กวดวิชาบ้านครูบอนด์ The Academy School ติ ว ส อ บ ต ร ง ค ณ ะ รั ฐ ศ า ส ต ร์ กวดวิชาบ้านครบู อนด์ 084-1898732
สารบัญ Contents “Contents” คาํ นํา 1 ทดสอบกอ่ นเรยี น 3 บทที่ ๑ ความรู้เบ้อื งตน้ เก่ียวกบั รฐั ศาสตร์ 6 บทท่ี ๒ แนวความคิดว่าด้วยรฐั 11 บทท่ี ๓ ทฤษฏแี ละปรชั ญาการเมอื ง 17 บทที่ ๔ อดุ มการณแ์ ละระบบการเมือง 30 บทที่ ๕ การเมอื งการปกครองเปรยี บเทียบ 41 บทท่ี ๖ สถาบนั การเมือง 48 บทที่ ๗ ประชาธปิ ไตยกับการเมอื งไทย 59 หลกั การเขียนเรียงความ 81 วธิ ตี อบข้อสอบอตั นยั 82 ตวั อยา่ งขอ้ สอบอตั นัยและเรยี งความ 85 ตัวอย่างข้อสอบปี ๒๕๔๘ 87 ตวั อย่างข้อสอบปี ๒๕๔๗ 89 ตัวอย่างข้อสอบปี ๒๕๔๙ 90 ตวั อย่างขอ้ สอบปี ๒๕51 92 “....เอกสารฉบับนี้ได้รับความอนุเคราะห์เร่ืองข้อมูลจากบุคคลผู้มีคุณสมบัติทางวิชาการอย่างสูง จํานวนมาก ได้แก่ ภูริ ฟูวงศ์เจริญ , รศ.ดร. พิเชษฐ์ รัตโนชัยกุล , ผศ.ศิริพร ชนะสิทธิ์ , ผศ.อดิศร ศักด์ิสูง , ผศ.อภิเชษฐ กาญจนดิษฐ์ และ เอกสารประกอบการเรียนการสอนโครงการเปปทีน จีเนียส เจเนอเรช่ัน ตลอดจนหนังสือติวเพ่ือสอบเข้ารัฐศาสตร์ระดับปริญญาโทต่าง ๆ ซ่ึงผู้รวบรวมเอกสาร ต้องขอขอบพระคุณเป็นสงู ที่ไดใ้ หข้ อ้ มลู ไว้อยา่ งชัดเจน ....” จริ พล ลวิ า
คาํ นํา 1 Preamble “คาํ นาํ ” เอกสารประกอบการเรียน ฉบับนี้เขียนข้ึนเพื่อ จะเห็นได้ว่า สาระที่เรียนในคอร์สนี้จะมีสาระ ใ ช้ ใ น ก า ร เ รี ย น ค อ ร์ ส ส อ บ ต ร ง รั ฐ ศ า ส ต ร์ ค่อนข้าง กว้างขว างและ เนื้อหาค รอบคลุ ม ธรรมศาสตร์ ของกวดวิชาบ้านครูบอนด์ แต่ไม่ได้ หลากหลายสาระมาก ๆ โดยมีเหตุก็คือ ต้องการให้ หมายความว่า ไม่สามารถ ถ่ายเอกสาร คัดลอก ผเู้ รยี นได้ความรู้มากทสี่ ดุ เทา่ ทจี่ ะมากได้ในประเด็น หรือ อ่านได้ ดังนั้น ทุกคนท่ีเชื่อว่าเอกสารฉบับนี้มี การสอบเพอื่ เข้าเรยี นในคณะรฐั ศาสตร์ ดงั นนั้ สาระ ประโยชน์ต่อการเตรียมตัวเพ่ือสอบเข้าในสาขา อาจจะมาก หนังสืออาจจะหลายหน้า บางส่วนไม่ รัฐศาสตร์ของมหาวิทยาลัยต่าง ๆ ก็สามารถถ่าย สามารถนํามาพิมพ์ได้ทั้งหมด ก็จะหมายเหตุให้ไป เอกสารไปอ่านได้ แม้จะไม่ได้เรียนท่ีกวดวิชาบ้าน ศกึ ษาเพม่ิ เติมจากเอกสารฉบบั น้นั ฉบับนี้ ครูบอนด์ ก็ตาม เพราะการศึกษา ไม่ได้จํากัดว่า ตอ้ งจา่ ยเงินเรียน ถึงจะมีสิทธิได้อ่านเท่านั้น ดังนั้น ในทางปฏิบัติ เอกสารประกอบการเรียนฉบับ อยากอ่านก็ถา่ ยเอกสารเลย น้ีให้สาระมากกว่าที่หลักสูตรแกนกลางการศึกษา ข้ันพ้ืนฐานกําหนด แต่ด้วยความที่เป็นหนังสือที่ ในเอกสารฉบับน้ีจะมีเรื่องราวเกี่ยวกับ เขียนเอง สอนเอง และจัดรายวชิ าเอง ทาํ ให้สอนได้ ความรู้เบ้ืองต้นเกี่ยวกับรัฐศาสตร์ ความคิดทาง ในกรอบเน้ือหาท่ีอยากสอน นั้นหมายความว่า การเมืองการปกครอง ความรู้เกี่ยวกับรัฐ ข้อมูล สาระบางอย่างดูเยอะไป แต่นั้นคือความสนุกของ ของรัฐธรรมนูญ การปกครองแบบประชาธิปไตย การเรียนด้านรัฐศาสตร์ เราจะเรียนรู้สาระทางด้าน พรรคการเมือง การบัญญัติกฎหมาย ระเบียบการ สังคมศาสตร์กันอย่างกว้างขวางและยากต่อการ บริหารราชการแผ่นดิน ปรัชญาการเมือง การ ระบุให้ชัดว่าข้อสอบอาจจะออกในเรื่องอะไร แต่ วิเคราะห์องค์กรทางการเมืองการปกครอง การ อย่างไรกด็ ี การเตรียมตัวทดี่ คี อื การเข้าสู่สนามสอบ บริหารการคลัง องค์กรและทฤษฏีองค์กร กร ที่ดี น้ันหมายความว่า ถ้าเราพร้อม ในเรื่องของ บริหารรัฐกิจ นโยบายสาธารณะ และความรู้ ข้อมูล ขอ้ สอบจะออกมาในรปู แบบใดก็ตามเราก็คง รอบตัวท้ังด้านประวัติศาสตร์ ศาสนา กฎหมาย ไมต่ อ้ งใช้คําว่า “ยากเกนิ ไป” การเมือง ความสัมพันธ์ระหวา่ งประเทศ เหตุการณ์ ปัจจบุ นั ตา่ ง ๆ เป็นตน้ จิรพล ลวิ า : ผู้เขียน และ ผู้รวบรวม
2 คํานาํ Preamble “Thanks” หนังสอื เรียนเล่มนีส้ าํ เร็จลงไดเ้ พราะผลจากบุคคลสําคัญท้ังหลาย ท่ีเป็นเจ้าของข้อเขีนในหนังสือที่ได้นํามาใช้เป็นข้อมูล ท้ัง อ. ทวีศักด์ิ ล้อมล้ิม / อ.ศิริพร ชนะสิทธ์ิ / อ.ทวีป วรดิลก / อ.สิงห์ ทอง บวั ชุม และอกี หลาย ๆ ทา่ นทไี่ ด้ออกนามเจ้าของข้อมูลไว้ใน เชงิ อรรถแลว้ และที่สําคัญ ต้องขอบคุณคนที่ลืมไม่ได้ นางยุพาภรณ์ ลิวา มารดาของผูเ้ ขียน ท่ีได้มอบสมองและร่างกายมาให้ เพ่ือนํามาใช้ สรา้ งประโยชน์เล็ก ๆ กับเยาวชนรนุ่ ใหม่อกี ครง้ั
ทดสอบกอ่ นเรียน 3 Pre - Test ๑. การปกครองแบบ Aristocracy คือการปกครองในข้อใด ก. สงั คมนยิ ม ข. เผดจ็ การ ค. อภิชนาธปิ ไตย ง. ประชาธิปไตย ๒. สภาวะทีป่ ราศจากรฐั บาลเรียกวา่ ก. Amendment ข. Anarchy ค. Anomy ง. Absolution ๓. Bill of Right เปน็ ปฏิญญาการปกครองท่ีจาํ กัดอาํ นาจของใคร ก. ประชาชน ข. รฐั ค. กษัตริย์ ง. ถูกทุกข้อ ๔. ประเทศใดท่ใี ช้การถ่วงดลุ อํานาจแบบ Checks and Balances ก. องั กฤษ ข. ไทย ค. ญีป่ ุ่น ง. สหรฐั อเมรกิ า ๕. กฎบัตร Magna Charta เกิดขึ้นประเทศใด ก. สหรฐั อเมรกิ า ข. ฝร่งั เศส ค. รัสเซีย ง. อังกฤษ ๖. หนังสือ Republic เขยี นโดย ก. Kautilya ข. Hobbes ค. Locke ง. Plato ๗. คาํ ใดหมายถงึ หมคู่ นท่มี ีความสัมพนั ธก์ ันโดยใกล้ชดิ กนั และถาวรและมีส่วนในการดาํ เนนิ ชวี ิต ก. ฝงู ชน ข. ชมุ ชน ค. ชาติ ง. รฐั ๘. ใครเปน็ ครู่ ะบวุ า่ มนุษยเ์ ป็นสัตว์การเมือง ก. โสเครติส ข. อริสโตเตลิ ค. เพลโต ง. อเลก็ ซสิ ๙. ตามแนวคดิ ของ Machiavelli สิ่งใดทีส่ ําคญั ที่สุดในการควบคุมรัฐ ก. ความชอบธรรม ข. อาํ นาจ ค. ความมจี รยิ ธรรม ง. ความฉลาดของผู้นํา ๑๐.การสรา้ งวงั โดยจาํ ลองแบบมาจากเขาไกรลาสของพระศวิ ะ สะทอ้ นให้เหน็ ว่าคนไทยเช่ือถือใน ทฤษฏีใด ก. Organic Theory ข. Natural Theory ค. Force Theory ง. Divine Right Theory ๑๑.ตามแนวคิดของ Thomas Hobbes มนษุ ยเ์ ป็นอย่างไร ก. เปน็ คนดีมาแต่เกิด ข. มีแนวโน้มที่จะประพฤติดี ค. เห็นแก่ตัว ง. ไม่เกรงกลวั ต่อสง่ิ ใด ๑๒.คนทีก่ ล่าววา่ “รฐั บาลของประชาชน โดยประชาชนและเพื่อประชาชน” คือ ก. มหาตมะ คานธี ข. ดาไล ลามะ ค. อบั ราฮัม ลินคอรน์ ง. จอห์น เอฟ เคนเนดี้
4 ทดสอบก่อนเรยี น Pre - Test ๑๓.ระบบการปกครองแบบ Polity เปน็ แนวคดิ ของใคร ก. แมคเคยี วเวลลี ข. อรสิ โตเตลิ ค. เฮเกล ง. คารล์ มารก์ ซ์ ๑๔.ขอ้ ใดไมเ่ ขา้ คู่กัน ก. St. Augustine : Decision Making ข. Machiavelli : The Prince ค. Hobbes : Leviathan ง. ผดิ ทุกข้อ ๑๕.ในการเปล่ยี นแปลงการปกครอง ๒๔๗๕ คณะราษฎรไ์ ดป้ ระกาศหลักการสาํ คญั ของการ ปกครองไวก้ ่ีประการ ก. ๓ ประการ ข. ๔ ประการ ค. ๕ ประการ ง. ๖ ประการ ๑๖.กลุม่ ใดไม่ถือว่าเปน็ สังคม ก. อาข่า ข. ชาวสลมั คลองเตย ค. คนงานต่างดา้ วชาวพม่า ง. กลุ่มผ้โู ดยสารบนเคร่อื งบิน ๑๗.ขอ้ ใดมลี กั ษณะของการปกครองแบบเผด็จการนอ้ ยท่ีสุด ก. สงั คมนยิ ม ข. ระบอบสมบูรณาญาสทิ ธิราชย์ ค. ลทั ธนิ าซี ง. ลทั ธิฟาสซสิ ต์ ๑๘.การปกครองระบอบรัฐสภามีหลักการสาํ คญั คอื ก. ประธานาธิบดีและนายกรัฐมนตรีมสี ว่ นรว่ มในการใช้อาํ นาจบริหาร ข. ประธานาธบิ ดแี ละรฐั สภาได้รับเลือกต้งั โดยตรงจากประชาชน ค. รฐั สภาและคณะรฐั มนตรมี ีความสัมพันธใ์ กล้ชดิ กัน ง. เป็นการใชร้ ะบอบการแยกอํานาจระหวา่ งฝา่ ยนิติบญั ญัติ ฝ่ายบริหาร และตุลาการ ๑๙.ประเทศใดมีการปกครองเหมือนประเทศไทยมากท่ีสดุ ก. บรไู น ข. สิงคโปร์ ค. ลาว ง. เกาหลใี ต้ ๒๐.เป้าหมายสาํ คญั ท่ีสุดของพรรคการเมือง คือ ก. การได้เป็นผูบ้ ริหารประเทศ ข. การควบคุมการบริหารงานของรัฐ ค. การรกั ษาผลประโยชน์ของพรรคการเมือง ง. การได้รบั เลือกเป็นสมาชิกสภาผแู้ ทนราษฎร ๒๑.กฎหมายมลี กั ษณะสาํ คัญดังต่อไปนี้ ยกเว้น ก. จะต้องมสี ภาพบังคบั ข. จะต้องมีกระบวนการในการจัดทาํ กฎหมาย ค. จะต้องมผี ลบงั คบั เป็นการทัว่ ไป ง. จะต้องมีประสิทธิภาพในการบังคบั ใชไ้ ด้ดีกวา่ กลไกอ่นื ๆ ของสงั คม ๒๒.ชัยชนะของญ่ปี ่นุ เหนอื รสั เซียใน ค.ศ. ๑๙๐๕ เกิดผลกระทบใดมากทส่ี ดุ ก. ญีป่ ุน่ ยดึ ครองดินแดนรสั เซยี บางสว่ น ข. ญ่ีปนุ่ ได้รับการยอมรบั วา่ เป็นชาตมิ หาอาํ นาจของโลก
ทดสอบก่อนเรียน 5 Pre - Test ค. ชาตติ ะวนั ตกยอมใหญ้ ีป่ ่นุ แก้ไขสญั ญาไม่เสมอภาค ง. ญีป่ ุน่ กลายเปน็ แรงดลใจแกเ่ อเชียวา่ มีความสามารถเทา่ เทยี มชาติตะวนั ตก ๒๓.ความขัดแย้งในดนิ แดนแคชเมียรเ์ กิดจาก ก. อนิ เดยี ไม่ยอมปลดปล่อยให้แคชเมยี รเ์ ปน็ อสิ ระ ข. ปากสี ถานให้การสนบั สนนุ ผู้ต้องการแบ่งแยกดินแดน ค. เปน็ ผลจากความขดั แยง้ ด้านศาสนา ง. เปน็ ผลจากกรณีพพิ าทการปักปันเขตแดน ๒๔.ความตอ้ งการเสรภี าพทําใหเ้ กิดเหตกุ ารณต์ ่อไปนย้ี กเวน้ ข้อใด ก. การปฏริ ปู ศาสนาในเยอรมนี ข. การรา่ งรฐั ธรรมนญู ของฝรั่งเศส ค.ศ.๑๗๖๙ ค. การจดั ตัง้ อาณานิคมอังกฤษในทวปี อเมริกา ง. การออกสํารวจเส้นทางเดินเรอื ของโปรตุเกสและสเปน ๒๕.พระบาทสมเดจ็ พระปกเกล้าเจ้าอย่หู วั ทรงแก้ปญั หาเศรษฐกจิ อยา่ งไร ก. ตัดงบประมาณรายจ่ายลดจํานวนขา้ ราชการ ข. ส่งเสริมการใชส้ นิ ค้าไทย ค. กู้เงินจากต่างประเทศ ง. กีดกนั การคา้ ขายของคนต่างด้าวทท่ี ําธุรกจิ การค้าในประเทศไทย ๒๖.ใครเป็นผ้กู าํ หนดให้ชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ เป็นสถาบันหลกั ของประเทศไทย ก. พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยหู่ วั ข. จอมพล ป. พิบลู สงคราม ค. พระบาทสมเดจ็ พระปกเกล้าเจา้ อยหู่ ัว ง. คณะราษฎร ๒๗.ลัทธิใดกอ่ ให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางความคดิ จากยุคกลางมาสสู่ มัยใหม่ (Modernism) ก. ลทั ธิพาณิชยนยิ ม ข. ลัทธเิ หตุผลนิยม ค. ลัทธิมนษุ ยนยิ ม ง. ลทั ธิจกั รวรรดนิ ยิ ม ๒๘.การปฏิวตั ิอตุ สาหกรรมเกดิ จากความต้องการตามข้อใด ก. เพ่ือพฒั นาคุณภาพสินค้า ข. เพอื่ พฒั นาสนิ คา้ ท่ีมีมาตรฐานเดียวกนั ค. เพ่ือทดแทนการขาดแคลนแรงงาน ง. เพ่อื สนองความต้องการของผู้บริโภคทีม่ จี ํานวนมากขึ้น ๒๙.แนวคิดของมองเตสกิเออร์ เรือ่ งการตรวจสอบและถว่ งดลุ อํานาจการปกครองถูกนาํ มาใช้ใน ประเทศใดแล้วเกดิ ผลสําเรจ็ มากทสี่ ดุ ก. องั กฤษ ข. ฝรัง่ เศส ค. เยอรมนี ง. สหรฐั อเมรกิ า ๓๐.ระบบเศรษฐกิจสงั คมนิยมมีข้อดีอยา่ งไร ก. ประชาชนทํางานเต็มที่เพราะรฐั ใหค้ ่าตอบแทนทแี่ น่นอน ข. การกระจายรายได้ของประชาชนมคี วามใกล้ชิด ค. ราคาสินค้าอุปโภคบรโิ ภคถูกเพราะรฐั เปน็ ผู้จัดจาํ หน่ายเอง ง. มรี ะบบสาธารณปู โภคอย่างเพียงพอเพราะจัดตามความต้องการของประชาชน
6 ความรเู้ บอ้ื งต้นเก่ียวกบั รฐั ศาสตร์ Basic of Politics บทท่ี ๑ ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกบั รฐั ศาสตร์ ก่อนทจี่ ะเรียนร้วู า่ วิชารฐั ศาสตร์คอื อะไรน้ัน เราจําเป็นจะตอ้ งทราบเสียก่อนว่า วิชาความรู้ในปัจจุบันนี้ มี การจําแนกหรือแบ่งประเภทอย่างไร เพ่ือจะได้เป็นประโยชน์ในการศึกษาสภาพและกําหนดขอบเขตของวิชา รฐั ศาสตร์ ในปจั จุบันน้ี ไดม้ ีการจําแนกประเภทของความรู้ออกเป็น 3 สาขาใหญๆ่ คือ 1. มนษุ ยศาสตร์ (Humanities) 2. วทิ ยาศาสตร์ธรรมชาติ (Natural Science) 3. สงั คมศาสตร์ (Social Science) มนุษยศาสตร์ คือ วิชาการที่กล่าวถึงคุณค่าและผลงานของมนุษย์ ความสวยงาม และความย่ิงใหญ่ของ มนุษยใ์ นอดีต สาขาวิชาของมนุษยศาสตร์ ได้แก่ ปรัชญา การดนตรี ศิลปศาสตร์ วรรณคดี ภาษาศาสตร์ เป็นตน้ วิทยาศาสตร์ธรรมชาติ คือ ความรู้ทไี่ ดม้ าจากการศกึ ษาธรรมชาตแิ ละปรากฏการณท์ างธรรมชาติ โดยการ ใช้วิธวี ทิ ยาศาสตร์ (Scientific Method) ได้แก่ การตงั้ สมมตฐิ าน (State Hypothesis) การวางแผนรวบรวมข้อมูล (Plan Method Gathering Data) การรวบรวมข้อมูล (Gathering Data) การวเิ คราะหข์ ้อมูล (Analysis of Data) การทาํ รายงาน (Report) และการทวนสอบ (Verification) เมื่อไดผ้ ลเชน่ ใดแล้วกอ็ าจจะนํามาสรา้ งเป็นทฤษฎี ซึ่งส่วนมากเป็นการทดลองมากกวา่ การสังเกตพิจารณา สาขาวิชาของวทิ ยาศาสตร์ธรรมชาติ ได้แก่ เคมี ฟิสิกส์ ชวี วิทยา ดาราศาสตร์ เปน็ ตน้ สังคมศาสตร์ คือ ความรู้เกี่ยวกับสังคมและมนุษย์ที่มาอยู่ร่วมกันในสังคม ตลอดจนปรากฏการณ์ต่างๆ ทางสังคม ในวิชาสังคมศาสตร์น้ัน การแสวงหาความรู้ก็ใช้วิธีทางวิทยาศาสตร์ (Scientific Method) เช่นกัน แต่ ทฤษฎีต่างๆ ทางสงั คมศาสตร์ได้มาจากการสังเกตพิจารณามากกว่าการทดลอง เพราะเหตุว่าสิ่งแวดล้อมต่างๆ ของ สังคมมนุษย์น้ัน เราไม่สามารถควบคุมได้อย่างแน่นอน (Lack of Control over all Variables) กล่าวคือ สังคม มนุษยแ์ ละตวั มนุษยเ์ องเปล่ยี นแปลงเสมอ และการท่ีจะนําเอาสังคมท้ังสังคมเข้าทําการทดลองเป็นสิ่งท่ีเป็นไปไม่ได้ หรือจะกระทํากับบุคคลก็เป็นการผิดศีลธรรม เพราะฉะน้ันทฤษฎีในสังคมศาสตร์จึงไม่สามารถพิสูจน์ได้แน่นอน เหมอื นทฤษฎีของวทิ ยาศาสตรธ์ รรมชาติ เป็นเพยี งการสังเกตการณ์และพยายามอธบิ ายปรากฏการณ์น้ันๆ สาขาของ วชิ าสังคมศาสตร์ ได้แก่ รฐั ศาสตร์ ประวตั ิศาสตร์ เศรษฐศาสตร์ สังคมวทิ ยา จิตวทิ ยา มานุษยวทิ ยา ภูมศิ าสตร์ ฯลฯ ความหมายของการเมอื ง การเมือง คือ กิจกรรมที่มนษุ ยก์ ระทํา รกั ษาคุณสมบัติที่ดี และปรับปรุงกฎท่ัวๆ ไป ซ่ึงมนุษย์ดํารงชีวิตอยู่ ภายใตก้ ฎเหล่านนั้ การเมืองมคี วามเชือ่ มโยงกับปรากฏการณข์ องความขัดแย้ง และความร่วมมือในสังคม จากการที่ มคี วามคิดเหน็ ท่ีตรงกันขา้ มกัน ความต้องการที่ตา่ งกัน การแขง่ ขนั กนั และความสนใจที่แตกต่างกัน การเมืองจึงเป็น เร่ืองของการแสวงหาวิธที ี่จะยตุ ปิ ัญหาและทําความตกลงกนั ทา่ มกลางความขัดแยง้ กันในสงั คม ทั้งน้ีได้มีการให้คําจัด
ความรูเ้ บื้องต้นเก่ียวกบั รัฐศาสตร์ 7 Basic of Politics ความที่น่าสนใจเกีย่ วกับการเมืองไว้ 2 ความหมาย คอื “การเมืองเป็นเรอื่ งของการตัดสินใจที่เก่ียวข้องกับส่วนรวม” และ “การเมืองเปน็ เร่ืองของการใช้อํานาจ” 1. การเมืองเป็นเรื่องของการตัดสินใจท่ีเกี่ยวข้องกับส่วนรวม (Politics as the making of common decisions) กล่มุ คนตา่ งๆ บ่อยครัง้ ทจ่ี ะตดั สนิ ใจในประเด็นทีมีผลตอ่ ชีวติ ของพวกเขาเอง เช่น ครอบครัวหน่ึงต้อง ตัดสนิ ใจวา่ จะไปอยู่ทีไ่ หน และควรจะใชก้ ฎเช่นใดเพื่อที่จะปกครองลูกๆ ของพวกเขา ต้องทําอย่างไรท่ีจะ รกั ษางบดุลของบา้ น และอื่นๆ เชน่ เดียวกับท่ีประเทศหนึ่งต้องตัดสินใจว่าจะตั้งสวนสาธารณะไว้ที่ใด ควร จะเปน็ พันธมิตรกับใครในช่วงที่เกดิ สงคราม ฯลฯ สิ่งต่างๆ เหล่านเี้ ป็นการทาํ ใหเ้ กดิ การกําหนดชุดนโยบาย สําหรับกลุ่มคน การตดั สินใจเพยี งสงิ่ เดยี วก็มีผลตอ่ สมาชกิ ทุกคนในกล่มุ นั้นๆ 2. การเมืองเป็นเรอ่ื งของการใชอ้ ํานาจ (Politics as the exercise of power) หลายครั้งท่ีการเมืองจะเก่ียวข้องกับการใช้อํานาจโดยคนหน่ึงคนหรือคนหลายคน เหนือคนอื่นๆ “อาํ นาจ” คือ ความสามารถของคนหนึ่งคนท่ีจะทําให้คนอ่ืนๆ ทําให้สิ่งท่ีเขาปรารถนาเป็นส่ิงแรกๆ ไม่ว่า จะเป็นเร่ืองใดๆ ก็ตาม การเมืองจึงมักจะเกี่ยวกับการใช้อํานาจ ไม่ว่าจะเป็นการบังคับ (coercion) หรือ ชกั จูง (persuasion) การบงั คบั (coercion) หมายถงึ ให้คนอน่ื กระทาํ บางส่งิ บางอย่างในสงิ่ ท่ีเขาไม่ต้องการกระทาํ การจูงใจ (persuasion) หมายถึง การชักชวนใหค้ นอื่นกระทาํ ในสง่ิ ท่เี ขาปรารถนาจะทํา โดยการวาง เง่ือนไขท่ีจะมตี ัวเลอื กทไ่ี มน่ ่าสนใจ และมที างเลอื กที่มเี หตุผลและเหมาะสมไวเ้ ปน็ ทางเลือกที่เหลืออยู่ ท้ังหมดน้ีเป็นความหมายของการเมืองท่ีมีการตีความกัน หรือจะพูดได้อีกนัยหน่ึงว่า การเมือง คือ การ แสวงหา รักษา และใช้อํานาจอิทธิพลและประโยชน์ เพื่อตนเองหรือส่วนรวม หรือท้ังสองอย่าง โดยมีประโยชน์ เกอื้ กูลกนั ความหมายของรฐั ศาสตร์ รัฐศาสตร์ (Political Science) คือ ศาสตร์ท่ีว่าด้วยรัฐ อันเป็นสาขาหน่ึงของวิชาสังคมศาสตร์ ที่กล่าวถึง เร่ืองราวเก่ียวกับรัฐ ว่าด้วยทฤษฎีแห่งรัฐ การวิวัฒนาการ มีกําเนิดมาอย่างไร สถาบันทางการเมืองที่ทําหน้าที่ ดําเนินการปกครองมีกลไกไปในทางใด การจัดองค์การต่างๆ ในทางปกครอง รูปแบบของรัฐบาล หรือสถาบันทาง การเมืองที่ตอ้ งออกกฎหมายและรักษาการณ์ให้เป็นไปตามกฎหมายเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของเอกชน (Individual) หรือกลุ่มชน (Group) กับรัฐ และความสัมพันธ์ระหว่างรัฐกับรัฐ ตลอดจนแนวคิดทางการเมืองที่มีอิทธิพลต่อโลก ตลอดจนการแสวงหาอํานาจของกลุ่มการเมืองหรือภายในกลมุ่ การเมือง หรือสถาบันการเมืองตา่ งๆ เพื่อการปกครอง รฐั ใหเ้ ปน็ ไปดว้ ยดที สี่ ดุ จากความหมายดังกล่าว รฐั ศาสตร์จึงมคี วามเก่ยี วพันกับสังคมศาสตร์ทุกสาขาวิชาอย่างแยกไม่ออก การท่ี เราจะศึกษาวชิ ารฐั ศาสตร์จาํ เปน็ ต้องกาํ จดั ขอบเขต โดยวิชารฐั ศาสตรจ์ ะม่งุ เน้นศึกษาเป็นพเิ ศษใน 3 หวั ข้อ คือ 1. รฐั (State) 2. สถาบันการเมอื ง (Political Institutions) 3. ปรชั ญาการเมือง (Political Philosophy) 1. รัฐ (State) เป็นหัวใจของวิชารัฐศาสตร์ เราจําเป็นท่ีจะต้องศึกษาว่า รัฐคืออะไร ความหมายและ องค์ประกอบของรฐั กาํ เนิดของรฐั และววิ ัฒนาการของรฐั และแนวคิดตา่ งๆ ท่เี ก่ียวข้องกับรัฐ 2. สถาบันทางการเมือง (Political Institutions) หมายถึง องค์กรหรือหน่วยงานที่ก่อต้ังข้ึน เพ่ือ ประโยชน์ในการปกครองและดําเนินกิจการต่างๆ ของรัฐทั้งภายในและภายนอกประเทศ ซ่ึงอาจจะ
8 ความรู้เบ้ืองตน้ เก่ยี วกบั รฐั ศาสตร์ Basic of Politics ก่อต้ังข้ึนโดยกฎหมายของรัฐ หรืออาจก่อต้ังขึ้นโดยการร่วมใจกันของเอกชน หรือตามประเพณีก็ได้ สถาบนั ทางการเมืองมี สภาผู้แทนราษฎร คณะรัฐบาล พรรคการเมือง เปน็ ต้น 3. ปรัชญาทางการเมอื ง (Political Philosophy) คือ ความคิดความเชื่อของบุคคลกลุ่มใดกลุ่มหน่ึง ใน ยคุ ใดยคุ หนงึ่ อนั เปน็ รากฐานของระบบการเมืองท่ีเหมาะสมกับสิ่งแวดล้อมและความต้องการของตน หมายความรวมถึง อุดมการณ์หรือเป้าหมายท่ีจะเป็นแรงผลักดันในมนุษย์ปฏิบัติการต่างๆ เพื่อให้ บรรลุเป้าหมายน้ันๆ เช่น ผู้บริหารประเทศไทยมีปรัชญาทางการเมืองที่มุ่งในทางพัฒนาประเทศให้ เจริญก้าวหน้าทางดา้ นอุตสาหกรรมและทางกสกิ รรม กบั ปรารถนาใหป้ ระชาชาติมีการกนิ ดอี ย่ดู ี ซึง่ ส่งิ เหล่าน้ีเป็นวัตถุประสงค์ (Objective or Ends) แต่การที่จะปฏิบัติ (Means) นั้นอาจจะใช้ระบบ ประชาธปิ ไตยแบบไทยๆ ซ่งึ ก็เป็นวิถที างท่อี าจจะนํามาถงึ จดุ มุง่ หมายน้ันๆ ก็ได้ สาขาวชิ าทางรัฐศาสตร์ วิชารัฐศาสตร์ก็มีการแยกเป็นแขนงวิชาเฉพาะ (Specialization) เพื่อผู้ศึกษาจะได้ทําการศึกษาให้ลึกซึ้ง ตอ่ ไป ซึง่ ในทนี่ ี้จะขอแบง่ ออกเปน็ 6 สาขา คอื 1. การเมืองการปกครอง (Politics and Government) คือ การศึกษาเก่ียวกับสถาบันทางการเมืองต่างๆ การแบง่ อาํ นาจระหวา่ งนิติบญั ญัติ บริหาร และตลุ าการ ศึกษารัฐบาลกลางและรฐั บาลทอ้ งถน่ิ ซึง่ เน้นไปทางโครงร่าง ของการปกครอง และยังรวมถึงความสําคัญของพรรคการเมืองท่ีมีบทบาทต่อรัฐ รวมไปถึงการศึกษาประชามติและ กลุม่ ผลประโยชนต์ ่างๆ ดว้ ย 2. ทฤษฎี / ปรัชญาทางการเมือง (Political Theory / Philosophy) คือ การมุ่งศึกษาปรัชญาท่ีเกี่ยวกับ การเมอื งการปกครองตง้ั แต่สมัยโบราณจนมาถึงปัจจุบัน ปรัชญาการเมืองเป็นเหมือนหลักการเหตุผล และความยึด ม่ันของรฐั ซึง่ ย่อมแตกต่างกันไป การศกึ ษาก็เพ่ือจะได้เรียนรู้เข้าใจท้ังจุดมุ่งหมาย (Ends) และวิถีทาง (Means) ของ แต่ละปรัชญาดังกล่าว โดยแสวงหาเหตุและผลนํามาปฏิรูปความคิดและการปฏิบัติทางด้านการปกครอง ให้ได้ รูปแบบทด่ี ีขึน้ จากตัวอย่างของความบกพร่องของรฐั อ่นื ๆ 3. การเมืองการปกครองเปรียบเทียบ (Comparative Politics) มุ่งการศึกษาถึงการปกครองของประเทศ ต่างๆ หลายประเทศ เพ่อื จะเปรยี บเทียบกนั ทางประวัติศาสตร์เป็นพื้นฐานแล้วจึงเปรียบเทียบรัฐธรรมนูญ โครงร่าง ของการปกครอง และสถาบันทางการเมืองต่างๆ เช่น พรรคการเมือง สภานิติบัญญัติ ระบบศาล เป็นต้น ลักษณะ ทางเศรษฐกจิ และสังคม ขนบธรรมเนียมประเพณี ตลอดจนนโยบายต่างประเทศในอดตี ก็จําเปน็ ต้องศกึ ษาเพอื่ นํามา ประกอบการพจิ ารณาด้วย ตามปกติการศึกษาสาขาน้ีมักจะศึกษาเพ่งเล็งกันท่ีประเทศซึ่งมีความสําคัญและมีบทบาทในวงการ นานาชาติ ท้งั ในปัจจบุ นั และอดีต เพือ่ ดลู ักษณะเดน่ และด้อย หรือเพื่อเอาเป็นตัวอย่างจากการปกครองแบบใดแบบ หนงึ่ ท้ังพยายามท่จี ะหาทฤษฎที ่วี ่าทาํ ไมรฐั ต่างๆ จงึ มกี ารปกครองท่ีแตกตา่ งกนั และทําไมการปกครองแบบน้เี ป็นผล กบั รัฐนี้ และการปกครองแบบเดยี วกนั ล้มเหลวในรัฐอ่ืนๆ เปน็ ต้นว่า ทําไมระบบการปกครองแบบประชาธิปไตยของ ประเทศอังกฤษจงึ เหมาะสมกับประเทศอังกฤษ แต่เมื่อนํามาใช้กบั ประเทศไทยแล้วทําให้เกดิ ปญั หายุ่งยากต่างๆ การเปรียบเทียบส่วนดีส่วนเสียของการปกครองแบบต่างๆ ของรัฐแต่ละรัฐ ก็มีวัตถุประสงค์เพื่อชักนําให้ เกดิ การปฏริ ูปการปกครอง โดยชีใ้ หเ้ ห็นถึงจดุ บกพร่องทีม่ ีอยขู่ องแตล่ ะรัฐอย่างชัดเจน นําไปสู่ระบอบการปกครองที่ เหมาะสมกับรัฐตน 4. กฎหมายมหาชน (Public Law) คือ การศึกษาเก่ียวกับรากฐานรัฐธรรมนูญของรัฐต่างๆ ปัญหาของการ กําหนดและแบ่งอาํ นาจปกครองประเทศ และความสัมพันธร์ ะหว่างเอกชนกบั รัฐ
ความรเู้ บอื้ งต้นเกย่ี วกบั รฐั ศาสตร์ 9 Basic of Politics 5. ความสมั พนั ธร์ ะหว่างประเทศ (International Relations) กค็ ือ การติดตอ่ กันในระดับข้ามพรมแดน โดย ท่ีการศึกษานั้นจะหมายรวมถึงองค์การระหว่างประเทศ เช่น สหประชาชาติ องค์การสนธิสัญญาป้องกันร่วมต่างๆ องคก์ ารขา้ มชาติ องคก์ ารภมู ภิ าค ตลอดจนกฎหมายระหว่างประเทศ และพธิ ีทางการทูตก็เพื่อเข้าใจและเป็นวิถีทาง (Means) ซึ่งจะช่วยในการติดต่อของรัฐต่างๆ นั่นเอง วิชาน้ีต้องอาศัยความรู้ทางสาขาวิชาต่างๆ ประกอบด้วยเป็น อย่างยง่ิ เพราะความสมั พันธ์ระหว่างประเทศน้ีตอ้ งอาศยั ความรใู้ นปจั จัยตา่ งๆ ไดแ้ ก่ วัฒนธรรม ประชากร เศรษฐกจิ ภมู ิศาสตร์ ประวัติศาสตร์ จิตวิทยา ประกอบกนั เป็นภมู หิ ลงั (Background) ของประเทศนั้นๆ เพื่อเป็นประโยชน์ใน การระหว่างประเทศ ซึง่ เป็นความสมั พนั ธร์ ะหว่างรฐั กับรฐั 6. รฐั ประศาสนศาสตร์ / บริหารรัฐกิจ (Public Administration) คือ การศึกษาโดยตรงในการบริหารของ รัฐบาล ตลอดจนการบริหารกฎหมาย การจัดการเกี่ยวกับคน เงินตรา วัตถุ บริหารรัฐกิจนับเป็นแขนงวิชาใหม่ของ วชิ ารัฐศาสตร์ เนือ่ งจากการท่รี ฐั บาลมีขอบเขตภาระหนา้ ท่กี วา้ งขวางขนึ้ ตามยุคสมัย ทาํ ใหต้ อ้ งหาวชิ าการบรหิ ารงาน ให้มีประสิทธิภาพและรวดเร็ว จึงต้องมีวิชานี้เพ่ือสนองความต้องการของยุคใหม่ วิชานี้เน้นในทางปฏิบัติให้เป็นไป ตามเจตจํานงในการปกครองของรัฐ ให้เป็นไปตามจุดประสงค์และอุดมการณ์ของรัฐอย่างเป็นผลดีและมี ประสิทธภิ าพมากทสี่ ุด ววิ ัฒนาการและวิธกี ารศกึ ษาวชิ ารฐั ศาสตร์ การศึกษาวิชารัฐศาสตร์ นับแต่สมัยโบราณจนถึงปลายคริสต์ศตวรรษที่ 19 ยังไม่มีลักษณะเป็นศาสตร์ท่ี แท้จริง หากเป็นเพียงการรวบรวมความคิดของปราชญ์ทางสังคมที่แล้วๆ มา ความคิดและความสนใจของปราชญ์ เหล่านั้น ได้แก่ ปัญหาสําคัญๆ ของสังคมในแต่ละยุคแต่ละสมัย ทําให้เนื้อหาสาระวิชาการเมืองมีขอบเขตของ การศกึ ษาทีก่ วา้ งขวางมาก เนือ่ งจากได้รวบรวมเอาความรูเ้ กย่ี วกบั เร่ืองราวสารพัดอยา่ งไว้มากเกนิ ไป ในระยะหลงั ๆ การศกึ ษาวิชารฐั ศาสตร์จึงยังคงอยู่ในภาวะของการแสวงหาความเป็นเอกลักษณ์ของตนเอง เพอื่ ท่ีจะยกฐานะของตนให้เป็นศาสตร์สาขาหนึ่งที่มีหลักแห่งความรู้ท่ีเป็นลักษณะวิชาของตนโดยเฉพาะ โดยอาศัย วิธีการทางวิทยาศาสตร์มากขึ้นมิใช่เป็นเพียงศาสตร์ประยุกต์ ที่นําแนวความคิดในวิชาอ่ืนๆ มาศึกษาสถาบันทาง การเมืองต่างๆ จากความพยายามดงั กล่าวนี้ ทาํ ใหว้ ิชารัฐศาสตร์มีแนวโน้มท่จี ะมีลกั ษณะเป็นศาสตร์ในทางวิเคราะห์ ท่ียึดถอื ทฤษฎเี ป็นแนวทางในการศึกษาวิจยั มากข้ึน แทนทีจ่ ะยดึ ปญั หาของสังคมทเ่ี กิดขึน้ ในทางปฏิบัติเป็นหลักแห่ง ความสนใจ วิวฒั นาการของการศึกษาวิชารัฐศาสตรแ์ บง่ ออกไดเ้ ป็น 4 ระยะ ด้วยกนั คือ 1. สมยั ทศี่ ึกษาเกี่ยวกับปรชั ญาทางศีลธรรมท่ัวไป 2. สมยั ทีศ่ ึกษาตวั บทกฎหมาย 3. สมยั ท่ีศึกษาส่งิ ที่เป็นจรงิ 4. สมัยที่เนน้ ในด้านพฤติกรรมศาสตร์ ระยะที่ 1นับตั้งแต่สมัยกรีกโบราณ จนถึงคริสต์ศตวรรษที่ 19 เป็นเวลาประมาณ 2,500 ปี การศึกษา ยังคงรวมอยู่กบั การศึกษาเกี่ยวกบั สงั คมทว่ั ไป ซึ่งไดแ้ กก่ ารศึกษาในเร่ืองปรัชญาทางศีลธรรม ในระยะน้ันนักปราชญ์ ทางสังคมมีเสรีท่ีจะเลือกสนใจศึกษาปัญหาสําคัญของสังคมที่เกิดขึ้นในแต่ละยุคแต่ละสมัย การศึกษาวิชาการเมือง ไดแ้ ก่ การศกึ ษาเกยี่ วกับความเปน็ มาของทางการเมืองในสังคมตะวันตก เน้ือหาสาระของวิชาส่วนใหญ่ประกอบด้วย หัวข้อเรือ่ งท่มี คี วามสัมพันธต์ ่อกนั น้อย เน่ืองจากยังขาดแนวคิดทางทฤษฎีที่ชัดเจน และระเบียบวิธีที่รัดกุมเป็นหลัก ในการรวบรวมความรู้ เน้ือหาสาระของวิชาเป็นผลซ่ึงเกิดจากการรวบรวมการศึกษาเก่ียวกับปัญหาที่เกิดขึ้นในสมัย หนึง่ ๆ ซ่ึงไม่ค่อยซ้าํ แบบกัน
10 ความรู้เบ้ืองต้นเก่ียวกับรัฐศาสตร์ Basic of Politics ระยะท่ี 2การศกึ ษาท่ีเนน้ ในเรอื่ งทฤษฎที ว่ี า่ ดว้ ยรฐั ในครสิ ต์ศตวรรษที่ 19 ทําให้วิชาการเมืองเป็นศาสตร์ สาขาหนึ่งข้ึนมาเป็นคร้ังแรก ซ่ึงรัฐยังมีความหมายแคบๆ ว่าเป็นท่ีรวมของกฎเกณฑ์ในทางกฎหมาย และจํากัด เฉพาะโครงสร้างหรือรูปแบบท่ีเป็นทางการตามกฎหมาย ก่อให้เกิดความรู้โดยเฉพาะในวิชารัฐศาสตร์ขึ้นมา นับแต่ นัน้ เปน็ ตน้ มา วชิ ารฐั ศาสตร์จึงสนใจศึกษาในเร่ืองความก้าวหน้าของกฎหมาย ข้อกําหนดในทางกฎหมายท่ีเกี่ยวกับ การปกครองแบบต่างๆ อาํ นาจทีเ่ ปน็ ทางการของฝา่ ยนิติบัญญัติ ศาล และฝ่ายบริหารประกอบกับการศึกษาถึงเร่ือง ปรชั ญาโบราณ เปา้ หมายของการปกครอง และเปา้ หมายของรฐั ระยะท่ี 3ถึงแม้ว่า วิชาการเมืองในยุโรป ยังคงจํากัดตัวเองเฉพาะการศึกษาเรื่องรัฐ โดยเน้นท่ีรูปแบบ ทางการตามตวั บทกฎหมายจนถึงคริสต์ศตวรรษที่ 20 แต่วิชาการเมืองในสหรัฐ จําเป็นต้องหันไปสนใจศึกษาความ เป็นจริงทางการเมืองต่างๆ มากข้ึน โดนเน้นในด้านกระบวนการท่ีไม่เป็นไปตามกฎหมาย และไม่เป็นทางการ ทั้งน้ี เพราะมีปัญหาหลายดา้ น ซึง่ เกดิ จากการเปน็ สงั คมอตุ สาหกรรมและการมีกล่มุ ตา่ งๆ ที่ทําให้เกิดความยุ่งยากซับซ้อน มากขน้ึ มงุ่ ศึกษาความเป็นจริงทางการเมือง เช่น กลุ่มท่ีมีอิทธิพลทางการเมือง ทําให้มีการแบ่งสาขาวิชาเฉพาะใน รัฐศาสตร์ แต่อย่างไรก็ตาม ในระยะก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 ทุกสาขาวิชาได้เริ่มมีความพยายามที่จะอธิบายว่า การเมืองเป็นเรอ่ื งของการตอ่ ส้รู ะหว่างกลมุ่ ต่างๆ เพือ่ มีอาํ นาจ หรืออิทธิพลเหนือการปกครองหรือนโยบายสาธารณะ จึงทําให้นักรัฐศาสตร์ผละจากการยึดม่ันในแนวทางการศึกษาวิเคราะห์ และหันไปสนใจศึกษาเรื่องของการอํานาจ และกลุ่มต่างๆ ระยะที่ 4เป็นสมัยที่วชิ ารัฐศาสตรเ์ นน้ ในด้านพฤติกรรมศาสตร์ ซ่งึ เพิง่ จะเจริญขึน้ ภายหลงั สงครามโลกครงั้ ที่ 2 กล่าวคือ มีการนําเทคนิคใหม่ๆ มาศึกษาพฤติกรรม ซ่ึงเป็นอยู่จริงๆ และก่อให้เกิดกิจกรรมต่างๆ ข้ึน โดยมุ่ง ศึกษาทต่ี วั บคุ คล เชน่ ศึกษาถึงทัศนคติ ส่ิงจูงใจ และค่านิยมของคน ทําให้มีข้อมูลใหม่ๆ เกิดข้ึนเป็นจํานวนมาก จึง เกิดความจาํ เป็นท่ีจะต้องมีการจัดระเบียบในการศึกษาวิชารัฐศาสตร์เสียใหม่ การศึกษาที่ยึดหลักพฤติกรรมศาสตร์ มุ่งสนใจศกึ ษากระบวนการตา่ งๆ แทนการเนน้ ในเรอ่ื งสถาบัน จึงมีผลให้วิชาการเมืองก้าวจากการเป็นศาสตร์ในทาง สังเคราะห์ไปสกู่ ารเปน็ ศาสตร์ในทางวเิ คราะห์มากขึน้ สาํ หรับวิธกี ารศกึ ษาทางรฐั ศาสตร์ ยังมกี ารแบ่งออกเป็น 2 กลุม่ ใหญ่ คือ 1. กลุ่มนิยมการตีความ (Interpretivism) จะศึกษาเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ ปรัชญา ท่ีเก่ียวข้องกับ การเมือง รวมถึงการค้นคว้าหารายละเอียด ข้อมูลท่ีมิได้เป็นในเชิงจํานวน เพ่ือนํามาอธิบาย ตีความ ปรากฏการณ์ 2. กลุ่มพฤตกิ รรมศาสตร์ (Behaviourism) เกดิ ขึ้นหลังสมัยสงครามโลกครั้งท่ี 2 จะมุ่งเน้นในเร่ืองของ ทฤษฎีทางการเมืองที่เป็นกลไก และใช้หลกั ทางสถติ ิเพ่ือตรวจสอบขอ้ มูลในเชงิ จํานวน แต่เดิม นักรัฐศาสตร์ก่อนสงครามโลกคร้ังท่ี 2 จะมุ่งเน้นในการตีความ ใช้ข้อมูลหรือเอกสารในห้องสมุด และใช้วิธีการอนุมาน ตลอดจนยังคงศึกษาว่ารัฐท่ีดีหรือรัฐบาลที่ควรเป็นอย่างไร ในช่วงระยะเวลาของสงครามโลก คร้ังท่ี 2 บรรดาอาจารย์และนักวิชาการทางรัฐศาสตร์ได้เข้าไปทํางานและปฏิบัติจริง ในหน่วยงานและกระทรวง ต่างๆ ทําให้เกดิ ประสบการณ์และเปลี่ยนแปลงวิธีการศึกษาทางรัฐศาสตร์ไปมุ่งเน้นในทางพฤติกรรมศาสตร์มากข้ึน โดยใช้ความรทู้ ี่ได้มาจากการทาํ งานกบั ของจรงิ คอื รัฐบาล มาแล้ว เพ่ือทจ่ี ะตัดสินได้อยา่ งแม่ยําวา่ 1. ใครจะไดอ้ าํ นาจทางการเมืองในสังคมหนึง่ ๆ 2. พวกเขาไดอ้ าํ นาจทางการเมืองมาอยา่ งไร 3. ทาํ ไมพวกเขาจงึ เอาอาํ นาจทางการเมอื งมาได้ 4. เม่อื พวกเขาไดอ้ ํานาจทางการเมืองแลว้ พวกเขาเอาอาํ นาจน้นั ไปใชท้ ําอะไร แต่ส่ิงที่สําคัญท่ีสุด ก็คือว่า การจะมุ่งเน้นไปในแนวทางใดแนวทางหน่ึง คงไม่เป็นการดีอย่างแน่นอน เพราะในบาง เร่ืองก็ไม่อาจใช้หลักทางพฤติกรรมศาสตร์ได้ ดังน้ัน รัฐศาสตร์จึงเป็นการเช่ือมโยงองค์ประกอบบางส่วนของกลุ่ม “นิยมการตคี วาม” และองคป์ ระกอบบางสว่ นของกล่มุ “พฤติกรรมศาสตร”์
แนวความคดิ ว่าดว้ ยรฐั 11 บทท่ี ๒ แนวความคิดว่าด้วยรัฐ รฐั หรือประเทศเป็นหน่วยการเมอื งทส่ี ําคญั ท่สี ดุ และเป็นส่งท่ีมีบทบาทอย่างมากในการเมืองสมัยใหม่ ใน พจนานกุ รมได้ให้ความหมายว่า แว่นแคว้น บ้านเมอื ง ประเทศ มาจากคาํ บาลี รฏฐ หรือ ราษฎร ในภาษาสันสกฤต ชมุ ชนทางการเมืองในอดีต 1. ชุมชนบุพกาล ไม่มีระเบียบการปกครอง เป็นการดํารงชีวิตเพื่อความอยู่รอด และรวมตัวกันเป็นชุมชน เพยี งเพ่อื เอื้อประโยชน์ในเรือ่ งของอาหาร 2. ชนเผ่า (Tribe) หรือ กลุ่มเครือญาติ (Clan) จัดเป็นรัฐที่พัฒนาน้อยที่สุดมักจะเน้นขนบธรรมเนียม ประเพณีมาก การแต่งกายก็จะเป็นลักษณะเครื่องแบบท่ีคล้ายๆ กัน และจะบ่งบอกสถานภาพของผู้แต่ง กายนัน้ ๆ ได้ ปกครองโดยหัวหน้า หรือผู้อาวุโส การยึดติดอยู่กับดินแดนอาณาเขตที่แน่นอนมีน้อย มักจะ เร่ร่อนที่อยูเ่ ป็นครั้งคราว 3. แคว้น (Province / Principality) แบ่งออกเปน็ 3 ลักษณะ คือ 1) นครรัฐ (City State) ตัวอย่างที่สําคัญ คือ นครรัฐของกรีซ ซ่ึงมีความยึดมั่นในเสรีภาพและมี ความนิยมชมชอบในความเป็นมนุษย์เป็นท่ีย่ิง ชาวกรีกโบราณไม่ยอมอยู่ภายใต้อํานาจของผู้ เผด็จการหรือพระในศาสนาใดๆ โลกทัศน์ของชาวกรีกจะเป็นแบบมีเหตุมีผลไม่งมงายติดอยู่กับ ความเช่ือหรือศาสนาจนเกินไป ชาวกรีกโบราณถือว่าความอยากรู้อยากเห็นนั้นเป็นส่ิงท่ีสูงส่ง ดังนั้น การแสวงหาความรู้จึงเป็นสิ่งสําคัญ และทําให้เกิดมรดกแก่โลกท้ังทางด้านความคิด ปรัชญา และทสี่ าํ คญั มากสําหรับวิชารัฐศาสตร์ กค็ อื แนวความคดิ ประชาธปิ ไตย 2) รัฐฟิวดัล (Feudal State) มีลักษณะท่ีสําคัญ คือ การยึดพ้ืนที่เป็นหลักสําคัญโดยพวกขุนนาง (Lord) บงั คบั ให้ผูค้ นเปน็ ทาสตดิ ทดี่ นิ (Serf) ทาํ งานรบั ใชแ้ ละเกณฑ์เป็นทหารในยามศึกสงคราม ดว้ ย โดยขนุ นางจะใหก้ ารคมุ้ ครองเป็นผลตอบแทน 3) รัฐเจ้า (Principality) เปน็ รฐั ที่เกดิ ข้นึ ในสมัยยคุ กลาง โดยมีเจ้า (Prince) เป็นผู้ปกครอง ยังไม่มี คําว่า รัฐ (State) เพราะ ยังไม่มีอํานาจสูงสุดเด็ดขาดในการปกครอง ยังเป็นการปกครองแบบ จารีตด้ังเดิม และมีการรวมกันใช้อํานาจระหว่างรัฐกับองค์กรทางสังคมต่างๆ เช่น ศาสนจักร สภาขนุ นาง และสมาคมต่างๆ เปน็ ต้น 4. อาณาจักร (Kingdom) คือ รัฐท่ีมีพระเจ้าแผ่นดิน หรือ กษัตริย์ (King) ปกครอง โดยแบ่งชนชั้นเป็น ผู้ปกครอง กับ ผู้อยู่ใต้ปกครอง ซ่ึงก็คือ ประชาชน ในยุคกลางได้มีความพยายามที่จะแยกอาณาจักรออก จากศาสนจักร และสร้างศูนยร์ วมอาํ นาจอยู่ท่กี ษัตรยิ ์แทนท่จี ะเป็น พวกพระ พวกขุนนาง หรือ เจ้าผู้ครอง แว่นแคว้นต่างๆ 5. จักรวรรดิ (Empire) แบง่ ออกเป็น 2 ลกั ษณะ คอื 1) จักรภพของประเทศตะวันออก (Oriental Empire) คือ เป็นรัฐในรูปแบบรัฐเผด็จการที่มีการ ปกครองแบบรวมอาํ นาจอยู่ท่ีศนู ย์กลางของชนช้นั ปกครองมีอํานาจเด็ดขาด ในขณะท่ีประชาชน ส่วนใหญ่มชี ีวิตเหมือนขา้ ทาสไมค่ ่อยมสี ิทธิมเี สยี งเทา่ ไรนัก 2) จักรวรรดิโรมัน (The Roman Empire) เป็นจักรวรรดิท่ีมีความเป็นนิติรัฐ ในแง่ที่ว่ากฎหมาย ของโรมันให้ความเท่าเทียมกันแก่บรรดาชาวโรมันทั้งปวง ทั้งยังมีความพยายามท่ีจะให้สิทธิใน การเป็นพลเมือง (Citizenship) แก่บุคคลต่างชาติที่มีความสามารถ หรือทําโยชน์ให้แก่ประเทศ ท้ังนี้ทุกคนต้องรู้กฎหมาย คือ รู้ทั้งสิทธิและหน้าที่ของตน กฎหมายของโรมันจะถูกจารึกไว้บน แผ่นไมห้ รือโลหะแล้วนําไปตงั้ ไวต้ ามสถานท่ีสาธารณะต่างๆ เพอ่ื ทค่ี นทุกคนจะได้อ่านและเข้าใจ
12 แนวความคดิ ว่าด้วยรฐั ในสิทธิและหน้าที่ของตน สําหรับจักรวรรดิโรมันได้มีการปกครองมาแล้วหลายแบบ ทั้งแบบ กงสลุ (Consul) การปกครองโดยสภา (Senate) และต่อมากเ็ ป็นจักรพรรดิ (Emperor) การเมอื งในระยะแรก - มีประชากรจํานวนหนึ่ง - มีผลผลติ มากพอทจ่ี ะเหลอื (Surplus) - มีการแบง่ งานกันทํา (Division of Labour) คนบางกลุ่มไมต่ ้องทําการผลติ - มกี ารแบ่งชนชัน้ ทางสังคม (Social Stratification) เปน็ ชนชัน้ ปกครอง – ผอู้ ยู่ใต้ปกครอง - มีความเชื่อบางอย่างเป็นพ้ืนฐานของการยอมรบั อาํ นาจ พัฒนาการส่คู วามเปน็ รฐั สมัยใหม่ ในช่วงก่อนคริสต์ศตวรรษท่ี 14 คนโดยส่วนมากยังยึดติดกับสถานะที่เป็นคนทํางานบนที่ดิน หรือเกณฑ์ แรงงานใหแ้ ก่พวกขุนนาง หรอื เจา้ แวน่ แคว้นต่างๆ โดยทํางานบนที่ดินของตนทีม่ ผี ลผลิตเพยี งพออย่พู อกิน และยังไม่ มคี วามคิดว่าตวั เองเป็นคนของรฐั ใด เพราะในชว่ งนั้นมกี ารรบพุ่ง แยง่ ดินแดนกันตลอด ทําให้บางคร้ังประชาชนก็ถูก กวาดต้อนไปยังดินแดนอื่น หรือบางครั้งก็มีผู้ปกครองคนใหม่มาปกครองดินแดนน้ันแทน ทําให้ยังไม่มีการให้ ความสาํ คญั แกผ่ ปู้ กครองของตนมากนัก ต่อมาในช่วงคริสต์ศตวรรษท่ี 14 - 15 พวกกษัตริย์ยุโรปได้พยายามสร้างอํานาจของตนให้มากข้ึน และ พยายามที่จะรวมอาํ นาจในการปกครองดนิ แดนที่กว้างใหญ่ ซึง่ น้ีเปน็ จดุ เรม่ิ ต้นของการสร้างความเป็นรัฐ แต่อย่างไร กต็ าม ในยุโรป รูปแบบของรัฐกย็ ังไมเ่ กิดขน้ึ จนกระทัง่ ต้นครสิ ต์ศตวรรษท่ี 19 ในช่วงระยะแรกของการสรา้ งความเปน็ รัฐในยโุ รป ประชาชนก็ยังไม่มีความรู้สึกแตกต่างว่าเขาเป็นคนของ รฐั ใด เพราะบางครั้งดนิ แดนทอ่ี าศยั ก็ถูกยกใหร้ ัฐอ่ืนด้วยเง่ือนไขของการแต่งงาน การสงคราม หรือการชดใช้หน้ี ทํา ใหป้ ระชาชนยังเป็นเพียงทรัพย์สมบัติทีส่ ามารถโอนย้ายให้แกผ่ ู้ปกครองคนอืน่ ได้ การสร้างรัฐสมัยใหม่ในยุโรปอาจจะกล่าวได้ว่าเกิดขึ้นได้โดย นโปเลียน โบนาปาร์ท (Napolean Bonaparte) ในชว่ ง ค.ศ.1800-1815 ในประเทศฝร่ังเศส เขาได้สร้างความเป็นหน่ึงจากการเกิดความต่ืนตัวและ ความต้องการในช่วงของการปฏิวัติฝร่ังเศส (French Revolution) ด้วยการสร้างระบบราชการและกองทัพท่ีมี ประสิทธิภาพและมคี วามตนื่ ตวั ผลของรัฐที่สร้างขึ้นนี้เกือบจะทําให้ยึดครองยุโรปไว้ได้ท้ังหมด และเป็นผลทําให้คน ในประเทศรู้สกึ วา่ เขาไมไ่ ด้สเู้ พยี งเพอื่ ตวั พวกเขาทงั้ นนั้ แต่เพอ่ื ประเทศของพวกเขา (ฝรง่ั เศส) ผลหลังจากนี้ ทําให้เกิดรัฐสมัยใหม่ท้ังในยุโรปและอเมริกาตอนเหนือในช่วงต้นคริสต์ศตวรรษท่ี 19 แต่ ประชาชนสว่ นมากในโลกก็ยังอาศัยอยู่ท่ามกลางการจัดแจงโดยคนอื่น เนื่องจากการขยายตัวของการล่าอาณานิคม ของยุโรป ในช่วงคริสต์ศตวรรษท่ี 18 - 19 ได้แบ่งส่วนอื่นๆ ของโลกออกเป็นอาณานิคมของประเทศต่างๆ ใน ศตวรรษท่ี 20 อํานาจของยุโรปได้หมดไปเน่ืองด้วยผลของสงครามโลกคร้ังที่ 2 อาณานิคมต่างๆ ได้แยกตัวเอง ออกเป็นรัฐอสิ ระ พวกผู้นําของรฐั เหล่านตี้ ่างเป็นผทู้ ี่ได้รับการศึกษาในยุโรปทงั้ ส้ิน ได้นํารูปแบบของรัฐในยุโรปมาจัด องคก์ รทางการเมืองของประเทศของตน และในท่ีสดุ รฐั สมยั ใหม่ได้เป็นรูปแบบสากลขององค์กรทางการเมือง กําเนิดของรัฐ การก่อกาํ เนิดของรัฐมีการตงั้ ประเดน็ วเิ คราะห์กันเป็นอย่างมากว่าเกิดขึ้นได้อย่างไร แต่ส่ิงหนึ่งที่เรารู้ก็คือ วา่ รฐั สมยั ใหม่พฒั นาขึ้นเน่ืองดว้ ยการเข้ามาของอตุ สาหกรรมและธรุ กิจ อตุ สาหกรรมขนาดใหญย่ อ่ มต้องการแรงงาน เปน็ จาํ นวนมาก และต้องการแรงงานทีอ่ ยใู่ นท้องท่เี ดียวกันเพื่อความสะดวกในการดําเนินงาน และเพื่อประโยชน์ใน กจิ กรรมทางเศรษฐกจิ ในลกั ษณะมหภาคแล้ว ความซับซ้อนในการพฒั นาความร่วมมือในทางเศรษฐกิจ ทําให้รัฐเข้า มามบี ทบาทอยา่ งมาก
แนวความคดิ วา่ ด้วยรฐั 13 จากการพัฒนาของรัฐนี้เอง พ่อค้าและนักอุตสาหกรรมจึงสามารถที่จะสร้างกลุ่มแรงงานขนาดใหญ่ท่ีมี เอกภาพได้ และยังขายผลิตภัณฑ์ผ่านตลาดขนาดใหญ่ภายใต้กฎหมายชุดเดียวกัน สินค้าสามารถขนส่งได้อย่าง สะดวก ปราศจากการถูกเก็บภาษีพิเศษท่ีสามารถผ่านจากส่วนหนึ่งของรัฐเป็นสู่อีกส่วนหนึ่งได้ ในลักษณะมหภาค เช่นนี้ โรงงานและเรือขนาดใหญส่ ามารถสรา้ งได้ อตุ สาหกรรมและธุรกจิ จึงไดร้ บั ผลประโยชน์จากพฒั นาการของรฐั ในความหมายลกั ษณะเชน่ นี้ จงึ สรปุ ไดว้ ่า 1. อุตสาหกรรมและธรุ กิจสมัยใหม่ต้องการบางส่ิงท่ีเป็นลักษณะเช่น “รัฐ” และการเข้ามาของการ รถไฟ รวมทั้งการส่งโทรสารในศตวรรษท่ี 19 รัฐบาลจึงสามารถตรวจสอบได้อย่างฉับไวถึง สถานการณ์ท่เี กิดขน้ึ ในประเทศ และสามารถเขา้ แก้ปญั หาไดอ้ ยา่ งทนั ทว่ งที 2. “รัฐ” ต้องการธุรกิจและอุตสาหกรรมสมัยใหม่เพ่ือที่จะเป็นการง่ายท่ีจะควบคุมประชาชนและ เก็บภาษีจากพวกเขา และจากการท่ีรัฐมีพัฒนาการนี้ ทําให้รัฐบาลสามารถท่ีจะขยายและ กระจายอํานาจไดก้ วา้ งขวางข้ึน องคป์ ระกอบของรฐั สมัยใหม่ รัฐหนงึ่ ๆ จะมคี วามเป็นรัฐสมัยใหมท่ สี่ มบรู ณไ์ ด้ จะต้องมีองคป์ ระกอบครบทงั้ 4 ประการ คอื 1. ประชาชน เป็นองค์ประกอบท่ีสําคัญของรัฐ กล่าวคือ รัฐทุกรัฐจะต้องมีประชาชนอาศัยอยู่จึงจะเป็นรัฐ ขึน้ มาได้ ความเจริญกา้ วหนา้ หรือตกตาํ่ เสือ่ มโทรมของรฐั นน้ั สว่ นใหญ่ขน้ึ อยู่กับประชาชนของรัฐน้ันๆ น่ันเอง ดังนั้น ทรพั ยากรมนษุ ยจ์ งึ เปน็ ส่ิงท่ีมีค่า การทปี่ ระชาชนมีคณุ ภาพสงู คือ สุขภาพอนามยั ดี มีความรสู้ งู มีระเบียบวนิ ยั ดี กจ็ ะ สามารถพัฒนาประเทศใหก้ า้ วไปสคู่ วามเจรญิ ก้าวหน้าได้ถึงแม้ทรัพยากรจะไมค่ อ่ ยเออ้ื อาํ นวยก็ตาม ทงั้ น้จี ํานวนประชากรก็เป็นสว่ นหน่ึงที่แสดงถงึ ความเปน็ มหาอํานาจ เชน่ สาธารณรัฐประชาชนจีน มีปะชา กรกว่าพันล้านคน แต่บางครั้งมหาอํานาจก็อาจจะมีประชากรจํานวนน้อย แต่มีคุณภาพสูง และการที่เราจะวาง กฎเกณฑท์ ่แี นน่ อนได้ว่ารัฐหน่ึงๆ ควรมีประชาสักเท่าไร คงจะกระทําไม่ได้ เพียงแต่อนุมานไว้ว่ามีจํานวนประชากร เพยี งพอท่สี ามารถปกครองตวั เองไดก้ เ็ ป็นรัฐได้ ในทางกฎหมายน้ัน ประชาชนของรัฐใดก็จะมีสัญชาติ (Nationality) ของรัฐน้ัน ส่วนชาวต่างชาติท่ีมา อาศัยอยใู่ นรฐั อื่นเรียกวา่ คนต่างด้าว (Alien) คนต่างด้าวเหล่านี้ต้องปฏิบัติตามกฎหมายของรัฐท่ีตนไปอาศัยอยู่ด้วย อนึ่งมีข้อสังเกตในกรณีที่ราชอาณาจักรไทยมีการกําหนดเร่ืองเช้ือชาติ (Race) เกี่ยวกับประชาชนชาวไทย หรือที่ เรียกว่าเช้ือชาติไทย (Thai Race) ทั้งที่โดยท่ัวไปความหมายชองเช้ือชาติ น้ันเป็นเกณฑ์ในการแบ่งมนุษยชาติตาม ผวิ พรรณซึ่งมีผิวขาว ผิวเหลือง ผิดดาํ หรอื แบ่งเกณฑ์ตามเผ่าพนั ธเ์ุ ปน็ คอเคซอยด์ มองโกลอยด์ และนกิ รอยด์ 2. ดินแดนที่แน่นอน เป็นความคิดใหม่เนื่องจากได้มีการประดิษฐ์เคร่ืองมือในการชั่ง ตวง วัดที่ทันสมัยข้ึน และเป็นสาเหตใุ หญ่มากสาเหตุหน่ึงของสงครามและการปะทะกัน ดินแดนท่ีแน่นอนน้ีมีพ้ืนดิน น่านนํ้าท้ังอาณาเขต ในแม่นํ้า ทะเลสาบ และอาณาเขตใต้ทะเล นอกจากน้ียังรวมถึงขอบเขตของท้องฟ้าที่อยู่เหนืออาณาเขตของพื้นดิน และท้องน้ําท้ังหมดอีกด้วย อาณาเขตบนพ้ืนดินน้ันตามหลักการสากลแล้วมักยึดเอาพรมแดนธรรมชาติ เช่น เทือกเขา แม่นํ้า เป็น เกณฑ์ สําหรับในทรี่ าบกจ็ ะมีการปักเขตแดนอยา่ งชดั เจน สว่ นอาณาเขตในทอ้ งทะเลน้ัน เดิมทีตามหลักสากลจะยึดถือเอาว่าอาณาเขตของรัฐท่ีเรียกว่าเขตอธิปไตย นั้น นับจากชายฝั่งออกไปในทะเล 3 ไมล์ ซึ่งจัดว่าปลอดภัยจากวิถีของกระสุนปืนใหญ่ของเรือรบสมัยก่อน ต่อมา เนื่องจากความกา้ วหน้าทางเทคโนโลยีทีม่ กี ารพฒั นาอาวธุ ปืนใหญ่ยิงไดไ้ กลกว่า 3 ไมล์ ทําให้มีการกําหนดอาณาเขต ทางทอ้ งทะเลใหม่เปน็ 12 ไมล์ แต่ปัจจบุ นั แทบไม่มีความหมาย เพราะเทคโนโลยที างอาวธุ ประเภทขีปนาวธุ สามารถ ยิงไปได้ไกลมาก จึงได้เปลี่ยนไปพิจารณาทางเศรษฐกิจแทน เน่ืองจากท้องทะเลนั้นเป็นแหล่งท่ีมั่งค่ังด้วย ทรัพยากรธรรมชาติ ไมว่ ่าจะเปน็ สตั วน์ ํา้ และแหลง่ แร่ อาทิ นา้ํ มนั ทองคํา ยเู รเนยี ม
14 แนวความคิดวา่ ดว้ ยรฐั ต่อมาได้มีการตกลงกันทําอนุสัญญา (Convention) พ.ศ.2535 ในการประชุมนานาชาติ ท่ีจัดขึ้นโดย องค์การสหประชาชาติ แต่กว่าจะมีผลบังคับใช้ โดยการที่มีประเทศให้สัตยาบันครบ 60 ประเทศ ก็เป็นปี พ.ศ. 2537 หลักการสําคัญ คอื ทุกประเทศทมี่ ีอาณาเขตตดิ ต่อกับท้องทะเลจะมอี าณาเขตท่ีมีอํานาจอธิปไตยอย่างเต็มที่ นับจากชายฝ่ังออกไป 12 ไมล์ ส่วนเขตเศรษฐกิจจําเพาะ คือ เขตท่ีรัฐเจ้าของจะมีสิทธิอธิปไตยออกไป 200 ไมล์ เรยี กว่า เขตเศรษฐกจิ จําเพาะ (Exclusive Economic Zone) ถอื เปน็ เขตแดนที่รัฐเจ้าของมสี ิทธใิ นทรพั ยากรทงั้ มวล ในทะเล บรรดาเรือของรัฐอื่นสามารถท่ีจะแล่นผ่านได้ แต่ต้องไม่ทําการจับสัตว์นํ้าหรือทํากิจกรรมทางธุรกิจใดๆ ทัง้ สน้ิ แตใ่ นทางปฏิบตั ิการวดั พ้ืนท่แี บบนี้ ย่อมทําใหม้ ีอาณาเขตทที่ บั กันอยเู่ ปน็ สว่ นใหญ่ ที่ตัง้ และสภาพภมู ิอากาศกม็ คี วามสาํ คัญตอ่ ประเทศนัน้ ๆ เชน่ ประเทศเยอมนั นีท้ ีไ่ มพ่ รมแดนธรรมชาติ ทํา ให้กลายเป็นประเทศท่ีนิยมการทหาร รวมถึงทรัพยากรธรรมชาติกม็ คี วามสาํ คัญไม่แพ้กนั 3. รฐั บาล คือ องคก์ ารหรอื สถาบันทางการเมือง ที่สามารถจัดระเบียบ ออกกฎเกณฑ์ต่างๆ และรักษาความ สงบในการอยู่รว่ มกนั ของประชาชน ท้ังยังเป็นตัวแทนของประชาชน ทาํ การทุกอย่างในนามของประชาชนกลุ่มน้ันใน อาณาเขตนั่นเอง การท่ีมีรัฐบาลขึ้นได้น้ัน จําเป็นจะต้องได้รับความยินยอมจากประชาชน รัฐบาลจะยืนยงอยู่ได้ก็ด้วยการ สนองความตอ้ งการของประชาชน สามารถรกั ษาผลประโยชน์ของประชาชน ให้ความยุติธรรมต่อประชาชน ป้องกัน การรุกรานจากประเทศอ่นื โดยประชาชนมหี น้าทีเ่ สียภาษีอากรและปฏิบตั ิตามกฎหมายของรฐั บาลท่บี ัญญตั อิ อกมา 4. อํานาจอธิปไตย เป็นอํานาจสูงสุดในการปกครองประเทศ ซึ่งก็คือ การแสดงออกซ่ึงเอกราชของประเทศ หนึ่งๆ ที่สามารถจะเป็นตัวของตัวเองในการกําหนดนโยบายของตนเองและนํานโยบายของตนออกมาบังคับใช้ได้ เตม็ ท่ี โดยไม่ตอ้ งตกอยูใ่ ตค้ ําบญั ชาของประเทศอื่นใด อํานาจอธิปไตยเป็นแนวคิดทางกฎหมาย ซึ่งอาจแบ่งออกเป็นอํานาจอธิปไตยภายในและอํานาจอธิปไตย ภายนอก กลา่ วคือ อาํ นาจอธิปไตยภายในเปน็ อํานาจทอ่ี อกกฎหมายและรกั ษากฎหมาย ตลอดจนบงั คบั ใหป้ ระชาชน ปฏิบัติตามกฎหมาย ส่วนอํานาจอธิปไตยภายนอก คือ อํานาจท่ีประเทศจะดําเนินความสัมพันธ์กับประเทศอ่ืนๆ รวมท้ังอํานาจที่จะประกาศสงครามและทําสนธิสัญญาสันติภาพ อาจกล่าวอีกนัยหนึ่งก็ได้ว่า เอกราช ก็คือ อํานาจ อธิปไตยภายนอกนนั่ เอง หากถามว่า “อํานาจอธิปไตยเป็นของใคร” ปัจจุบันดูเหมือนจะเห็นพ้องต้องกันโดยทั่วไปว่า อํานาจ อธปิ ไตยเปน็ ของประชาชน สาํ หรับประเทศไทยน้ัน รัฐธรรมนญู แหง่ ราชอาณาจกั รไทย พ.ศ.2540 ระบุไว้ชัดเจนใน มาตรา 3 วา่ อาํ นาจอธิปไตยเปน็ ของปวงชนชาวไทย พระมหากษัตริย์ผู้ทรงเป็นประมุขทรงใช้อํานาจน้ันทางรัฐสภา คณะรัฐมนตรี และศาล มกี ารแบ่งแยกองคก์ รท่ใี ช้อํานาจออกเป็น 3 หน่วยงาน คอื อํานาจนติ ิบญั ญตั ิ คอื อาํ นาจในการออกกฎหมายไว้ใชใ้ นการปกครองประเทศ ตามหลักโดยทว่ั ไปแลว้ คือ รัฐสภา ประกอบด้วยสภาผู้แทนราษฎร ซ่ึงประชาชนได้เลือกตั้งเข้ามาทําหน้าท่ีแทนประชาชนในการออกกฎหมาย ตา่ งๆ เพ่อื รักษาความสงบเรียบร้อยภายใน และเพื่อนํามาซ่ึงความกินดีอยู่ดีของประชาชนตลอดจนความมั่นคงของ ประเทศ ประกอบกับมวี ฒุ ิสภาคอยพจิ ารณาให้ความเห็นชอบ และใหค้ ําแนะนาํ ในเรอ่ื งของการออกกฎหมายต่างๆ อํานาจบริหาร คือ อํานาจซง่ึ คณะรฐั มนตรแี ละข้าราชการทัง้ หลายใช้ในการบรหิ าร ปกครองประเทศ ตาม กฎหมายซึง่ ฝ่ายนติ บิ ัญญัติได้ตราออกมา อํานาจตุลาการ หรอื อาํ นาจศาล มอี ํานาจตัดสินคดีขัดแย้งต่างๆ ระหว่างบุคคลกับบุคคล หรือบุคคลกับ รฐั ตามกฎหมายท่ีฝ่ายนติ ิบัญญัติได้ตราออกมาก หรอื ในบางกรณีของประเทศ ยังสามารถพจิ ารณาไดด้ ้วยวา่ กฎหมาย ท่ีฝา่ ยนติ ิบญั ญัติตราออกมาขดั กับกฎหมายรฐั ธรรมนญู ซึ่งเป็นอํานาจสูงสุดของประเทศหรือไม่ สรุปคําจํากัดความของรัฐสมัยใหม่ คือ “ชุมชนของมนุษย์จํานวนหนึ่งที่ครอบครองดินแดนท่ีมีอาณาเขต แน่นอน รวมกนั อยภู่ ายใตร้ ฐั บาลเดยี วกนั ซงึ่ รัฐบาลมิได้อยใู่ นอาํ นาจควบคุมของรัฐอื่นๆ สามารถท่ีจะปกครอง และ ดําเนนิ กิจการภายในของรฐั ตลอดจนทาํ การตดิ ตอ่ กบั รฐั อืน่ ๆ ไดโ้ ดยอิสระ”
แนวความคดิ ว่าด้วยรัฐ 15 การรับรองรฐั การรับรองรัฐ (Recognition) เป็นการแสดงออกให้เห็นว่า รัฐอื่นได้ให้ความเห็นชอบหรือเห็นว่ารัฐมี คุณสมบัตคิ รบถว้ น จึงไดใ้ ห้การรบั รอง และการรับรองแต่ละคร้ังเป็นความสมัครใจของรัฐหน่ึงที่ได้ให้แก่รัฐหน่ึงโดย ปราศจากการบังคับ ในการดําเนนิ ความสมั พันธ์ระหว่างประเทศน้ันถอื ได้วา่ การรบั รองรฐั ทาํ ใหร้ ัฐมีสภาพเป็นบุคคล ระหว่างประเทศ กล่าวคือ ขอให้สมมติว่าสังคมของรัฐเป็นสมาคมหนึ่ง ซ่ึงผู้ประสงค์จะเข้าเป็นสมาชิกจะต้องได้รับ การรับรองจากสมาชิกเดิมเสียก่อน ฉะนั้นรัฐท่ียังไม่ได้รับการรองรับจากรัฐใดเลย รัฐย่อมไม่ถือว่ารัฐนั้นเป็นบุคคล ระหว่างประเทศ และไมย่ อมติดต่อดว้ ย และไม่ถือวา่ มสี ิทธิและหน้าท่ีตามกฎหมายระหว่างประเทศอย่างแท้จริง ใน กรณที ีเ่ ม่อื มีการแตง่ ทตู ไปก็ไม่มผี ู้ใดรบั รอง ในปจั จุบันนไ้ี ด้มกี ารแบ่งรบั รองออกเปน็ 2 ประเภท คือ 1. การรับรองตามขอ้ เทจ็ จรงิ (De facto Recognition) 2. การรับรองตามกฎหมาย (De Jure Recognition) 1. การรับรองตามขอ้ เท็จจริง (De facto Recognition) เปน็ การรบั รองโดยพฤตนิ ัย การรับรองในลักษณะน้เี ปน็ การรับรองชั่วคราว กล่าวคือ เมื่อรัฐสงสัยว่าหน่วย การเมอื งใหมม่ ีความสามารถเพยี งพอทจ่ี ะเปน็ รฐั ไดห้ รอื ไม่และปฏิบัตติ ามพนั ธะระหวา่ งประเทศหรือไม่ หรือกล่าวอกี นัยหน่ึงได้ว่า ในฐานะท่ีรัฐน้ันได้เกิดข้ึนตามสภาพความเป็นจริง แต่ยังไม่อาจให้การรองรับในรูปกฎหมาย คือ ให้ สตั ยาบนั ซึ่งหมายความว่า รัฐใหมอ่ าจจะเกิดข้ึน แต่รัฐอ่ืนยังสงสัยในลักษณะบางประการของรัฐใหม่ จึงเพียงแต่ให้ ความยนิ ยอมหรอื รบั รองวา่ รฐั นัน้ มจี ริง เช่น รฐั ในยุโรปตะวนั ตกไดใ้ หก้ ารรบั รองขอ้ เท็จจริงกบั รัฐฟนิ แลนด์ ซ่งึ เกิดขึ้น ใหม่หลงั สงครามโลกครง้ั ท่ี 1 2. การรับรองตามกฎหมาย (De Jure Recognition) เป็นการรับรองโดยนิตินัยและมีผลถูกต้องตามกฎหมาย เป็นการรับรองต่อสภาพความถูกต้องของรัฐ ซึ่ง ประเทศทใ่ี ห้การรบั รองจะต้องมคี วามม่นั ใจวา่ ประเทศทีเ่ กิดใหมม่ ีสภาพที่ถูกต้องครบบริบูรณ์ การรับรองทางนิตินัย มีลักษณะเป็นทางการและถาวร มีความสัมพนั ธ์ทางการทูตและแลกเปล่ยี นผแู้ ทนทางการทูตต่อกนั รูปของรฐั (Form of State) รปู ของรัฐ ใชเ้ กณฑร์ ูปของรัฐบาล แบง่ ออกเป็น 2 รปู แบบ คือ 1. รัฐเด่ียว (Unity State) รัฐส่วนใหญ่ในโลกเป็นรัฐเด่ียว เช่น ไทย สวีเดน ญ่ีปุ่น ฝร่ังเศส จีน สหราช อาณาจักร (องั กฤษ) ฯลฯ มีรปู แบบทีร่ ฐั บาลกลางมอี ํานาจสงู สดุ ดาํ เนินการตามเจตนารมณ์และอํานาจหน้าที่ของรัฐ ตัวแทนในภูมิภาคต้องมาจากรัฐบาลกลาง เช่น ผู้ว่าราชการจังหวัด นายอําเภอ ตํารวจ ข้าราชการในท้องถ่ินต่างๆ พิจารณาดูจากประวัติศาสตร์จะเห็นได้ว่าเดิมประเทศรัฐเด่ียวจะมีการขยายอาณาเขตด้วยการรุกราน บังคับ แต่ อาจจะมีการแบ่งอํานาจในท้องถ่นิ ปกครองตัวเองไดต้ ามที่รัฐบาลเหน็ สมควร 2. รัฐรวม (Composite State) เมื่อพิจารณาจากประวัติศาสตร์นั้น รัฐรวมจะเกิดจากการรวมตัวของแว่น แคว้นต่างๆ เข้าด้วยกันโดยความสมัครใจ ไม่มีการบังคับขู่เข็ญ การเข้ามาร่วมกันน้ันเป็นเร่ืองของผลประโยชน์ รว่ มกันอย่างชดั แจง้ ทั้งน้อี าจจะเกดิ จากการทีม่ กี ารเรยี กร้องหรอื ก่อกบฏของทอ้ งถิ่นต่างๆ ท่ีต้องการปกครองตัวเอง ในรัฐเด่ียวต่างๆ ก็อาจจะมีการยินยอมให้บางส่วนมีสิทธิในการปกครองตัวเอง จัดให้เป็นเขตปกครองตนเอง (Autonomous) โดยการจัดใหม้ รี ัฐสภาได้เป็นเอกเทศ เรียกวิธีการนี้วา่ Devolution
16 แนวความคดิ วา่ ดว้ ยรัฐ ตัวอย่างท่ดี ีสาํ หรบั ประเทศทมี่ ลี กั ษณะเปน็ รัฐรวม ได้แก่ สหรัฐอเมริกา แคนาดา ออสเตรเลีย ซ่ึงมีรัฐบาล เป็นสองระดับ คือ รัฐบาลกลางกับรัฐบาลมลรัฐ (หรือ แคว้น, มณฑล ก็ได้ตามแต่จะเรียก) คือ ให้รัฐบาลกลางมี อาํ นาจอธปิ ไตยในสว่ นที่เป็นกิจการเกี่ยวเนื่องกับประโยชน์ของประเทศเป็นส่วนรวม เช่น การป้องกันประเทศ การ ประกาศสงคราม ทําสนธิสัญญากับประเทศอืน่ ๆ อาํ นาจในการดูแลควบคุมเงินตราของประเทศ การติดต่อกับนานา ประเทศในการแตง่ ตงั้ ตัวแทนของประเทศในฐานะทูต ส่วนรัฐบาลระดบั มลรัฐจะมีอาํ นาจอธปิ ไตยภายในเขตแดนมล รฐั ของตนเองอย่างเต็มที่ กล่าวคอื มีอํานาจนติ บิ ัญญัติ อํานาจบริหาร และอาํ นาจตลุ าการโดยรัฐบาลกลางจะยุ่งเก่ยี ว หรือแทรกแซงไม่ได้ หน้าทข่ี องรฐั บาลมกั จะเก่ียวข้องกบั การศึกษา การเทศบาล ส่วนถ้าเป็นปัญหาระหว่างมลรัฐจะ เป็นอํานาจของรัฐบาลกลาง ดังน้ัน ลักษณะท่ีเป็นรัฐบาลซ้อน (Dual Government) น้ี ต่างเป็นอิสระไม่ข้ึนต่อกัน มีการแบ่งแยก อํานาจอย่างชัดเจน และมีการกําหนดว่าเร่ืองใดเป็นเร่ืองของรัฐบาลท้องถ่ิน และเร่ืองใดมีผลต่อส่วนรวมหรือท้ัง ประเทศ กจ็ ะเป็นเรื่องรฐั บาลกลาง ชาตนิ ยิ มหรอื ความเปน็ รฐั ชาติ (Nationalism and Nation State) ชาติ (Nation) คือ กลุม่ คนทผ่ี ูกพนั เข้าด้วยกัน และระลึกถึงความคล้ายคลึงกันท่ามกลางกลุ่มคนเหล่าน้ัน ดว้ ยวฒั นธรรม และภาษาซงึ่ ดูเหมอื นวา่ มคี วามสาํ คญั ในการสร้างความเป็นชาติ รัฐ (State) คือ องค์กรทางการเมือง ซ่ึงมีอํานาจอธิปไตยสูงสุด ท่ีจะต้องมีความรับผิดชอบอย่างเต็มที่ใน กจิ การของตนเอง ชาตินิยม (Nationalism) หรือความเป็น รัฐชาติ (Nation State) จึงเป็นกระบวนการปลูกฝังความรู้สึก “เป็นชาต”ิ ลงในองคป์ ระกอบของรัฐสมัยใหม่ ซ่ึงก็คือ “ประชาชน” โดยการสร้างความรู้สึกแน่นแฟ้นว่าประชาชน ทกุ คนในรฐั น้นั เป็นพวกเดียวกนั ด้วยวธิ กี าร ได้แก่ 1. การสร้างสัญลักษณ์ร่วมกัน เช่น การใช้ธงชาติ การเดินขบวนฉลองในวันชาติ นําประวัติศาสตร์ ของประเทศบรรจุไวใ้ นตาํ ราเรียน 2. การมีประวัติศาสตร์ร่วมกัน เช่น ความเป็นมาของชาติไทยท่ีมาจาก อาณาจักรสุโขทัย อยุธยา ธนบุรี และกรุงรัตนโกสินทร์ การปฏิวัติฝร่ังเศสที่ถือเอาเป็นการก่อเนิดของรัฐชาติในยุโรป เป็น ตน้ ดังนั้น รัฐบาลจึงควรสนับสนุนชาตินิยมหรือความเป็นรัฐชาติ ซึ่งไม่จําเป็นต้องเป็นความเกลียดชังรัฐอื่นแต่อย่างใด เหมอื นสมยั ของนาซี เยอรมัน แตค่ วรเปน็ การสรา้ งความภาคภูมใิ จในชาติของตน
ทฤษฏแี ละปรัชญาการเมอื ง 17 บทที่ ๓ ทฤษฏีและปรชั ญาการเมอื ง ปรากฏการณท์ าง ความคดิ การเมอื ง / เศรษฐกจิ / สังคม ทฤษฎี ลัทธิ อดุ มการณ์ ปรัชญา ความคดิ (Idea) คือ มโนภาพทเี่ รามตี ่อปรากฏการณใ์ ดๆ หรือเรือ่ งใดเร่ืองหนึ่ง มี 2 ลกั ษณะ คือ 1. ความคดิ คํานึง (Thought) คือ ความคิดใคร่ครวญเกย่ี วกับเรอ่ื งใดเรื่องหน่งึ 2. แนวความคดิ หรือ มโนทัศน์ (Concept) คอื การสรา้ งภาพเกย่ี วกับเรื่องใดเร่ืองหนงึ่ สิ่งใด สิง่ หนงึ่ ซึ่งเปน็ รปู ธรรมหรอื นามธรรมกไ็ ด้ และอาจจะมีอย่ใู นโลกแหง่ ความเปน็ จรงิ หรือใน โลกแหง่ จนิ ตนาการก็ได้ ทฤษฎี (Theory) รากศพั ทข์ องคาํ นีใ้ นภาษาตะวนั ตกมาจากคาํ วา่ Theoros ซ่ึงหมายถงึ ผู้ท่ีเดนิ ทางไปรบั ฟังคาํ พยากรณจ์ ากวหิ ารแหง่ เดลฟี (Delphic Oracles) และสามารถถา่ ยทอดความรู้ท่ีลกึ ซง้ึ ใหผ้ ้อู นื่ ไดท้ ราบ ทฤษฎี เปน็ แนวทางนําไปส่หู นทางในการปฏิบัติ ลัทธิ มีองค์ประกอบของความจรงิ และชักนําให้คนเช่ือ คําสอนแบบกรีก จะมลี กั ษณะของการชน้ี ําใหเ้ ชอื่ และประพฤติตาม อุดมการณ์ (Ideology) ไม่เหมือนคาํ ว่า “อุดมคต”ิ ซ่ึงเปน็ ความหมายในเชิงบวก แต่เปน็ แนวความคดิ ที่ โยงเข้าด้วยกนั เชงิ เหตุและผลอย่างหลวมๆ เพ่อื นาํ ไปส่กู ารบรรลเุ ปา้ หมายทตี่ ้องการ อาจเปน็ ในเชิงบวกหรือลบกไ็ ด้ สิ่งท่เี ปน็ อุดมการณต์ ั้งอยบู่ นพ้นื ฐานของความเช่อื หรือค่านิยมเพื่อทจ่ี ะเปน็ หนทางนําไปสเู่ ปา้ หมาย ลักษณะสําคญั :- 1. ความคิด ความเชอื่ เชงิ เหตแุ ละผลอย่างไม่ลกึ ซง้ึ โต้แยง้ ไดง้ ่าย 2. มีเป้าหมายทจ่ี ะต้องบรรลุอยา่ งเป็นรปู ธรรม ซ่ึงสะท้อนดว้ ยคาํ ขวัญหรือสโลแกน 3. มงุ่ มั่นที่จะบรรลเุ ปา้ หมายนัน้ แมจ้ ะต้องใชเ้ วลานานเพียงใดกต็ าม ประโยชน์ :- 1. สร้างความชอบธรรมให้กบั ระบบการปกครอง 2. สรา้ งความชอบธรรมใหก้ บั กล่มุ ผลประโยชน์ในการเรยี กร้องหรอื ปกปอ้ ง ผลประโยชน์ของตน 3. สร้างความชอบธรรมในการตอ่ ส้ปู ลดปลอ่ ยหรือปลดแอก ปรชั ญา (Philosophy) คอื ความรกั ในปญั ญาและความรู้ (Love of Wisdom) และมุ่งให้คดิ ศึกษา แสวงหาความแตกฉาน และความรอบรู้ ปรัชญาจึงมคี วามลึกซ้งึ กว้างขวางกว่าทฤษฎี เก่ียวพนั กบั หลายสาขาวิชา ทกุ คาํ ดังกลา่ วขา้ งตน้ เป็นคําทใ่ี ชท้ เี่ ก่ียวข้องกบั การเมือง คอื ความคิดทางการเมอื ง / ทฤษฎีทางการเมือง / ลัทธิทางการเมือง / อุดมการณ์ทางการเมอื ง / ปรชั ญาทางการเมอื ง ซง่ึ บางครัง้ ก็นาํ มาใชแ้ ทนกันได้ แตส่ ่ิงที่ สําคญั คือ ควรจะเขา้ ใจความหมายของแต่ละคํา เพือ่ ที่จะไดเ้ ลอื กคําทเี่ หมาะสมมาใช้ในการอธิบาย ปรัชญาการเมืองของกรกี
18 ทฤษฏแี ละปรัชญาการเมอื ง ปรัชญาการเมอื ง คอื การศึกษา หรือความรเู้ กี่ยวกับการเมืองการปกครอง เพอ่ื นาํ ไปส่รู ูปแบบการเมืองการ ปกครองทดี่ ีทสี่ ดุ และนําไปสูค่ วามสขุ ของประชาชน โดยสว่ นมากจะเนน้ พวกตะวันตกมากกว่า ในท่ีน้จี ะขอกลา่ วถึง นกั ปราชญ์กรีกท้งั 3 คอื Socrates, Plato, Aristotle ผูซ้ ึง่ วางรากฐานปรัชญาการเมืองไว้ Socrates (469 – 399 B.C) เป็นชาวนครรฐั เอเธนส์ (Athens) - แสวงหาความร้ทู ถี่ ูกต้องทเ่ี ปน็ ความรสู้ ากล - ใช้วธิ ี Dialectic ต้ังคําถามให้ผอู้ นื่ ตอบ เมื่ออีกฝ่ายหนึง่ ตอบ กต็ ง้ั คําถามโตแ้ ยง้ จนอกี ฝ่าย หนง่ึ จนแตม้ โดยจะต้องใชเ้ หตผุ ล และหลกั ทางตรรกวิทยา - แสวงหาความจรงิ ความรู้ ความยตุ ธิ รรม - ไม่เชื่อในความเท่าเทียมกันของคน - ผู้ปกครองท่ดี คี วรตอ้ งมีความรู้ และสติปญั ญา - ไม่เห็นด้วยกับการปกครองแบบประชาธิปไตยของกรกี เนอ่ื งจาก 1. การใชเ้ สยี งขา้ งมากเปน็ สงิ่ ท่ีไม่ถกู ตอ้ ง เพราะคนส่วนใหญไ่ มม่ เี วลา และไมม่ ี ความฉลาด 2. ผนู้ ําทางการเมืองจะมาจากการเลอื กต้ัง สนับสนนุ ของคนส่วนใหญ่ ทําใหไ้ ด้ ผู้ปกครองท่ไี มม่ คี วามรู้ แต่เปน็ ผ้ปู กครองทไี่ ดร้ ับความนยิ ม - การยึคปรัชญาท่อี าศยั “คุณธรรม คือ ความร”ู้ (Virtue is Knowledge) เป็นฐานกัดกรอ่ น ขอ้ อา้ งของระบอบประชาธิปไตยในเร่อื งการมีวิธกี ารปกครองทม่ี ีประสิทธิภาพ และความ ยุติธรรม ทําให้เสรภี าพในการอภปิ รายหมดคณุ ค่า - วิจารณเ์ สรีภาพของชาวเอเธนส์ดว้ ยความขมขนื่ - สง่ิ ท่นี ักการเมืองผลติ คอื ขยะ - วธิ ี Dialectic ทาํ ให้คนส่วนหน่งึ เกดิ ความรําคาญ เพราะ Socrates โต้แย้งและสอนให้คน สงสยั ในทุกสิง่ - การสอนไมใ่ หเ้ ช่อื ไม่ยอมรับเทพเจา้ ทีค่ นในนครรฐั เชอ่ื ถอื กัน ข้อกล่าวหาวา่ Socrates สร้างเทพเจา้ องคใ์ หม่ ข้อหาบอ่ นทําลายและมอมเมาเยาวชน ถูกคณะลกู ขนุ ตดั สนิ ใหด้ ื่มยาพิษ Hemlock ส้นิ ชวี ติ - ไมม่ ีใครร้เู ก่ียวกับชวี ิตส่วนตวั ของ Socrates สว่ นมากจะรู้มาจากคําบอกเล่าของ Plato และการตคี วามของนักคดิ ในยคุ ตอ่ ๆ มา - ถงึ แม้ว่า Socrates จะไม่เหน็ ด้วยกับระบอบประชาธิปไตยแบบกรีก แตเ่ ขากเ็ คารพใน กฎหมายของรัฐ Plato (427 – 347 B.C) เป็นลกู ศิษยข์ อง Socrates - ความรู้ทแ่ี ทจ้ ริง คอื คุณธรรมและเหตผุ ล - ไมเ่ ชื่อในเรื่องของความเท่าเทยี มกนั เพราะคนเรามีความสามารถและความถนัดแตกต่างกนั - เขยี นหนังสอื เล่มหนึ่ง ชอ่ื The Republic (อตุ มรฐั ) เสนอรูปแบบการปกครองของรฐั ทีด่ ี เลิศในอุดมคติ แบง่ คนออกเป็น 3 ชนช้ัน ตามความสามารถ โดยใชก้ ารศึกษาเปน็ ตัว จาํ แนก ได้แก่ 1. ชนชนั้ ต่าํ – ชาวนา ช่าง พ่อคา้ 2. ชนชน้ั กลาง – นกั รบ ทหาร ป้องกนั นครรฐั จากศตั รู 3. ชนชน้ั สูง – เปน็ ผปู้ กครอง มีเหตุผลและสตปิ ญั ญาสงู สุด
ทฤษฏแี ละปรัชญาการเมือง 19 ผปู้ กครอง กค็ ือ ราชาปราชญ์ (Philosopher King) ฉลาดเลศิ ลา้ํ โดยกําเนิด ได้รบั การ ฝึกอบรมให้เปน็ ผู้ปกครอง - ความยตุ ิธรรมเปน็ คณุ ธรรมสูงสดุ รฐั ทีด่ ที ่ีสุด คอื รฐั ท่ีให้ความยตุ ธิ รรมแก่ประชาชนอยา่ ง เท่าเทียมกนั - เขยี นหนงั สอื การเมอื งอกี หลายเลม่ ในรปู แบบการสนทนาตอบโต้ - เป็นบิดาวิชาปรชั ญาทางการเมอื ง - ไมเ่ หน็ ดว้ ยกบั ประชาธิปไตยแบบกรกี โดยเฉพาะประชาธปิ ไตยแบบเสยี งขา้ งมากท่ไี ดต้ ดั สนิ ประหารชวี ิต Socrates Aristotle (384 – 322 B.C) เป็นลกู ศิษย์ของ Plato - เรียนที่ Academy 19 ปี กบั Plato - เปน็ อาจารยผ์ ู้สอนท่ี Academy - ไปสอนหนงั สอื Alexander the Great แหง่ Mecedonia ไดเ้ อารฐั ธรรมนูญกวา่ 158 ฉบบั จากเมืองทีต่ ีได้ให้ Aristotle ศึกษา - ต่อมาได้กลบั มายงั กรงุ เอเธนส์ได้ตง้ั โรงเรยี น Lyceum ขึน้ ใกลก้ รงุ เอเธนส์ - การศกึ ษาเปรยี บเทยี บของ Aristotle ไดจ้ ําแนกรปู แบบการปกครอง ออกเป็น 6 รูปแบบ โดยใช้เกณฑ์ จาํ นวนผู้ปกครอง กับ ความมจี รยิ ธรรมของผู้ปกครอง ดงั นี้ Who rules? One person The few The many Rulers Tyranny Oligarchy Democracy Who benefits? Monarchy Aristocracy Polity All Figure: Aristotle’s six forms of government 1. ราชาธิปไตย (Monarchy) โดย กษัตรยิ ์ (king/monarch) มลี กั ษณะสาํ คญั คือ เปน็ ระบอบการ ปกครองทม่ี ีการสบื สายโลหติ สืบสันตตวิ งศ์ โดยผปู้ กครองตระกลู หนงึ่ ซ่ึงอาจเปน็ การนับสายโลหิตทางพ่อ หรอื ทาง แมก่ ็ได้ แล้วแต่ประเพณรี ะบอบการเมอื งนัน้ ๆ การสบื สายโลหิตที่ว่านี้ จะมีการจัดตามลําดบั ของเจา้ นายในวงศ์ ตระกลู น้ัน Plato และ Aristotle ต่างมองว่าราชาธปิ ไตยในทนี่ คี้ วรจะปกครองโดยราชาปราชญ์ (Philosopher King) ซ่ึงเป็นการปกครองที่ดีในอดุ มคติ คุณธรรมของผูป้ กครองนจ้ี ะทาํ ให้เปน็ การปกครองท่ีดไี มค่ าํ นงึ ถงึ ประโยชน์ เฉพาะของผ้ปู กครองเองเป็นทตี่ ั้ง แต่จะคาํ นึงถงึ ประโยชน์ของนครรฐั และคนทุกกลมุ่ เปน็ ท่ีตั้ง ระบอบนี้มีความอุดมคติสูง และเป็นไปได้ยาก เพราะ 1) จะหาคนทดี่ เี ลิศทั้งความรู้ และคณุ ธรรมไดจ้ ากไหน 2) ถ้ามคี นผ้นู ้อี ยจู่ รงิ ก็คงไม่ยอมลดตวั มาเปน็ ผปู้ กครอง เพราะเต็มไปดว้ ยภาระและปญั หา
20 ทฤษฏแี ละปรชั ญาการเมือง ในความเป็นจรงิ มแี นวโนม้ วา่ จะไดผ้ ู้นาํ ทีด่ ้อยความสามารถ และอาจกลายเปน็ ทรราช 2. ทรราชย์ (Tyranny) คอื การปกครองโดยคนคนเดียวท่มี อี าํ นาจ ไมม่ ีการสืบสายโลหติ ใช้อํานาจ เปน็ ไปตามอําเภอใจ (Arbitrary) ไมม่ ีกฎเกณฑ์ ไม่มีความแนน่ อน สั่งการแตผ่ ู้เดยี ว มกั เป็นการปกครองโดยใช้กาํ ลงั บังคับ 3. อภชิ นาธปิ ไตย (Aristocracy) คาํ วา่ Aristocracy มาจากคาํ ว่า aristoi เป็นภาษากรกี แปลวา่ ความ ฉลาด ความสามารถพเิ ศษ + kratos แปลว่า การปกครอง รวมกันคอื การปกครองโดยคณะ / กล่มุ คนส่วนนอ้ ยทม่ี ี ความสามารถ มคี วามรู้ มีการศึกษา และเป็นชนชั้นสูง ที่มุ่งประโยชนส์ ว่ นรวม จุดออ่ นก็คอื มแี นวโนม้ ที่จะกลายเปน็ คณาธิปไตย 4. คณาธิปไตย (Oligarchy) เป็นการปกครองโดยกลมุ่ บคุ คล แตเ่ ปน็ กล่มุ ซ่ึงรวมตัวกนั เพ่ือวัตถุประสงค์ ทางการเมอื งโดยเฉพาะ อาจจะมาจากหลายชนชน้ั หรอื มีการศกึ ษาหรอื วิชาชีพรว่ มกนั ก็ได้ เช่น ทหาร ตํารวจ นกั การเมือง กลุม่ คนมีเงนิ ที่เรยี กว่า ธนาธปิ ไตย (Plutocracy) โดยเอ้อื ผลประโยชน์แกก่ ล่มุ ของตน 5. ประชาธิปไตยแบบมวลชน (ทางตรง) (Democracy) หรอื ทเ่ี รียกกนั ว่า มวลชนาธิปไตย แบบนครรฐั กรกี มขี ้อเสียอยู่ 5 ประการ คอื 1) คนสว่ นใหญไ่ มไ่ ดม้ คี วามรแู้ ละคณุ ธรรม แมจ้ ะมีความเห็น กเ็ ป็นความเห็นทไี่ มม่ คี วามรู้ 2) คนส่วนใหญม่ ีฐานะทางเศรษฐกจิ ตํ่า ทาํ ให้เกดิ การปกครองทไ่ี มด่ ี 3) คนส่วนใหญม่ แี นวโนม้ ใช้ความรสู้ กึ และอารมณ์ในการตดั สินใจ 4) คนส่วนใหญจ่ ะทําให้เกดิ ความยงุ่ เหยงิ โกลาหล วุน่ วาย 5) ประชาธปิ ไตยมสี มมติฐานที่ผดิ พลาด ในเรอื่ งความเท่าเทยี มกนั ในทกุ เร่อื ง 6. ประชาธปิ ไตยแบบผสม (Polity) มผี ปู้ กครองกลมุ่ เล็กทมี่ ีคณุ สมบตั ิเหมาะสม แตม่ ีทมี่ าจากคนกลมุ่ ใหญท่ เ่ี ป็นชนชนั้ กลางซึง่ มจี าํ นวนมากกว่าครง่ึ หนง่ึ ท่มี ีการศกึ ษา มีฐานะทางเศรษฐกจิ ปานกลาง ระบบ Polity สอดคล้องกบั การปกครองประชาธปิ ไตยในปจั จบุ นั คนท่รี วยมาก มกั จะฟุง้ เฟ้อ เห่อเหิมไม่เหน็ หัวคนอืน่ สว่ นคนจนก็ ไม่มเี หตผุ ล ปรัชญาการเมอื งสนับสนุนอํานาจเด็ดขาด (Absolutism) มีนักคดิ 3 ทา่ น ท่สี นับสนุนอาํ นาจเดด็ ขาด คอื 1. Niccolo Machiavelli (1469-1527) 2. Jean Bodin (1530-1596) 3. Thomas Hobbes (1588-1679) เหตทุ ีน่ กั คิดท้งั 3 สนบั สนุนความคดิ และบุคคลคนเดียวปกครอง เพราะ - บา้ นเมอื งเต็มไปดว้ ยสงคราม - สมัยนัน้ ศาสนาคริสตค์ รอบงาํ การเมอื ง การปกครอง ซ่ึงเน้นบคุ ลิกภาพอสิ ระของมนษุ ย์ ทาํ ใหเ้ ป็นอุปสรรคต่อการปกครองดว้ ยอํานาจเดด็ ขาด - ระบบศกั ดนิ าสมยั กลาง ขนุ นางมอี าํ นาจมาก กษัตรยิ ไ์ มค่ ่อยมีอํานาจ ท้งั 3 ท่าน แสวงหาความชอบธรรมให้ระบบกษัตริย์ โดยมีวธิ ีท่ตี ่างกนั คอื Machiavelli แยกศีลธรรมออกจากการเมอื ง Bodin บกุ เบิกแนวความคิด รัฐาธปิ ไตย (รฐั + อธปิ ไตย) Hobbes ใชห้ ลักเหตผุ ลวา่ ดว้ ยธรรมชาตขิ องมนษุ ย์
ทฤษฏแี ละปรัชญาการเมอื ง 21 1. Niccolo Machiavelli (1469-1527) - คลัง่ ไคล้ในหนังสอื และอาํ นาจ - ชอบความสวยงาม โดยเฉพาะผู้หญงิ - ชอบความสนุกสนาน และอาหารช้ันดี - ความคดิ การเมืองของเขา เปน็ ในเชงิ ขาดศลี ธรรม ตรงกับความประพฤตสิ ่วนตวั ของเขา - เขียนหนังสือ The Prince1 เพ่อื ใหต้ วั เองไดร้ ับการสนับสนนุ “The Prince” (1531) - แสวงหาและรกั ษาไวซ้ ึ่งอํานาจทางการปกครอง โดยไมค่ าํ นึงถึงศลี ธรรม - ความคดิ ทางการเมอื งอยูบ่ นสมมตฐิ านในการมองมนษุ ย์ ว่ามีธรรมชาติอย่างไร ซึ่งตาม มมุ มองในหนงั สอื เลม่ นี้มองว่า มนษุ ย์อกตัญญู โลเล ซ่อนเรน้ โลภโมโทสนั กลวั ความตาย ฯลฯ - ผู้ปกครองควรมีคุณสมบตั ิ ดังนี้ 1) มองโลกตามความเปน็ จรงิ 2) คุณสมบตั ผิ สมกันระหวา่ งสิงโตกบั สนุ ขั จิ้งจอก คอื เปน็ หลักในทกุ ส่ิง เปน็ ศนู ย์กลางของอาํ นาจ เขม้ แขง็ เหน็ แกต่ วั อย่เู หนือคนอ่นื ทง้ั ความคิด และจิตใจ ไมใ่ ช้ความกรณุ าในทางที่ผดิ ต้องพรอ้ มทใ่ี ช้ความโหดร้าย กล่าวคอื ใช้อาํ นาจ เดด็ ขาด เพอ่ื ท่จี ะรักษาความสงบเรียบร้อย ความโหดร้ายเดด็ ขาดทาํ รา้ ยเพียงคน บางคน แตก่ ารปกป้องสงั คมถือเปน็ สิ่งสําคญั 3) ต้องทําใหผ้ อู้ ื่นทัง้ รกั ทัง้ กลวั แตถ่ ้าทําใดเพียงอยา่ งใดอยา่ งหน่ึง ต้องทาํ ให้กลัว เพราะ 3.1) ธรรมชาตขิ องมนุษย์ “...เขาจะอยกู่ บั ทา่ น ประกาศวา่ จะสละชวี ติ ทรัพยส์ ิน ลูกเตา้ ให้แก่ท่าน ตราบเท่าท่ีทา่ นยงั เปน็ ประโยชน์ และอันตราย ยังอยู่ไกล แตเ่ มือ่ อันตรายเขา้ มาใกล้ เขาจะไมเ่ ปน็ พวกท่านอกี ตอ่ ไป...” 3.2) มนษุ ย์โดยธรรมชาตกิ ล้าล่วงเกนิ คนท่ีตนรกั ได้มากกวา่ คนที่ตนกลวั “สายใยแห่งความรักมนษุ ยต์ ดั มนั ได้ ถา้ มี ผลประโยชน์ สายใยแห่งความกลวั จะมอี ยู่ ยากทจ่ี ะลืมเลือน” 3.3) การทาํ ให้คนรกั ขึ้นอยกู่ ับจติ ใจของคนผู้นัน้ การทําใหก้ ลัวขนึ้ อยู่ กับตวั บคุ คลเอง แต่การสรา้ งความกลัวตอ้ งไมท่ าํ ให้เกดิ ความเกลียดชงั โกรธแคน้ เพราะจะ นําไปสูก่ ารส่องสมุ คดิ รา้ ยตอ่ ผู้ปกครอง ดังนั้น จึงมวี ธิ กี ารป้องกันไมใ่ หค้ นอ่ืนโกรธ คือ การละเมดิ ทรพั ยส์ ินของราษฎรและคนอนื่ และการไมล่ ว่ งเกนิ เกียรตยิ ศและ ลกู เมยี ของคนอื่น “คนเราพอ่ ตายไม่นานกล็ ืม แตใ่ ครมาละเมดิ ล่วงเกนิ เรา ไม่มวี นั ทจ่ี ะลมื ” 1 สามารถอา่ นเพม่ิ เติมได้จาก “เจ้าผปู้ กครอง” (The Prince) สมบตั ิ จันทรวงศ์ (แปล) กรงุ เทพ: สํานกั พมิ พ์คบไฟ, 2542
22 ทฤษฏแี ละปรัชญาการเมือง สรปุ ความคิด การเมือง เป็นศลิ ปะของการรักษาอํานาจ สรา้ งเอกภาพทางการเมือง สร้างความ มนั่ คงในการปกครอง มีความสงบเรียบเรยี บ ต้องแยกศลี ธรรมออกจากการเมือง เพราะอาํ นาจแสดงถึง ความชอบธรรมของวธิ กี าร จะใชว้ ธิ ีไหนๆ กไ็ ด้ ไมต่ ้องคํานงึ ถงึ ศีลธรรม 2. Jean Bodin (1530-1596) - เป็นอาจารยส์ อนกฎหมาย และเปน็ ตลุ าการ - มคี วามคิดเหน็ ว่า การเมือง คือ การปกครองด้วยความยตุ ิธรรมและศลี ธรรม “6 บรรพว่าดว้ ยสาธารณรัฐ” (The Six Books of the Commonwealth) (1576) สาธารณรฐั คอื ประชาคมมนุษยท์ ่ีมกี ารปกครองอย่างมีศลี ธรรม มใิ ชท่ าสหรือคนรับใช้ แต่เป็น ราษฎร ซ่งึ จะไมม่ สี ทิ ธิตอ่ ต้านอํานาจรฐั ตอ้ งเคารพกฎหมาย ในประชาคมมนุษย์มอี ํานาจเด็ดขาดสูงสุด ถาวร คือ อาํ นาจท่ีเกิดมาพรอ้ มกบั การมรี ัฐ สนองเพือ่ ให้มรี ัฐ อาํ นาจนไี้ มถ่ กู จาํ กดั โดยระยะเวลา หรอื กฎหมาย ทงั้ นี้มิใชเ่ พราะไมม่ ีกฎหมาย แตเ่ พราะอาํ นาจนเี้ ปน็ ผอู้ อกกฎหมาย ซง่ึ ในปัจจบุ นั ก็คอื อาํ นาจ นติ บิ ัญญตั ิ Bodin ไดเ้ รยี กอาํ นาจนีว้ ่า อํานาจอธิปไตย ทส่ี ามารถทจี่ ะออกกฎ และยกเลกิ กฎได้ รัฐกบั อาํ นาจอธิปไตยเปน็ ของคู่กัน ทําให้เกิดเปน็ พ้นื ฐานในการจดั รปู แบบการปกครอง 3 รปู แบบ ใชเ้ กณฑ์ของอํานาจอธปิ ไตยเปน็ ตัวแบง่ คอื 1) ระบอบกษตั รยิ ์ อาํ นาจอธิปไตยอยทู่ ่คี นเพยี งคนเดยี ว 2) อภิชนาธปิ ไตย อํานาจอธปิ ไตยอยทู่ ี่คนกลมุ่ น้อย 3) ประชาธปิ ไตย ประชาชนมสี ่วนรวมในการใชอ้ าํ นาจอธปิ ไตย ในทัศนะของ Bodin เหน็ วา่ ระบอบกษัตรยิ ์ เปน็ การปกครองที่ดที สี่ ดุ เพราะ 1) สอดคลอ้ งกบั ธรรมชาติ เช่น ครอบครัวมหี ัวหนา้ ครอบครวั คือ พอ่ โลกมีพระเจา้ เพยี ง 1 องค์ 2) ระบอบกษตั รยิ ์ หรือการปกครองเพยี ง 1 คน จะมหี ลักประกันเอกภาพแห่งอํานาจท่ี มนั่ คง องคอ์ ธปิ ตั ย์จะมไี ดเ้ พียงหนงึ่ เทา่ นั้น หากมีมากกวา่ น้ีจะไมม่ ใี ครออกคาํ สัง่ รับ คําส่ังขององคอ์ ธปิ ัตย์หลายองคไ์ ด้ 3) ระบอบกษัตรยิ ์จะสามารถเลอื กคนฉลาด เขา้ ใจกจิ กรรมบ้านเมืองได้ดีกว่า อภิชนาธปิ ไตยกบั ประชาธิปไตย เป็นระบอบการเมอื งที่ต้องมีสภา ซึง่ ประกอบดว้ ยคนดแี ละคน บา้ ส่วนระบอบกษตั ริยใ์ นทศั นะของ Bodin จะไมเ่ ป็นทรราช เพราะระบอบทรราชยจ์ ะปกครองราษฎร เย่ยี งทาส แต่ระบอบกษตั รยิ น์ ้ี ราษฎรเคารพกฎหมาย สว่ นกษัตรยิ ์เคารพกฎธรรมชาตสิ อดคลอ้ งกบั หลกั ศีลธรรม เสรภี าพและกรรมสทิ ธขิ องพลเมอื งจงึ ยังมีอยู่ อาํ นาจอธิปไตยแม้ว่าจะสูงสดุ เด็ดขาด ก็แบ่งแยก ไม่ได้ และมีขอบเขตการใช้ซงึ่ ถูกจาํ กัดด้วยศลี ธรรม 3. Thomas Hobbes (1588-1679) - อย่ใู นยุคทีก่ ษตั ริย์มอี าํ นาจเดด็ ขาดในยโุ รป ถูกคกุ คามอยา่ งหนกั มกี ารสรู้ บฆา่ ฟนั เขาจงึ หนี ไปอย่ทู ่ี Paris เป็นอาจารยส์ อนคณิตศาสตรแ์ ก่ผูท้ ี่จะเปน็ กษตั ริยใ์ นอนาคตขององั กฤษ ใน ราชวงศ์ Stuart ซงึ่ มีความขัดแยง้ ทางศาสนา - ในปี 1642 พระเจ้า Charles I เกิดความขดั แยง้ กบั รัฐสภา ภายใต้การนาํ ของ Oliver Cromwell เหตุการณ์จบลงด้วยชยั ชนะของ Cromwell ในปี 1651 และไดป้ กครอง ประเทศองั กฤษในชว่ งนน้ั “Leviathan” (1651) Leviathan คอื สิ่งมชี ีวิตท่มี ีพลานภุ าพสงู สดุ
ทฤษฏแี ละปรัชญาการเมอื ง 23 หนงั สือเล่มนส้ี ะทอ้ นแก่นปรัชญาการเมืองของ Hobbes ซ่งึ เขาเขียนขน้ึ ด้วยความกลวั สภาพทไี่ ม่ สงบเรยี บร้อยและความกระหายท่ีจะเห็นสันตภิ าพ ปรชั ญาความคิดในหนงั สอื เลม่ นี้ มดี งั นี้ 1) ฐานคตกิ ารมองมนุษย์ : มนษุ ย์ในธรรมชาตมิ ีความเห็นแก่ตัว กระหายและรักตัวกลวั ตาย มี เหตผุ ลเหนือสตั ว์ สามารถคาํ นึงถึงผลประโยชนท์ ี่จะไดร้ ับ และมีความเทา่ เทียมกนั ในการมีความหวัง เพื่อ บรรลสุ ิ่งท่ีตอ้ งการ ทัง้ ยังมคี วามเทา่ เทยี มกนั ในปัญญาความคดิ หรือเลห่ ์กลท่จี ะเขา้ ถงึ เปา้ หมายได้ 2) มนุษยใ์ นสภาวะธรรมชาติ : มนุษยท์ ุกคนเปน็ ศตั รหู รอื คู่แขง่ กนั มนุษย์เปน็ สนุ ขั ป่าสําหรบั มนุษยด์ ว้ ยกนั แต่จะเขา้ ร่วมกนั เพอื่ ปอ้ งกนั อันตรายอย่างเดียวกัน สังคมมนษุ ย์จึงไมม่ ีความสงบสขุ มแี ต่ การตอ่ สู้ แก่งแยง่ จนกลายเป็นสงคราม มนุษยจ์ ะอยใู่ นสภาวะหวาดกลวั ตอ้ งเผชญิ อันตรายตลอดเวลา ใน สภาวะธรรมชาติ มนุษยไ์ มม่ ีกรรมสทิ ธิในทรพั ย์สนิ แตล่ ะคนเปน็ เจา้ ของในสิง่ ทส่ี ามารถแยง่ มาได้ และเปน็ เจ้าของตราบเทา่ ท่ยี ังแข็งแรงพอและรักษาไวไ้ ด้ มนุษยจ์ ะตอ้ งออกจากสภาวะนี้ มเิ ชน่ น้ันจะถูกทาํ ลายกนั ท้ังหมด 3) ทางออกสูส่ ันติ : คอื การมรี ฐั ท่ีมอี าํ นาจเด็ดขาด ความรักตวั กลวั ตายทาํ ให้มนษุ ยย์ นิ ยอมละ ทิ้งสภาวะธรรมชาติ ความมีเหตมุ ผี ลทําให้มนษุ ยค์ ดิ ถึงบทบญั ญตั ิแห่งสนั ตภิ าพ (กฎธรรมชาต)ิ สรุปได้ว่า อยา่ ทาํ กบั ผ้อู ืน่ ในส่ิงทที่ า่ นไมป่ ระสงค์ใหผ้ ูอ้ ืน่ ทาํ ต่อทา่ น ดงั เช่นการนําไปสกู่ ารยินยอม สละสภาวะของตน โดยมีพลงั อาํ นาจที่ไมอ่ าจตา้ นทานไดม้ าบงั คับใหป้ ฏิบัติตามพันธะ ใครเปน็ ผู้จัดต้ังรฐั : ประชาชนทาํ สัญญาจดั ตั้งรฐั เพอ่ื คุ้มครองส่วนรวม และยอมสละสิทธทิ ี่จะ ตดิ ว่าอะไรดี อะไรชัว่ หรือสิ่งใดเป็นความยตุ ิธรรม แตจ่ ะผูกมดั ตนเองกับสิง่ ทีด่ ี หรือยตุ ิธรรม ตามที่องค์ อธปิ ตั ย์บัญชา องคอ์ ธปิ ัตย์มอี ํานาจสูงสุด ประชาชนต้องปฏิบัติตาม จะเรียกร้อง ฟ้องร้องไม่ได้ องค์อธิปัตยจ์ ะมี อาํ นาจสงู สุดเดด็ ขาด และมีหนา้ ทีใ่ ห้ความสงบสขุ และสันติภาพแกร่ าษฎร ตามเจตจํานงทจี่ ะมงุ่ ใหเ้ กดิ สันติภาพ อํานาจทใ่ี หแ้ กอ่ งคอ์ ธปิ ัตย์น้จี ะเรยี กคืนจากรฐั ไมไ่ ด้ ยกเวน้ วา่ องคอ์ ธปิ ตั ยอ์ อ่ นแอลงจนค้มุ ครอง ราษฎรไมไ่ ด้ ประชาชนก็จะรอดพน้ จากพันธะ และสามารถปกครองตนเอง แลว้ จึงจะเลือกองค์อธิปัตยอ์ งค์ ใหม่ ปรัชญาการเมอื งแบบเสรีนยิ ม (Liberalism) - สังคมในศตวรรษที่ 18 การปฏิวตั ิอตุ สาหกรรม เริม่ ตน้ ท่ปี ระเทศอังกฤษ ซงึ่ ก็คอื อตุ สาหกรรมทอผ้า การค้าและเศรษฐกิจตามเมืองทา่ เกดิ ข้ึนมากมาย - การเตบิ โตของชนชั้นกลางหรือชนชน้ั กฎุมพี (Bourgeois) เสรภี าพ ความสุข ความกา้ วหน้า คุณธรรม หลักเหตผุ ล มอี ํานาจเศรษฐกิจ / แสวงหาอํานาจทางการเมอื ง - วัฎจักรความกา้ วหนา้ รฐั การค้า เสรภี าพ ความมนั่ คง เสรภี าพ = ความก้าวหน้า
24 ทฤษฏแี ละปรชั ญาการเมอื ง กฎหมาย (Law) คอื ข้อบญั ญตั ทิ ่ีอาศัยหลกั เหตผุ ล ท่มี พี ้ืนฐานของความจริง และส่งผลให้เกิดความสขุ ท้ัง ยงั ทําลายอคติ ความเชื่อเกา่ ๆ และนําไปสคู่ วามเจรญิ กา้ วหนา้ อยา่ งไมส่ ิน้ สดุ มีนักคิดทีส่ ําคญั 3 ท่าน คือ 1. John Locke (1632-1704) 2. Charles-Louis de Secondat Montesquieu (1689-1755) 3. Jean Jacques Rousseau (1712-1778) 1. John Locke (1632-1704) - บิดาของ Locke เปน็ พวกสนบั สนนุ รัฐสภาใหท้ าํ สงครามกลางเมือง แลว้ ยงั เปน็ พวก Puritant ตอ่ ตา้ นนกิ าย Church of England ในประเทศองั กฤษ จึงหนไี ปอเมรกิ า - จบการศึกษาจาก Westminster และ Oxford - เตบิ โตท่ามกลางความปัน่ ป่วนของความคิดทางสังคม การเมือง ปรัชญา และการตอ่ สู้ ระหว่างกษัตรยิ ์กบั รัฐสภา - Locke เป็นฝ่ายสนบั สนุนรฐั สภา “Two treatises of Government” (1690) - ตอบโตร้ ะบบอาํ นาจเด็ดขาด (Absolutism) - อธบิ ายเกย่ี วกับสภาวะธรรมชาติ ดงั นี้ 1) มนุษย์ในสภาวะธรรมชาติ ดงี าม มีนาํ้ ใจ ชอบช่วยเหลือกัน 2) มสี ทิ ธเิ สรีภาพทส่ี มบรู ณ์ มคี วามเสมอภาคระหว่างมนุษย์ และจะไมท่ ําอะไร ตามใจชอบ เพราะ 3.1) มีกฎหรอื เหตผุ ลธรรมชาตสิ อนใหร้ วู้ ่า ตอ้ งไมร่ ุกลํา้ สิทธเิ สรภี าพของคน อืน่ = สทิ ธขิ น้ั พืน้ ฐาน 3.2) หากมกี ารรุกล้าํ สทิ ธเิ สรภี าพของคนอ่นื จะมีการเขา้ มาปกปอ้ ง ชว่ ยเหลือผบู้ รสิ ทุ ธิ์ ลงโทษผลู้ ะเมดิ = สิทธธิ รรมชาติทจ่ี ะลงโทษ แลว้ ทาํ ไมมนษุ ยต์ ้องสละสภาวะธรรมชาตมิ าอยรู่ ่วมกนั ? เพราะในสภาวะธรรมชาติ ไมม่ ีกฎหมาย ไม่มผี ู้พิพากษาทีจ่ ะตดั สนิ ขอ้ พิพาท ไม่มอี ํานาจบงั คับ ทุกคนเป็นใหญ่เทา่ เทียมกันหมดในการตัดสินเรอื่ งราวเก่ียวกบั ตนเอง ดงั นน้ั อาจเกดิ ปญั หา กล่าวคือ 1) มนุษย์มักเขา้ ขา้ งตนเอง พวกพอ้ ง นาํ ไปสู่ความไม่ยุตธิ รรม 2) มแี นวโนม้ ท่จี ะลงโทษดว้ ยอารมณ์ และชอบแกแ้ ค้น ดงั นัน้ มนษุ ยจ์ งึ ตอ้ งสละทิง้ สภาวะธรรมชาติไปส่สู ภาวะสังคม เพอ่ื ชีวิตที่ดกี วา่ เพราะกฎหมาย ศาล และผู้บงั คับให้เป็นไปตามกฎหมาย ทาํ ให้เกดิ หลกั ประกันสทิ ธเิ สรีภาพที่แน่นอน จึงเกิดรฐั หรือรฐั บาล ซึ่งรัฐทีด่ ีจะต้องปกปอ้ งสทิ ธิ เสรภี าพของประชาชน การเขา้ สสู่ ภาวธรรมชาตเิ กิดจากความยนิ ยอม ทาํ ใหม้ นษุ ย์อยรู่ ว่ มกันเป็นสงั คม ธาํ รงความสงบ สขุ ปลอดภยั สามารถเสวยสุขจากทรัพย์สิน รอดพ้นจากการรุกรานของผอู้ ่ืน
ทฤษฏแี ละปรชั ญาการเมือง 25 ขอ้ โจมตรี ะบบอํานาจเด็ดขาด (Absolutism) ระบบอํานาจเด็ดขาดเป็นระบอบทีไ่ มช่ อบธรรม ไรเ้ หตผุ ล ดงั เหตผุ ลตอ่ ไปน้ี 1) เปน็ การละทิง้ สภาวะธรรมชาติท่ดี ไี ปสสู่ ภาวะทเ่ี ลวร้ายกว่า 2) ไมย่ ตุ ธิ รรม เพราะอยู่เหนือกฎหมาย ถอื อภสิ ทิ ธิ์ ยึดครองเสรีภาพทุกอย่างแห่ง สภาวะธรรมชาติไว้ 3) จากประวตั ศิ าสตร์ ระบอบนไี้ มอ่ าจยกระดับธรรมชาติของมนษุ ยใ์ หด้ ขี ้ึนได้ ความคดิ : จําแนกอํานาจ รัฐหรอื สังคมมอี าํ นาจ 2 อย่าง 1) นติ บิ ญั ญตั ิ ออกกฎเกณฑ์ 2) บริหาร กําหนดใหเ้ ป็นไปตามกฎหมาย อาํ นาจทั้งสองอยา่ งต้องไมอ่ ยูใ่ นคนหรอื งคก์ รเดยี วกนั เพราะบคุ คลหรอื องคก์ รใดกต็ ามทม่ี ี อํานาจทั้งสอง มแี นวโน้มทีจ่ ะลแุ กอ่ ํานาจ อาํ นาจนติ บิ ัญญตั อิ ยเู่ หนืออํานาจบรหิ าร แตม่ ีขอบเขตจํากดั โดยสทิ ธิธรรมชาติ และจะไมเ่ ปน็ อํานาจเด็ดขาดทอ่ี ยู่เหนอื ชีวิตทรพั ย์สนิ ของราษฎร อํานาจนติ ิบญั ญตั ิถือเปน็ อํานาจสงู สดุ เพราะเป็น อํานาจจัดตั้งสังคม รักษาสงั คมให้ธํารงไว้ และเปน็ อาํ นาจตัดสนิ ใจสงู สดุ แต่ตอ้ งออกกฎหมายภายใน ขอบเขต รกั ษาสทิ ธเิ สรภี าพของราษฎร ไมท่ าํ ใหร้ าษฎรตกเปน็ ทาสหรอื เลวร้ายลง สว่ นอํานาจบรหิ ารกม็ ี การใชด้ ลุ พนิ จิ ในบางเร่อื ง ประชาชนมีสิทธลิ ุกขนึ้ ต่อต้านอํานาจรัฐ ถ้าผู้ปกครองใช้อาํ นาจเกินขอบเขตผิดวตั ถุประสงคใ์ น การอยรู่ ว่ มกันเปน็ รฐั ประชาชนสามารถถอดถอนความไวว้ างใจ และเรยี กอาํ นาจแตด่ ั้งเดมิ คืนได้ แล้วจงึ มอบหมายใหผ้ ้ทู ี่เหน็ สมควร ประชาชนสามารถกระทําดงั ที่กล่าวมาแลว้ ได้ เพราะเปน็ เจ้าของอํานาจสงู สดุ เพยี งแตม่ อบ อํานาจให้ หากใชอ้ ํานาจผดิ เงือ่ นไข ประชาชนก็สามารถใชก้ าํ ลงั ตอ่ ต้านได้ อทิ ธิพลทางความคดิ - สิทธมิ นุษยชนของฝรัง่ เศส กรมมสทิ ธิที่ดนิ - คาํ ประกาศอสิ รภาพของอเมริกา - วางรากฐานเสรนี ิยม โดยเฉพาะทฤษฎแี บง่ แยกอาํ นาจ และ การจาํ กดั อาํ นาจของผปู้ กครอง โดยทป่ี ระชาชนมสี ทิ ธิ ต่อตา้ นอาํ นาจรัฐ - ครอบงําความคิดใน ศตวรรษที่ 19-20 มุ่งการปกครองทมี ี เสรภี าพ 2. Charles-Louis de Secondat Montesquieu (1689-1755) - เกิดในตระกูลขนุ นางเกา่ แหง่ Bordeaux - จบกฎหมาย เป็นผูพ้ ิพากษา ชอบทอ่ งเทยี่ ว เขยี นหนงั สือ “เจตนารมณแ์ หง่ กฎหมาย” (The Spirit of the Laws) (1748) ส่วนที่ 1 ทฤษฎีว่าดว้ ยรฐั บาล และระบอบการปกครอง รูปท่ี 1 สาธารณรัฐประชาธิปไตย รูปท่ี 2 สาธารณรัฐอภชิ นาธิปไตย รปู ท่ี 3 ระบอบกษัตรยิ ์
26 ทฤษฏแี ละปรชั ญาการเมือง ในระบอบสาธารณรฐั ประชาธิปไตย ประชาชนมี 2 บทบาท ทตี่ รงกนั ขา้ งมกัน แตส่ ง่ เสรมิ กนั 1) เป็นผปู้ กครองโดยใชส้ ทิ ธกิ ารเลอื กตัง้ 2) เปน็ ผ้อู ย่ใู ต้ปกครอง เคารพและเชอ่ื ฟังกฎหมาย เช่อื ว่า ประชาชนไมส่ ามารถบรหิ ารงานดว้ ยตนเอง เพราะประชาชนมีจาํ นวนมาก ซง่ึ จะทาํ ให้ การปกครอง บริหารช้าไปหรอื เร็วไป หลกั การทีจ่ ะทาํ ให้เป็นระบอบสาธารณรฐั ประชาธิปไตย Montesquieu เชื่อเหมอื น Aristotle ตรงทีว่ า่ คุณธรรมทางการเมอื ง คอื เสียสละ ไมเ่ หน็ แกต่ วั ลดความกระหายในสิ่งต่างๆ Montesquieu คิดว่าระบอบสาธารณรฐั ประชาธิปไตย คณุ ธรรมจะหมดไป ไม่ได้ดว้ ยเหตผุ ลด้านการศกึ ษามคี วามสาํ คญั สําหรบั การปลูกฝงั ความรู้สกึ ของเด็กๆ ในเรื่องการเสยี สละ รกั ในกฎหมาย รักบา้ นเกิดเมืองนอน สาธารณรฐั อภชิ นาธิปไตย อํานาจสูงสุดอยทู่ ่ีบคุ คลจาํ นวนเลก็ ๆ ท่มี คี ุณภาพ มีชาติกาํ เนดิ ไดร้ ับการตระเตรยี มดา้ น การศกึ ษา การที่จะทาํ ให้ระบอบนอี้ ย่ไู ดน้ นั้ ไมใ่ ชก่ ารเสียสละ แต่เปน็ ความร้จู ักพอดใี นหมผู่ ู้ปกครอง ไม่มุ่ง ผลประโยชน์สว่ นตน กดข่ีประชาชน ความพอดีลดความตงึ เครียดของระบบนีเ้ กย่ี วกบั ความแตกต่างด้าน ชนชั้น ระบอบกษัตริย์ ปกครองโดยคนเพียงคนเดียว ปกครองด้วยกฎหมาย ความแนน่ อนของกฎหมายจะขัดขวาง เจตจาํ นงของกษัตรยิ ์ ระบอบกษตั รยิ น์ ีจ้ ะเกดิ การถว่ งดุลโดยองคก์ รต่างๆ ได้แก่ ขนุ นาง พระ สิทธิหรอื อภิสิทธ์ขิ องเมืองตา่ งๆ (การกระจายอาํ นาจ) คณะผู้พพิ ากษา ระบอบกษตั ริยจ์ ะไมเ่ ป็นทรราช เพราะระบบ ที่ขดั แย้ง ถ่วงดลุ ของสถาบนั ตา่ งๆ ทาํ ให้ระบอบยงั คงอยู่ หลกั การหรือเง่อื นไขของการปกครอง ไม่ใช่ คณุ ธรรม แต่อยูบ่ นพน้ื ฐานของความแตกตา่ ง ยศบรรดาศกั ดิ์ อภสิ ทิ ธ์ ชั้น วรรณะ สถานภาพ ความ แตกต่างเหลา่ น้ี ยากที่จะทาํ ใหช้ นชั้นต่างๆ ไดเ้ ปรยี บ และเสยี สละ เกียรติยศของกษัตรยิ ์กบั ความหยิง่ ใน เกียรตยิ ศของชนชน้ั สงู จะทําให้บคุ คลเหลา่ นีป้ ฏบิ ัติ ทาํ เพอื่ รัฐ เพ่ือเสยี งแซซ่ ้อง สรรเสรญิ ระบอบทรราชย์ เปน็ ระบอบท่ีเหยยี ดหยามธรรมชาตขิ องมนุษย์ อํานาจอยทู่ ค่ี นเพียงคนเดียว หรือไมก่ ีค่ น ทาํ เพือ่ ตนเองและกดขค่ี นส่วยใหญ่ หลักการของระบอบน้ี คือ การสร้างความกลวั ทําใหเ้ ช่ือฟงั อยา่ งไมม่ เี งอ่ื นไข ทฤษฎีวา่ ด้วยเสรภี าพของการเมอื ง คนทัว่ ไปเขา้ ใจวา่ เสรภี าพ คอื ทําอะไรกไ็ ดต้ ามใจชอบ แต่ถ้าเราทาํ ตามใจชอบ คนอืน่ ก็สามารถ ทาํ ไดเ้ ช่นกัน ก็จะไมม่ เี สรภี าพเชน่ กัน ดงั นั้น จึงมกี ารอธบิ ายเสรภี าพทางการเมอื งทีแทจ้ ริง ดังน้ี 1) เสรีภาพ คือ สิทธิทจ่ี ะทําในส่ิงทต่ี อ้ งการและไมถ่ ูกบังคับใหท้ ําในสง่ิ ท่ไี มต่ ้องการ โดย สง่ิ ท่กี ําหนดเสรภี าพ คือ กฎหมาย เสรภี าพจงึ เปน็ อาํ นาจของกฎหมาย เสรภี าพ คอื สิทธอิ าํ นาจอันชอบธรรมทก่ี ฎหมายอนญุ าต 2) เสรภี าพ คือ ความสงบทางจิตใจของประชาชนคนหนงึ่ ทจี่ ะไมเ่ กรงกลวั ประชาชนอีก คนหนง่ึ กลา่ วคือ มหี ลกั ประกนั ในความปลอดภัยในชีวติ ร่างกาย ทรัพย์สิน ความ มน่ั คง
ทฤษฏแี ละปรัชญาการเมือง 27 นอกจากนใ้ี นสว่ นที่เกยี่ วกบั ทฤษฎนี ้ี ยังมีการพูดถึง การถ่วงดลุ อํานาจ ดังนี้ เสรภี าพของประชาชนจะไม่สามารถมไี ด้ หากผปู้ กครองลแุ ก่อาํ นาจ มนุษยท์ กุ คนท่มี ี อาํ นาจ มกั ลุแก่อาํ นาจ ใชไ้ มไ่ ม่หยดุ ย้ังจนกวา่ จะพบขอบเขตจาํ กดั แต่ก็ไมร่ วู้ า่ ขอบเขตอยไู่ หน การลแุ ก่อํานาจจะหยดุ ยัง้ ได้ โดยจดั ใหอ้ ํานาจยบั ยั้งอาํ นาจ คอื ไมใ่ หอ้ าํ นาจรวมอยู่ใน องค์กรเดยี วกัน มเิ ชน่ นั้นทุกสง่ิ อยา่ งจะสญู เสีย หากผปู้ กครองเปน็ ผใู้ ชอ้ าํ นาจทง้ั 3 ทาง อิทธพิ ลทางความคดิ คือ ปฏญิ ญาสากลวา่ ดว้ ยสิทธมิ นุษยชน รัฐสภา ประธานาธบิ ดี ระบบตุลา การ 3. Jean Jacques Rousseau (1712-1778) - ต้นตระกูลเปน็ ชาวฝรง่ั เศส เขาเกดิ ที่ Geneva ทวดของเขาทิ้งมรดกให้ไว้เปน็ จํานวนมาก แต่พอของเขากผ็ ลาญจนหมดส้นิ กลายเป็นชนชั้นกฎุมพที ่ีตกกระปอ๋ ง กําพรา้ แม่ ป้ากับนา้ ดูแลเขา เยาวว์ ัยตกระกําลําบาก เคยทาํ งานเป็นช่างแกะสลกั แลว้ ตอ้ งตกต่าํ ไปเปน็ คนรับใช้ ขโมยของเขากิน แตอ่ ย่างไรกต็ ามเขากส็ นใจศกึ ษาค้นความหาความรู้ดว้ ยตนเอง - ชนะการประกวดเรยี งในหวั ข้องาน “ความกา้ วหนา้ ของศิลปะและศาสตรต์ ่างๆ ทําให้ชวี ติ มนษุ ย์ดีข้ึน” แต่ Rousseau กับสวนกระแสโดยเขยี นเรยี งความ มสี าระทํานองวา่ “อารย ธรรมทําให้มนษุ ยเ์ สอื่ มทรามลง มนษุ ยท์ ี่ดี คอื มนุษย์ที่อยใู่ กล้เคียงกบั ธรรมชาต”ิ “ตน้ กาํ เนิดแหง่ ความไมเ่ สมอภาคของมนษุ ย”์ (Origin of Inequality) จําแนกไว้ 2 ประเภท 1) ตามธรรมชาติ - สมอง รา่ งกาย = ชวี วทิ ยา 2) ท่ีไมเ่ ปน็ ตามธรรมชาติ ได้แก่ ความแตกต่างทเี่ กดิ จากสภาวะทางสงั คม เชน่ ชาวนาญี่ปุ่น รวย ชาวนาไทยจน คําอธบิ าย มนุษยใ์ นสภาวะธรรมชาติ สตปิ ญั ญายงั ไม่พฒั นา จติ ใจดีและมีศีลธรรม ออ่ นไหวตอ่ ความทกุ ขท์ รมานของคนอื่น เพราะว่ามนุษยย์ ังอยู่ในฐานะตา่ งคน ต่างอยู่ โอกาสทีจ่ ะเกดิ ความอยาก ความโลภ การต่อสยู้ งั ไมม่ ี แตเ่ ม่อื อยู่ รวมกนั เปน็ สังคม นสิ ยั มนุษยค์ อ่ ยๆ เปลีย่ นไปในทางเลวลง เชน่ มนุษยอ์ ยู่กนั เปน็ ครอบครวั พอ่ -แม-่ ลูก มคี วามคดิ ในการสะสม แก่งแยง่ ต่อสรู่ ะหวา่ งกันใน ครอบครัว มนษุ ยท์ ีม่ ีปญั ญา มีความฉลาด กเ็ รม่ิ ตน้ เอาไมม้ าปักลอ้ มรั้ว แลว้ กลา่ วว่า น้ีคอื ทีข่ องฉัน เพ่ือใหท้ รัพยส์ มบตั ิ ท่ีดินมหี ลกั ประกัน แลว้ ก็สถาปนา สังคมหรือรัฐขน้ึ มาคุ้มครองทรพั ยส์ นิ ของตน โดยหลอกลวงผูอ้ ื่นวา่ ภายใต้ กฎหมายและรฐั จะเกดิ หลกั ประกนั ในสงั คม นีค้ อื แหลง่ ทมี่ าของสังคมและ กฎหมาย เพราะฉะนนั้ Rousseau มองสังคมกบั รฐั ในทางที่ไมด่ ี “มนุษยเ์ กดิ มาอยา่ งอสิ ระหรอื เสรี แตท่ ุกหนทกุ แหง่ ตอ้ งอยู่ใต้พันธนาการ” “กฎหมายกบั รฐั สร้างเครื่องพันธนาการแก่ผ้อู ่อนแอ แตเ่ สรมิ สรา้ งพลังแกผ่ ู้มี อาํ นาจ” ปรัชญาของ Rousseau ท้ิงเช้ือสังคมนยิ ม เป็นพ้ืนฐานหรอื รากเหงา้ ลทั ธทิ ี่ต้องการใหท้ รพั ยส์ นิ เป็นของส่วนรวม ลม้ ลา้ งทรัพยส์ นิ สว่ นบุคคล ปจั จัยการผลติ ทาํ ลายความแตกตา่ งทางชนชนั้
28 ทฤษฏแี ละปรัชญาการเมอื ง “สญั ญาประชาคม” (The Social Contract) (1762) สว่ นที่ 1: ความชอบธรรมแห่งอํานาจ “คนท่ีแข็งแรงทสี่ ุด ก็ไม่อาจแข็งแรงพอเปน็ นายไดค้ ลอดไป ถ้าไมเ่ ปล่ียนกาํ ลงั มาเปน็ สิทธิ การเช่อื ฟังเป็น หนา้ ท”่ี แตเ่ ปน็ เพราะประชาชนเช่อื วา่ ผ้ปู กครองมีสทิ ธทิ ีจ่ ะปกครอง และปกครองไดเ้ พราะประชาชน เช่อื ฟงั อํานาจ มคี วามรสู้ กึ ว่ามีหนา้ ท่ีทจ่ี ะทาํ ตาม เชน่ เลือกตั้ง Rousseau อธบิ ายว่าพันธะสังคมไม่ได้อยูบ่ นพ้ืนฐานของคําส่งั หรอื สทิ ธิของผแู้ ขง็ แรงสุด เพราะ พนั ธะจะสลายไปพรอ้ มกับกาํ ลัง ถา้ ต้องเชื่อฟัง เราก็ไม่ตอ้ งเชอื่ ฟังโดยหน้าท่ี ส่วนท่ี 2: ท่มี าของความชอบธรรมแห่งอํานาจ ความชอบธรรมแหง่ อํานาจไมไ่ ด้เกิดจากพอ่ แม่ แต่มาจากสญั ญาประชาคม ซ่งึ เกดิ จากเจตจํานง อสิ ระของบุคคลท่ีรวมตวั กนั เข้าเปน็ สังคม ทาํ สัญญาเบด็ เสรจ็ แต่ละคนมอบสิทธิตามธรรมชาตแิ กส่ งั คม เหมอื นกนั หมด ทําใหเ้ กดิ องคอ์ ธปิ ตั ยห์ รือมวลชน องค์อธิปตั ยจ์ ะปฏบิ ัตใิ นนามของทกุ คน สิ่งที่กระทําไปถือ เปน็ เจตจาํ นงของประชาชน เจตจํานงทั่วไปแสดงออกโดยเสยี งขา้ งมาก แตท่ ฤษฎขี อง Rousseau ก็เป็นเสมอื นดาบ 2 คม กลา่ วคือ ประชาธปิ ไตยทางตรงอาจนําไปส่เู ผดจ็ การเสยี งข้างมาก และเสียงข้างมากท่ถี ือวา่ เป็นเจตจาํ นง ทัว่ ไป ทําให้เสยี งข้างน้อยเป็นความคิดทีผ่ ดิ แม้ Rousseau จะถอื เสียงข้างมาก แต่เขาก็ไม่ต้องการกีดกันคนออกเสยี ง เพราะสทิ ธิออกเสยี ง = สิทธิโดยทัว่ ไป - คุณลกั ษณะของอํานาจอธิปไตย คือ เจตจํานงทัว่ ไป เกดิ จากสญั ญาประชาคม 1) ไม่อาจโอนหรอื มอบหมายใหแ้ ก่กนั ได้ 2) อาํ นาจอธิปไตยไม่อาจแบง่ แยกได้ 3) ผิดพลาดไม่ได้ เจตจาํ นงทวั่ ไปตอ้ งถูกตอ้ งเสมอ โน้มไปทางประโยชนส์ าธารณะ 4) เป็นอํานาจเดด็ ขาด - ความคดิ ทางสังคม Rousseau ตอ้ งการสรา้ งความยตุ ิธรรมในสังคม ลดชอ่ งวา่ ง คนรวย-คนจน ตอ้ งการใหร้ ฐั มัน่ คง มีเสถียรภาพ ปรับฐานะคนรวย-คนจน ให้ใกล้เคยี งกันมากทีส่ ดุ คนรวย กับคนจนย่ิงแตกตา่ งกันมากเทา่ ไร สงั คมก็จะมแี ต่ความทกุ ข์ทรมาน เศรษฐี เป็นที่มาของ กิเลศ ตัณหา กดขี่ ยาจก เป็นท่มี าของ ปัญหา ภาระตา่ งๆ ไมจ่ บสนิ้ สังคมท่แี ตกต่างกนั มากเช่นน้ี จะเกดิ ความหายนะตอ่ ผลประโยชนส์ ว่ นรวม กลายเปน็ ทรราชย์ เศรษฐกี ลัวยาจกตอ้ งกดขี่ เพื่อรกั ษาฐานะ เพราะยาจกอาจลุกฮือ ลบ ลา้ งทรัพยส์ นิ ของเศรษฐี ระหว่างทั้งสองชนชั้นจะมีการขายเสรภี าพสาธารณะ เพราะฉะน้นั ตอ้ งมแี นวทางสายกลาง วางรากฐานความเท่าเทยี มกนั ทางสังคม สรา้ งกฎหมายท่ียตุ ธิ รรม แนวความคดิ ในภาคปฏิบตั ิ 1) ตอ้ งสรา้ งสังคมท่ที กุ คนมชี ีวิตอยไู่ ด้ ไม่มีใครแสวงหาความมัง่ ค่งั ไดเ้ พยี งผเู้ ดยี ว และมกี าร จํากดั ขอบเขตทรัพยส์ นิ ส่วนรวม เปน็ การวางรากฐานเรื่องสทิ ธใิ นทรัพย์สินเป็นส่ิงทีจ่ าํ กัด
ทฤษฏแี ละปรชั ญาการเมือง 29 ไม่ไดต้ ดิ มากับตวั ซึง่ ในปัจจุบนั สทิ ธใิ นทรัพยส์ นิ เปน็ ธรรมชาติ รฐั จํากดั ไดเ้ พอ่ื ประโยชน์ ส่วนรวม 2) ก่อนการปฏริ ปู ระบอบการปกครอง ตอ้ งปฏิรูปจติ ใจคนก่อนจะตอ้ งสร้างสาธารณะ (สงั คม หรือรฐั เปน็ ส่วนกลาง) เขา้ ไปในจติ ใจ ก่อนทีจ่ ะปลดปล่อยทาส ตอ้ งสรา้ งภาพให้คคู่ วรแก่ เสรภี าพเสียก่อน ความพอดขี องอาํ นาจเงนิ Rousseau เห็นวา่ เงินเป็นกลไกท่ีไรป้ ระสทิ ธภิ าพท่ีสุดทีจ่ ะทาํ ใหก้ ารเมอื งบรรลเุ ปา้ หมาย แตเ่ งินเปน็ กลไกท่แี ข็งแกรง่ ทสี่ ดุ แนน่ อน ทําใหก้ ระบวนการทางการเมอื งหันเหไปจากเปา้ หมาย เงนิ ทําลายจิตใจ และความรสู้ ึกนกึ คดิ ของคน เงนิ เปน็ จดุ ออ่ นของประชาธปิ ไตย
30 อุดมการณแ์ ละระบบการเมือง บทที่ ๔ อดุ มการณ์และระบบการเมอื ง อดุ มการณ์เสรนี ิยมคลาสสคิ (Classical Liberalism) o Rational Man มองวา่ มนุษย์มีเหตมุ ีผลในการแกป้ ัญหา ซ่ึงจะนําไปสคู่ วามเจรญิ ได้ o Individualism ปจั เจกชนนยิ ม เนน้ ตวั บคุ คล ไม่ก้าวก่ายเรื่องคนอื่น มีความเปน็ ตัวของตัวเองสูง หากคนอื่น เดอื นร้อนจะปล่อยให้เขาช่วยตัวเองกอ่ น หรือรอจนกว่าเขาจะได้รบั ความทุกข์แลว้ จึงจะช่วย o Rights to life, liberty, property สทิ ธเิ สรภี าพในชีวติ ทรพั ย์สนิ ร่างกาย o Negative freedom / Toleration เสรภี าพในเชิงลบ (Negative Freedom) หมายถึงสภาวะทต่ี ัวเราปลอดจากการคุกคามใดๆ จากภายนอกหรอื ผอู้ ืน่ กลา่ วอยา่ งอกี นยั หน่งึ กค็ อื การที่ไมม่ ใี ครมายุ่งหรอื บงการเราได้ ส่วน ขันติธรรม (Toleration) คอื ความใจกว้างอดทนตอ่ ความคิดเห็นของผอู้ นื่ ซึง่ แตกตา่ งไปจาก ของตน o Equality ความเสมอภาค เกดิ มาเทา่ เทยี มกนั ทงั้ สิทธแิ ละโอกาส o Government by consent / Contractual theory of the state ระบบการปกครองโดยความยินยอม (ฉันทานมุ ัต)ิ = การเลือกตัง้ / มีพ้นื ฐานจากทฤษฎสี ญั ญา ประชาคม (Leviathan) ของ Locke เก่ียวกบั รัฐ o Limited Government : the best government is the least government ระบอบการปกครองทีม่ อี าํ นาจจํากัด: รัฐบาลทด่ี ีทส่ี ุด คือ รัฐบาลทปี่ กครองน้อยทสี่ ดุ หนา้ ทข่ี องรฐั ในแนวคดิ เสรนี ยิ มคลาสสคิ - ป้องกนั ประเทศ - ให้ความยตุ ธิ รรมแกส่ มาชิก เมื่อเกดิ ความขัดแย้ง - จดั กจิ การสาธารณะบางอย่าง - ไม่เขา้ แทรกแซงในกิจการทางเศรษฐกิจ อดุ มการณเ์ สรีนิยมสมัยใหม่ (Modern Liberalism) o Rational Man / Individualism / Rights to life, liberty, property / Equality มนษุ ยม์ เี หตุมผี ล / ปจั เจกชนนิยม / สทิ ธเิ สรีภาพในชีวติ ทรพั ยส์ ิน รา่ งกาย / ความเสมอภาค o Government by consent ระบบการปกครองโดยความยนิ ยอม (ฉันทานมุ ตั )ิ = การเลอื กตงั้ o Positive Freedom เสรภี าพในเชงิ บวก (Positive Freedom) หมายถึง สภาวะที่ปัจเจกบคุ คลควรจะทําอะไรหรอื เรยี กร้องอะไรได้บา้ งจากสังคมหรอื โลกท่แี วดล้อมตนอยฃู่
อดุ มการณ์และระบบการเมือง 31 o Positive / Active State รัฐขา้ มาแทรกแซงบางเรื่องที่มีความจาํ เป็นในการเขา้ แทรกแซงทางเศรษฐกจิ มีบทบาทมากขนึ้ เพือ่ ใหเ้ กดิ ความสมดลุ ในสังคม และแกป้ ญั หาความแตกต่างทางชนชนั้ o Common Good / Public welfare จัดใหม้ ีสนิ ค้าบรกิ ารสาธารณะ เชน่ นํ้าดืม่ ฟรีตามทอ้ งถนน และสวัสดกิ ารสงั คม เช่น ประกัน สุขภาพ นกั คิดที่สาํ คญั ท่านหนึ่ง คอื Adam Smith ไดว้ างรากฐานระบบ “เศรษฐกจิ ทนุ นิยมเสร”ี Capitalism / Market Economic Individualism ปัจเจกชนนิยม บคุ คลแตล่ ะคนสามารถทําไดต้ ามแต่ความสามารถของแต่ละคนทีม่ ี Private Ownership กรรมสิทธิ์ส่วนบุคคล และความสามารถที่จะปกป้องทรพั ยส์ นิ ของตน เสรภี าพในการประกอบการ การแข่งขนั เสรี กลไกตลาด กลไกราคา กําไรเป็นสง่ิ จูงใจ รัฐมบี ทบาทจาํ กดั ไมเ่ ขา้ แทรกแซง อดุ มการณ์อนุรกั ษ์นยิ ม (Conservatism) o Human limitation / Imperfect / Irrational / Ignorant / Violent / Victim of passion มนษุ ยม์ ีขอ้ จํากัด / ไมส่ มบรู ณ์ / ไมม่ เี หตผุ ล / เพกิ เฉย / รุนแรง / เปน็ เหย่อื ของความรสู้ ึกและ อารมณต์ า่ งๆ o Evolutionary view of social progress / Wisdom of the past ชอบให้สังคมคอ่ ยๆ เปลยี่ นแปลง / ความรสู้ ่ังสมจากอดตี o Hierarchy / Order community / Common values / Law / Tradition ท่ีตา่ํ ทีส่ ูง แบ่งชนช้ันวรรณะ / สงั คมท่ีมลี ําดับชน้ั / ยดึ ตดิ กบั ค่านยิ ม / กฎหมาย / ประเพณี (เนน้ คุณค่าของครอบครวั ศาสนา ชุมชน) นักคดิ ทส่ี าํ คญั คือ Edmund Burk (1729-1797) - เกิดท่ี Dublin ประเทศ Ireland - เป็นสมาชิกฝ่าย Whig (ฝา่ ยรฐั สภา) มุ่งเพอื่ เสรภี าพทางการเมอื ง - ต่อต้านความคดิ ของ Rousseau ท่ีทาํ ใหเ้ กิดการปฏวิ ตั ฝิ รง่ั เศส - เขยี นหนังสือ “Reflections on the Revolution in France” (1790) สะทอ้ นถงึ ผลกระทบของการปฏิวัตทิ ี่อาจมีตอ่ ประเทศต่างๆ ซง่ึ เขาตอ้ งการปกป้องประเทศอังกฤษ ไม่ให้เป็นแบบประเทศฝร่ังเศส ที่มกี ารลม้ ลา้ งสถาบันกษตั รยิ ์ - ต่อตา้ นเสรนี ิยม / ความคดิ เชิงปฏวิ ัติ - โจมตแี นวความคดิ เกยี่ วกบั ธรรมชาติชองมนษุ ย์ (ของอุดมการณ์เสรนี ิยม) ธรรมชาติ คือ พัฒนาการของประวตั ศิ าสตร์ ซง่ึ กค็ อื ส่งิ ท่สี ังคมสั่งสม ตกทอดมา สง่ิ ต่างๆ จะปรับตวั ของมนั เอง ไมต่ ้องแทรกแซง ไมต่ ้องยุ่งกับมนั แล้ว จะดีเอง เช่น ระบอบกษตั ริยข์ องประเทศอังกฤษ จากกลุม่ ขนุ นางก็กลายเปน็
32 อดุ มการณแ์ ละระบบการเมอื ง สภาขุนนาง สว่ นประชาชนก็เข้ามามีสว่ นรว่ มกลายเปน็ สภาผู้แทน แสดงถึง ลักษณะท่คี ่อยๆ เปลี่ยนแปลง - ยกยอ่ งเทดิ ทูนความเคยชนิ เก่าๆ ได้แก่ ชนช้ัน (ปฏบิ ตั ติ ามหน้าท)ี่ มรดกตกทอด อคติ คณุ คา่ ของอคติ - ธรรมชาติ ไดแ้ ก่ ชาตกิ าํ เนิด และชนชน้ั - ความภูมิใจในชนช้ัน และชาติ ทําให้เกิดความพยายามของ แตล่ ะบคุ คล ทจ่ี ะปกป้องกรรมสทิ ธิ์ ทรัพย์สนิ เกยี รตยิ ศ ชื่อเสียง ท่ไี ด้มาของวงศ์ตระกูลและตัวเอง ไมม่ อี ะไรเป็นธรรมชาตไิ ปมากกว่า สญั ชาตญาณ ทําให้เกิดการตอ่ ตา้ น ความไมย่ ตุ ธิ รรม ส่งผลใหม้ งุ่ รกั ษาเสรภี าพของสังคม - โจมตเี ร่ืองความเสมอภาค ความเสมอภาคไม่มีอยู่จรงิ สมมตกิ ันเอง สงั คมต้องประกอบดว้ ยชนชน้ั หลีกเลยี่ ง ไม่ได้ ต้องมีชนช้ันหน่งึ เหนอื อกี ชนชั้นหนึ่ง ธรรมชาตเิ ป็นเพยี งส่ิงเดยี วที่ไดบ้ อกว่า อะไรอยตู่ า่ํ อะไรอยูส่ ูง - โจมตเี รอ่ื งเจตจํานงเสรี เสยี งข้างมากไม่จําเปน็ ต้องถูกเสมอไป เจตจํานงไมจ่ าํ เปน็ ตอ้ งสอดคล้องกับ ผลประโยชนข์ องคนสว่ นใหญ่ โจมตีเรอื่ งกฎของจํานวน (Law of Number) วา่ ไมถ่ ูกต้อง เพราะวา่ รัฐธรรมนญู ไมไ่ ด้เป็นปญั หาทางคณติ ศาสตร์ - โจมตคี วามคิดทาํ ลายล้างแล้วสรา้ งใหม่ ถอื ว่าเป็นการเย้ยหยันธรรมชาตทิ ีน่ า่ อดสู - ยกยอ่ ง “รฐั บรุ ุษ” ซงึ่ มีลกั ษณะดังน้ี 1) มแี นวโนม้ รกั ษาสิง่ ตา่ งๆ ไว้ 2) มพี รสวรรคท์ ี่จะปรบั ปรงุ สิง่ ต่างๆ ให้ดีขึ้น - โจมตีหลักเหตุผลทวั่ ไป ถือว่าระบบใดอิงเหตผุ ล บคุ คลจะไรป้ ระสิทธิภาพ ในภาวะวกิ ฤติ ต้องปลกุ อคติ และความเปน็ ชาติ อดุ มการณส์ ังคมนยิ มและการปฏวิ ัติสงั คม (Socialism) นักคิดท่สี ําคญั สังคมนิยมกอ่ น Marx (เปน็ สังคมนยิ มปฏิรปู ไมต่ ้องการปฏวิ ัติ แก้ปญั หาเป็นประเดน็ ไป) - Babeuf (1760-1797) - สงั คมนยิ มอังกฤษ Robert Owen (1771-1858) - สงั คมนิยมฝรงั่ เศส ถอื ว่าการปฏิรปู เศรษฐกิจต้องมากอ่ นสงิ่ อ่นื ๆ Saint Simon Charles Fourier (1773-1817) Pierre Joseph Proudhon (1809-1865) ไมแ่ ยกการปฏริ ปู เศรษฐกจิ สังคม ออกจากประชาธปิ ไตยการเมอื ง Louis Blounc สังคมนยิ มเศรษฐกิจ สงั คมและการเมือง - Karl Marx (1818-1883) / Friedrich Engels (1820-1895)
อุดมการณ์และระบบการเมือง 33 - Vladimir Ilyich Lenin (1870-1924) (Leninism) Joseph Stalin (1879-1953) (Stalinism) - Mao Zedong (Mao Tse-Tung) (1893-1976) (Maoism) ภายหลงั การปฏิวตั ิฝร่งั เศส (French Revolution) ค.ศ.1789 ฝา่ ยเสรีนยิ มเหน็ วา่ เปน็ การสิน้ สดุ การ เปลี่ยนแปลงแลว้ แตผ่ ลของอดุ มการณเ์ สรีนิยมทอี่ าศยั ทุนนยิ มเปน็ การจดั ระเบียบทางเศรษฐกจิ และใช้ ประชาธิปไตยในการปกครอง ทาํ ใหเ้ กิดความไมเ่ ทา่ เทียมกัน (นายทุน-กรรมกร) เกดิ ขบวนการสังคมนยิ มกลมุ่ ต่างๆ ในยุโรป เกดิ การปฏิวตั ิเพ่มิ เตมิ Bebeuf ได้กล่าววา่ “ยตุ ไิ ดแ้ ลว้ ทีค่ นไม่ถึง 1 ลา้ นคน ถอื กรรมสิทธิข์ องคนกว่า 20 ล้านคน ความ แตกตา่ งระหวา่ งมนุษยข์ อให้มีเพียงอายุและเพศ สงิ่ ที่มนุษยต์ ้องการ คอื สมรรถภาพ มีการศึกษาอยา่ งเดยี วกนั อาหาร มนุษย์พอใจกบั ดวงอาทติ ยด์ วงหนง่ึ ท่ใี หแ้ สงสวา่ งแก่ทกุ คน พอใจกับอากาศทีท่ กุ คนสามารถหายใจได้ แต่ ทําไมจํานวนอาหารอย่างเดยี วกนั จงึ ไมพ่ อสาํ หรบั มนุษย์ทุกคน” Robert Owen นายทนุ ผใู้ จบุญ - ไม่ได้เสนอใหย้ กเลิกกรรมสิทธ์ใิ นทรพั ย์สนิ แต่เสนอใหต้ ง้ั สหกรณ์ เพอื่ ส่งเสริมปจั จัยการ ผลิตร่วมกนั - เห็นวา่ ควรยกเลิกการแข่งขนั เอารัดเอาเปรียบ ควรจะหันมาร่วมมอื กันอย่างเตม็ ตัว - โจมตคี วามไม่เทา่ เทียมกนั เกยี่ วกับรายไดแ้ ละทรพั ยส์ ิน - มองเหน็ ความทกุ ขย์ ากของคนงาน จึงต้องการเปลย่ี นแปลงความเปน็ อยขู่ องกรรมกร โดยมี แนวคิดทส่ี ําคญั 4 ข้อ คอื 1) รัฐต้องหาความคมุ้ ครองใหก้ รรมกร เง่ือนไขเกีย่ วกับชวี ติ เหมาะสม คา่ ตอบแทน ยตุ ิธรรม มีสุขลกั ษณะท่ีดี 2) คนงานมีสิทธิพัฒนาบคุ ลิกภาพเฉพาะตนและการศกึ ษา 3) จดั ตง้ั ชนชนั้ สหกรณ์ สมาชกิ สามารถแลกเปล่ียนผลผลติ กัน สมาชิกแตล่ ะคนตั้งคา่ ผลิตผล เปน็ ชัว่ โมงแรงงานในการผลิต 4) เสนอจดั ต้ังชนชั้นทรัพยส์ ินในรูปสหกรณ์ สมาชกิ เปน็ ท้งั กรรมกรและกสกิ รใช้ กรรมสิทธร์ิ ว่ มกนั Saint Simon มีแนวความคดิ ทางสังคมนยิ ม 2 ประการ คอื 1. ปัจจยั ทางเศรษฐกจิ กําหนดสงั คมและการปกครอง เปลย่ี นแปลงการควบคุมทรพั ยากรของ รฐั 2. วเิ คราะหโ์ ครงสรา้ งชนชัน้ สงคราม ขนุ นาง ทหาร เปน็ อภสิ ิทธช์ิ นเอาเปรียบชาวนาและ ผผู้ ลติ สงั คมอุตสาหกรรมทําให้เกดิ สังคมของคนทํางาน จงึ ถึงเวลาทีเ่ หล่านายจ้าง ขุนนาง ทหารและพวกทไี่ ม่ทาํ งานจะหมดไปเสยี ที Charles Fourier มชี วี ิตในระบบอุตสาหกรรมในเมอื ง Lyon ประเทศฝรั่งเศส เหน็ ความทุกข์ยากของคน ใกลช้ ดิ ไดโ้ จมตรี ะบบทุนนยิ ม 2 ขอ้ คือ 1. ระบบอตุ สาหกรรมเจรญิ ขึน้ มาไดด้ ้วยความยากจนของกรรมกร จงึ เกลียดชังพอ่ ค้า และการ เอาเปรียบของพ่อค้าทช่ี อบซอ้ื ถกู ขายแพง 2. เสรีนยิ มทางเศรษฐกจิ ทําใหเ้ กดิ ภาวะตวั ใครตัวมัน สังคมตอ้ งทุกขย์ าก จักต้องปฏริ ปู สังคม ดว้ ยการสรา้ งสังคมเล็กๆ ที่ดพี ร้อมเสยี กอ่ น
34 อุดมการณแ์ ละระบบการเมอื ง Pierre Joseph Proudhon ปจั จยั พน้ื ฐาน คอื เศรษฐกิจ การแกป้ ัญหาสงั คม คือ การปฏวิ ัติเศรษฐกิจ โจมตีอํานาจทุกอํานาจ ซ่งึ เป็นเจตจาํ นงของพวกราชการ อาณาจักร ศาสนจักร เน้นความเสมอภาค เสรภี าพ อนั จะ ทําใหเ้ กดิ ภราดรภาพ (รกั ใคร่กนั ฉนั พนี่ ้อง) เปน็ การนําไปสูค่ วามสมดลุ ของทั้งสามสงิ่ Louis Blounc มีความคดิ สงั คมนยิ มปฏริ ปู คือ เลิกลม้ การแข่งขนั แลว้ หนั มาสรา้ งโรงงานสงั คมกรรมกร จะเปน็ เจา้ ของเครือ่ งมือการผลติ ให้กรรมกรทมี่ ีการศึกษาเป็นเจา้ ของก่อน ระยะแรก โรงงานนไี้ ด้ทนุ จากรัฐและ นายทุน ให้โรงงานสงั คมผลติ แข่งขนั กบั รัฐวสิ าหกิจ แลว้ สดุ ท้ายก็จะชนะ โรงงานสงั คมจะเกดิ ข้ึนมากมายครอบคลมุ เศรษฐกิจทงั้ หมด และเปน็ การยตุ กิ ารแขง่ ขนั Karl Marx เป็นชาวเยอรมนั เชือ้ สายยวิ - - เป็นนักประวตั ิศาสตร์ กฎหมาย ปรชั ญา แต่ยากจน - - เร่ิมตน้ เปน็ นักหนังสือพมิ พ์หวั กา้ วหนา้ - ในปี 1843 อย่ทู ี่ Paris ไดพ้ บลักษณะมลู ฐานทางเศรษฐกจิ - ปี 1845 ถกู ขับไล่ออกจากฝรั่งเศส ไปยงั กรงุ Brussel ร่วมมอื กับ Friedrich Engels คน ตระกลู ราํ่ รวยไปตงั้ หลกั ที่ประเทศองั กฤษ Marxism มแี กนความคิดท่ีสาํ คัญ 2 ตวั คอื 1) วิภาษวธิ ีวัตถุนยิ ม (Dialectical Materialism) 2) ประวัติศาสตรว์ ัตถนุ ยิ ม (Historical Materialism) ใช้หลักวิเคราะห์การเปลย่ี นแปลงสังคม วธิ คี ิดของ Marx อาจเรยี กได้ว่าเปน็ สังคม นยิ มวทิ ยาศาสตร์ ซึงก่อนหนา้ นัน้ ลว้ นเปน็ สังคมนิยมแบบอดุ มคติท้ังสิ้น สาระสําคัญของวัตถนุ ยิ ม วัตถนุ ยิ ม หมายถึง โลกทางวตั ถุเท่านั้นทเี่ ปน็ จรงิ และเป็นปจั จัยกําหนดส่ิงตา่ งๆ แมแ้ ตม่ โนธรรม ศีลธรรม อุดมการณ์ กเ็ ป็นผลติ ผลของสมองซง่ึ เปน็ วัตถุ ทฤษฎแี ห่งรฐั ของมาร์กซสิ ต์ (The Marxist Theory of the State) Marx คิดว่าสังคมสมยั ใหมป่ ระกอบด้วยชนชน้ั หนึ่ง (นายทุน) อยู่เหนอื อีกชนช้ันหนึ่ง (คนทาํ งาน) เหตทุ ี่ ความตงึ เครยี ดซง่ึ สรา้ งขน้ึ โดยการมอี าํ นาจเหนือกวา่ ทาํ ให้คนทํางานต้องถูกควบคมุ และนี้คือเหตผุ ลว่ารฐั จงึ เป็นส่ิงที่ ต้องการ รฐั จะคอยควบคุมคนทํางานใหอ้ ยภู่ ายใตก้ ารควบคมุ บางสว่ นด้วยกาํ ลงั (ตํารวจ) และบางสว่ นดว้ ยจูงใจให้ เขา้ กบั ระบบทเ่ี ปน็ อยู่ในโรงเรยี น และอ่ืนๆ ซึง่ สถานการณข์ ณะน้ียงั ดอี ยู่ แต่แลว้ ในทส่ี ุดคนทาํ งานจะปฏวิ ตั ิ และตั้งระบบสังคมนยิ ม ซึ่งชนชัน้ หนึ่งจะไมม่ อี าํ นาจเหนือชนชน้ั หนง่ึ และในทสี่ ดุ รัฐจะไมม่ ีความจําเป็นอกี ตอ่ ไปและสลายตวั ไปเอง
อดุ มการณแ์ ละระบบการเมือง 35 Marxism: Dialectical Materialism Thesis Conflict Anti-Thesis สังคมท่ีขุนนาง หรือ ไพร่ติดท่ีดิน เร่ิมกลายเป็น อั ศ วิ น อํ า น า จ เ ป็ น ชนช้ันกระฎุมพี รวมทั้งพวก เ จ้ า ข อ ง ท่ี ดิ น ใ น ยุ ค พ่อค้า ต้องการมีอํานาจทาง Feudalism การเมือง Synthesis Conflict Anti-Thesis กลายเป็นยุคทุนนิยม พวก Synthesis แรงงานถูกกดขี่ ต้องการ นายจ้างหรือนายทุนมีอํานาจ (Thesis 3) เรยี กร้องความเท่าเทียมกัน มาก อ ย า ก มี อํ า น า จ ทั้ ง ท า ง การเมอื งและสังคม เกิดการปฏิวัติชนช้ัน กรรมาชีพ และก้าวสู่ ยคุ คอมมิวนสิ ต์ วิภาษวธิ ี คอื ทฤษฎี / Model / กระบวนการ ท่ีอธบิ ายโลกวัตถุวา่ มกี ารเปลย่ี นแปลง อยา่ งไร หรืออีกนัยหนงึ่ สังคมมกี ารเปลยี่ นแปลงอย่างไร วัตถแุ ละสงั คมมีการ เปล่ยี นแปลงตามหลกั Thesis / Anti-Thesis และจะเป็นเชน่ นีต้ ลอดไป Marxism: Historical Materialism วตั ถุเปน็ ตัวขับเคลื่อนประวตั ศิ าสตร์ กลา่ วอกี หน่งึ ประวัตศิ าสตร์ถูกขบั เคลอ่ื นโดยการเปล่ียนแปลงโลกของวัตถุ พลังการผลติ ประวัติศาสตร์ ปจั จัยการผลติ สงั คม / กฎหมาย รปู แบบการผลติ การปกครอง โครงสรา้ งพืน้ ฐาน โครงสรา้ งส่วนบน
36 อุดมการณ์และระบบการเมอื ง บรรพกาล ววิ ัฒนาการของสังคม เปน็ สงั คมโบราณ ยงั ไมม่ ีระบบครอบครัว หาอะไรมาได้กเ็ ป็นกองกลาง ทาส ทาสอยากเป็นไท เรม่ิ มีเทคโนโลยี แรงงาน แรงลม ในช่วงน้ี ศักดนิ า หัตถกรรม เริม่ คดิ หาเครือ่ งทนุ แรง เกดิ ระบบการคา้ เสรี ทุนนิยม นายทนุ – กรรมกร ถูกกดข่ีคา่ แรง และสวสั ดกิ ารตง้ั ตวั ไมไ่ ด้ และกรรมกรเรมิ่ มีจํานวนมากขนึ้ เกดิ ความขัดแยง้ นายทุน – กรรมกร เผดจ็ การชนชน้ั ชนช้ันกรรมาชีพมีอํานาจการผลิต อํานาจการเมือง เป็นเจ้าของปัจจัย ข้ึนมาเป็นชนช้ันปกครองใน กรรมาชีพ ระยะแรก ใช้กําลังยึดการผลติ ของนายทนุ มาเป็นของรฐั เพม่ิ การผลติ เรว็ ท่ีสุด แจกจา่ ยตามความจาํ เปน็ แตร่ ะบบนข้ี ดั แยง้ กบั ธรรมชาตขิ องมนษุ ยท์ ่ตี ้องมแี รงจูงใจ คือ ทาํ มากได้มาก ทาํ น้อยได้นอ้ ย คอมมวิ นสิ ต์ คนในระบบ 1. เปน็ มนุษยเ์ ต็มตัวและมมี นุษยธรรม ไมม่ คี วามขดั แยง้ กดข่ี ต่อสู้ ทกุ คนไดเ้ คร่ืองอปุ โภคบริโภค ตามความจําเปน็ 2. มนุษย์มีความสุขที่สมบรู ณ์ เสมอภาค และมเี สรภี าพ ปราศจากการกดขที่ กุ รูปแบบ แต่ในที่สดุ เผด็จการสงั คมนิยมเสอื่ มถอย Lenin คือ คนท่ีเอา Marxism ไปใชใ้ นประเทศรสั เซยี ทําให้เกิดเผดจ็ ลง ไมส่ ามารถไปส่สู ังคมคอมมวิ นสิ ต์ได้ เพราะ การสังคมนยิ ม Marx บอกวา่ การเปล่ยี นแปลงจะตอ้ งเกิดขึน้ ในประเทศ ทเ่ี จรญิ ทางเศรษฐกจิ และสงั คมเสยี กอ่ น กล่าวอกี นยั หน่งึ การปฏวิ ัติ 1. รัฐเผด็จการชนชั้นกรรมาชีพต้อง เร่ิมจากประเทศก้าวหน้ามากทส่ี ุด กา้ วหน้าที่สุด แต่ Lenin เหน็ วา่ สร้างความเป็นรัฐที่แข็งแกร่งต่อสู้ สั ง ค ม นิ ย ม แ ล ะ สั ง ค ม อ่ื น จ น 1) จะตอ้ งเรมิ่ ท่ีประเทศอตุ สาหกรรมน้อยทีส่ ดุ กลายเปน็ “สงครามเย็น” 2) การปฏิวตั สิ งั คมไมต่ ้องเป็นไปตามขั้นตอน แต่เกิดข้นึ ได้ดว้ ยวธิ ี 2. สังคมแบบน้ีมีรัฐบาลเป็นระบบ การเมือง ราชการขนาดใหญ่ ผู้นําของประเทศ 3) การปฏวิ ัติจากประเทศหนงึ่ ถ่ายทอดไปสู่อกี ประเทศ เหล่านเ้ี มอ่ื ถงึ จดุ หนงึ่ กก็ ลายเป็นพวก อนรุ กั ษน์ ยิ ม รักษาอํานาจของตนเอง หนึง่ แตก่ อ่ นทจ่ี ะไปถงึ ยุโรป ฐานสาํ คญั คือ ทวีป เอเชีย ได้แก่ ประเทศรสั เซยี จีน อินเดีย 3. กว่าจะบรรลุเป็นสังคมคอมมิวนิสต์ Mao Tse-Tung ใช้หลักป่าล้อมเมือง การผลติ ตอ้ งมมี ากพอ
อดุ มการณแ์ ละระบบการเมือง 37 สรปุ หลกั อดุ มการณ์สังคมนยิ ม - ความเสมอภาค / มนษุ ยน์ ยิ ม (การคํานงึ ถึงศกั ยภาพตามธรรมชาติของมนุษย์ ศกั ดิ์ศรีของคน) - Collectivism ทรัพย์สนิ เป็นของสว่ นรวม - Active / Interventionist Government รฐั บาลเชิงรกุ และเข้าแทรกแซงเศรษฐกิจและการ ผลิต Marxist Socialism - การกดขีเ่ อารดั เอาเปรยี บระหว่างชนช้นั / ความขดั แยง้ ทางชนชัน้ ในระบบทุนนิยม - รฐั เป็นเครื่องมือทางชนชั้น (Marxism ต่อต้านอํานาจรัฐ) - การปฏิวัตโิ ดยชนชั้นกรรมาชีพ - The state will wither away รฐั จะสลายตวั ไป เม่อื เป็นสังคมคอมมวิ นิสต์ ระบบเศรษฐกจิ สังคมนิยม (Social Economic) - Collective Ownership: ปัจจยั การผลติ เป็นของสว่ นรวม - Central Planning: ใช้ระบบการวางแผนจากส่วนกลางในการผลิต แจกจ่ายสินคา้ แทนกลไก ราคา กลไกตลาด เผด็จการชาตินยิ ม (Fascism & Nazism) - เป็นลทั ธิการเมอื งของพวกเผด็จการ (ฝ่ายขวา) - เกดิ จากจติ วทิ ยาของผู้แพ้ / ปญั หาสังคม - สร้างความหลงใหลในชาติ / ผูน้ าํ - ไม่มสี าระ / พวกฉวยโอกาส (อาศยั ปญั หาสงั คมเปน็ เคร่อื งมือ) - ต่อตา้ นทกุ ระบอบโดยเฉพาะ Communism (และอา้ งว่าพรอ้ มท่จี ะเป็นการปกครองทกุ รูปแบบ) - ทฤษฎีชนช้นั นํา ถือวา่ สงั คมทุกสังคม ตอ้ งมี “ผนู้ าํ ” (ชนกลุ่มนอ้ ย แต่มีคุณสมบตั ิทีด่ ีกวา่ – เปน็ ผปู้ กครอง) กบั “ผตู้ าม” (มวลชน) - Fascism (Italy) – Benito Mussolini (1883-1945) - Nazism (Germany) – Adolf Hitler (1889-1945) ลัทธฟิ าสซสิ ต์ (Fascism) - สนใจสรา้ งรัฐใหม้ อี าํ นาจแขง็ แกร่ง ทกุ ชนช้นั เปน็ หนง่ึ เดียวกนั - ขบวนการทางจติ ใจที่ขัดกบั Marxism (ยึดตดิ อยู่กับการต่อส้รู ะหวา่ งชนชนั้ ไม่สนใจเอกภาพ ของรัฐ) - ไมใ่ ช่ลัทธิแห่งเหตผุ ล: ครอบครัว / ชาติ / ประเพณี ระเบยี บวนิ ยั เยาวชน / ความแข็งแกรง่ ของรา่ งกาย / เทดิ ทูนวรี บรุ ุษ สัญลักษณ์ / การประดบั ประดา เช่ือผนู้ าํ อยา่ งหลงใหล (สง่ิ เหล่านี้ปลุกเรา้ อคติ ทาํ ใหเ้ กิดการเป็นชาต)ิ - ปฏเิ สธความเสมอภาค (ถอื ว่าความไมเ่ สมอภาค เปน็ สิง่ ที่แก้ไขไมไ่ ด้ และเปน็ ประโยชน์ต่อ มนษุ ยชาต)ิ ความอยู่เหนือของผูป้ กครอง
38 อุดมการณ์และระบบการเมือง - เทิดทูนรัฐ รฐั ครอบคลุมทกุ ส่ิงทุกอยา่ ง รัฐเป็นเครือ่ งมือของความแขง็ แรง หลักประกนั เปน็ สง่ิ ท่ีออ่ นแอ ลทั ธนิ าซี (Nazism) - อาจเรยี กวา่ National Socialism - ลทั ธเิ ชอ้ื ชาตินิยม (Racism) / ตอ่ ต้านคนยิว - Hitler: การตอ่ สู้ เช้ือชาติ ความไมเ่ สมอภาค Hitler เชื่อวา่ อารยนั เปน็ เช้ือชาติสูงสดุ อยู่เหนอื เช้อื ชาติอนื่ ๆ ตอ้ งรักษาความบรสิ ทุ ธิ์ ความเสอ่ื มของอารยนั เกดิ จากการไปผสมเลือดกบั เชอื้ ชาติท่ีอ่อนแอกวา่ - รฐั เป็นเครอื่ งมือแห่งผู้นํา / เชื้อชาติสาํ คัญท่สี ดุ (ขดั กับหลักสนั ตภิ าพ หลกั สากลนยิ ม ประชาธิปไตย) ธาํ รงรกั ษา / ปรบั ปรงุ เชอื้ ชาติ การขยายอาณาจกั ร – การครอบงาํ ของเชอื้ ชาติอารยนั รฐั ตั้งอยู่บนพนื้ ฐานของความศรัทธาต่อผู้นาํ รัฐไมไ่ ดม้ เี กยี รติคุณ แต่เป็น เพียงการรักษาความบรสิ ุทธ์ิ และเอกภาพของเชอื้ ชาติ ลกั ษณะสาํ คัญของระบบการเมอื ง เป้าหมาย ระบบการเมอื ง อดุ มการณ์ หลกั การสําคญั (Principal) องคก์ าร (Organization) รปู แบบโครงสร้าง กระบวนการ ระบบการเมือง อาํ นาจ (รฐั ) นิยม เสรภี าพ (บุคคล) นยิ ม เผดจ็ การ ประชาธปิ ไตย อํานาจนยิ ม อาํ นาจเบ็ดเสรจ็ แบบรฐั สภา แบบผสม แบบประธานาธิบดี
อุดมการณ์และระบบการเมอื ง 39 ระบบการปกครอง เผดจ็ การ อาํ นาจนยิ ม เผดจ็ การทหาร เบด็ เสร็จ ซา้ ย: สงั คมนิยม ขวา: ฟาสซสิ ต์ / นาซี ประชาธปิ ไตย ประชาธิปไตยแบบสังคมนิยม / ประชาธิปไตยแบบรฐั สวัสดิการ รัฐสภา แบบผสม ประธานาธบิ ดี ระบอบอาํ นาจนิยม (Authoritarianism) (ไมม่ ี - ผู้ปกครองมีอํานาจเหนอื ผอู้ ยูใ่ ตก้ ารปกครอง - การใช้อํานาจของผู้ปกครองเป็นไปโดยอําเภอใจ ไมม่ ขี อบเขตหรอื การควบคมุ จากภายนอก สถาบันใดควบคุมได)้ - ผปู้ กครอง รฐั กลไกรฐั การควบคมุ บคุ คล กลุม่ และสังคม - จาํ กัดเสรภี าพ / การมสี ่วนร่วมทางการเมอื ง เน้นการเช่ือฟงั และความสงบเรยี บร้อย - ใช้กระบวนการทางการกฎหมายอยูบ่ า้ ง ระบอบเผด็จการเบ็ดเสร็จ (Totalitarianism) - อํานาจสูงสดุ เดด็ ขาดอยู่ทีพ่ รรค / ผู้นาํ / องค์กรนํา - มีการปลูกฝังอุดมการณ์ของรัฐ - ควบคมุ สงั คม เศรษฐกจิ การเมือง วิถชี วี ติ ทุกดา้ น - มกี ารระดมพลงั ประชาชนเปน็ ระยะๆ - ไม่เปดิ โอกาสใหม้ อี ดุ มการณอ์ ่นื ใด - เชือ่ อย่างคล่งั ไคล้ / ผูกพนั ทางจติ ใจ
40 อุดมการณแ์ ละระบบการเมอื ง ความแตกตา่ งระหวา่ งเผดจ็ การ 2 แบบ Authoritarianism Totalitarianism 1. ควบคุมเฉพาะทางการเมือง 1. ควบคุมทัง้ การเมือง เศรษฐกิจ และสงั คม 2. เสรภี าพทางศาสนา ธุรกจิ การรวมตวั กนั เปน็ 2. ควบคมุ สถาบนั ทางศาสนา ธรุ กิจและสมาคม 3. รัฐ / ผูน้ ํา / อดุ มการณ์ สําคัญกวา่ กฎหมาย สมาคม 4. ปฏิบตั ติ ามคําสง่ั / แสดงความจงรักภกั ดี ท้งั 3. ใช้กฎหมายและกระบวนการยตุ ธิ รรมบางสว่ น 4. ไม่เป็นปฏปิ ักษ์กับรฐั การกระทาํ และจติ ใจ
การเมอื งการปกครองเปรยี บเทียบ 41 บทที่ ๕ การเมอื งการปกครองเปรยี บเทยี บ ในบทน้ี เราจะศึกษาลกั ษณะการปกครองของประเทศอังกฤษ สหรัฐอเมรกิ า และฝรัง่ เศส เพ่ือเปน็ แนวทาง ทาํ ความเข้าใจเกี่ยวกับลักษณะการปกครองของประเทศไทยในปัจจุบันท่ีนําลักษณะการปกครองของประเทศต่างๆ เข้ามาปรับปรงุ ในการร่างรัฐธรรมนญู ฉบบั ปจั จุบัน (พ.ศ.2540) การปกครองประเทศอังกฤษ : ระบบรฐั สภา รฐั ธรรมนูญอังกฤษเป็นรัฐธรรมนูญทไ่ี ม่มีลายลกั ษณ์อักษร แตก่ ระจดั กระจายอยู่ในรูปแบบต่างๆ กันในรูป ของพระราชบัญญัติต่างๆ บ้าง เช่น พระราชบัญญัติว่าด้วยสิทธิมนุษยชน ปี ค.ศ.1689 พระราชบัญญัติสืบสันตติ วงศ์ ปี 1701 เป็นต้น หรือในรูปของข้อตกลงและขนบธรรมเนียม เช่น การจัดต้ังคณะรัฐมนตรีไม่มีกฎหมายฉบับ ไหนบง่ บอกใหม้ กี ารจดั ตง้ั แต่คณะรัฐมนตรวี วิ ฒั นาการจากภาคปฏบิ ัตจิ นกลายเป็นขนบธรรมเนียมที่ยอมรับกกันมา เกอื บ 300 ปีแลว้ รัฐธรรมนูญขององั กฤษ จึงเป็นเรอื่ งราวของวิวัฒนาการของประวตั ิศาสตรก์ ารเมือง เกดิ ข้นึ หรอื เป็นผลลัพธ์ ของกระบวนการร่วมมือ และการขัดแย้งระหว่างพระมหากษัตริย์และขุนนาง และกว่าจะเข้ารูปเข้ารอยดังเช่น ปัจจบุ นั กต็ อ้ งผา่ นสงครามปฏิวัตถิ ึง 2 คร้ังใหญใ่ นศตวรรษท่ี 17 และยงั จะต้องมกี ารปฏริ ปู กนั ขนานใหญใ่ นศตวรรษ ท่ี 19 และ 20 ถึงจะประกฎในรูปแบบการปกครองแบบประชาธิปไตยดังท่ีปรากฏ การต่อสู้ดิ้นรนระหว่างขุนนาง องั กฤษและมหากษตั ริย์ในอดตี เปน็ การตอ่ สู้เพ่อื ปกป้องผลประโยชนข์ องกล่มุ ชนช้นั ของตนเองและตามแนวความคดิ เช่ือถือตามลัทธิศาสนา แต่ผลของการต่อสู้เร่ืองนี้ชักนําให้เกิดระบบการปกครองท่ีกลายเป็นพื้นฐานของระบบการ ปกครองประชาธปิ ไตยในสมยั ต่อมา การปกครองขององั กฤษมไิ ด้มีการแบ่งแยกอาํ นาจอธิปไตยออกเปน็ อํานาจนิติบัญญัติ อํานาจบริหาร และ อาํ นาจตุลาการ ในลักษณะทช่ี ดั เจน หลกั การปกครองโดยกฎหมาย (Rule of Law) หลกั การปกครองโดยกฎหมายของอังกฤษ เปน็ หลกั ทีม่ คี วามหมาย 3 ประการ คอื 1. ต้องไม่ใช้กาํ ลังปกครอง ตอ้ งใช้กฎหมายปกครอง ประชาชนตอ้ งเคารพกฎหมาย 2. คนองั กฤษถกู ปกครองโดยกฎหมายและโดยกฎหมายเท่านน้ั การจะลงโทษหรือจับกุมคนอังกฤษ โดยปราศจากการไต่สวนตามกระบวนการของกฎหมายและโดยไม่มีความผิดตามท่ีระบุไว้ใน กฎหมายจะกระทาํ มิได้ 3. อํานาจของพระมหากษัตริย์และรัฐมนตรนี ้ันมีตน้ กําเนิดมาจากพระราชบญั ญัติของรัฐสภา ท้ังน้ี ประเทศอังกฤษยังมีหลักการจํากัดอํานาจของกษัตริย์ หรือผู้ปกครองนี้กับหลักสิทธิเสรีภาพส่วน บุคคล เป็นหลักประกันให้เกิดระบบเผด็จการ ซ่ึงมาจากการปฏิวัติท่ีรุ่งโรจน์ ปี ค.ศ.1688 โดยได้กําหนดไว้ใน พระราชบัญญตั ิว่าดว้ ยสิทธิมนุษยชน (The Bill of Rights) ปี ค.ศ.1689 และพระราชบัญญัติน้ีได้กําหนดข้อจํากัด ของอาํ นาจพระมหากษัตรยิ ท์ ่ีจะกระทาํ การใดๆ โดยไม่ปรกึ ษารฐั สภาไมไ่ ด้ หลักอํานาจสูงสดุ ของรฐั สภา (Supremacy of Parliament) อํานาจสูงสุดหรืออธิปไตยเป็นของรัฐสภา หมายความว่า รัฐสภามีสิทธิที่จะออกกฎหมาย หรือยกเลิก กฎหมายใดๆ ก็ได้ และไมม่ ผี ู้ใดในองั กฤษท่จี ะเพกิ เฉย หรือละเมิดต่อกฎหมายของรฐั สภา หลักของอํานาจสูงสุดของ รัฐสภานี้หมายความว่า ในระบบการปกครองของอังกฤษ อธิปไตยอยู่ท่ีองค์กรรัฐสภาอันประกอบด้วย สภาขุนนาง สภาผู้แทน และพระมหากษัตริย์ ฉะน้ัน แม้ว่าจะมีการแบ่งหน้าท่ีกันทํา คือ คณะรัฐมนตรีในฐานะเป็นคณะรัฐบาล
42 การเมืองการปกครองเปรียบเทยี บ ของพระมหากษัตริย์ทําหน้าท่ีบริหาร แต่อํานาจสูงสุดอยู่ท่ีรัฐสภา ซ่ึงสามารถควบคุมการปฏิบัติงานของ คณะรัฐมนตรี ตลอดจนสามารถทาํ หน้าท่ีเปน็ ศาลสูงสดุ ดว้ ย การทาํ หนา้ ทีเ่ ป็นศาลสงู น้ันเป็นบทบาทในส่วนของสภา ขนุ นาง (House of Lords) รัฐธรรมนูญอังกฤษนั้นจึงไม่ได้แบ่งแยกอํานาจอธิปไตย แต่เป็นการแบ่งบทบาทหน้าท่ี ฉะน้ันจึงมี กระบวนการ รวมอํานาจไว้ท่ีรัฐสภา (Fusion of Power) แต่ก็มีสายสัมพันธ์เชื่อมโยงกันที่เรียกว่า Organic Link โดยสถาบันรฐั สภา การที่รัฐสภาอังกฤษววิ ัฒนาการในรูปน้ี เปน็ เรือ่ งของเหตกุ ารณใ์ นประวัติศาสตร์มิได้มีความจงใจจะให้เกิด ระบอบประชาธิปไตยแต่อย่างใด อํานาจของรัฐสภามีเพ่ิมข้ึนจากเดิมเป็นเพียงให้ความร่วมมือในการเพ่ิมภาษีของ พระมหากษัตริย์ ต่อมากลายเป็นผู้ให้ความเห็นชอบ ต่อมาอีกรัฐสภาก็เริ่มมีอํานาจในด้านออกกฎหมาย ซึ่งเร่ิมต้น เป็นการตรากฎหมาย เพ่อื แก้ไขขจัดข้อเดือดร้อนของประชาชนเทา่ นัน้ ตอ่ มาขยายไปเป็นอาํ นาจนติ ิบญั ญตั ทิ ว่ั ไป ส่วนตําแหน่งนายกรัฐมนตรี มาจาการท่ีพระเจ้ายอร์จท่ี 1 (George I) แห่งราชวงศ์ Hannover ซ่ึงทรง ได้รับการเชิญให้มาปกครองประเทศอังกฤษในช่วง ค.ศ.1715 ซ่ึงราชวงศ์น้ีมาจากเยอรมันนี พระองค์จึงทรงไม่ เขา้ ใจภาษาอังกฤษ ไดท้ รงมอบหมายงานการประชมุ สภาเสนาบดีให้แก่ เซอรโ์ รเบิร์ต วอลโปล ทาํ หน้าที่เป็นประธาน น้คี อื จดุ กําเนิดของตําแหนง่ นายกรฐั มนตรี ซึง่ ตอนน้นั เซอร์โรเบริ ต์ วอลโปล ไดร้ บั สมญานามภายหลังว่า “Primus Inter Pares” หรอื First among Equals คือ ผู้อันดับ 1 ในจํานวนผู้ท่ีเท่ากัน นั้นคือตําแหน่ง Prime Minister ซ่ึง เป็นช่ือเรียกสมัยต่อมา ในการคัดเลือกรัฐมนตรีก็คัดเลือกจากบุคคลที่จะได้รับเสียงสนับส่วนใหญ่จากรัฐสภา นี้คือ จุดเริ่มต้นระบบคณะรัฐมนตรี ซ่ึงเปรียบเสมือนคณะกรรมการของรัฐสภาท่ีสมาชิกเลือกข้ึนมา เพื่อทูลเกล้า ให้ พระมหากษัตรยิ แ์ ต่งตั้ง ผลของการปฏิบัติดังกล่าว ได้กลายเป็นธรรมเนียมปฏิบัติในสมัยต่อๆ มา สมัยน้ีธรรมเนียมปฏิบัติจะ กําหนดให้พระมหากษตั รยิ แ์ ตง่ ตง้ั บคุ คลทีเ่ ปน็ หัวหน้าพรรคทีไ่ ดร้ ับเสยี งข้างมากในรัฐสภา และเมื่อนายกรัฐมนตรีคน ไหนไม่ได้รับความไว้วางใจจากรัฐสภา ก็จะต้องเชิญหัวหน้า ฝ่ายค้าน ซ่ึงได้รับเสียงส่วนมากเข้าจัดตั้งรัฐบาลแทน และรัฐบาลต้องรับผิดชอบร่วมกันต่อนโยบาย หากผู้ใดไม่เห็นชอบด้วยกับนโยบาย ต้องลาออก ขณะเดียวกันก็ วิพากษ์วิจารณ์นโยบายของคณะรัฐมนตรีไม่ได้ ขนบธรรมเนียมนี้ค่อยๆ วิวัฒนาการมาจากภาคปฏิบัติ ซ่ึงเม่ือมี รฐั มนตรีท่านหนึ่งยดึ ถือปฏบิ ัติ ท่านอนื่ ๆ ในภายหลงั ก็ปฏิบัตติ าม การขยายสทิ ธิการเลือกต้งั ให้แก่ประชาชนท่วั ไป ในศตวรรษท่ี 18 รัฐธรรมนญู ฉบับท่รี า่ งออกมายังเรียกว่าประชาธิปไตยไม่ได้ เพราะผู้มีสิทธิเลือกตั้งยังคง เป็นชนชั้นผู้มีทรัพย์สมบัติ ในปลายศตวรรษท่ี 18 ได้เริ่มเกิดขบวนการปฏิรูปรัฐสภา และขบวนการของพวก Radlicals ซงึ่ ต้องการเปล่ียนแปลงสงั คมตามแผนการปฏิวัติฝรั่งเศส แต่สงครามนโปเลียนที่ยืดยาว ทําให้ขบวนการ ปฏิรูปพบกับอุปสรรคและแรงต้านทานจากชนชั้นต่างๆ จนกระทั่ง ค.ศ.1830 เหตุการณ์จึงเปลี่ยนแปลงไป และ รัฐสภาได้ยอมรบั แนวคิดการปฏิรูปโดยผ่าน พระราชบัญญัติปฏิรูป ค.ศ.1832 (Great Reform Act) ซ่ึงขยายสิทธิ การเลือกต้ังให้แก่ชนช้ันกลางระดับสูง และได้ปรับเขตการเลือกต้ังให้เมืองอุตสาหกรรมใหม่ได้มีผู้แทน ต่อมาในปี ค.ศ.1867 ได้มกี ารเปลี่ยนแปลงอีก โดยใหส้ ิทธกิ ารเลอื กต้ังแก่กรรมกรในเมอื งอีกหนึง่ ล้านคน ใน ค.ศ.1884 ได้ให้ สิทธ์ิแก่กรรมกรในเขตชนบท ค.ศ.1918 ชายทุกคนอายุ 21 ปีข้ึนไป มิสิทธิ์ และสตรีอายุ 30 ปีข้ึนไป ปี ค.ศ. 1928 สตรีอายุ 21 ปขี น้ึ ไปจึงมีสทิ ธิ์ ต้องใช้เวลาประมาณ 100 ปี ประชาชนผู้มีอายุ 21 ปีข้ึนไป ทุกคนจะมีสิทธิ์ ประชาธิปไคยอังกฤษใช้ เวลานานมากในการยา่ งก้าวไปสูก่ ารบรรลนุ ิตภิ าวะ จากการทีข่ ยายสิทธิทางการเมืองอยา่ งช้าๆ เชน่ นี้ มผี ลอย่างหนึ่ง คือ ทําให้ผู้ท่ีจะได้สิทธิ์ต้องดิ้นรนต่อสู้เพ่ือให้ได้มาซึ่งสิทธ์ิทุกๆ ขั้นตอน และเม่ือได้มาแล้วก็รู้จักใช้สิทธ์ิอย่าง ผู้รับผิดชอบ ฉะนัน้ ในช่วงหลงั ของศตวรรษท่ี 19 จะไมเ่ คยไดย้ นิ ได้ฟังปญั หาของการซอ้ื เสียงอกี เลย
การเมืองการปกครองเปรยี บเทียบ 43 ความสมั พันธร์ ะหวา่ งสภาขนุ นาง และสภาสามัญ ภายหลงั การปฏวิ ัติรัฐสภา ปี ค.ศ.1688 สภาขุนนางเป็นสภาที่มีอิทธิพลสูงสุด ซึ่งควบคุมการดําเนินการ ทางการเมอื งของสภาสามญั ผแู้ ทนฯ ในสภาสามัญสว่ นใหญ่ ก็คอื ญาตพิ ่ีน้อง หรือผูใ้ กล้ชดิ ของขุนนางสว่ นมาก และ ตัวนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีส่วนหน่ึงก็มาจากสภาขุนนาง ต่อมาเมื่อเกิดการเปลี่ยนแปลงผู้มีคุณสมบัติเลือกต้ัง ขยายสิทธิให้แก่ประชาชนส่วนใหญ่ และชนช้ันกลางจากเมืองอุตสาหกรรมเริ่มเข้ามามีเสียงในสภาสามัญ อิทธิพล ของสภาสามัญเร่มิ สูงมากขน้ึ จนในท่ีสุดอาํ นาจในสภาขนุ นางในการทจี่ ะยบั ยง้ั กฎหมาย และพระราชบัญญัติการเงิน ได้เริ่มลดลง ใน ค.ศ.1911 ไดม้ พี ระราชบัญญตั ลิ ดอาํ นาจสิทธกิ ารยบั ยงั้ ของสภาขุนนางไว้อยา่ งชัดเจน นับตั้งแตน่ นั้ มา ผทู้ ี่จะมาเป็นนายกรฐั มนตรี จึงมาจากสภาสามญั ศูนยก์ ลางของการเมอื งจึงอยู่ที่สภาสามัญ (House of Commons) ระบอบประชาธิปไตยแบบรัฐสภา รัฐสภาเป็นศูนย์กลางของการปกครอง อํานาจอธิปไตยอยู่ท่ีสถาบันน้ีในเวลาปกติท่ีไม่มีการเลือกต้ัง ไม่มี การแบ่งแยกอํานาจออกเป็น 3 ส่วนอย่างเด็ดขาด การแบ่งแยกเป็นบทบาทและหน้าท่ีมากกว่า เมื่อรูปแบบการ ปกครองมีลกั ษณะดงั กลา่ วประเดน็ คาํ ถามที่ตามมา กค็ อื จะป้องกนั มไิ ดเ้ กิดเผดจ็ การทางรฐั สภาไดห้ รือไม่ คําตอบก็คงจะเป็นว่า เผด็จการทางรัฐสภาคงไม่เกิดขึ้น แต่รูปแบบน้ีช่วยส่งเสริมให้รัฐบาลท่ีคุมเสียงข้าง มากในรฐั สภาบรหิ ารงานตามเป้าหมายได้สะดวกยิ่งขนึ้ แต่จะบรหิ ารงานอย่างราบรน่ื มีความมั่นคงและมเี สถียรภาพ แคไ่ หน กข็ ึ้นอยู่กับพรรคการเมืองซึง่ บงั เอญิ ขององั กฤษเป็น ระบบสองพรรค คือมีพรรคใหญ่ๆ 2 พรรค เม่ือพรรคหนึ่งเป็นรัฐบาล อีกพรรคหนึ่งก็เปน็ ฝ่ายคา้ น ฉะน้ัน จึงมักกล่าวกันว่า นายกรัฐมนตรีอังกฤษน้ัน เมื่อได้รับเสียงสนับสนุนจากพรรคการเมืองของตนซ่ึง คมุ เสยี งสว่ นใหญ่ในรฐั สภาแล้ว จะมอี าํ นาจบริหารได้อยา่ งมปี ระสทิ ธิภาพมากกวา่ ประธานาธบิ ดีของสหรัฐเสยี อกี แต่อํานาจของฝ่ายบริหารซึ่งดูจะมีมากตามระบบน้ี ก็ยังมิใช่อํานาจเผด็จการ ท้ังน้ี เพราะขนบธรรมเนียม ได้ยอมรับให้มฝี ่ายค้านในรฐั สภา โดยหัวหน้าพรรคของฝ่ายคา้ นจะไดร้ บั การยอมรับว่าเป็น นายกรัฐมนตรีเงา ได้รับ เงินเดอื นมาเป็นพเิ ศษสูงกว่าผ้แู ทนราษฎร พรรคฝ่ายค้านนี้จะทําหน้าที่ยับย้ังมิให้ฝ่ายรัฐบาลสามารถดําเนินการใดๆ ท่ีขัดต่อผลประโยชน์ของ สว่ นรวม เพราะในทีส่ ดุ ประชาชนจะเปน็ ผู้ตัดสินวา่ ใครผดิ ใครถูก โดยเฉพาะในสมัยเลือกตั้งซึ่งจะต้องมีข้ึนทุกๆ 5 ปี หรอื ภายในเวลา 5 ปี ฝา่ ยค้านจงึ เปน็ กลไกของการถ่วงดลุ อํานาจของฝา่ ยรฐั บาล รัฐธรรมนูญอังกฤษเป็นรัฐธรรมนูญฉบับเดียวในโลกที่วิวัฒนาการตามเหตุการณ์ในประวัติศาสตร์อังกฤษ แต่ผทู้ ี่เกยี่ วข้องไม่ไดค้ ดิ ถงึ สทิ ธหิ รืออุดมการณจ์ ะเป็นประชาธิปไตยโดยตรง แต่ต่อสู้ดิ้นรนเพื่ออํานาจและประโยชน์ ของชนชัน้ ของตนเอง การปกครองประเทศสหรัฐอเมรกิ า : ระบบประธานาธบิ ดี รฐั ธรรมนูญของสหรฐั อเมริกาเป็นรฐั ธรรมนูญลายลกั ษณอ์ ักษรฉบับทเ่ี กา่ แกท่ ่ีสุดในโลกปจั จบุ นั โดยเร่ิมตน้ จากการทผ่ี แู้ ทนของรัฐตา่ งๆ 12 รฐั ทม่ี าประชุมกนั ทเ่ี มอื งฟลิ าเดลเฟีย ปี ค.ศ.1787 น้ันโดยเจตนาจะมาเพื่อแก้ไข มาตราของรัฐธรรมนูญของสมาพนั ธรัฐเดมิ แต่เมอื่ มาถงึ แล้วกลบั กลายมาเป็นผรู้ า่ งรฐั ธรรมนญู ใหม่ โดยท้ัง 55 คนที่ ร่างรัฐธรรมนญู ใหม่น้สี ว่ นมากมีพนื้ เพจากชนชน้ั ทีม่ ีทรพั ย์ สว่ นมากจะเอยี งไปทางอนุรักษ์นิยม มีความเกรงกลัวเร่ือง ผลของความรนุ แรงจากพลังประชาธปิ ไตย อนั ท่จี ริงเขาเหล่านี้พ้ืนเพเดิม คือ มีบรรพบุรุษท่ีอพยพมาจากอังกฤษ จึง ได้รบั การศกึ ษาแบบอังกฤษ ความคิดทางการเมืองของนักปรชั ญา เช่น จอหน์ ลอ็ ก และมองเตสกิเออร์ มีอิทธิพลต่อ กลุ่มผู้นาํ เหลา่ นี้มาก นอกจากน้ี กล่มุ ผู้นําเหลา่ นี้ยงั ได้ผา่ นสงครามกู้อสิ รภาพปลดแอกจากอังกฤษ ฉะน้ัน จึงรู้คุณค่า ของอสิ รภาพเป็นอยา่ งดี และซาบซ้งึ วา่ การปกครองมิใช่เรื่องการให้เสรีภาพแต่เพียงอย่างเดียว แต่เป็นเรื่องของการ จัดต้ังรฐั บาลทีเ่ ข้มแขง็ เพ่ือจะบริหารประเทศได้ รปู แบบการปกครองแบบสมาพันธรัฐขณะน้ัน ไม่มีการจัดต้ังรัฐบาล
44 การเมอื งการปกครองเปรยี บเทยี บ กลางเลยมแี ตส่ ภาคองเกรส ซงึ่ สภาคองเกรสจะผ่านพระราชบญั ญตั ิใดๆ ได้ กต็ อ่ เมื่อได้รบั เสยี งสนับสนุน 9 จาก 13 เสียง และถ้าหากจะแก้ไขรฐั ธรรมนญู ฉบบั นีก้ ต็ ้องได้รับความเหน็ ชอบเปน็ เอกฉนั ทจ์ ากทุกรฐั ในเม่ือระดับประเทศไม่มีรัฐบาลกลางท่ีจะมาจัดเก็บภาษี และไม่มีกองทัพของชาติท่ีจะปกป้องประเทศ สหรัฐจงึ ประสบปัญหาในการบริหารมากมาย เช่น ปญั หาของการใช้หนี้สงครามที่ผ่านไป ปัญหาต่างประเทศ ปัญหา การป้องกันประเทศ ปัญหาภัยจากเผา่ อินเดียนแดง ปญั หาของการรักษาความสงบเรยี บร้อยภายในประเทศ เป็นตน้ ฉะนั้น กลุ่มผู้นําจาก 12 รัฐ ที่มาประชุม (ขาดผู้แทนรัฐโรด ไอซ์แลนด์ 1 รัฐ) จึงเป็นผู้มีอุดมคติและมี ประสบการณท์ ีค่ อ่ นข้างลบจากรูปแบบการปกครองสมาพนั ธรัฐ เขาเหลา่ นั้นจงึ เปลยี่ นใจจากเดิมที่มีเจตนามณ์จะมา แกไ้ ขรฐั ธรรมนูญเดมิ กก็ ลายเป็นผ้รู ่างรัฐธรรมนูญใหม่ ในบรรดาผู้นํา 55 คนนี้ มีนักคิด นักปรัชญา และรัฐบุรุษใน อดตี และอนาคตหลายทา่ น เช่น ยอรจ์ วอชิงตนั เบนจามิน แฟรงคลนิ และเจมส์ เมดสิ นั เมดิสันนั้นถือกันว่า เป็นผู้สะท้อนความคิดของคนสมัยนั้นมากท่ีสุด จากการท่ีเขามีแนวความคิดก้าวหน้า ขณะเดยี วกันก็ไม่หลงใหลหรือหลงละเมอกับคําว่า “เสียงของประชาชน” เสมอไป เขาคิดว่า มนุษย์เรามักเข้าข้าง ตนเอง สามารถทําความช่ัวได้เสมอ ฉะนั้น จําเป็นต้องหาวิธีการท่ีจะเป็นสองอย่างควบคู่กันไป คือ ประการแรก จะต้องหาวิธีการสร้างรัฐบาลกลางให้เข็มแข็งพอที่จะปกครองคนได้ และประการท่ีสอง จะต้องหาวิธีการที่จะสร้าง กลไกเพ่อื ให้รฐั บาลควบคุมตนเอง ในการสรา้ งรัฐบาลเพือ่ ใหม้ นุษยป์ กครองมนษุ ยก์ ันเอง ความยากลําบากจึงอยู่ที่ว่า ประการแรก จะต้องใหอ้ ํานาจแก่รัฐบาลกลางเพื่อที่จะสามารถควบคุมผู้อยู่ใต้ปกครองได้ กําหนดให้รัฐบาลสามารถ ควบคมุ ตนเองได้ และจําเปน็ จะต้องมีมาตรการทจ่ี ําเป็นไวเ้ พือ่ ป้องกนั ผลเสียหาย เสรีภาพและเสถียรภาพมั่นคงระหว่างการสร้างรัฐบาลชาติให้มีอํานาจปกครองประเทศได้ ขณะเดียวกัน ธํารงรักษาสทิ ธเิ สรีภาพของมลรฐั ท่จี ะปกครองตนเองในระดับหน่ึง หลักการของรฐั ธรรมนญู สหรฐั อเมรกิ า 1) รฐั ธรรมนญู สรา้ งระบบการปกครองแบบสมาพันธรัฐ (Federation) เป็นรูปแบบท่ีมีทั้งรัฐบาลกลาง และรฐั บาลของมลรัฐตา่ งๆ ประเด็นคอื จะแบบอาํ นาจกนั อย่างไรระหวา่ งสองระดบั นี้ มาตรา 1 ส่วนท่ี 8 ได้กําหนดอํานาจของสภาคองเกรสไว้อย่างชัดเจน เช่น อํานาจที่จะจัดเก็บภาษี อากร ใชห้ นี้รัฐบาล จดั การปอ้ งกนั ประเทศ การกยู้ ืมหนีส้ นิ การออกระเบยี บกฎเกณฑ์เกีย่ วกบั การคา้ กับต่างประเทศ และระหว่างมลรัฐต่างๆ อํานาจที่จะผลติ เงินตราและกาํ หนดค่าของเงนิ ตรา จัดตง้ั กองทัพ ประกาศสงคราม และออก พระราชบญั ญัติ “ทีจ่ าํ เปน็ และเหมาะสม” เพ่ือดาํ เนนิ การตามนโยบายและอํานาจหนา้ ทดี่ งั กลา่ ว ในขณะเดยี วกนั ใน มาตรา 1 ส่วนท่ี 10 ก็ไดจ้ ํากดั อาํ นาจของมลรัฐในหลายๆ เรื่อง เชน่ หา้ มมใิ หม้ ล รฐั ทาํ สัญญากบั ต่างประเทศ หา้ มผลิตเงินตรา เปน็ ต้น ต่อมาได้แก้ไขเพ่ิมเติมรัฐธรรมนูญ ในมาตรา 10 กําหนดว่า อํานาจท่ีมิได้กําหนดให้เป็นของสหรัฐ และยังมิได้เป็นข้อห้ามสําหรับมลรัฐให้เป็นอํานาจของมลรัฐ น่ีคือหลักท่ีเรียกกันว่า “อํานาจที่ยังคงเหลือ” ของรัฐ (Residual Power) ขณะเดยี วกันในมาตรา 6 สว่ นท่ี 2 ของรัฐธรรมนูญกก็ าํ หนดไวอ้ ีกว่า รฐั ธรรมนูญฉบับน้ีและกฎหมาย ของรัฐทีจ่ ะออกภายใตร้ ัฐธรรมนญู ฉบับน้ี จะมีความเป็นกฎหมายสูงสดุ ของประเทศ ผพู้ ิพากษาในทุกๆ มลรัฐจะต้อง ยึดถอื กฎหมายเหลา่ น้เี ป็นแนวปฏบิ ตั ิ เรยี กกันวา่ หลักของกฎหมายสูงสดุ (Supremacy Clause) นอกจากนั้น ยงั มีการประนปี ระนอมทสี่ ําคัญอกี เรอ่ื งหนงึ่ ระหว่างมลรฐั ด้วยกันอง โดยกาํ หนดให้สภาค องเกรสประกอบด้วย 2 สภา คือ สภาผู้แทนราษฎร และวุฒิสภา สําหรับสภาผู้แทนราษฎรจะใช้หลักการเลือกตั้ง โดยตรง บนพืน้ ฐานของจาํ นวนประชากรผ้มู ีสทิ ธิ ส่วนวฒุ ิสภากาํ หนดให้แต่ละรัฐส่งสมาชิกใหร้ ฐั ละ 2 คน 2) รฐั ธรรมนูญสรา้ งระบบการแบ่งแยกอํานาจ (Separation of Powers) ผู้ร่างรัฐธรรมนูญยังไม่พอใจ เพยี งการแบ่งอํานาจระหว่างรัฐบาลกลางกับรัฐบาลมลรัฐเท่าน้ัน ยังต้องแยกอํานาจนิติบัญญัติ อํานาจบริหาร และ อาํ นาจตุลาการ โดยกําหนดให้สภาคองเกรสมีอาํ นาจนิตบิ ญั ญัติ ประธานาธิบดีอํานาจบริหาร และศาลมีอํานาจตุลา การ ตามหลักของมองเตสกิเออร์
การเมอื งการปกครองเปรียบเทียบ 45 ในการแบ่งแยกอํานาจน้ียังได้แยกสถาบันฝ่ายบริหารออกจากสภานิติบัญญัติค่อนข้างจะเด็ดขาด กล่าวคือ ทงั้ สองสถาบันมีฐานอาํ นาจแยกกัน ประธานาธิบดไี ดร้ ับการเลอื กตัง้ จากประชาชน มวี าระสมัย 4 ปี แตง่ ตง้ั คณะรัฐมนตรีของท่านเอง สภาคองเกรสไม่มีอํานาจจะล้มรัฐบาล ส่วนสภาคองเกรสก็เช่นกัน ได้รับการเลือกต้ังมา จากประชาชน สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร มีวาระสมัย 2 ปี และ สําหรับวุฒิสภามีวาระสมัย 6 ปี ประธานาธิบดีไม่ สามารถยุบสภาคองเกรสได้ 3) รัฐธรรมนูญสร้างระบบตรวจสอบและคานอํานาจ (Checks and Balance) นอกจากจะแบ่งแยก อํานาจแลว้ ผรู้ ่างรฐั ธรรมนูญยงั กําหนดใหม้ กี ารตรวจสอบหรือคนอาํ นาจซึ่งกันและกันได้ เชน่ สภาคองเกรสมีอํานาจ ในการออกพระราชบญั ญตั ิ แตป่ ระธานาธิบดีมสี ิทธทิ จ่ี ะยับย้งั ได้ (Veto) อย่างไรก็ตาม เม่ือประธานาธิบดีได้ใช้สิทธิยับย้ังแล้ว หากร่างพระราชบัญญัตินั้นได้ผ่านการ พิจารณาของสภาคองเกรสเป็นครัง้ ที่สอง โดยไดร้ บั เสียงสนบั สนุน 2 ใน 3 ก็จะออกเปน็ กฎหมายได้ ในทางกลับกันประธานาธบิ ดีเปน็ ผู้มอี าํ นาจ แตง่ ตง้ั ผพู้ พิ ากษาในศาลสูงสุดและรัฐมนตรี แต่การเสนอ เพ่ือแต่งต้งั นีจ้ ะตอ้ งได้รับความเห็นชอบจากวุฒิสภาเสียก่อน ผู้พิพากษาน้ันเมื่อได้รับแต่งตั้งแล้ว แต่สภาคองเกรสก็ สามารถท่ีจะกล่าวโทษผู้พิพากษาได้เมื่อมีเหตุหรือมลทินมัวหมอง ในทํานองเดียวกันว่าศาลสูงสุดมีอํานาจท่ีจะ ประกาศว่ากฎหมายใดขดั กบั รฐั ธรรมนญู 4) รัฐธรรมนูญยึดหลักของการจัดตั้งรัฐบาลท่ีได้รับการเลือกตั้งจากประชาชน หลักการท่ีเป็นแม่บท การปกครองของรัฐธรรมนญู สหรัฐ คอื หลักของการปกครองโดยความยินยอมเห็นชอบของประชาชน หลักการนี้จะ บรรลุเป้าหมายได้ต่อเมือ่ จดั ใหม้ รี ะบบการเลือกตง้ั ในทกุ ตาํ แหน่งทเี่ ก่ยี วข้องกับอาํ นาจการปกครอง ประธานาธิบดีและรองประธานาธิบดีได้รับการเลือกตั้งโดยคณะผู้เลือกตั้ง ซ่ึงได้รับอาณัติจาก ประชาชนให้มาเลอื กประธานาธิบดี สว่ นผแู้ ทนราษฎรในสภาล่างและวฒุ ิสมาชิกได้รับการเลอื กตง้ั เช่นกนั ผู้พิพากษา อาจจะไมไ่ ด้รบั การเลือกต้ัง แต่ประธานาธบิ ดเี ปน็ ผูแ้ ต่งตงั้ โดยความเห็นชอบของวุฒสิ ภา ฉะนั้น จะเห็นได้ว่าผู้ร่างรัฐธรรมนูญมีศรัทธาต่อระบบการเลือกตั้งมาก และเช่ือม่ันว่า รัฐบาลที่เป็น ตัวแทนของประชาชนน้ีจะเป็นรัฐบาลท่ีเลวน้อยที่สุด เพราะทุกคนที่ได้รับการเลือกต้ังย่อมต้องมารับผิดชอบต่อผู้ เลือกตนในสมยั การเลือกตง้ั ครง้ั ต่อไป 5) หลักของสิทธิเสรีภาพของมนุษยชน หลักของสิทธิเสรีภาพเป็นหลักข้ันมูลฐานที่จะอํานวยให้ระบบ การปกครองแบบเลือกต้ังไดเ้ ป็นประชาธิปไตยไดส้ มบูรณแ์ บบ โดยสรุป รูปแบบการปกครองของสหรัฐ อาจจะเรียกได้ว่า ประชาธิปไตยพหุนิยม (Pluralist Democracy) คือ อํานาจการปกครองกระจัดกระจายอยู่หลายขั้วหลายศูนย์ นอกจากนั้นยังมีรูปแบบของระบบ ประธานาธบิ ดีซึ่งรวมบทบาทของประมุขและของนายกรัฐมนตรีไว้ในคนๆ เดียวกัน จุดเด่นของรัฐธรรมนูญฉบับน้ีมี คุณสมบัติตรงที่มีความเรียบง่าย (Simplicity) ไม่กําหนดรายละเอียดมากมาย แต่เปิดทางกว้างๆ ไว้เพื่อให้มีการ แก้ไขเพ่ิมเตมิ ตามสถานการณ์ท่เี ปลยี่ นแปลงในอนาคต การปกครองฝรัง่ เศส : ระบบสาธารณรัฐที่ 5 จากยุคสมยั การปฏวิ ัติ ค.ศ.1789 ไดม้ กี ารเปล่ียนแปลงรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ไม่น้อยกว่า 9 ฉบับ ในรอบ 200 ปี เนื่องด้วยอุปนิสัยของชาวฝรั่งเศสท่ีชอบลัทธิอุดมการณ์ และชอบความแตกต่างระหว่างบุคคล ในสมัย สาธารณรัฐท่ี 4 ซ่ึงใช้รัฐธรรมนูญฉบับหน่ึง เสถียรภาพของคณะรัฐบาลมีปัญหามากที่ ในช่วงเวลา 12 ปี ของ สาธารณรัฐนี้ (1946-1958) มรี ัฐบาลถงึ 13 ชุด แตใ่ นรัฐธรรมนญู ของสาธารณรัฐท่ี 5 รัฐบาลแตล่ ะชุดอยไู่ ดย้ ัง่ ยืน มาก และนีก่ ็ปกครองกันมาถงึ 32 ปี แลว้ ยังมีเถยี รภาพดีอยู่
46 การเมืองการปกครองเปรียบเทียบ ฉะน้ัน ทั่วโลกจึงสนใจรัฐธรรมนูญฉบับท่ีนายพลเดอโกลได้จัดตั้งขึ้นมากว่า มีเคล็ดลับที่ทําให้ชนชาติ ฝร่ังเศสท่ีมีอารมณ์ผันแปรง่าย เดินขบวนง่าย กบฏก็ง่าย ปฏิวัติก็ง่าย แต่บัดน้ีกลับสงบเงียบ และยังไม่มีทีท่า อยากจะเปล่ยี นไปเป็นระบบอน่ื กอ่ นอ่นื ขอทบทวนเหตุการณ์ในประวัติศาสตร์ก่อน ประเทศฝร่ังเศสในสมัยเริ่มแรกก็มีระบบการปกครอง คล้ายคลึงกับของอังกฤษในสมัยยุคศักดินา คือ อํานาจการปกครองกระจัดกระจายไปอยู่ที่ขุนนางต่างๆ กษัตริย์ ฝรัง่ เศสในสมัยกลางมคี วามอ่อนแอกว่าขององั กฤษมาก บางยุคสมัยปกครองได้เพียงคร่ึงหน่ึงของประเทศในปัจจุบัน อาจจะเป็นเพราะสภาพการณเ์ ช่นนนั้ จงึ ทาํ ให้กษตั ริย์ฝรงั่ เศสมงุ่ สร้างอาํ นาจสว่ นกลางมาก จนกระท่ังในสมัยพระเจา้ หลุยสท์ 1่ี 4 กษตั รยิ ฝ์ ร่งั เศสทีช่ าวยโุ รปถือกนั ว่าเปน็ ตัวอย่างทด่ี ขี องผู้ปกครอง คือ มีอาํ นาจมาก ไดจ้ ัดระเบยี บการคลัง การปกครองทําให้การบริหารราชการแผน่ ดินมีประสทิ ธภิ าพสูง ถอื กบั ทรงกล่าว เก่ยี วกบั พระองค์เองว่า “รฐั คือตวั ขา้ พเจา้ ” หรือ “ตัวข้าพเจ้าคอื รฐั ” และเพราะความเขม้ แข็งของพระมหากษตั รยิ ์ ความเปน็ อยขู่ องขุนนางกเ็ ร่ิมเหนิ หา่ งจากประชาชนในชนบท หลังจากในสมัยพระเจ้าหลุยส์ท่ี 14 ก็ไม่มีกษัตริย์ท่ีทรงเข้มแข็งและอัจฉริยะ และเกิดปัญหารายจ่ายสูง กว่ารายได้ เพราะการสงครามนอกประเทศ ระบบการคลังเร่ิมล้มเหลว ขณะเดียวกัน ขุนนางไม่ได้เอาใจใส่ต่อการ ปรับปรุงท่ีดินของตน คอยแต่จะรีดภาษีและส่วยของราษฎร ทําให้เกิดระบบการกดขี่และระบบอภิสิทธิ์มากมาย ความมง่ั ค่งั ทางเศรษฐกจิ ลดนอ้ ยลง ประจวบกบั การต่ืนตัวทางความคดิ นักปรัชญาเมธีเริ่มเผยแพร่ลัทธิ และแนวคิด ใหม่ในเรื่องสิทธิเสรีภาพของประชาชน แต่ระบบการปกครองก็ไม่สามารถจะปรับตัวให้ทันกับปัญหาและการ เปล่ยี นแปลงเหล่าน้ี ในที่สุดได้เกิดการปฏิวัติครั้งย่ิงใหญ่ในปี ค.ศ.1789 และเกิดการต่อสู้และความรุนแรงทางความคิด ระหว่างกลุ่มการเมืองต่างๆ ในช่วง 1789-1795 ทําให้ชาวฝร่ังเศสแตกแยกทางความคิด และด้วยความเป็นชน ชาตเิ ชื้อสายละตินซ่งึ มีอารมณ์ศรทั ธาในแนวคิดของตนเองอย่างมาก จงึ ไมม่ ีการประนปี ระนอมกัน ความขัดแยง้ กันและปัญหาที่เกดิ การเปลี่ยนแปลงรฐั ธรรมนูญ จะข้อนํามาเปน็ ประเดน็ ในการพิจารณา โดย จะเปรียบเทียบร่างรัฐธรรมนูญปี 1946 ซึ่งพรรคการเมืองฝ่ายซ้ายมีอิทธิพลในการร่าง กับรัฐธรรมนูญ ปี ค.ศ. 1958 ซึง่ นายพลชาร์ล เดอ โกล และนกั การเมืองฝา่ ยขวามอี ทิ ธิพลในการร่าง ประการแรก ควรจะตั้งเป็นข้อสังเกตเบ้ืองต้นว่า เนื่องจากรัฐธรรมนูญฉบับแรกของฝร่ังเศสเกิดจาก การปฏิวัติครั้งสําคัญท่ีสุดในประวัติศาสตร์อุดมการณ์ของนักปฏิวัติจึงมีอิทธิพลต่อรัฐธรรมนูญน้ี และฉบับอ่ืนๆ ที่ ตามมา อุดมการณเ์ หล่านี้ สรุปเปน็ คําขวัญได้ 3 วลี คือ ความเสมอภาค เสรีภาพ และภราดรภาพ ซ่ึงจะปรากฏอยู่ ในรัฐธรรมนูญของสาธารณรัฐที่ 4 และที่ 5 นอกจากน้ัน ยังกล่าวถึงหลักอธิปไตยเป็นของปวงชนและเจตนาท่ีจะ สร้างระบบการปกครองแบบประชาธิปไตย ซ่ึงหมายถึง การปกครองของประชาชน เพ่ือประชาชน อุดมการณ์ทาง การเมืองเหล่านี้ไมป่ รากฏในรัฐธรรมนูญอังกฤษหรอื อเมรกิ า ประการทีส่ อง เนื่องจากฝรั่งเศสเร่ิมประวัติศาสตร์สมัยใหม่โดยการล้มระบบกษัตริย์ ฉะนั้นระบบ สาธารณรัฐจงึ เปน็ ทางเลอื กทีต่ ้องเลอื ก ในระบบของฝรั่งเศส จะแยกอํานาจหน้าท่ขี องประธานาธิบดีออกจากอํานาจ หนา้ ท่ขี องนายกรฐั มนตรี เมื่อได้แยกบทบาทเป็น 2 ส่วน คือ ส่วนของประธานาธิบดีซ่ึงจะทําหน้าที่คล้ายๆ กษัตริย์ภายใต้ รัฐธรรมนูญ และส่วนของนายกรัฐมนตรีจึงมีประเด็นปัญหาเกิดขึ้นในเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างประธานาธิบดีกับ นายกรฐั มนตรี การ่างรฐั ธรรมนูญฉบับต่างๆ เพื่อแบ่งแยกบทบาทหน้าท่ีและความสัมพันธ์ของสองตําแหน่งน้ี จึงมีปัญหา อยู่เสมอในรฐั ธรรมนญู ปี 1946 ของสาธารณรัฐท่ี 4 อํานาจของประธานาธิบดีจะน้อยกว่าในรัฐธรรมนูญปี 1958 ของสาธารณรฐั ที่ 5 ประการแรก ในฉบับ 1946 รัฐสภาเป็นผู้เลือกต้ังประธานาธิบดี แต่ในฉบับ 1958 ผู้เลือกต้ังคือ สมาชกิ ของรัฐสภา นายกเทศมนตรี และสมาชกิ สภาท้องถนิ่ ซง่ึ ทาํ ใหฐ้ านอํานาจของประธานาธิบดีของสาธารณรัฐท่ี
Search