โครงการสร้างจติ สำ�นกึ การอนุรกั ษ์พนั ธุ์ขา้ ว
คำ�ช้แี จงการใชห้ นังสอื เสมือนจริง เรอื่ ง การสรา้ งจิตสำ�นกึ การอนรุ กั ษพ์ นั ธขุ์ า้ ว๑. Download app QR Code Reader scanner และ Aurasma จาก App Store หรอื Play Store ลงบนโทรศพั ท์หรือแท็บเลต็๒. สแกน QR Code ที่ดา้ นล่าง โดย QR Code Reader scanner๓. เมอื่ QR Code ล้ิงคไ์ ปที่ Aurasma แลว้ ใหน้ �ำ โทรศพั ท์หรือแท็บเล็ตไปทรี่ ปู ทตี่ อ้ งการ ที่มีสญั ลักษณ์
ความเปน็ มาของข้าว พันธ์ุขา้ ว จงั หวัดปทมุ ธานีวฒั นธรรมประเพณี ผลติ ภณั ฑ์จากข้าว
คำ�น�ำ “ขา้ วตอ้ งปลูก เพราะอีก ๒๐ ปี ประชากรอาจจะ ๘๐ ล้านคน ข้าวจะไม่พอถ้าลดการปลูกขา้ วไปเรอ่ื ยๆ ข้าวจะไมพ่ อเราจะต้องซ้อื ขา้ วจากตา่ งประเทศ เรือ่ งอะไรประชาชนชาวไทยไม่ยอมคนไทยนีต้ อ้ งมีขา้ ว แม้ขา้ วที่ปลกู ในเมอื งไทยจะสขู้ ้าวท่ีปลกู ในต่างประเทศไม่ได้เราก็ตอ้ งปลกู ” จากกระแสพระราชด�ำ รสั ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอย่หู วั รัชกาลที่ ๙ เม่ือปี ๒๕๓๖จากกระแสพระราชดำ�รัสฯแสดงให้เห็นถึงสายพระเนตรอันยาวไกลท่ีทรงห่วงใยพสกนิกรชาวไทยเกรงจะขาดแคลนข้าวสำ�หรับบริโภคทรงเน้นย้ําให้มีการปลูกข้าวในประเทศอย่างเพียงพอนับเป็นพระมหากรุณาธิคุณแก่ปวงชนชาวไทยอย่างหาท่ีสุดมิได้ประกอบกบั มีโครงการเนอ่ื งในพระราชดำ�ริสมเด็จพระเทพรัตนราชสดุ าฯ ทรงสนพระทัยในโครงการอนุรักษ์พันธุพ์ ืชคณะครศุ าสตร์อุตสาหกรรม มหาวทิ ยาลยั เทคโนโลยรี าชมงคลธัญบรุ ี ตระหนกั ในพระมหากรณุ าธิคุณจงึ ได้จัดท�ำ หนงั สือเสมือนจริงเพื่อการถ่ายทอดความรเู้ กี่ยวกับพนั ธ์ุข้าวในประเทศไทย โดยเฉพาะจังหวัดปทมุ ธานี เพ่อื เป็นการส่งเสรมิ และอนุรกั ษ์พันธ์ุข้าวพื้นเมืองไทยซึ่งนับว่ามีความหลากหลายทางพันธุกรรมอย่างมากมายซ่ึงการอนุรักษ์พันธุ์ข้าวพ้ืนเมืองจึงเป็นทางเลือกหน่ึงในการพัฒนาเกษตรกรแบบย่ังยืนโดยประโยชน์จากข้อดีท่ีมีอยู่ในเอเชียพันธุกรรมข้าวพื้นเมืองทั้งทางตรงและทางอ้อมซึ่งปัจจุบันได้เก็บรวบรวมและอนุรักษ์พันธ์ุข้าวพ้ืนเมืองเหล่านี้ไว้ที่ศูนย์ปฏิบัติการและเก็บเมล็ดพันธ์ุข้าวแห่งชาติศูนย์วิจัยพันธขุ์ ้าวปทุมเป็นจำ�นวน ๒๔,๐๐๐ พันธุ์ โดยแยกเป็นพันธข์ุ ้าวพ้นื เมืองประมาณ ๑,๗๐๐ สายพันธุ์ คณะผจู้ ัดทำ�ขอขอบคณุผเู้ กีย่ วข้องทุกฝ่ายท่ีมีสว่ นชว่ ยในการจัดท�ำ หนงั สือเล่มนีใ้ หเ้ สรจ็ สมบรู ณ์ และเกดิ ประโยชน์สงู สดุ ตามทีค่ ณะผจู้ ัดทำ�คาดหวงั ไว้
สารบัญ ความเปน็ มาของขา้ ว........................................................................................................................................................๙ พันธ์ุข้าว จงั หวดั ปทมุ ธานี.............................................................................................................................................๒๒ วฒั นธรรมประเพณี วัฒนธรรมประเพณีข้าวภาคเหนอื ...................................................................................................................๓๗ วฒั นธรรมประเพณีขา้ วภาคกลาง....................................................................................................................๕๐ วัฒนธรรมประเพณีขา้ วภาคตะวันออกเฉยี งเหนอื ...........................................................................................๕๖ วฒั นธรรมประเพณีข้าวภาคใต.้ .......................................................................................................................๖๘ ผลิตภัณฑ์จากข้าว.........................................................................................................................................................๗๖ บรรณานกุ รม.................................................................................................................................................................๙๒
ความเป็นมาของขา้ ว “เมลด็ ขา้ วดึกด�ำ บรรพ”์ ที่ถูกคน้ พบในถํ้าปงุ ฮุง จงั หวัดแม่ฮ่องสอน รวมทั้งแกลบท่เี ป็นสว่ นผสมในเครอ่ื งปัน้ ดนิ เผาทพ่ี บในจงั หวัดขอนแกน่ และอดุ รธานนี บั เปน็ หลักฐานทางประวตั ิศาสตรท์ ่สี ำ�คญั ที่ยืนยันไดว้ า่ มีการปลกู ขา้ วในพ้ืนทแ่ี ถบนี้มานานไม่นอ้ ยกว่า ๕,๐๐๐ ปี จากวันนั้นจนถงึ วนั นี้ ขา้ วไม่เคยขาดหายไปจากแผ่นดนิ ผืนน้เี ลย บนพืน้ ที่ใน ๖๐ ลา้ นไร่ทช่ี าวนาไทยใช้ปลกูข้าวมาตั้งแตอ่ ดีตจนถึงปจั จบุ นั ทำ�ให้สามารถกลา่ วได้วา่ ค่า คอื พืชคบู่ ้านคู่เมอื งของไทยอยา่ งแทจ้ รงิ เป็นพชื ทท่ี รงความสำ�คัญไม่เสอ่ื มคลาย เปน็ ท้งั พืชอาหารหลกั ของคนในประเทศและเปน็ พชื ส่งออกท่สี ร้างรายได้เขา้ ประเทศ ปลี ะนับแสนลา้ นบาท เพราะการท่ีข้าวอยู่คกู่ บั คนไทยมาอยา่ งยาวนานนีเ่ อง วิถชี วี ติ ของคนไทยจึงผกู ติดอยกู่ บั ข้าวจนแยกไม่ออก วฒั นธรรมประเพณีต่างๆท่ีเกิดขึ้นในวิถีชีวิตจึงมักมีข้าวเป็นแรงบันดาลใจเสมอซึ่งจะเห็นได้จากทุกข้ันตอนการปลูกข้าวจะมีพิธีกรรมที่ชาวนาไดป้ ฏบิ ัติสบื ทอดกันมา เช่น พธิ ีบูชาแม่โพสพ พิธกี ารทำ�ขวญั ขา้ ว พิธีแรกนาขวัญ เปน็ ต้น ๙
ถ้ามองย้อนไปในอดีตแล้วลำ�ดับเหตุการณ์ความเป็นมาของข้าวในยุคดึกดำ�บรรพ์เท่าที่มีหลักฐานปรากฏอยู่เร่ือยมา จนถงึ ปัจจุบัน จะเหน็ ไดถ้ ึงความยง่ิ ใหญข่ องพืชทเ่ี รยี กวา่ “ขา้ ว” ไดอ้ ย่างเด่นชดั ในฐานะท่เี ป็นพชื อาหารส�ำ คัญทคี่ นไทยกินกนั ต้ังแตเ่ กิดจนตายด้วยเหตุนจ้ี งึ ไดม้ ีการเรยี นรู้ และสรา้ งสมภมู ปิ ัญญาเหล่านัน้ จากคนร่นุ หน่งึ ไปสูค่ นอกี รุ่นหน่ึง และไดม้ ีการพัฒนา ใหเ้ หมาะสมสอดคลอ้ งกับสถานการณม์ าโดยตลอดเปน็ ความต่อเนื่องอย่างยืดยาวทเี่ ช่ือมโยงเรอื่ งราวระหวา่ งข้าว และคนเข้าด้วย กนั อย่างแนบแนน่ ลกึ ซ้ึงกอ่ กำ�เนิดเปน็ “วฒั นธรรมขา้ ว” มาตราบเท่าทกุ วันน้ี ขา้ วเมด็ แรกไม่มใี ครบอกได้ว่าเกดิ ขึน้ ณ ที่ใดและเมื่อใด แต่ถา้ ดจู ากหลักฐานทางโบราณคดเี ทา่ ท่ีได้มีการคน้ พบในขณะ นกี้ ็พอทจี่ ะเทยี บเคียงไดว้ า่ มีการปลูกข้าวในประเทศไทยมาเป็นเวลามากกว่า ๕,๐๐๐ ปี โดยพิสจู น์ไดจ้ ากซากเมล็ดขา้ วท่ีโรยอยู่ รอบ ๆ โครงกระดกู มนษุ ยซ์ ึ่งมอี ายรุ าว ๕,๖๐๐ ปี ทต่ี �ำ บลบา้ นเชียง อำ�เภอหนองหาน จังหวัดอุดรธานี รวมทั้งเมล็ดข้าวโบราณที่ ถกู ค้นพบในถ้าํ ปุงฮุง จังหวดั แมฮ่ อ่ งสอน ซ่งึ มอี ายุราว ๕,๔๐๐ ปี การปลกู ข้าวในยุคนั้นสนั นษิ ฐานวา่ เป็นการปลูก๑๐
“แบบเลอื่ นลอย” คือปลกู ได้สองปกี เ็ คลอ่ื นยา้ ยหาที่ปลูกใหม่เน่อื งจากดินขาดความอดุ มสมบูรณ์ โดยปลูกแบบหวา่ นเมลด็ ข้าวลงไปในดินและอาศยั น้าํ ฝนจากธรรมชาติ ต่อมาประมาณ ๒,๕๐๐ – ๓,๖๐๐ ปีมาแล้วไดเ้ รม่ิ มกี ารท�ำ เครื่องมือเครอ่ื งใช้รวมท้ังรูจ้ กั เล้ียงสตั วเ์ พอ่ื ใช้แรงงานในการไถพรวน และเร่ิมเปลยี่ นวิธีการปลกู ข้าวมาเป็นแบบ “ระบบทดนาํ้ ” การปลูกข้าวในยุคนี้ให้ผลดกี ว่ายุคแรกมากในเวลาใกลเ้ คียงกนั คือ ประมาณ ๒,๓๐๐ – ๓,๐๐๐ ปมี าแล้ว พบหลกั ฐานที่เชือ่ ถอื ได้ว่าชาวนารจู้ ักการทำ�นาแบบ “ปักด�ำ ” โดยดูได้จากภาพเขยี นสบี นผนงั หนิ ท่ีบริเวณผาหมอนนอ้ ย บ้านตาก่ม ตำ�บลห้วยไผ่ อำ�เภอโขงเจียม จงั หวดั อุบลราชธานี ซ่ึงแสดงการเพราะปลูกตน้ ขา้ วเขียนด้วยสีแดงให้ดูเป็นกอๆ ปักเรียงกันอยา่ งเป็นระเบียบ สว่ นตัวสัตว์ระบายเปน็ เงาทึบยนื อยูก่ ลางนา นอกจากน้ยี งั พบว่าในระยะ ๒,๐๐๐ ปีมาแล้วมกี ารปลูกขา้ วกระจายไปในพ้นื ที่ต่างๆ อย่างเช่นท่จี ังหวัดสพุ รรณบุรมี ีการปลูกขา้ วแบบทดนํา้ ในชมุ ชนที่อาศยั อยูต่ ามลมุ่ นํา้ ท่าว้าบรเิ วณอ�ำ เภออทู่ อง อ�ำ เภอเมือง อ�ำ เภอดอนเจดีย์ อ�ำ เภอสองพ่นี อ้ ง อำ�เภอศรีประจนั ต์ อำ�เภอสามชกุ และอ�ำ เภอเดิมบางนางบวช การปลกู ข้าวไดว้ วิ ัฒนาการเรอ่ื ยมาจนเขา้ ส่ยู ุคประวัตศิ าสตร์ซง่ึ ชมุ ชนต่างๆ ได้มีการรวมตวั กนั เป็น “สงั คมเมอื ง” เปน็ การพัฒนาอย่างต่อเนือ่ งจากยุคกอ่ นประวตั ศิ าสตร์ โดยมลี ำ�ดบั ดังนี้ สมยั ทวาราวดี ประมาณพทุ ธศตวรรษที่ ๑๑ – ๑๖ ในยุคสมัยนไ้ี ด้มกี ารติดต่อกันระหวา่ งเมอื งมกี ารแลกเปล่ียนวฒั นธรรม ศิลปกรรมทัง้ จากจีนและอนิ เดยี ไดพ้ บเมอื งโบราณท่ีอำ�เภออู่ทอง จังหวัดสพุ รรณบรุ ี เป็นชุมชนที่มคี วามเจรญิ รุ่งเรอื งสืบเน่อื งตอ่ มาจากสมยั กอ่ นประวัตศิ าสตร์ โดยพบร่องรอยของแกลบผสมอยใู่ นเนื้อดนิ ทีน่ �ำ มาปั้นเป็นอฐิ รวมท้ังผสมอยใู่ นเศยี รพระพทุ ธรูปทีท่ �ำจากดนิ เผา แสดงให้เห็นว่าชมุ ชนทวาราวดีมกี ารปลกู ขา้ วเมลด็ สน้ั เนือ่ งจากแกลบที่พบมีความยาวโดยเฉลยี่ ๐.๖ เซนติเมตรกว้าง ๐.๔ เซนตเิ มตร ๑๑
๑๒
สมัยศรีวชิ ยั ประมาณพุทธศตวรรษท่ี ๑๒ - ๑๓ เป็นยคุ ที่คาบเก่ยี วกบั ยคุ ทวาราวดีนักวิชาการโบราณคดีเช่ือวา่ อาณาจกั รศรวี ชิ ัยอยูร่ อบๆ อ่าวบ้านดอน จงั หวัดสรุ าษฎร์ธานี โดยมีเมืองไชยาเป็นศนู ย์กลางค้าขายทางเรอื ทีส่ �ำ คัญ รวมทัง้ เปน็ ศูนย์กลางในการเผยแพร่การปกครองและวัฒนธรรมศรีวิชัยขึ้นไปสู่ดินแดนทางด้านเหนือจนถึงลำ�พูนและเชียงแสนในสมัยน้ีข้าวก็ยังคงเป็นอาหารหลกั ของชมุ ชนสว่ นใหญจ่ ะเป็นข้าวเมล็ดปอ้ มเช่นเดียวกบั สมัยทวาราวดีสมยั ลพบุรี ประมาณพุทธศตวรรษที่ ๑๖ - ๑๙ เมืองลพบุรี หรอื ละโว้เป็นเมืองโบราณเป็นดินแดนทไี่ ดร้ บั วฒั นธรรมสมยั ต่างๆมาอย่างยาวนานต้ังแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์จนถึงสมัยประวัติศาสตร์เรื่อยมาถึงทวาราวดีหลังจากที่อำ�นาจของอาณาจักรทวาราวดีเสื่อมลงขอมได้เข้ามามีอิทธิพลอยู่ในแถบนี้โดยมีเมืองละโว้เป็นศูนย์กลางทางอารยธรรมอยู่จนถึงต้นพุทธศตวรรษท่ี ๑๙ ในสมยั นี้กย็ งั คงพบร่องรอยของแกลบบนอิฐทส่ี ร้างก�ำ แพงพระสถูป ความยาวของแกลบเฉลย่ี ๐.๗ เซนตเิ มตร กว้าง ๐.๓๙เซนติเมตร ซึง่ จะเหน็ ไดว้ ่าขนาดของเมล็ดขา้ วยังคงเปน็ ขา้ วเมลด็ ปอ้ มเชน่ เดยี วกบั ท่ีผ่านมาสมยั สโุ ขทัย ประมาณพุทธศตวรรษที่ ๑๙ – ๒๐ นบั เปน็ ช่วงเวลาแห่งความเจริญรงุ่ เรืองของสังคมเมืองมีรปู แบบของการเมอื งการปกครองและวัฒนธรรมที่เด่นชัดมีประเพณีต่างๆเกิดขึ้นมากมายก่อให้เกิดรูปแบบท่ีเป็นอกลักษณ์ของตัวเองรวมท้ังมีการผสมผสานของกลมุ่ ชนท่อี ยู่ในชุมชนตา่ งๆ จนเกิดเปน็ อาณาจักรใหญท่ ช่ี าวต่างประเทศเรียกวา่ “ชาวสยาม” โดยอาณาจกั รสโุ ขทยั เป็นรัฐท่ีมัน่ คง มีความม่งั คัง่ ทางเศรษฐกจิ มกี ารคา้ ขายกบั ชาวต่างชาติ มกี ารประดิษฐ์อกั ษรไทยใช้มีการปลูกขา้ วท้งั นาดำ� ๑๓
และนาหว่านมีการจัดท�ำ ระบบชลประทานทง้ั แบบนาเหมือน นาฝาย เพื่อการน�ำ น้ําเขา้ ไปเลยี้ งนาขา้ ว นอกจากน้ยี งั ไดจ้ ดั ให้มี พระราชพธิ ีไพศาลจรดพระนังคัล หรือพระราชพิธีจรดพระนงั คัลแรกนาขวญั นั่นเอง สมัยอยธุ ยา ในสมยั นีไ้ ดม้ กี ารเปล่ยี นแปลงทางดา้ นการเมืองการปกครองครั้งใหญ่ ได้จัดการปกครองแบบ “จตสุ ดมส”์ คือ เวียง วงั คลงั นา ซงึ่ จะเห็นไดว้ ่าใหค้ วามส�ำ คัญกับเรื่องนาข้าวมาก มกี ารคา้ ขายกบั ชาวต่างประเทศมากขึ้นและข้าวนบั เป็นสนิ ค้าสง่ ออกที่ ส�ำ คญั มีการเก็บภาษที นี่ า ไร่ละสลึงทเ่ี รียกวา่ “หา่ งข้าว” นอกจากนน้ั ยังมกี ารเก็บภาษอี ากรนาอีก ๒ วิธี คอื แบบ “นาฟางลอย” ใช้ส�ำ หรบั เก็บคา่ นาดอนซ่งึ ท�ำ แหง่ ละเลก็ ละน้อยจะสงั เกตตอฟาง วธิ ีท่ี ๒ คือแบบ “นาโคคู่” เป็นประเพณีเก็บคา่ นาทีป่ ัตตานี โดยสำ�รวจเอาจ�ำ นวนโค ท่ไี ปท�ำ นาเป็นหลกั ของอตั ราคา่ นา สมัยกรงุ ธนบรุ ี หลังจากได้รับอิสรภาพแล้วมีการรวบรวมไพร่พลและขยายอาณาจักรอย่างกว้างขวางมีการจัดระเบียบบ้านเมืองคร้ัง ใหญ่มกี ารฟนื้ ฟกู ารคา้ ขายกบั ต่างชาติโดยเฉพาะกบั จีน โดยข้าวก็ยังคงเปน็ พืชหลกั ทส่ี ำ�คัญในการคา้ ขายและมีการปลกู ขา้ ว สมัยกรุงรตั นโกสนิ ทร์ นบั เป็นยุคสมัยแห่งความเจรญิ ร่งุ เรอื งอย่างสูงสดุ ทัง้ ในเรื่อง วชิ า การปลูกข้าวแผนใหมก่ ารใช้เครื่องจกั รกลการเกษตร การถ่ายทอดความร้ใู ห้กบั ชาวนา การค้าขายขา้ วกบั ตา่ งประเทศมีการจดั ตั้งองคก์ รส�ำ หรบั ดูแลงานดา้ นขา้ ว ทั้งในระดับประเทศ๑๔ภาค จังหวัด อำ�เภอ ต�ำ บล จากน้นั ในรัชสมยั ของพระบาทสมเดจ็ พระเจ้าอยหู่ ัวภมู พิ ลอดุลยเดช ต้งั แตพ่ ระองค์ขึน้ ครองราชย์
๑๕
จนถึงปัจจุบันนับเป็นยุคสมัยท่ีงานด้านข้าวเจริญรุ่งเรืองอย่างสูงสุดเพราะพระองค์ท่านได้ให้ความสำ�คัญเป็นอย่างยิ่งเนื่องจาก ทรงเห็นว่าคนกลมุ่ ใหญข่ องประเทศมีอาชีพในการท�ำ นา และข้าวกเ็ ปน็ อาหารหลกั ของคนไทย แม่โพสพ วถิ ีชวี ิตในการยงั ชีพของคนไทยนั้น ต้องบรโิ ภคขา้ วเป็นอาหารหลกั ดังน้ันขา้ วจึงผูกพนั กบั ชีวติ คนไทยมานานนับหลาย ศตวรรษ ดั่งค�ำ วา่ “ข้าวคอื ชีวิต” คนไทยเช่ือวา่ ข้าวเป็นส่ิงทม่ี ีบุญคุณ มีจติ วิญญาณ มีเทพธดิ าชื่อว่า “แม่โพสพ” ประจำ�อยู่ใน ต้นข้าวแม่โพสพเป็นผู้คอยดูแลต้นข้าวให้เจริญงอกงามถ้าผู้ใดได้ทำ�พิธีตามคติความเชื่อและบูชากราบไหว้แม่โพสพแล้วจะทำ�ให้ ผ้นู ้นั รํ่ารวยอุดมสมบรู ณ์ และขา้ วสามารถให้คณุ ให้โทษแก่มนุษย์ มนุษยเ์ ราเปน็ หนี้บญุ คุณแมโ่ พสพเป็นอนั มาก ฉะน้ันหากดูแล เอาใจใส่แม่โพสพใหส้ ขุ สบายแม่โพสพก็จะไม่หลบลี้หนีหายไปจากท้องนา และทำ�ใหข้ ้าวงอกงามสมบรู ณ์ในอดีตเราจงึ ได้ยนิ คุณย่าคุณยายพูดถึงว่าให้ยกมือข้ึนไหว้หลังจากอิ่มจากสำ�รับอาหารแล้วเพื่อขอบคุณแม่โพสพท่ีประทานข้าวมาให้อ่ิมแต่ละมื้อแม้ ปจั จบุ นั จะไมค่ อ่ ยไดเ้ หน็ ภาพเช่นน้ัน แลว้ แต่ยังมีคำ�สง่ั สอนว่ากนิ ข้าวใหห้ มดไม่เชน่ นนั้ แม่โพสพจะเสียใจ ดว้ ยเหตุนเ้ี องเม่อื แรก จะทำ�นา และตลอดฤดถู งึ การเกบ็ เกี่ยว จงึ มีการประกอบพิธีบชู าแมโ่ พสพเปน็ ระยะๆ การบชู าแม่โพสพจะบชู าดว้ ยอาหาร มีขา้ ว ปากหมอ้ กล้วย อ้อย เปน็ ตน้ เพื่อหวงั ให้ข้าวออกร่วง ชาวนาท�ำ พธิ ีบชู าแม่โพสพก็เพ่อื สร้างขวัญและก�ำ ลงั ใจใหม้ ีความหวังความ มั่นใจวา่ ขา้ วจะให้ผลอุดมสมบูรณ์ซึ่งส่งผลให้มคี วามอิ่มหนำ�ส�ำ ราญและความสุขที่จะได้รบั ตลอดทง้ั ปี คนรนุ่ เกา่ ไดส้ ร้างรูปจำ�ลอง แมโ่ พสพไวเ้ ป็นหญิงสาวช้ันสามญั ไว้ผมประบ่าแต่สวมกรอบหนา้ และจอนหู นุ่งผา้ จีบ ห่มสไบ มีเครอ่ื งประดบั คอ แขน ขอ้ มอื ข้อเทา้ นัง่ พบั เพยี บ เทา้ แขนซา้ ย มอื ขาวถือรวงข้าวที่มเี มล็ดข้าวแน่นเต็มรว่ งความรูส้ ึกของคนไทยทม่ี ตี ่อแม่โพสพเป็นความรูส้ กึ ส�ำ นกึ ถึงบญุ คุณโดยมกี ารเคราพบูชาปฏบิ ัติตอ่ ๆกนั มาแต่โบราณ นบั เป็นวัฒนธรรมทางจติ ใจท่ีแสดงถึงความเปน็ ผูม้ คี วามกตัญญู นบั เป็นสง่ิ ที่ดีงามสบื ตอ่ กันมา๑๖
พระราชพธิ ีมงคลจรดพนังคลั แรกนาขวญั พระราชพิธีพืชมงคลจรดพระนงั คลั แรกนาขวญั เป็นพระราชพธิ ี ๒ พิธีรวมกนั คือพระราชพิธีพชื มงคลอนั เปน็ พิธสี งฆ์อย่างหนง่ึ ซ่งึ จะประกอบพระราชพิธีวันแรกในพระอุโบสถวดั พระศรรี ตั นศาสดาราม กับพระราชพิธจี รดพระนังคลั แรกนาขวญั อันเป็นพธิ พี ราหมณ์ อย่างหน่ึงซึ่งจะประกอบพระราชพธิ ีในวันรุง่ ขึ้น ณ มณฑลพิธสี นามหลวง พระราชพธิ ีจรดพระนงั คัลแรกนาขวัญหรอื เรียกสน้ั ๆ ว่าพิธีแรกนา เป็นพระราชพธิ ที ม่ี ีมาแต่โบราณตงั้ แต่คร้ังกรงุ สโุ ขทัยเป็นราชธานี ซง่ึ ในสมยั กรุงสโุ ขทัยนั้นพระมหากษัตริย์ไมไ่ ดล้ งมอื ไถเองเปน็ แตเ่ พียงเสด็จไปเปน็ องค์ประธานในพระราชพธิ ีเท่านน้ั ครงั้ ถึงสมัยกรุงศรอี ยธุ ยา พระมหากษัตรยิ ไ์ มไ่ ด้เสดจ็ ไปเปน็ องคป์ ระธานเหมอื นกับสมัยกรุงสุโขทัย แต่จะมอบอาญาสทิ ธ์ิให้โดยทรงท�ำ เหมือนอยา่ งออกอ�ำ นาจจากกษัตรยิ ์ และจะทรงจำ�ศีลเงียบ ๓ วนั ซง่ึ วิธนี ไี้ ด้ใช้ตลอดมาถึงปลายสมัยกรงุ ศรอี ยุธยา สมยั กรุงรตั นโกสนิ ทร์ไดม้ กี ารประกอบพระราชพิธีนีม้ าตงั้ แตส่ มยั รชั กาลท่ี ๑ แต่ผทู้ �ำ การแรกนาเปล่ยี นเป็นเจ้าพระยาพหลเทพคกู่ นั กบั การยืนชิงชา้ แต่พอถงึ รัชกาลท่ี ๓ ใหถ้ อื วา่ ผใู้ ดยืนชิงชา้ ผนู้ ้นั เปน็ ผแู้ รกนาด้วย ในสมัยรัชกาลท่ี ๔ ได้ทรงโปรดเกล้าฯ ให้จัดมพี ิธีสงฆ์เพิม่ ข้นึ ในพระราชพิธีตา่ งๆ ทุกพธิ ี ดงั นนั้ พระราชพิธีพืชมงคลจึงได้เรมิ่ มีขน้ึ แตบ่ ัดนัน้ มา โดยไดจ้ ัดรวมกบัพระราชพิธจี รดพระนังคลั แรกนาขวญั และมีชือ่ เรียกรวมกันวา่ พระราชพธิ ีพืชมงคลจรดพระนงั คลั แรกนาขวัญ พระราชพธิ พี ืชมงคลจรดพระนังคลั แรกนาขวญั เปน็ พธิ กี ารเพอ่ื ความเปน็ สิรมิ งคลและบ�ำ รงุ ขวญั เกษตรกร กำ�หนดจดั ข้ึนในเดือนหกของทกุ ปี ซง่ึ ระยะน้เี ปน็ ระยะเหมาะสมที่จะเริ่มต้นการท�ำ นาอันเปน็ อาชีพหลักของประชาชนคนไทย แตไ่ มไ่ ดก้ �ำ หนด ๑๗
๑๘
วนั ทแ่ี น่นอนไวเ้ หมอื นกบั วนั ในพระราชพธิ ีอ่ืนๆส่วนจะเปน็ วนั ใดในเดอื นหกหรือเดอื นพฤษภาคมทมี่ ฤี กษย์ ามทเี่ หมาะสมตอ้ งตามประเพณกี ใ็ ห้จดั ขนึ้ ในวนั น้นั การจัดงานพระราชพิธพี ืชมงคลจรดพระนังคัลแรกนาขวญั ไดก้ ระท�ำ เต็มรูปบูรพประเพณี ครั้งสดุ ท้ายในปี พ.ศ. ๒๔๗๙แล้วกว็ ่างเวน้ ไปจนกระทง่ั ในปี พ.ศ. ๒๕๐๓ คณะรัฐมนตรไี ดม้ ีมติใหฟ้ ้นื ฟู พระราชประเพณีนข้ี ้นึ ใหม่ และไดก้ ระท�ำ ตดิ ตอ่ กันมาทกุ ปีจนถงึ ปจั จบุ ันดว้ ยเหน็ ว่าเป็นการรกั ษาพระราชประเพณีอันดีงาม มผี ลในการบำ�รงุ ขวญั และจิตใจของคนไทยพระบาทสมเดจ็ พระเจ้าอยหู่ ัวองคพ์ ระประมขุ ปจั จบุ ันทรงมี พระราชกระแสใหป้ รับปรงุ พิธีการบางอยา่ งให้เหมาะสมกบั ยคุ สมยัและเสดจ็ พระราชด�ำ เนินมาเป็นองค์ประธานในพระราชพิธีน้ที กุ ปีสบื มามิได้ขาด เม่ือไดม้ ีการฟนื้ ฟพู ระราชประเพณีจรดพระนังคัลแรกนาขวญั ขึ้นมาในระยะแรกนนั้ พระยาแรกนา ไดแ้ ก่ อธบิ ดกี รมการข้าวโดยตำ�แหน่งสำ�หรับเทพีท้ังสี่พิจารณาคัดเลือกจากภริยาข้าราชการช้ันผู้ใหญ่ในกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ภายหลังพระยาแรกนา ได้แก่ ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยตำ�แหนง่ ส่วนผูท้ ม่ี าทำ�หน้าทเี่ ปน็ เทพีคู่หาบทองและคหู่ าบเงนิ นน้ัได้ทำ�การพิจารณาคัดเลือกจากข้าราชการหญิงโสดในสังกัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ที่มีตำ�แหน่งตั้งแต่ข้าราชการพลเรือนสามัญชั้นโทขน้ึ ไป ๑๙
พระราชพิธีพืชมงคลเป็นพิธีทำ�ขวัญพืชพันธ์ุธัญญาหารท่ีพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงอธิษฐานเพื่อความอุดม สมบูรณ์ของพืชพันธุ์ธัญญาหารแห่งราชอาณาจักรไทยข้าวน้ันถือว่าเป็นอาหารหลักของประชาชนในภาษาบาลีเรียกว่า ปพุ พัณณะ หรือบพุ พณั ณะ หรอื บุพพณั ณชาติ ส่วนพชื อน่ื ๆ ท่ีเปน็ อาหารเรียกว่า อปรณั ณ หรืออปรณั ชาติ หมายถงึ พืชจ�ำ พวก ถวั่ งา เปน็ ต้น ถา้ เรียกควบท้ังสองอยา่ งก็เรียกว่า บพุ พัณณปรัณณชาติ ท่หี มายถึงพืชทเี่ ปน็ อาหารทุกชนดิ บพุ พณั ณปรัณณชาตทิ ่ี น�ำ เขา้ พิธีพืชมงคลนั้นเป็นข้าวเปลอื กมที ง้ั ขา้ วเจา้ และข้าวเหนยี ว นอกจากนม้ี ีเมล็ดพืชตา่ งๆ รวม ๔๐ อย่างแตล่ ะอย่างบรรจุถุงผา้ ขาวกับเผอื กมันต่างๆ พันธุ์พืชเหลา่ นเ้ี ปน็ ของปลกู งอกไดท้ ้ังสิน้ นอกจากน้ียังมีข้าวเปลือกที่หว่านในพิธีแรกนาบรรจุกระเช้าทองคู่หนึ่งและเงินคู่หน่ึงเป็นข้าวพันธุ์ดีที่โปรดให้ปลูกใน สวนจติ รลดา และพระราชทานมาเขา้ พธิ ีพชื มงคล พันธุข์ ้าวพระราชทานนี้จะใช้หวา่ นใน พระราชพิธีแรกนาส่วนหนง่ึ อกี ส่วนหน่ึง ทเี่ หลือทางการจะบรรจซุ องแล้วส่งไปแจกจา่ ยแกช่ าวนาและประชาชนในจังหวดั ต่างๆ ให้เป็นม่ิงขวัญและเปน็ สริ ิมงคลแกพ่ ชื ผล ทจี่ ะเพาะปลูกในปีนนั้ นับต้ังแตป่ ี พ.ศ. ๒๕๐๙ เป็นต้นมา๒๐
๒๑
พนั ธขุ์ ้าว ชนิดของพนั ธข์ุ า้ ว แบง่ ตามนเิ วศนก์ ารปลูก ขา้ วนาสวน (Lowland Rice) ข้าวท่ีปลูกในนาทีม่ นี ้าํ ขงั หรือกักเก็บนํา้ ได้ระดบั นาํ้ ลึกไม่เกนิ ๕๐ เซนติเมตร ข้าวนาสวนมปี ลกู ทุกภาคของประเทศไทย แบ่งออกได้ ๒ ชนิด คอื ข้าวนาสวนนานํา้ ฝน และข้าวนาสวนนาชลประทาน ๑.ข้าวนาสวนนานา้ํ ฝน (Rainfed lowland Rice) ข้าวท่ปี ลูกในฤดนู าปีและอาศัยนา้ํ ฝนตามธรรมชาติ ไม่สามารถควบคมุ ระดบั นํา้ ได้ ท้งั นีข้ ้ึนอย่กู ับการกระจายตวั ของฝน ประเทศไทยมพี ้ืนทป่ี ลกู ข้าวนานา้ํ ฝนประมาณ ๗๐% ของพื้นทป่ี ลูกขา้ วทั้งหมด ๒.ข้าวนาสวนนาชลประทาน (Irriqated lowland Rice) ขา้ วที่ปลูกไดต้ ลอดทั้งปใี นนาท่สี ามารถควบคุมระดบั นํ้าได้ โดยอาศยั น้ําจากการชลประทาน ประเทศไทยมีพ้ืนทป่ี ลูกข้าวนา๒๒
ชลประทาน ๒๔% ของพ้นื ท่ปี ลูกข้าวท้ังหมด และพ้ืนทสี่ ่วนใหญจ่ ะอย่ใู นภาคกลาง ข้าวขนึ้ นา้ํ (Floating Rice) ขา้ วที่ปลูกในนาทม่ี นี ้ําทว่ มขงั ในระหว่างการเจรญิ เตบิ โตของข้าว มีระดบั นํ้าลึกต้ังแต่ ๑ - ๕ เมตร เปน็ เวลาไม่น้อยกวา่๑ เดอื น ลกั ษณะพเิ ศษของข้าวข้ึนนํา้ คอื มีความสามารถในการยืดปล้อง (internode elongation ability) การแตกแขนงและรากที่ข้อเหนอื ผวิ ดิน (upper nodal tillering and rooting ability) และการชูรวง (kneeing ability) ขา้ วนํา้ ลึก (Deepwater Rice) ข้าวที่ปลกู ในพนื้ ทน่ี ้าํ ลกึ ระดับน้ําในนามากกวา่ ๕๐ เซนติเมตร แตไ่ ม่เกิน ๑๐๐ เซนติเมตร ข้าวไร่ (Upland Rice) ข้าวทีป่ ลูกในท่ดี อนหรือในสภาพไร่ บรเิ วณไหล่เขาหรือพ้นื ท่ซี ่งึ ไมม่ ีนา้ํ ขงั ไมม่ กี ารทำ�คันนาเพอ่ื กักเก็บน้าํ ขา้ วนาท่สี งู ขา้ วท่ปี ลูกในนาท่ีมีน้าํ ขงั บนทส่ี ูงตั้งแต่ ๗๐๐ เมตรเหนือระดบั นาํ้ ทะเลขน้ึ ไป พนั ธุ์ข้าวนาทส่ี ูงต้องมีความสามารถทนทานอากาศหนาวเยน็ ได้ดี ๒๓
ขา้ วเจ้า กข๓๕ (รังสิต๘๐) ชือ่ พนั ธ์ ุ กข๓๕ (รังสิต ๘๐) ชนดิ ขา้ วเจ้า ค่ผู สม IR๕๒๐๑ - ๖๕ - ๑ - ๒ / ป่ินแกว้ เบา ๒๗ / เจ้าเหลอื ง ๑๑ ประวตั พิ นั ธ ์ุ กข๓๕ (รงั สิต ๘๐) ได้จากการผสมพันธ์สุ ามทางระหวา่ งลูกผสมช่วั ท่ี ๑ ของสายพันธ์ุ IR๕๒๗๑ - ๖๕ - ๑ - ๒ และพันธป์ุ ิ่นแกว้ เบา ๒๗ กับพนั ธ์เุ จา้ เหลือง ๑๑ ท่ีศูนยว์ ิจัยขา้ วปทมุ ธานี เมือ่ พ.ศ. ๒๕๒๒ - ๒๕๒๓ ปลูกคัดเลอื กพันธผุ์ สมชั่ว ท่ี ๒ แบบรวม (bulk) และ ชว่ั ที่ ๓ - ๖ แบบสบื ตระกลู (pedigree) ในปี พ.ศ. ๒๕๒๕ - ๒๕๒๙ ได้สายพันธ์ุ RSTLR๗๙๐๐๙ - ๔๓ - ๑ - ๑ - ๕ ปลูกศกึ ษาพนั ธุแ์ ละเปรยี บเทียบผลผลิตภายในสถานี ทดสอบความตา้ นทานตอ่ โรคและแมลงศตั รขู า้ วที่สำ�คัญ รวมทัง้ วเิ คราะห์คณุ ภาพเมลด็ ขา้ วทางกายภาพและทางเคมี ท่ศี นู ยว์ จิ ัยข้าวปทมุ ธานี ใน พ.ศ. ๒๕๓๐ – ๒๕๓๒ ปลกู เปรียบเทียบ ผลผลติ ระหว่างสถานีที่ศนู ย์วิจยั ข้าวปทมุ ธานี สุพรรณบุรี คลองหลวง ฉะเชิงเทรา และราชบรุ ี รวมท้งั ทดสอบความต้านทาน ต่อโรคและแมลงท่ีส�ำ คัญ วิเคราะห์คุณภาพเมลด็ ทางกายภาพและทางเคมีทศ่ี ูนย์วจิ ัยขา้ วปทุมธานี ระหว่าง พ.ศ.๒๕๓๓ - ๒๕๔๔ เปรยี บเทียบผลผลิตในนาราษฎร์ และทดสอบการตอบสนองต่อป๋ยุ ไนโตรเจน ใน พ.ศ. ๒๕๔๑ - ๒๕๔๔ ประเมินผลผลติ ในสภาพ ดนิ เปรยี้ วและในนาเกษตรกร ในปพี .ศ. ๒๕๓๓ - ๒๕๓๕ การรับรองพนั ธ์ุ คณะกรรมการพิจารณาพันธ์ุ กรมการข้าว มีมตใิ หเ้ ปน็ พันธร์ุ ับรอง ช่ือกข๓๕ (รังสติ ๘๐) เพ่อื แนะน�ำ ใหเ้ กษตรกรปลูก เม่อื วันท่ี ๖ มนี าคม ๒๕๕๐๒๔
ลักษณะประจำ�พันธ ์ุ - เป็นขา้ วเจา้ ไวต่อชว่ งแสง - ตน้ คอ่ นข้างเตีย้ สูงเฉลย่ี ๑๓๒ เซนติเมตร - อายุเกบ็ เกีย่ ว ปลายเดอื นพฤศจิกายนถงึ ต้นเดอื นธันวาคม - ทรงกอตงั้ ตน้ แขง็ มาก ใบสีเขียว ใบธงต้งั ตรง แตกกอ ๑๓ - ๑๕ หนอ่ ต่อกอ รวงแน่นปานกลาง คอรวงยาว - เมลด็ ขา้ วเปลือกสีฟาง ขนสัน้ - ระยะพกั ตัวของเมลด็ พนั ธ์ุประมาณ ๖ - ๙ สัปดาห์ - เมลด็ ข้าวเปลอื ก ยาว x กว้าง x หนา = ๑๐.๑ x ๒.๕ x ๑.๙ มลิ ลิเมตร - เมลด็ ขา้ วกลอ้ ง ยาว x กวา้ ง x หนา = ๗.๔ x ๒.๑ x ๑.๗ มิลลิเมตร - เป็นทอ้ งไขน่ ้อย - ปริมาณอมโิ ลสสงู (๒๖.๑ - ๒๙.๓%) - ข้าวสกุ แขง็ จดั อยู่ในประเภทข้าวเสาไห้ผลผลิต - เฉลย่ี ๖๕๐ กโิ ลกรมั /ไร่ (ปกั ด�ำ ) ลกั ษณะเด่น - เจรญิ เตบิ โตและใหผ้ ลผลิตดีในดินเปร้ยี ว เฉล่ยี ๖๐๐ กิโลกรัม/ไร่ - กอตัง้ ฟางแขง็ ค่อนข้างเตี้ย - คณุ ภาพเมล็ดดี ท�ำ ขา้ วสาร ๑๐๐ เปอร์เซน็ ต์ ไดค้ ุณภาพการสดี ี ข้าวเตม็ เมลด็ และตน้ ข้าว ๔๙.๗ เปอร์เซน็ ต์ จัดเปน็ ประเภทขา้ วเสาไห้ - คอ่ นขา้ งต้านทานตอ่ โรคขอบใบแหง้ และเพลย้ี กระโดดหลงั ขาว ๒๕
ขอ้ ควรระวงั - ค่อนขา้ งออ่ นแอต่อเพลีย้ กระโดดสนี า้ํ ตาล พน้ื ที่แนะนำ� - พนื้ ทีน่ านํ้าฝนภาคกลาง ท่ีมรี ะดับน้าํ ลกึ ไมเ่ กิน ๕๐ เซนติเมตร นํ้าแหง้ นาปลายเดือนพฤศจกิ ายน๒๖
ปทุมธาน๖ี ๐ (Pathum Thani๖๐)ช่ือพันธ ์ุ ชนดิ - ปทุมธาน๖ี ๐ (Pathum Thani ๖๐)คู่ผสม - ข้าวเจ้าประวัตพิ นั ธ์ุ - ดอกมะลิ ๗๐*๒ / ไชนีส ๓๔๕ - ได้จากการผสมพันธร์ุ ะหวา่ งพนั ธุ์ดอกมะลิ ๗๐ กบั สายพันธุ์ไชนีส ๓๔๕ เม่อื ปี พ.ศ.๒๕๐๑ ที่สถานที ดลองขา้ วสนั ป่าตอง และนำ�ไปปลูกคัดเลอื กในสถานที ดลองข้าวภาคกลาง จนได้สายพนั ธ์ุการรบั รองพนั ธ ์ุ SPT๕๘๓๗ - ๔๐๐ - คณะกรรมการวจิ ัยและพัฒนากรมวิชาการเกษตร มีมติให้เปน็ พันธุ์รับรองเม่ือวันท่ี ๓๐ กนั ยายน ๒๕๓๐ ลักษณะประจำ�พันธ ์ุ - เป็นขา้ วเจ้า สูงประมาณ ๑๕๙ เซนตเิ มตร - ไวตอ่ ชว่ งแสง - อายุเกบ็ เก่ียว ประมาณ ๒๕ พฤศจิกายน - ลำ�ต้นและใบสีเขียว มีขนบนใบ รวงแนน่ ระแงถ้ ่ี คอรวงยาว เมลด็ เรียวยาว - ท้องไข่นอ้ ย - เมลด็ ขา้ วเปลือกสฟี าง - ระยะพกั ตวั ของเมล็ดประมาณ ๕ สัปดาห์ - เมล็ดขา้ วเปลือก ยาว x กวา้ ง x หนา = ๑๐.๕ x ๒.๗ x ๒.๑ มิลลิเมตร ๒๗
- เมล็ดข้าวกลอ้ ง ยาว x กวา้ ง x หนา = ๗.๕ x ๒.๓ x ๑.๘ มิลลเิ มตร - ปรมิ าณอมโิ ลส ๒๗ - ๓๒ % - คณุ ภาพข้าวสุก ค่อนข้างรว่ น มกี ล่นิ หอมผลผลติ - ประมาณ ๕๑๗ กิโลกรมั ตอ่ ไร่ลักษณะเด่น - คณุ ภาพเมลด็ ดี เรียวยาว เลื่อนมนั ใสแกร่ง - มีทอ้ งไข่น้อย คุณภาพการสดี ี - ต้านทานโรคกาบใบเนา่ และโรคใบหงกิ ในสภาพธรรมชาติขอ้ ควรระวัง - ไมต่ า้ นทานโรคไหม้ โรคใบสีส้ม และโรคขอบใบแหง้ - ไม่ตา้ นทานเพลย้ี กระโดดสีนาํ้ ตาล และหนอนกอพื้นที่แนะนำ� - ภาคกลาง ภาคตะวันออก และภาคตะวันตก แบ่งตามการตอบสนองตอ่ ชว่ งแสง ข้าวไวตอ่ ช่วงแสง (Photoperiod sensitivity Rice) เปน็ ข้าวท่อี อกดอกเฉพาะเมอื่ ช่วงเวลากลางวันสั้นกว่า ๑๒ ชว่ั โมง โดยพบว่าข้าวไวตอ่ ชว่ งแสงในประเทศไทยมกั จะ ออกดอกในเดือนทีม่ คี วามยาว ของกลางวันประมาณ ๑๑ ชว่ั โมง ๔๐ นาที หรอื ส้นั กว่าน้ี ดงั นนั้ ขา้ วทอี่ อกดอกได้ในเดือนท่มี ี ความยาวของกลางวัน ๑๑ ช่วั โมง ๔๐ - ๕๐ นาที จึงได้ช่อื วา่ เปน็ ขา้ วทม่ี ีความไวตอ่ ชว่ งแสงนอ้ ย และพันธุ์ที่ออกดอกเฉพาะใน เดือนท่ีมคี วามยาวของกลางวันประมาณ ๑๑ ชั่วโมง ๑๐ - ๒๐ นาทกี ็ได้ช่ือวา่ เป็นพันธ์ทุ ม่ี ีความไวตอ่ ชว่ งแสงมาก พันธ์ขุ า้ ว ประเภทนี้จึงปลูกและใหผ้ ลผลิตได้ปีละหนึ่งคร้งั หรอื ปลกู ไดเ้ ฉพาะในฤดูนาปี บางครั้งจงึ เรยี กว่า ขา้ วนาปี พนั ธขุ์ ้าวในประเทศไทย๒๘
ทเ่ี ป็นพนั ธ์ุพื้นเมอื งส่วนใหญ่เปน็ พันธ์ทุ ่ีมีความไวต่อชว่ งแสง ขา้ วไมไ่ วตอ่ ชว่ งแสง (Non photoperiod sensitivity Rice) เป็นข้าวทอ่ี อกดอกเมอื่ ขา้ วมรี ะยะเวลาการเจริญเตบิ โตและให้ผลผลติ ตามอายุ จงึ ใชป้ ลกู และใหผ้ ลผลติ ไดต้ ลอดท้งั ปีหรือปลกู ได้ในฤดนู าปรัง บางครั้งจึงเรยี กว่า ข้าวนาปรัง ๒๙
กข๓๑(ปทุมธาน๘ี ๐)ชือ่ พนั ธ ์ุ - กข๓๑(ปทุมธานี ๘๐)ชนิด - ขา้ วเจา้คูผ่ สม - SPR๘๕๑๖๓ - ๕ - ๑ - ๑ - ๒ / IR๕๔๐๑๗ - ๑๓๑ - ๑ - ๓ - ๒ประวัตพิ นั ธ ุ์ - จากการผสมพันธ์รุ ะหว่าง สายพันธุ์ SPR๘๕๑๖๓ - ๕ - ๑ - ๑ - ๒ กับสายพันธุ์ IR๕๔๐๑๗ - ๑๓๑ - ๑ - ๓ - ๒ ท่ีศูนยว์ จิ ัยข้าวสพุ รรณบรุ ี เมือ่ พ.ศ. ๒๕๓๖ ปลูกคดั เลือก ตง้ั แต่ พ.ศ. ๒๕๓๗ ถงึ พ.ศ. ๒๕๓๙ ได้สายพนั ธุ์SPR๙๓๐๔๙ - PTT - ๓๐ - ๔ - ๑ - ๒ ศกึ ษาพนั ธุ์ประเมนิ ลกั ษณะประจำ�พนั ธ์แุ ละลักษณะทางการเกษตรทดสอบความตา้ นทานตอ่ โรคและแมลงศตั รูขา้ วทีส่ �ำ คญั วิเคราะหค์ ณุ ภาพเมล็ดทางกายภาพและเคมที ่ศี ูนยว์ ิจยั ข้าวปทมุ ธานี เปรยี บเทียบผลผลติ ภายในสถานี และระหว่างสถานีท่ีศูนยว์ จิ ัยขา้ วปทุมธานี สุพรรณบรุ ี ฉะเชงิ เทรา คลองหลวง และราชบรุ ี และปลูกเปรียบเทยี บผลผลิตในนาเกษตรกร ๘ จงั หวัดในภาคกลาง จนถงึ พ.ศ. ๒๕๔๙การรับรองพนั ธ ุ์ - คณะกรรมการพจิ ารณาพนั ธุ์ กรมการขา้ ว มมี ตใิ หเ้ ปน็ พนั ธร์ุ บั รอง ชอื่ กข๓๑(ปทมุ ธานี ๘๐) เพ่อื แนะนำ�ให้เกษตรกรปลกู เมอื่ วันที่ ๖ มนี าคม ๒๕๕๐ลักษณะประจำ�พนั ธ ์ุ - เป็นข้าวเจา้ ไม่ไวตอ่ ชว่ งแสง - อายุเกบ็ เกี่ยว ๑๑๑ วัน เมอ่ื ปลูกโดยวธิ หี ว่านน้ําตม และ ๑๑๘ วนั โดยวธิ ีปกั ด�ำ - ทรงกอต้ัง ต้นแข็งไมล่ ้มง่าย ใบสีเขยี ว กาบใบสีเขยี ว ใบธงตัง้ คอรวงยาว รวงยาว ๒๙.๙ เซนติเมตร - เมลด็ ขา้ วเปลอื กสีฟาง เมล็ดไม่มีหาง ข้าวกลอ้ งสีขาว เปน็ ท้องไข่นอ้ ย รปู ร่างเรยี ว - ระยะพักตัวของเมล็ดพนั ธปุ์ ระมาณ ๕ สัปดาห์๓๐
- เมลด็ ขา้ วเปลอื ก ยาว x กว้าง x หนา = ๑๐.๔ x ๒.๖ x ๒.๐ มลิ ลเิ มตร - เมล็ดขา้ วกล้อง ยาว x กวา้ ง x หนา = ๗.๔ x ๒.๑ x ๑.๘ มิลลเิ มตร - ปริมาณอมโิ ลสสงู (๒๗.๓ – ๒๙.๘ %)ผลผลติ - เฉลย่ี ๗๔๓ กิโลกรมั ต่อไร่ (ปักด�ำ ) ๗๓๘ กโิ ลกรัมตอ่ ไร่ (นาหวา่ นนา้ํ ตม)ลกั ษณะเด่น - คณุ ภาพเมล็ดทางกายภาพสมาํ่ เสมอกว่าพันธสุ์ ุพรรณบรุ ี ๑ - ต้านทานตอ่ เพลีย้ กระโดดหลังขาว ค่อนข้างตา้ นทานต่อเพลีย้ กระโดดสีนํ้าตาล โรคขอบใบแห้ง โรคใบจดุ สีน้ําตาล และโรคเมล็ดด่าง - ทรงกอตัง้ ตน้ แข็ง ไม่ลม้ ง่าย ผลผลติ สงู กวา่ ผลผลิตของพันธ์สุ พุ รรณบรุ ี ๑ ประมาณ ๕ เปอรเ์ ซน็ ต์ข้อควรระวัง - อ่อนแอต่อโรคไหม้ โรคใบหงิก และโรคใบสสี ม้พื้นท่ีแนะนำ� - นาชลประทานภาคกลาง ๓๑
ขา้ วเจ้าหอมคลองหลวง๑ ช่ือพนั ธ์ ุ - ขา้ วเจา้ หอมคลองหลวง๑ ชนดิ - ข้าวเจา้ คผู่ สม - นางมล เอส - ๔ / IR๔๑ - ๘๕ - ๑ - ๑ - ๒ ประวตั พิ นั ธ ์ุ - ไดจ้ ากการผสมพันธรุ์ ะหว่างพนั ธุน์ างมล เอส - ๔ กับสายพนั ธ์ุ IR๘๔๑ - ๘๕ - ๑ - ๑ - ๒ ทีส่ ถานีทดลอง ขา้ วคลองหลวง ปลกู คดั เลือกจนได้สายพันธุ์ KLG๘๓๐๕๕ - ๑ - ๑ - ๑ - ๒ - ๑ - ๔ การรบั รองพันธ ์ุ - คณะกรรมการวิจยั และพฒั นากรมวิชาการเกษตร มีมตใิ ห้เปน็ พนั ธร์ุ บั รอง เมือ่ วันที่ ๒๗ ตลุ าคม ๒๕๔๐ ลกั ษณะประจำ�พันธ ์ุ - เป็นข้าวเจ้า สูงประมาณ ๑๑๐ เซนติเมตร - ไม่ไวต่อช่วงแสง - อายุเกบ็ เกย่ี วประมาณ ๑๑๘ วนั เมอ่ื ปลกู ในฤดนู าปรงั และ ๑๒๕ วัน ในฤดนู าปี - ทรงกอต้งั ฟางแข็ง ใบสีเขยี ว ใบธงยาวปานกลาง และ ค่อนข้างต้ัง คอรวงส้นั รวงยาวแนน่ - เมล็ดข้าวเปลอื กสฟี าง - ระยะพกั ตัวของเมล็ดประมาณ ๕ - ๖ สัปดาห์ - เมลด็ ข้าวเปลอื ก ยาว x กวา้ ง x หนา = ๑๐.๖ x ๒.๗ x ๑.๙ มิลลเิ มตร - เมล็ดขา้ วกลอ้ ง ยาว x กวา้ ง x หนา = ๗.๘ x ๒.๓ x ๑.๘ มลิ ลิเมตร - ปริมาณอมโิ ลส ๑๘ - ๑๙ %๓๒
- คณุ ภาพข้าวสุก นมุ่ เหนยี วและหอมผลผลิต - ประมาณ ๖๕๐ กิโลกรัมตอ่ ไร่ ในฤดูนาปี และ ๕๙๑ กโิ ลกรมั ต่อไร่ ในฤดูนาปรังลกั ษณะเด่น - เป็นขา้ วเจ้าหอม รูปรา่ งเมล็ดยาวเรียว ท้องไข่นอ้ ย และคุณสมบัติในการหงุ ตม้ คลา้ ยขาวดอกมะลิ ๑๐๕ - ตอบสนองต่อการใช้ปุ๋ยไนโตรเจนดี - ค่อนขา้ งตา้ นทานโรคไหม้ โรคขอบใบแห้ง - คอ่ นข้างตา้ นทานเพลยี้ กระโดดหลังขาวขอ้ ควรระวัง - คอ่ นข้างออ่ นแอตอ่ เพล้ยี กระโดดสีนํา้ ตาล และเพล้ยี จักจ่นั สเี ขียวพืน้ ที่แนะนำ� - ภาคกลาง ๓๓
ปทุมธานี๑ ชือ่ พันธุ ์ - ปทุมธานี๑ ชนดิ - ขา้ วเจา้ คู่ผสม - BKNA๖ - ๑๘ - ๓ - ๒ / PTT๘๕๐๖๑ - ๘๖ - ๓ - ๒ - ๑ ประวตั ิพันธ ุ์ - ไดจ้ ากการผสมพนั ธุ์ระหวา่ งสายพนั ธุ์ BKNA๖ - ๑๘ - ๓ - ๒ กับสายพันธุ์ PTT๘๕๐๖๑ - ๘๖ - ๓ - ๒ - ๑ ทีศ่ ูนยว์ ิจยั ข้าวปทุมธานี ในปี พ.ศ. ๒๕๓๓ ปลกู คัดเลือกจนได้สายพนั ธ์ุ PTT๙๐๐๗๑ - การรบั รองพันธ์ ุ ๙๓ - ๘ - ๑ -๑ - คณะกรรมการวจิ ัยและพัฒนากรมวิชาการเกษตร มมี ติใหเ้ ป็นพนั ธ์ุรับรอง เมอื่ วนั ท่ี ๓๐ พฤษภาคม ลักษณะประจำ�พันธ ุ์ ๒๕๔๓ - เป็นขา้ วเจา้ สูงประมาณ ๑๐๔ - ๑๓๓ เซนตเิ มตร - ไมไ่ วตอ่ ชว่ งแสง - อายุเก็บเกีย่ ว ประมาณ ๑๐๔ - ๑๒๖ วนั - ทรงกอต้งั ใบสีเขียวมขี น กาบใบและปลอ้ งสีเขียว ใบธงยาว ทำ�มมุ ๔๕o กบั คอรวง รวงอยู่ใตใ้ บธง - เมลด็ ขา้ วเปลือกสีฟาง มขี น มหี างเลก็ น้อย - ระยะพกั ตวั ของเมล็ดประมาณ ๓-๔ สปั ดาห์ - เมล็ดขา้ วเปลอื ก ยาว x กว้าง x หนา = ๑๐.๕ x ๒.๔ x ๑.๙ มิลลิเมตร๓๔ - เมล็ดขา้ วกลอ้ ง ยาว x กว้าง x หนา = ๗.๖ x ๒.๑ x ๑.๗ มิลลเิ มตร
- ปริมาณอมิโลส ๑๕ - ๑๙ % - คณุ ภาพข้าวสุก นมุ่ เหนียว มีกลนิ่ หอมออ่ นผลผลิต - ประมาณ ๖๕๐ - ๗๗๔ กโิ ลกรัมตอ่ ไร่ลกั ษณะเด่น - ผลผลติ สูง - คุณภาพเมลด็ คล้ายพันธขุ์ า้ วดอกมะลิ ๑๐๕ - ต้านทานเพลย้ี กระโดดสนี ํ้าตาล และเพล้ยี กระโดดหลงั ขาว - ตา้ นทานโรคไหม้ และโรคขอบใบแหง้ข้อควรระวัง - คอ่ นข้างอ่อนแอเพลยี้ จักจั่นสเี ขยี ว โรคใบหงิก และโรคใบสีสม้พื้นที่แนะนำ� - เขตชลประทานในภาคกลาง ๓๕
๓๖
วัฒนธรรมประเพณ ี วฒั นธรรมประเพณขี ้าวภาคเหนอื ภาคเหนือมีวัฒนธรรมประเพณขี า้ วคลา้ ยกับภาคอ่ืนๆ ของไทยแตก่ ็มีความแตกตา่ งกันบา้ งในรายละเอยี ดของพิธีกรรมตามความเช่ือและตามระยะเวลาของฤดกู าลท�ำ นาซึง่ สามารถสรปุ เรียบเรียงไดด้ ังตอ่ ไปนี้ ๑.ประเพณีแฮกนา แฮกนา เปน็ พธิ กี รรมตามความเชอ่ื ทีม่ ีความหมายเดยี วกบั แรกนาในภาษาไทยภาคกลาง การแฮกนา เปน็ การเร่มิ ตน้ ลงมือท�ำ นาโดยมีวัตถปุ ระสงค์ในการบูชาแม่โพสพ เพื่อความเปน็ สริ มิ งคลและเสยี่ งทายไปในตวั ดว้ ย การแฮกนาในภาคเหนอื น้นัมที งั้ การแฮกโดยรวมและการแฮกตามขน้ั ตอนการปลูกขา้ ว โดยพธิ กี รรมในการแฮกมีรายละเอียดดงั น้ี ๓๗
๑.๑ แฮกนาโดยรวม เป็นพิธที ส่ี ำ�คญั ยง่ิ พธิ ีหนึ่งระยะเวลาท่ีนิยมจัดพธิ คี ือชว่ งกอ่ นจะเร่มิ ไถนาในฤดูกาลนนั้ พ่อนาจะประกอบพิธอี ่านการ บวงสรวงเทพารกั ษท์ ีป่ กปกั รกั ษาแดนนา พระแม่โพสพและพระแมธ่ รณี เสร็จแลว้ จะเป็นการเสยี่ งทาย เร่ิมจากการสังเกตดสู รอ้ ย สงั วาล หากเหน็ สร้อยสังวาลมคี วามยาวทายว่าปนี ี้นํ้าทา่ สมบูรณ์ดี ถ้าเหน็ สงั วาลสน้ั ทายว่านํ้าจะนอ้ ย ฝนฟา้ ไม่ตกต้องตามฤดกู าล จากน้ันจึงไปหยิบเอาเมล็ดข้าวท่ีใส่ทะนานในบริเวณพิธีมาเสี่ยงทายดูหากจ�ำ นวนเมล็ดข้าวเป็นจำ�นวนคู่ทายว่าข้าวกล้าในนาจะ ได้ผลเตม็ ที่ แต่ถ้าเปน็ จ�ำ นวนค่ีทายวา่ ขา้ วกลา้ จะไม่ให้ผลดนี กั เสี่ยงทายเสร็จจะนำ�ข้าวเปลอื กในพิธีหว่านในปรมิ ณฑลของราช วตั รนัน้ จากน้นั นำ�ต๋าแหลวไปปกั ไว้ตามมมุ กระทงนาพร้อมน�ำ ตน้ ดอก “เออื้ งหมายนา” ไปปลกู คู่กับตา๋ แหลว เพื่อสัญลักษณ์ แสดงอาณาเขต หลงั จากน้นั จะหาวนั ทีแ่ รกไถ แรกหวา่ น แรกปลกู และแรกกระทำ�อนื่ ๆ บนผนื นาจนกวา่ จะแล้วเสรจ็ กระบวนการ ๑.๒ แฮกไถ การเตรียมการแรกไถ ชาวล้านนามคี วามเชอื่ เก่ยี วกับการหันหัวของพญานาค โดยเชื่อกนั ว่าในแตล่ ะชว่ งเดือนพญานาค จะหันหวั ไปในทศิ ต่างๆ การแรกไถจะไม่ไถไปในทิศทางกับหัวพญานาค คอื ตอ้ งไถไปทางทศิ ทเ่ี ป็นหางพญานาคเท่านั้น ดงั นั้นต้องหาทศิ ทางของนาคดว้ ย คือจะต้องไม่ไถทวนหรือยอ้ นเกล็ดพญานาคประจำ�เดอื นเดจ็ ขาด ทีเ่ รียกกันวา่ “ไถเสาะเกลด็ นาค” หมายถงึ การฝนื หรอื ต้านอ�ำ นาจของพญานาคผูด้ แู ลดินและนํ้า และหากไถเสาะเกล็ดนาคเชือ่ ว่าจะทำ�ใหม้ อี ันเป็นไป เชน่ ไถหกั วัวควายที่ใชไ้ ถต่ืนกลวั คนไถไดร้ ับอันตราย ตลอดจนขา้ วกล้าเสียหายไม่สมบรู ณ์ ซึ่งอาจจะทำ�ให้การปลุกข้าวใน ฤดูนั้นประสบปัญหาหรือเกิดภัยพิบัติต่างๆแก่นาข้าวของตนเองสำ�หรับทิศที่พญานาคหันหัวตามการนับเดือนของล้านนาคือ (เดอื นทางลา้ นนาจะเร็วกว่าภาคกลางไป ๒ เดือน) ๓๘
๓๙
เดอื น ๑ - ๓ พญานาคหนั หัวไปทิศใต้ เดือน ๔ - ๖ พญานาคหันหัวไปทิศตะวนั ตก เดอื น ๗ - ๙ พญานาคหันหวั ไปทศิ เหนอื เดอื น ๑๐ - ๑๒ พญานาคหันหัวไปทศิ ตะวันออก การแฮกไถเปน็ การใช้ของมีคม คอื ผาลไถไปวอนไวกรดี ลึก บนผืนดินทพี่ ญานาคดแู ลอยู่ ดังนนั้ จงึ ต้องให้ความส�ำ คัญ และปฏิบัติตอ่ พญานาคอยา่ งนอบนอ้ ม ๑.๓ แฮกหว่าน กอ่ นจะนำ�เมล็ดข้าวพันธุ์ไปหวา่ น จะตอ้ งมีการหาวันทีเ่ หมาะสมกับการหวา่ นตามตำ�รา ไดแ้ ก่ วนั จันทร์ วันพุธ วันพฤหัสบดี และวันศกุ ร์ ในวันเหลา่ นวี้ ันพุธ ถือเป็นวันดที ีส่ ดุ รองลงมาคอื วันศกุ รส์ �ำ หรบั การหว่านท่านให้หนั หนา้ ไปทิศตะวนั ตก แล้วหลับตาหว่านสกั ๔ - ๕ กำ�มือ จากนั้นกค็ ่อยลมื ตาหว่านตอ่ ไปด้วยถอื เคล็ดทีว่ า่ สตั วเ์ ป็นศัตรูขา้ วพืชจะไมส่ ามารถมองเห็น ข้าวกลา้ ท่หี วา่ นและจะไมม่ ารบกวน เมอ่ื หวา่ นเสร็จจะประกอบพิธี “วางควักธรณ”ี คอื วางกระทงใบตองทบ่ี รรจุ “เข้าปน้ั กล้วย หน่อย” (ข้าวเหนียวหน่งึ ก้อน กลว้ ยสกุ หนึ่งลกู ) เพอื่ บอกกล่าวพระแมธ่ รณเี ป็นการฝากฝังใหด้ แู ลตน้ กลา้ ใหเ้ จรญิ งอกงามดีไม่มี ศตั รพู ชื มาเบียดเบียน จากนน้ั อาจน�ำ ต้นเออื้ งหมายนามาปกั เพอ่ื แสดงเคร่อื งหมายบอกความเปน็ เจ้าของ พร้อมปกั ตา๋ แหลว เพือ่ ป้องกันศตั รูพืชและนอกจากนัน้ ยงั พบว่ามกี ารน�ำ เปลอื กไข่ มาครอบปลายไม่เรยี วทป่ี ักไว้ โดยเชื่อวา่ จะสามารถปอ้ งกันศตั รู พืชประเภทเพลย้ี ไดด้ ว้ ย๔๐
๑.๔ แฮกหลก หลังจากเพระกล้าในแปลงระยะหน่ึง ประมาณ ๓๐ - ๔๐ วัน ชาวนาจะ“หลกกล้า” คอื ถอนตน้ กลา้ ไปปลกู ทงั้ น้กี ารถอนกต็ ้องตรวจหาวันทด่ี ีท่ีสุด ซ่งึ ตามตำ�ราระบวุ ่าควรถอนกลา้ ในวนั องั คาร วนั พธุ และวนั พฤหสั บดี ๑.๕ แฮกปลกู ตามความเช่ือดังเดิมสำ�หรับชาวล้านนาได้ให้ความสำ�คัญพิธีกรรมในการแฮกปลูกเริ่มต้นที่การหาวันดีสำ�หรับการปลูกโดยทว่ั ไปถือเอาวนั อังคาร วนั พฤหัสบดี วนั ศกุ ร์ และวันเสาร์ ท้ังน้ีจะหลกี เลยี่ งวนั ท่เี รยี กวา่ “วันถูกปากนก ปากจกั แตน” และ“วันผีตามอย” วันถกู ปากนก ปากจกั แตน มีความหมายถอื เป็นวันท่ีไม่สมพงศ์กับปากนกและตกั๊ แตน ซ่งึ เป็นตวั แทนหรือสัญลกั ษณ์ของสตั รพู ืช วนั ดังกล่าวได้แก่ วันข้นึ ๕ ๖ ๗ ๙ ๑๒ ค่ําและแรม ๒ ๖ ๑๐ ๑๔ คาํ่ ของทุกเดอื น ส่วนวนั ผีตามอยถือเอาวนั ขน้ึ ๑ ๒ ๖ ๗ ๙ ๑๐ ๑๑ ๑๒ ๑๓ ๑๔ ค่าํ และแรม ๑ ๒ ๕ ๗ ๘ ๑๐ ๑๕ คา่ํ เชือ่ กันว่าหากแรกปลกู ขา้ วในวันดงั กล่าวผตี ามอยจะมาเบยี ดเบียนใหต้ ้นกล้าได้รบั ความเสียหาย ดา้ นพธิ ีกรรมในการแฮกปลูกจะประกอบพธิ เี ซน่ สังเวยเหมือนแฮกนาโดยรวมเพยี งแตไ่ ม้สำ�หรับเปน็ ท่แี ขวนสังวาลทีเ่ รียกกนั ว่า “คนั ขา้ วแฮก” จะตอ้ งเปน็ ไมท้ ี่ขวัญขา้ วสถติ ย์อยู่ซึ่งในแตล่ ะปีขวัญข้าวจะสถิตยใ์ นตน้ ไมต้ า่ งๆ ตามวนั สังขานต์ลอง (มหาสงกรานต)์ ในแต่ละปี ดังนส้ี งั ขานตล์ อง วนั อาทติ ย์ ขวัญขา้ วอยไู่ ม้ไผส่ งั ขานตล์ องวันจนั ทร์ ขวัญขา้ วอยไู่ ม้มะเดือสงั ขานตล์ อง วันอังคาร ขญั ขา้ วอยู่ไม้ซางสงั ขานต์ลอง วนั พธุ ขวัญขา้ วอยู่ไม้ขอ่ ยสังขานตล์ องวันพฤหสั บดี ขวัญข้าวอยไู่ ม้ทองกวางสังขานต์ลอง วันศกุ ร์ ขวญั ข้าวอย่ไู ม้พุทราสงั ขานต์ลอง วันเสาร์ ขวัญขา้ วอยู่ไม้รวกเมือ่ประกอบพธิ เี ซ่นสังเวยแลว้ พอ่ นาจะปลูกข้าวเอาฤกษ์กอ่ นโดยจะเลือกมุมกระทงนาท่เี คยหวา่ นข้าวแฮก ขณะลงมอื ปลูกจะกลา่ วคำ�โฉลกก�ำ กบั ลงไป เช่น ปลกู ต้นท่ี ๑ ปลูกหอ้ื งวั แม่ลาย ปลูกตน้ ที่ ๒ ปลูกให้ความแมว่ ้อง ปลูกต้นที่ ๓ ปลูกข้าวต้นนี้เปิ้นเสยี กูปลกู ตน้ ท่ี ๔ ปลูกขา้ วตน้ นเ้ี ปนิ้ ฮา้ ยกดู ี หรือ ใชค้ ำ�โฉลกว่า “สุข-ทกุ ข”์ และพยานใหเ้ หลือตน้ สดุ ท้ายว่า “สขุ ” ๔๑
๑.๖ แฮกเก่ียวขา้ ว ในฤดเู กบ็ เก่ียวขา้ ว ชว่ งนี้ชาวนาภาคเหนือจะเอาเคร่ืองบูชาแมโ่ พสพซึ่งมี กระจก หวี แปง้ นํ้ามันทาผม ปลาย่าง เนอ้ื ยาง หมาก เมีย่ ง บหุ รี่ ธูปเทยี น ดอกไม้ ของหอมน�ำ ไปบชู าแม่โพสพที่แท่นนา จากนนั้ ชาวนาจะหาวันดีก่อนปลอ่ ยใหน้ าแห้งเพ่อื งา่ ย ต่อการเก็บเก่ียว แลว้ ขอขมาแม่โพสพอีกคร้ังโดยของเซน่ ประกอบดว้ ย ข้าว ๑ ปัน้ กลว้ ย ๑ ลูก หมากเมีย่ ง บุหร่ี นํา้ ดม่ื แล้วอธษิ ฐานขอเชญิ แม่โพสพไปอยู่ทยี่ ุ้งฉางกอ่ น แลว้ จงึ ลงมือเกีย่ วข้าว ๒. ประเพณขี อฝน ความเช่ือของชาวภาคเหนอื ว่าเทวดาสามารถบนั ดาลให้ฝนตกได้ และเทวดาผมู้ ีหน้าท่ดี แู ลรับผิดชอบในเรอ่ื งนโ้ี ดยตรง เปน็ หนา้ ทขี่ อง “ปชั ชุนนเทวบตุ ร” ส่วนเรอื่ งเมฆเป็นหน้าที่ของ “วลาหกเทวบตุ ร” นอกจากเทวบุตรทงั้ ๒ องค์นแ้ี ลว้ ชาวล้าน นายังนบั ถือเทวดาองค์อื่นอกี เชน่ พญาอนิ ทร์ ท้าวทั้ง ๔ แม่ธรณี พญาแถนและพระอุปคตุ ในอดตี การประกอบพธิ กี รรมขอฝนจะ รว่ มมือกนั ทั้งฝา่ ยพระสงฆ์และฝ่ายฆราวาส ซงึ่ พธิ กี รรมขอฝนมีหลายรูปแบบแตกตา่ งกนั ออกดงั ต่อไป ๒.๑ การแห่นางแมวขอฝน ประเพณีแห่นางแมวของภาคเหนือ เหมอื นกับภาคอืน่ ๆการท�ำ พธิ นี น้ั จะจบั แมวใส่ชะลอมแห่ไปทุกบ้าน ขบวนแหจ่ ะมี การตฆี อ้ ง กลองใหเ้ สยี งอึกทึกคึกคร้นื ผ่านบา้ นใครเจ้าของบา้ นกจ็ ะเอานาํ้ สาดนางแมวเพอ่ื ใหน้ างแมวร้อง ย่ิงท�ำ ใหน้ างแมวรอ้ ง ดังมากเทา่ ไหร่ยิ่งดี๔๒
๒.๒ การแห่ปลาเพือ่ ขอฝน จะแห่ปลาทีท่ �ำ จากไมแ้ กะสลกั แกะเปน็ รปู ปลาตะเพยี ง ๒ ตวั ไมท้ ี่ใช้แกะรปู ปลาตอ้ งเปน็ ไมข้ อนไหลเวลานํา้ นอง(นา้ํ ท่วม) และต้องเปน็ ไม้ทีไ่ หลมาในลักษณะต้ังข้ึน การแหป่ ลาจะเอาขมน้ิ ส้มปอ่ ยทีช่ าวบ้านเอามารวมกนั เทลงในอา่ งใหญ่ใส่หอยปู ดอกบัวลงไปดว้ ย และจะแห่ไปตามบา้ นต่างๆ แล้ววกไปยงั วัดหรอื สถานที่ จดั ไว้สำ�หรับฟงั เทศน์ ท่ชี าวเหนือเรยี กวา่“ฟังธรรมปลา” ตอ้ งฟังกลางแจ้งมีการขัดราชวตั รประดับดว้ ยต้นกลว้ ย ตน้ อ้อยสำ�หรบั วางน้ําพระพุทธมนต์ แล้วเอาถังวางหน้าพระพุทธมนตน์ ้ัน พระสงฆจ์ ะแสดงธรรมเทศนาหรือที่เรียกวา่ “ธรรมปลาชอ่ น” เม่ือฟังเสรจ็ มกี ารประพรมนา้ํ มนตเ์ ป็นเสรจ็ พิธี ๒.๓ การแห่พระเจา้ ฝนแสนหา่ พระเจา้ ฝนแสนห่า เปน็ พระพุทธรูปปางมารวิชยั แบบเชียงแสนเข้าใจว่าคงมกี ารสร้างพระเจา้ ฝนแสนหาไวห้ ลายแหง่ เพอ่ืใช้ในพิธีขอฝนโดยการแห่ไปในที่ต่างๆ ตลอดทางชาวบา้ นจะเอาขมน้ิ ส้มปอ่ ยมาสรงองค์พระเมื่อแห่เสร็จกน็ �ำ กลับมาคืนวัดต้งั ไว้ให้ประชาชนมาสรงนํ้าตามประเพณี ท่จี งั หวดั เชียงใหม่ เมอ่ื มีการแห่ขอฝนกจ็ ะแห่สรงน้ําพระพทุ ธสิหิงค์ ท่ีวดั พระสิงห์ด้วยเพราะเชื่อในพุทธานุภาพวา่ จะดลบันดาลใหฝ้ นตกตามฤดูกาล ๒.๔ การจุดบอ้ งไฟ ชาวเหนอื เรียกว่า “จบิ ้องไฟ” ประเพณนี ีม้ ีมาตัง้ แตส่ มยั สุโขทยั และเป็นประเพณีขอฝนอย่างหนึ่งของภาคเหนือในจงั หวัดเชยี งใหม่ ลำ�ปาง ลำ�พูน แพร่ นา่ นและอุตรดิตถ์ โดยเร่ิมตงั้ แต่เดอื น ๙ แรม ๑๔ - ๑๕ ค่าํ รวม ๒ วนั การจุดตัง้ แต่บา่ ยจนคํ่า ก่อนมีการจุดบอ้ งไฟจะมกี ารแหแ่ หนกันอย่างสนุกสนานและมกี ารกล่าวร�ำ น�ำ “ร�ำ บอกไฟ” ๔๓
๔๔
๓. ประเพณีทำ�ขวญั ข้าวตม้ ประเพณีทำ�ขวัญข้าวต้มจะทำ�เมื่อข้าวกล้าโตพอที่จะปักดำ�แล้วก่อนการปักดำ�ข้าวจะนำ�ต้นกล้าไปปลูกในบริเวณท่ีทำ�พิธีแรกนาจำ�นวน ๙ กอ เป็นการเอาฤกษ์กอ่ น เคร่ืองบูชาได้แกก่ ลว้ ย ไข่ นํา้ ส้มป่อย ขา้ วตอก และดอกไม้ ใส่กระทงน�ำ ไปวางไว้บนแทน่ บอกแม่พระธรณีวา่ “วนั น้วี นั ดี ขอสูมาคารวะ” แลว้ ท�ำ การปลูกข้าวจำ�นวน ๙ กอ ระหวา่ งที่ปลูกจะต้องกล่าวค�ำ ไตรสรณะคมไปจนปลกู ข้าวครบ ๙ กอเป็นเสร็จพธิ ี โดยใหผ้ ู้ชายทเี่ ป็นหัวหนา้ ครอบครวั เป็นผ้ทู �ำ พธิ ีบางแหง่ ใหผ้ ู้หญิง (แม่บา้ น)นำ�เคร่อื งคาวหวาน หมากพลู ดอกไม้ธูปเทยี นและดินไถตอนแรกนาไปไวบ้ รเิ วณหัวนา แลว้ จดุ ธูปไหวแ้ มพ่ ระธรณีบอกกล่าว“ขอให้ข้าวเจรญิ เตบิ โตดงี ามใหไ้ ดก้ นิ นานๆ” ๔. ประเพณีบญุ กองข้าวเปลือก ประเพณีน้ีชาวบ้านจะนำ�ข้าวเปลือกมารวมกันไว้ที่บริเวณงานประดับกองข้าวด้วยข้าวตอกดอกไม้แล้วนำ�ด้ายสายสญิ จน์ ๙ เส้นไปลอ้ มกองขา้ วเปลอื กไว้ นมิ นตพ์ ระสงฆส์ วดมนตท์ �ำ บญุ กองขา้ วเปลือกกลางคนื มมี หรสพ ตอนเช้าทำ�บญุ น�ำ ขา้ วที่รวบรวมไว้ไปขายนำ�เงินท่ีได้มอบใหว้ ัด ๕. ประเพณสี ูข่ วญั ควายหรอื ฮ้องขวัญควาย การสขู่ วญั ควายเปน็ การเตอื นสติให้คนมีความกตญั ญกู ตเวทีร�ำ ลกึ ถึงบญุ คณุ ของผูท้ ่ีได้ชว่ ยเหลอื เก้อื กลู แกต่ น ตอบแทนบุญคุณท่ีผู้อื่นได้ท�ำ แกต่ น อยา่ งเช่น “ควาย” คนได้ใชแ้ รงงานในการไถคราดพลิกแผน่ ดินอันเป็นของหนกั ให้ เพื่อหวา่ นเพาะปลูกขา้ ว ปลูกพืชผกั ในพน้ื แผ่นดินจนคนไดร้ บั ผลประโยชน์จากแรงงานของควายคือไดข้ ้าวมาสำ�หรับบริโภค เล้ยี งชีวิตและครอบครวัและบางทีได้ดุด่าเฆี่ยนตีควายซึ่งทำ�ไม่ได้ดั่งใจท้ังท่ีกำ�ลังมีแอกต่างคออยู่หนักสนหนักเหน่ือยแสนเหน่ือยชาวนาจึงมีการหาวิธีที่จะ ๔๕
๔๖
ตอบแทนบุญคณุ ของควายขน้ึ โดยวธิ ี “สขู่ วญั ควาย” ขออโหสกิ รรมตอ่ ควาย โดยชาวนาจะทำ�บายศรี ๑ ชุด ขนม ขา้ วต้ม เหลา้ ไหไกค่ ู่ ไขต่ ม้ ๑ คู่ เอย้ี งหมายนา ๑ ต้น ขา้ วตอกดอกไม้ หมากพลู ด้ายสายสญิ จน์ ผกู เขาควาย หญา้ อย่างดี ๑ หาบขา้ วเปลอื ก ข้าวสาร ถวั่ งา กล้วยสกุ บางแห่งจะมีสะตวง (กระทงท่ีทำ�จากกาบกลว้ ย) ๑ อนั มีขันปอู่ าจารย์ ผ้าขาว ผ้าแดง เงนิ๑๐ สลงึ ปัจจบุ นั ใส่ ๑๒ บาท โดยมีปูอ่ าจารยผ์ ทู้ ำ�พิธสี ขู่ วญั ควาย คลา้ ยกับพิธีฮอ้ งขวญั หรือสขู่ วญั ของคนเมอื งเหนอื เมื่อสวดจบจงึ ปอ้ นข้าว และหญา้ ให้ควาย เอาด้วยผูกเขาและกลา่ วขอขมาลาโทษทไี่ ด้ล่วงเกิน ดดุ ่า เฆย่ี นตี เป็นอนั เสรจ็ พิธี ๖. ประเพณที ำ�ขวัญขา้ วแมโ่ พสพ การทำ�ขวญั แม่โพสพทางภาคเหนอื จะมีพธิ ีคลา้ ยๆกนั แถบจังหวัดพษิ ณโุ ลก จะท�ำ พิธีท�ำ ขวัญแม่โพสพในช่วงเดือน ๑๐ถึงเดอื น ๑๒ ซ่ึงเป็นช่วงที่ข้าวเริม่ ต้งั ท้อง เมอ่ื ถึงวนั แรม ๑๕ คํา่ เดือน ๑๐ ชาวนา โดยนำ�ชะลอมขนาดเลก็ บรรจุบายศรี กล้วยสขุ มันต้ม เผือกตม้ ดอกไม้ ๓ ดอก เทยี น ๒ เล่ม ขา้ วสกุ ปากหม้อ ๑ ปน้ั แป้งหอม นาํ้ อบ นํา้ สะอาด ส้ม ขนม แลว้ นำ�ไมไ้ ผย่ าวประมาณ ๑ วา ปักในนาข้าว ผูกชะลอมทบ่ี รรจเุ ครอ่ื งเซ่นหนั ไปทางทศิ ตะวนั ออกน�ำ ผา้ นงุ่ วางใกลๆ้ แล้วจุดธปู อญั เชญิ แม่โพสพว่าวันน้ีเปน็ วันลาภ วนั ดี เชญิ แมโ่ พสพมาทานขนม ส้มสกู ลูกไม้ และอย่าได้มีโรคภยั ขอให้ได้ข้าวดีๆ ทำ�น้อยได้มากให้ขา้ วงอกออกรวงดีแลว้ จงึ ลาแมโ่ พสพ ๔๗
๔๘
๔๙
วฒั นธรรมประเพณีขา้ วภาคกลาง ๑. ประเพณแี ห่นางแมวขอฝน ประเพณีแห่นางแมวเปน็ พธิ กี รรมขอฝนของเกษตรกรไทย เม่อื ใกล้ฤดเู พาะปลกู แล้วแต่ฝนยังไม่มาหรือมาลา่ ชา้ กว่า ปกตสิ ง่ ผลให้ข้าวในนา พืชในสวนขาดนา้ํ หลอ่ เล้ียงให้ผลผลติ ไม่ไดเ้ ตม็ ทีช่ าวนา ชาวไร่ก็จะจัดพธิ แี หน่ างแมวขอฝนทที่ �ำ สบื ต่อกนั มาด้วยความเชือ่ ทีว่ ่า หากท�ำ พิธีแหน่ างแมวแลว้ อกี ไมช่ า้ ฝนก็จะตกลงมาสมยั โบราณน้ันเช่อื กันวา่ ท่ฝี นฟา้ ไม่ตกต้องตามฤดูกาล เกดิ ความแหง้ แล้งไปท่วั น้ันมีอยู่หลายสาเหตุ เช่น ดินฟา้ อากาศแปรปรวน ผคู้ นยอ่ หยอ่ นศีลธรรม ผ้ปู กครองไม่อยใู่ นทศพศิ ราชธรรมและท่ีใชแ้ มวแหเ่ พ่อื ขอฝนน้นั ก็มาจากความเช่อื กนั ว่าแมวเปน็ สตั ว์ทีก่ ลัวฝน กลวั นา้ํ หากฝนตกเมอื่ ใดแมวจะรอ้ ง คนโบราณถอื เคล็ดวา่ ถ้าแมวร้องแสดงว่าฝนก�ำ ลงั จะตกบา้ งกเ็ ชอ่ื ว่า แมวน้นั เป็นตวั แทนของความแหง้ แลง้ หากเมื่อใดแมวถูกสาดน้ําจนเปียกปอนก็เท่ากับเป็นการขับไล่ความแห้งแล้งออกไปจากเมืองเม่ือบ้านเมืองเกิดความแห้ง แล้งผดิ ธรรมชาติ จึงใช้กลอบุ ายใหแ้ มวร้องออกมาด้วยการน�ำ แมวมาใสก่ ระบงุ หรือตะกร้าแลว้ แหไ่ ปรอบๆ หากขบวนแห่ผ่าน หน้าบ้านใครก็ให้สาดน้ําใส่แมวเพื่อให้แมวร้องออกมาบ้างก็เชื่อว่าแมวเป็นสัตว์ที่มีอำ�นาจลึกลับสามารถเรียกฝนได้ด้วยเหตุนี้ เมื่อฟา้ ฝนไมต่ กตอ้ งตามฤดูกาล เกษตรกรก็จะนัดหมายเตรียมจัดพธิ แี ห่นางแมวขน้ึ โดยคัดเลือกแมวลักษณะดสี ายพันธุส์ สี วาด เพศเมยี ๑ – ๓ ตัว ใส่กระบงุ หรอื ตะกรา้ ออกแห่ไปรอบๆ หมบู่ ้าน ฝนก็จะตกลงมาภายใน ๓ วัน ๗ วนั สาเหตุท่ตี อ้ งเลือกแมวสี สวาดกเ็ พราะคนโบราณมองว่าขนสีเทาคล้ายกบั สีเมฆฝน บางแหง่ อาจจะใชแ้ มวด�ำ แทนในระหว่างทีแ่ หน่ างแมวจะมีคนท�ำ หนา้ ทรี่ ้องเพลงเซงิ้ ตเี กราะเคาะไมเ้ พอื่ ใหเ้ กิดจังหวะ สนุกสนานไปดว้ ย เนื้อหาการเซิ้งกจ็ ะบรรยายถงึ ความแหง้ แล้ง และอ้อนวอนให้ฝนตกลงมาขบวนแหน่ างแมวจะเคล่อื นไปทวั่ ทกุ หลงั คาเรือน โดยมีกตกิ าร่วมกนั วา่ ขบวนแหน่ างแมวไปถึงบ้านใคร บ้านนนั้ จะตอ้ งเอาน้าํ สาดจะเห็นไดว้ า่ ในอดตี มนุษยต์ ้องพง่ึ พา ธรรมชาติอยเู่ สมอในการเพาะปลูก เนอ่ื งจากสังคมไทยเป็นสังคมเกษตรกรรมทีต่ อ้ งอาศยั นา้ํ ฝนเป็นปจั จยั หลกั ในการเพาะปลกู๕๐
Search