๙๗ คุณคา่ ของงานประพันธ์ เมื่อผู้อา่ นอ่านวรรณคดีหรอื วรรณกรรมแล้วจะต้องประเมินงานประพันธ์ ให้เห็นคุณค่าของงาน ประพนั ธ์ ทำให้ผอู้ ่านอา่ นอย่างสนกุ และไดร้ บั ประโยชนจ์ าการอ่านงานประพนั ธ์ คุณคา่ ของงานประพนั ธ์ แบง่ ได้เป็น ๒ ประการ คอื ๑. คุณค่าด้านวรรณศิลป์ ถ้าอ่านบทร้อยกรองกจ็ ะพจิ ารณากลวธิ ีการแตง่ การเลอื กเฟน้ ถ้อยคำ มาใช้ได้ไพเราะ มีความคิดสร้างสรรค์ และให้ความสะเทือนอารมณ์ ถ้าเป็นบทร้อยแก้วประเภทสารคดี รูปแบบการเขียนจะเหมาะสมกับเนื้อเรื่อง วิธีการนำเสนอน่าสนใจ เนื้อหามีความถูกต้อง ใช้ภาษา สละสลวยชัดเจน การนำเสนอมีความคิดสรา้ งสรรค์ ถ้าเป็นร้อยแก้วประเภทบันเทิงคดี องค์ประกอบของ เรื่องไม่ว่าเร่ืองสั้น นวนิยาย นิทาน จะมีแก่นเรื่อง โครงเร่ือง ตัวละครมีความสัมพันธ์กัน กลวิธี การแต่งแปลกใหม่น่าสนใจ ปมขัดแย้งในการแต่งสร้างความสะเทอื นอารมณ์ การใช้ถอ้ ยคำสร้างภาพ ได้ชัดเจน คำพดู ในเร่อื งเหมาะสมกบั บคุ ลิกของตัวละครมคี วามคดิ สรา้ งสรรคเ์ ก่ยี วกบั ชีวติ และสงั คม ๒. คุณค่าด้านสังคม เป็นคุณค่าทางด้านวัฒนธรรม ขนบธรรมเนียมประเพณี ศิลปะ ชีวิตความ เปน็ อย่ขู องมนษุ ย์ และคณุ คา่ ทางจรยิ ธรรม คณุ คา่ ดา้ นสงั คม เปน็ คุณค่าท่ผี อู้ ่านจะเขา้ ใจชวี ติ ท้ังในโลกทัศน์ และชีวทัศน์ เข้าใจการดำเนินชีวิตและเข้าใจเพื่อนมนุษย์ดีข้นึ เนื้อหาย่อมเกย่ี วขอ้ งกับการช่วยจรรโลงใจ แก่ผ้อู ่าน ช่วยพัฒนาสงั คม ชว่ ยอนรุ กั ษ์สงิ่ มคี ณุ ค่าของชาตบิ า้ นเมือง และสนับสนุนค่านิยมอันดงี าม โครงงาน โครงงานเป็นการจัดการเรียนรู้วิธีหนึ่งที่ส่งเสริมให้ผู้เรียนเรียนด้วยการค้นคว้า ลงมือปฏิบัติจริง ในลักษณะของการสำรวจ ค้นคว้า ทดลอง ประดิษฐ์คิดค้น ผู้เรียนจะรวบรวมข้อมูล นำมาวิเคราะห์ ทดสอบเพ่อื แก้ปญั หาข้องใจ ผเู้ รยี นจะนำความรู้จากชน้ั เรียนมาบูรณาการในการแก้ปญั หา ค้นหาคำตอบ เป็นกระบวนการค้นพบนำไปสู่การเรียนรู้ ผู้เรียนจะเกิดทักษะการทำงานร่วมกับผู้อื่น ทักษะการจัดการ ผ้สู อนจะเขา้ ใจผเู้ รียน เห็นรูปแบบการเรียนรู้ การคดิ วิธกี ารทำงานของผู้เรยี น จากการสังเกตการทำงาน ของผเู้ รียน การเรียนแบบโครงงานเป็นการเรียนแบบศึกษาค้นคว้าวธิ กี ารหน่ึง แต่เป็นการศึกษาคน้ คว้า ที่ใช้ กระบวนการทางวิทยาศาสตรม์ าใช้ในการแกป้ ัญหา เป็นการพัฒนาผ้เู รยี นให้เป็นคนมเี หตุผล สรปุ เรอื่ งราว อย่างมีกฎเกณฑ์ ทำงานอย่างมีระบบ การเรียนแบบโครงงานไม่ใช่การศึกษาค้นคว้าจัดทำรายงานเพียง อยา่ งเดยี ว ตอ้ งมีการวิเคราะห์ขอ้ มลู และมีการสรุปผล ทกั ษะการส่อื สาร ทักษะการสอ่ื สาร ได้แก่ ทกั ษะการพูด การฟงั การอ่าน และการเขียน ซึง่ เป็นเครื่องมือของการ ส่งสารและการรับสาร การส่งสา ได้แก่ การสง่ ความรู้ ความเช่ือ ความคิด ความรู้สึกดว้ ยการพูด และการ
๙๘ เขยี น สว่ นการรับสาร ได้แก่ การรับความรู้ ความเชอื่ ความคดิ ด้วยการอา่ นและการฟงั การฝึกทักษะการ สื่อสารจึงเป็นการฝึกทักษะการพูด การฟัง การอ่าน และการเขียน ให้สามารถรับสารและส่งสารอย่างมี ประสิทธภิ าพ ธรรมชาตขิ องภาษา ธรรมชาตขิ องภาษาเป็นคณุ สมบตั ิของภาษาทีส่ ำคญั มีคุณสมบัติพอสรุปได้ คือ ประการท่ีหน่ึง ทกุ ภาษาจะประกอบด้วยเสียงและความหมาย โดยมีระเบียบแบบแผนหรือกฎเกณฑ์ในการใช้ อย่างเป็นระบบ ประการท่ีสอง ภาษามีพลงั ในการงอกงามมิรู้ส้ินสุด หมายถึง มนุษยส์ ามารถใช้ภาษา ส่ือความหมายได้โดย ไม่สิ้นสุด ประการท่ีสาม ภาษาเป็นเรื่องของการใช้สัญลักษณ์ร่วมกันหรือสมมติร่วมกัน และมีการรับรู้ สัญลักษณ์หรือสมมติร่วมกัน เพื่อสร้างความเข้าใจตรงกัน ประการที่สี่ภาษาสามารถใช้ภาษาพูดในการ ติดต่อสื่อสาร ไม่จำกัดเพศของผู้ส่งสาร ไม่ว่าหญิง ชาย เด็ก ผู้ใหญ่ สามารถผลัดกันในการส่งสารและ รับสารได้ ประการที่ห้า ภาษาพูดย่อมใช้ได้ทั้งในปัจจุบัน อดีต และอนาคต ไม่จำกัดเวลาและสถานท่ี ประการที่หก ภาษาเป็นเครื่องมือการถ่ายทอดวัฒนธรรมและวิชาความรู้นานาประการ ทำให้เกิด การเปล่ยี นแปลงพฤตกิ รรมและการสร้างสรรค์สิ่งใหม่ แนวคิดในวรรณกรรม แนวคิดในวรรณกรรมหรือแนวเรื่องในวรรณกรรมเปน็ ความคิดสำคัญในการผูกเรื่องให้ ดำเนนิ เรื่องไปตามแนวคิด หรือเป็นความคิดที่สอดแทรกในเรื่องใหญ่ แนวคิดย่อมเกี่ยวข้องกับมนุษย์และสังคม เป็นสารที่ผู้เขียนส่งให้ผู้อ่าน เช่น ความดีย่อมชนะความชั่ว ทำดีได้ดีทำชั่วได้ชั่ว ความยุติธรรมทำให้โลก สันติสุข คนเราพ้นความตายไปไม่ได้ เป็นต้น ฉะนั้นแนวคิดเป็นสารที่ผู้เขียนต้องการส่งให้ผู้อ่ืนทราบ เช่น ความดี ความยตุ ธิ รรม ความรกั เป็นต้น บรบิ ท บริบทเป็นคำที่แวดล้อมข้อความที่อ่าน ผู้อ่านจะใช้ความรู้สึกและประสบการณ์มากำหนด ความหมายหรือความเข้าใจ โดยนำคำแวดล้อมมาช่วยประกอบความรู้และประสบการณ์ เพื่อทำความ เข้าใจหรอื ความหมายของคำ พลังของภาษา ภาษาเป็นเครื่องมือในการดำรงชีวิตของมนุษย์ มนุษย์จึงสามารถเรียนรู้ภาษาเพื่อการดำรงชีวติ เปน็ เคร่ืองมอื ของการสอ่ื สารและสามารถพัฒนาภาษาของตนได้ ภาษาชว่ ยใหค้ นรู้จักคดิ และแสดงออกของ ความคิดดว้ ยการพดู การเขียน และการกระทำซง่ึ เป็นผลจากการคิด ถ้าไม่มภี าษา คนจะคดิ ไม่ได้ ถ้าคน
๙๙ มีภาษาน้อย มีคำศัพท์น้อย ความคิดของคนก็จะแคบไม่กว้างไกล คนที่ใช้ภาษาได้ดีจะมีความคิดดีด้วย คนจะใช้ความคิดและแสดงออกทางความคิดเป็นภาษา ซึ่งส่งผลไปสู่การกระทำ ผลของการกระทำส่งผล ไปสู่ความคิด ซึ่งเป็นพลังของภาษา ภาษาจึงมีบทบาทสำคัญต่อมนุษย์ ช่วยให้มนุษย์พัฒนาความคิด ช่วยดำรงสังคมให้มนุษย์อยู่ร่วมกันในสังคมอย่างสงบสุขมีไมตรีต่อกัน ช่วยเหลือกันด้วยการใช้ภาษา ตดิ ตอ่ สอ่ื สารกัน ช่วยให้คนปฏิบตั ติ นตามกฎเกณฑ์ของสงั คม ภาษาช่วยให้มนษุ ยเ์ กดิ การพฒั นา ใช้ภาษา ในการแลกเปลี่ยนความคิดเห็น การอภิปรายโต้แย้ง เพื่อนำไปสู่ผลสรุป มนุษย์ใช้ภาษาในการเรียนรู้ จดบันทึกความรู้ แสวงหาความรู้ และช่วยจรรโลงใจ ดว้ ยการอ่านบทกลอน ร้องเพลง ภาษายังมีพลังในตัว ของมันเอง เพราะภาพย่อมประกอบด้วยเสียงและความหมาย การใชภ้ าษาใช้ถ้อยคำทำให้เกิดความรู้สึกต่อ ผู้รับสาร ให้เกิดความจงเกลียดจงชังหรือเกิดความชื่นชอบ ความรักย่อมเกิดจากภาษาทั้งสิ้น ที่นำไปสู่ ผลสรปุ ท่ีมีประสิทธภิ าพ ภาษาถ่ิน ภาษาถิ่นเป็นภาษาพื้นเมืองหรือภาษาที่ใช้ในท้องถิ่น ซึ่งเป็นภาษาดั้งเดิมของชาวพื้นบ้านที่ใช้ พูดจากันในหมู่เหล่าของตน บางครั้งจะใช้คำท่ีมีความหมายต่างกันไปเฉพาะถิ่น บางครั้งคำที่ใช้พูดจากัน เป็นคำเดียว ความหมายตา่ งกันแลว้ ยังใช้สำเนียงท่ตี ่างกนั จึงมคี ำกล่าวทวี่ า่ “สำเนยี ง บอกภาษา” สำเนยี ง จะบอกว่าเปน็ ภาษาอะไร และผู้พูดเปน็ คนถิ่นใด อย่างไรก็ตามภาษาถิ่นในประเทศไทยไม่ว่าจะเป็นภาษา ถน่ิ เหนือ ถิน่ อสี าน ถ่ินใต้ สามารถส่อื สารเขา้ ใจกันได้ เพยี งแต่สำเนียงแตกตา่ งกนั ไปเท่าน้นั ภาษาไทยมาตรฐาน ภาษาไทยมาตรฐานหรือบางทีเรียกว่า ภาษาไทยกลางหรือภาษาราชการ เป็นภาษาที่ใช้ สื่อสารกันทั่วประเทศและเป็นภาษาที่ใช้ในการเรียนการสอน เพื่อให้คนไทยสามารถใช้ภาษาราชการ ในการ ติดต่อสื่อสารสร้างความเป็นชาติไทย ภาษาไทยมาตรฐานก็คือภาษาที่ใช้กันในเมืองหลวง ที่ใช้ติดต่อกัน ทงั้ ประเทศ มีคำและสำเนียงภาษาทเ่ี ปน็ มาตรฐาน ตอ้ งพดู ใหช้ ัดถ้อยชัดคำได้ตามมาตรฐานของภาษาไทย ภาษากลางหรือภาษาไทยมาตรฐานมคี วามสำคญั ในการสร้างความเปน็ ปึกแผน่ วรรณคดมี ีการถา่ ยทอดกัน มาเป็นวรรณคดีประจำชาติจะใช้ภาษาที่เป็นภาษาไทยมาตรฐานในการสร้างสรรค์งานประพันธ์ ทำให้ วรรณคดเี ป็นเครอื่ งมอื ในการศึกษาภาษาไทยมาตรฐานได้ ภาษาพูดกบั ภาษาเขียน ภาษาพดู เป็นภาษาที่ใชพ้ ดู จากนั ไม่เปน็ แบบแผนภาษา ไมพ่ ิถพี ิถันในการใชแ้ ตใ่ ช้สื่อสารกันได้ดี สร้างความรู้สึกที่เป็นกันเอง ใช้ในหมู่เพื่อนฝูง ในครอบครัว และติดต่อสื่อสารกันอย่างไม่เป็นทางการ
๑๐๐ การใช้ภาษาพูดจะใช้ภาษาที่เป็นกันเองและสุภาพ ขณะเดียวกันก็คำนึงว่าพูดกับบุคคลที่มีฐานะต่างกัน การใชถ้ ้อยคำกต็ ่างกนั ไปดว้ ย ไมค่ ำนึงถงึ หลักภาษาหรือระเบียบแบบแผนการใชภ้ าษามากนัก ส่วนภาษาเขียนเปน็ ภาษาทีใ่ ช้เคร่งครัดต่อการใช้ถ้อยคำ และคำนึงถึงหลักภาษา เพื่อใช้ในการ สื่อสารให้ถูกต้องและใช้ในการเขียนมากกว่าพูด ต้องใช้ถ้อยคำที่สุภาพ เขียนให้เป็นประโยค เลือกใช้ ถ้อยคำที่เหมาะสมกับสถานการณ์ในการสื่อสาร เป็นภาษาที่ใช้ในพิธีการต่าง ๆ เช่น การกล่าวรายงาน กล่าวปราศรัย กล่าวสดุดี การประชุมอภิปราย การปาฐกถา จะระมัดระวังการใช้คำที่ไม่จำเป็นหรือ คำฟมุ่ เฟือย หรือการเล่นคำจนกลายเป็นการพดู หรอื เขยี นเล่นๆ ภมู ปิ ัญญาทอ้ งถิน่ ภูมิปัญญาท้องถิ่น (Local Wisdom) บางครั้งเรียกว่าภูมิปัญญาชาวบ้าน เป็นกระบวนทัศน์ (Paradigm) ของคนในท้องถน่ิ ทีม่ คี วามสัมพันธร์ ะหว่างคนกบั คน คนกับธรรมชาติ เพอ่ื ความอยู่รอด แตค่ น ในท้องถิ่นจะสร้างความรู้จากประสบการณ์และจากการปฏิบัติ เป็นความรู้ ความคิด ที่นำมาใช้ในทอ้ งถ่ิน ของตนเพ่ือการดำรงชวี ติ ท่เี หมาะสมและสอดคล้องกบั ธรรมชาติ ผ้รู ู้จึงกลายเป็นปราชญ์ชาวบา้ นท่ีมีความรู้ เกี่ยวกับภาษา ยารกั ษาโรคและการดำเนินชีวติ ในหมูบ่ า้ นอยา่ งสงบสุข ภมู ปิ ัญญาทางภาษา ภูมิปัญญาทางภาษาเป็นความรู้ทางภาษา วรรณกรรมท้องถิ่น บทเพลง สุภาษิต คำพังเพยใน แต่ละท้องถ่ิน ที่ได้ใช้ภาษาในการสร้างสรรค์ผลงานต่าง ๆ เพื่อใช้ประโยชน์ในกิจกรรมทางสังคมท่ีต่างกนั โดยนำภูมิปัญญาทางภาษาในการสั่งสอนอบรมพิธีการต่าง ๆ การบันเทิงหรือการละเล่น มีการแต่งเป็น คำประพันธ์ในรูปแบบต่าง ๆ ทั้งนิทาน นิทานปรัมปรา ตำนาน บทเพลง บทร้องเล่น บทเห่กล่อม บทสวดตา่ ง ๆ บททำขวญั เพอื่ ประโยชน์ทางสังคมและเปน็ สว่ นหนง่ึ ของวัฒนธรรมประจำถ่ิน ระดบั ภาษา ภาษาเปน็ วฒั นธรรมที่คนในสังคมจะต้องใช้ภาษาให้ถกู ตอ้ งกับสถานการณ์และโอกาสท่ีใช้ภาษา บุคคลและประชุมชน การใช้ภาษาจึงแบ่งออกเป็นระดับของการใช้ภาษาได้หลายรูปแบบตำราแต่ละเลม่ จะแบง่ ระดับภาษาแตกตา่ งกันตามลักษณะของสัมพันธภาพของบคุ คลและสถานการณ์ การแบ่งระดบั ภาษาประมวลได้ดังน้ี ๑. การแบง่ ระดบั ภาษาทเี่ ปน็ ทางการและไมเ่ ปน็ ทางการ ๑.๑ ภาษาที่ไม่เป็นทางการหรือภาษาที่เป็นแบบแผน เช่น การใช้ภาษาในการประชุม ในการกลา่ วสุนทรพจน์ เปน็ ต้น
๑๐๑ ๑.๒ ภาษาทไ่ี มเ่ ปน็ ทางการหรอื ภาษาท่ีไมเ่ ปน็ แบบแผน เชน่ การใช้ภาษาในการสนทนา การ ใช้ภาษาในการเขยี นจดหมายถึงผคู้ นุ้ เคย การใชภ้ าษาในการเล่าเรือ่ งหรือประสบการณ์ เป็นตน้ ๒. การแบง่ ระดบั ภาษาที่เป็นพิธกี ารกับระดับภาษาทไี่ ม่เปน็ พธิ ีการ การแบง่ ภาษาแบบนเ้ี ปน็ การ แบง่ ภาษาตามความสมั พันธ์ระหว่างบุคคลเป็นระดับ ดงั น้ี ๒.๑ ภาษาระดับพิธีการ เปน็ ภาษาแบบแผน ๒.๒ ภาษาระดบั ก่ึงพิธีการ เป็นภาษาก่งึ แบบแผน ๒.๓ ภาษาระดบั ทไี่ ม่เป็นพิธกี าร เปน็ ภาษาไมเ่ ป็นแบบแผน ๓. การแบ่งระดับภาษาตามสภาพแวดล้อม โดยแบ่งระดับภาษาในระดับย่อยเป็น ๕ ระดับ ๓.๑ ภาษาระดับพธิ ีการ เช่น การกล่าวปราศรัย การกลา่ วเปดิ งาน ๓.๒ ภาษาระดับทางการ เชน่ การรายงาน การอภปิ ราย ๓.๓ ภาษาระดบั กึ่งทางการ เช่น การประชมุ อภปิ ราย การปาฐกถา ๓.๔ ภาษาระดบั การสนทนา เช่น การสนทนากับบุคคลอย่างเปน็ ทางการ ๓.๕ ภาษาระดับกนั เอง เช่น การสนทนาพดู คุยในหมู่เพ่อื นฝงู ในครอบครัว วิจารณญาณ วิจารณญาณ หมายถึง การใช้ความรู้ ความคิด ทำความเข้าใจเรื่องใดเรื่องหนึ่งอย่างมีเหตุผล การมีวิจารณญาณต้องอาศัยประสบการณ์ในการพิจารณาตัดสินสารด้วยความรอบคอบ และอย่างชาญฉลาด เป็นเหตุเป็นผล
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106