Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore Population

Population

Published by charinrat36, 2019-02-23 02:26:25

Description: Population

Search

Read the Text Version

ประชากร (Population) รายวิชา ชวี วิทยา 5 รหัสวิชา ว33245 ครผู ้สู อน : นางสาวชรินรตั น์ จันทรฝ์ าย

ประชากร

ประชากร (Population) • ประชากร คือ สงิ่ มชี ีวติ ชนิดเดียวกนั อาศยั อยใู่ นบริเวณเดยี วกัน ใน ระยะเวลาใดเวลาหนง่ึ • ต้องระบุ ชนิดของส่ิงมีชวี ติ แหลง่ ที่อยู่ และชว่ งเวลา ประชากรนกปากหา่ งท่วี ดั ไผล่ ้อม จ.ปทมุ ธานี เมอื่ เดอื น มนี าคม พ.ศ.2547

พจิ ารณาการใหค้ วามหมายของคาว่าประชากรตอ่ ไปน้วี ่าถูกต้องหรอื ไม่ • ประชากรของโรงเรียนในจังหวดั แพรใ่ นปี พ.ศ.2550 • ประชากรของตน้ ลาไย • ประชากรของตน้ สักในสวนป่าท่ีโรงเรยี นดอนหอยหลอดวทิ ยาเม่ือวานนี้ • ประชากรของนกั เรยี นชั้น ม.6/1 โรงเรียนเจริญเจริญราษฎร์ ประจาปี การศึกษา 2561

คุณสมบัติของประชากร 1. ความหนาแนน่ ของประชากร 2. การแพรก่ ระจายของประชากร 3. ขนาดประชากร 4. รูปแบบการเพ่มิ ของประชากร 5. การรอดชวี ติ ของประชากร 6. โครงสรา้ งของกลุ่มอายขุ องประชากร

1. ความหนาแนน่ ของประชากร (Population density) • คอื จานวนประชากรต่อหนว่ ยพ้นื ทห่ี รอื ปรมิ าตร • ความหนาแน่นของประชากร แบ่งออกเป็น 2 ประเภท คอื 1. ความหนาแนน่ ประชากรอยา่ งหยาบ (crude density) 2. ความหนาแน่นเชงิ นิเวศ (ecological density) ความหนาแน่นของประชากร = ������ ������ เมื่อ N = จานวนของประชากรท้งั หมด A = พ้นื ท่ีหรอื ปริมาตร

ความหนาแนน่ ประชากรอย่างหยาบ (crude density) • เปน็ การวัดความหนาแนน่ ของประชากรต่อพ้นื ทีท่ ้ังหมดของท่ีอยู่อาศยั ตัวอย่าง ปา่ แห่งหนึ่งมีพน้ื ที่ 5 ไร่ มีตั๊กแตนอยู่ 500 ตวั จงหาความหนาแน่น ของตก๊ั แตนในป่าแหง่ น้ี ความหนาแน่นของประชากร = N A = 500 5 = 100 ดงั นั้น ความหนาแนน่ ของตัก๊ แตนเปน็ 100 ตวั ต่อไร่

ความหนาแน่นเชงิ นเิ วศ (ecological density) • เปน็ การวัดความหนาแน่นของประชากรตอ่ พนื้ ทอี่ ยอู่ าศยั จรงิ ของส่งิ มชี ีวติ นนั้ ตัวอย่าง บริเวณป่าเบญจพรรณแห่งหน่ึงมีพ้ืนที่ 40 ตารางกิโลเมตร พบนก ยางสีขาวพันธหุ์ น่ึงจานวน 120ตัว ทารังอาศัยอยู่บริเวณรอบ ๆ แหล่งน้าซึ่งมี พ้ืนที่ 3 ตารางกิโลเมตรอยู่ในป่าแห่งน้ี จงหาความหนาแน่นเชิงนิเวศของ นกยางพนั ธนุ์ ้ี

ความหนาแน่นเชงิ นิเวศ (ecological density) • เปน็ การวดั ความหนาแนน่ ของประชากรตอ่ พน้ื ทอ่ี ยอู่ าศยั จริงของสง่ิ มชี วี ติ นน้ั ตัวอย่าง บริเวณป่าเบญจพรรณแห่งหน่ึงมีพื้นท่ี 40 ตารางกิโลเมตร พบนกยางสี ขาวพันธุ์หน่ึงจานวน 120ตัว ทารังอาศัยอยู่บริเวณรอบ ๆ แหล่งน้าซ่ึงมี พ้ืนท่ี 3 ตารางกิโลเมตรอยู่ในป่าแห่งน้ี จงหาความหนาแน่นเชิงนิเวศของนกยาง พนั ธ์ุนี้ ความหนาแน่นของประชากร = N A 120 = 3 = 40 ดงั นนั้ ความหนาแน่นเชิงนิเวศของนกกระยางเป็น 40 ตวั ต่อตารางกโิ ลเมตร

• ในธรรมชาติการความหนาแน่นของประชากรท่ีแท้จริง โดยการสารวจ หรือการนับ จานวนส่ิงมีชีวิตทั้งหมด ทาได้ค่อนข้างยาก เพราะส่ิงมีชีวิต ส่วนใหญม่ ักมีการเคลือ่ นยา้ ยและไม่อยู่กับที่ • จึงใช้วิธีประมาณค่าความหนาแน่นของประชากร เช่น การสุ่มตัวอย่าง แบบวางแปลง การทาเครือ่ งหมายและจบั ซา้

• ถ้าหากในทุ่งร้างแห่งหนึ่งมีพ้นื ท่ี 20 ตารางกิโลเมตร พบนกปากห่างชนิด หนึ่งจานวน 150 ตัว อาศัยทารังอยู่บริเวณรอบๆ แหล่งน้าซ่ึงมีพ้ืนที่ 5 ตารางกิโลเมตร ให้นักเรียนคานวณหาค่าความหนาแน่นของประชากร อยา่ งหยาบ และคา่ ความหนาแน่นของประชากรเชิงนิเวศ

การส่มุ ตัวอย่างแบบวางแปลง (quadrant sampling method) • วิธีน้ีเหมาะสาหรับใช้วัดขนาดประชากรของสิ่งมีชีวิตอยู่กับท่ีหรือเคล่ือนที่ช้า มาก เช่น พชื ดักแด้ของแมลง เพรยี ง หอย หนอน • โดยใช้กรอบไม้รูปส่ีเหล่ียมจัตุรัสสุ่มตัวอย่างประชากรจากหลาย ๆ บริเวณ ของแหล่งท่ีอยู่อิสระ แล้วนับจานวนประชากรตัวอย่างทั้งหมดในกรอบ ไม้ นามาคานวณหาขนาดประชากรทง้ั หมดในแหลง่ ทีอ่ ย่นู ้ัน

ตัวอย่าง ทุ่งหญ้าแห่งหนึ่งมีพื้นท่ี 1 ตารางกิโลเมตร เมื่อใช้กรอบไม้ ขนาด 1 ตารางเมตร สุ่มตัวอย่างประชากรหญ้าแห้วหมู 10 คร้ังอย่าง อสิ ระ แล้วนับจานวนประชากรจากการสุ่มแตล่ ะครั้งได้เท่ากับ 10, 12, 10, 20, 22, 16, 17, 30, 25, 28 ต้น ตามลาดับ จงหาขนาดประชากรหญ้า แหว้ หมูทง้ั หมดในท่งุ หญา้ แหง่ น้ี



การทาเครอื่ งหมายและจับซ้า (mark and recapture method) • วิธีนี้เหมาะสาหรับใช้วัดขนาดประชากรท่ีมีการเคลื่อนที่ไปมาอยู่ เสมอ เช่น สัตว์ปา่ ชนดิ ต่างๆ • โดยการสุ่มตัวอย่างดักจับสัตว์ท่ีต้องการศึกษามาจานวนหนึ่ง นามาติด เคร่ืองหมายทุกตัว แล้วปล่อยสัตว์เหล่าน้ีกลับคืนแหล่งท่ีอยู่อาศัยเดิมอย่าง อสิ ระในช่วงเวลาหนึง่ • จากนั้นจึงดักจับสัตว์เหล่าน้ีอีกคร้ังในแหล่งที่อยู่เดิม นามานับจานวนสัตว์ที่ มีเคร่ืองหมายและไม่มีเครื่องหมาย แล้วนาข้อมูลที่ได้ไปคานวณหาขนาด ประชากรสตั ว์ท้ังหมดในแหลง่ ท่อี ย่นู ้ัน

การคานวณหาขนาดของประชากร P= ������������������������ ������������ เมอ่ื P = ประชากรท่ตี ้องการทราบ M1 = จานวนสัตว์ที่จบั ได้คร้งั แรกและทาเครอ่ื งหมายทงั้ หมดแล้วปล่อย M2 = จานวนสัตวท์ ีท่ าเครื่องหมายทจ่ี บั ไดค้ ร้ังหลงั T2 = จานวนสัตว์ทัง้ หมดทจ่ี บั ไดค้ รั้งหลงั ท้งั ท่ีมีเคร่อื งหมายและ ไมม่ ีเครอ่ื งหมาย

แบบฝกึ หัด 1. ปา่ แห่งหนึง่ มพี นื้ ท่ี 20 ตารางกโิ ลเมตร มปี ระชากรกวาง 2500 ตวั จงหา ความหนาแน่นของประชากรกวางในป่าแหง่ นี้ 2. จังหวดั แหง่ หนงึ่ มพี ้ืนที่ 15,000 ไร่ มจี านวนประชากร 300,000 คน แต่ มีพนื้ ท่ที ่เี ป็นทอี่ ย่อู าศัย 12,500 ไร่ จงหาความหนาแนน่ เชงิ นิเวศของ ประชากรในจงั หวัดนี้ 3. นักปักษวี ิทยาศกึ ษาจานวนประชากรนกในเขตกรุงเทพมหานคร โดยจบั นกมาติดเครือ่ งหมาย 80 ตัว แลว้ ปล่อยไป หนึง่ เดือนตอ่ มา จบั นกอีก ครง้ั ได้จานวน 150 ตวั พบว่าในจานวนนีม้ นี กทต่ี ดิ เคร่ืองหมายอย่แู ลว้ 5 ตัว ดังน้ัน ประชากรนกนีม้ จี านวนประมาณเท่าใด

4. จบั เสอื 65 ตัว ตดิ เครื่องหมายทัง้ หมดแล้วปลอ่ ยเขา้ ป่า จากน้ันอีก 2 สัปดาห์ จบั เสอื อกี คร้ังได้ 45 ตัว พบว่ามเี ครอื่ งหมาย 10 ตวั จงคานวณ ประชากรเสอื 5. ท่งุ หญา้ แห่งหน่ึงมีพ้นื ที่ 12 ตารางกิโลเมตร มีกบ 600 ตัว จงหาความ หนาแนน่ ของประชากร

วธิ ีการทดลอง 1. นาลูกปดั 100 ลูก ใสล่ งในกลอ่ งพลาสตกิ ใสทมี่ ีเมด็ โฟมบรรจอุ ยู่ พร้อมกบั ปิดฝากลอ่ งแล้วเขยา่ เบาๆ ให้เขา้ กนั 2. นาบกี เกอร์ขนาด 100 ซม3 สุม่ ตักลกู ปดั ทอ่ี ยใู่ นเม็ดโฟม เทลงในถาด พลาสตกิ นับจานวนแล้วบนั ทกึ ข้อมลู ไว้ 3. ใช้ปากกาลบคาผิดแตะลงบนลูกปัด เพื่อทาเครือ่ งหมายตวั ทถ่ี กู จบั ได้ ในขอ้ 2 จากนนั้ นาลกู ปดั ที่ทาเคร่ืองหมายแลว้ ปล่อยลงในกล่องพลาสตกิ ใสทม่ี เี มด็ โฟมดงั เดมิ แลว้ เขยา่ เบาๆ เพอ่ื ใหล้ ูกปัดทมี่ ีและไม่มเี คร่อื งหมายปะปนกนั 4. นาบกี เกอร์ขนาด 100 ซม3 สุม่ เมด็ โฟมที่มีลูกปัดอยู่ เปน็ ครงั้ ท่ี 2 และ 3 เพ่อื นามานบั จานวน บันทึกจานวนลกู ปัดที่มเี คร่อื งหมายและไม่มีเครอ่ื งหมายที่ จับได้ จากนน้ั ปล่อยลงในกลอ่ งพลาสตกิ ใสท่มี ีเม็ดโฟมดงั เดิม 5. นาข้อมลู ทไ่ี ด้มาหาค่าเฉล่ยี ของจานวนลูกปดั ท่มี เี ครอ่ื งหมายและไมม่ ี เคร่ืองหมาย แล้วคานวณหาค่าความหนาแนน่ ของลกู ปดั

กิจกรรมเสนอแนะ ตารางบนั ทึกผลการทดลอง จานวน ( เม็ด ) ข้อมูล จานวนเม็ดลูกปดั ที่ตักไดค้ รงั้ แรกและทาเครอ่ื งหมาย ทงั้ หมด จานวนเม็ดลูกปดั ทีท่ าเครอ่ื งหมายทตี่ ักไดค้ รงั้ หลัง จานวนเม็ดลูกปัดทงั้ หมดท่ตี ักไดค้ รง้ั หลังทง้ั ท่มี ี เคร่ืองหมายและไม่มเี ครือ่ งหมาย

คานวณหาขนาดประชากรทง้ั หมดโดยวิธีการส่มุ ตวั อย่าง แบบทาเคร่ืองหมาย และจับซ้า .................................................................................................................................... .................................................................................................................. สรุปผลการทดลอง .................................................................................................................................... .................................................................................................................................... ........................................................................................................................ คาถามทา้ ยการทดลอง - การส่มุ ตวั อย่างมากคร้ังหรอื น้อยครงั้ มผี ลตอ่ ความแมน่ ยาในการนบั จานวน ประชากรหรือไม่ อย่างไร

ตัวอย่าง นักชีววิทยากลุ่มหนึ่งศึกษาขนาดประชากรนกหัวขวานในวน อุทยานแห่งหนึ่ง โดยการสุ่มตัวอย่างดักจับนกหัวขวานมาติดเคร่ืองหมาย ทั้งสิ้น 120 ตัว แล้วปล่อยกลับสู่แหล่งท่ีอยู่เดิม ในสัปดาห์ต่อมานัก ชีววิทยากลุ่มนี้ก็สุ่มตัวอย่างดักจับนกหัวขวานในบริเวณอีกคร้ังหน่ึง พบว่ามี นกหัวขวานท่ีมีเครื่องหมายติดอยู่ 12 ตัว จากจานวนนกหัวขวานที่จับได้ ท้ังหมดในครั้งหลังน้ี 150 ตัว จงหาว่าประชากรนกหัวขวานในวนอุทยาน แห่งน้ีมจี านวนเท่าไร



การแพร่กระจายของประชากร (population distribution) • สิ่งมีชีวิตในระบบนิเวศมีการแพร่กระจายของประชากรแตกต่างกันไปใน บริเวณต่าง ๆ ทว่ั โลก • เพราะมีปัจจัยจากดั (limiting factor) บางประการท่ีมีอิทธพิ ลตอ่ การ ดารงชีวิตของสิ่งมีชีวิตแต่ละชนิดแตกต่างกัน ทาให้เกิดการแพร่กระจาย ของประชากร

ปัจจัยทางกายภาพ • ความสูงจากระดับน้าทะเล มีผลต่อการแพร่กระจายของพืชบาง ชนิด เช่น สนสามใบ จะพบแพร่กระจายทั่วไปที่บริเวณยอดเขาซึ่งมีความสูง จากระดับน้าทะเลตง้ั แต่ 1,000 – 1,700 เมตร • ขณะที่สนสองใบจะพบแพร่กระจายในบริเวณท่ีความสูงจากระดับน้าทะเล ต่า กว่า 1,000 เมตร

• อณุ หภูมิ มีผลตอ่ การแพรก่ ระจายของส่ิงมีชวี ิตหลายชนดิ • เช่น ในเขตทะเลทรายซงึ่ มอี ุณหภมู สิ ูงมากในเวลากลางวนั พบพืชพวกระ บองเพชรแพร่กระจายอยู่ท่ัวไป ส่วนใหญ่ในเขตหนาวจะพบพืชพวกสน ตระกูลต่าง ๆ แพร่กระจายอยู่อย่างกว้างขวาง สาหรับสัตว์ท่ีพบมากใน เขตท่ีมีอากาศหนาวเย็น เช่น กวางเรนเดียร์ กวางบูส กวางคารีบู สุนัข จ้งิ จอกขาว นกฮกู หิมะ

• ความเปน็ กรด -เบส มีผลตอ่ การแพร่กระจายของพชื เปน็ สว่ นใหญ่ • เช่น ข้าว สามารถเจริญเติบโตและให้ผลผลผลิตดีที่สุดในสภาพดินเหนียว และในดนิ ท่มี นี ้าท่วมขงั ซ่งึ มคี า่ ความเป็นกรด-เบส อยใู่ นช่วง 6.5-7.0

• แสงสว่าง เป็นปจั จัยจากดั ท่ีมอี ทิ ธพิ ลต่อการแพรก่ ระจายของพืชหลาย ชนดิ เช่น พืชบางชนิดต้องการแสงสว่างในเวลากลางวันคอ่ นขา้ ง ส้ัน เรยี กว่า พืชวนั สั้น (short day plant) • เชน่ เบญจมาศ รักเร่ ฤๅษผี สม

• พืชบางกลุม่ ต้องการแสงสว่างในเวลากลางวนั ยาวนาน เรียกวา่ พชื วนั ยาว (long-day plant) • เชน่ ชบาจีน ผักกาดหอม กะหล่าปลี ขา้ ว หญ้า

ปัจจัยทางชีวภาพ มีบทบาทเป็นปจั จยั จากัดตอ่ การดารงชีวติ ของสิ่งมชี วี ติ อน่ื ๆ ซงึ่ มีอยู่ หลายกรณี • การดารงชีวิตเปน็ ผูล้ ่ากับเหยอ่ื สตั ว์ที่เปน็ ผู้ลา่ เช่น เสอื สิงโต งู เหลอื ม จะเป็นปจั จัยจากัดตอ่ การมีชวี ติ รอด และการแพร่กระจายของ เหย่ือ เช่น กวาง หนู • การนาสิง่ มชี ีวิตตา่ งถิน่ เข้าแก่งแย่งอาหารและทอี่ ยอู่ าศยั ของสง่ิ มีชีวติ พ้ืนเมืองทาใหม้ กี ารแพร่กระจายกว้างขวางอยา่ รวดเรว็ ตวั อยา่ งเชน่ - การแพรก่ ระจายของผกั ตบชวาในแมน่ ้าลาคลอง ทาให้ผกั ตบไทยซึ่งเปน็ พชื ดัง้ เดมิ ในแหลง่ น้ามจี านวนลดลง

• การแพร่กระจายของปลาเทศบาลหรือปลาดูด ในแม่น้าลาคลอง จะ ทาลายแหล่งวางไข่และแหลง่ ทารงั ของสตั วน์ ้าบริเวณหน้าดิน ส่งผลให้การ แพรก่ ระจายของสัตวพ์ ืน้ เมืองด้ังเดมิ ลดปริมาณลง • การแพรก่ ระจายของหอยเชอร่ีในนาข้าว ทาให้นาข้าวได้รับความเสียหาย และมีผลทางออ้ มทาใหก้ ารแพร่กระจายของหอยโข่งในธรรมชาติลดลง

• ในทวีปแอฟริกาพบว่าในพื้นท่ีหลาย แห่งมี แมลงเซทซิ จานวนมากซ่ึงเปน็ พาหะของโรคเหงาหลับ จึงทาให้ แทบจะไม่มผี ู้คนหรอื สัตวอ์ าศยั อยู่ Trypanosoma เป็นโพรโตซัวที่ทา ใหเ้ กดิ โรคเหงาหลับ

ปัจจัยอน่ื • สภาพภมู ิศาสตร์ มผี ลตอ่ การแพร่กระจายของประชากร • เช่น ทะเล เทือกเขา ภูเขา ทะเลทราย จะเป็นกาแพงขวางกั้นหรือกีด ขวางทาใหส้ ่ิงมีชีวิตกระจายแยกออกจากกนั

รูปแบบการแพร่กระจายของประชากร • การแพรก่ ระจายของประชากรในธรรมชาติขนึ้ อย่กู บั ชนดิ ของ ส่ิงมชี ีวิต อายุ และการตอบสนองตอ่ สภาพแวดลอ้ มตา่ ง ๆ รูปแบบการ แพร่กระจายของประชากรมอี ยู่ 3 รปู แบบ

1. การแพร่กระจายแบบสุ่ม (random distribution) • เป็นการแพร่กระจายที่พบในประชากรท่ีดารงชีวิตในสภาพแวดล้อมที่เหมือน ๆ กนั และไมค่ ่อยมีการเปลยี่ นแปลง • ประชากรดารงชีวิตอยู่โดยไม่มีการแก่งแย่งแข่งขันระหว่างสมาชิกและไม่มีการ รวมกลุ่มกัน • เช่น การแพรก่ ระจายของเมลด็ พชื ที่ปลิวไปกับลมล่องลอยไปกับกระแสน้า หรือสัตว์ บางชนิดกินผลไม้แล้วไปขับถ่ายอุจจาระในท่ีต่าง ๆ ทาให้เมล็ดพืชแพร่กระจายไป อย่างอิสระไมม่ แี บบแผนท่แี นน่ อน

2. การแพรก่ ระจายแบบรวมกลุ่ม (clumped distribution) • เปน็ การแพร่กระจายของประชากรทพ่ี บมากทส่ี ุดในธรรมชาติ • การแพร่กระจายแบบรวมกลุ่มอาจมีสาเหตจุ ากสภาพแวดล้อมท่ีเหมาะต่อ การดารงชีวิตของส่ิงมีชีวิตเหล่าน้ัน เช่น มีอาหารอุดมสมบูรณ์ มีแสง สวา่ ง อุณหภูมิ ความชืน้ ความเป็นกรด – เบสพอเหมาะ มีที่หลบซ่อน ศตั รูหรือภัยธรรมชาติ

3. การแพร่กระจายแบบสม่าเสมอ (uniform distribution) • พบในบริเวณที่มีปัจจัยทางกายภาพบางประการที่จากัดในการ เจริญเติบโต เช่น ความชนื้ อุณหภมู ิ และลกั ษณะของดิน • ส่ิงมชี วี ิตจะอยหู่ า่ งกันในระยะทเี่ ท่า ๆ กนั เพ่อื โอกาสอยูร่ อดเท่าเทยี มกนั • เช่น การแพร่กระจายของกระบองเพชรในทะเลทราย แย่งน้าเพื่อการ เจริญเติบโต การปลิวของผลบางชนิดไปตกห่างจากตน้ เดิมเพ่ือให้ต้นใหม่ เจริญเตบิ โตได้โดยไมแ่ ก่งแยง่ อาหารและแรธ่ าตุ ความชน้ื และแสง

ขนาดของประชากร

ปจั จัยท่ที าใหข้ นาดของประชากรเปล่ยี นแปลง 1. อตั ราการเกดิ (birth rate /natality rate) • ทาให้มีจานวนประชากรเพิ่มขึ้น โดยสิ่งมีชีวิตอาจจะสืบพันธุ์แบบอาศัยเพศ หรอื ไม่อาศยั เพศกไ็ ด้ ปจั จยั ท่ที าให้อัตราการเกดิ มากหรอื นอ้ ยข้ึนอยกู่ บั • ความสามารถสบื พนั ธขุ์ องประชากร • ความสามารถในการมลี ูกดกของประชากร เช่น ปลามีไขค่ รงั้ ละหลายพนั ฟอง นกมีไขค่ รง้ั ละ 1 – 20 ฟอง ในขณะมนษุ ยม์ ลี กู ครัง้ ละ 1 คน

การหาคา่ อตั ราการเกดิ • หาได้จากอตั ราส่วนของจานวนประชากรทเ่ี กดิ ใหม่ในระยะเวลาหน่งึ กับ จานวนประชากรท่มี ีอยเู่ ดิม • นยิ มคดิ เปน็ ร้อยละ หรือพันละของจานวนประชากร อัตราการเกดิ = จานวนประชากรท่ีเกิดใหม่ x 100 (หรือ 1000) จานวนประชากรเดิมทงั้ หมด

ตัวอย่าง ในปี พ.ศ.2548 ประชากรลิงในวนอุทยานแห่งหนึ่งเกิด ใหม่ 160 ตวั จากจานวนประชากรลงิ ทง้ั หมด 3,200 ตัว จงหาอัตราการ เกิดของประชากรลงิ ในวนอุทยานแห่งนี้

วธิ ที า • อตั ราการเกิด = จานวนประชากรที่เกิดใหม่ x 100 (หรือ 1000) จานวนประชากรเดิมทงั้ หมด = ������������������ x 1000 ������������������������ = 50 ดงั นนั้ อตั ราการเกดิ ของประชากรลิงในวนอุทยานแห่งนี้ในปี พ.ศ. 2548 เท่ากับ 50 ตัวตอ่ พันตวั ตอ่ ปี

2. อตั ราการตาย (death rate/mortality rate) • ทาให้จานวนประชากรลดลง อาจเกิดจากการสิ้นอายุขัย การมีโรคภัยไข้ เจ็บ หรือถกู ศตั รธู รรมชาตกิ นิ เปน็ อาหารได้ • การหาอัตราการตายของประชากรได้จากอัตราส่วนของจานวนประชากรที่ ตายในระยะเวลาหนึ่งกับจานวนประชากรที่มีอยู่เดิมทั้งหมด โดยคิดเป็น ร้อยละหรอื พันละของจานวนประชากร อัตราการตาย = จานวนประชากรที่ตาย x 100 (หรือ 1000) จานวนประชากรเดมิ ทงั้ หมด

ตัวอยา่ ง นกั ชีววทิ ยาไดส้ ารวจประชากรนกยงู ในป่าแห่งหนึ่งเม่อื ตน้ ปี พ.ศ. 2548 พบว่ามจี านวนท้งั ส้ิน 2,800 ตวั ต่อมาเมอ่ื สน้ิ ปี พ.ศ. 2548 จงึ สารวจอีกคร้ังหนึ่งจึงพบวา่ มปี ระชากรนกยงู เหลือเพยี ง 2,716 ตวั จงหา อัตราการตายของประชากรนกยงู ในป่าแห่งน้ี

วิธีทา อตั ราการเกดิ = จานวนประชากรที่ตาย x 100 (หรือ 1000) จานวนประชากรเดิมทงั้ หมด = ������������������������ −������������������������ ������ ������������������������ ������������������������ = 30 ดงั นั้น อตั ราการตายของประชากรนกยูงในป่าวนแห่งนใ้ี นปี พ.ศ. 2548 เท่ากบั 30 ตวั ตอ่ พนั ตวั ตอ่ ปี

3. การอพยพเขา้ (immigration) • เป็นการเคลื่อนย้ายของประชากรส่ิงมีชีวติ จากแหล่งอ่ืนเข้ามารวมกลุ่มกับ ประชากรส่ิงมีชีวิตที่มีอยู่เดิม ซึ่งมีแหล่งท่ีอยู่ที่เหมาะสมต่อการ ดารงชวี ิต ทาให้จานวนประชากรเพม่ิ ขึ้นมากกว่าเดมิ 4. การอพยพออก (emigration) • เป็นการเคลื่อนย้ายของประชากรสิ่งมีชีวิตออกจากแหล่งท่ีอยู่เดิมไปยัง แหล่งที่อยู่ใหม่ เนื่องจากแหล่งที่อยู่เดิมมีสภาพแวดล้อมไม่เหมาะสมต่อ การดารงชวี ิต เช่น มอี ากาศหนาวเย็น เกิดภาวะขาดแคลนอาหาร หรือ มโี รคระบาด ทาใหจ้ านวนประชากรลดลง

อตั ราการเจรญิ เตบิ โตของประชากร = (อตั ราการเกิด + อัตราอพยพเข้า) - (อตั ราการตาย+ อัตราอพยพออก)

รูปแบบการเพิม่ ของประชากร 1. เปน็ การเพ่มิ ประชากรโดยทส่ี มาชิกของประชากรน้ันมี การสืบพันธ์ุเพียงคร้ัง เดียวในชว่ งชวี ิต • สงิ่ มชี ีวติ เหลา่ น้เี มือ่ ถึงวัยเจริญพนั ธุ์กจ็ ะออกลูกออกหลานจากนนั้ ก็ตาย เช่น แมลงชีปะขาว ผีเส้ือและตัวไหม หรือไม้ลม้ ลุกบางชนิด เช่น คะน้า กวางตงุ้ ข้าว และถวั่ เขียว

2. เป็นการเพิ่มประชากรโดยสมาชิกของประชากรนั้นมีโอกาสใน การสืบพันธ์ุ ได้หลายครั้งในช่วงชวี ิต เช่น • สัตวม์ ีกระดูกสันหลัง ไดแ้ ก่ สนุ ขั แมว มนุษย์ • ไม้พ่มุ ได้แก่ ชบา แกว้ เขม็ • ไม้ยืนตน้ ได้แก่ มะมว่ ง ขนุน สม้ ลาไย

แบบแผนการเพ่มิ ของประชากร 1. การเพ่มิ จานวนประชากรแบบเอ็กโพเนนเชียล (exponential growth) • พบได้ในสิง่ มีชีวติ ทมี่ ีการสืบพันธเุ์ พยี งคร้งั เดยี วในชว่ งชีวติ ในแต่ละร่นุ เชน่ พวกแมลงตา่ ง ๆ เมื่อตวั เมยี วางไขแ่ ลว้ ก็ตาย กราฟแสดงการเพ่ิมของประชากรแบบเอ็กโพเนชียล


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook