Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore หลักสูตรกลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย พ.ศ.2566

หลักสูตรกลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย พ.ศ.2566

Published by macnattanon32, 2023-06-07 16:09:52

Description: หลักสูตรกลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย พ.ศ.2566 โรงเรียนบ้านบึงทับช้าง

Search

Read the Text Version

๔๗ หนว่ ย ชอื่ หนว่ ย มาตรฐานการเรยี นร้/ู สาระสำคัญ เวลา น้ำหนกั ท่ี ตวั ชี้วัด (ชั่วโมง) คะแนน มาตรา กก เปน็ คำที่มี ก ข ค ฆ ๗ มาตรา กก ท ๑.๑ ป. ๒/๑, ป. ๒/๒ เปน็ ตัวสะกด ออกเสยี งเหมอื น ก สะกด ๖๒ ท ๒.๑ ป. ๒/๑ การอ่าน การเขยี น และรคู้ วามหมายของ ท ๔.๑ ป. ๒/๒ คำท่ถี ูกต้องทำให้สามารถนำคำไปใช้ ๖๒ ในชีวติ ประจำวันได้ ๘ มาตรา กด ท ๑.๑ ป. ๒/๑, ป. ๒/๒ มาตรา กด เปน็ คำที่มีพยัญชนะ ๖๒ ท ๒.๑ ป. ๒/๑ ท่ีเปน็ ตัวสะกดได้หลายตวั ซง่ึ ออกเสียง ท ๔.๑ ป. ๒/๒ เหมือน ด สะกด การอ่าน การเขยี น ๖๒ และรู้ความหมายของคำที่ถูกตอ้ ง ทำให้ ๙ มาตรา กน ท ๑.๑ ป. ๒/๑, ป. ๒/๒ สามารถนำคำไปใช้ในชวี ิตประจำวนั ได้ ๖๒ ท ๒.๑ ป. ๒/๑ มาตรา กน เป็นคำที่มี น ญ ณ ร ล ฬ ท ๔.๑ ป. ๒/๒ เปน็ ตัวสะกด ออกเสียงเหมอื น น สะกด ๗๓ การอา่ น การเขยี น และร้คู วามหมายของ ๑๐ มาตรา กบ ท ๑.๑ ป. ๒/๑, ป. ๒/๒ คำที่ถูกต้องทำให้สามารถนำคำไปใช้ ท ๒.๑ ป. ๒/๑ ในชวี ติ ประจำวันได้ ท ๔.๑ ป. ๒/๒ มาตรา กบ เปน็ คำทมี่ ี บ ป พ ฟ ภ เป็นตวั สะกด ออกเสียงเหมอื น บ สะกด ๑๑ การผันอักษร ท ๑.๑ ป. ๒/๑, ป. ๒/๒ การอา่ น การเขยี น และร้คู วามหมายของ ท ๒.๑ ป. ๒/๑ คำท่ีถูกตอ้ งทำให้สามารถนำคำไปใช้ ท ๔.๑ ป. ๒/๒ ในชวี ติ ประจำวันได้ การผนั อักษร เปน็ การเปลยี่ นเสียง ๑๒ คำทีม่ ีพยัญชนะ ท ๑.๑ ป. ๒/๑, ป. ๒/๒ คำต่าง ๆ ตามเสยี งวรรณยุกต์ ใหไ้ ด้คำใหม่ท่มี คี วามหมาย แตกต่างจากคำเดิม การเขา้ ใจอักษรสงู อักษรกลาง และอักษรต่ำ จะทำให้ ผนั อกั ษรได้ถูกต้องและสามารถ นำคำไปใชใ้ นชวี ิตประจำวันได้ คำทม่ี พี ยัญชนะควบกลำ้ เป็นคำ ควบกล้ำ ท ๒.๑ ป. ๒/๑

๔๘ หน่วย ช่อื หน่วย มาตรฐานการเรียนรู/้ สาระสำคญั เวลา น้ำหนัก ท่ี ตวั ชีว้ ัด (ชวั่ โมง) คะแนน ท ๔.๑ ป. ๒/๒ ทม่ี ีพยญั ชนะต้น ๒ ตวั ประสมสระ ตวั เดยี วกนั พยญั ชนะท่ีมาควบคอื ร ล ว บางคำออกเสียงพยัญชนะตน้ ๒ ตัว กลำ้ กัน บางคำออกเสยี งเฉพาะพยัญชนะ ตัวแรก และบางคำ ออกเสยี ง ทร เปน็ เสียง ซ การอา่ น การเขยี น และรู้ความหมายของ คำที่ถกู ตอ้ ง ทำให้สามารถนำคำ ไปใชใ้ นชวี ิตประจำวนั ได้ ๑๓ คำทม่ี อี ักษรนำ ท ๑.๑ ป. ๒/๑, ป. ๒/๒ คำทม่ี อี กั ษรนำ เปน็ คำท่มี พี ยัญชนะตน้ ๗๓ ท ๒.๑ ป. ๒/๑ ท ๔.๑ ป. ๒/๒ ๒ ตัว ประสมสระเดียวกนั พยญั ชนะต้น ตัวแรก จะเป็นอกั ษรสงู หรอื อกั ษรกลาง สว่ นพยัญชนะตัวทสี่ องจะเปน็ อกั ษรตำ่ บางคำออกเสยี งพยางคเ์ ดยี ว บางคำออกเสยี ง ๒ พยางค์ โดยพยางค์ แรกออกเสียง อะ กง่ึ เสยี ง สว่ นพยางคห์ ลัง ออกเสยี งเหมอื นมี ห นำ การอา่ น การเขียน และรคู้ วามหมายของคำท่ี ถูกตอ้ งทำให้สามารถนำคำไปใช้ ในชีวิตประจำวันได้ ๑๔ คำทมี่ ตี ัวการนั ต์ ท ๑.๑ ป. ๒/๑, ป. ๒/๒ คำทีม่ ีตัวการนั ต์ เป็นคำทม่ี ีไม้ทัณฑฆาต ๗ ๓ ท ๒.๑ ป. ๒/๑ ท ๔.๑ ป. ๒/๒ ( –์ ) กำกับอยู่บนพยญั ชนะท่ไี มต่ ้องการ ออกเสียง ตัวการนั ต์มที ั้งพยญั ชนะ ตัวเดียว พยัญชนะ ๒ ตวั พยญั ชนะและ สระ การอ่านจะไมอ่ ่านออกเสยี งพยญั ชนะ และสระนั้น การเขียน และรูค้ วามหมาย ของคำท่ถี ูกต้องทำใหส้ ามารถนำคำไปใช้ ในชวี ติ ประจำวันได้ ๑๕ คำที่มี รร ท ๑.๑ ป. ๒/๑, ป. ๒/๒ คำทม่ี ี รร อ่านออกเสยี งเหมือน ๗๓

๔๙ หนว่ ย ชื่อหน่วย มาตรฐานการเรียนรู/้ สาระสำคญั เวลา น้ำหนกั ท่ี ตัวชวี้ ัด (ชั่วโมง) คะแนน พยญั ชนะตน้ ประสมสระ อะ ถา้ คำนัน้ ท ๒.๑ ป. ๒/๑ ไมม่ ตี วั สะกดจะออกเสยี งเหมอื นมี น ๗๓ เปน็ ตัวสะกด แตถ่ ้าคำน้ันมีตวั สะกด ท ๔.๑ ป. ๒/๒ จะออกเสียงตามเสยี งตัวสะกดของคำ ๗๓ การเขียน และรู้ความหมายของคำ ๗๓ ๑๖ คำท่มี พี ยญั ชนะ ท ๑.๑ ป. ๒/๑, ป. ๒/๒ ที่ถกู ตอ้ ง ทำใหส้ ามารถนำคำไปใช้ ๗๓ และสระทไ่ี ม่ ท ๒.๑ ป. ๒/๑ ในชวี ติ ประจำวันได้ ออกเสียง คำบางคำมพี ยญั ชนะและสระ ทีไ่ มอ่ อกเสยี ง บางคำไมอ่ อกเสยี ง ร ๑๗ คำทมี่ ี ท ๔.๑ ป. ๒/๒ ซง่ึ เปน็ ตวั สะกดตัวทีส่ อง ความหมาย บางคำไมอ่ อกเสยี ง ห ตรงขา้ มกนั บางคำไมอ่ อกเสยี งสระ −ิ หรือสระ −ุ ซึ่งประสมอยกู่ บั ตวั สะกด ๑๘ คำคล้องจอง ท ๑.๑ ป. ๒/๑ คำในภาษาไทยมีคำทมี่ ีความหมาย ท ๒.๑ ป. ๒/๑ ตรงข้ามกนั ใชเ้ ปรยี บเทยี บเพอื่ สอื่ ท ๔.๑ ป. ๒/๔ ความหมายให้ชัดเจน การเขา้ ใจ ความหมายของคำ ทำให้สามารถนำไปใช้ ๑๙ ภาษาไทย ท ๔.๑ ป. ๒/๕ ในชีวติ ประจำวนั ได้ถกู ตอ้ ง มาตรฐาน คำคล้องจองเปน็ คำที่มเี สียงสระ และภาษาถิน่ และเสยี งตวั สะกดเหมอื นกัน ทำให้ภาษาไทยมีความไพเราะ และจดจำไดง้ ่าย ภาษาไทยมาตรฐานเป็นภาษาที่ใช้ ตดิ ตอ่ สื่อสารกนั ทั่วไป ส่วนภาษาถิ่น เป็นภาษาที่ใช้ตดิ ต่อสือ่ สารกันภายใน ทอ้ งถ่นิ ใดท้องถนิ่ หนึ่ง การเรียนรู้ ภาษาถิน่ ทำให้เขา้ ใจการสอื่ สาร ของคนกลมุ่ ตา่ ง ๆ และเลือกใชภ้ าษา

๕๐ หน่วย ชอื่ หน่วย มาตรฐานการเรยี นร/ู้ สาระสำคญั เวลา นำ้ หนัก ท่ี ตัวช้ีวัด (ชั่วโมง) คะแนน ๒๐ การเขียน ท ๒.๑ ป. ๒/๒, ป. ๒/๓, ๑. การแต่งประโยคได้ตรงตามจุดประสงค์ ๑๓ ๖ ป. ๒/๔ จะทำให้การสื่อสารชัดเจน ท ๔.๑ ป. ๒/๓ ๒. การเขยี นเรอื่ งสัน้ ๆ เกย่ี วกับ ท ๓.๑ ป. ๒/๑, ป. ๒/๒, ป. ๒/๓, ป. ๒/๔, ประสบการณ์เปน็ การเขยี นเร่อื งราว ป. ๒/๕, ป. ๒/๖, ป. ๒/๗ ทเี่ กดิ จากการกระทำ หรอื ไดพ้ บเห็นมา ดว้ ยตนเอง ถ่ายทอดใหผ้ ู้อ่นื รับรู้ เพ่อื แลกเปลย่ี นประสบการณ์ ซ่งึ กนั และกนั ๓. การเขยี นเรอื่ งส้ัน ๆ ตามจนิ ตนาการ ทำใหม้ ีความคดิ สรา้ งสรรค์ ๔. การมมี ารยาทในการเขียน จะทำให้งาน เขียนมีคุณภาพเปน็ ท่ีช่ืนชมของผู้ท่ไี ด้อ่าน งานเขยี นนนั้ ๒๑ การฟงั การดู ๑. การฟงั คำแนะนำหรือคำสั่ง ๓๐ ๑๒ และการพดู อยา่ งตัง้ ใจและคิดตามจะทำใหเ้ ข้าใจและ สามารถปฏิบตั ติ ามไดถ้ ูกต้อง ๒. การฟังและดูเรื่องราวตา่ ง ๆ อย่างตง้ั ใจจะทำให้สามารถ จบั ใจความของเรือ่ งได้ สามารถนำไป ถา่ ยทอดแสดงความคิดเห็นและความรู้สึก ได้อยา่ งถกู ต้อง ๓. การพูดส่ือสารในชวี ิตประจำวัน ต้องเลือกใชถ้ อ้ ยคำและแสดงกิรยิ าท่าทาง ให้เหมาะสมกบั กาลเทศะ และ บคุ คล ๔. การมมี ารยาทในการฟัง การดู และการ พูด เกดิ ขน้ึ จากความต้ังใจ ทำให้ผอู้ น่ื ชืน่ ชม และการสือ่ สารประสบความสำเร็จ

๕๑ หนว่ ย ชื่อหน่วย มาตรฐานการเรียนรู/้ สาระสำคญั เวลา นำ้ หนกั ท่ี ตวั ชีว้ ัด (ชวั่ โมง) คะแนน วรรณคดี ท ๑.๑ ป. ๒/๑, ป. ๒/๒, การอ่านและการฟังวรรณคดีและ ๓๒ ๑๔ และวรรณกรรม ป. ๒/๓, ป. ๒/๔, วรรณกรรมร้อยแก้วและรอ้ ยกรองสำหรบั ๑๙๘ ๘๐ ๒ ๒๐ ๒๒ ดอกสร้อย ป. ๒/๕, ป. ๒/๖, เดก็ ทำใหไ้ ด้ขอ้ คดิ ทีน่ ำมาประยุกตใ์ ช้ใน ๒๐๐ ๑๐๐ แสนงาม ป. ๒/๗, ป. ๒/๘ ชวี ติ ประจำวนั นทิ านอ่านใหม่ ท ๕.๑ ป. ๒/๑, ป. ๒/๒ รน่ื รสสกั วา ไกแ่ จ้แซ่เสียง ภาพวาด ของสีเทียน ยาย กะ ตา รวมระหวา่ งปี ปลายปี รวมตลอดปี

๕๒ ท ๑๓๑๐๑ ภาษาไทย ๓ โครงสรา้ งรายวิชาพื้นฐาน ช้ันประถมศึกษาปีที่ ๓ กลุ่มสาระการเรียนรูภ้ าษาไทย เวลา ๒๐๐ ชั่วโมง หน่วย ชือ่ หน่วย มาตรฐานการเรียนร/ู้ สาระสำคญั เวลา น้ำหนกั ท่ี ตัวชีว้ ัด (ช่ัวโมง) คะแนน หลกั ภาษาไทย ท ๑.๑ ป. ๓/๒, ป. ๓/๒ สระใชป้ ระสมกับพยัญชนะ และวรรณยุกต์ ๘ ๓ ๑ สระไทย ท ๒.๑ ป. ๓/๑ ให้เปน็ คำที่มคี วามหมาย เพอื่ ใช้สอื่ สารใน ใชป้ ระสมคำ ท ๔.๑ ป. ๓/๑ ชีวิตประจำวนั ๒ มาตรา ก กา ท ๑.๑ ป. ๓/๒, ป. ๓/๒ คำทไี่ มม่ ีตวั สะกดทกุ คำ จดั เป็นคำ ๗๒ ไมม่ ีตวั สะกด ท ๒.๑ ป. ๓/๑ ในมาตรา ก กา ท ๔.๑ ป. ๓/๑ ๓ มาตรา กง กม ท ๑.๑ ป. ๓/๒, ป. ๓/๒ คำในมาตรา กง กม เกย และเกอว ๘๓ มตี วั สะกดตรงตามเสียงเพียงตวั เดยี ว เกย เกอว ท ๒.๑ ป. ๓/๑ ตวั สะกด ท ๔.๑ ป. ๓/๑ กำหนดเสียง ๔ มาตรา กก กด ท ๑.๑ ป. ๓/๒, ป. ๓/๒ คำในมาตรา กก กด กน และกบ ๘ ๓ เปน็ คำท่ีมีตวั สะกดหลายตัว ๘ ๓ กน กบตัวสะกด ท ๒.๑ ป. ๓/๑ ซึ่งออกเสยี งเหมือนกนั วรรณยุกตเ์ ป็นระดับสูงตำ่ ของเสียง ๗ ๒ หลายตัว ท ๔.๑ ป. ๓/๑ ทีป่ รากฏในพยางคห์ รือคำ วรรณยุกตม์ ี ๔ รปู ๕ เสียง ๕ วรรณยุกต์ สนกุ ท ๑.๑ ป. ๓/๒, ป. ๓/๒ เม่ือนำวรรณยกุ ตเ์ ขยี นบนพยญั ชนะตน้ ของคำ จะทำให้เสียงและความหมายของ กบั การ ท ๒.๑ ป. ๓/๑ คำเปล่ียนไป พยัญชนะควบกลำ้ จะควบกบั ร ล หรือ ว ผันอักษร ท ๔.๑ ป. ๓/๑ บางคำออกสียงพยัญชนะต้นท้ัง ๒ ตัว พร้อมกัน บางคำออกเสียงเฉพาะ ๖ ควบกลำ้ ท ๑.๑ ป. ๓/๒,ป. ๓/๒ พยญั ชนะตน้ ตัวแรก และบางคำ คำที่มี ร ล ว ท ๒.๑ ป. ๓/๑ ออกเสียง ทร เป็นเสยี ง ซ ท ๔.๑ ป. ๓/๑

๕๓ หน่วย ช่ือหน่วย มาตรฐานการเรยี นร/ู้ สาระสำคัญ เวลา น้ำหนกั ท่ี ตัวชว้ี ัด (ชวั่ โมง) คะแนน ๗ อกั ษรนำ ท ๑.๑ ป. ๓/๒, ป. ๓/๒ คำทีม่ ีอกั ษรนำจะมพี ยญั ชนะตน้ ๒ ตัว ๘๓ ท ๒.๑ ป. ๓/๑ ทำเสยี งตา่ งไป ท ๔.๑ ป. ๓/๑ ประสมสระเดียวกัน พยัญชนะต้น ทง้ั ๒ ตัวพรอ้ มกัน บางคำออกเสียงเฉพาะ พยญั ชนะตน้ ตัวแรก จะเปน็ อกั ษรสูง หรอื อกั ษรกลาง ส่วนพยญั ชนะต้น ตวั ที่ ๒ ต้อง เปน็ อกั ษรตำ่ เดยี่ วเท่านั้น บางคำออกเสียง พยางค์เดียว บางคำออกเสียงสองพยางค์ ๘ คำที่ ท ๑.๑ ป. ๓/๒, ป. ๓/๒ คำทอี่ อกเสยี ง อะ บางคำมรี ปู –ะ ๘๓ ประวสิ รรชนีย์ ท ๒.๑ ป. ๓/๑ และออกเสียง อะ เต็มเสยี ง และคำท่ี ท ๔.๑ ป. ๓/๑ บางคำไมม่ ีรปู –ะ และออกเสยี ง อะ ไม่ประสรรชนยี ์ กึง่ เสยี ง ๙ คำทใ่ี ช้ ท ๑.๑ ป. ๓/๒, ป. ๓/๒ คำทใี่ ช้ รร ไมม่ ตี วั สะกด จะออกเสียงสระ ๗ ๒ บัน บรร รร ท ๒.๑ ป. ๓/๑ เป็นเสียง อะ และเสียงตัวสะกด เปน็ เสียง ท ๔.๑ ป. ๓/๑ ในมาตรา กน ส่วนคำทีใ่ ช้ รร มีตัวสะกด จะออกเสียงสระเปน็ เสยี ง อะ และเสยี ง ตัวสะกดตามมาตราตวั สะกดของคำนนั้ สว่ นคำท่ใี ช้ บนั บรร เปน็ การเขยี นเฉพาะ ของแต่ละคำ ๑๐ คำที่มี ท ๑.๑ ป. ๓/๒, ป. ๓/๒ ตวั อกั ษรท่มี ไี ม้ทัณฑฆาต ( -์ ) ๘๓ ตวั การนั ต์ ท ๒.๑ ป. ๓/๑ ท ๔.๑ ป. ๓/๑ เขียนอยู่ข้างบนตวั อักษร ทำให้ตวั อักษรนั้นไมอ่ อกเสียง เรียกว่า ตวั การนั ต์ ตัวการันตอ์ าจอยกู่ ลางคำ หรือทา้ ยคำ ๑๑ คำทีพ่ ยญั ชนะ ท ๑.๑ ป. ๓/๒, ป. ๓/๒ การอ่านและเขยี นคำที่มีพยัญชนะ ๗๒ และสระ ท ๒.๑ ป. ๓/๑ และสระไมอ่ อกเสียง ตอ้ งสังเกต ไม่ออกเสยี ง ท ๔.๑ ป. ๓/๑ และจดจำตัวอกั ษรเหล่านนั้ เพ่ือใหอ้ ่าน และเขยี นคำไดถ้ กู ต้อง

๕๔ หน่วย ช่ือหนว่ ย มาตรฐานการเรยี นรู้/ สาระสำคัญ เวลา น้ำหนกั ท่ี ตวั ชีว้ ัด (ชวั่ โมง) คะแนน ตัวอกั ษรบางตวั ในภาษาไทยสามารถออก ๑๒ คำที่ใช้ ฑ ฤ ฤๅ ท ๑.๑ ป. ๓/๒, ป. ๓/๒ เสียงไดห้ ลายแบบ ตอ้ งสังเกตจากการ ๗ ๒ ท ๒.๑ ป. ๓/๑ ประสมคำ ๗ ๒ ๑๓ คำพอ้ ง ท ๔.๑ ป. ๓/๑ คำพอ้ งรปู จะเขียนเหมอื นกนั แต่อา่ นออก ท ๑.๑ ป. ๓/๒, ป. ๓/๒ เสยี ง และมีความหมายต่างกัน สว่ นคำ ๗ ๒ ท ๒.๑ ป. ๓/๑ พ้องเสียงเปน็ คำทอี่ า่ นออกเสยี งเหมือนกนั ๗ ๒ ท ๔.๑ ป. ๓/๑ แตก่ ารเขียนและความหมายตา่ งกนั ประโยคประกอบดว้ ยคำหลายชนิด ๗ ๒ ๑๔ ชนิดของคำ...ทำ ท ๔.๑ ป. ๓/๒ ซ่ึงทำหน้าที่ในประโยคแตกตา่ งกัน ๗ ๒ พจนานกุ รมเปน็ หนงั สอื ทใ่ี ชส้ ำหรบั คน้ หา หลายหน้าที่ คำในภาษาไทย เพอื่ ตรวจสอบ การเขยี น ๗ ๒ สะกดคำ การอ่านคำ ความหมาย และ ๑๕ การใช้ ท ๔.๑ ป. ๓/๓ ชนิดของคำ ประโยคเกิดจากการนำคำมาเรียงกนั เพ่ือ พจนานกุ รม บอกเล่า ปฏเิ สธ ถาม สง่ ขอรอ้ ง ซงึ่ เป็น การสื่อสารในชีวิตประจำวัน ๑๖ การแตง่ ประโยค ท ๔.๑ ป. ๓/๔ คำคลอ้ งจองทำใหถ้ อ้ ยคำไพเราะ มีเสยี ง เพ่อื การสอื่ สาร ของคำเชอ่ื มโยงกนั ซง่ึ เปน็ เอกลกั ษณ์ของ ภาษาไทย คำขวัญ เปน็ ขอ้ ความส้ัน ๆ ๑๗ คำคลอ้ งจอง ท ๔.๑ ป. ๓/๕ ทม่ี ีเสียงคลอ้ งจองกัน ใหค้ ติสอนใจ และคำขวญั หรือใหท้ ำสง่ิ ดงี าม ภาษาไทยมาตรฐานเป็นภาษาที่ใช้ส่อื สาร ๑๘ ภาษาไทย ท ๔.๑ ป. ๓/๔ กันท่วั ประเทศ ส่วนภาษาถ่ิน เป็นภาษาท่ี มาตรฐานและ กลมุ่ คนในแต่ละท้องถ่ินใช้สนทนากนั ภาษาถน่ิ ควรเลือกใช้ใหเ้ หมาะสมกบั กาลเทศะ

๕๕ หน่วย ชอ่ื หน่วย มาตรฐานการเรยี นรู/้ สาระสำคัญ เวลา นำ้ หนัก ท่ี ตัวชวี้ ัด (ชั่วโมง) คะแนน ๑๙ การอ่าน ท ๑.๑ ป. ๓/๗, ป. ๓/๘, การอ่านเปน็ เครือ่ งมอื ในการค้นควา้ และ ๘ ๓ ป. ๓/๙ แสวงหาความรูเ้ รือ่ งตา่ ง ๆ ทำใหไ้ ดแ้ นวคิด ท่ีเป็นประโยชนใ์ นการดำเนินชวี ิต การฝึกฝนทักษะการอ่านอยา่ งสม่ำเสมอ ทำใหม้ ีความร้เู พื่อพฒั นาตนมากย่งิ ข้นึ ๒๐ การเขียน ท ๒.๑ ป. ๓/๑, ป. ๓/๒, การเขยี นเป็นการสื่อสารอยา่ งหน่ึงเพื่อให้ ๑๕ ๗ ป. ๓/๓, ป. ๓/๔, ป.๓/๕, ป. ๓/๖ ผูอ้ ื่นรับร้เู รื่องราวตามทีผ่ ูเ้ ขียนต้องการใน การเขียนจะตอ้ งเขยี นดว้ ยลายมือบรรจง และสะอาดเรียบรอ้ ย ๒๑ การฟัง การดู ท ๒.๑ ป. ๓/๑, ป. ๓/๒, การฟงั การดู และการพดู เป็นทกั ษะ ๑๘ ๑๒ และการพูด ป. ๓/๓, ป. ๓/๔, ป.๓/๕, ป. ๓/๖ พน้ื ฐานท่ีสำคัญอนั จะนำไปสกู่ ารอา่ นและ การเขยี นนักเรยี นควรมมี ารยาทในการฟงั และการดเู พ่อื ใหส้ ามารถจับใจความ นำไปใช้ประโยชน์ในชีวติ ประจำวัน และ สามารถพดู ส่อื สารกับผอู้ ืน่ ไดอ้ ยา่ งถูกตอ้ ง และมมี ารยาทตามความเปน็ ไทย วรรณคดี ท ๑.๑ ป. ๓/๑, ป. ๓/๒, การอา่ นและการฟงั วรรณคดีและ ๒๒ ๑๕ และวรรณกรรม ป. ๓/๓, ป. ๓/๔, วรรณกรรมร้อยแก้วและร้อยกรองสำหรับ ๒๒ กระตา่ ย ป. ๓/๕, ป. ๓/๖, เด็กทำใหไ้ ด้ขอ้ คดิ ท่นี ำมาประยกุ ตใ์ ช้ใน ไมต่ ่นื ตูม ป. ๓/๗, ป. ๓/๘ ชีวติ ประจำวัน แมไ่ ก่ ท ๕.๑ ป. ๓/๑, ป. ๓/๒ อยใู่ นตะกรา้ เด็กเอย๋ เดก็ นอ้ ย ลูกแกะ ของซาฟียะห์

หน่วย ช่อื หนว่ ย มาตรฐานการเรียนรู/้ สาระสำคญั ๕๖ ท่ี ตัวชว้ี ัด เวลา น้ำหนัก กาเหว่า รวมระหวา่ งปี (ชวั่ โมง) คะแนน ปลายปี ที่กลางกรงุ ๑๙๘ ๘๐ รวมตลอดปี ๒ ๒๐ ธนูดอกไม้ ๒๐๐ ๑๐๐ กับเจ้าชายน้อย

๕๗ ท ๑๔๑๐๑ ภาษาไทย ๔ โครงสร้างรายวชิ าพ้ืนฐาน ชนั้ ประถมศกึ ษาปที ี่ ๔ กลุ่มสาระการเรยี นรู้ภาษาไทย เวลา ๑๖๐ ชั่วโมง หนว่ ย ชือ่ หนว่ ย มาตรฐานการเรยี นรู้/ สาระสำคญั เวลา น้ำหนกั ท่ี ตัวชว้ี ัด (ช่วั โมง) คะแนน คำท่ไี มม่ ีตวั สะกดทกุ คำ จดั เปน็ คำ หลกั ภาษาไทย ท ๔.๑ ป.๔/๑ ในมาตรา ก กา ๔๒ ๑ มาตรา ก กา ท ๔.๑ ป.๔/๑ ไมม่ ีตัวสะกด ๒ มาตราตัวสะกด ตัวสะกดเปน็ ส่วนประกอบหนึง่ ของคำ ๔ ๒ เสียงตวั สะกดมี ๘ มาตรา บางมาตรา ๔ ๒ ๘ มาตรา มพี ยัญชนะที่เปน็ ตัวสะกดตัวเดยี ว ๔ ๒ บางมาตรามพี ยัญชนะทเี่ ปน็ ตัวสะกด ๓ ไตรยางศ์ ท ๔.๑ ป.๔/๑ หลายตวั ๔ ๒ สร้างคำ พยญั ชนะไทย ๔๔ ตวั แบง่ ตาม ระดบั เสยี งของพยัญชนะเป็นอักษรสงู อักษร ๔ คำเป็น คำตาย ท ๔.๑ ป.๔/๑ กลาง และอักษรต่ำ ซง่ึ เป็นหลกั เกณฑ์หนง่ึ ดูงา่ ยไมย่ าก ที่ใช้ในการผันอกั ษร คำท่ีไมม่ ีตวั สะกดและประสมสระ ๕ วรรณยุกต์ ท ๔.๑ ป.๔/๑ เสยี งสนั้ กับคำที่มตี วั สะกดอยใู่ นมาตรา กก สิ่งสำคญั กด กบ ทุกคำเรียกวา่ คำเป็น ผันอักษร สว่ นคำทไี่ มม่ ีตัวสะกดและประสม สระเสียงยาว รวมทั้งคำท่ีประสมสระ -ำ ใ- ไ- เ-า กบั คำที่มตี วั สะกด อยใู่ นมาตรา กง กม เกย เกอว กน ทกุ คำเรียกวา่ คำตาย จะทำให้คำเดมิ มีเสยี งและความหมายก็เปล่ียนไป วรรณยุกต์มที ั้งเสยี งและรปู คำทุกคำมี เสียงวรรณยุกตแ์ ม้จะไม่มีรูปวรรณยกุ ต์ ปรากฏ การผนั คำตามเสยี งวรรณยุกต์

๕๘ หนว่ ย ช่อื หน่วย มาตรฐานการเรยี นรู/้ สาระสำคัญ เวลา น้ำหนกั ท่ี ตวั ชี้วัด (ชั่วโมง) คะแนน จะทำให้คำเดิมมีเสียงเปล่ยี นไป และ ความหมายกเ็ ปล่ยี นไปด้วย ๖ คำพอ้ ง ท ๔.๑ ป.๔/๑ คำพอ้ งมีทัง้ คำท่เี ขียนเหมือนกนั ๔๒ ต้องพิจารณา และอา่ นออกเสยี งเหมือนกัน การฝกึ อา่ น และเขยี นเป็นประจำ จะทำใหอ้ า่ น เขยี น และใชค้ ำต่าง ๆ สอื่ สารไดถ้ ูกต้อง ๗ คำนาม ท ๔.๑ ป.๔/๒ คำที่ใชเ้ รียกช่อื คน พชื สัตว์ สิง่ ของ ๔๒ ใช้เรียกตามชื่อ สถานทีแ่ ละสง่ิ ต่าง ๆ จัดเปน็ คำนาม ๘ คำแทนช่อื ท ๔.๑ ป.๔/๒ คำท่ใี ชเ้ รียกแทนคำนามในการสนทนา ๔๒ นี้คอื สรรพนาม จัดเป็นคำสรรพนาม ซงึ่ มที ั้งคำสรรพนาม สำหรบั ใชแ้ ทนผพู้ ดู ผ้ฟู งั และผู้ทก่ี ล่าวถึง คำสรรพนามชว่ ยให้การสอ่ื สารกระชบั เพราะไมต่ ้องกล่าวคำนามน้ันซำ้ ๙ คำกรยิ า ท ๔.๑ ป.๔/๒ คำทีแ่ สดงอาการหรือการกระทำ ๔๒ สอื่ อาการ ของนามและสรรพนาม ซ่งึ เป็นประธาน ของประโยค เรยี กว่า คำกริยา คำกรยิ า บางคำมีใจความสมบูรณ์ในตวั ไม่ต้องมี กรรมมาต่อทา้ ย แต่คำกริยาบางคำต้องมี กรรมมาต่อท้ายจงึ จะได้ใจความสมบรู ณ์ ๑๐ คำวเิ ศษณ์ ท ๔.๑ ป.๔/๒ คำท่ีทำหน้าทขี่ ยายคำกรยิ า ๔๒ ขยายคำ จำให้แมน่ ใหม้ คี วามหมายชดั เจนข้นึ เรียกวา่ คำวเิ ศษณ์ คำวิเศษณม์ กั จะอยหู่ ลังคำกรยิ า ทข่ี ยาย ถ้าเป็นคำกริยาสกรรม คำวิเศษณ์ จะอยหู่ ลงั คำนามทที่ ำหนา้ ที่เปน็ กรรมของ คำกริยานัน้ ๑๑ พจนานุกรม ท ๔.๑ ป.๔/๓ พจนานุกรมใช้อา้ งอิงการเขยี นสะกดคำ ๔ ๒ การอ่านคำ ความหมายของคำ รวมท้ัง ชนดิ และที่มาของคำ

๕๙ หนว่ ย ช่อื หน่วย มาตรฐานการเรยี นรู้/ สาระสำคัญ เวลา น้ำหนกั ท่ี ตัวชว้ี ัด (ชว่ั โมง) คะแนน ประโยคเกดิ จากการนำคำหรอื กลมุ่ คำ มา ๑๒ ฝกึ เขยี น ท ๔.๑ ป.๔/๔ เรียบเรียงใหไ้ ด้ใจความเพือ่ ใช้ส่ือสาร ๔๒ ท ๔.๑ ป.๔/๕ กลอนสเ่ี ป็นบทรอ้ ยกรองท่ีมี ๔ วรรค ๔๒ ดว้ ยประโยค วรรคละ ๔ คำ บทร้อยกรองจะมีสัมผสั ท ๔.๑ ป.๔/๕ ระหวา่ งวรรคและระหวา่ งบท ทำใหเ้ กิด ๔๒ ๑๓ กลอนส่ี ความไพเราะ ๔๒ ท ๔.๑ ป.๔/๖ คำขวญั เป็นถอ้ ยคำท่ีมีเสียงคลอ้ งจอง ๔๒ วรรคละสี่คำ ทำให้ไพเราะ และมีความหมายกินใจ ท ๔.๑ ป.๔/๗ สามารถจดจำได้งา่ ย ๙๕ ๑๔ คำขวญั เตอื นใจ คำพงั เพยและสุภาษิต เป็นสำนวน ท ๑.๑ ป.๔/๑, ป.๔/๒, ป. ทใ่ี หข้ ้อคดิ คติสอนใจ ในการดำเนนิ ชีวติ ๑๕ คำพงั เพย ๔/๔, ป.๔/๘ ถอ้ ยคำมีลกั ษณะกระชับ กนิ ใจ ไพเราะ และสภุ าษติ ภาษาถิน่ เป็นภาษาท่ใี ช้สื่อสารเฉพาะ ใหข้ ้อคดิ สอนใจ ท ๓.๑ ป.๔/๑ ทอ้ งถน่ิ คำทมี่ ีความหมายอยา่ งเดยี วกนั อาจใช้คำแตกต่างกันในแตล่ ะถิ่น ๑๖ ภาษาถ่ิน การเขา้ ใจความหมายของภาษาถิ่น บอกความ ทำให้การสื่อสารกบั คนในท้องถิน่ ดีข้ึน เปน็ ไทย การอา่ นบทรอ้ ยแก้วได้ถูกต้องชัดเจน จะทำใหก้ ารอา่ นมีประสิทธิภาพ ผู้อ่าน ๑๗ อ่านไดค้ ล่อง สามารถจับใจความไดถ้ กู ตอ้ ง การอา่ น ตอ้ งรู้วิธี ออกเสยี งบทรอ้ ยกรองต้องแบง่ จังหวะให้ ถกู ต้อง การอา่ นตอ้ งมีเสียงสงู ตำ่ หนกั เบา เออื้ นเสียงเพอ่ื ความไพเราะ การแยก ข้อเทจ็ จริง และขอ้ คดิ เหน็ ไดอ้ ยา่ งถกู ตอ้ ง จะช่วยให้เปน็ คนมเี หตุผล ไม่หลงเชื่อ สิ่งต่าง ๆ ไดง้ า่ ย การมมี ารยาทในการอา่ น ช่วยใหเ้ ปน็ ผอู้ ่านทด่ี ี ทำให้การอ่าน มีประสิทธภิ าพ

๖๐ หนว่ ย ชื่อหน่วย มาตรฐานการเรยี นรู/้ สาระสำคัญ เวลา นำ้ หนัก ท่ี ตัวช้วี ัด (ชว่ั โมง) คะแนน ๑๘ เขียนชำนาญ ท ๒.๑ ป.๔/๑, ป.๔/๒, การคัดลายมือไดถ้ กู ตอ้ งตามหลกั การเขยี น ๒๕ ๑๓ ป.๔/๓, ป.๔/๔, งานสรา้ งสรรค์ ป.๔/๕, ป.๔/๖, ตวั อกั ษรไทยและสวยงาม ช่วยให้อ่านงา่ ย ป.๔/๗, ป.๔/๘ การเขียนสื่อสารต้องใช้คำให้ถกู ตอ้ ง เหมาะสม สอ่ื ความหมายได้ชัดเจน การเขียนแผนภาพโครงเรอ่ื งและแผนภาพ ความคิด เป็นการจัดข้อมูลอย่างมรี ะบบ ทำให้เข้าใจเรื่องราวได้ดยี ่ิงขึ้น การเขียน ย่อความเป็นการสรุปใจความสำคญั จาก เรอื่ งทอี่ ่าน จะทำให้เขา้ ใจเนือ้ เร่ืองชัดเจน การเขียนจดหมายถึงเพื่อน บดิ า มารดา ควรใช้ภาษาใหถ้ กู ต้องเหมาะสม การเขียน บนั ทกึ จากการศกึ ษาคน้ ควา้ ช่วยให้มี ความรู้และประสบการณ์ในการเขยี น การเขียนรายงานเป็นการนำเสนอขอ้ มลู จากการศกึ ษาค้นคว้า การเขียนได้ถกู ตอ้ ง ครบถ้วน จะทำใหร้ ายงานมคี วาม นา่ เช่ือถือ ผู้อ่านเขา้ ใจได้ง่าย การเขียน เรื่องตามจินตนาการเปน็ การฝกึ ความคิด ริเร่ิมสร้างสรรค์ และจนิ ตนาการ การมี มารยาทในการเขียน จะช่วยใหก้ าร ถ่ายทอดความรู้ และความคดิ ของผู้เขยี น ไปสูผ่ ู้อา่ นอย่างมีประสิทธิภาพ ๑๙ ฟงั ดู รูส้ นทนา ท ๓.๑ ป.๔/๒, ป.๔/๓, การพดู สรปุ ความจากการฟังและดู ๑๖ ๘ ภาษาสอื่ สาร ป.๔/๔, ป.๔/๕, เป็นการพูดใจความสำคัญของเรือ่ ง ป.๔/๖ ซ่งึ ผู้พูดต้องฟงั และดูเรอ่ื งนน้ั อย่างตงั้ ใจ และมีวิจารณญาณจึงจะทำใหพ้ ดู สรุปความไดด้ ี การพูดแสดงความรู้ ความคิดเหน็ และความรู้สึกเกยี่ วกับเรอื่ งท่ี ฟงั และดู ต้องพดู อยา่ งมีเหตุผล สุภาพ

๖๑ หนว่ ย ชอ่ื หน่วย มาตรฐานการเรยี นร/ู้ สาระสำคญั เวลา นำ้ หนกั ท่ี ตัวช้วี ัด (ช่วั โมง) คะแนน และมีมารยาท จึงจะเกดิ ประโยชน์ต่อผพู้ ดู วรรณคดี ท ๑.๑ ป. ๔/๑, ป. ๔/๒, และผูฟ้ งั การตั้งคำถามและตอบคำถาม ๔๔ ๒๒ และวรรณกรรม ป. ๔/๓, ป. ๔/๔, เชงิ เหตผุ ลจากเรอื่ งทีฟ่ ังและดู ทำให้ ๒๐ การผจญภัยของ ป. ๔/๕, ป. ๔/๖, วเิ คราะห์ความนา่ เชอื่ ถอื และสรปุ ใจความ ๑๕๘ ๘๐ สุดสาคร ป. ๔/๗, ป. ๔/๘ สำคญั ของเรอื่ งได้ การพดู รายงานเป็นการ ๒ ๒๐ นำ้ ผงึ้ หยดเดยี ว นำเสนอขอ้ มูล ท่ไี ด้จากการศึกษาคน้ ควา้ ๑๖๐ ๑๐๐ ระบำนายฟ้า ท ๕.๑ ป. ๔/๑, ป. ๔/๒ อยา่ งถูกตอ้ งใหผ้ ู้ฟงั เข้าใจ ผู้พดู รายงาน เรื่องเลา่ ต้องมที ักษะในการพูด การพดู รายงานนนั้ จากพัทลงุ จึงจะสมั ฤทธ์ิผล และไดร้ ับประโยชน์อย่าง ดวงจันทร์ เต็มท่ี การมีมารยาทในการฟัง การดู และ ของลำเจยี ก การพดู ทำให้ได้รับความร้ทู ี่ดี มีประโยชน์ หอ้ งสมดุ ปา่ ในการดำเนนิ ชีวติ ประจำวัน เท่ยี วเมอื ง การอา่ นและการฟงั วรรณคดแี ละ พระรว่ ง วรรณกรรมรอ้ ยแกว้ และร้อยกรองสำหรับ เดก็ ทำใหไ้ ด้ข้อคดิ ทนี่ ำมาประยกุ ต์ใช้ใน ชวี ิตประจำวนั รวมระหว่างปี ปลายปี รวมตลอดปี

๖๒ ท ๑๕๑๐๑ ภาษาไทย ๕ โครงสร้างรายวิชาพน้ื ฐาน ชนั้ ประถมศกึ ษาปีที่ ๕ กลุ่มสาระการเรยี นรู้ภาษาไทย เวลา ๑๖๐ ช่ัวโมง หน่วย ช่ือหน่วย มาตรฐานการเรียนร้/ู สาระสำคญั เวลา น้ำหนกั ท่ี ตัวช้ีวัด (ชั่วโมง) คะแนน หลักภาษาไทย ๑ บพุ บท ท ๔.๑ ป. ๕/๑ คำบพุ บทอยู่หนา้ คำนามหรือคำสรรพนาม ๔ ๒ ในประโยคเพ่ือบอกเวลา บอกตำแหน่ง นำหนา้ คำ ท ๔.๑ ป. ๕/๑ ที่ตั้ง สถานท่ี บอกความเปน็ เจ้าของ ๔ ๒ ท ๔.๑ ป. ๕/๑ บอกความเกี่ยวข้อง บอกผรู้ บั ผล ๔ ๒ สอ่ื สมั พันธ์ ท ๔.๑ ป. ๕/๒ บอกความมุง่ หมาย บอกสาเหตุ ๔ ๒ ทำให้ประโยคสอ่ื สารนนั้ ๒ คำเชือ่ ม มใี จความสมบูรณย์ ิง่ ขนึ้ ประสาน คำสนั ธานใชเ้ ช่อื มคำ กลมุ่ คำ หรอื ประโยค ความหมาย เข้าดว้ ยกนั เพอื่ ให้แสดงความหมายคล้อย ตามกัน แตกตา่ งกัน ๓ คำอทุ านสอื่ สาร ให้เลือกอย่างใดอย่างหน่ึง หรอื เป็นเหตุ อารมณ์ เปน็ ผลกันตามจุดประสงคข์ องผู้ส่งสาร คำอุทานเปน็ เสียงท่ีเปลง่ ออกมาแตกตา่ ง ๔ ฝึกเรียน จากเสียงของคำทั่ว ๆ ไป เขยี นประโยค ทำให้ทราบอารมณ์ความรสู้ ึกของผู้พูด ไดช้ ดั เจนยง่ิ ขึ้น โดยไม่เน้นความหมาย ของคำ การสือ่ สารในชวี ติ ประจำวนั ต้องใช้ ประโยคเพ่อื ส่ือความหมาย ดังน้นั การร้จู ักจำแนกและเรียบเรียงประโยค ให้ถูกต้อง มีสว่ นประกอบของประโยค ครบถว้ นสมบูรณจ์ ะทำให้การสือ่ สาร มปี ระสทิ ธภิ าพ

๖๓ หนว่ ย ชือ่ หนว่ ย มาตรฐานการเรียนรู้/ สาระสำคญั เวลา น้ำหนกั ท่ี ตวั ช้ีวัด (ชว่ั โมง) คะแนน ๕ ภาษาถิ่น ท ๔.๑ ป. ๕/๓ ภาษาไทยในแต่ละท้องถน่ิ มีการใช้ถอ้ ยคำ ๕๓ บอกความ สำนวน ทแี่ ตกตา่ งกัน การร้แู ละเข้าใจ ๕๓ ๕๓ เป็นไทย ความหมายของคำ จะทำใหก้ ารสื่อสาร ๕๓ ดียิง่ ขน้ึ ๕๓ ๖ คำราชาศพั ท์ ท ๔.๑ ป. ๕/๔ คำราชาศัพทเ์ ปน็ คำในภาษาไทย ๒๕ ๑๒ ใชใ้ ห้ถกู ทต่ี อ้ งเลอื กใช้ใหเ้ หมาะสมกบั บุคคล ระดบั ต่าง ๆ ๗ คำในภาษาไทย ท ๔.๑ ป. ๕/๕ ภาษาไทยมีการนำคำจากภาษา ทีน่ ำมาใช้จาก ต่างประเทศมาใช้เป็นจำนวนมาก ภาษาตา่ งประเทศ เราควรทราบทีม่ าของคำ เรยี นรูก้ ารอ่าน การเขียน และการใชค้ ำ เหล่านนั้ ใหถ้ กู ต้อง ๘ กาพย์ยานีลำนำ สิบ ท ๔.๑ ป. ๕/๖ กาพย์ยานี ๑๑ นยิ มใช้ในการแต่งพรรณนา เอด็ คำจำง่าย เรอื่ งต่าง ๆ ลกั ษณะของคำประพนั ธ์ ทำใหบ้ ทรอ้ ยกรองมคี วามไพเราะ งดงาม สละสลวย ผู้อ่านจดจำไดง้ า่ ย และเกิดจินตนาการตามเนื้อเรอื่ ง เปน็ อย่างดี ๙ สำนวน คำพังเพย ท ๔.๑ ป. ๕/๗ การใช้สำนวนไดถ้ ูกตอ้ ง ทำให้ สุภาษติ ให้ข้อคิด สอื่ ความหมายชดั เจน ได้เรยี นรู้ สอนใจ ความงดงามของภาษาไทย และเป็นการอนุรักษ์ภาษาไทย ๑๐ อ่านได้คล่อง ท ๑.๑ ป. ๕/๑, ป. ๕/๒, ๑. การอา่ นออกเสียงบทร้อยแก้ว ต้องรวู้ ธิ ี ป. ๕/๓, ป. ๕/๔, ได้ถกู ต้องตามอกั ขรวธิ ี โวหาร ป. ๕/๕, ป. ๕/๖, และประเภทของงานเขยี น จะทำใหเ้ กดิ ป. ๕/๗, ป. ๕/๘ ความไพเราะ การอา่ นมีประสิทธิภาพ ผู้ฟังสามารถเข้าใจไดช้ ัดเจน ๒. การอ่านออกเสยี งบทร้อยกรอง เป็นทำนองเสนาะได้ถูกต้องตาม

๖๔ หนว่ ย ชื่อหน่วย มาตรฐานการเรยี นร/ู้ สาระสำคัญ เวลา น้ำหนกั ท่ี ตัวชีว้ ัด (ชวั่ โมง) คะแนน อักขรวธิ แี ละฉันทลักษณข์ องบทรอ้ ยกรอง นั้น ๆ รจู้ ักทอดจงั หวะ เอือ้ นเสยี งแสดง อารมณ์ตามเนอื้ หา จะทำให้ผฟู้ งั เข้าใจ เรื่องได้ชดั เจน และบทร้อยกรองนนั้ มี ความไพเราะยงิ่ ขน้ึ ๓. การอา่ นจบั ใจความโดยสามารถแยก ขอ้ เทจ็ จรงิ ขอ้ คดิ เหน็ และสรุปความ จากการอ่าน ทำให้เรามเี หตุผล ไม่หลงเชอ่ื สิ่งตา่ ง ๆ ไดง้ า่ ย ซ่งึ ก่อให้เกิด ประโยชน์ รู้จกั เลือกพจิ ารณานำความรู้ที่ ไดจ้ ากการอา่ นไปใชใ้ นการดำเนนิ ชวี ิต ๔. การอ่านงานเขยี นเชงิ อธิบายคำสั่ง ขอ้ แนะนำ ใหเ้ ข้าใจชดั เจนเสียก่อน จะทำใหป้ ฏิบัตติ ามไดถ้ ูกต้อง ทำงาน อยา่ งมปี ระสทิ ธภิ าพและปลอดภัย ในการใชง้ าน ๕. การเลอื กอา่ นหนังสอื ใหเ้ หมาะสมกับ ความต้องการและวัยทำให้ไดร้ ับคุณคา่ สามารถนำไปใช้ประโยชนไ์ ดอ้ ย่างแท้จริง ๖. การมีมารยาทในการอา่ น ทำให้ เป็นที่นา่ ช่ืนชมตอ่ ผู้พบเห็น ๑๑ เขียนชำนาญ ท ๒.๑ ป. ๕/๑, ป. ๕/๒, ๑. การคัดลายมือเป็นการฝกึ เขยี นตัว ๓๕ ๑๗ งานสรา้ งสรรค์ ป. ๕/๓, ป. ๕/๔, อกั ษรไทยให้สวยงามและถูกต้อง ป. ๕/๕, ป. ๕/๖, ๒. การเขียนส่ือสารควรเลือกใช้ถ้อยคำ ป. ๕/๗, ป. ๕/๘, สำนวนให้ถูกต้องเหมาะสมกับงานเขียน ป. ๕/๙ ประเภทนั้น ๆ จงึ จะสอ่ื ความหมาย ไดช้ ัดเจนตรงตามวตั ถุประสงค์ ๓. แผนภาพโครงเร่อื งใช้ในการวางโครง เรอื่ งทม่ี กี ารดำเนนิ เรื่องเป็นไปตามลำดบั

๖๕ หน่วย ชอื่ หนว่ ย มาตรฐานการเรียนรู/้ สาระสำคญั เวลา น้ำหนัก ท่ี ตวั ชีว้ ัด (ช่ัวโมง) คะแนน เหตุการณ์ สว่ นแผนภาพความคิดใช้ในการ วางโครงเร่อื งทีม่ ีความคดิ รวบยอดเปน็ สำคญั การนำแผนภาพโครงเร่ืองและ แผนภาพความคิดมาใช้ในงานเขยี น ทำใหง้ านเขยี นมีคุณภาพ และได้ความ ครบถ้วนสมบูรณ์ ๔. ย่อความเปน็ การนำใจความสำคัญ ของแต่ละตอนจากเรอื่ งท่อี ่านมา เรยี บเรยี งใหม่เพื่อใหเ้ ข้าใจเรื่องที่ต้องการ ส่ือสารได้งา่ ยยง่ิ ขึ้น ๕. การเขียนจดหมายถึงผู้ปกครอง และญาติ ตอ้ งใช้ภาษาท่ีสุภาพ แสดงถึง ความเคารพให้เหมาะสมกบั บคุ คล ๖. การเขยี นแสดงความรสู้ ึกและ ความคิดเห็น เปน็ การนำเสนอ ข้อเทจ็ จริง ท่ีไดจ้ ากการตรวจสอบ โดยใช้เหตุผล ประกอบ ซงึ่ ทำใหผ้ อู้ า่ นได้รับทราบขอ้ มูล และข้อคิดเห็นทีเ่ ป็นประโยชน์ ๗. การกรอกแบบรายการตา่ ง ๆ ไดถ้ กู ต้อง ใช้ภาษาท่กี ระชบั ชัดเจน ทำให้ส่ือสารได้ตรงตามวัตถุประสงค์ และสะดวกในการติดตอ่ ทำธรุ ะ ๘. การเขยี นเร่ืองตามจนิ ตนาการไดด้ ี ตอ้ งหม่นั ฝึกการคดิ การสังเกต และมีความคดิ ริเริ่มสร้างสรรค์ ๙. การมีมารยาทในการเขียน จะทำให้ ผู้อา่ นสามารถเขา้ ใจสารทผ่ี ูเ้ ขียนถา่ ยทอด ได้ง่ายและมปี ระสทิ ธิภาพ

๖๖ หน่วย ชอื่ หน่วย มาตรฐานการเรยี นรู้/ สาระสำคัญ เวลา นำ้ หนัก ท่ี ตวั ชี้วัด (ชว่ั โมง) คะแนน ๑๒ ฟงั ดู รสู้ นทนา... ท ๓.๑ ป. ๕/๑, ป. ๕/๒, ๑. การพดู แสดงความรู้ ความคิดเหน็ ๑๕ ๗ ภาษาส่ือสาร ป. ๕/๓, ป. ๕/๔, และความร้สู กึ จากเรอ่ื งท่ีฟังและดู ป. ๕/๕ ควรพจิ ารณาอยา่ งรอบคอบก่อนพดู เพอื่ ไม่ใหเ้ กิดความขดั แยง้ กบั ผู้อน่ื เพราะในเร่อื งเดียวกนั แตล่ ะคนอาจมี มมุ มองและความคดิ เห็นแตกต่างกันได้ ๒. การตงั้ คำถามและตอบคำถาม เชิงเหตผุ ลจากเรื่องทีฟ่ งั และดู ทำให้ สามารถวิเคราะห์ความน่าเช่ือถือของเร่ือง และนำความร้หู รอื ข้อคิดทไี่ ดร้ บั ไปใช้เปน็ ประโยชนใ์ นชีวิตประจำวนั ๓. การวิเคราะหค์ วามนา่ เช่อื ถือ จากเรือ่ งท่ีฟังและดใู นชวี ิตประจำวนั ตอ้ งใช้เหตุผล มีขอ้ เท็จจรงิ และหลักฐาน มาประกอบ ๔. การพดู รายงานตามหลกั การ ท่ีถูกต้อง จะทำให้การนำเสนอข้อมลู มีความน่าสนใจและผูฟ้ ังได้รับประโยชน์ ๕. การมมี ารยาทในการฟัง การดู และการพดู ทำให้การตดิ ต่อสือ่ สาร มปี ระสิทธิภาพ ๑๓ วรรณคดี และวรรณกรรม บทละครนอก ท ๑.๑ ป.๕/๑, ป.๕/๕, บทละครนอก เรอ่ื ง สงั ขท์ อง ๘๔ เร่อื ง สังขท์ อง ตอน ป.๕/๘, ตอน กำเนิดพระสงั ข์ แสดงให้เห็นถงึ กำเนดิ พระสงั ข์ ท ๕.๑ ป.๕/๑, ป.๕/๒, ความรักของแม่ทมี่ ตี อ่ ลูก ไมว่ า่ ลกู จะเกิด ป.๕/๓, ป. ๕/๔ มาเป็นเชน่ ไร ก็ย่อมเปน็ ท่ีรักดัง่ ดวงใจ ของแมเ่ สมอ นอกจากนั้นยังแสดงถึง

๖๗ หน่วย ชือ่ หน่วย มาตรฐานการเรียนรู้/ สาระสำคญั เวลา น้ำหนัก ท่ี ตวั ช้ีวัด (ชัว่ โมง) คะแนน ท ๑.๑ ป.๕/๑, ป.๕/๕, ความกตัญญูกตเวทขี องพระสังข์ ทีร่ ู้จกั ป.๕/๗, ป.๕/๘ ชว่ ยเหลอื แบง่ เบาภาระของแม่เท่าท่ีเดก็ จะ ท ๕.๑ ป.๕/๑, ป.๕/๒, ป.๕/๓ ทำได้ ซ่งึ เป็นสง่ิ ท่ีลูกทกุ คนควรประพฤติ ท ๑.๑ ป.๕/๑, ป.๕/๕, ปฏิบัติตาม ป.๕/๗ ๑๔ ราชาธิราช ตอน เรอื่ ง ราชาธิราช ตอน กำเนดิ มะกะโท ๖๓ กำเนิดมะกะโท ท ๕.๑ ป.๕/๑, ป.๕/๒, ป.๕/๓ แสดงให้เห็นถึงคุณธรรมและคุณลักษณะ ท ๑.๑ ป.๕/๑, ป.๕/๕, พิเศษของมะกะโท ซงึ่ จะเปน็ ผนู้ ำ ป.๕/๗ ในภายหนา้ เช่น ความกตญั ญคู วาม จงรกั ภักดี ความเมตตา ความมานะ อุตสาหะ สติปัญญา ไหวพรบิ อนั ชาญฉลาด มองเห็นการณ์ไกล และ รู้จักแก้ปญั หา เม่ือเกดิ เหตุยงุ่ ยากต่าง ๆ นอกจากจะไดร้ ับความเพลิดเพลนิ จาก เน้อื เรอ่ื งแล้ว ยงั ไดร้ บั ความรู้เก่ยี วกบั เรอื่ งราว ในประวัตศิ าสตร์ วิถชี ีวติ ความเป็นอยขู่ องคนไทยในอดตี รวมทั้ง ข้อคดิ ตา่ ง ๆ ทน่ี ำไปใช้ในชีวิตจริงได้เป็น อย่างดี สิ่งเหล่าน้ีคอื ประโยชน์ หลายประการทไี่ ดร้ บั จากวรรณคดี ๑๕ กระเชา้ สดี า นิทานเร่อื ง กระเชา้ สีดา มีเนื้อเรื่อง ๖๓ ๑๖ บทประพนั ธ์ สนกุ สนาน ใช้ภาษาบรรยายได้สละสลวย รอ้ ยกรองสภุ าษติ ชัดเจน อ่านเข้าใจงา่ ย เหมาะสำหรบั เดก็ แฝงแนวคิดในเรอื่ งผลของการทำความดี คือ การเชอ่ื ฟังผูใ้ หญ่ ความมนี ้ำใจ และ ความสภุ าพออ่ นโยน ซ่งึ นกั เรยี นควร นำไปประพฤติปฏิบตั ิในชีวิตประจำวนั ใหส้ ม่ำเสมอจนเป็นนิสยั บทประพันธ์รอ้ ยกรองสุภาษติ มคี ุณค่า ๔๒ ดา้ นวรรณศลิ ปแ์ ละให้คตสิ อนใจ

๖๘ หนว่ ย ช่อื หนว่ ย มาตรฐานการเรยี นร/ู้ สาระสำคญั เวลา น้ำหนัก ท่ี ตวั ชีว้ ัด (ชั่วโมง) คะแนน เพอ่ื ประพฤตใิ นส่ิงท่ีถูกต้องดีงาม ๑๗ โคลงโลกนติ ิ ท ๕.๑ ป.๕/๑, ป.๕/๒, ผู้นำไปปฏบิ ตั ิย่อมประสบความสุขความ ๖๓ ป.๕/๓, ป.๕/๔ เจริญในการดำเนินชีวิต ๑๘ นทิ านคตธิ รรม คำสอนจากโคลงโลกนติ ิ พระนิพนธข์ อง ๔๒ เรอ่ื ง พญาชา้ ง ท ๑.๑ ป.๕/๑, ป.๕/๕, สมเด็จฯ กรมพระยาเดชาดิศร ผู้เสียสละ ป.๕/๗ ทกี่ รมวชิ าการกระทรวงศึกษาธิการ ๔๒ ได้รวบรวมไว้น้นั ล้วนเปน็ คำสอน ๑๙ เพลงพระราช ท ๕.๑ ป.๕/๑, ป.๕/๒, ท่ีเหมาะสมจะนำไปใช้เปน็ หลักปฏิบัตใิ น นิพนธ์ในดวงใจ ป.๕/๓, ป.๕/๔ การดำเนินชีวติ ปจั จุบันไดอ้ ย่างดี พรอ้ มความหมาย ทง้ั ใหข้ อ้ คดิ เตอื นใจสำหรับตนเอง อันทรงคุณคา่ ท ๑.๑ ป.๕/๑, ป.๕/๕, หรือใชแ้ นะนำสงั่ สอนผู้อืน่ คำสอนใน ป.๕/๗ โคลงโลกนิติจึงทรงคุณค่าเสมอสำหรบั ผทู้ ปี่ ระพฤตปิ ฏบิ ตั ิตาม ท ๕.๑ ป.๕/๑, ป.๕/๒, นิทานคติธรรม เรื่อง พญาช้างผู้เสยี สละ ป.๕/๓ ใหค้ ตวิ า่ “ทำดีได้ดี ทำช่วั ได้ชวั่ ” ในสงั คมย่อมมีทง้ั คนดแี ละคนชว่ั ท ๑.๑ ป.๕/๒, ป.๕/๓, เราจงึ ควรนำคุณธรรมของคนดีมา ป.๕/๕ เปน็ แบบอย่าง พร้อมท้ังใชส้ ตปิ ญั ญา พิจารณาให้รู้ทนั เล่หเ์ หล่ียมของคนชั่ว ท ๓.๑ ป.๕/๓, ป.๕/๕ เพอื่ หลีกเล่ียงการคบหาอนั อาจจะนำภยั ท ๕.๑ ป.๕/๑, ป.๕/๒, มาสตู่ นเอง เพลงพระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จ ป.๕/๓, ป.๕/๔ พระบรมชนกาธิเบศร มหาภมู พิ ลอดุลย เดชมหาราช บรมนาถบพติ ร มีถงึ 48 เพลง มีทั้งเพลงสะท้อนถงึ ความงามของธรรมชาติ ความรกั และชีวิต เพลงมาร์ช เพลงปลกุ ใจ เพลงประจำ สถาบัน ฯลฯ เพลงพระราชนพิ นธ์

๖๙ หนว่ ย ชอื่ หนว่ ย มาตรฐานการเรยี นร/ู้ สาระสำคญั เวลา น้ำหนกั ท่ี ตัวชีว้ ัด (ชัว่ โมง) คะแนน ส่วนใหญพ่ ระองค์ทา่ นทรงแต่งทำนอง เนอ่ื งดว้ ยพระองค์เป็นนกั ดนตรี ทรงเป่า แซ็กโซโฟน ทรมั เปต็ อีกท้ังยังทรงเล่น เปียโน ในส่วนของเนื้อเพลงเป็นภาษาไทย หรอื ภาษาองั กฤษนน้ั ก็บุคคลอนื่ แต่ง หรอื รว่ มแตง่ กบั พระองค์ทา่ น ๒๐ บทอาขยาน ท ๑.๑ ป.๕/๒, ป.๕/๓, การท่องจำบทอาขยานสามารถนำไปใช้ ๔ ๒ ท ๕.๑ ป.๕/๑, ป.๕/๒, อ้างอิงและนำข้อคิดไปเป็นแนวทางในการ ดำเนินชวี ิต รวมระหวา่ งปี ๑๕๘ ๘๐ ปลายปี ๒ ๒๐ รวมตลอดปี ๑๖๐ ๑๐๐

๗๐ ท ๑๖๑๐๑ ภาษาไทย ๖ โครงสรา้ งรายวชิ าพน้ื ฐาน ชนั้ ประถมศกึ ษาปที ี่ ๖ กลุม่ สาระการเรยี นรูภ้ าษาไทย เวลา ๑๖๐ ช่ัวโมง หนว่ ย ช่ือหน่วย มาตรฐานการเรยี นรู้/ สาระสำคญั เวลา น้ำหนกั ท่ี ตัวช้ีวัด (ช่วั โมง) คะแนน หลกั ภาษาไทย ท ๔.๑ ป. ๖/๑ ๑ คำนาม ท ๔.๑ ป. ๖/๑ คำนามเปน็ คำชนดิ หน่ึงทใ่ี ช้เรยี ก คน พชื ๔ ๒ สตั ว์ ส่งิ ของ และสถานท่ี คำนาม ๔ ๒ ใช้เรยี กตามชือ่ ท ๔.๑ ป. ๖/๑ ทำหนา้ ที่เป็นไดท้ งั้ ประธานและกรรม ในประโยคใช้สอื่ สารในชวี ิตประจำวัน ๔ ๒ ๒ คำแทนชอ่ื ท ๔.๑ ป. ๖/๑ คำสรรพนามเป็นคำท่ใี ชแ้ ทนคำนามเพอื่ ๔ ๒ นีค้ อื สรรพนาม ไมต่ ้องกลา่ วคำนามนน้ั ซำ้ อีก ๔ ๒ ท ๔.๑ ป. ๖/๑ คำสรรพนามเป็นคำท่ตี ้องใช้สนทนา ๓ คำกริยา ในชีวิตประจำวนั จงึ ต้องเลอื กใชก้ ับ ส่ืออาการ บคุ คลต่าง ๆ ให้ถูกตอ้ งและเหมาะสม คำกรยิ าเปน็ คำท่ีแสดงอาการหรอื สภาพ ๔ ขยายคำ...ควรจำ หรือการกระทำของประธานในประโยค คำวเิ ศษณ์ ซงึ่ เป็นคำนามหรอื คำสรรพนาม ประโยคทกุ ประโยคจะตอ้ งมีคำกรยิ า ๕ บุพบท คำวเิ ศษณเ์ ปน็ คำทใ่ี ช้ขยายหรอื ประกอบ จดจำ นำหนา้ คำ คำอ่ืนคอื คำนาม คำสรรพนาม คำกรยิ า หรือขอ้ ความ หรือ คำวิเศษณ์ดว้ ยกนั เองเพ่ือให้ได้ ใจความชดั เจนย่งิ ข้นึ คำบุพบททำหน้าท่ีแสดงความสมั พันธ์ ระหวา่ งคำหรอื กล่มุ คำ เพ่อื บอกเวลา ตำแหน่ง ทตี่ ้ัง สถานที่ ความเปน็ เจ้าของ ความเกยี่ วข้อง หรอื ความประสงค์ จึงควร เลือกใช้คำบุพบทแต่ละชนดิ ให้ถูกตอ้ ง และเหมาะสม

๗๑ หนว่ ย ช่อื หน่วย มาตรฐานการเรยี นร้/ู สาระสำคญั เวลา น้ำหนกั ท่ี ตวั ชว้ี ัด (ช่วั โมง) คะแนน คำสนั ธานใชเ้ ชอื่ มคำ ประโยค หรอื ๖ คำสันธาน สะพาน ท ๔.๑ ป. ๖/๑ ขอ้ ความใหม้ ีใจความตอ่ เนื่องกัน ๔๓ ประโยคที่มีคำสนั ธานจะสามารถแยกเป็น เชื่อมคำและ ประโยคยอ่ ยได้ คำสันธานทำใหป้ ระโยค ๔๓ หรอื ข้อความสละสลวยขึน้ ๖๓ ประโยค คำอทุ านใชแ้ ทนอารมณ์ ความร้สู ึก ตา่ ง ๆ ของผพู้ ูด ทำให้ผู้ฟังเขา้ ใจ ๔๒ ๗ คำอุทาน ท ๔.๑ ป. ๖/๑ สิ่งท่พี ูดชดั เจนยิง่ ข้ึน สื่อสารอารมณ์ การเลือกใช้ภาษาในการสือ่ สารกับ ๔๒ บุคคลต่าง ๆ ไดอ้ ยา่ งเหมาะสม ๔๒ ๘ ระดบั ภาษา ราชา ท ๔.๑ ป. ๖/๒ เป็นการอนรุ ักษ์วัฒนธรรมทางภาษา ศพั ท์ ภาษา ซ่งึ เปน็ เอกลักษณอ์ ย่างหนงึ่ ของชาติ ๔๒ ถ่นิ การรู้ลักษณะของคำและความหมายของ ใช้ให้เหมาะสม คำภาษาต่างประเทศท่ีใช้ในภาษา ทำใหอ้ ่าน เขยี น และเข้าใจ ข้อความ ๙ คำในภาษาไทย... ท ๔.๑ ป. ๖/๓ ต่าง ๆ ไดถ้ กู ตอ้ งชดั เจนย่งิ ข้ึน ทน่ี ำมาใช้จาก ประโยคใช้สอ่ื สารในชวี ิตประจำวัน ภาษาต่างประเทศ การใชป้ ระโยคได้ถูกตอ้ ง จะทำให้ การสอ่ื สารมปี ระสิทธภิ าพ ๑๐ ประโยค ท ๔.๑ ป. ๖/๔ การแตง่ บทรอ้ ยกรอง ต้องคำนงึ ถึง หรอื กล่มุ คำ ท ๔.๑ ป. ๖/๕ ลักษณะและขอ้ กำหนดของบทร้อยกรอง ต้องสงั เกต แตล่ ะประเภท รูจ้ กั เลอื กสรรถ้อยคำทม่ี ี ความหมายและเสียงคลอ้ งจองเหมาะสม ๑๑ กลอนสภุ าพ มาใช้ จึงจะทำให้บทร้อยกรองนน้ั ไพเราะ ซาบซ้งึ ใจ สละสลวย คำพังเพยและสุภาษติ เป็นสำนวนไทย ๑๒ สำนวนไทยสอนใจ ท ๔.๑ ป. ๖/๖ ทมี่ ีความหมายในเชงิ เปรียบเทียบ ให้คิด และให้คติสอนใจ

๗๒ หนว่ ย ชื่อหน่วย มาตรฐานการเรยี นร้/ู สาระสำคัญ เวลา น้ำหนกั ท่ี ตวั ชว้ี ัด (ชั่วโมง) คะแนน ๑๓ อ่านคลอ่ ง ท ๑.๑ ป.๖/๑, ป.๖/๒, ๑. การอา่ นออกเสยี งบทรอ้ ยแกว้ ๒๕ ๑๒ ป.๖/๓, ป.๖/๔, ต้องรวู้ ธิ ี ป.๖/๕, ป.๖/๖, ตอ้ งออกเสยี งใหถ้ ูกต้อง ชัดเจน ป.๖/๗, ป.๖/๘, ป.๖/๙ ตามอักขรวิธี เวน้ วรรคตอนเหมาะสม ใชน้ ้ำเสยี งน่าฟงั มีเสยี งหนกั เสยี งเบา การอ่านน้ันจึงจะมีประสิทธภิ าพ เกิดความนา่ สนใจ ผู้ฟงั สามารถ จับใจความไดง้ ่ายและถกู ต้อง ๒. การอา่ นออกเสยี งบทร้อยกรอง ได้ถกู ต้องตามลักษณะคำประพันธ์ และ อกั ขรวิธี รู้จักเอือ้ นเสียง แสดงอารมณ์ ตามเนื้อหาความ จะทำให้บทร้อยกรอง นน้ั เกดิ ความไพเราะน่าฟงั ยิ่งขึ้น ๓. การฝึกฝนการอ่านจบั ใจความ ตามหลักเกณฑ์อย่างสม่ำเสมอจะทำให้ เขา้ ใจสาระสำคัญของเรอื่ งไดถ้ ูกต้องและ อ่านเร่อื งได้รวดเรว็ ยงิ่ ข้ึน ๔. การอ่านงานเขียนเชงิ อธิบาย คำสง่ั ข้อแนะนำ และปฏิบตั ิตามอยา่ งถูกตอ้ ง จะทำใหไ้ ด้รับประโยชนใ์ นการนำไปใช้ อย่างเต็มท่ี ๕. การอ่านข้อมลู จากแผนผงั แผนท่ี แผนภูมิ และกราฟทำใหเ้ ขา้ ใจความหมาย รวดเรว็ ชดั เจนยิง่ ขน้ึ และนำไปใช้ ประโยชน์ได้ง่าย ๖. การอา่ นหนงั สอื ไมว่ า่ ประเภทใด ลว้ นแตม่ คี วามสำคัญในการสร้าง พฤตกิ รรมแห่งการเรียนรไู้ ดต้ ลอดชีวิต ๗. การมีมารยาทในการอ่าน แสดงถงึ อปุ นิสัยท่ดี ีซ่งึ นา่ ชน่ื ชม

๗๓ หน่วย ชื่อหนว่ ย มาตรฐานการเรยี นร้/ู สาระสำคัญ เวลา น้ำหนกั ท่ี ตัวชว้ี ัด (ชัว่ โมง) คะแนน ๑๔ เขยี นชำนาญ... ท ๒.๑ ป.๖/๑, ป.๖/๒, ๑. การคัดลายมอื เป็นทกั ษะที่ต้องฝึกฝน ๓๑ ๑๕ ป.๖/๓, ป.๖/๔, งานสร้างสรรค์ ป.๖/๕, ป.๖/๖, อย่เู สมอ เพ่ือพฒั นาลายมอื และเขียน ป.๖/๗, ป.๖/๘, ป.๖/๙ หนงั สอื ให้ถกู ตอ้ ง ลายมือทอ่ี า่ นง่าย เปน็ ระเบยี บเรียบร้อย สะอาด นอกจาก ทำให้ผอู้ ่านสบายตา เกดิ ความรู้สกึ อยากอา่ นข้อความน้ัน แล้วยงั แสดงให้ เห็นว่า ผเู้ ขยี นมคี วามตง้ั ใจ และมีมารยาท ที่ดีในการเขียน ๒. การเขียนสื่อสารต้องใชถ้ ้อยคำ สำนวน ภาษา รวมท้ังรปู แบบให้ถกู ต้องเหมาะสม เพื่อสือ่ ความหมายได้ชัดเจนตรงตาม วัตถุประสงค์ ๓. การเขียนแผนภาพโครงเรอื่ ง และ แผนภาพความคิดเพอื่ ใชพ้ ฒั นางานเขยี น จะช่วยให้การนำเสนอขอ้ มูลมรี ะบบ งานเขยี นมปี ระเดน็ ชดั เจน และ ได้ความครบถว้ นสมบูรณ์ ๔. การเขียนเรยี งความมีรปู แบบเฉพาะ คอื มีคำนำ เนอื้ เรอ่ื ง และสรุปเป็น การเขยี นเพอื่ ถ่ายทอดความรู้ ความคดิ ความรู้สึก และประสบการณไ์ ปยังผอู้ า่ น ๕. การเขียนยอ่ ความเป็นการนำใจความ สำคัญของเนื้อเรอื่ งแตล่ ะยอ่ หนา้ มาเรียบ เรยี งใหม่ให้ตอ่ เน่ืองกนั ซึง่ จะชว่ ยให้ การสอ่ื สารเกดิ ความเข้าใจไดง้ า่ ยยง่ิ ขน้ึ ๖. การเขยี นจดหมายส่วนตัว เพือ่ ใช้ ตดิ ตอ่ สื่อสารกบั บดิ า มารดาญาติพี่น้อง หรอื เพื่อน ควรเลอื กใช้ถ้อยคำ สำนวน

๗๔ หนว่ ย ชอื่ หนว่ ย มาตรฐานการเรยี นรู/้ สาระสำคญั เวลา นำ้ หนกั ท่ี ตวั ช้วี ัด (ช่ัวโมง) คะแนน ท ๓.๑ ป.๖/๑, ป.๖/๒, ภาษาให้ถกู ตอ้ งเหมาะสมกับสถานการณ์ ป.๖/๓, ป.๖/๔, ป.๖/๕, ป.๖/๖ จะทำใหก้ ารสอ่ื สารน้ันประสบผลสำเร็จ ตรงตามวตั ถปุ ระสงค์ ๗. การกรอกแบบรายการไดค้ รบถ้วน ถกู ตอ้ งดว้ ยลายมือที่อา่ นง่าย สะอาด เรยี บรอ้ ย จะทำใหก้ ารตดิ ต่อส่อื สารกับ หนว่ ยงานหรือองคก์ รตา่ ง ๆ ประสบ ความสำเรจ็ ๘. การเขียนเรือ่ งตามจินตนาการ ตอ้ งมีความรูเ้ ก่ยี วกับเร่ืองนั้นอย่างดี จากนน้ั จึงวางโครงเรอื่ งทส่ี นกุ และ น่าสนใจ แล้วเรียบเรียงเร่ืองโดยใช้สำนวน ภาษาทีเ่ หมาะสม เพอ่ื ให้ผูอ้ า่ นเหน็ ภาพ และเกดิ ความรูส้ ึกคลอ้ ยตามเนอื้ เรือ่ ง ทอี่ า่ น ๙. การมมี ารยาทในการเขยี นจะชว่ ยให้ การถ่ายทอดความรแู้ ละความคิดของ ผ้เู ขยี นไปส่ผู อู้ ่านมีประสิทธิภาพ และประสบผลสำเร็จ ๑๕ ฟงั ดู รสู้ นทนา... ๑. การพูดแสดงความรู้ ความเข้าใจ ๑๖ ๘ ภาษาสอ่ื สาร จุดประสงคข์ องเร่อื งทฟี่ ังและดู ตอ้ งฟงั และดเู ร่ืองนน้ั ให้ตลอด จงึ จะสามารถพูด ได้ถกู ต้อง และนำความรู้หรือขอ้ คดิ ไปใช้ ใหเ้ ป็นประโยชนไ์ ด้ ๒. การตงั้ คำถามและตอบคำถาม เชิงเหตผุ ล จากเร่ืองท่ีฟังและดู ทำให้สามารถวเิ คราะหค์ วามน่าเชือ่ ถอื เพ่อื นำความรูแ้ ละข้อคดิ ทีไ่ ดจ้ ากเรอื่ งนั้น ไปปฏบิ ัตใิ ห้เกิดประโยชน์

๗๕ หน่วย ชือ่ หน่วย มาตรฐานการเรียนร้/ู สาระสำคัญ เวลา นำ้ หนัก ท่ี ตวั ชีว้ ัด (ชัว่ โมง) คะแนน ๓. การวิเคราะห์ความนา่ เชื่อถอื จาก สอื่ โฆษณา ต้องใชข้ ้อมูลและเหตุผล ประกอบ เพือ่ จะได้เลอื กซ้ือสนิ ค้าท่ีมี คุณภาพหรือใชบ้ รกิ ารตามท่ีต้องการ อย่างคมุ้ ค่า ๔. การพูดรายงานทดี่ ีทำให้การนำเสนอ ขอ้ มลู มคี วามน่าสนใจ ผฟู้ งั ไดร้ บั ความรู้ และประโยชนจ์ ากการฟงั ๕. การพดู โน้มน้าวเปน็ การพดู จูงใจหรอื เชญิ ชวนให้ผู้ฟังเกิดความร้สู กึ คล้อยตาม หรือเกิดกำลงั ใจในการทำส่ิงใดส่ิงหนง่ึ ทเี่ กดิ ประโยชน์แกส่ ่วนรวม ๖. การมีมารยาทในการฟงั การดู และ การพดู จะทำให้รับสารและส่งสารได้ เหมาะสมกบั กาลเทศะ เป็นทชี่ ืน่ ชม ของผทู้ พ่ี บเหน็ วรรณคดี ท ๑.๑ ป.๖/๑, ป.๖/๒, รามเกยี รต์ิ เป็นวรรณคดีไทยทีม่ ีเคา้ โครง ๘ ๔ และวรรณกรรม ป.๖/๕, ป.๖/๘ เร่ืองมาจากรามายณะของอินเดยี ๖ ๓ ๑๖ บทละคร เร่อื ง เนอื้ เร่ืองเป็นการทำสงครามอนั ยดื เยือ้ รามเกยี รติ์ ท ๕.๑ ป.๖/๑, ป.๖/๓, ระหวา่ งมนษุ ย์ ลิง และยกั ษ์ ตอน ศกึ ไมยราพ ป.๖/๔ มีความสนกุ สนานต่ืนเต้นเรา้ ใจ โดยมีแกน่ สำคญั ของเรื่อง คอื ธรรมะ ๑๗ นทิ านทองอิน ท ๑.๑ ป.๖/๑, ป.๖/๒, ยอ่ มชนะอธรรม ตอน ป.๖/๓, ป.๖/๕, นทิ านทองอนิ ตอนนากพระโขนงท่สี อง นากพระโขนง ป.๖/๘ สะทอ้ นให้เหน็ การเกดิ ข่าวลือขึน้ ในสังคม ท่สี อง แมก้ ระทั่งได้เหน็ สง่ิ นนั้ ดว้ ยตาก็อาจไม่ใช่ ความจรงิ ยิ่งผรู้ ับขา่ วสารตอ้ งมี

๗๖ หน่วย ชอ่ื หนว่ ย มาตรฐานการเรียนร/ู้ สาระสำคญั เวลา น้ำหนกั ท่ี ตัวช้วี ัด (ชั่วโมง) คะแนน วจิ ารณญาณไตร่ตรอง เพ่อื ไมใ่ ห้หลงผิด ๑๘ บทเสภาเรื่อง ท ๕.๑ ป.๖/๑, ป.๖/๒, หรือตกเปน็ เหย่ือของผไู้ มห่ วังดี ๖ ๓ ขนุ ช้างขนุ แผน ป.๖/๓ บทเสภาเรือ่ ง ขนุ ชา้ งขนุ แผน ตอน เปน็ วรรณคดที ่สี ะทอ้ นความเปน็ ไทย ๔ ๒ กำเนดิ พลายงาม ท ๑.๑ ป.๖/๑, ป.๖/๒, อย่างเด่นชดั ทง้ั สภาพสังคม วิถชี วี ิต ป.๖/๕, ป.๖/๘ วัฒนธรรม ความเชอ่ื และยังสะทอ้ น ๔ ๒ ๑๙ สุภาษิตสอนหญงิ ความจริงของชีวติ ที่ตอ้ งพบกบั ความทกุ ข์ ๔ ๒ ท ๕.๑ ป.๖/๑, ป.๖/๒, ความเสยี ใจ ความพลดั พราก สิ่งเหล่าน้ี ๒๐ คำกลอนสอน ป.๖/๓, ป.๖/๔ ลว้ นเป็นคุณค่าของวรรณคดีที่ผอู้ า่ น สภุ าษติ ... จะได้รบั ใหข้ ้อคดิ สอนใจ ท ๑.๑ ป.๖/๑, ป.๖/๒, สุภาษติ สอนหญิง เป็นวรรณคดีคำสอนแก่ ป.๖/๕, ป.๖/๘ หญงิ ไทย ใหค้ ติเตอื นใจ แนวทาง ๒๑ นิทานพ้ืนบา้ น ในการประพฤติปฏิบัติตนทงั้ ทางกาย และเพลงพนื้ บ้าน ท ๕.๑ ป.๖/๑, ป.๖/๓, วาจา ใจทดี่ ีงาม สอดคล้องกับคา่ นิยม ป.๖/๔ และขนบธรรมเนยี มประเพณไี ทย ซงึ่ ยงั คงทันสมัยและใช้ได้ตลอดกาล ท ๑.๑ ป.๖/๑, ป.๖/๒, การนำข้อคิดจากคำกลอน สภุ าษิต ป.๖/๕, ป.๖/๘ ไปปฏบิ ตั ิทำใหเ้ กิดประโยชนต์ อ่ การ ดำเนินชวี ิตประจำวนั และการอยรู่ ว่ มกัน ท ๕.๑ ป.๖/๑, ป.๖/๓, ในสังคม ป. ๖/๔ การศกึ ษาคน้ คว้านิทานพ้นื บ้านและเพลง พื้นบ้านเป็นการอนรุ ักษ์และสืบทอด ท ๕.๑ ป. ๖/๒ ภูมปิ ัญญาและมรดกทางวัฒนธรรมไทย แขนงหน่ึง

๗๗ หนว่ ย ชือ่ หนว่ ย มาตรฐานการเรียนร/ู้ สาระสำคญั เวลา น้ำหนกั ท่ี ตัวชว้ี ัด (ช่ัวโมง) คะแนน การทอ่ งจำบทอาขยานเพื่อนำไปใช้อ้างองิ ๒๒ บทอาขยาน ท ๕.๑ ป. ๖/๔ และนำข้อคดิ ไปเป็นแนวทาง ๔ ๒ ในการดำเนินชวี ิต รวมระหวา่ งปี ๑๕๘ ๘๐ ปลายปี ๒ ๒๐ ๑๖๐ ๑๐๐ รวมตลอดปี

๗๘ ส่ือ/แหลง่ เรยี นรู้ สื่อการเรียนรู้เป็นเครื่องมือส่งเสริมสนับสนุนการจัดการกระบวนการเรียนรู้ ให้ผู้เรียนเข้าถึง ความรู้ทักษะกระบวนการ และคุณลักษณะตามมาตรฐานของหลักสูตรได้อย่างมีประสิทธิภาพ สื่อการ เรียนรู้ มีหลากหลายประเภท ท้ังส่อื ธรรมชาติ สอื่ สงิ่ พมิ พ์ ส่อื เทคโนโลยี และเครอื ข่ายการเรียนรู้ต่าง ๆ ท่ีมี ในท้องถิ่นการเลือกใชส้ ่ือควรเลือกให้มีความเหมาะสมกบั ระดบั พฒั นาการ และลีลาการเรยี นรทู้ ห่ี ลากหลาย ของผ้เู รียนการจัดหาส่อื การเรียนรู้ ผเู้ รียนและผู้สอนสามารถจัดทำและพัฒนาขนึ้ เอง หรอื ปรับปรุงเลือกใช้ อย่างมคี ุณภาพจากส่ือต่าง ๆ ทีม่ ีอยูร่ อบตวั เพอื่ นำมาใชป้ ระกอบในการจดั การเรียนรู้ท่ีสามารถสง่ เสริมและ สื่อสารให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ โดยสถานศึกษาควรจัดให้มีอย่างพอเพียง เพื่อพัฒนาให้ผู้เรียน เกิดการ เรียนรู้อย่างแท้จริงสถานศึกษาเขตพื้นที่การศึกษา หน่วยงานที่เกี่ยวข้องและผู้มีหน้าที่จัดการศึกษา ข้ันพน้ื ฐาน ควรดำเนินการดังน้ี ๑. จัดให้มีแหล่งการเรียนรู้ ศูนย์สื่อการเรียนรู้ ระบบสารสนเทศการเรียนรู้ และเครือข่าย การเรียนรู้ที่มีประสิทธิภาพทั้งในสถานศึกษาและในชุมชน เพื่อการศึกษาค้นคว้าและการแลกเปลี่ยน ประสบการณ์การเรียนร้รู ะหวา่ งสถานศกึ ษา ท้องถิน่ ชุมชน สังคมโลก ๒. จัดทำและจัดหาสื่อการเรียนรู้สำหรับการศึกษาค้นคว้าของผู้เรียน เสริมความรู้ให้ผู้สอน รวมทั้งจดั หาสิง่ ทมี่ อี ยู่ในทอ้ งถิน่ มาประยกุ ต์ใช้เปน็ สือ่ การเรียนรู้ ๓. เลือกและใช้สื่อการเรียนรู้ที่มีคุณภาพ มีความเหมาะสม มีความหลากหลาย สอดคล้องกับ วธิ กี ารเรยี นรู้ ธรรมชาติของสาระการเรียนรู้ และความแตกต่างระหว่างบคุ คลของผ้เู รยี น ๔. ประเมินคุณภาพของสอื่ การเรยี นรทู้ เี่ ลือกใช้อยา่ งเป็นระบบ ๕. ศกึ ษาคน้ ควา้ วจิ ยั เพอื่ พัฒนาส่ือการเรียนร้ใู หส้ อดคลอ้ งกบั กระบวนการเรยี นรขู้ องผูเ้ รยี น ๖. จัดให้มีการกำกับ ติดตาม ประเมินคุณภาพและประสิทธภิ าพเก่ียวกับสื่อและการใช้สื่อการ เรยี นร้เู ปน็ ระยะ ๆ และสม่ำเสมอ ในการจดั ทำการเลือกใช้ และการประเมินคุณภาพส่ือการเรียนรูท้ ี่ใช้ในสถานศึกษาควรคำนึงถึง หลักการสำคัญของสื่อการเรยี นรู้ เช่น ความสอดคล้องกับหลักสูตร วัตถุประสงค์การเรยี นรู้ การออกแบบ กจิ กรรมการเรียนรู้ การจัดประสบการณ์ให้ผ้เู รยี น เนอ้ื หามคี วามถกู ต้องและทันสมัย ไมก่ ระทบความมั่นคง ของชาติ ไม่ขดั ต่อศลี ธรรม มกี ารใช้ภาษาทถ่ี กู ต้อง รปู แบบการนําเสนอที่เขา้ ใจง่าย และน่าสนใจ

๗๙ การวัดและประเมินผลการเรยี นรู้ คะแนน ๘๐ อัตราสว่ นคะแนน ๗๐ คะแนนระหวา่ งปีการศกึ ษา : สอบปลายปกี ารศึกษา = ๘๐ : ๒๐ ๑๐ ๒๐ รายการวัด ๑๐๐ ➢ ระหว่างภาค มีการวดั และประเมินผล ดังน้ี ๑. คะแนนระหว่างปีการศึกษา ๑.๑ วัดโดยใช้แบบทดสอบ ๑.๒ วัดทกั ษะ/กระบวนการ/สมรรถนะ (เลอื กวัดตามแผนการจดั การเรียนร้)ู ๑.๒.๑ ภาระงานที่มอบหมาย - การทำใบงาน/แบบฝกึ หัด/สมดุ งาน - การศกึ ษาค้นควา้ /การนำเสนองาน - การร่วมกิจกรรมการเรียนรู้ ๑.๒.๒ ทักษะการสอื่ สารทางภาษาไทย และสมรรถนะสำคัญของผเู้ รียน - การอ่าน - การเขยี น - การฟัง ดู พดู ๑.๓ วัดคุณลักษณะอันพงึ ประสงค์ ๒. คะแนนสอบกลางปีการศกึ ษา วดั และประเมินผลโดยใช้แบบทดสอบ ➢ คะแนนสอบปลายปกี ารศกึ ษา มวี ัดและประเมนิ ผลโดยใช้แบบทดสอบ รวม เกณฑ์การวัดผลประเมินผล ๑. การวดั และประเมนิ ผลโดยใช้แบบทดสอบ ๑.๑ เกณฑ์ให้คะแนนแบบทดสอบแบบเลือกตอบ พิจารณาจากความถูกผิดของการ เลอื กตอบ ตอบถกู ให้ ๑ คะแนน ตอบผิดให้ ๐ คะแนน ๑.๒ เกณฑใ์ หค้ ะแนนแบบทดสอบแบบถกู ผิด พจิ ารณาจากความถกู ผดิ ของคาํ ตอบ ตอบ ถกู ให้ ๑ คะแนน ตอบผิดให้ ๐ คะแนน

๘๐ ๑.๓ เกณฑ์ให้คะแนนแบบทดสอบแบบเติมคํา พิจารณาจากความถูกผิดของคําตอบ ตอบ ถกู ให้ ๑ คะแนน ตอบผดิ ให้ ๐ คะแนน ๑.๔ เกณฑ์การใหค้ ะแนนแบบทดสอบแบบเขยี นตอบ พิจารณาจากคำตอบในภาพรวม ท้งั หมด โดยกำหนดระดับคะแนนเป็น ๕ ระดบั ดังน้ี ระดบั คะแนน เกณฑ์การใหค้ ะแนน ๔ ตอบไดถ้ กู ต้อง สามารถอธิบายเหตุผลไดช้ ัดเจน พร้อมแสดงแนวคิดเชิงเปรียบเทียบ ๓ ตอบไดถ้ ูกตอ้ ง สามารถอธิบายเหตุผลได้อยา่ งชดั เจน ๒ ตอบได้ถูกตอ้ ง สามารถอธบิ ายเหตุผลไดเ้ ปน็ บางสว่ น แตย่ ังไม่อย่างชัดเจน ๑ ตอบได้ถูกต้อง แต่ไมส่ ามารถอธบิ ายเหตุผลได้ ๐ ตอบไม่ถูกตอ้ ง และไมส่ ามารถอธิบายเหตุผลได้ ๒. การวดั และประเมินผลด้านทักษะ/กระบวนการ/สมรรถนะ ๒.๑ ภาระงานทม่ี อบหมาย ไดแ้ ก่ ใบงาน/แบบฝึกหดั /แบบฝกึ ทักษะ กำนดเกณฑ์การ ประเมนิ ผลการทำใบงาน/แบบฝกึ หัด/แบบฝึกทักษะ เป็น ๔ ระดบั ดังนี้ ระดบั คณุ ภาพ เกณฑก์ ารใหค้ ะแนน ๔ - ทำใบงาน/แบบฝึกหัด/แบบฝกึ ทักษะครบถ้วนและเสรจ็ ตามกําหนดเวลา - ทำใบงาน/แบบฝึกหดั /แบบฝึกทักษะไดถ้ กู ตอ้ ง (ดีมาก) - แสดงลำดบั ขั้นตอนของการทำใบงาน/แบบฝกึ หัด/แบบฝกึ ทกั ษะชัดเจนเหมาะสม - ทำใบงาน/แบบฝึกหดั /แบบฝกึ ทกั ษะครบถ้วนและเสร็จตามกําหนดเวลา ๓ - ทำใบงาน/แบบฝึกหดั /แบบฝกึ ทักษะได้ถกู ต้อง (ดี) - สลบั ข้นั ตอนของการทำใบงาน/แบบฝกึ หัด/แบบฝกึ ทักษะ หรือไมร่ ะบขุ น้ั ตอนของ การทำใบงาน/แบบฝกึ หัด/แบบฝึกทกั ษะ ๒ - ทำใบงาน/แบบฝึกหดั /แบบฝกึ ทักษะครบถว้ น แตเ่ สรจ็ หลังกําหนดเวลาเลก็ น้อย (พอใช้) - ทำใบงาน/แบบฝกึ หดั /แบบฝกึ ทักษะข้อไม่ถกู ตอ้ ง - สลับขน้ั ตอนของการทำใบงาน/แบบฝึกหดั /แบบฝกึ ทกั ษะ หรอื ไมร่ ะบขุ น้ั ตอนของ ๑ การทำใบงาน/แบบฝกึ หดั /แบบฝกึ ทกั ษะ (ปรบั ปรงุ ) - ทำใบงาน/แบบฝึกหัด/แบบฝกึ ทักษะไมค่ รบถ้วน หรือไม่เสร็จตามกาํ หนดเวลาเล็ก - ทำใบงาน/แบบฝกึ หดั /แบบฝึกทักษะไม่ถกู ตอ้ ง - แสดงลำดับขั้นตอนของการทำใบงาน/แบบฝึกหัด/แบบฝึกทกั ษะไมส่ มั พนั ธ์กับโจทย์ หรอื ไม่แสดงลำดับขัน้ ตอน

๘๑ ๒.๒ ทกั ษะการสือ่ สารทางภาษาไทย และสมรรถนะสำคัญของผู้เรียน (๑) การวัดผลและประเมินการเรียนรดู้ ้านภาษา การวัดผลและประเมินการเรียนรู้ด้านภาษาเป็นงานที่ยากซึ่งต้องการความเข้าใจที่ ถูกต้องเกี่ยวกับการพัฒนาทางภาษา ดังนั้นผู้ปฏิบัติหน้าที่วัดผลการเรียนรู้ด้านภาษาจำเป็นต้องเข้าใจ หลกั การของการเรยี นรู้ภาษาไทย เพ่ือเป็นพ้นื ฐานการดาํ เนินงาน ดงั น้ี (๑.๑) ทักษะทางภาษาทัง้ การฟัง การดู การพดู การอา่ น และการเขยี นมีความสำคัญ เท่า ๆ กันและทักษะเหล่านี้จะบูรณาการกันในการเรียนการสอนจะไม่แยกฝึกทักษะทีละอยา่ งจะต้องฝึก ทักษะไปพรอ้ ม ๆ กัน และทกั ษะทางภาษาทักษะหน่ึงจะสง่ ผลต่อการพัฒนาทกั ษะทางภาษาอนื่ ๆ ดวั ย (๑.๒) ผู้เรียนต้องได้รับการพัฒนาความสามารถทางภาษาพร้อมกับการพัฒนา ความคิดเพราะภาษาเปน็ สื่อของความคิด ผู้ที่มีทักษะและความสามารถในการใช้ภาษาจะช่วยให้ผ้เู รียนมี ความสามารถในการคิดด้วยขณะเดียวกันการเรียนภาษาจะเรียนร่วมกันกับผู้อื่น มีการติดต่อสื่อสาร ใช้ ภาษาในการตดิ ตอ่ กบั เพอื่ น กับครู จงึ เป็นการฝึกทกั ษะทางสงั คมดว้ ย เม่ือผเู้ รยี นไดใ้ ชภ้ าษาในสถานการณ์ จริงทัง้ ในบริบททางวชิ าการในห้องเรียนและในชมุ ชน จะทำให้ผู้เรยี นได้ใช้ภาษาและได้ฝึกทักษะทางสังคม ในสถานการณ์จริง (๑.๓) ผูเ้ รยี นตอ้ งเรยี นร้กู ารใชภ้ าษาพูดและภาษาเขียนอย่างถูกตอ้ งดว้ ยการฝึกการใช้ ภาษามิใช่เรียนรู้กฎเกณฑ์ทางภาษาแต่เพียงอย่างเดียว การเรียนภาษาจะต้องเรียนรู้ไวยากรณ์หรือหลกั ภาษาการสะกดคาํ การใช้เครื่องหมายวรรคตอน และนาํ ความรดู้ งั กล่าวไปใช้ในการฝึกฝนการเขียนพัฒนา ทกั ษะทางภาษาของตน (๑.๔) ผู้เรียนทุกคนจะได้รับการพัฒนาทักษะทางภาษาเท่ากัน แต่การพัฒนาทาง ภาษาจะไมเ่ ท่ากัน และวธิ ีการเรยี นรูจ้ ะตา่ งกนั (๑.๕) ภาษากับวัฒนธรรมมีความสัมพันธ์กันอย่างใกล้ชิด หลักสูตรจะต้องให้ ความสำคัญและใช้ความเคารพและเห็นคณุ ค่าของเชือ้ ชาติ จัดกิจกรรมภมู ิหลังของภาษาและการใช้ภาษา ถิ่นของผู้เรียนและช่วยให้ผูเ้ รียนพัฒนาภาษาไทยของตน และพัฒนาความรู้สึกที่ดีเกี่ยวกับภาษาไทยและ กระตนุ้ ใหผ้ ูเ้ รียนสามารถเรียนภาษาไทยด้วยความสุข (๑.๖) ภาษาไทยเป็นเครื่องมือของการเรียนรู้ และทุกกลุ่มสาระการเรียนรู้จะต้องใช้ ภาษาไทยเปน็ เครอ่ื งมอื การสอ่ื สารและการแสวงหาความรู้ การเรียนทกุ กลุม่ สาระการเรียนรู้จะใชภ้ าษาไทย คิดวิเคราะห์ การคิดสร้างสรรค์ การอภิปราย การเขียน รายงาน การเขียนโครงการ การตอบคําถามการ ตอบขอ้ ทดสอบ ดงั น้นั ครูทุกคนไม่ว่าจะสอนวชิ าใดก็ตามจะตอ้ งใชภ้ าษาที่เป็นแบบแผน เป็นตัวอยา่ งทดี่ ีแก่ นักเรียน และตอ้ งสอนการใช้ภาษาแกผ่ ู้เรียนด้วยเสมอ

๘๒ (๒) วธิ กี ารเก็บรวบรวมขอ้ มลู ผลการเรียนของผู้เรียน วิธีการเก็บรวบรวมข้อมูลที่ถูกนำมาใช้ในการประเมินโดยทั่วไป ได้แก่ การสังเกต การตรวจงานหรอื ผลงาน การทดสอบความรู้ การตรวจสอบการปฏิบัติ และการแสดงออกอย่างไรกต็ าม มี การนาํ เสนอแนวทางการเก็บรวบรวมข้อมลู โดยพจิ ารณาจากเปาู ประสงค์ของการประเมินท่ีเฉพาะเจาะจง ในรายละเอียด เพื่อข้อมูลที่ได้จะสามารถนำมาใช้ประโยชน์ต่อการปรับปรุงพัฒนากระบวนการเรียนรู้ได้ อยา่ งแท้จรงิ ดงั น้ี (๒.๑) การให้ตอบแบบทดสอบ ทั้งในลักษณะทีเ่ ป็นแบบเลือกคําตอบ ได้แก่ ข้อสอบ แบบเลอื กตอบ ถกู -ผดิ จับคู่ และข้อสอบชนดิ ให้ผู้สอบสร้างคําตอบ ได้แก่ เตมิ ข้อความในช่องว่างคําตอบ สั้นเป็นประโยค เป็นข้อความ แผนภูมิการเก็บรวบรวมข้อมูลโดยวีการนี้เหมาะกับการวัดความรู้เกี่ยวกบั ข้อเท็จจริง ความรู้เก่ียวกบั กระบวนการ ซึ่งมีข้อดีที่ใช้เวลาในการดำเนนิ การน้อย ง่าย และสะดวกตอ่ การ นําไปใช้ใหผ้ ลการประเมนิ ทตี่ รงไปตรงมา เนื่องจากมเี กณฑ์การประเมนิ ชัดเจน แต่ไม่เหมาะกบั การนําไปใช้ กบั ผลการเรยี นรู้ท่เี ป็นเจตคตคิ ่านยิ ม (๒.๒) การพิจารณาจากผลงาน เช่น เรียงความ รายงานการวิจัย บันทึกประจำวัน รายงานการทดลอง บทละครบทรอ้ ยกรอง แฟมู ผลงาน เปน็ ตน้ ผลงานจะเปน็ ตวั แสดงให้เหน็ การนาํ ความรู้ และทักษะไปใช้ในการปฏิบัตงิ านของผู้เรยี น จุดเด่นของการประเมินโดยดจู ากผลงานนี้คอื จะแสดงใหเ้ ห็น สิ่งที่นักเรียนสามารถทำได้ มีการกำหนดเกณฑ์การประเมิน เพื่อให้ผู้เรียนสามารถประเมินตนเองได้ เพ่ือ การปรับปรุงพัฒนาตนเองของผู้เรียน เพื่อนก็สามารถใช้เกณฑ์ในการประเมินผลงานของผู้เรยี นได้เชน่ กนั จุดด่อนของการประเมินจากผลงาน คือ ต้องมีการกำหนดเกณฑ์การประเมินร่วมกัน ต้องใช้เวลาในการ ประเมนิ มาก รวมทง้ั ตัวแปรภายนอกอาจเขา้ มามีอิทธิพลตอ่ การประเมินได้ง่าย (๒.๓) พิจารณาการปฏิบัติ โดยผู้สอนสามารถสังเกตการณ์นําทักษะและความรู้ไป ใช้ไดโ้ ดยตรงในสถานการณ์ท่ีให้ปฏิบัติจริง วธิ ีการน้ถี ูกนําไปใช้อย่างกว้างขวางในการประเมินมีคุณค่ามาก หากผู้เรียนได้นําไปใช้ในการประเมินตนเองเพื่อสร้างแรงจูงใจในการปรับปรุงพัฒนาตนเองให้ดีขึ้น ใน กระบวนการประเมนิ จะมเี คร่อื งมอื ประกอบการดำเนินการคือ แบบสาํ รวจรายการ ประมาณค่า และเกณฑ์ การให้ระดับคะแนน (scoring rubric) (๒.๔) พจิ ารณากระบวนการ วธิ ีการนจี้ ะใหข้ อ้ มูลเกยี่ วกับวธิ ีการเรยี นรู้ กระบวนการ คิดของผู้เรยี นมากกว่าท่ีจะดูผลงานหรือการปฏิบัติ ซึ่งจะทำให้เขา้ ใจกระบวนการคิดที่ผู้เรยี นใช้ วิธีการที่ ครูผู้สอนใช้อยู่เป็นประจำในกระบวนการเรียนการสอน คือ การให้นักเรียนคิดดัง ๆ การตั้งคําถามให้ นกั เรียนตอบ โดยครูจะเปน็ ผสู้ ังเกตวิธีการคิดของผู้เรียน วิธกี ารเช่นนี้เป็นกระบวนการทีจ่ ะใหข้ อ้ มูลเพ่ือการวนิ ิจฉัย และเป็นข้อมูลย้อนกลับแก่ ผู้เรียน โดยการเก็บรวบรวมข้อมูลอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเหมาะกับการประเมินพัฒนาการด้านคุณธรรม จริยธรรม และลักษณะนิสัยจากแนวทางการเก็บรวบรวมข้อมูลเพื่อการประเมินผลการเรียนรู้ดังกล่าว

๘๓ ข้างต้นสามารถนํามาพิจารณา กำหนดแนวทางการเก็บรวบรวมข้อมูล ทักษะทางภาษาได้โดยการสังเกต ผ่านพฤติกรรมการปฏิบัตติ ่าง ๆ ของผู้เรียน เช่น การเล่าเรื่อง การให้คําชี้แจง การเล่าประสบการณ์ การ รว่ มกิจกรรมต่าง ๆ การปฏิสมั พันธก์ บั กลุ่มหรือบุคคล หากผลการเรียนรู้ทต่ี ้องการจากการเรียนคือความรู้ ความคดิ เกีย่ วกับกฎเกณฑข์ องภาษา การใช้ภาษา วิธีการเก็บรวบรวมข้อมูลเพื่อการประเมินที่เหมาะสม คือ การใช้ข้อสอบซึ่งอาจเป็น แบบเลือกตอบ หรอื ใหส้ รา้ งคําตอบการประเมนิ ด้วยการกำหนดประเด็นการประเมินท่ี แจกแจงระดับการ ปฏิบัติ (Rubric) ซึ่งเป็นเครื่องมือประเมินผลการเรียนรู้ที่กําลังได้รับการยอมรับและถูกนำมาใช้ในการ ประเมินผลการเรียนอย่างกว้างขวาง เนอื่ งจากผลการประเมนิ ทีไ่ ด้มีคณุ ค่าต่อการปรบั ปรุงพฒั นาการเรยี นรู้ ของผู้เรียนมากกว่าตัวเลขคะแนน และมีประสิทธิภาพสำหรับการประเมินการปฏิบัติหรือผลงานที่ไม่มี คําตอบถูกเพียงคําตอบเดียว หรือการแก้ปัญหาทางเดียว แต่จะมีคําตอบที่หลากหลายการตัดสินผลการ ประเมินจำเป็นต้องมีเกณฑ์การประเมินที่แสดงระดับคุณภาพที่ต้องการการประเมินความสามารถหรือ ทักษะทางภาษา เครื่องมอื ประเภทน้นี ่าจะเปน็ เครือ่ งมือที่สามารถนําไปใชไ้ ด้อย่างสอดคล้อง แต่เน่ืองจาก สร้างยากแต่หากสามารถพฒั นาข้นึ ใช้ได้ จะช่วยให้ผลการประเมนิ เท่ยี งตรง เช่ือถือได้ และยตุ ิธรรม รวมทั้ง มีคุณค่าต่อการปรับปรุงและพัฒนาตนเองของผู้เรียน เนื่องจากระบุความคาดหวังของการปฏบิ ัติไว้อย่าง ชัดเจน

๘๔ (๓) การประเมินผลสมรรถนะสำคัญของผูเ้ รยี น การประเมินผลสมรรถนะสำคัญของผู้เรียน ประเมินโดยใช้แบบประเมินสมรรถนะ สำคัญของผู้เรยี น โดยกำหนดเกณฑ์ในการประเมิน ดงั น้ี ระดบั คุณภาพ เกณฑก์ ารให้คะแนน (๓) ผู้เรียนปฏบิ ตั ติ นตามสมรรถนะจนเปน็ นิสยั และนําไปใชใ้ นชวี ิตประจำวนั เพื่อ ดีเย่ียม ประโยชนส์ ุขของตนเองและสงั คม โดยพจิ ารณาจากผลการประเมนิ ระดบั ดเี ย่ยี ม จำนวน ๓-๕ สมรรถนะ และไมม่ สี มรรถนะใดไดผ้ ลการประเมนิ ต่ำกวา่ ระดับดี (๒) ผเู้ รียนมีสมรรถนะในการปฏบิ ตั ิตามกฎเกณฑ์ เพอื่ ใหเ้ ปน็ การยอมรบั ของสังคม พจิ ารณา ดี จาก (๑) ๑. ไดผ้ ลการประเมินระดับดีเยี่ยม จำนวน ๑-๒ สมรรถนะ และไมม่ ี พอใช้ สมรรถนะใดไดผ้ ลการประเมินต่ำกวา่ ระดับดี หรือ (๐) ปรบั ปรงุ ๒. ไดผ้ ลการประเมินระดับดีเยีย่ ม จำนวน ๒ สมรรถนะ และไม่มี สมรรถนะใดไดผ้ ลการประเมนิ ตำ่ กวา่ ระดบั ผา่ น หรอื ๓. ได้ผลการประเมินระดับดี จำนวน ๔-๕ สมรรถนะ และไมม่ ี สมรรถนะใดได้ผลการประเมินตำ่ กว่าระดับผ่าน ผู้เรียนรับรู้และปฏบิ ัติตามกฎเกณฑ์และเงอื่ นไขที่สถานศึกษากำหนด พจิ ารณาจาก ๑. ไดผ้ ลการประเมินระดบั ผ่าน จำนวน ๔-๕ สมรรถนะ และไม่มีสมรรถนะ ใดได้ผลการประเมินต่ำกว่าระดับผ่าน หรือ ๒. ได้ผลการประเมินระดับดี จำนวน ๒ สมรรถนะ และไมม่ สี มรรถนะใด ได้ผลการประเมนิ ตำ่ กว่าระดับผา่ น ผู้เรียนรับรแู้ ละปฏิบัติไดไ้ มค่ รบตามเกณฑแ์ ละเง่ือนไขท่ีกำหนด โดยพิจารณา จากผลการประเมินระดบั ตอ้ งปรับปรงุ ตงั้ แต่ ๑ สมรรถนะ เกณฑ์การใหค้ ะแนน พฤตกิ รรมที่ปฏบิ ตั สิ ม่ำเสมอ ให้ ๓ คะแนน พฤติกรรมท่ปี ฏบิ ตั ิบ่อยครงั้ ให้ ๒ คะแนน พฤตกิ รรมท่ีปฏบิ ัติบางครงั้ ให้ ๑ คะแนน พฤตกิ รรมที่ปฏิบตั ินอ้ ยครงั้ ให้ ๐ คะแนน

เกณฑ์การตัดสินคุณภาพ ๘๕ ช่วงคะแนน ระดบั คุณภาพ ๑๓-๑๕ ดเี ยี่ยม (๓) ๙-๑๒ ๕-๘ ดี (๒) ตำ่ กวา่ ๕ ผา่ น (๑) ไม่ผ่าน (๐)

๘๖ แบบประเมนิ สมรรถนะสำคัญของผ้เู รียน ชื่อ................................................นามสกลุ ................................................เลขท.่ี .............ช้ัน................. คำช้แี จง : ให้ผสู้ อนสงั เกตพฤตกิ รรมของนักเรียน และขดี  ลงในช่องที่ตรงกบั คะแนน ระดบั คณุ ภาพ สมรรถนะด้าน รายการประเมิน ดีเย่ยี ม ดี ผา่ น ไมผ่ ่าน ๑. ความสามารถ ในการสื่อสาร (๓) (๒) (๑) (๐) ๒. ความสามารถ ๑.๑ มคี วามสามารถในการรบั -สง่ สาร ในการคิด ๑.๒ มีความสามารถในการถา่ ยทอดความรู้ ความคิด ๓. ความสามารถ ในการแกป้ ัญหา ความเข้าใจของตนเอง โดยใชภ้ าษาอยา่ งเหมาะสม ๑.๓ ใชว้ ิธีการสอื่ สารที่เหมาะสม มีประสทิ ธภิ าพ ๑.๔ เจรจาตอ่ รองเพอ่ื ขจดั และลดปญั หาความขัดแย้งต่าง ๆ ได้ ๑.๕เลือกรับและไมร่ ับข้อมลู ขา่ วสารด้วยเหตุผลและถกู ต้อง สรปุ ผลการประเมนิ รวม .......... คะแนน ระดับ ............... ๒.๑ มีความสามารถในการคิดวิเคราะห์ สงั เคราะห์ ๒.๒ มีทักษะในการคดิ นอกกรอบอยา่ งสร้างสรรค์ ๒.๓ สามารถคิดอย่างมีวจิ ารณญาณ ๒.๔ มีความสามารถในการสร้างองค์ความรู้ ๒.๕ ตัดสนิ ใจแก้ปญั หาเก่ยี วกบั ตนเองได้อยา่ งเหมาะสม สรุปผลการประเมนิ รวม .......... คะแนน ระดับ ............... ๓.๑ สามารถแก้ปญั หาและอุปสรรคต่าง ๆ ท่ีเผชิญได้ ๓.๒ ใชเ้ หตุผลในการแก้ปญั หา ๓.๓ เข้าใจความสมั พันธแ์ ละการเปลยี่ นแปลงในสังคม ๓.๔ แสวงหาความรู้ ประยุกตค์ วามรู้มาใช้ในการปอู งกนั และ แกไ้ ขปญั หา ๓.๕ สามารติดสินใจไดเ้ หมาะสมตามวัย สรปุ ผลการประเมิน รวม .......... คะแนน ระดบั ...............

๘๗ ระดบั คณุ ภาพ สมรรถนะดา้ น รายการประเมิน ดเี ย่ียม ดี ผ่าน ไม่ผา่ น (๓) (๒) (๑) (๐) ๔. ความสามารถ ๔.๑ เรียนรู้ด้วยตนเองไดเ้ หมาะสมตามวัย ในการใช้ ๔.๒ สามารถทำงานกลุ่มรว่ มกบั ผ้อู ื่นได้ ทกั ษะชีวิต ๔.๓ นําความรูท้ ไ่ี ด้ไปใช้ประโยชน์ในชวี ิตประจำวัน ๔.๔ จัดการปัญหาและความขัดแยง้ ไดเ้ หมาะสม ๔.๕ หลีกเลี่ยงพฤตกิ รรมไม่พึงประสงค์ทส่ี ่งผลกระทบต่อตนเอง สรปุ ผลการประเมนิ รวม .......... คะแนน ระดบั ............... ๕. ความสามารถ ๕.๑ เลือกและใช้เทคโนโลยีได้เหมาะสมตามวัย ในการใช้ ๕.๒ มีทักษะกระบวนการทางเทคโนโลยี เทคโนโลยี ๕.๓ สามารถนาํ เทคโนโลยไี ปใช้พัฒนาตนเอง ๕.๔ ใชเ้ ทคโนโลยใี นการแกป้ ัญหาอย่างสรา้ งสรรค์ ๕.๕ มีคณุ ธรรม จรยิ ธรรมในการใชเ้ ทคโนโลยี สรปุ ผลการประเมิน รวม .......... คะแนน ระดบั ............... ระดับคุณภาพตามเกณฑ์การประเมินในหลกั สูตรรายชนั้ ลงชื่อ................................................................ผู้ประเมนิ

๘๘ ๓. คณุ ลกั ษณะอันพึงประสงค์ การประเมินผลคุณลักษณะอันพึงประสงค์ ประเมินโดยใช้แบบประเมินคุณลักษณะ อันพึงประสงค์ กำหนดเกณฑ์ในการประเมิน ดงั นี้ ระดบั คณุ ภาพ เกณฑ์การให้คะแนน (๓) ผเู้ รยี นปฏิบัติตนตามคณุ ลักษณะจนเป็นนิสยั และนาํ ไปใช้ในชีวติ ประจำวันเพื่อประโยชนส์ ุข ดีเยีย่ ม ของตนเองและสังคม โดยพิจารณาจากผลการประเมนิ ทั้ง ๘ คุณลกั ษณะ คือ ไดร้ ะดบั ๓ จำนวน ๕-๘ คุณลกั ษณะ และไม่มคี ุณลักษณะใดไดผ้ ลการประเมนิ ต่ำกวา่ ระดับ ๒ ผเู้ รยี นมีคุณลักษณะในการปฏบิ ัติตามกฎเกณฑ์ เพอ่ื ให้เปน็ การยอมรับของสงั คม พิจารณาจาก ๑. ได้ผลการประเมิน ระดบั ๓ จำนวน ๑-๔ คณุ ลักษณะ และไมม่ ีคณุ ลักษณะใด (๒) ไดผ้ ลการประเมินตำ่ กวา่ ระดับ ๒ หรือ ดี ๒. ไดผ้ ลการประเมนิ ระดบั ๓ จำนวน ๔ คุณลกั ษณะ และไมม่ ีคุณลักษณะใด ได้ผลการประเมินตำ่ กวา่ ระดบั ๑ หรือ ๓. ได้ผลการประเมิน ระดับ ๒ จำนวน ๕-๘ คุณลักษณะ และไมม่ คี ณุ ลกั ษณะใด ได้ผลการประเมนิ ต่ำกวา่ ระดับ ๑ ผเู้ รยี นรับรแู้ ละปฏิบตั ิตามกฎเกณฑ์ และเงอ่ื นไขท่ีสถานศึกษากำหนด พิจารณาจาก (๑) ๑. ได้ผลการประเมนิ ระดับ ๑ จำนวน คุณลกั ษณะ และไม่มคี ุณลกั ษณะใด ผ่าน ไดผ้ ลการประเมนิ ต่ำกวา่ ระดบั ๑ หรือ ๒. ได้ผลการประเมนิ ระดับ ๒ จำนวน ๔ คุณลักษณะ และไมม่ ีคุณลกั ษณะใด ไดผ้ ลการประเมนิ ตำ่ กวา่ ระดบั ๑ (๐) ผเู้ รยี นรบั รู้และปฏบิ ัติไดไ้ มค่ รบตามเกณฑแ์ ละเง่ือนไขทีก่ ำหนด โดยพจิ ารณาจาก ไม่ผ่าน ผลการประเมนิ ระดบั ๐ ตงั้ แต่ ๑ คณุ ลกั ษณะขน้ึ ไป เกณฑก์ ารให้คะแนน พฤติกรรมทีป่ ฏบิ ตั ิสม่ำเสมอ ให้ ๓ คะแนน พฤตกิ รรมที่ปฏิบัตบิ ่อยครัง้ ให้ ๒ คะแนน พฤตกิ รรมท่ปี ฏิบัตบิ างคร้งั ให้ ๑ คะแนน พฤตกิ รรมทป่ี ฏิบตั ิน้อยครั้ง ให้ ๐ คะแนน

๘๙ แบบประเมนิ คณุ ลกั ษณะทพี่ ึงประสงค์ ช่อื ................................................นามสกุล................................................เลขท่.ี .............ชัน้ ................. คำชี้แจง : ใหผ้ ู้สอนสังเกตพฤตกิ รรมของนกั เรียน และขีด  ลงในช่องทต่ี รงกบั คะแนน คณุ ลกั ษณะ รายการระเมิน ระดับคุณภาพ ไมผ่ า่ น ดเี ยี่ยม ดี ผ่าน (๐) (๓) (๒) (๑) ๑. รกั ชาติ ศาสน์ ๑.๑ ยืนตรงเคารพธงชาติ และรอ้ งเพลงชาติได้ กษัตริย์ ๑.๒ เขา้ รว่ มกจิ กรรมทส่ี รา้ งความสามัคคี และเปน็ ประโยชนต์ ่อโรงเรียน ๑.๓ เข้าร่วมกิจกรรมทางศาสนาทตี่ นนบั ถอื ปฏบิ ตั ติ ามหลกั ศาสนา ๑.๔ เข้าร่วมกจิ กรรมท่ีเกยี่ วกบั สถาบนั พระมหากษตั ริย์ตามท่ีโรงเรยี นจัดขึ้น ๒. ซ่ือสัตย์ สุจริต ๒.๑ ให้ขอ้ มูลทถ่ี กู ตอ้ ง และเปน็ จริง ๒.๒ ปฏบิ ตั ใิ นสิง่ ทถ่ี ูกตอ้ ง ๓. มีวนิ ยั ๓.๑ ปฏิบัตติ ามข้อตกลง กฎเกณฑ์ ระเบยี บ รบั ผดิ ชอบ ขอ้ บังคบั ของโรงเรยี น ๓.๒ มคี วามตรงตอ่ เวลาในการปฏบิ ตั ิกิจกรรม ตา่ ง ๆ ในชวี ิตประจำวัน ๔. ใฝเ่ รียนรู้ ๔.๑ รู้ จักใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์ และนำไป ปฏิบตั ไิ ด้ ๔.๒ รจู้ กั จัดสรรเวลาให้เหมาะสม ๔.๓ เชือ่ ฟังคำสงั่ สอนของบิดา-มารดา ครู ๔.๔ ต้ังใจเรยี น ๕. อยู่อยา่ ง ๕.๑ ใช้ทรพั ย์สินและสิ่งของของโรงเรยี นอยา่ ง พอเพยี ง ประหยัด ๕.๒ ใช้อุปกรณก์ ารเรยี นอย่างประหยดั และรู้คณุ ค่า ๕.๓ ใชจ้ ่ายอย่างประหยดั และมีการเก็บออมเงิน

๙๐ คุณลกั ษณะ รายการระเมนิ ระดับคณุ ภาพ ดีเยี่ยม ดี ผา่ น ไมผ่ า่ น (๓) (๒) (๑) (๐) ๖. มงุ่ มัน้ ในการ ๖.๑ มีความตั้งใจและพยายามในการทำงาน ทำงาน ท่ไี ด้รบั มอบหมาย ๖.๒ มีความอดทนและไม่ท้อแทต้ อ่ อุปสรรค เพื่อใหง้ านสำเร็จ ๗. รกั ความเป็น ๗.๑ มีจิตสำนึกในการอนรุ ักษ์วัฒนธรรม ไทย และภมู ิปัญญาไทย ๗.๒ เหน็ คุณค่าและปฏิบตั ติ นตามวัฒนธรรมไทย ๘. มีจติ ๘.๑ รจู้ ักชว่ ยพอ่ แม่ ผปู้ กครอง และครูทำงาน สาธารณะ ๘.๒ รจู้ ักการดูแลรักษาทรพั ย์สมบตั ิและ สิ่งแวดลอ้ มของหอ้ งเรยี นและโรงเรยี น ระดบั คณุ ภาพตามเกณฑ์การประเมินในหลักสูตรรายชั้น ลงชอ่ื ................................................................ผ้ปู ระเมิน

๙๑ ๔. เกณฑก์ ารตัดสินผลการเรยี น ๔.๑ เกณฑ์การตัดสนิ ระดบั ผลการเรียน ระดับผลการเรียน ความหมาย ช่วงคะแนน ๔ ผลการเรียนดเี ยี่ยม ๘๐ - ๑๐๐ ๓.๕ ผลการเรียนดมี าก ๗๕ - ๗๙ ๓ ๗๐ - ๗๔ ๒.๕ ผลการเรียนดี ๖๕ - ๖๙ ๒ ผลการเรยี นค่อนขา้ งดี ๖๐ - ๖๔ ๑.๕ ผลการเรียนปานกลาง ๕๕ - ๕๙ ๑ ๕๐ - ๕๔ ๐ ผลการเรยี นพอใช้ ผลการเรียนผา่ นเกณฑ์ขน้ั ตำ่ ๐ - ๔๙ ผลการเรียนต่ำกว่าเกณฑ์ ๔.๒ เกณฑก์ ารตดั สนิ ผลการเรยี น ร และ มส. (๑) ตดั สินผลการเรยี น ร หมายถึง รอการตัดสินและยังตัดสนิ ผลการเรยี นไมไ่ ด้เนื่องจาก ผู้เรียนไม่มีข้อมูล ผลการเรียนในรายวชิ าครบถ้วน ได้แก่ ไม่ได้วัดผลกลางภาคเรียน/ปลายภาคเรียน ไม่ไดส้ ่งงานทมี่ อบหมาย ใหท้ ำ ซง่ึ งานน้ันเป็นส่วนหนึง่ ของการตดั สินผลการเรยี น หรอื มีเหตุสดุ วสิ ัยท่ที ำใหป้ ระเมนิ ผลการเรียนไมไ่ ด้ ตัดสนิ ผลการเรยี น มส. หมายถงึ ผู้เรียนไมม่ สี ิทธิเขา้ รับการวัดผลปลายภาคเรียน เนอ่ื งจากผูเ้ รียน มีเวลา เรียนไมถ่ ึงรอ้ ยละ 8๐ ของเวลาเรยี นทงั้ หมด และไมไ่ ดร้ ับการผ่อนผันให้เข้ารับการวัดผลปลายภาคเรียน

๙๒ ๕. การประเมนิ การอ่าน คิดวเิ คราะห์และการเขยี น เกณณ์การประเมนิ การอา่ น คิดวเิ คราะห์และการเขยี น คะแนนเตม็ ๒๐ คะแนน ระดับคุณภาพ ความหมาย ชว่ งคะแนน ดเี ยย่ี ม มีผลงานทแ่ี สดงถึงความสามารถในการอา่ น คิดวิเคราะหแ์ ละเขยี น ๑๖ - ๒๐ ดี ทมี่ ีคณุ ภาพดีเลิศอยู่เสมอ ๑๓ - ๑๕ ผ่าน มีผลงานที่แสดงถึงความสามารถในการอา่ น คิดวเิ คราะห์และเขยี น ๑๐ - ๑๒ ที่มีคุณภาพเป็นทย่ี อมรบั ได้ ไม่ผา่ น มีผลงานที่แสดงถงึ ความสามารถในการอา่ น คดิ วเิ คราะห์และเขียน ๙ - ๑๐ ท่มี คี ณุ ภาพเป็นทย่ี อมรบั ได้ แต่ยังมีขอ้ บกพรอ่ ง บางประการ ไมม่ ผี ลงานท่แี สดงถึงความสามารถในการอา่ น คิดวิเคราะหแ์ ละเขียน หรือถา้ มีผลงาน ผลงานนนั้ ยงั มีข้อบกพรอ่ งท่ี ตอ้ งการได้รบั การปรบั ปรุงแก้ไขหลายประการ

๙๓ อภธิ านศพั ท์ กระบวนการเขยี น กระบวนการเขียน เปน็ การคิดเรอ่ื งทจี่ ะเขยี นและรวบรวมความรู้ในการเขยี น มี ๕ ขัน้ ดังน้ี ๑. การเตรียมการเขยี น เป็นขั้นเตรยี มพร้อมทจ่ี ะเขยี นโดยเลือกหัวขอ้ เรือ่ งทีจ่ ะเขียนบนพ้ืนฐาน ของประสบการณ์ กำหนดรูปแบบการเขียน รวบรวมความคิดในการเขียน อาจใช้วิธีการอ่านหนังสือ สนทนา จัดหมวดหม่คู วามคดิ โดยเขียนเป็นแผนภาพความคิด จดบันทึกความคิดที่จะเขียนเป็นรูปหัวข้อ เรอ่ื งใหญ่ หัวขอ้ ยอ่ ย และรายละเอยี ดครา่ วๆ ๒. การยกร่างขอ้ เขียน เมอ่ื เตรยี มหวั ขอ้ เร่อื งและความคิดรปู แบบการเขยี นแลว้ ให้นำความคิด มาเขยี นตามรปู แบบทีก่ ำหนดเปน็ การยกร่างข้อเขียน โดยคำนงึ ถงึ ว่าจะเขยี นให้ใครอ่าน จะใช้ภาษาอย่างไร ให้เหมาะสมกับเร่อื งและเหมาะกับผู้อนื่ จะเร่มิ ต้นเขียนอยา่ งไร มหี ัวข้อเรอื่ งอยา่ งไร ลำดับความคดิ อย่างไร เช่ือมโยงความคดิ อยา่ งไร ๓. การปรับปรุงข้อเขียน เมื่อเขียนยกร่างแล้วอ่านทบทวนเรื่องที่เขียน ปรับปรุงเรื่องที่เขียน เพิ่มเติมความคิดให้สมบูรณ์ แก้ไขภาษา สำนวนโวหาร นำไปให้เพื่อนหรือผู้อื่นอ่านนำข้อเสนอแนะมา ปรบั ปรงุ อีกคร้ัง ๔. การบรรณาธิการกิจ นำข้อเขียนที่ปรับปรุงแล้วมาตรวจทานคำที่ผิดแก้ไขให้ถูกต้อง แลว้ อ่านตรวจทานแกไ้ ขขอ้ เขียนอกี คร้งั แกไ้ ขขอ้ ผิดพลาดท้ังภาษา ความคดิ และการเวน้ วรรคตอน ๕. การเขียนให้สมบูรณ์ นำเรื่องที่แก้ไขปรับปรุงแล้วมาเขียนเรื่องให้สมบูรณ์ จัดพิมพ์ วาดรปู ประกอบ เขียนใหส้ มบรู ณ์ด้วยลายมอื ที่สวยงามเป็นระเบียบ เม่อื พมิ พ์หรือเขยี นแล้วตรวจทานอีก ครงั้ ให้สมบูรณก์ ่อนจัดทำรปู เลม่ กระบวนการคดิ การฟัง การพูด การอ่าน และการเขียน เป็นกระบวนการคิด คนที่จะคิดได้ดีต้องเป็นผู้ฟัง ผู้พูด ผู้อ่าน และผู้เขียนที่ดี บุคคลที่จะคิดได้ดีจะต้องมีความรู้และประสบการณ์พื้นฐานในการคิด บุคคลจะมี ความสามารถในการรวบรวมขอ้ มูล ขอ้ เท็จจริง วิเคราะห์ สงั เคราะห์ และประเมินค่า จะต้องมีความรู้ และประสบการณ์พื้นฐานที่นำมาช่วยในการคิดทั้งสิ้น การสอนให้คิดควรให้ผู้เรียนรู้จักคัดเลือกข้อมูล ถ่ายทอด รวบรวม และจำข้อมูลต่าง ๆ สมองของมนุษย์จะเป็นผู้บริโภคข้อมูลข่าวสาร และสามารถแปล ความข้อมูลข่าวสาร และสามารถนำมาใช้อา้ งอิง การเป็นผฟู้ งั ผูพ้ ูด ผ้อู า่ น และผเู้ ขียนทีด่ ี จะตอ้ งสอนให้ เป็นผ้บู รโิ ภคขอ้ มูลข่าวสารทด่ี แี ละเปน็ นกั คดิ ท่ีดีดว้ ย กระบวนการสอนภาษาจึงต้องสอนใหผ้ ูเ้ รยี นเป็นผรู้ บั รู้ ขอ้ มูลข่าวสารและมที ักษะการคิด นำข้อมลู ข่าวสารทไี่ ด้จากการฟงั และการอา่ นนำมาสู่การฝกึ ทกั ษะการคิด นำการฟัง การพูด การอ่าน และการเขียน มาสอนในรูปแบบบูรณาการทักษะ ตัวอย่าง เช่น การเขียน

๙๔ เป็นกระบวนการคิดในการวิเคราะห์ การแยกแยะ การสังเคราะห์ การประเมินค่า การสร้างสรรค์ ผู้เขียน จะนำความรู้และประสบการณ์สู่การคิดและแสดงออกตามความคิดของตนเสมอ ต้องเป็นผู้อ่านและผู้ฟงั เพื่อรบั รขู้ ่าวสารท่ีจะนำมาวเิ คราะหแ์ ละสามารถแสดงทรรศนะได้ กระบวนการอ่าน การอ่านเปน็ กระบวนการซ่งึ ผอู้ า่ นสร้างความหมายหรือพฒั นา การตคี วามระหวา่ งการอา่ นผูอ้ ่าน จะต้องรูห้ ัวข้อเรื่อง รู้จุดประสงค์ของการอา่ น มีความรู้ทางภาษาที่ใกล้เคียงกับภาษาที่ใช้ในหนังสือทีอ่ า่ น โดยใชป้ ระสบการณ์เดิมเป็นประสบการณท์ ำความเข้าใจกบั เรื่องท่ีอา่ น กระบวนการอา่ น มีดงั นี้ ๑. การเตรียมการอ่าน ผู้อ่านจะต้องอ่านชื่อเรื่อง หัวข้อย่อยจากสารบัญเรื่อง อ่านคำนำ ให้ทราบจุดมุ่งหมายของหนังสือ ตั้งจุดประสงค์ของการอ่านจะอ่านเพื่อความเพลิดเพลินหรืออ่านเพื่อหา ความรู้ วางแผนการอ่านโดยอ่านหนงั สือตอนใดตอนหน่ึงว่าความยากง่ายอย่างไร หนังสือมีความยากมาก น้อยเพียงใด รูปแบบของหนังสือเป็นอย่างไร เหมาะกับผู้อ่านประเภทใด เดาความว่าเป็นเรื่องเกี่ยวกับ อะไร เตรยี มสมดุ ดินสอ สำหรับจดบันทึกข้อความหรือเน้อื เรอื่ งที่สำคญั ขณะอ่าน ๒. การอา่ น ผอู้ า่ นจะอา่ นหนังสือให้ตลอดเล่มหรอื เฉพาะตอนทตี่ ้องการอ่าน ขณะอ่านผู้อ่านจะ ใช้ความรู้จากการอ่านคำ ความหมายของคำมาใช้ในการอ่าน รวมทั้งการรู้จักแบ่งวรรคตอนดว้ ย การอ่าน เร็วจะมสี ว่ นชว่ ยให้ผ้อู ่านเข้าใจเรื่องได้ดกี ว่าผูอ้ ่านช้า ซ่ึงจะสะกดคำอ่านหรืออ่านย้อนไปย้อนมา ผู้อ่านจะ ใช้บริบทหรอื คำแวดล้อมช่วยในการตีความหมายของคำเพอ่ื ทำความเขา้ ใจเร่อื งที่อ่าน ๓. การแสดงความคิดเห็น ผู้อ่านจะจดบันทึกข้อความที่มีความสำคัญ หรือเขียนแสดง ความคิดเห็น ตีความข้อความที่อ่าน อ่านซ้ำในตอนที่ไม่เข้าใจเพื่อทำความเข้าใจใหถ้ ูกต้องขยายความคิด จากการอ่าน จับคู่กับเพื่อนสนทนาแลกเปลี่ยนความคิดเห็น ตั้งข้อสังเกตจากเรื่องที่อ่าน ถ้าเป็นการอ่าน บทกลอนจะตอ้ งอ่านทำนองเสนาะดังๆ เพื่อฟังเสียงการอา่ นและเกดิ จินตนาการ ๔. การอ่านสำรวจ ผู้อ่านจะอา่ นซ้ำโดยเลือกอ่านตอนใดตอนหนึ่ง ตรวจสอบคำและภาษาท่ใี ช้ สำรวจโครงเรอ่ื งของหนงั สือเปรียบเทียบหนังสือท่อี ่านกับหนงั สือท่ีเคยอ่าน สำรวจและเชอ่ื มโยงเหตุการณ์ ในเรื่องและการลำดับเรือ่ ง และสำรวจคำสำคัญท่ใี ชใ้ นหนังสือ ๕. การขยายความคิด ผู้อ่านจะสะท้อนความเข้าใจในการอ่าน บันทึกข้อคิดเห็น คุณค่าของ เรื่อง เชื่อมโยงเรื่องราวในเรื่องกับชีวิตจริง ความรู้สึกจากการอ่าน จัดทำโครงงานหลักการอ่าน เช่น วาดภาพ เขียนบทละคร เขียนบันทึกรายงานการอ่าน อ่านเรื่องอื่น ๆ ที่ผู้เขียนคนเดียวกันแต่ง อ่านเรื่อง เพ่ิมเตมิ เร่อื งที่เกี่ยวโยงกับเรือ่ งทีอ่ า่ น เพ่ือใหไ้ ดค้ วามร้ทู ี่ชดั เจนและกว้างขวางข้ึน

๙๕ การเขยี นเชิงสรา้ งสรรค์ การเขียนเชิงสรา้ งสรรค์เป็นการเขียนโดยใช้ความรู้ ประสบการณ์ และจินตนาการในการเขียน เชน่ การเขียนเรียงความ นทิ าน เรื่องสน้ั นวนยิ าย และบทร้อยกรอง การเขียนเชงิ สรา้ งสรรค์ผู้เขียนจะต้อง มีความคิดดี มีจินตนาการดี มีคลังคำอย่างหลากหลาย สามารถนำคำมาใช้ในการ เขยี น ต้องใชเ้ ทคนิค การเขยี น และใชถ้ อ้ ยคำอยา่ งสละสลวยการดู การดูเป็นการรับสารจากสื่อภาพและเสียง และแสดงทรรศนะได้จากการรับรู้สาร ตีความ แปลความ วิเคราะห์ และประเมินคุณค่าสารจากสื่อ เช่น การดูโทรทัศน์ การดูคอมพิวเตอร์ การดูละคร การดูภาพยนตร์ การดูหนังสือการ์ตูน (แม้ไม่มีเสียงแต่มีถ้อยคำอ่านแทนเสียงพูด) ผู้ดูจะต้องรับรู้สาร จากการดูและนำมาวเิ คราะห์ ตีความ และประเมนิ คุณค่าของสารท่เี ป็นเน้อื เรือ่ งโดยใชห้ ลกั การพิจารณา วรรณคดีหรือการวิเคราะห์วรรณคดีเบอ้ื งตน้ เชน่ แนวคดิ ของเรื่อง ฉากทีป่ ระกอบเรอ่ื งสมเหตสุ มผล กริ ยิ า ท่าทาง และการแสดงออกของตัวละครมีความสมจริงกับบทบาท โครงเรื่อง เพลง แสง สี เสียง ที่ใช้ ประกอบการแสดงให้อารมณ์แก่ผู้ดูสมจริงและสอดคล้องกับยุคสมัยของเหตุการณ์ที่จำลองสู่บทละคร คุณค่าทางจริยธรรม คุณธรรม และคุณค่าทางสังคมที่มีอิทธิพลต่อผู้ดูหรือผู้ชม ถ้าเป็นการดูข่าวและ เหตุการณ์ หรือการอภิปราย การใช้ความรู้หรือเรื่องที่เป็นสารคดี การโฆษณาทางสื่อจะต้องพิจารณา เนื้อหาสาระว่าสมควรเชื่อถือได้หรือไม่ เป็นการโฆษณาชวนเชื่อหรือไม่ ความคิดสำคัญและมีอิทธิพลต่อ การเรยี นรู้มาก และการดูละครเวที ละครโทรทัศน์ ดูข่าวทางโทรทศั น์จะเปน็ ประโยชน์ไดร้ บั ความสนกุ สนาน ตอ้ งดูและวเิ คราะห์ ประเมนิ ค่า สามารถแสดงทรรศนะของตนได้อย่างมเี หตผุ ล การตคี วาม การตีความเป็นการใชค้ วามรู้และประสบการณข์ องผู้อ่านและการใช้บริบท ได้แก่ คำที่แวดล้อม ขอ้ ความ ทำความเขา้ ใจขอ้ ความหรอื กำหนดความหมายของคำให้ถูกต้อง พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๒๕ ให้ความหมายว่า การตีความหมาย ชี้หรือกำหนด ความหมาย ใหค้ วามหมายหรอื อธบิ าย ใช้หรือปรับให้เขา้ ใจเจตนา และความมุ่งหมายเพอ่ื ความถูกต้อง การเปลย่ี นแปลงของภาษา ภาษาย่อมมีการเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา คำคำหนึ่งในสมัยหนึ่งเขียนอย่างหนึ่ง อีกสมัยหนึ่ง เขยี นอกี อย่างหน่งึ คำวา่ ประเทศ แต่เดิมเขยี น ประเทษ คำว่า ปักษใ์ ต้ แต่เดิมเขียน ปักใตใ้ นปัจจุบนั เขยี น ปักษใ์ ต้ คำวา่ ลุม่ ลึก แตก่ ่อนเขียน ลุ่มฦก ภาษาจึงมกี ารเปลีย่ นแปลงท้งั ความหมายและการเขยี น บางครั้ง คำบางคำ เช่น คำว่า หลอ่ น เป็นคำสรรพนามแสดงถึงคำพดู สรรพนามบรุ ษุ ท่ี ๓ ทเ่ี ป็นคำสภุ าพ แต่เดี๋ยวน้ี คำวา่ หลอ่ น มีความหมายในเชิงดูแคลน เป็นต้น

๙๖ การสรา้ งสรรค์ การสร้างสรรค์ คือ การรู้จักเลือกความรู้ ประสบการณ์ที่มีอยู่เดิมมาเป็นพื้นฐานในการสร้าง ความรู้ ความคิดใหม่ หรือสิ่งแปลกใหม่ที่มีคุณภาพและมีประสิทธิภาพสูงกว่าเดิม บุคคลที่จะมี ความสามารถในการสร้างสรรค์จะต้องเป็นบุคคลที่มีความคิดอิสระอยู่เสมอ มีความเชื่อมั่นในตนเอง มองโลกในแง่ดี คดิ ไตรต่ รอง ไม่ตดั สินใจสง่ิ ใดงา่ ยๆ การสรา้ งสรรคข์ องมนุษย์จะเก่ยี วเน่อื งกนั กับความคิด การพดู การเขียน และการกระทำเชงิ สร้างสรรค์ ซ่ึงจะตอ้ งมีการคิดเชิงสร้างสรรค์เปน็ พื้นฐาน ความคิดเชิงสร้างสรรค์เป็นความคิดที่พัฒนามาจากความรู้และประสบการณ์เดิม ซึ่งเป็น ปัจจยั พ้นื ฐานของการพูด การเขยี น และการกระทำเชงิ สร้างสรรค์ การพูดและการเขียนเชิงสร้างสรรค์เป็นการแสดงออกทางภาษาที่ใช้ภาษาขัดเกลาให้ไพเราะ งดงาม เหมาะสม ถกู ตอ้ งตามเน้อื หาทพ่ี ูดและเขยี น การกระทำเชิงสร้างสรรค์เป็นการกระทำที่ไม่ซ้ำแบบเดิมและคิดค้นใหม่แปลกไปจากเดิม และ เปน็ ประโยชน์ทีส่ งู ขน้ึ ขอ้ มูลสารสนเทศ ข้อมูลสารสนเทศ หมายถึง เรื่องราว ข้อเท็จจริง ข้อมูล หรือสิ่งใดสิ่งหนึ่งที่สามารถสื่อ ความหมายด้วยการพูดบอกเล่า บันทึกเป็นเอกสาร รายงาน หนังสือ แผนที่ แผนภาพ ภาพถ่าย บันทึกด้วยเสียงและภาพ บันทึกด้วยเครื่องคอมพิวเตอร์ เป็นการเก็บเรื่องราวต่าง ๆ บันทึกไว้เป็น หลกั ฐานด้วยวธิ ตี ่าง ๆ ความหมายของคำ คำท่ใี ชใ้ นการตดิ ตอ่ สือ่ สารมีความหมายแบ่งไดเ้ ป็น ๓ ลักษณะ คือ ๑. ความหมายโดยตรง เป็นความหมายที่ใชพ้ ูดจากันตรงตามความหมาย คำหนึ่งๆ นั้น อาจมี ความหมายได้หลายความหมาย เช่น คำว่า กา อาจมีความหมายถึง ภาชนะใส่น้ำ หรืออาจหมายถึง นกชนดิ หนึ่ง ตัวสดี ำ ร้อง กา กา เป็นความหมายโดยตรง ๒. ความหมายแฝง คำอาจมีความหมายแฝงเพิ่มจากความหมายโดยตรง มักเป็นความหมาย เกี่ยวกบั ความร้สู กึ เช่น คำว่า ขีเ้ หนยี ว กบั ประหยดั หมายถงึ ไม่ใชจ้ า่ ยอย่างสุรยุ่ สุรา่ ย เป็นความหมาย ตรง แต่ความรสู้ ึกตา่ งกนั ประหยดั เปน็ สิ่งดี แตข่ ีเ้ หนยี วเปน็ สิง่ ไมด่ ี ๓. ความหมายในบริบท คำบางคำมีความหมายตรง เมื่อร่วมกับคำอื่นจะมีความหมายเพิ่มเติม กวา้ งขนึ้ หรอื แคบลงได้ เช่น คำวา่ ดี เดก็ ดี หมายถงึ วา่ นอนสอนงา่ ย เสยี งดี หมายถึง ไพเราะ ดินสอดี หมายถึง เขียนไดด้ ี สขุ ภาพดี หมายถงึ ไม่มีโรค ความหมายบรบิ ทเปน็ ความหมายเชน่ เดียวกับความหมาย แฝง


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook