามหาธรรมปาลชาดก พอจบลงพระบรมกษตั ริยก์ บ็ รรลุ อนาคามิผล เสด็จปราสาทพระนางยโสธรา สมเด็จพระบรมศาสดาเสด็จเขา้ ไปเสวยพระกระยาหารในพระราชนิเวศน์เป็นเวลาถงึ ๓ วนั แลว้ แตพ่ ระนาง ยโสธราราชเทวี หาไดม้ าเฝ้าพระพทุ ธองคไ์ ม่ พระเจา้ สุทโธทนะจึงตรสั ใหน้ างสนมผหู้ น่ึงไปเชิญเสด็จ แต่พระนางหา มาไม่ จึงกลบั มากราบทลู ให้ทรงทราบ สมเด็จพทุ ธบิดาจึงทลู อาราธนาพระพุทธองคใ์ หเ้ สด็จเยือนพมิ พาเทวี พระองค์ ทรงรับ พร้อมอคั รสาวกท้งั ๒ และพุทธบดิ า เสด็จสู่ห้องพมิ พาเทวี ยโสธราราชกญั ญาทราบว่าพระพุทธองคเ์ สดจ็ จึงจูง พระราหุลกุมารเสดจ็ ถึงครรภทวาร พอเห็นพระพกั ตร์พระพุทธองค์ น้าํ พระเนตรกห็ ลงั่ นองพระพกั ตร์ จึงคลานเขา้ ไป ซบพระเศียรท่ีหลงั พระบาท กอดขอ้ พระบาทแลว้ ทรงพระกรรแสงเกลือกกลิง้ ไปมา พระพทุ ธบิดาจึงกราบทูลว่า “ขา้ แต่ พระสัพพญั �เู จา้ จะหาหญิงใดที่ซ่ือสตั ยเ์ หมือนพิมพาไมม่ ี จาํ เดิมแตพ่ ระองคเ์ สด็จออกบรรพชา จะนงั่ นอนยืนเดินกไ็ ม่ เป็นสุข มแี ต่ทกุ ขโ์ ศกเศร้าทกุ เชา้ เยน็ แมข้ ตั ตยิ ประยรู ญาตจิ ะรบั ไปเล้ียงบาํ รุงรักษาก็ไม่ปรารถนา ต้งั ใจสวามิภกั ด์ิ ซ่ือสตั ย์ เสน่หาเฉพาะพระองคเ์ ดียว” พระบรมศาสดาตรสั วา่ “มหาบพิตร ยโสธราจะมจี ิตเสน่หาสวามภิ กั ด์ิตถาคตใน กาลบดั น้ีหามไิ ด้ แมใ้ นอดีตกาล บงั เกิดในกาํ เนิดสตั วเ์ ดรจั ฉาน ก็มิยนิ ดีในถอ้ ยคาํ แห่งพระเจา้ พาราณสีที่มาวงิ วอน ประเลา้ ประโลม ถวายชีวติ เป็นทานแกต่ ถาคตน่ามหัศจรรย”์ ชนท้งั ปวงจึงทูลอาราธนาใหต้ รัสถงึ อดีตภพ พระองคท์ รง เทศนาจนั ทกินนรชาดกโดยพสิ ดาร เพ่อื ละความเศร้าโศกแห่งพิมพาราชเทวี พระนางยโสธราทศั นาพระพกั ตร์ไปพลาง สดบั พระธรรมเทศนาท่ีตรสั ดว้ ยสุรเสียงไพเราะไปพลาง ยงั ปสาทและปี ตใิ หเ้ กิดข้ึนในกมลว่า ตวั เราน้ีไดป้ ระสาทชีวิต แห่งถตาคตใหค้ นื คงในอดีตภพ กร็ ะงบั เสียไดซ้ ่ึงความเศร้าโศกดว้ ยปี ตปิ ราโมทย์ บรรลุพระโสดาปัตตผิ ล เป็น อริยบุคคลในพระพทุ ธศาสนา ศากยบรรชา นนั ทบรรพชา ในวนั อนั เป็นคาํ รบ ๕ พระผมู้ ีพระภาคเสด็จไปรับอาหารบิณฑบาตในนิวาสสถานแห่งนนั ทราชกุมารพุทธ อนุชา เน่ืองในวนั วิวาหมงคลของนนั ทะกบั นางชนบทกลั ยาณี คร้นั เสร็จภตั กิจแลว้ ประทานบาตรใหน้ นั ทะ แลว้ จึงตรสั มงคลกถา เสร็จแลว้ เสด็จลงจากนิเวศน์มิไดท้ รงรับบาตร นนั ทกุมารก็มอิ าจทูลเตือน ยงั ทรงถือบาตรเสดจ็ ตาม นางสนม เห็นเช่นน้นั จึงไปทลู นางชนบทกลั ยาณี พระนางตกพระทยั จึงตดิ ตามมาโดยเร็วแลว้ ร้องทูลว่า ขา้ แต่พระลูกเจา้ ขอ พระองคจ์ งเสด็จกลบั มาโดยด่วน” เมื่อถงึ นิโครธารามมหาวหิ าร พระพทุ ธเจา้ ตรัสวา่ “นนั ทะ เธอจะบรรพชาไหม” นนั ทะมิอาจขดั พุทธดาํ รสั ไดโ้ ดยความเคารพยิ่งในพระพุทธองค์ จึงทูลว่า “จะบวช” ราหุลบรรชา พระธรี วัฒน์ จนฺทโสภโณ : วดั ไผ่เงินโชตนาราม | นกั ธรรมช้ันเอก 77

78 ในวนั ที่ ๗ พระนางพิมพาราชเทวี ประดบั ตกแต่งพระราชกุมารแลว้ ส่งไปหาพระผูม้ ีพระภาคซ่ึงเสดจ็ มารับ บณิ ฑบาตตรสั ส่งั ว่า “พระสมณะองคน์ ้นั คอื พระพทุ ธบดิ าของลกู พระองคม์ สี ุวรรณนิธิมากมาย ลกู จงไปขอขมุ ทองอนั เป็นสมบตั ขิ องบิดาของลกู ” พระราหุลรบั สัง่ แลว้ เขา้ ไปเฝ้าพระผูม้ พี ระภาคเจา้ ถวายนมสั การพลางดพู ระสัพพญั �ู ก็เกิด ความรกั ในพทุ ธบดิ า ทรงปราโมทยโ์ สมนสั ตรัสชมวา่ “สมณะฉายาน้ี สุขสบายดียิ่งนกั ” และตรสั อยา่ งอ่นื อีก โดยมิได้ ขอขุมทรัพยแ์ ตป่ ระการใด เมอื่ พระพุทธองคท์ รงทาํ พทุ ธกิจเสร็จ ตรัสภตั ตานุโมทนาแลว้ เสด็จกลบั พระราหุลกว็ ่งิ ตาม ทูลขอขมุ ทอง จนถงึ พระอาราม พระพทุ ธองคท์ รงดาํ ริว่า “ราหุลปรารถนาทรัพยส์ มบตั ิ กข็ มุ ทองเป็นของอนั จะเวยี นไป ในสังสารวฏั ฉะน้นั ถตาคตจะใหอ้ ริยทรพั ย์ ๗ ประการ อนั จะทาํ ใหก้ มุ ารเป็นเจา้ ของโลกตุ ตรทรพั ย”์ จึงตรสั แกพ่ ระ ธรรมเสนาบดีว่า “เธอจงให้บรรพชาแก่ราหุล” พระสารีบุตรรับพุทธโองการแลว้ กใ็ ห้ราหุลบรรพชาในเวลาน้นั พทุ ธบดิ าขอพร พระเจา้ สุทโธทนะไดท้ รงทราบกท็ รงโทมนสั เป็ นกาํ ลงั มอิ าจจะยบั ย้งั ความโทมนสั ไวไ้ ด้ ก็เสด็จออกไปนิโคร ธาราม กราบทลู ขอพระพุทธานุญาตวา่ “จาํ เดิมแต่น้ีไป กุลบุตรผูใ้ คร่จะบวช ถา้ บดิ ามารดาไมย่ นิ ยอมอนุญาตใหบ้ วช ขอจงทรงงดอยา่ ทาํ การอุปสมบทใหก้ ลุ บุตรน้นั ” พระพทุ ธองคท์ รงโปรดประทานพร พระพุทธบิดาถวายพระพรลา พา พระนนั ทะและสามเณรราหุล ตลอดสงั ฆบริษทั เสด็จกลบั สู่กรุงราชคฤห์ ประทบั อยทู่ สี่ ีตวนั ป่ าไมส้ ีเสียด อนาถปิ ณฑกิ สร้างวดั ถวาย ในกาลน้นั อนาถปิ ณฑกิ เศรษฐีมายงั เมืองราชคฤห์ ไดส้ ดบั พระธรรมเทศนากบ็ รรลุโสดาปัตติผล แลว้ กราบทลู นิมนตใ์ หเ้ สดจ็ พระนครสาวตั ถี แลว้ ตนเองรีบกลบั ไปก่อน จดั แจงสร้างเชตวนั มหาวหิ ารไวถ้ วาย เม่ือพระองคเ์ สดจ็ เมอื ง สาวตั ถีกป็ ระทบั อยทู่ พ่ี ระเชตวนั มหาวิหาร ส่วนพระนนั ทะมจี ิตกระสันอยากจะสึก ไมย่ นิ ดีในการบรรพชา พระองค์ ตอ้ งใชอ้ ุบายทาํ ให้พระนนั ทะไดส้ าํ เร็จพระอรหันต์ ๖ กษัตริย์บรรพชา ในกาลตอ่ มา พระผูม้ ีพระภาคไดเ้ สด็จจาริกไปสู่มหาชนบท ประทบั อาศยั อยทู่ อ่ี นุปิ ยอมั พวนั ใกลบ้ า้ นอนุ ปิ ยมลั ลนิคม ในกาลน้นั กษตั ริยท์ ้งั ๖ ประองค์ คือ พระภทั ทยิ ะ๑ พระอนุรุทธะ๑ พระอานนท๑์ พระภคั คุ๑ พระกิมพลิ ะ ๑ พระเทวทตั ๑ เป็น ๗ ท้งั นายช่างกลั บก คืออุบาลี พร้อมใจกนั จะออกบรรพชา จึงพากนั ออกจากกรุงกบิลพสั ดุ์ เสดจ็ สู่ แควน้ มลั ลรฐั ชนบทไปยงั อนุปิ ยอมั พวนั กราบทูลพระผมู้ พี ระภาคเจา้ ว่า “ขา้ พระพุทธเจา้ ท้งั หลายเป็นกษตั ริย์ มขี ตั ติย มานะแรงกลา้ ก็แหละผูน้ ้ีคือ อบุ าลี เป็นคนใชม้ านาน ขอพระองคท์ รงประทานการอปุ สมบทแก่อบุ าลกี อ่ น เพอื่ ที่ ขา้ พระพทุ ธเจา้ ท้งั ปวงจะไดก้ ราบไหวโ้ ดยเป็นผูใ้ หญก่ ว่า จะไดข้ ่มเสียซ่ึงขตั ติยมานะใหป้ ราศจากสนั ดาน” พระบรม ศาสดาจึงประทานตามพระประสงค์ พระเทวทัตทําอนนั ตริยกรรม เมือ่ พระบรมศาสดาเสดจ็ จาริก ประทบั อยู่ ณ เมอื งโกสมั พี มลี าภสกั การะเกิดข้ึนเป็นอนั มาก ชนท้งั หลายถอื ปัจจยั ส่ีเขา้ มาสู่พระวหิ าร และถามถงึ แต่อคั รสาวกท้งั ๒ และมหาสาวกองคอ์ ่ืนๆ แต่ไมม่ ใี ครถามถึงพระเทวทตั พระ เทวทตั เกิดนอ้ ยใจว่า เรากเ็ ป็นกษตั ริยเ์ หมอื นกนั ทาํ ไมไมม่ ีใครถามหา จึงดาํ ริวา่ เราจะให้ผใู้ ดเลอื่ มใส จึงจะบงั เกิดลาภ สักการะ กพ็ จิ ารณาเห็นอชาตศตั รูกุมาร จึงเนรมติ กายเป็นกมุ าร เอาอสรพษิ ๗ ตวั พนั กายแลว้ เหาะไปยงั กรุงราชคฤห์ แสดงตนให้ปรากฏแก่พระราชกมุ าร อชาตศตั รูตกพระทยั กลวั จึงปลอบโยนว่า อาตมาคอื พระเทวทตั แลว้ แสดงกายเป็น พระธรี วัฒน์ จนฺทโสภโณ : วดั ไผ่เงนิ โชตนาราม | นักธรรมช้ันเอก 78

79 สมณ- เพศตามปกติ อชาตศตั รูกุมารเลื่อมใสถวายลาภสักการะเป็นอนั มาก ภายหลงั เกิดอกศุ ลจิต คิดจะครอบครองภกิ ษุ สงฆท์ ้งั ปวง พอดาํ ริเช่นน้นั โกลิยฤทธ์ิก็เสื่อมสูญไป จึงไปยงั พระเวฬุวนั กราบทลู ในท่ามกลางบริษทั ว่า “ขา้ แตพ่ ระผูม้ ี พระภาค บดั น้ีพระองคท์ รงพระชราภาพแลว้ ขอจงทรงพระสาํ ราญดว้ ยทิฏฐธรรมสุขวหิ ารเถิด ขา้ พระองคจ์ ะรับภาระ ช่วยว่ากล่าวครอบครองพระภกิ ษุสงฆท์ ้งั ปวง ขอพระองคท์ รงมอบพระภิกษสุ งฆส์ าวกแก่ขา้ พระองคเ์ ถดิ ” พระองคไ์ ม่ ทรงอนุญาต พระเทวทตั เสียใจไม่สมหวงั จึงผูกอาฆาตในพระบรมศาสดาเป็นคร้ังแรก แลว้ ออกจากสาํ นกั ดาํ ริว่า เราจะ กระทาํ อนั ตราบพระสมณโคดมใหพ้ นิ าศ จึงเขา้ ไปหาอชาตศตั รู และแนะนาํ ใหป้ ลงพระชนมพ์ ระเจา้ พิมพิสารผบู้ ดิ าต้งั ตนเป็นกษตั ริย์ ส่วนตนเองจะปลงพระชนมพ์ ระบรมศาสดาแลว้ เป็นพระพุทธเจา้ เสียเอง เมอ่ื อชาตศตั รูเชื่อกระทาํ ปิ ตฆุ าต ยกตนข้ึนเป็นพระราชาสมปรารถนา จึงร่วมกนั คิดใชน้ ายขมงั ธนูไปปลงพระชนมพ์ ระพทุ ธองค์ แตก่ ลบั ได้ บรรลโุ สดาปัตติผลท้งั สิ้น ตนเองจึงข้นึ ไปบนยอดเขาคชิ ฌกูฏ กล้งิ ศลิ าลงหวงั จะให้ทบั พระพุทธองค์ แตส่ ะเกด็ หิน กระทบนิ้วพระบาทเพียงหอ้ พระโลหิต ภายหลงั จึงคบคดิ ปล่อยชา้ งนาฬาครี ี ในคร้งั น้นั พระอานนทส์ ละชีวิตเขา้ ขวาง หนา้ พระสพั พญั �ูพทุ ธเจา้ พระองคก์ ็ทรงทรมานชา้ งจนหายพยศแลว้ เสดจ็ กลบั เวฬุวนั คร้งั น้นั ความชวั่ แตห่ นหลงั ของพระเทวทตั กป็ รากฏแก่มหาชนท้งั สิ้นวา่ พระเทวทตั ชกั ชวนพระเจา้ อชาต ศตั รู ใหป้ ลงพระชนมพ์ ระพทุ ธเจา้ และปลงพระชนมบ์ ิดาตน กระทาํ กรรมชวั่ ชา้ ลามกถงึ เพยี งน้ี พระเจา้ อชาตศตั รูไดส้ ดบั คดี ทรงละอายพระทยั จึงสง่ั เลิกสาํ รับเสียและไม่ไปสู่ที่อปุ ัฏฐากพระเทวทตั อกี เลย พระเทวทตั เส่ือมจากลาภอนั ยง่ิ ใหญ่ แม้ ประชาชนก็ไมใ่ ส่บาตรให้ฉนั จึงคดิ ทจี่ ะเล้ียงชีพโดยการหลอกลวงตอ่ ไป จึงเขา้ เฝ้าพระบรมศาสดาทลู ขอวตั ถุ ๕ ประการ คอื ๑. อยปู่ ่ าเป็นวตั ร ๒. อยโู่ คนไมเ้ ป็นวตั ร ๓. นุ่งห่มผา้ บงั สุกลุ เป็นวตั ร ๔. บิณฑบาตเป็นวตั ร ๕. เวน้ การ บริโภคเน้ือและปลา ถา้ ภิกษุรูปใดจะถอื ขอ้ ใด กต็ อ้ งถอื ตลอดชีวิต จะละการปฏบิ ตั ไิ มไ่ ด้ พระพุทธองคไ์ ม่ทรงอนุญาต มพี ทุ ธฎีกาว่า ตามแต่จะปฏิบิโดยศรทั ธา พระเทวทตั กก็ ล่าวยกโทษพระพุทธองคว์ ่า “คา่ ของใครจะประเสริฐกว่ากนั ผใู้ ดใคร่พน้ ทกุ ขจ์ งมาไปกบั เรา” แลว้ พาภกิ ษทุ ่ีบวชใหมม่ ปี ัญญานอ้ ย ทีเ่ ชื่อฟังคาํ ของตนประมาณ ๕๐๐ รูปไป พยายาม จะทาํ สังฆเภท พระพุทธองคร์ ู้เหตุจึงตรัสเตอื นก็ไมเ่ อ้ือเฟ้ื อ พบพระอานนทก์ ล่าวว่า “อานนท์ จาํ เดิมแต่วนั น้ี เราเวน้ จาก พระบรมครูและหมู่สงฆท์ ้งั หมด จะทาํ อโุ บสถสงั ฆกรรมเฉพาะพวกของเราเทา่ น้นั ” พอถงึ วนั อุโบสถจึงให้ภกิ ษุ เหล่าน้นั จบั สลากปฏบิ ตั ิตามวตั ถุ ๕ ประการ แลว้ ทาํ ลายสงฆพ์ าหมภู่ ิกษุไปยงั คยาสีส ประเทศ พระพุทธองคต์ รสั ให้ พระอคั รสาวกท้งั ๒ ไปนาํ กลบั มา แผ่นดนิ สูบพระเทวทตั ฝ่ ายพระโกกาลิก เห็นเช่นน้นั จึงต่อว่าพระเทวทตั แลว้ ยกเขา่ ข้ึนกระทงุ้ ยอดอก จนพระเทวทตั อาเจียนเป็นโลหิต เกิดอาพาธหนกั พระเทวทตั อาพาธอยถู่ ึง ๙ เดือน เห็นชีวิตตนคงจะไม่รอด ใคร่จะขอขมาพระพุทธองคจ์ ึงขอร้องใหศ้ ิษย์ นาํ ไปเฝา้ แตพ่ อไปถึงสระโบกขรณีนอกพระเชตวนั ใคร่จะลงสรงน้าํ พอหอ้ ยเทา้ ลงท่พี ้ืนดิน แผ่นดินกแ็ ยกสูบจมลงไป จนกระทงั่ กระดกู คางจรดพ้ืนดินจึงกล่าวข้ึนว่า “ขา้ พระพทุ ธเจา้ ขอถวายกระดูกคางน้ีบูชาพระสัพพญั �ผู ูเ้ ป็นอคั รบรม ครู” เป็นตน้ อานิสงส์อนั น้ีเป็นปัจจยั ใหพ้ ระเทวทตั จะไดเ้ ป็นพระปัจเจกโพธิในอนาคตท่สี ุดแสนกลั ป์ เมอ่ื พระเทวทตั ก ลา่ วจบ ก็จมลงไปเกิดในอเวจีมหานรก พระธรี วฒั น์ จนฺทโสภโณ : วัดไผ่เงนิ โชตนาราม | นักธรรมช้ันเอก 79

80 เมตไตยพยากรณ์ เมตไตยโพธิสัตว์อุบตั ิ เมตไตยโพธิสตั วอ์ ุบตั ใิ นพุทธกาลแห่งพระสัพพญั �ูสัมมาสมั พทุ ธเจา้ แห่งเราน้นั พระเมตไตยโพธิสตั วไ์ ด้ ปฏิสนธิในพระครรภแ์ ห่งพระนางกาญจนาเทวอี คั รมเหสีพระเจา้ อชาตศตั รูราชา คร้นั ถว้ นทศมาสก็ประสูตจิ ากพระ ครรภ์ ไดน้ ามบญั ญตั ิว่า “อชิตราชกมุ าร” คร้นั เจริญวยั ไดเ้ ห็นและสดบั พระธรรมเทศนาแห่งพระบรมศาสดา ก็มีพระทยั ศรทั ธาโสมนสั ดาํ ริวา่ “พทุ ธานุภาพน้ีอศั จรรยย์ ิง่ นกั ผใู้ ดมไิ ดบ้ าํ เพญ็ ทาน รักษาศลี และบาํ เพญ็ บารมีต่างๆ กม็ อิ าจจะ ตรัสรู้พระสัพพญั �ุตญาณได้ ฉะน้นั เราจะตดั บว่ งแห่งฆราวาสออกบรรพชาในพระพุทธศาสนา” จึงทลู ลาพระราชบดิ า บวช แลว้ ไดเ้ ล่าเรียนพุทธวจนะเป็นอนั มาก ไดส้ อนธรรมบอกกลา่ วพระไตรปิ ฎกแก่เพื่อนพรหมจรรยท์ ้งั ปวง รับผ้าคู่ของพระนางโคตมี สมยั หน่ึง พระบรมครูเสด็จสู่กรุงกบิลพสั ดเุ์ ป็นวาระที่ ๒ พระนางมหาปชาบดีโคตมพี ระนา้ นางทรงจินตนาวา่ จาํ เดิมแตพ่ ระลูกเจา้ มาสู่พระนครน้ี เรามไิ ดถ้ วายสิ่งใดเลย ฉะน้นั เราจะถวายจีวรสาฎกเถดิ แลว้ จึงทรงเพาะเมลด็ ฝ้ายใน อ่างทอง เมอื่ ตน้ ฝ้ายออกปอย ทรงเก็บใส่ลงในผอบทอง ทรงเลอื กหีบดีดปั่นดว้ ยพระหัตถข์ องพระองคเ์ อง เส้นดา้ ย ละเอยี ดย่งิ นกั มสี ีเหลอื งดจุ ทองให้หาช่างหูกฝีมอื เย่ียมมา เสดจ็ ทอดพระเนตรการทอผา้ น้นั เป็นนิตยท์ ุกวนั เมื่อสาํ เร็จได้ ผา้ ๒ ผืน ผนื ละ ๑๔ ศอก โดยความยาว เป็ นพระภูษาท่คี าํ นวณคา่ มไิ ด้ จึงพบั ใส่ผอบแกว้ ยกข้นึ ทลู เหนือเศยี รเกลา้ พร้อมกบั บริวารนาํ ไปถวายพระบรมศาสดาทีน่ ิโครธาราม ถวายนมสั การแลว้ ทรงจบั ผา้ ท้งั คู่นอ้ มเขา้ ไปถวายวา่ “ขา้ แต่ พระผูม้ พี ระภาค ภูษาท้งั ค่นู ้ีขา้ พระองคก์ ระทาํ ดว้ ยมือตนเอง ขอทรงพระมหากรุณานุเคราะห์ เพื่อประโยชนส์ ุขแก่ ขา้ พระพทุ ธเจา้ สิ้นกาลนานเถดิ ” พระพทุ ธองคต์ รัสวา่ “โคตมี เธอจงถวายแกส่ งฆเ์ ถิด จะมีผลานิสงส์มาก และไดช้ ่ือวา่ บูชาตถาคตและสงฆท์ ้งั ปวง” พระนางปชาบดีทลู ออ้ นวอนถงึ ๓ คร้ัง เมอ่ื พระองคไ์ มร่ บั กเ็ สียพระทยั โทมนสั อาดูร จึง เขา้ ไปหาพระอานนทเ์ ลา่ เรื่องท้งั หมดใหฟ้ ัง พระอานนทจ์ ึงเขา้ ไปทลู วงิ วอนใหพ้ ระองคท์ รงรบั พระองคจ์ ึงตรสั เทศนา ทกั ขณิ าวิภงั คสูตร จาํ แนกทกั ษิณาทานที่เป็นปาฏิปุคคลกิ ทาน ๑๔ ประการ สงั ฆทาน ๗ ประการ แลว้ ทกั ษณิ าทานอนั บริสุทธ์ิอกี ๔ ประการ พระนางโคตมีไดส้ ดบั พระธรรมเทศนาก็บงั เกิดปรีดาปราโมทย์ จึงนอ้ มนาํ ผา้ เขา้ ไปถวายพระ ธรรมเสนาบดี พระผูเ้ ป็นเจา้ กไ็ มร่ ับ จึงถวายแด่พระโมคคลั ลานะ พระอสีตมิ หาเถระท้งั ๘๐ องค์ พระคณุ เจา้ ท้งั หมดก็มิ ยอมรบั จนกระทง่ั ถึงพระอชิตภิกษุ ซ่ึงเป็นพวกภกิ ษุนงั่ อยทู่ า้ ยสงฆท์ ้งั ปวง พระผูเ้ ป็นเจา้ กร็ บั พระนางทรงโทมนสั จน น้าํ พระเนตรนองพกั ตร์ ดว้ ยคดิ ว่า “ตวั เราน้ีบญุ นอ้ ย อตุ ส่าหท์ าํ ผา้ คู่น้ีต้งั จิตวา่ จะถวายพระชินสีห์ ท้งั พระองคอ์ คั รสาวก และพระมหาเถระ กม็ ิยอมรบั บดั น้ี ภกิ ษหุ นุ่มเป็นนวกะมารับผา้ ของเรา” พระพุทธองคท์ รงเห็นเช่นน้นั จึงทรงพทุ ธดาํ ริ ว่า “ตถาคตจะทาํ ให้พระนางโคตมบี งั เกิดโสมนัสในวตั ถทุ าน” จึงตรัสให้พระอานนทไ์ ปนาํ บาตรของพระองคม์ า แลว้ ทรงทาํ อธิษฐานว่า ขอพระสาวกท้งั ปวงจงอยา่ หาบาตรน้ีเห็น เวน้ เสียอชิตหนุ่มผูเ้ ดียว แลว้ ทรงโยนบาตรไปในอากาศ บาตรน้นั กล็ อยหายลบั เขา้ กลบี เมฆไป พระธรรมเสนาบดีกก็ ราบทลู วา่ จะนาํ บาตรกลบั มาถวายแลว้ กเ็ หาะข้นึ ไปใน อากาศ เทย่ี วคน้ หาก็มิไดพ้ บ จึงกลบั ลงกราบทูล พระมหาสาวกท้งั หลาย ลว้ นเป็นเอตทคั คะตา่ งๆ กม็ สิ ามารถจะคน้ หา ไดพ้ บ พระพุทธองคจ์ ึงตรัสสัง่ ว่า “อชิตะ เธอจงไปคน้ หาบาตรตถาคต” พระผเู้ ป็นเจา้ ดาํ ริว่า “น่าอศั จรรยย์ ่ิงนกั ไฉน พระมหาเถระท้งั หลายมีอานุภาพมากจึงมิอาจหาบาตรไดพ้ บ ส่วนตวั เราน้ียงั มีจิตอนั กิเลสมลทินครอบงาํ อยู่ พระ สพั พญั �ูตรสั สงั่ ให้ไปหาบาตร คงจะมีเหตุใดเหตุหน่ึงอยา่ งแน่นอน ฉะน้นั เราจะเที่ยวคน้ หาบาตร” บงั เกิดปี ติ พระธรี วฒั น์ จนฺทโสภโณ : วัดไผ่เงนิ โชตนาราม | นักธรรมช้ันเอก 80

81 ปราโมทยจ์ ึงเขา้ ไปกราบทลู รับอาสา แลว้ ออกมายนื ในทีส่ ุดบริษทั มองดูนภากาศแลว้ ต้งั สัตยาธิษฐานวา่ “เราบรรพชา ในพระพุทธศาสนาดว้ ยปรารถนาปัจจยั ลาภ และมิอาจจะเล้ยี งชีพในฆราวาสไดก้ ห็ าไม่ เราต้งั ใจจะประพฤตพิ รหมจรรย์ เพอ่ื หมายมน่ั ทีจ่ ะตรสั รู้ธรรมท้งั ปวง ผิว่าศีลของเรามขิ าดมทิ าํ ลายบริสุทธ์ิเป็นอนั ดี ขอให้บาตรแห่งองคพ์ ระชินสีห์ จง มาประดิษฐานในมอื แห่งเราที่เหยียดออกไปโดยพลนั ” พอเสร็จคาํ อธิษฐาน บาตรกพ็ ลนั ตกลงมาจากอากาศ ประดิษฐานอยใู่ นหัตถแ์ ห่งอชิตภิกษุเป็นท่ีน่าอศั จรรย์ พระนางปชาบดีไดท้ อดพระเนตร ดงั น้นั ก็เกิดปี ติโสมนสั เป็น กาํ ลงั เกิดศรทั ธาปสาทอยา่ งแรงกลา้ จนน้าํ พระเนตรหลงั่ ไหล ยอหตั ถน์ มสั การพระบรมศาสดาจารยแ์ ลว้ ๆ เลา่ ๆ กเ็ สด็จ คนื พระราชนิเวศน์ ทรงแย้มพระโอษฐ์ ส่วนพระอชิตภิกษุ จินตนาการว่า ประโยชน์อนั ใดแกเ่ ราดว้ ยผา้ ทเี่ ลิศคู่น้ีดว้ ยจะปิ ดกายก็มิสมควร เราจะนาํ ผา้ คู่ น้ีไปกระทาํ บชู าพระพทุ ธชินสีห์ จะเป็นการสมควรยิง่ เม่ือดาํ ริเช่นน้นั กถ็ ือผา้ ผนื หน่ึงเขา้ ไปคาดเป็นเพดานเบ้ืองบนพระ คนั ธกุฎี อกี ผืนหน่ึงฉีกเป็น ๔ ชิ้น ทาํ เป็นม่านห้อยลงท้งั ๔ มุมแห่งเพดาน แลว้ จึงเปลง่ วาจาว่า “วตั ถบุ ชู าน้ีเจริญจิตยงิ่ นกั ดว้ ยอานิสงส์วตั ถุน้ี ขา้ พระองคม์ ไิ ดป้ รารถนาสิ่งอืน่ นอกเสียจากพระโพธิญาณ” สมเด็จพระบรมศาสดาจารย์ ทอดพระเนตรเห็นการกระทาํ ของอชิตภกิ ษุน้นั ก็กระทาํ พระอาการแยม้ พระโอษฐ์ พระอานนทก์ ราบทลู ถามเหตุผลแห่ง การแยม้ ใหป้ รากฏ พระบรมสุคตจึงตรสั ว่า “อานนท์ อชิตภกิ ษนุ ้ีจะไดต้ รสั รู้เป็นองคพ์ ระชินสีห์ ทรงพระนามวา่ เมต ไตยในอนาคตในมหากปั น้ี” ในกาลน้นั พระเมตไตยบรมโพธิสตั ว์ จะปฏิสนธิในครรภแ์ ห่งสุพรหมวดีพราหมณี ภรรยาแห่งสุพรหม พราหมณ์ ผูเ้ ป็นปโุ รหิตาจารยแ์ ห่งพระเจา้ สังขบรมจกั รพรรดิ เมอื่ ครบทศมาสก็ประสูติ ณ ทีป่ าอิสิปตนมฤคทายวนั เมืองเกตมุ วดี เมื่อเจริญวยั บริโภคสมบตั อิ ยใู่ นปราสาทท้งั ๓ หลงั มีจนั ทรมขุ พี ราหมณีเป็นอคั รภรรยา ครอบครอง สมบตั ิอยใู่ นเพศฆราวาส ๗ หมนื่ ปี ไดท้ ศั นาเทวทูตท้งั ๔ เม่อื นางจนั ทรมขุ ี คลอดบตุ รนามวา่ พรหมวฒั นกุมาร จึงดาํ ริ ในการจะออกบรรพชา ขณะน้นั ปราสาทจะเลอ่ื นลอยข้นึ บนอากาศ ลงมาประดิษฐาน ณ ปฐพีใกลพ้ ระศรีมหาโพธ์ิ คอื ตน้ กากทงิ พระโพธิสตั วจ์ ะลงจากปราสาท ถือเอาผา้ ทพิ ยกาสาวพสั ตร์แลว้ ทรงบรรพชา บุรุษที่เป็นบริวารจะบรรพชา ตามท้งั หมด พระองคจ์ ะบาํ เพญ็ ทกุ กรกิริยา ๗ วนั พอถงึ วนั วิสาขบรุ ณมี จะเสวยขา้ วมธุปายาสแห่งนางสุนนั ทา พราหมณี คร้ันเวลาเยน็ ทรงรบั หญา้ คาจากโสตถยิ พราหมณ์ ๘ กาํ มือ อธิษฐานเป็นรัตนบลั ลงั กส์ ูง ๑๕ ศอก สถิตบน บลั ลงั ก์ พจิ ารณาปัจจยาการก็สาํ เร็จพระสพั พญั �ุตญาณในเวลาใกลร้ ุ่งแห่งราตรีน้นั เอง. สุทโธทนราชานิพพาน พุทธบดิ าทรงประชวร คร้นั ใกลว้ สั สกาลเป็นคาํ รบ ๕ พระผูม้ พี ระภาคเสด็จจากกรุงราชคฤห์พร้อมกบั ดว้ ยภกิ ษสุ งฆ์ ๕๐๐ ไปยงั เมืองเวสาลี ประทบั อยทู่ ่กี ูฏาคารศาลา ป่ ามหาวนั เพือ่ อนุเคราะหเ์ วไนยสตั ว์ และเสด็จจาํ พรรษาที่ ๕ ที่น้นั ในปี น้นั พระ เจา้ สุทโธทนะมหาราชพทุ ธบดิ าทรงประชวรหนกั เสวยทุกขเวทนาอยา่ งแรงกลา้ ทรงระลึกถึงองคพ์ ระศาสดาโดย ปริวติ กวา่ “ผิว่าพระสัมมาสมั พุทธเจา้ เสด็จมาท่ีน่ีทรงปรามาสศรี ษะ พระนนั ทะลบู กายขา้ งซ้าย พระอานนทล์ ูบกาย เบ้อื งขวา และพระราหุลลูบกายเบ้ืองหลงั ของอาตมา ทุกขเวทนา โรคาพยาธิจกั บรรเทาโดยแน่แท”้ พุทธบดิ าบรรลอุ รหตั พระธรี วัฒน์ จนฺทโสภโณ : วดั ไผ่เงนิ โชตนาราม | นกั ธรรมช้ันเอก 81

82 ในยามใกลร้ ุ่งแห่งราตรีวนั น้นั พระบรมศาสดาเขา้ สู่พระมหากรุณาสมาบตั ิ ออกจากสมาบตั นิ ้นั ทรงพิจารณา เวไนยสัตว์ ทอดพระเนตรในพระญาณเห็นพุทธบิดากาํ ลงั ประชวรหนกั ทรงพุทธดาํ ริวา่ “พระบดิ าแห่งตถาคตมพี ระ โรคาพาธอยา่ งแรงกลา้ ปรารถนาจะเห็นตถาคตในวนั น้ี กาลน้ีควรที่ตถาคตจะไปเยยี่ ม” เสด็จลกุ ข้ึนจากอาสนต์ รัสชวน พระอานนท์ และใหบ้ อกกลา่ วภิกษุท้งั หลายบรรดาท่ีเป็นพระขีณาสพ เมือ่ พระขณี าสพท้งั หลายมอี คั รสาวกเป็นตน้ มา ประชุมพร้อมกนั แลว้ จึงมพี ุทธดาํ รสั ว่า “เธอท้งั หลาย จงไปทศั นาพทุ ธบดิ ากบั ตถาคต อนั เป็นปัจฉิมทศั นาคร้งั สุดทา้ ย ในวาระน้ี” พร้อมดว้ ยพระภกิ ษสุ งฆ์ ๕๐๐ องค์ ไปสู่กรุงกบิลพสั ดุ์ โดยทางอากาศ คร้นั ถงึ กล็ งที่พระราชมณเฑยี ร ประทบั เหนือพระยภ่ี ู่ เล็งดพู ระพุทธบิดาแลว้ ตรัสถามวา่ “ทกุ ขเวทนาพอทจ่ี ะอดทนหรือพน้ พระกาํ ลงั ประการใด” พระ บรมกษตั ริยท์ รงสดบั กส็ ะทอ้ นพระทยั พระชลนยั นห์ ลง่ั ไหลกราบทลู ว่า “ทกุ ขเวทนาแห่งขา้ พระพทุ ธเจา้ น้ี เหลอื กาํ ลงั ท่ี จะอดทน พน้ ที่จะดาํ รงชีวิตอยไู่ ด”้ จึงตรสั ว่า “มหาบพติ ร พระองคอ์ ยา่ ทรงพระปริวิตกนกั ” แลว้ ทรงเหยยี ดพระหัตถ์ เบ้อื งขวา กระทาํ สตั ยาธิษฐานและลบู ทพ่ี ระเศียรแห่งพระบรมกษตั ริย์ ขณะน้นั พระอานนทพ์ ุทธอนุชาก็ลูบพระกรเบ้ือง ขวา พระนนั ทเถระก็ลูบพระพาหาเบ้อื งซา้ ย พระราหุลพุทธชิโนรสก็ลูบพระปฤษฎางค์ อนั ว่าทกุ ขเวทนาอนั แรงกลา้ ก็ เหือดหายระงบั ไป พระเจา้ สุทโธทนะกเ็ สดจ็ ลุกจากพระแทน่ บรรทม ถวายบงั คมพระบรมศาสดา พระพทุ ธองคท์ รง พจิ ารณาพระชนมายสุ งั ขารว่ามีปริมาณนอ้ ยนกั จะดาํ รงอยไู่ ดเ้ พยี ง ๗ วนั เท่าน้นั และทรงทราบอุปนิสยั แห่งอรหัตตผล ก็โปรดประทานพระธรรมเทศนาท้งั กลางวนั กลางคืน ดว้ ยอนิจจาทปิ ฏิสงั ยตุ และอริยสจั ๔ ประการ ในวนั ครบท่ี ๗ ถวายพระเพลงิ พระบรมศพ ในกาลน้นั พระบรมกษตั ริยจ์ ึงทลู วา่ “ขา้ แต่พระบรมศาสดาจารย์ ขา้ พระองคน์ ้ีพน้ จากบว่ งแห่งสงสาร เห็น นิพพานสัจโดยประจกั ษ์จิต อน่ึง ชีวติ ยงั เหลอื อยนู่ อ้ ยนกั จกั ขอทลู ลานิพพาน อน่ึงน้นั ส่ิงอน่ื ใดท่ีขา้ พระองคป์ ระมาท ดว้ ยกายวจีจิตในพระสุคต ขอจงพระกรุณาอดโทษานุโทษท้งั ปวงแก่ขา้ พระบาท ขอจงทรงอนุญาตแก่ขา้ พระพุทธเจา้ อนั จะทูลลาสู่ปรินิพพาน ณ กาลบดั น้ี” แลว้ เอนองคล์ งเหนือพระยี่ภนู่ ้นั เขา้ สู่ปรินิพพาน ในขณะน้นั พระนางปชาบดี และพระนางยโสธรา หม่สู นมนางในกบั ท้งั เหล่าศากยวงศก์ ท็ รงโศกาอาดรู พิไรรําพนั พระพทุ ธองคก์ ท็ รงระงบั เสียดว้ ย อนิจจตาปฏิสังยตุ แลว้ มีพระพทุ ธดาํ รัสตรสั สัง่ ใหพ้ ระมหากสั สปะเถระไปดสู ถานท่จี ะทาํ ฌาปนกิจ เมอ่ื พระมหาเถระ กระทาํ เสร็จกลบั มากราบทลู พระองคท์ รงยกพระเศยี รพุทธบิดา ทรงสรงพระบรมศพดว้ ยสุคนธวารี ทรงลบู พระเศยี ร และตรสั แด่พระธรรมเสนาบดีว่า “บุคคลใดประพฤตกิ ุศลธรรมสุจริต และมจี ิตปรารถนาโพธิภมู ิบารมใี ดๆ น้นั จง อตุ ส่าห์อภบิ าลบาํ รุงเล้ียงบิดามารดา จะสาํ เร็จตามปรารถนาทกุ ประการ” แลว้ ทรงยกพระศพใส่หีบแกว้ อนั เชิญไปสู่ฌา ปนสถาน บกข้นึ สุ่เชิงตะกอน แลว้ เสด็จกลบั ไปประทบั ทน่ี ิโครธาราม นางปชาบดีบรรพชา ในลาํ ดบั น้นั พระนางมหาปชาบดีเสด็จไปสู่สาํ นกั ถวายนมสั การและกราบทลู วา่ “ขา้ แต่ พระบรมศาสดา สตรีน้ีจะบวชในพระพุทธศาสนาไดห้ รือไมป่ ระการใด” จึงพุทธฎีกาตรสั วา่ “เธอจงอยา่ ไดช้ อบใน บรรพชาเลย มาตุคามจะบวชไม่ควร” ถึงแมพ้ ระนางจะกราบทูลถงึ ๓ คร้งั กต็ รัสหา้ มมิทรงอนุญาต พระนา้ นางทรง โทมนสั ถวายอภิวาทเสดจ็ กลบั ไป พระพทุ ธเจา้ ทรงประทบั ณ กรุงกบลิ พสั ดุ์ โดยสมควรแกพ่ ทุ ธอธั ยาศยั กเ็ สด็จกลบั สู่ เมอื งเวสาลี ส่วนพระนางโคตมี มพี ระกมลสันดานยนิ ดีในบรรพชา จึงปลงพระเกศานุ่งห่มผา้ กาสาวพสั ตร์ พร้อมกบั นางกษตั ริยศ์ ากยวงศเ์ ป็นจาํ นวนมาก เสด็จบทจรตามพระโลกนารถถงึ เมอื งเวสาลี เสดจ็ สู่กฏู าคารสาลา ป่ ามหาวนั มี พระบาทบอบช้าํ พระวรกายหมองคล้าํ ไปดว้ ยธุลี กพ็ ระชลนยั นน์ องเนตรเสดจ็ ไปยืนอยทู่ ซ่ี ุ้มประตู ขณะน้นั พระ พระธีรวัฒน์ จนฺทโสภโณ : วัดไผ่เงนิ โชตนาราม | นักธรรมช้ันเอก 82

83 อานนทเ์ ห็นเขา้ จึงออกไปไตร่ถามทราบความจึงไปกราบทลู ออ้ นวอน พระพทุ ธเจา้ กท็ รงอนุญาตดว้ ยการให้ครุธรรม ๘ ประการ คร้ันออกพรรษาก็เสด็จไปสู่เมอื งสาวตั ถี พระนางพมิ พาออกผนวช ฝ่ายในกรุงกบิลพสั ดุ์ เมอ่ื พระนางมหาปชาบดีทรงผนวชแลว้ ชนท้งั หลายมีอาํ มาตยแ์ ละปุโรหิตเป็ นตน้ ประชุม ปรึกษากนั พร้อมใจกนั ยกพระมหานามะโอรสของพระเจา้ อมโิ ตทนะ ทาํ พธิ ีราชาภิเษกครอบครองราชสมบตั แิ ห่งกรุง กบลิ พสั ดสุ์ ืบตอ่ ส่วนพระนางยโสธราราชเทวี ทรงจินตนาว่า “ราชสมบตั ไิ ม่แน่นอน เป็นทายชั ชะแห่งพระสวามขี อง เรา เมอื่ เรายงั ดาํ รงชีวิตอยู่ยงั ตกไปเป็นของผอู้ ่นื พระสวามกี ็มทิ รงอาลยั จึงเสด็จออกบรรพชา จะมปี ระโยชนอ์ ะไรแก่เรา ในเพศฆราวาส เราควรสละสมบตั แิ ลว้ บรรพชาโดยเสดจ็ พระภสั ดา ณ กาลบดั น้ี” จึงไปทูลลาพระมหานามราชา พร้อม ดว้ ยนางสนมกาํ นลั ประมาณ ๕๐๐ คน เสด็จไปพระเชตวนั มหาวิหาร เมอื งสาวตั ถี ถวายอญั ชลีแลว้ ทลู ขออุปสมบท พระ พทุ ธองคก์ ็ทรงประทานใหด้ ว้ ยครุธรรม ๘ ประการ พระนางเล่าเรียนกรรมฐาน ณ สาํ นกั พระบรมศาสดา เจริญวปิ ัสสนา ก็บรรลพุ ระอรหตั ตผล เป็นพระอริยบคุ คลในพระพทุ ธศาสนา แสดงยมกปาฏหิ าริย์ เศรษฐีอยากรู้จักพระอรหันต์ สมยั หน่ึง เมื่อพระผมู้ ีพระภาคประทบั อยทู่ ี่เวฬุวนั มหาวหิ าร มเี ศรษฐีผูห้ น่ึงอยใู่ นกรุงราชคฤห์ ใคร่จะเล่นใน แม่น้าํ คงคา จึงใหข้ ึงขา่ ยเป็นร้วั ลอ้ มที่ท่าที่ตนอาบเพ่อื ป้องกนั อนั ตรายจากสตั วน์ ้าํ มีไมจ้ นั ทน์แดงทอ่ นหน่ึงลอยมาติด ข่าย เศรษฐีคดิ ว่าเราจะทาํ อะไรดี จึงดาํ ริต่อไปว่า “ชนท้งั หลายตา่ งกลา่ วอวดตนว่าขา้ เป็นพระอรหันต์ เรามิรู้ไดว้ า่ ผใู้ ด เป็นพระอรหนั ต์ เราควรใหก้ ลงึ ป่ ุมจนั ทนแ์ ดงทาํ เป็นบาตร แลว้ แขวนไวท้ ป่ี ลายไมไ้ ผ่ ตอ่ กนั ใหส้ ูง ๑๐ ศอก ถา้ ผใู้ ดเหาะ มาเอาบาตรไปได้ จะเช่ือถือว่า ผูน้ ้นั เป็นองคพ์ ระอรหนั ต์ เราและบตุ รภรรยาจะถึงผูน้ ้นั เป็นสรณะที่พ่งึ ตลอดชีวติ ” เม่ือ คดิ เช่นน้นั แลว้ กใ็ หท้ าํ ตามท่ีตนดาํ ริ แลว้ ให้ร้องป่ าวประกาศวา่ “แมผ้ ใู้ ดเป็นพระอรหนั ตใ์ นโลกน้ี ผนู้ ้นั จงเหาะมาถือ บาตรน้ีไป เราให้เป็นสิทธิ” นคิ รนถนาฏบุตรแสดงท่าเหาะ คร้งั น้นั ครูท้งั ๖ มปี รู ณกสั สปะเป็นตน้ จึงพูดแก่เศรษฐีว่า “บาตรน้ีสมควรแกเ่ รา ทา่ นจงให้แก่เราเถดิ ” เศรษฐี ไมย่ อมให้ กลา่ วเหมอื นดงั ที่ไดป้ ระกาศไว้ คร้ันถงึ วนั ท่ี ๖ นิครนถนาฏบตุ ร ใชใ้ ห้ศิษยบ์ อกกล่าวแกเ่ ศรษฐีว่า “บาตรน้ี สมควรแกอ่ าจารยข์ องเราทา่ นอยา่ ตอ้ งใหท้ าํ ฤทธ์ิเหาะมา เพราะเหตุเพยี งบาตรซ่ึงเป็นวตั ถเุ ล็กนอ้ ยน้ีเลย จงมอบให้ อาจารยข์ องเราโดยเคารพเถิด” เศรษฐีก็คงยนื คาํ พดู เหมอื นก่อน นิครนถจ์ ึงไปดว้ ยตนเอง โดยสั่งศษิ ยว์ า่ “ถา้ เรายกมือ เทา้ ทาํ ท่าจะเหาะ พวกเจา้ จงเขา้ หยดุ มือเทา้ เราไว้ แลว้ พึงกล่าวหา้ มว่า ไฉนท่านอาจารยจ์ ึงทาํ ดงั น้ี อยา่ แสดงอรหนั ตคณุ ที่ ปกปิ ดไว้ เพราะเหตุเพยี งบาตรใบน้ี มิบงั ควร” เมอ่ื สง่ั แลว้ จึงพูดขอบาตร เศรษฐีไมย่ อมให้ พดู เหมือนดงั ก่อน นิครนถ์ จึงยกมือยกเทา้ ทาํ ท่าจะเหาะพวกศิษยก์ ็หยดุ เขา้ ไว้ แลว้ หา้ มดจุ สญั ญากนั ไว้ นิครนถจ์ ึงกล่าวแกเ่ ศรษฐีว่า “เราจะเหาะข้ึน ไปเอาบาตรแตศ่ ษิ ยห์ า้ มไว้ ทา่ นจงใหบ้ าตรแก่เราเถิด” เศรษฐีกไ็ ม่ยอมให้ พระธีรวฒั น์ จนฺทโสภโณ : วัดไผ่เงนิ โชตนาราม | นกั ธรรมช้ันเอก 83

84 พระปิ ณโฑลภารทวาชะเหาะ พระโมคคลั ลานะกบั พระปิ ณโฑลภารทวาชเถระเขา้ ไปบณิ ฑบาตในกรุงราชคฤห์ ยนื ห่มจีวรอยูท่ ่ีบนหลงั แผ่น ศิลาใหญแ่ ห่งหน่ึง ไดย้ นิ นกั เลงท้งั หลายกล่าวว่า “ครูท้งั ๖ กล่าวอวดวา่ ตนเป็นพระอรหนั ต์ จนถงึ ๗ วนั เขา้ วนั น้ีแลว้ ใครสักคนจะเหาะมาก็ไมม่ ี พวกเรารู้กนั วนั น้ีเองว่า พระอรหนั ตไ์ ม่มใี นโลก” พระโมคคลั ลานเถระจึงกล่าววา่ “ภารทวา ชะ ท่านไดย้ ินคาํ ท่ีนกั เลงพดู ดหู มน่ิ พทุ ธศาสนาหรือไม่ ท่านจงเหาะไปนาํ เอาบาตรมาให้ได”้ พระผูเ้ ป็นเจา้ จึงเขา้ จตุตถ ฌานสมาบตั ิอนั เป็นฐานแห่งอภญิ ญากระทาํ อิทธิฤทธ์ิเหาะข้ึนไปในอากาศ พร้อมท้งั แผน่ ดินศลิ าทยี่ นื เหาะเวียนรอบ กรุงราชคฤห์ แลว้ เหาะลอยมาอยตู่ รงหลงั คาเรือนของเศรษฐี เศรษฐีเห็นดงั น้นั จึงหมอบลงจนแผน่ อกจรดพ้ืนดินแลว้ ร้องอาราธนาว่า “พระผูเ้ ป็นเจา้ จงลงมาเถิด” เม่ือพระมหาเถระลงมาแลว้ จึงนิมนตใ์ หน้ ง่ั และให้นาํ บาตรลงมา บรรจุ ดว้ ยอาหารอนั ประณีตจนเตม็ ถวาย พระมหาเถระรับแลว้ กบ็ ่ายหนา้ กลบั พระเวฬวุ นั พระบรมศาสดาทรงทราบ ทรงติ เตยี น แลว้ ทรงใหท้ าํ ลายบาตรไมจ้ นั ทน์บดให้เป็ นผง ทาํ เป็นยาใส่ตา และทรงบญั ญตั ิสิกขาบท หา้ มมใิ ห้พระสาวกทาํ ปาฏหิ าริยต์ อ่ ไป เดยี รถีย์แข่งฤทธ์ิ พวกเดียรถยี ท์ ราบความ จึงประกาศกบั ประชาชนว่า จะทาํ ปาฏิหาริยแ์ ขง่ กบั พระพุทธองค์ พระเจา้ อชาตศตั รู สดบั เหตุ จึงไปสู่สาํ นกั กราบทูลว่า “ไดย้ ินว่า พระพทุ ธองคบ์ ญั ญตั สิ ิกขาบทหา้ มมิให้พระสาวกกระทาํ ปาฏหิ าริย์ แต่ บดั น้ีพวกเดียรถยี จ์ ะทาํ ปาฏหิ าริยแ์ ข่งกบั พระองค์ พระองคจ์ ะทาํ ฉนั ใด” ทรงตรัสตอบวา่ “มหาบพติ ร ตถาคตบญั ญตั ิ หา้ มแตส่ าวก แต่จะบญั ญตั ิห้ามตนเองหามไิ ด”้ พระราชาทรงทลู ถามว่า พระองคจ์ ะกระทาํ เม่ือใด ที่ไหน ทรงตรสั ตอบ วา่ “มหาบพติ ร แต่น้ีไปอกี ๕ เดือน ถึงวนั อาสาฬหปุณณมีเพญ็ เดือน ๘ ตถาคตจะกระทาํ ปาฏหิ าริยท์ ใ่ี กลเ้ มืองสาวตั ถี” พระบรมศาสดาเสด็จไปบิณฑบาตในเมอื งราชคฤห์ เสด็จออกจากเมอื งราชคฤห์ไปสู่เมืองสาวตั ถีโดยลาํ ดบั พวกเดียรถียก์ ต็ ดิ ตามเรื่อยมา พอถึงเมอื งสาวตั ถี พวกเดียรถียช์ กั ชวนอุปัฏฐากของตนเร่ียรายทรัพยไ์ ดถ้ ึงแสนกหาปณะ จึงให้สร้างมณฑปและบอกกบั มหาชนวา่ “จะทาํ ปาฏิหาริยใ์ นมณฑปน้ี” ลาํ ดบั น้นั พระเจา้ ปัสเสนทโิ กศลทรงทราบจึง จะสร้างมณฑปถวาย พระพทุ ธองคท์ รงหา้ ม พระราชาทูลถามวา่ “พระองคจ์ ะทรงกระทาํ ท่ไี หน” ตรสั ตอบวา่ “จะ กระทาํ ใกลต้ น้ มะม่วง” พวกเดียรถยี ท์ ราบความจึงส่งั ให้ศษิ ยข์ องตนตดั ตน้ มะมว่ งท้งั หลายภายในบริเวณ ๑ โยชนม์ ิให้ เหลอื แสดงยมกปาฏหิ ารยิ ์บนต้นมะม่วง คร้นั ถงึ วนั เพญ็ เดือน ๘ ตอนเชา้ กาํ ลงั เสดจ็ เขา้ ไปยงั พระนคร นายคณั ฑะคนเฝ้าพระอทุ ยาน เห็นมะมว่ งสุกผล ใหญ่ผลหน่ึง จึงสอยเอาหวงั จะเอาไปถวายพระราชา มาพบพระพทุ ธเจา้ เขา้ จึงนาํ เขา้ ไปถวาย พระองคท์ รงรับแลว้ ประทบั นงั่ พระอานนทจ์ ึงทาํ เป็นน้าํ อฏั ฐปานะถวายทรงเสวยแลว้ ทรงสัง่ ให้นายคณั ฑะคุย้ ดิน แลว้ เอาเมลด็ เพาะ นาย คณั ฑะทาํ ตาม ทรงลา้ งพระหัตถร์ ดลงไป ในขณะน้นั กเ็ กิดตน้ มะม่วงสูง ๕๐ ศอก มีก่ิงแตกออกไป ๔ ทศิ และเบ้ืองบน ไดน้ ามวา่ “คณั ฑามพฤกษ”์ พอเพลาตะวนั บ่าย พระพทุ ธองคท์ รงดาํ ริว่า เวลาน้ีสมควรท่จี ะกระทาํ ปาฏิหาริยไ์ ดแ้ ลว้ จึง เสดจ็ ออกจากพระคนั ธกุฎีประทบั อยทู่ ่หี นา้ มขุ ขณะน้นั นางฆรณีนนั ทะมารดา เป็นพระอนาคามี จุลอนาถปิ ณฑกิ คหบดีเป็นพระอนาคามี จิรสามเณรี อายุ ๗ ขวบเป็นพระอรหนั ต์ จนุ ทสามเณรอายุ ๗ ขวบ เป็นพระอรหันต์ อบุ ลวรรณาเถรี อคั รสาวกิ าเบ้ืองซา้ ย พระโมคลั ลานเถระ และพระอสีติมหาสาวก ไดเ้ ขา้ มารับอาสาจะทาํ ปาฏหิ าริยแ์ ขง่ พระธีรวฒั น์ จนฺทโสภโณ : วดั ไผ่เงินโชตนาราม | นกั ธรรมช้ันเอก 84

85 กบั พวกเดียรถยี ์ พระองคท์ รงหา้ มและตรสั ว่า มใิ ช่วิสัยของสาวก แลว้ พระพุทธองคท์ รงเขา้ สู่จตตุ ถฌานสมาบตั ิ อนั เป็น ทต่ี ้งั แห่งอภิญญา เหาะข้นึ ไปในอากาศ เสดจ็ จงกรมไปมาดว้ ยปฐวีกสิณบริกรรมทรงเนรมิตพระพทุ ธนิมิต พระองค์ เสดจ็ จงกรม พระพทุ ธนิมิตแสดงอาการไสยาสน์ พระมนุ ีนารถตรัสถามปัญหา พระพุทธนิมิต วสิ ัชนา เป็นตน้ แลว้ เสด็จ ลงจากอากาศ ประทบั นง่ั ท่ีรตั นบลั ลงั กอ์ นั ปรากฏบนยอดมะม่วงท่ามกลางบริษทั ท้งั ๔ ทิศ โปรดประทานพระธรรม เทศนาโดยสมควรแกอ่ ธั ยาศยั แห่งเวไนยสัตว์ เมือ่ จบพระธรรมเทศนา การบรรลมุ รรคผลไดเ้ กิดแก่เหล่าสัตวป์ ระมาณ ๘๔ โกฏิ ณ กาลน้นั เดียรถียท์ ้งั หลาย อนั มคี รูท้งั ๖ เป็นหวั หนา้ ทห่ี ลกี หนีไป ดว้ ยกลวั พุทธานุภาพ โปรดพุทธมารดา เสดจ็ พิภพดาวดึงส์ ลาํ ดบั น้นั สมเด็จพระบรมศาสดา ทรงพุทธดาํ ริว่า “พุทธประเพณีแห่งพระพทุ ธเจา้ ในอดีตกาล เมือ่ ทาํ ยมก ปาฏิหาริยแ์ ลว้ เสด็จจาํ พรรษา ณ ที่ใด” ทรงพจิ ารณาดว้ ยอตีตงั สญาณกเ็ ห็นแจง้ ประจกั ษว์ า่ “เสด็จจาํ พรรษาในดาวดึงส พิภพ แลว้ ตรสั แสดงอภธิ รรมปิ ฎกท้งั ๗ ปกรณ์ ถวายในไตรมาส เพ่ือกระทาํ การสนองพระคณุ พทุ ธมารดา อกี ประการ หน่ึง ความปรารถนาอนั ใดท่ีพระชนนีต้งั ไวแ้ ทบบาทมูลพระพุทธวปิ ัสสีสมั มาสมั มาสมั พทุ ธเจา้ ว่า “ขอให้นางไดเ้ ป็น มารดาพระบรมครูเห็นปานดงั พระพทุ ธองค”์ ความปรารถนาอนั น้นั ก็สาํ เร็จสมประสงค์ และพระชนนีมพี ระคณุ แก่ ตถาคตเป็นอนั มาก ยากที่จะไดต้ อบสนองพระคณุ มารดา” ทรงจินตนาการดงั น้ีแลว้ เสด็จลุกจากรัตนบลั ลงั ก์ข้นึ สู่ดาว ดึงสพิภพ ประทบั นงั่ เหนือกมั พลศลิ าอาสน์ ภายใตป้ าริฉัตตรุกขชาติ อนั เป็นธงแห่งดาวดึงส์เทวโลก ทรงแสดงอภธิ รรมปิ ฎก ในกาลน้นั ทา้ วสหสั สนยั น์เทวราช เมอ่ื ทอดพระเนตรเห็น จึงประกาศให้เหลา่ ทวยเทพไดท้ ราบทวั่ กนั เทพเจา้ ท้งั หลายตลอดหมื่นจกั รวาลถือทิพยมาลาสักการะมาสโมสรสันนิบาต ถวายนมสั การแลว้ ประทบั นงั่ อยโู่ ดยรอบพระ พทุ ธองค์ เมือ่ ไม่ทรงเห็นพทุ ธมารดา จึงตรสั ถามทา้ วสักกรินทร์เทวราช เทวราชจึงเสด็จไปตามพระสิริมหามายาเทว บุตร ณ ดสุ ิตพิภพ พระพทุ ธมารดาไดส้ ดบั ทรงพระปี ติปราโมทย์ เสด็จมายงั ดาวดึงส์พิภพ สู่สาํ นกั พระบรมครู ถวาย นมสั การประทบั นง่ั อยเู่ บ้อื งขวาแห่งพระผมู้ พี ระภาค พลางดาํ ริว่า “เราน้ีมีบุญย่งิ นกั มเิ สียทที ี่เราอมุ้ ทอ้ งมา ไดพ้ ระโอรส อนั ประเสร็จเห็นปานน้ี” ส่วนสมเด็จพระชินสีห์มีพระทยั ปรารถนาจะสนองคุณพระมารดาจึงดาํ ริวา่ “พระคณุ แห่ง มารดาท่ีทาํ ไวแ้ ก่ตถาคตน้ียิ่งใหญน่ กั สุดท่จี ะคณานบั ไดว้ า่ กวา้ งหนาและลกึ ซ้ึงปานใด และธรรมอนั ใดจึงจะสมควรที่ จะทดแทนพระคณุ ได้ พระวนิ ยั ปิ ฎก และพระสุตตนั ตปิ ฎก กย็ งั นอ้ ยนกั มิเทา่ คณุ แห่งพระมารดา เห็นควรแต่พระ อภธิ รรมปิ ฎกทจี่ ะพอยกข้ึนชงั่ เท่ากนั ได”้ ดาํ ริดงั น้ีแลว้ กวกั พระหตั ถเ์ รียกพระพุทธมารดาว่า “ดูกรชนนี มาน้ีเถดิ ตถาคตจะใชค้ า่ น้าํ นมป้อนขา้ วของมารดา อนั เล้ียงตถาคตน้ีมาแต่อเนกชาติในอดีตภพ” แลว้ กระทาํ พุทธมารดาเป็น ประธาน ตรสั อภธิ รรมปิ ฎก ๗ คมั ภรี ์ ให้สมควรแก่ปัญญาบารมี มสี ังคณี วิภงั ค์ ธาตุกถา ปุคคลบญั ญตั ิ กถาวตั ถุ ยมก และมหาปัฏฐาน กาลเมอื่ สมเด็จพระสมั มาสัมพทุ ธเจา้ ทรงแสดงสตั ตปกรณาภิธรรมเทศนาจบลง องคพ์ ระสิริมหามายา เทวบตุ รพทุ ธมารดา ก็บรรลโุ สดาปัตตผิ ล ประกอบดว้ ยนยั ๑ พนั บริบูรณ์ พระธีรวัฒน์ จนฺทโสภโณ : วัดไผ่เงินโชตนาราม | นักธรรมช้ันเอก 85

86 เสดจ็ ลงจากดาวดึงส์ พระมหาโมคคัลลานะทูลถามการเสด็จลง กาลเมอ่ื พระผูม้ ีพระภาค ทรงกระทาํ ปาฏหิ าริยแ์ ลว้ ข้นึ ไปสู่ดาวดึงส์เทวโลก คร้งั น้นั มหาชนท้งั หลายทม่ี า ประชุมกนั อยใู่ นทน่ี ้นั และดพู ุทธสรีรกายหายไปในเทวโลก ก็เศร้าโศกปริเทวนาการว่า “พระบรมครูข้ึนไปสู่ภูเขาจิตร กฏู หรือไกรลาส หรือคนั ธมาสประการใด เราท้งั หลายมไิ ดเ้ ห็นพระองคใ์ นกาลบดั น้ี” แลว้ เขา้ ไปถามพระมหาโมคคลั ลา นะวา่ “ขา้ แต่พระผูเ้ ป็นเจา้ พระบรมครูแห่งเราเสด็จไปสถิตอยู่ ณ ท่แี ห่งใด” พระมหาเถระจึงกล่าววา่ “พวกท่านจงถาม ทา่ นอนุรุทธะก็จะทราบ” มหาชนกไ็ ปถามพระอนุรุทธเถระ ท่านกบ็ อกวา่ “พระพุทธองค์ เสดจ็ ข้นึ ไปจาํ พรรษท่ี บณั ฑุกมั พลศลิ าอาสน์ ในดาวดึงส์เทวโลก เพอื่ จะตรัสพระธรรมเทศนาอภิธรรม ๗ คมั ภรี ์ โปรดพุทธมารดา” ขา้ แตพ่ ระ ผูเ้ ป็นเจา้ กเ็ ม่ือใดเล่าจะกลบั มาสู่มนุษยโลก “ดกู รท่านท้งั ปวง พระบรมครูตรสั เทศนาพระอภธิ รรมปิ ฎกถว้ นไตรมาส แลว้ พอถงึ วนั ปวารณาจึงจะกลบั มายงั มนุษยโลกน้ี” ชนท้งั หลายจึงกลา่ วแกพ่ ระมหาโมคคลั ลานะว่า “ถา้ มิไดเ้ ห็นองค์ พระสพั พญั �ู ขา้ พเจา้ ท้งั หลาย จะไมไ่ ปจากทน่ี ี่” แลว้ ชวนกนั พกั แรม ต้งั ทบั และชมรมพกั อาศยั มไิ ดม้ หี ลงั คา พระมหาโมคคลั ลานะขนึ้ ไปเฝ้า เมอื่ เวลาเหลอื เหลืออยอู่ ีก ๗ วนั จะออกพรรษา ประชาชนเขา้ ไปหาพระโมคคลั ลานะและกล่าววา่ “พระผูเ้ ป็น เจา้ ควรทีจ่ ะรู้วนั ท่ีพระสพั พญั �จู ะเสด็จลงจากเทวโลกให้แน่นอน และพวกขา้ พเจา้ มไิ ดเ้ ห็นพระบรมครูแลว้ จะไมไ่ ป จากที่น้ี” พระมหาเถระจึงสาํ แดงฤทธ์ิข้นึ ไปยงั ช้นั ดาวดึงส์ กระทาํ อญั ชลีแลว้ ทูลว่า “พระพุทธองคจ์ ะเสดจ็ ลงจากเท วโลกในกาลเม่ือใด” จึงมีพระดาํ รัสวา่ โมคคลั ลานะ แต่น้ีไปอกี ๗ วนั จะถงึ วนั มหาปวารณา ตถาคตจะลงจากเทวโลก ณ ทีใ่ กลป้ ระตเู มืองสงั กสั สนคร ในวนั น้นั ถา้ มหาชนใคร่จะไดเ้ ห็นตถาคต จงไปทนี่ นั่ เธอจงไปแจง้ แก่มหาชนตามคาํ ตถาคตสั่งน้ี” พระมหาเถระกก็ ลบั มาแจง้ แก่ประชาชนทุกประการ คร้นั ถงึ วนั อสั สยชุ ปณุ ณมีเพญ็ เดือน ๑๑ สมเดจ็ พระบรมศาสดาทรงปวารณาพรรษาแลว้ จึงตรสั บอกแกส่ มเดจ็ อมรินทราธิราชวา่ ดกู รทา้ วเทวราชตถาคตจะลงไปสู่มนุษยโลกในเวลาวนั พรุ่งน้ี ทา้ วโกสียจ์ ึงเนรมิตบนั ไดทิพยท์ ้งั ๓ คอื บนั ไดทองอยเู่ บ้อื งขวา บนั ไดเงินอยเู่ บ้อื งซ้าย บนั ไดแกว้ อยทู่ า่ มกลางเชิงบนั ไดท้งั ๓ จรดพ้นื ภูมิภาค ณ ทีใ่ กลเ้ มือง สังกสั สนคร หัวบนั ไดเบ้ืองบนจรดยอดเขาสิเนรุราช อนั เป็นทตี่ ้งั แห่งดาวดึงสพภิ พ บนั ไดทองเป็นท่ีลงแห่งหมูเ่ ทวดา บนั ไดเงินเป็นทีล่ งแห่งหมพู่ รหม ส่วนบนั ไดแกว้ น้นั เป็นทีเ่ สดจ็ ลงแห่งพระบรมศาสดา สมเด็จพระบรมครู เสด็จสถิตเหนือยอดเขาสิเนรุ ทอดพระเนตรเห็นเครื่องสกั การบชู าแห่งเทวดาท้งั หลายหม่นื โลกธาตุ ก็ทรงแสดงยมกปาฏหิ าริยซ์ ้าํ อกี และทรงแสดงโลกวิวรณปาฏปิ หาริยบ์ นั ดาลเปิ ดโลก ยงั สวรรคม์ นุษยแ์ ละ นรก ท้งั หมน่ื โลกธาตใุ ห้แลเห็นกนั ปรากฏทวั่ ท้งั สิ้น อนั เป็นมหาอศั จรรย์ เทวดาท้งั หลายในหมืน่ จกั รวาลกม็ าประชุม พร้อมกนั พระองคก์ ็เสดจ็ ลงจากเทวโลก พร้อมดว้ ยทวยเทพตามส่งเสด็จเป็นจาํ นวนมาก คร้งั น้นั สรรพสัตวท์ ้งั หลายซ่ึง ไดเ้ ห็นองคพ์ ระชินสีห์ สัตวต์ นใดแมส้ กั ตนหน่ึง ท่ไี มป่ รารถนาพุทธภูมิไมม่ ี เม่ือสมเด็จพระบรมศาสดาจารย์ เสด็จลง จากเทวโลกถึงเชิงบนั ไดแลว้ ประทบั ยนื อยู่ พระธรรมเสนาบดีก็ถวายอญั ชลพี ระโลกนารถ แลว้ ประกาศความยนิ ดี พระพทุ ธองคป์ ระทานพระธรรมเทศนา เม่อื แสดงพระสทั ธรรมเทศนาจบ ภกิ ษุ ๕๐๐ รูป ซ่ึงเป็นสทั ธิวิหาริก แห่งพระสารีบตุ รก็บรรลุพระอรหัตตผล ประชาชนกไ็ ดด้ วงตาเห็นธรรมเป็นจาํ นวนมาก พระธีรวฒั น์ จนฺทโสภโณ : วัดไผ่เงนิ โชตนาราม | นกั ธรรมช้ันเอก 86

87 อัครสาวกนพิ พาน ลําดับพรรษายกุ าล จาํ เดิมแต่พระผูม้ ีพระภาคเจา้ ตรัสรู้อนุตตรสมั มาสมั โพธิญาณ คาํ นวนพระชนมมายกุ าลได้ ๓ พระวสั สาแลว้ ก็เริ่ม บาํ เพญ็ ปรหิตประโยชนโ์ ปรดเวไนยสัตว์ ในพรรษาที่ ๑ เสดจ็ จาํ พรรษาทีป่ ่ าอสิ ิปตนมฤคทายวนั เมืองพาราณสี ในพรรษาที่ ๒,๓,๔ เสดจ็ จาํ พรรษาท่ีพระเวฬวุ นั มหาวิหาร ณ กรุงราชคฤห์มหานคร ในพรรษาที่ ๕ เสดจ็ จาํ พรรษทก่ี ฏู าคารศาลา ป่ ามหาวนั ใกลเ้ มอื งเวสาลี ในพรรษาที่ ๖ เสด็จจาํ พรรษาท่มี กฏุ บรรพต ทรงทรมานอสูร เทวดา และมนุษย์ ในพรรษาที่ ๗ เสด็จจาํ พรรษาทปี่ ัณฑุกมั พลศิลาอาสน์ ภายใตร้ ่มไมป้ าริชาตดาวดึงส์ ในพรรษาท่ี ๘ เสดจ็ จาํ พรรษาท่ีเภสกลาวนั ป่ าไมส้ ีเสียดใกลก้ รุงสุงสุมารครี ีภคั ครฐั ในพรรษาที่ ๙ เสด็จจาํ พรรษาทีโ่ ฆสิตาราม เมืองโกสัมพี ในพรรษาท่ี ๑๐ เสดจ็ จาํ พรรษทปี่ าลไิ ลยวนั สถาน อาศยั ชา้ งช่ือปาลไิ ลยหตั ถที าํ วตั รปฏบิ ตั ิ ในพรรษาที่ ๑๑ เสด็จจาํ พรรษาท่ีบา้ นนาลายพราหมณ์ ในพรรษาที่ ๑๒ เสด็จจาํ พรรษาที่ภายใตร้ ่มไมป้ จุ ิมนั ฑพฤกษ(์ ไมส้ ะเดา) ใกลเ้ มอื งเวรัญชา ในพรรษาท่ี ๑๓ เสด็จจาํ พรรษาทป่ี าลยิ บรรพต ในพรรษาที่ ๑๔ เสด็จจาํ พรรษาทพี่ ระเชตวนั มหาวิหาร ณ พระนครสาวตั ถี ในพรรษาท่ี ๑๕ เสดจ็ จาํ พรรษาท่ีนิโครธารามมหาวหิ าร ใกลก้ รุงกบลิ พสั ดุ์ ในพรรษาที่ ๑๖ เสด็จจาํ พรรษาทอ่ี คั คาฬวเจดีย์ ใกลก้ รุงอาฬวี และทรมานอาฬวกยกั ษ์ ในพรรษาท่ี ๑๗, ๑๘, ๑๙ เสด็จจาํ พรรษาทเ่ี วฬวุ นั มหาวิหาร ในพรรษาที่ ๒๐ ถงึ ๔๔ เสด็จจาํ พรรษาท่ีพระเชตวนั มหาวิหารและบพุ พารามสลบั กนั คอื ทรงจาํ พรรษาท่ีพระเชตวนั ท่ี อนาถปิ ณฑิกเศรษฐีสร้างถวาย ๑๙ พรรษา ท่ีบพุ พารามท่นี างวสิ าขาสร้างถวาย ๖ พรรษา คร้ันในพรรษาท่ี ๔๕ ซ่ึงเป็น พรรษาสุดทา้ ยทรงจาํ พรรษา ณ บา้ นเวฬวุ คาม ใกลพ้ ระนครเวสาลี ภายในพรรษาทรงประชวรอาพาธหนกั คร้ังหน่ึง ทรง เยยี วยาบาํ บดั ให้ระงบั ไปดว้ ยโอสถคอื สมาบตั ิ คร้ันออกพรรษาแลว้ ไดร้ บั สั่งแก่พระสารีบตุ รว่า “ไม่ชา้ แลว้ ตถาคตจะ ปรินิพพาน สารีบุตร ตถาคตจะไปพระนครสาวตั ถี” พระเถระรับพระบญั ชาแลอ้ อกมาสัง่ พระสาวกให้เตรียมการตาม เสด็จ พระพทุ ธองคพ์ ร้อมดว้ ยพระสงฆส์ าวก เสดจ็ ประทบั ณ พระเชตวนั มหาวหิ าร พระธรรมเสนาบดนี พิ พาน ฝ่ายทา่ นพระสารีบตุ รเถระถวายวตั รแด่พระบรมศาสดาแลว้ ถวายบงั คมลากลบั ท่พี กั ข้นึ บลั ลงั ก์สมาธิ เขา้ สมาบตั ิน้นั แลว้ พจิ ารณาดอู ายสุ งั ขารแห่งตนก็ทราบชดั วา่ จะดาํ รงอยไู่ ดอ้ ีก ๗ วนั เทา่ น้นั จึงดาํ ริต่อไปวา่ เราจะนิพพาน ในสถานที่ใด พระราหุลเถระก็ไปนิพพานทป่ี ัณฑกุ มั พลศลิ าอาสน์ พระอญั ญาโกณฑญั ญะกไ็ ปนิพพานทีฉ่ ัททนั ตส์ ระ ในหิมวนั ตประเทศ ต่อน้นั จึงปรารภถงึ มารดาวา่ “มารดาของเราน้ี ไดเ้ ป็นมารดาพระอรหันตถ์ งึ ๗ องค์ ถึงอยา่ งน้นั ก็ยงั ไม่เล่อื มใสในพระรัตนตรัย อปุ นิสยั ในมรรคผลจะพึงมีแก่มารดาของเราบา้ งหรือไม่หนอ” คร้นั พิจารณาไปก็ทราบชดั พระธีรวัฒน์ จนฺทโสภโณ : วัดไผ่เงนิ โชตนาราม | นกั ธรรมช้ันเอก 87

88 ว่า มารดาน้นั มีอปุ นิสยั แห่งพระโสดาบนั ควรอาตมาจะไปนิพพานทเ่ี รือนมารดาเถดิ เธอจงไปบอกภกิ ษุท้งั ๕๐๐ ว่า เรา มคี วามประสงคจ์ ะไปนาลนั ทา พระจุนทเถระรับเถรบญั ชาออกไปแจง้ แก่พระสงฆท์ ้งั ปวง เม่ือพระสงฆท์ ้งั หลายมาพร้อมกนั แลว้ พระสารีบตุ รกพ็ าพระสงฆเ์ หลา่ น้นั ไปเฝา้ พระบรมศาสดา กราบทลู ว่า “ขา้ แต่พระผูม้ พี ระภาค บดั น้ี ชีวิตของขา้ พระองคเ์ หลือ ๗ วนั เทา่ น้นั ขา้ พระองคถ์ วายบงั คมลานิพพาน” พระพุทธองค์ ตรสั ถามว่า “สารีบุตร เธอจะไปนิพพานทีไ่ หน” พระเถระกราบทลู วา่ ขา้ พระองคจ์ ะไปนิพพาน ณ หอ้ งทีข่ า้ พระองค์ เกิดในเรือนมารดา พระเจา้ ขา้ ” “สารีบุตร เธอจงกาํ หนดกาลน้นั โดยควรเถดิ สารีบตุ ร บรรดาภกิ ษุท้งั หลายช้นั นอ้ งๆ ของเธอจะเห็นพ่ีอยา่ งเธอหาไดย้ าก ฉะน้นั เธอจงแสดงธรรมแกน่ อ้ งๆของเธอ เพอ่ื เป็นทต่ี ้งั แห่งความระลกึ ถงึ สาํ หรับ คร้งั น้ีก่อนเถิด” พระเถระไดร้ ับพุทธประทานโอกาสเช่นน้นั จึงแสดงปาฏหิ าริยเ์ หาะข้นึ ไปในอากาศ แสดงธรรมแกภ่ ิกษุ ท้งั หลาย ณ ทา่ มกลางอากาศ แลว้ ลงจากอากาศถวายบงั คมลา คลานถอยออกจากพระคนั ธกฎุ ี ขณะน้นั พระผูม้ พี ระภาคทรงพระกรุณาธิคณุ เสดจ็ ลกุ ออกมาส่งถงึ หนา้ พระคนั ธกฎุ ี พระธรรมเสนาบดี กระทาํ ประทกั ษณิ เวยี นรอบ ประคองอญั ชลีกราบทูลวา่ “ในท่ีสุดอสงไขยแสนกลั ป์ ลว่ งมาแลว้ ขา้ พระองคไ์ ดห้ มอบลงแทบ บาทมลู พระอโนมทสั สีสัมมาสัมพุทธเจา้ ต้งั ปณิธานปรารถนาพบพระองค์ และแลว้ มโนรถของขา้ พระองคก์ ็สาํ เร็จสม ประสงค์ ต้งั แตไ่ ดเ้ ห็นพระองคเ์ ป็นปฐมทศั น์ บดั น้ีเป็นปัจฉิมทศั นะแห่งการไดเ้ ห็นพระองคผ์ ูเ้ ป็นนาถะของ ขา้ พระพุทธเจา้ ” ทูลเพียงเทา่ น้ีแลว้ ถวายบงั คมลาออกไปพอควรแลว้ ก็กราบนมสั การลงทพี่ ้ืนพสุธา บ่ายหนา้ ออกไป จากพระเชตวนาราม พร้อมดว้ ยภิกษบุ ริวาร ๕๐๐ องค์ พระเถระเดินทางไป ๗ วนั กถ็ ึงบา้ นนาลนั ทา มารดาพอไดท้ ราบ ขา่ วก็ดีใจ จึงส่งั ให้คนใชร้ ีบจดั แจงห้องพกั สาํ หรับพระเถระและพระภกิ ษุสงฆน์ ้นั ให้อุปเรวตั มาณพหลายชายไปนิมนต์ ให้เขา้ มาในบา้ น พระเถระจึงพาภกิ ษุสงฆข์ ้ึนเรือนมารดาแลว้ จดั ใหพ้ กั ภายนอก ส่วนตนเองเขา้ พกั หอ้ งทีต่ นเกิด พอเวลา คา่ํ โรคาพาธกลา้ ไดเ้ กิดแกม่ หาเถระ จึงอาเจียนเป็นโลหิตมารดาเกิดทกุ ขใ์ จเป็นอยา่ งมาก ในคา่ํ คืนวนั น้นั เทพยดาท้งั หลายไดพ้ ากนั มาเยยี่ มพระเถระเป็นจาํ นวนมาก เริ่มตน้ ต้งั แต่ทา้ วจาตุมหาราช ทา้ ว โลกีย์ ทา้ วสยาม ทา้ วสันดุสิต ตลอดถึงทา้ วมหาพรหม มารดาไดเ้ ห็นเขา้ เกิดความสงสยั เมือ่ เห็นวา่ งคนแลว้ จึงเขา้ ไป และไต่ถาม พระเถระก็บอกกล่าวโดยละเอียด และกลา่ วว่า ทา้ วมหาพรหมองคน์ ้ีแหละแม่ ในวนั ท่ีพระบรมครูของลกู ประสูติ ไดเ้ อาตาข่ายมารองรับ ถวายการบาํ รุงรักษาอยเู่ ป็นนิตย์ ในวนั ที่เสดจ็ ลงจากเทวโลกยงั ก้นั ฉตั รถวาย นางสารีผู้ มารดาไดฟ้ ัง เห็นคุณอนั มหาศาล อานุภาพของบตุ รเรายงั ปรากฏถงึ เพยี งน้ี อานุภาพของพระสัมมาสัมพุทธเจา้ ผเู้ ป็นครู ของบุตรเรา คงจะสูงกว่าน้ีเป็นแน่ กเ็ กิดปี ติเบิกบานใจ ตอ่ แตน่ ้นั พระมหาเถระกแ็ สดงธรรมโปรดมารดา พรรณนาพระพทุ ธคณุ แกน่ างสารีพราหมณีมารดาให้ดาํ รง อยใู่ นโสดาปัตติผล เป็นพระอริยบคุ คลในพระพุทธศาสนา สมดงั ความปรารถนาทอี่ ตุ สาหะมาสนองพระคณุ มารดาแลว้ กเ็ ชิญมารดาออกไปพกั เมอ่ื มารดาออกไปแลว้ พระเถระจึงถามพระจุนทเถระว่า “เวลาเทา่ ไร” เมอ่ื รับคาํ ตอบว่า “ใกล้ รุ่ง” จึงส่ังให้พระสงฆท์ ้งั หลายเขา้ มาประชุมพร้อมกนั ใหพ้ ระจุนทะข้ึนนง่ั แลว้ แลว้ กลา่ ววา่ “อาวโุ ส ตลอดเวลา ๔๔ พรรษาทที่ า่ นท้งั หลายตดิ ตามมา กรรมอนั ใดท่มี ิชอบใจทา่ นท้งั หลายจะพงึ มี ทา่ นท้งั หลายจงอดโทษแกข่ า้ พเจา้ ดว้ ย เถิด” พอเวลาอรุณปรากฏ พระธรรมเสนาบดีกด็ บั ขนั ธปรินิพพานในวนั ปรุ ณมแี ห่งกตั ตกิ ามาส เพญ็ เดือน ๑๒ พอ วนั รุ่งข้นึ พระจนุ ทะก็ไดจ้ ดั แจงฌาปนกิจศพของพระมหาเถระแลว้ ห่อเอาอฐิ นาํ ไปถวายพระพทุ ธองค์ พระองคต์ รัสให้ พระธีรวัฒน์ จนฺทโสภโณ : วัดไผ่เงนิ โชตนาราม | นกั ธรรมช้ันเอก 88

89 สร้างเจดีย์ แลว้ บรรจอุ ฐั ิธาตุพระเถระไวท้ ่ีซุ้มประตูพระเชตวนั เมอื งสาวตั ถี แลว้ เสดจ็ ไปสู่กรุงราชคฤห์ ประทบั อยทู่ ่ี พระเวฬุวนั วิหาร พระมหาโมคคลั ลานะถูกโจรทบุ ในกาลทพ่ี ระมหาโมคคลั ลานะ พกั อาศยั อยทู่ ่ีกาฬศลิ า ในมคธชนบท หมู่เดียรถยี เ์ ห็นร่วมกนั วา่ พระมหาโมค คลั ลานะ มีอานุภาพมากสามารถไปสวรรคไ์ ดไ้ ปนรกได้ ไปแลว้ ก็นาํ เอาข่าวสาส์นมาจากสวรรค์ จากนรกมาบอกแก่ ญาติมิตรในเมืองมนุษย์ มนุษยท์ ้งั หลายกเ็ ลื่อมใสในพระพุทธศาสนา พวกเราท้งั หลายตอ้ งเส่ือมคลายความนบั ถือจาก มหาชน ดงั น้นั เราควรฆา่ พระเถระเสียเถิด คร้ันแลว้ จึงเรี่ยไรทรัพยจ์ ากอปุ ัฏฐาก จา้ งโจรใหฆ้ ่าพระเถระ พวกโจรพากนั ไปลอ้ มจบั พระเถระ พระเถระกท็ าํ ปาฏหิ าริยห์ นีไปไดท้ กุ คร้งั พอโจรพยายามลอ้ มจบั อยู่ ๒ เดือน คร้ันเมือเดือนท่ี ๓ พระเถระพจิ ารณาเห็นกรรมทท่ี ่านทาํ ไวใ้ นชาตกิ อ่ นตดิ ตามมา เห็นควรระงบั กรรม จึงยอมให้โจรจบั โจรเม่อื จบั ไดจ้ ึง ทุบตพี ระเถระจนกระดูกแหลกไมม่ ีช้ินดี คร้นั แน่ใจว่าตายแน่ จึงนาํ เอาร่างของท่านไปท้งิ ในป่ า พระมหาเถระทลู ลานิพพาน พระมหาเถระดาํ ริวา่ เราควรจะไปทลู ลาพระบรมศาสดาเสียก่อนจึงนิพพาน ดาํ ริดงั น้ีแลว้ กเ็ ยียวยาเรียงลาํ ดบั สรีรกาย ผกู เขา้ ให้มนั่ ดว้ ยกาํ ลงั ฌาน เหาะมาเฝา้ พระผมู้ ีพระภาคแลว้ กราบทลู ลานิพพาน พระพทุ ธเจา้ ตรสั ถามวา่ “โมคคลั ลานะ เธอจะนิพพานเมอื่ ไร ทไ่ี หน” “ขา้ พระองคจ์ ะนิพพานวนั น้ีทก่ี าฬศลิ า พระเจา้ ขา้ ” พระเถระตอบ “ถา้ เช่นน้นั เธอจง แสดงธรรมแก่ตถาคตกอ่ น ดว้ ยการเห็นพระสาวกเช่นเธอจะไมม่ ีอีกตอ่ ไปแลว้ ” พระมหาเถระรับพระพุทธบญั ชา ไดท้ าํ ปาฏหิ าริยเ์ หาะข้ึนไปในอากาศ แสดงธรรม เมอ่ื จบพระธรรมเทศนาก็ลง จากอากาศ ถวายอภวิ าท ทลู ลาไปยงั กาฬศลิ าประเทศ นิพพานในท่นี ้นั ในวนั สิ้นเดือน ๑๒ หลงั จากพระสารีบุตร ๑๕ วนั พระผมู้ ีพระภาคทรงเป็นประธานเสด็จพร้อมดว้ ยภิกษทุ ้งั หลาย จดุ เพลงิ ทาํ ฌาปนกิจ ขณะน้นั ฝนดอกไมท้ ิพย์ ตกลงมาประมาณโยชนห์ น่ึงโดยรอบมหาชนประชุมสักการะอฐั ิธาตุตลอด ๗ วนั พระพุทธองคโ์ ปรดใหส้ ร้างเจดีย์ บรรจอุ ฐั ิไว้ ณ ที่ใกลซ้ ุ้มประตเู วฬุวนั มหาวิหารเมืองราชคฤห์ พุทธปรินพิ พาน ทรงปรารภธรรม พระผูม้ พี ระภาคประทบั นงั่ ณ ริมพระวหิ าร พระอานนทเ์ ขา้ เฝ้าถวายนมสั การกราบทลู ถึงความทต่ี นหนกั ใจใน พระอาการประชวรของพระพุทธองคใ์ นระหวา่ งพรรษา แต่กด็ ีใจอยหู่ น่อยหน่ึงวา่ พระองคย์ งั ไม่ปรารภภิกษุสงฆต์ รสั พทุ ธวจนะอนั ใดอนั หน่ึงแลว้ ยงั จกั ไมป่ รินิพพานก่อน พระองคก์ ต็ รัสว่า ภกิ ษุยงั จะมาหวงั อะไรในพระองคอ์ ีก ธรรมทุก อยา่ งพระองคก์ ็แสดงเปิ ดเผยไม่มีขอ้ ล้ีลบั หรือจะเก็บไวเ้ พื่อภกิ ษบุ างพวกก็ไมม่ ี ความอาลยั ในภิกษุก็ไมม่ ี เดี๋ยวน้ีอายุ ตถาคต ๘๐ ปี แลว้ เหมอื นเกวยี นเกา่ ทช่ี าํ รุด เขาดามไวด้ ว้ ยไมไ้ ผ่ ล่วงเขา้ สู่วยั ชรา อาศยั สมาธิภาวนากพ็ อพยงุ ไปได้ เธอ จงอาศยั ตนเป็นทพ่ี ่งึ แห่งตนเถดิ คร้นั วนั รุ่งข้นึ เสดจ็ เขา้ ไปบณิ ฑบาตในเมืองสาวตั ถี เมอ่ื เสด็จกลบั ทาํ ภตั กิจเสร็จแลว้ ก็เสดจ็ ไปเมืองเวสาลี พร้อมดว้ ยภกิ ษสุ งฆ์ ๕๐๐ รูป ประทบั ท่ีกฏู าคารศาลา ป่ ามหาวนั พวกกษตั ริยล์ ิจฉวีสดบั ขา่ วมคี วามยินดีนาํ สักการะมา ถวาย สดบั พระธรรมเทศนา ทูลอาราธนา รับอาหารบณิ ฑบาตในตอนเชา้ วนั รุ่งข้ึน พระธรี วฒั น์ จนฺทโสภโณ : วัดไผ่เงินโชตนาราม | นกั ธรรมช้ันเอก 89

90 พอรุ่งเชา้ เสด็จไปบิณฑบาตในพระราชนิเวศน์ ทรงทาํ ภตั กิจเสร็จ ทรงอนุโมทนาเสด็จออกจากพระนคร หนั พระกายกลบั มองดูกรุงเวสาลเี ป็นคร้งั สุดทา้ ย แลว้ เสดจ็ ไปยงั กูฏาคารศาลาป่ ามหาวนั ทรงทาํ นิมติ โอภาส คร้นั ถึงจึงรบั สั่งใหพ้ ระอานนทถ์ ือผา้ นิสีทนะตามไปยงั ปาวาลเจดียป์ ระทบั นง่ั แลว้ ทรงตรัสวา่ “อานนท์ ถา้ บุคคลใดเจริญอิทธิบาท ๔ ประการ ปรารถนาจะดาํ รงอยปู่ ระมาณกปั หน่ึง หรือมากกวา่ น้นั ก็สามารถจะอยู่ ได”้ ถึง ๓ คร้ัง พระอานนทก์ ็ไมส่ ามารถจะรู้ทนั จึงทรงขบั ไลไ่ ปเสีย ปลงอายุสังขาร เมือ่ พระอานนทห์ ลกี ไป มารไดเ้ ขา้ มาเฝ้าทูลอาราธนาใหป้ รินิพพาน พระองคท์ รงรับและตรัสวา่ ตอ่ ไปน้ีอกี ๓ เดือน ตถาคตจะปรินิพพาน พอมารไปแลว้ พระองคท์ รงปลงอายสุ ังขาร จึงเกิดแผน่ ดินไหว พระอานนทเ์ กิดความสงสยั เขา้ ไปทลู ถาม พระองคต์ รสั ตอบว่า “เหตทุ ่ที าํ ให้แผน่ ดินไหวมี ๖ ประการ บดั น้ีตถาคตปลงอายสุ งั ขารอกี ๓ เดือนจะ ปรินิพพาน แผน่ ดินจึงไดไ้ หว” พระอานนทท์ ลู วงิ วอนขอใหพ้ ระองคด์ าํ รงอยตู่ ่อไปอีก พระพุทธองคท์ รงหา้ มเสีย และ ตรสั วา่ “พระองคท์ รงทาํ นิมติ โอภาสแกพ่ ระอานนทถ์ ึง ๑๖ ตาํ บลในกรุงราชคฤห์ ๑๐ ตาํ บล ในกรุงเวสาลี ๖ ตาํ บล” แต่ พระอานนทร์ ู้ไมท่ นั จึงเป็นความเขลาของพระอานนท์ บณิ ฑบาตคร้ังสุดท้าย ตอ่ แต่น้นั ตรสั สั่งใหพ้ ระอานนทบ์ อกแก่ภกิ ษุสงฆเ์ ตรียมตวั เดินทาง เม่ือพร้อมกนั แลว้ ก็เสด็จไปยงั บา้ นภณั ฑุ คาม หัตถคี าม อมั พคาม ชมั พุคาม โภคนคร ปาวานคร โดยลาํ ดบั ประทบั อยทู่ ี่สวนมะม่วงของนายจุนทะกมั มารบตุ ร นายจุนทะทราบขา่ วมคี วามยินดีออกไปเฝ้า ไดส้ ดบั พระธรรมเทศนากส็ าํ เร็จโสดาปัตติผลแลว้ ทลู นิมนตใ์ หเ้ ขา้ ไปรับ อาหารบณิ ฑบาตในบา้ นวนั รุ่งข้ึน พร้อมกบั ภิกษทุ ้งั หลาย ในคืนวนั น้นั นายจนุ ทะไดต้ ระเตรียมโภชนาหารอนั ประณีต พร้อมท้งั สุกรมทั ทวะ ประกอบดว้ นรสอนั โอชา วนั รุ่งข้นึ เสด็จไปบา้ นนายจนุ ทะ ประทบั นง่ั แลว้ ตรสั ให้นายจนุ ทะนาํ เอาสุกรมทั ทวะองั คาสแก่พระองคแ์ ตผ่ ู้ เดียว ท่ีเหลือให้ขุดหลมุ ฝังเสีย และให้องั คาสภิกษุสงฆด์ ว้ ยโภชนะอยา่ งอ่นื คร้ันกระทาํ ภตั กิจเสร็จ ตรัสอนุโมทนา แลว้ เสดจ็ กลบั ในวนั น้นั เองทรงประชวรดว้ ยพระโรคโลหิตปักขนั ทิกาพาธมีกาํ ลงั กลา้ ลงพระโลหิต เสวยทุกขเวทนาอยา่ ง แรงกลา้ ไดแ้ สดงบุรพกรรมท่ไี ดก้ ระทาํ ไวใ้ นชาตกิ ่อนของพระองคแ์ ละตรสั วา่ “อานนทเ์ รามาไปเมืองกสุ ินารากนั เถิด” รับผ้าสิงควรรณ ในระหวา่ งทาง พระพุทธองคท์ รงกระหายน้าํ เป็ นกาํ ลงั จึงเสด็จแวะยงั ร่มไมร้ ิมทางพลางตรสั ให้พระอานนทน์ าํ น้าํ มาให้เสวย ในขณะน้นั ปกุ กุสบุตรมลั ลกษตั ริย์ เดินทางมาจากเมืองกสุ ินารา เพ่ือจะไปเมืองปาวาโดยทางน้นั ไดเ้ ห็น พระองคจ์ ึงเขา้ ไปเฝ้า ไดส้ ดบั สนั ติวหิ ารธรรมเกิดความเลอื่ มใส ไดน้ อ้ มผา้ คูส่ ิงควรรณมคี า่ มากถวาย พระองคต์ รสั ให้ ถวายพระองคผ์ ืนหน่ึงแลว้ แสดงธรรมีกถา ปุกุสะร่ืนเริงในกศุ ลจริยาแลว้ ทูลลาจากไป ผลแห่งบณิ ฑบาตทาน เมือ่ ปุกกสุ ะหลีกไป พระอานนทไ์ ดน้ าํ ผา้ สิงควรรณผนื หน่ึงเขา้ ไปถวายพระองคท์ รงนุ่ง ผืนหน่ึง ห่มผืนหน่ึง ปรากฏผิวกายของพระองคง์ ามยิ่งนกั พระอานนทอ์ อกปากชม พระองคต์ รสั วา่ ผวิ กายของพระองค์ งามบริสุทธ์ิ ๒ คราว คือในคนื วนั ตรัสรู้และในคนื ทจี่ ะปรินิพพาน แลว้ ไดเ้ สด็จดาํ เนินต่อไปยงั แมน่ ้าํ กกุธานที เสดจ็ ลง เสวย และสรงสนานสาํ ราญพระกายตามพทุ ธอธั ยาศยั แลว้ เสดจ็ ประทบั ยงั ร่มไม้ ตรสั สั่งใหพ้ ระจุนทะปลู าดสังฆาฏิ พระธีรวฒั น์ จนฺทโสภโณ : วดั ไผ่เงินโชตนาราม | นักธรรมช้ันเอก 90

91 ถวาย ทรงบรรทมเพือ่ ระงบั ความลาํ บากพระวรกาย เมอื่ หายเหน็ดเหน่ือยแลว้ ตรสั แกพ่ ระอานนทว์ ่า ดกู อ่ นอานนท์ อาจจะมคี นทาํ ความร้อนใจใหก้ บั จนุ ทะวา่ “เพราะบณิ ฑบาตที่เขาถวาย พระผมู้ พี ระภาคตรัสสรรเสริญว่า บิณฑบาตที่ ทา่ นถวายพระตถาคต ๒ คร้งั มผี ลมาก มีอานิสงส์มาก คือคร้ังที่ตถาคตเสวยแลว้ ไดต้ รสั รู้ และคร้งั ทต่ี ถาคตเสวยแลว้ นิพพาน” ทรงปรารภสักการบูชา ตอ่ แตน่ ้นั พระผมู้ ีพระภาคพร้อมดว้ ยภิกษทุ ้งั หลาย เสด็จขา้ มแมน่ ้าํ หิรญั ญวดีไปเมอื งกุสินารา เสด็จเขา้ ไปยงั สาลวโนทยานแห่งมลั ลกษตั ริย์ โปรดใหพ้ ระอานนทป์ ลู าดเตยี งบรรทม ณ ระหว่างนางรังท้งั คู่ แลว้ เสดจ็ บรรทมสีห ไสยาสน์โดยมิไดค้ ดิ ทจ่ี ะลุกข้นึ อีก คร้ังน้นั นางรังท้งั คผู่ ลดิ อกบานเตม็ ตน้ หลน่ ลงมายงั พทุ ธสรีระ แมด้ อกมณฑารพใน สวรรคต์ ลอดทิพยสุคนธชาติ ก็ตกลงมาจากอากาศเป็นมหศั จรรย์ พระองคจ์ ึงแสดงแก่พระอานนทว์ า่ การบชู าตถาคต ดว้ ยดว้ ยอามสิ บชู า แมม้ ากมายเห็นปานน้ี ก็ไมเ่ ช่ือวา่ บูชาตถาคต อานนทผ์ ูใ้ ดปฏิบตั ิธรรมสมควรแกธ่ รรม ปฏิบตั ิชอบ ยิง่ ในธรรม ผูน้ ้นั ช่ือวา่ บชู าตถาคต ในขณะพระองคท์ รงขบั พระอุปวาณะท่ยี นื ถวายงานพดั อยเู่ ฉพาะพระพกั ตร์ให้หลีก ไป พระอานนทท์ ลู ถาม พระองคต์ รัสว่า เทวดาทุกหอ้ งช้นั ฟ้าไดม้ าประชุมเพอื่ ดูตถาคตเป็นคร้ังสุดทา้ ย แต่อุปวายืนบงั เสีย จึงพากนั ยกโทษ เพราะไม่สนใจทจ่ี ะต้งั ใจมาดูตถาคต สังเวชนียสถาน ๔ ตาํ บล พระอานนทก์ ราบทลู วา่ “คร้งั ก่อน พทุ ธบริษทั ท้งั หลายยอ่ มเดินทางมาเฝ้าพระผูม้ พี ระภาค ได้ สนทนาปราศยั แลว้ ไดโ้ อกาสอนั ดีเช่นน้นั ตรสั ว่า อานนท์ สงั เวชนียสถาน ๔ ตาํ บล คอื สถานทป่ี ระสูติ ๑ สถานท่ีตรัสรู้ ๑ สถานท่แี สดงปฐมเทศนา ๑ สถานทต่ี ถาคตปรินิพพาน ๑ ควรทพ่ี ุทธบริษทั ควรจะไปดไู ปเห็น และควรใหเ้ กิด สังเวชทวั กนั ” พระอานนทท์ ลู ถามเก่ียวกบั การปฏบิ ตั ิในพทุ ธสรีระ พระองคต์ รสั ใหป้ ฏบิ ตั ิเช่นเดียวกบั พระเจา้ จกั รพรรดิ และ ตรสั ถปู ารหบคุ คล คอื บคุ คลผูค้ วรแก่การประดิษฐานในสถปู ๔ ประเภท คอื ๑.พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจา้ ๒.พระ ปัจเจกพุทธเจา้ ๓.พระอรหนั ตสาวก ๔.พระเจา้ จกั รพรรดิ แลว้ ตรัสเร่ืองเมืองกุสินารา พระอานนทก์ ราบทูลให้เสดจ็ ไป ปรินิพพานในเมอื ง ใหญ่ๆ เช่น พระนครราชคฤหเ์ ป็นตน้ ไม่ควรปฏนิ ิพพานท่เี มอื งกุสินารา เพราะเป็นเมืองเล็กเมือง ดอน พระพุทธองคท์ รงรบั สง่ั ว่า กสุ ินาราน้ีแต่ปางก่อนเคยเป็นมหานครราชธานีนามว่ากุสาวดี พระเจา้ มหาสุทศั น์ จกั รพรรดิราชทรงครอบครอง มปี ระชาชนหนาแน่น สงบสุขสมบูรณ์ดว้ ยสรรพส่ิงท้งั ปวง ไม่เคยขาดเสียง ๑๐ ประการ มีเสียงชา้ งเป็นตน้ ท้งั กลางวนั กลางคืน คร้นั แลว้ ทรงรับสั่งใหพ้ ระอานนทเ์ ขา้ ไปบอกพวกมลั ลกษตั ริยใ์ หท้ ราบวา่ ตถาคตเจา้ จกั ปรินิพพาน ยามทส่ี ุด แห่งราตรีในวนั น้ี เมอ่ื พวกมลั ละทราบ ไดพ้ ากนั มาเฝา้ พระอานนทก์ จ็ ดั ใหเ้ ขา้ เฝ้าเป็นสกุลๆคณะๆ เสร็จเรียบร้อย ภายในปฐมยามน้นั เอง โปรดสุภทั ทปริพาชก สมยั น้นั สุภทั ทปริพาชกไดไ้ ปพบพระอานนทเ์ พือ่ ขอโอกาสเขา้ เฝา้ ถูกพระอานนทท์ ดั ทานอยู่ ๒-๓ คร้ัง พระ พทุ ธองคท์ รงสดบั จึงตรัสแก่พระอานนทใ์ ห้สุภทั ทะเขา้ เฝา้ สุภทั ทะถามถงึ ครูท้งั ๖ เป็นพระอรหันตจ์ ริงหรือไม่ พระองคต์ รสั ว่า อริยมรรค ๘ ประการ เป็นมรรคอนั ประเสริฐในธรรมวนิ ยั น้ี สมณะ คือ ท่านผสู้ งบระงบั กิเลสไดก้ ็มอี ยู่ เฉพาะในธรรมวินยั น้ีหากภกิ ษุท้งั หลายจะพงึ ปฏิบตั ิดีปฏบิ ตั ชิ อบในธรรมวินัยน้ีไซร้ โลกน้ีจะไมถ่ ึงความว่างเปล่าจาก พระธรี วฒั น์ จนฺทโสภโณ : วดั ไผ่เงินโชตนาราม | นักธรรมช้ันเอก 91

92 พระอรหันต์ สุภทั ทะเล่ือมใสทูลขอบวช เม่ือบวชแลว้ หลีกออกจากหมบู่ าํ เพญ็ สมณธรรม ก็ไดบ้ รรลุพระอรหันตใ์ น ราตรวนั น้นั ไดเ้ ป็นอรหนั ตปัจฉิมสาวก โปรดให้ลงพรหมทัณฑ์ พระอานนทท์ ูลถามถงึ พระฉนั นะว่า เป็นคนถอื ตวั ว่า เป็นขา้ เกา่ เป็นผวู้ า่ ยากสอนยาก ไมย่ อมรบั โอวาทใคร เมอ่ื พระองคป์ รินิพานแลว้ จะเป็นผูว้ า่ ยากหนกั ข้ึน ดว้ ยหาคนยาํ เกรงมิได้ พวกขา้ พระองคจ์ ะพงึ ปฏิบตั ิเช่นไร พระองค์ แนะนาํ ให้ลงพรหมทณั ฑ์ คือ ภิกษุท้งั หลายไม่พึงวา่ กล่าวไมพ่ ึงโอวาทไม่พึงสั่งสอน ไมพ่ ึงเจรจาคาํ ใดๆดว้ ยท้งั สิ้น เวน้ แต่คาํ อนั เป็นกิจธุระโดยเฉพาะ ต่อแตน่ ้นั ทรงประทานโอวาทว่า เมอ่ื ตถาคตทรงปรินิพพานแลว้ เธอท้งั หลายไมค่ วรดาํ ริ ว่า “บดั น้ี ศาสดาของเราไม่มี” แทจ้ ริง วนิ ยั ทเ่ี ราบญั ญตั แิ กเ่ ธอท้งั หลายกด็ ี ธรรมท่เี ราแสดงแกเ่ ธอท้งั หลายก็ดี เม่ือเรา ลว่ งไปแลว้ ธรรมและวินยั น้นั แลจกั เป็นศาสดาของเธอท้งั หลาย ปัจฉิมโอวาท ลาํ ดบั น้นั พระองคต์ รัสเตือนวา่ “ภกิ ษทุ ้งั หลาย บดั น้ีเราขอเตือนเธอท้งั หลาย สังขารท้งั หลายมคี วามเสื่อมความ สิ้นไปเป็นธรรมดา เธอท้งั หลายจงบาํ เพญ็ ไตรสิกขา คอื ศลี สมาธิ ปัญญา ใหบ้ ริบรู ณโ์ ดยความไม่ประมาทเถิด” เมอ่ื พระผูม้ พี ระภาคตรัสพระโอวาทเป็นวาระสุดทา้ ยเพยี งเท่าน้ีแลว้ ก็มไิ ดต้ รสั อะไรอีกเลย ทรงทาํ ปรินิพพานกรรม ดว้ ยอนุ ปุพพวิหารธรรมท้งั ๙ โดยอนุโลมและปฏโิ ลมเป็นลาํ ดบั เมื่อออกจากจตตุ ถฌานแลว้ กเ็ สดจ็ ดบั ขนั ธปรินิพพานใน ปัจฉิมยามแห่งราตรีวสิ าขปรุ ณมีเพญ็ เดือน ๖ ขณะน้นั หม่ืนโลกธาตกุ ห็ วน่ั ไหว ดว้ ยกมั ปนาทแห่งพ้ืนปฐพี แจกพระบรมสารีริกธาตุ พระบรมศพไม่เคลอ่ื นที่ ขณะน้นั บรรดาพทุ ธบริษทั ท้งั ปวง ต่างกเ็ ศร้าโศก ร่าํ ไรราํ พนั มปี ระการตา่ งๆ เป็นทน่ี ่าสลดใจย่งิ นกั มหาชน เป็นอนั มากแมจ้ ะอยหู่ ่างไกลพอไดท้ ราบขา่ วต่างกถ็ ือดอกไมข้ องหอมนานาชนิด พากนั มาบชู าพระบรมศพไม่ขาดสาย ตลอด ๖ วนั คร้นั ในวนั ที่ ๗ มลั ลกษตั ริยไ์ ดป้ รึกษาพร้อมใจกนั ในการทจี่ ะอญั เชิญพระบรมศพไปโดยทิศทกั ษิณแห่งพระ นคร เพื่อถวายพระเพลิงภายนอกพระนคร แต่กไ็ ม่สามารถจะอญั เชิญไปได้ แมแ้ ตจ่ ะให้เขยอื้ นให้เคลอ่ื นท่สี กั นอ้ ยหน่ึงก็ ไมไ่ ด้ จึงไดเ้ รียนถามท่านพระอนุรุทธะ พระเถระตอบว่า เพราะไม่ตอ้ งประสงคข์ องเทวดา เทวดาทุกองค์ ประสงคจ์ ะ ใหอ้ ญั เชิญพระพทุ ธสรีระเขา้ พระนครก่อน โดยทางทศิ อุดร เชิญไปทา่ มกลางพระนคร แลว้ ออกโดยทางประตทู ศิ บุรพา แลว้ อญั เชิญไปประดิษฐานถวายพระเพลงิ ทีม่ กฏุ พนั ธนเจดีย์ พวกมลั ละไดท้ ราบเถราธิบายเช่นน้นั ก็ผอ่ นตาม อญั เชิญ พระบรมศพจากสถานท่นี ้นั ไปไดอ้ ยา่ งง่ายดาย ประชาชนทว่ั หนา้ พากนั สักการบูชาทว่ั ทกุ สถาน ตลอดทางทพี่ ระบรม ศพผ่านไป มลั ลกิ าถวายสักการะ ขณะน้นั นางมลั ลกิ าทราบวา่ ขบวนพระศพจะผา่ นมาก็ดีใจ ดาํ ริข้ึนว่า “นบั ต้งั แตพ่ นั ธุละลว่ งไปแลว้ เคร่ืองประดบั อนั มีชื่อวา่ มหาลดาประสาธ์เราก็มิไดแ้ ต่งมิไดป้ ระดบั คงเกบ็ รกั ษาไวอ้ ยา่ งดี ควรจะถวายเป็นอาภรณ์ ประดบั พทุ ธสรีระพระชินสีหใ์ นอวสานกาลบดั น้ีเถิด” คร้นั เมือ่ ขบวนพระศพผ่านมา นางจึงแจง้ ความประสงคใ์ หท้ ราบ พระธีรวฒั น์ จนฺทโสภโณ : วดั ไผ่เงนิ โชตนาราม | นักธรรมช้ันเอก 92

93 เมอ่ื เขาวางเตยี งประดิษฐานพระบรมศพลง นางก็ถวายอภิวาทแลว้ เชิญเคร่ืองมหาลดาประสาธน์คลมุ พระบรมศพเป็น เคร่ืองบชู าปรากฏว่า พระพทุ ธสรีระงามเจริญตาเจริญใจยง่ิ นกั ถวายพระเพลงิ ไม่ติด คร้นั มหาชนอญั เชิญพระบรมศพไปทว่ั พระนครแลว้ กอ็ ญั เชิญออกจากพระนครโดยทางประตูบรู พาไปสู่มกฏุ พนั ธนเจดียซ์ ่ึงเป็นทจ่ี ิตกาธาร อนั สาํ เร็จดว้ ยไม่จนั ทร์หอม งามวจิ ิตร ทไ่ี ดจ้ ดั ทาํ ไวแ้ ลว้ ก็จดั การห่อพระศพดว้ ยทกุ ุล พสั ตร์ ๕๐๐ ข้ึนแลว้ อญั เชิญประดิษฐานในหีบทองซ่ึงเต็มไปดว้ ยน้าํ มนั หอม ตามคาํ ทพ่ี ระอานนทเถระแจง้ ทกุ ประการ คร้นั เรียบร้อยแลว้ กอ็ ญั เชิญหีบทองน้นั ข้นึ ประดิษฐานบนจิตกาธาร ทาํ ดว้ ยสักการบชู า แลว้ กษตั ริยม์ ลั ละท้งั ๘ พระองค์ กน็ าํ เอาเพลงิ จุดเพื่อถวายพระเพลงิ พระเพลงิ กไ็ ม่ติดตามประสงคจ์ ึงไดเ้ รียนถามพระอนุรุทธเถรเจา้ พระเถระกลา่ ววา่ เทวดาตอ้ งการใหค้ อยทา่ นพระมหากสั สปเถระ มลั ลกษตั ริยก์ อ็ นุวตั รตาม ดอกมณฑารพตก เวลาน้นั พระมหากสั สปเถระพาภกิ ษุสงฆเ์ ดินทางจากปาวามายงั เมอื งกุสินาราเพ่อื เฝา้ พระผุม้ ีพระภาค แต่ ขณะน้นั เป็นเวลาเทย่ี งวนั แสงแดดกลา้ พระเถระจึงพาภกิ ษุสงฆเ์ ขา้ หยดุ พกั ร่มไมร้ ิมทาง พอพระเถระพกั อยสู่ กั ครู่หน่ึง ก็เห็นอาชีวกผูห้ น่ึงเดินถอื ดอกมณฑารพก้นั ศรี ษะมาตามทาง กย็ ่งิ ฉงนใจ ดว้ ยดอกมณฑารพน้ี หามีในมนุษยโลกไม่ เป็นของทิพยใ์ นเทวโลก จะตกมาในเฉพาะเวลาอนั สาํ คญั ๆเทา่ น้นั หรือว่าพระบรมศาสดาปรินิพพานเสียแลว้ นึกสงสัย จึงลกุ ข้นึ เดินเขา้ ไปใกลอ้ าชีวกผนู้ ้นั แลว้ จึงถามดู กไ็ ดท้ ราบว่าพระบรมครูปรินิพพานเสียแลว้ ได้ ๗ วนั ถึงวนั น้ี พวก ภิกษุท้งั หลายที่ยงั เป็นปุถชุ น ไดฟ้ ังแลว้ ก็โทมนสั เศร้าโศก ปริเทวนาการ ส่วนทเี่ ป็นพระขณี าสพก็เกิดสงั เวชสลดจิต ในท่ีน้นั มภี กิ ษรุ ูปหน่ึง บวชเม่อื ภายแก่ช่ือวา่ สุภทั ทะ ลกุ ข้ึนกล่าวห้ามภกิ ษุวา่ “ท่านท้งั หลายอยา่ ร้องไห้ไปเลย บดั น้ีเราสบายแลว้ เมอ่ื พระองคอ์ ยยู่ อ่ มจูจ้ ้ี เบยี ดเบียน บงั คบั ห้ามปรามพวกเราต่างๆนานาว่า ส่ิงน้ีควร ส่ิงน้ีไม่ควร บดั น้ี พระองคป์ รินิพพานเสียแลว้ เราปรารถนาจะทาํ สิ่งใด ก็ทาํ ไดต้ ามใจชอบ” พระมหากสั สปเถระ ไดฟ้ ังก็สลดใจยิ่งนกั วา่ ดเู ถดิ พระพทุ ธองคป์ รินิพพานเพียง ๗ วนั เท่าน้ัน กเ็ กิดอลชั ชีคดิ ลามกถงึ ปานน้ี ต่อไปเบ้ืองหนา้ จะหาผคู้ ารวะในธรรม วนิ ยั ไมไ่ ด้ เราควรจะทาํ สังคายนา พระเถระทาํ ไวใ้ นใจแลว้ กลา่ วเลา้ โลมภกิ ษุให้หายเศร้าโศกแลว้ รีบเดินทางตรงไปม กุฏพนั ธนเจดีย์ เตโชธาตโุ พลงขึน้ เอง คร้นั ถึงจึงทาํ จีวรเฉวียงบ่า ประคองอญั ชลี กระทาํ ประทกั ษิณจิตกาธาร ๓ รอบ เขา้ สู่เบ้อื งยคุ ลบาท นอ้ ม นมสั การพระยคุ ลบาท กราบขอขมาโทษตอ่ องคส์ มเด็จพระผมู้ พี ระภาค เมื่อพระมหาเถระพร้อมดว้ ยพระภิกษสุ งฆก์ ราบ นมสั การเสร็จเรียบร้อยแลว้ เตโชธาตกุ ็บรรดาล เกิดจิตกาธารข้ึนเอง ดว้ ยอานุภาพของเทวดา เพลิงไดล้ กุ พวยพุ่งเผาพระ สรีระ พร้อมท้งั คผู่ า้ ๕๐๐ ชิ้น กบั หีบทองจิตกาธารหมดสิ้น ยงั มีสิ่งท่พี ระเพลิงมิไดเ้ ผาให้ยอ่ ยยบั ดว้ ยอานุภาพพทุ ธ อธษิ ฐาน คือ ๑. ผ้าห่มหุ้มพระบรมศพช้ันใน ๑ ผืน ชิน้ นอก ๑ ผืน ๒. พระเขยี้ วแก้วท้งั ๔ ๓. พระรากขวัญท้งั ๒ ๔. พระอณุ หิส ๑ รวมเป็ นพระบรมธาตุ ๗ องค์นี้ ยังคงอย่เู ป็ นปกติดไี ม่กระจดั กระจาย พระธีรวัฒน์ จนฺทโสภโณ : วัดไผ่เงินโชตนาราม | นกั ธรรมช้ันเอก 93

94 โทณพราหมณ์ห้ามทัพ คร้นั เสร็จการถวายพระเพลิงแลว้ มลั ลกษตั ริยท์ ้งั หลายไดน้ าํ ถาดทองซ่ึงเต็มไปดว้ ยสุคนั ธวารี มาโสรสสรงลงที่ จิตกาธารแลว้ เก็บพระบรมสารีริกธาตุใส่ไวใ้ นพระหีบทองนอ้ ย อญั เชิญข้ึนประดิษฐานไว้ ณ เบ้ืองบนรตั นบลั ลงั ก์ ภายใตเ้ ศวตฉตั ร ณ พระโรงราชสัณฐาคาร จดั ต้งั จาตุรงคเสนาโยธาหาญพร้อมสรรพศตั ราวุธ ป้องกนั พระบรม สารีริกธาตุอยา่ งมนั่ คง ท้งั ภายในภายนอกพระนคร และจดั ใหม้ ีการสมโภชบูชาดว้ ยดรุ ิยางคด์ นตรี ฟ้อนรํา ขบั ร้อง ท้งั กีฬา นกั ษตั รนานาประการอยา่ งมโหฬารตลอด ๗ วนั คร้งั น้นั พระเจา้ อชาตศตั รูผคู้ รองนครราชคฤห์ ๑ พระเจา้ ลจิ ฉวแี ห่งเวสาลี ๑ พระมหานามราชแห่ง บิลพสั ดุ์ ๑ พระเจา้ กสุ ิยราชแห่งอลั ลกปั ปนคร ๑ พระเจา้ โกลยิ ะแห่งรามคาม ๑ พระเจา้ มลั ลราชแห่งปาวานคร ๑ พระมหาพราหมณ์ แห่งเวฏฐทีปกนคร ๑ รวมเป็น ๗ ดว้ ยกนั ไดแ้ ต่งราชทูตและกองทพั ไปขอส่วนแบ่งพระสารีริกธาตุ เพอื่ มาบรรจุไวบ้ ูชา ทพี่ ระนครแห่งตน มลั ลกษตั ริยแ์ ห่งกุสินาราไมย่ อมให้ กองทพั ท้งั ๗ พระนครก็ประชิดติดเมืองกุสินารา ฝ่ายโทณพราหมณ์ผเู้ ป็นบณั ฑติ เป็นอาจารยส์ อนไตรเทพแกก่ ษตั ริยท์ ้งั หลายเห็นเหตุการณ์เช่นน้ัน จึงไดเ้ กล้ีย กล่อมกษตั ริยท์ ้งั หลายเลิกการประหตั ประหารกนั เพราะพระบรมสารีริกธาตเุ ป็นตน้ เหตุ ขอใหม้ คี วามสามคั คกี นั ขอให้ ทุกพระองคม์ สี ่วนไดพ้ ระบรมสารีริกธาตุ อญั เชิญไปสกั การะทว่ั กนั ขอพระบรมสารีริกธาตแุ พร่ออกไปยงั พระนคร ต่างๆ เพอ่ื เป็นท่สี ักการบชู าเคารพของมหาชนทวั่ ไปเถดิ กษตั ริยท์ ้งั หลายไดส้ ดบั คาํ แห่งพราหมณ์ ก็พอพระทยั จึงพร้อมกนั ขอให้โทณพราหมณ์เป็นผแู้ บ่งปันพระบรม สารีริกธาตุ พราหมณ์ไดส้ ดบั คาํ ยนิ ยอมเช่นน้นั กใ็ หเ้ ปิ ดประตูเมือง เชิญเสดจ็ กษตั ริยแ์ ละเจา้ นครทกุ พระองคเ์ ขา้ ไปใน เมือง และให้เปิ ดพระหีบทองนอ้ ย กษตั ริยท์ ุกประองคน์ มสั การพระบรมสารีริกธาตุ เมอ่ื พวกกษตั ริยเ์ หลา่ น้นั มวั โศกเศร้ารนั ทดอยู่ จึงไดห้ ยบิ พระเข้ียวแกว้ ขา้ งขวาเบ้ืองบนซ่อนไวใ้ นมวยผม แลว้ จกั การตวงพระบรมสารีริกธาตุดว้ ย ทะนานทอง ถวายกษตั ริย์ ๗ พระนคร ไดพ้ ระนครละ ๒ ทะนาน เท่าๆกนั พอดี พระเข้ียวแกว้ ประดิษฐานอยเู่ ทวโลก ขณะท่ีโทณพราหมณ์กาํ ลงั ตวงพระบรมสารีริกธาตอุ ยนู่ ้นั ทา้ วสักกเทวราชทราบดว้ ยทพิ ยจกั ษวุ ่า โทณพราหมณ์ลอบ หยิบพระเข้ียวแกว้ ซ่อนไวใ้ นมวยผม ทรงดาํ ริวา่ กาํ ลงั โทณพราหมณ์ไม่สามารถจะทาํ ท่สี ักการบูชาพระเข้ยี วแกว้ ให้สม พระเกียรติอนั สูงได้ สมควรจะเอาไปประดิษฐานบูชาเชิดชูพระเข้ียวแกว้ ให้สมพระเกียรติ สมควรเอาไปประดิษฐานไว้ ยงั เทวโลกให้เทวดาและพรหมท้งั หลายบชู าเถดิ คร้นั ดาํ ริแลว้ กแ็ ฝงพระกายลงมาหยิบเอาพระเข้ียวแกว้ เชิญลงพระโกศ ทองนอ้ ย อญั เชิญไปบรรจุทจี่ ฬุ ามณี ณ ดาวดึงสพภิ พ ฝ่ายโทณพราหมณเ์ มอ่ื แบ่งปันพระสารีริกธาตเุ สร็จแลว้ คน้ หาพระเข้ยี วแกว้ ทีม่ วยผม ไม่พบก็เสียใจ จะถามหา ใครกไ็ ม่ได้ กจ็ ะเส่ือมเสียเกียรตขิ องตน จึงกลา่ วขอทะนานทองท่ตี วงพระบรมสารีริกธาตุแกก่ ษตั ริยท์ ้งั ปวงแลว้ นาํ ไป สร้างพระสถูปเจดียบ์ รรจุไวเ้ พือ่ สักการบูชาของตนตอ่ ไป ภายหลงั กษตั ริยแ์ ห่งโมรีนครไดท้ ราบข่าว จึงไดส้ ่งทูตและกองทพั มาทลู ขอส่วนแบ่ง พระบรมสารีริกธาตุ กษตั ริยก์ สุ ินาราจึงแจง้ ใหท้ ราบวา่ แบง่ ปันไปหมดแลว้ ยงั อยแู่ ตพ่ ระองั คาร(เถา้ ถ่าน) ดงั น้นั ทตู โมรีนครจึงไดอ้ ญั เชิญ พระองั คารกลบั ไปสร้างพระสถูปบรรจไุ วเ้ พ่อื สกั การบชู ายงั พระนครของตน พระธีรวัฒน์ จนฺทโสภโณ : วัดไผ่เงนิ โชตนาราม | นักธรรมช้ันเอก 94

95 ทรมานพญาวสั สวดมี าร คร้นั จาํ เนียรกาลนานมา จนพระพุทธศาสนาล่วงไปได้ ๒๑๘ ปี อโศกราชกมุ ารไดผ้ า่ นพริ าพมไหศ วรรคราช สมบตั ิ ณ กรุงปาตลบี ตุ รมหานคร ทรงพระนามว่าพระเจา้ ธรรมาโศกราช พระองคอ์ าศยั นิโครธสามเณร จึงไดม้ พี ระทยั เลอื่ มใสในพระพุทธศาสนา ไดท้ รงสถาปนาในการสร้างพระวิหารและพระสถูปถึง ๘ หมน่ื ๔ พนั แห่ง ทวั่ พระนครใน ชมพทู วปี และไดท้ รงขดุ คน้ รวบรวมพระบรมสารีริกธาตุมาไวเ้ พ่ือจะนาํ ไปบรรจุพระสถปู ทกุ แห่ง เมือ่ รวบรวมขดุ คน้ จากสถานท่ตี ่างๆ ไดห้ มดแลว้ กอ็ ญั เชิญสุ่ปาตลบี ุตรนคร กระทาํ การสักการสัมมานะโดยอเนกประการ และแจกพระ บรมสารีริกธาตใุ ห้บรรจุไวใ้ นพระเจดียท์ ้งั ๘ หมน่ื ๔ พนั แห่ง ภายหลงั จึงให้สร้างพระมหาสถปู ใหญข่ ้นึ ใหม่องคห์ น่ึง สูงประมาณก่ึงโยชน์ ทร่ี ิมฝั่งแม่น้าํ คงคามหานที ใกลก้ รุงปาตลีบตุ ร เสร็จแลว้ ให้อญั เชิญพระบรมสารีริกธาตุทีเ่ หลอื อยู่ ส่วนหน่ึง บรรจุไวใ้ นพระสถปู องคน์ ้นั ฉลองพระสถปู ในลาํ ดบั น้นั พระเจา้ ธรรมาโศกราช มีพระทยั ปรารถนาจะทาํ การฉลองพระสถูปท้งั ๘ หมน่ื ๔ พนั องคท์ กุ ๆ พระนครในชมพูทวปี พร้อมท้งั มหาสถปู องคใ์ หญน่ ้ี ทรงพระดาํ ริวา่ “อาตมาจะทาํ การฉลองพระสถปู ท้งั หลาย จะ กระทาํ มหาสักการบูชาใหถ้ ว้ น ๗ ปี ๗ เดือน ๗ วนั จึงจะสมควรแก่ศรัทธาของอาตมา ทาํ ไฉนหนอจะไมใ่ ห้มาอนั ตราย ในการกศุ ล” ขอให้พระสงฆจ์ ดั หาภกิ ษุท่ีมีอทิ ธิฤทธ์ิให้ช่วยป้องกนั อนั ตราย ไม่สามารถจะหาใครได้ ถามภกิ ษุทกุ ๆองค์ กไ็ มม่ ใี ครรับ จึงขอร้องสามเณรรูปหน่ึง อายุ ๗ ขวบ เห็นมีฤทธ์ิสามารถป้องกนั มใิ หค้ รุฑจบั นาคกินได้ สามเณรก็ตอบ ว่า ตนเองมอี านุภาพนอ้ ย ไม่สามารถจะป้องกนั อนั ตรายได้ จึงแนะนาํ ให้ไปหาทา่ นพระอุปคตุ เถระ ซ่ึงจาํ พรรษาอยทู่ ี่ กลางทะเล พระสงฆจ์ ึงใหภ้ ิกษุ ๒ รูป ซ่ึงไดอ้ ภญิ ญาสมบตั ิไปนิมนตพ์ ระอปุ คุตเถระมา เมอื่ พระผเู้ ป็นเจา้ มาดว้ ยความ เคารพในสงฆแ์ ลว้ พระสงฆท์ ้งั ปวงจึงแจง้ ใหท้ ราบ แลว้ มอบหนา้ ท่ใี หเ้ ป็นผปู้ ้องกนั พญามาร มิใหม้ าทาํ อนั ตรายในการ บาํ เพญ็ กศุ ลของพระธรรมราชา คร้นั เพลารุ่งข้ึน พระเจา้ ธรรมาโศกราชเสด็จไปยงั วหิ าร ถวายนมสั การแลว้ จึงถามถงึ พระสงฆ์ และพระสงฆไ์ ด้ แนะนาํ ทา่ นพระอปุ คตุ เถระ ผซู้ ่ึงจะรับหนา้ ทปี่ ้องกนั พญามาร พระมหากษตั ริยเ์ สด็จทอดพระเนตร เห็นพระคณุ เจา้ มี ร่างกายผอม จึงดาํ ริอยใู่ นใจวา่ พระผเู้ ป็นเจา้ จะมอี านุภาพสามารถหรือมสิ ามารถหนอ แลว้ เสด็จกลบั พระราชนิเวศน์ ทดลองฤทธ์ิ รุ่งข้ึน พระมหาเถระไดเ้ ขา้ ไปบิณฑบาตในราชสกลุ พระราชาทอดพระเนตร จึงส่งั ให้ปลอ่ ยชา้ งซบั มนั เพอื่ ที่จะ ทดลองอานุภาพของพระมหาเถระ พระมหาเถระหนั มาพบเขา้ ก็ทราบทนั ทีวา่ พระราชาตอ้ งการจะทดลอง จึงอธิษฐาน วา่ ขอให้คชาธารจงปรากฏดุจรูปชา้ ง ศลิ าหยดุ อยใู่ นทนี่ ้ี ชา้ งกห็ ยดุ อยเู่ หมือนชา้ งศิลา ดว้ ยอานุภาพของพระมหาเถระ พระราชาทอดพระเนตรเห็นเช่นน้นั จึงเสดจ็ ไปขอขมาโทษ พระมหาเถระกถ็ วายพระพรวา่ ขอบรมบพติ รจงเป็นสุขเถดิ ขอพญาชา้ งกุญชรจงกลบั ที่อยขู่ องตน พอพระมหาเถระกลา่ วจบ ชา้ งกเ็ ดินไปยงั ทีอ่ ยขู่ องตน เอาหมาเน่าผูกคอพญามาร พระเจา้ ธรรมาโศกราช ตรัสใหท้ าํ บริเวณรอบพระมหาสถปู เจดีย์ ให้โชตนาการดว้ ยประทีปประมาณก่ึงโยชน์ ตามริมฝั่งแมน่ ้าํ คงคา พระภิกษสุ งฆท์ ้งั หลายกม็ าประชุมกนั เพอื่ นมสั การมหาเจดียส์ ถาน ในขณะน้นั พญามารลงมา จากปรนิมมิตสวดีเทวโลก เพือ่ จะทาํ ลายการกระทาํ สักการบชู า ดว้ ยอทิ ธิฤทธ์ินานาประการ พระอุปคุตมหาเถระจึง พระธรี วัฒน์ จนฺทโสภโณ : วัดไผ่เงินโชตนาราม | นกั ธรรมช้ันเอก 95

96 เนรมติ รูปหมาเน่าท่ีเตม็ ไปดว้ ยหมหู่ นอน เอาผูกคอพญาวสั สวดีมาร แลว้ ประกาศวา่ บุคคลใดกต็ ามถงึ มาตรวา่ จะเป็น เทพยดาหรือมหาพรหมกด็ ี กอ็ ยา่ แกอ้ อกได้ แนะ่ มาร เจา้ จงไปจากทนี่ ้ี พญามารมซี ากสุนขั เน่า ผูกคอตนเองกแ็ กไ้ มอ่ อก ไปใหเ้ ทพยดา และทา้ วมหาพรหมแกก้ แ็ กไ้ มอ่ อก มีจิตอปั ยศเป็นทีส่ ุด เมอื่ สิ้นคิดทีจ่ ะแกไ้ ด้ จึงกลบั มาหาพระมหาเถระ ต่อไป พระมหาเถระจึงกลา่ ววา่ ท่านจงไปยงั ภเู ขาน้นั มารก็รีบไปโดยพลนั พระมหาเถระก็แกส้ ุนขั เน่าออก แลว้ อธิษฐานประคดเอว พนั คอพญามารติดกบั ภูเขาใหม้ นั่ คง แลว้ กล่าววา่ จงยนื อยทู่ ่ีพ้ืนจนกว่าพระมหาธรรมาโศกราช จะ กระทาํ มหกรรมสักการะพระมหาเจดียถ์ ว้ น ๗ ปี ๗ เดือน ๗ วนั พญามารปรารถนาพุทธภูมิ เม่อื การบชู าสกั การะพระมหาเจดียค์ รบกาํ หนดแลว้ พระมหาเถระจึงเขา้ ไปใกลพ้ ญามาร แต่กาํ บงั กายเสียมใิ ห้ เห็น ส่วนพญามาราธิราชสิ้นพยศร้าย ระลกึ ถึงพระพุทธคณุ แลว้ กล่าววา่ สมเดจ็ พระชินสีห์พระองคใ์ ด ทรงพระมหา กรุณาบาํ เพญ็ สิ่งอนั เป็นประโยชน์ เป็นสิ่งท่พี ่ึงพาํ นกั แกเ่ หล่าสตั วท์ ้งั หลายในกาลทกุ เม่ือพระองคน์ ้นั เป็นผปู้ ระเสริฐ หา ผูเ้ สมอเหมือนมิได้ อน่ึง ในกาลกอ่ นขา้ พเจา้ ไดก้ ระทาํ ร้ายพระองคม์ ปี ระการตา่ งๆ แตพ่ ระองคก์ ม็ ไิ ดท้ าํ โทษตอบ ขา้ พเจา้ เลย บดั น้ีพระสาวกของพระองคก์ ระไรเลยช่างไมม่ ีความกรุณา กระทาํ โทษขา้ พเจา้ ให้เสวยทกุ ขเวทนาแสน สาหัส ผิขา้ พเจา้ มีกศุ ลสมภารไดส้ ะสมไวข้ อจงไดเ้ ป็นพระสพั พญั �ูในอนาคตกาลดว้ ยเถดิ เมอ่ื พญามารออกวาจาปรารถนาพุทธภมู ิดว้ ยประการฉะน้ี พระมหาเถระก็สาํ แดงกายให้ปรากฏเขา้ มาแกม้ ดั โดย พลนั แลว้ กลา่ วขอใหม้ ารน้นั ยกโทษให้ และขอร้องให้มารน้นั เนรมติ พระรูปพระสพั พญั �แู ละเหลา่ พระมหาสาวกใหด้ ู พญามารขอสัญญาว่า เมอื่ ตนแปลงร่างให้ดูแลว้ ขออยา่ ไดน้ มสั การกราบไหว้ แต่เมื่อพญามารเนรมติ ให้ดแู ลว้ พระมหา เถระเกิดศรัทธาปสาทะลืมสัญญา จึงนมสั การดว้ ยเบญจางคประดิษฐ์ มหาชนและพระเจา้ ธรรมาโศกราชก็ทรงกระทาํ เช่นน้นั พญามารจึงคลายฤทธ์ิเป็นพญามารตามเดิมและต่อว่า และพระมหาเถระก็กลา่ วว่า ขา้ พเจา้ นมสั การพระบรม ศาสดาและพระมหาสาวก มไิ ดไ้ หวท้ ่าน เม่อื พระเจา้ ธรรมาโศกมหาราชทรงกระทาํ สักการบชู าสิ้นสุดลงแลว้ จึงตรสั ถามพระสงฆว์ า่ โยมไดส้ ละทรัพย์ ทาํ บญุ ถงึ เพยี งน้ี ไดช้ ื่อวา่ เป็นญาตใิ นพระศาสนาหรือยงั พระโมคคลั ลีบตุ รติสสมหาเถระถวายพระพรว่า “มหาบพิตร ยงั ไม่ชื่อว่าเป็นญาตพิ ระพุทธศาสนา ไดช้ ่ือเพียงว่าผูถ้ วายปัจจยั ไทยทานเท่าน้นั บุคคลใดบวชบุตรธิดาในพระธรรมวินยั น้นั แหละ บุคคลน้นั จึงจะไดช้ ื่อว่าเป็นญาตใิ นพระพุทธศาสนา” พระเจา้ ธรรมาโศกราช (ซ่ึงบางแห่งเป็นพระเจา้ อโศก มหาราช) ไดส้ ดบั ดงั น้นั กท็ รงปี ตโิ สมนสั ยงั มหินทกมุ ารใหบ้ รรพชาอุปสมบทเป็นภิกษุ และพระนางสงั ฆมิตตาราช กมุ ารีเป็นภิกษณุ ีในพระพทุ ธศาสนา ท้งั สองพระองคท์ รงไวซ้ ่ึงอภิญญา ๖ และแตกฉานในปฏสิ ัมภทิ า ๔ เป็นพระ ขีณาสพ อันตรธาน ๕ แทจ้ ริงอนั ตรธาน มี ๕ ประการ คอื ๑. ปริยตั ิอนั ตรธาน การเส่ือมสูญแห่งพระปริยตั ิ ๒. ปฏปิ ัตตอิ นั ตรธาน การเสื่อมสูญแห่งการปฏบิ ตั ิ ๓. ปฏเิ วธอนั ตรธาน การเส่ือมสูญแห่งการตรสั รู้ พระธรี วัฒน์ จนฺทโสภโณ : วัดไผ่เงินโชตนาราม | นักธรรมช้ันเอก 96

97 ๔. ลงิ คอนั ตรธาน การเสื่อสูญแห่งสมณเพศ ๕. ธาตุอนั ตรธาน การเสื่อมสูญแห่งพระบรมธาตุ ในบรรดาอนั ตรธาน ๕ น้นั ปริยตั อิ นั ตรธานก่อน ต่อไปการปฏบิ ตั ิอนั ตรธาน เมื่อการปฏิบตั ิไม่มี การบรรลุ ธรรมกไ็ มม่ ี เมอื่ การบรรลุธรรมไม่มี ตอ่ นานๆไป เพศสมณะกผ็ นั แปร และในการสิ้นสุดแห่งพระพุทธศาสนา พระบรม สารีริกธาตกุ อ็ นั ตรธานไปจากโลก ดงั น้ีแล. พระธีรวัฒน์ จนฺทโสภโณ : วดั ไผ่เงินโชตนาราม | นักธรรมช้ันเอก 97

98 สรุปเนือ้ หาสําคญั วชิ าพุทธานุพทุ ธประวัติ สําหรับธรรมศึกษาช้ันเอก แนวคาํ ถาม แนวคาํ ตอบ ๑. ศพั ทว์ ่า บุตร ในหนงั สือรามายนะ และหนงั สือมหาภาร ๑. แปลวา่ ลูกผูป้ ้องกนั พ่อจากขมุ นรก เพราะเขาถอื กนั วา่ ตะของพวกพราหมณ์ แปลว่าอย่างไร ? และเพราะเขาถอื กนั ชายใดไม่มลี กู ชาย ชานน้นั ตายไปตอ้ งตกขมุ นรกอนั หน่ึง ว่าอยา่ งไร ? อา้ งหลกั ประกอบดว้ ย เรียกวา่ ปตุ ตะ ถา้ มีลกู ชายๆ น้นั ชว่ ยป้องกนั ไม่ให้ตกขมุ นรกน้นั ได้ ๒. มีปัญหาว่า พระขีณาสพตายแลว้ เป็นอะไร ? ทา่ นจะแก้ ๒. แกว้ ่า รูป เวทนา สัญญา สงั ขาร วญิ ญาณ ทไ่ี มเ่ ท่ียง ดบั อยา่ งไร ? ใครรับรองวา่ ตอบอย่างน้นั ถูก ? ไปแลว้ ฯ พระสารีบตุ รรบั รอง ฯ ๓. พระบรมศาสดาตรัสแสดงความเพียรที่ปรารภเกินไป ก็ ๓. พระองคต์ รัสแก่พระโสณโกฬวิ ิสะ เพราะทา่ นทาํ ความ เป็นไปเพ่อื ความฟ้งุ ซ่าน ทหี่ ยอ่ นนกั ก็เป็นไปเพ่อื ความเกียจ เพียรเกินขนาด เดินจงกรมไม่หยุดจนเทา้ แตก ก็ไม่ไดบ้ รรลุ คร้าน ต่อพอดีจงึ จะสําเร็จประโยชน์ แลว้ ทรงเปรียบดว้ ย ธรรมพิเศษอะไร ตรัสแสดงเพื่อใหค้ วามเพยี รพอเป็นกลางๆ พณิ ๓ สาย พระองคต์ รัสแก่ใคร ? เพราะเหตไุ รจึงตรัสอยา่ ง แลว้ เปรียบดว้ ยพณิ ๓ สายฯ เพราะเม่ือท่านเป็นคฤหสั ถ์ น้นั ? เป็นผฉู้ ลาดในการดีดพิณ ฯ ๔. ขอ้ ท่ีสมเดจ็ พระบรมศาสดาทรงอนุญาตใหส้ งฆอ์ ุปสมบท ๔. ขอ้ ท่ีสมเด็จพระบรมศาสดาทรงอนุญาตให้สงฆอ์ ปุ สมบท ราธพราหมณ์ เป็นคร้งั แรกน้นั สนั นิษฐานวา่ เป็นอย่างไร ? ราธพราหมณเ์ ป็นคร้งั แรกน้นั สันนิษฐานว่า พระพุทธองค์ และทาํ ไมจึงตอ้ งใหม้ อี ปุ ัชฌาย์ ? มพี ระประสงคใ์ หส้ งฆเ์ ป็นใหญ่ในสังฆกรรม ซ่ึงเป็นกิจอนั สาํ คญั ที่เน่ืองดว้ ยการปกครองของสงฆ์ ไมท่ รงใหอ้ าํ นาจแก่ บุคคล ฯ และทีใ่ หม้ อี ุปัชฌายน์ ้นั กเ็ พือ่ ให้เป็นคนนาํ เขา้ หมู่ เป็นผคู้ อยดูแลผดิ และชอบควบคุมอุปสมบทน้นั ฯ ๕. พระธรรมวนิ ยั ๒ อยา่ งน้ี เราท้งั หลายถอื ว่าเป็นหลกั แห่ง ๕. พระอานนทเถระเป็นเอตทคั คะในทางทรงธรรม ฯ พระอุ พระพุทธศาสนา แมพ้ ระบรมศาสดา กต็ รัสวา่ เป็นผูแ้ ทน บาลเี ถระเป็นเอตทคั คะในทางวนิ ยั ? พระองค์ อยากทราบว่าใครเป็นเอตทคั คะท้งั ๒ อย่างน้นั ? ๖. ขอทราบวา่ พระอญั ญาโกณฑญั ญเถระ ท่านไปประกาศ ๖. ทา่ นไปประกาศพระศาสนาทางกรุงกบลิ พสั ดุ์ ฯ ไดผ้ ลดี พระศาสนาทางเมืองไหน ? ไดร้ ับผลอนั เป็นท่ีพงึ พอใจ เป็นที่พึงพอใจ คอื ทา่ นไดส้ ง่ั สอนชาวเมอื งให้เลื่อมใสใน อย่างไร ? พระพุทธศาสนา และไดบ้ วชหลานชื่อปุณณมนั ตานี ๆ น้ี เมื่อไดส้ าํ เร็จพระอรหัตผลแลว้ ไดเ้ ป็นคณาจารยส์ ง่ั สอน บริษทั บริวาร เป็นกาํ ลงั ช่วยประกาศพระศาสนาจนมศี ิษย์ มาก และไดร้ ับยอ่ งยอ่ งเป็นเอตทคั คะว่า เป็นยอดแงพระ ธรรมกถกึ ฯ ๗. มหาปรุ ิสวติ ก ๘ ขอ้ ๆ ที่ ๔ ทรงอธิบายไวอ้ ย่างไร ? ๗. ทรงอธิบายวา่ ภกิ ษใุ นธรรมวินยั น้ี มีความเพยี รปรารภ แลว้ เมอ่ื จะละอกุศลธรรมและถงึ พร้อมดว้ ยกศุ ลธรรม มี ความเพียรเป็นดุจเรี่ยวแรงเครื่องกา้ วไปสู่คณุ เบ้อื งหนา้ อนั มนั่ ไม่ทอดธุระในกุศลธรรมเสีย อย่างน้ีเรียกวา่ มคี วาม เพียรปรารภแลว้ ฯ พระธรี วฒั น์ จนฺทโสภโณ : วัดไผ่เงนิ โชตนาราม | นักธรรมช้ันเอก 98

99 แนวคาํ ถาม แนวคาํ ตอบ ๘. ศาสนาพราหมณเ์ ขาถอื กนั อย่างไร ? พระสิทธตั ถะกมุ าร ทรงนบั ถอื ศาสนาอะไรมากอ่ น ? ๘. ศาสนาพราหมณ์เขาถอื กนั วา่ โลกธาตแุ ละส่ิงท้งั ปวง พระอศิ วรเป็นเจา้ ทรงสรา้ งท้งั สิ้น ถอื วา่ บรรดาธาตุท้งั ปวง ๙. เมอ่ื คร้งั พระบรมศาสดาประทบั อยู่ ณ ป่ าอสิ ิปตน ลว้ นมเี ทวดาประจาํ ท้งั สิ้น กราบไหว้ เซ่นสรวงพระอิศวร มฤคทายวนั แขวงเมืองพาราณสีน้นั ไดท้ รงบาํ เพญ็ ส่วน และเทวดาน้นั ๆ เป็นตน้ ออ้ นวอนขอใหป้ ระสิทธิพรน้ันๆ ปรมตั ถประโยชน์ ท่ปี รากฏแก่ชาวโลกอยา่ งไรบา้ ง ? แก่ตน ถา้ จะมุ่งหมายอะไร กใ็ ห้ทรมานตนให้ไดค้ วาม ๑๐. อยากทราบวา่ มาณพ ๑๖ คน ซ่ึงเป็นศิษยข์ องพราหมณ์ ลาํ บากเสียกอ่ น พระเป็นเจา้ จงึ จะประสิทธิพรใหต้ ามความ พาวรีน้นั คนไหนเป็นคนรกั อาจารยท์ สี่ ุด ? รูไ้ ดอ้ ย่างไร ? ปรารถนา ฯ ส่วนพระสิทธตั ถกุมาร ทรงนบั ถอื ศาสนา พราหมณม์ าก่อน เพราะทรงบาํ เพญ็ ทุกรกิริยาอย่างศาสนา ๑๑. ในจาํ นวนโกลาหล ๕ อย่างน้นั อยากทราบวา่ พทุ ธ พราหมณ์ ฯ โกลาหล มคี วามหมายอย่างไร ? ๙. ไดท้ รงบาํ เพญ็ ส่านปรมตั ถประโยชน์ท่ีปรากฏดงั ต่อไปน้ี คอื ไดท้ รงแสดงธรรมโปรดปัญจวคั คียท์ ้งั ๕ และพระยสะ กบั ท้งั สหายของพระยสะใหไ้ ดส้ ําเร็จพระอรหนั ต์ เศรษฐีผู้ บดิ าและภริยาเกา่ ของพระยสะไดถ้ งึ ไตรสรณคมน์ แสดงตน เป็นอุบาสกอบุ าสิกาในพระพุทธศาสนา ฯ ๑๐. ปิ งคิยมาณพ เป็นคนรักอาจารยม์ ากที่สุด ฯ รูไ้ ดต้ าม ทอ้ งเร่ืองว่า เมื่อปิงคิยมาณพไดฟ้ ังปัญหาพยากรณ์ของพระ บรมศาสดาแลว้ ในคร้งั น้นั ไม่ได้บรรลุพระอรหันตใ์ น ทนั ใดน้นั เหมอื นมานพอนื่ ๆ เพราะส่งจติ คดิ ถงึ พราหมณ์ พาวรี ผูเ้ ป็นท้งั ลงุ ท้งั อาจารยข์ องตนเสียว่า ลุงของเราหาได้ ฟังธรรมเทศนาทีไ่ พเราะอย่างน้ีไม่ อาศยั โทษที่ฟุ้งซ่าน เพราะความรกั อาจารยน์ ้นั จึงไม่อาจทาํ จติ ใหส้ ิ้นอาสวะได้ ฯ ๑๑. มีความหมายอย่าวงน้ี คือ ในขณะท่ีพระมหาสัตวส์ ถิตอยู่ ในดสุ ิตเทวโลก ตราบเท่าถว้ นกาํ หนดชนมายุ ๔,๐๐๐ ปี ทิพย์ ในกาลน้นั สุทธาวาสมหาพรหมท้งั หลาย ประดบั ซ่ึง พรหมอาภรณอ์ นั เป็นทิพยล์ งมาเทยี่ วท้งั หมื่นโลกธาตุ อุ โฆษณาการ ซ่ึงเหตแุ ห่งพทุ ธโกลาหลแก่มนุษยว์ า่ ดูกอ่ น ทา่ นท้งั หลายผูน้ ฤทกุ ข์ เบ้อื งหนา้ แต่น้ีลว่ งไปอกี แสนปี พระสพั พญั �จู ะบงั เกิดในโลก ถา้ จะใคร่พบเหน็ จงเวน้ จาก เบญจพธิ เวรท้งั ๕ อตุ ส่าห์บาํ เพญ็ ทานรกั ษาศลี เจริญภาวนา กระการกุศลตางๆเถิด ฯ พระธรี วฒั น์ จนฺทโสภโณ : วัดไผ่เงินโชตนาราม | นกั ธรรมช้ันเอก 99


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook