Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore การจัดประสบการณ์เพื่อการเรียนรู้สำหรับอาชีวศึกษาเกษตร

การจัดประสบการณ์เพื่อการเรียนรู้สำหรับอาชีวศึกษาเกษตร

Published by lawanster, 2021-12-31 23:52:25

Description: การจัดประสบการณ์เพื่อการเรียนรู้สำหรับอาชีวศึกษาเกษตร

Search

Read the Text Version

การสรา้ งประสบการณเ์ พอ่ื การเรยี นรู้ สาหรบั การอาชีวศกึ ษาเกษตร Construction of the Learning Experience for Vocational Education in Agriculture คณะผเู้ รยี บเรยี ง นิตยา เกตุแกว้ เพญ็ ศรี เศรษฐชยั ยุวดี อ้ยุ ดา เยาวมาลย์ ดิษโสภา ลักษณ์ อนิ ทร์นุน่ วนั เพ็ญ สติ ะพงศ์ วลั ภา ชวี าภิสัณห์ สราวุธ เย็นเอง อภิญญา ปานโชติ อมรศรี ศรีอนิ ทร์ สถาบันการอาชีวศกึ ษาเกษตรภาคใต้ สานักงานคณะกรรมการการอาชวี ศึกษา กระทรวงศึกษาธกิ าร 2562

คานา ผ้อู านวยการสถาบันการอาชวี ศกึ ษาเกษตรภาคใต้ สถาบันการอาชีวศึกษาเกษตรภาคใต้ จัดการศึกษาอาชีวศึกษาระดับปริญญาตรี หลักสูตร เทคโนโลยีบัณฑิต การที่จะให้บรรลุถึงวัตถุประสงค์การจัดการศึกษาอาชีวศึกษาเกษตรตามหลักสูตร จาเป็นท่ีจะต้องพัฒนาผู้สอนให้มีความสามารถในการถ่ายทอดความรู้ด้วยการจัดประสบการณ์เพื่อ การเรียนรู้ (Learning Experience; L.E.) สถาบันฯ จึงได้จัดต้ัง L.E. CORPS ขึ้น ซึ่งเป็นครูจาก วิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยีและวิทยาลัยประมง ในสังกัดสถาบันฯที่เปน็ อาสาสมัคร จานวน 10 คน ท่ีผ่านการพัฒนาการอบรมเชิงปฏิบัติการ “การจัดประสบการณ์เพื่อการเรียนรู้” จาก ผศ.ดร.ลาวณั ย์ วิจารณ์ ภาควิชาวิศวกรรมสิ่งแวดล้อม วิทยาลัยวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต ผู้เรียบเรียง หนังสือ “R&D: L.E อาชวี ศกึ ษาเกษตรแนวทางสกู่ ารปฏบิ ตั ิ” หลังการฝึกอบรม L.E. CORPS ของสถาบันฯ ได้ดาเนินการทดลองการจัดประสบการณ์เพื่อ การเรียนรู้เร่ือง “การเพาะเลี้ยงไรแดงเพื่อการค้า” เม่ือวันท่ี 3-4 ธันวาคม พ.ศ. 2561 ณ วิทยาลัย เกษตรและเทคโนโลยนี ครศรธี รรมราช และจัดทาเอกสารประกอบการอบรมเชิงปฏบิ ัตกิ าร “การสรา้ ง ประสบการณ์เพื่อการเรียนรู้สาหรับอาชีวศึกษาเกษตร” ฉบับน้ีขึ้นมา เพ่ือใช้เป็นแนวทางสาหรับครู และคณาจารย์ในหลักสูตรปริญญาตรีหลักสูตรเทคโนโลยีบัณฑิต ท่ีมีความสนใจในการพัฒนา ความสามารถในด้านการวิจัยและพัฒนาทางการศึกษาเพ่ือสร้างวิธีการสอนที่มีประสิทธิภาพ เป็น ผลงานทางวชิ าการ และจดั การเรียนการสอนให้เป็นหลกั สตู รฐานสมรรถนะอยา่ งแท้จรงิ สถาบันฯ ขอขอบพระคุณ ผศ.ดร.ลาวัณย์ วิจารณ์ ผศ.ดร.ศักดิ์ศรี รักไทย L.E. CORPS และขออทุ ศิ อานสิ งสจ์ ากหนังสอื เลม่ นแ้ี ด่ ดร.โสภณ ธนะมยั และ คณุ อษุ า เลิศฤทธิ์ ด้วยความนับถอื วศิ วะ คงแกว้ ผู้อานวยการสถาบันการอาชีวศกึ ษาเกษตรภาคใต้

สารบญั หน้า เกรนิ่ นา 1 ส่วนท่ี 1 ประสบการณเ์ พื่อการเรียนรู้ 3 3 ความหมายของประสบการณ์เพือ่ การเรียนรู้ 3 ความสาคัญของประสบการณ์เพ่ือการเรียนรู้ 3 องค์ประกอบของประสบการณเ์ พื่อการเรียนรู้ 4 6 เน้ือหาความรู้ 9 วตั ถปุ ระสงค์การสอน 14 วัตถปุ ระสงค์เชิงพฤติกรรม 19 สถานการณ์การเรยี นรู้ 20 ส่อื ช่วยสอน 24 การประเมนิ ผล 24 ส่วนที่ 2 การสรา้ งประสบการณเ์ พอื่ การเรียนรู้ 27 ขั้นตอนการสรา้ งประสบการณ์เพ่ือการเรียนรู้ 36 ตวั อย่างประสบการณเ์ พื่อการเรียนรู้ ส่วนท่ี 3 การออกแบบการวิจัยและพัฒนาประสบการณ์เพ่ือการเรียนร้อู าชีวศึกษา 36 เกษตร (R&D; L.E) 36 ความหมายการวิจัยและพฒั นา 37 ความหมายของนวัตกรรม 37 หลกั การวิจยั และพัฒนา 38 กระบวนการวจิ ัยและพัฒนา 41 กระบวนการวจิ ัยและพัฒนาประสบการณ์เพื่อการเรยี นรู้อาชวี ศกึ ษาเกษตร 47 ตวั อย่างการวิจัยและพัฒนาประสบการณ์เพ่ือการเรยี นรู้อาชีวศึกษาเกษตร บรรณานกุ รม

1 เกร่นิ นำ การทีผ่ สู้ อนเครือขา่ ย L.E. ภาคใต้ (L.E. CORPS - กองกาลัง L.E.) ไดร้ ว่ มกนั เขียนและตั้งช่ือ เอกสารนีว้ ่า“กำรสรำ้ งประสบกำรณเ์ พ่ือกำรเรียนรู้ สำหรบั กำรอำชีวศึกษำเกษตร Construction of the Learning Experience for Vocational Education in Agriculture” เพ่อื สือ่ ถงึ ผู้สอน ทม่ี ีอดุ มการณ์สอนลกู ศิษยใ์ หเ้ กดิ การเรียนรู้อยา่ งแท้จรงิ กองกาลัง L.E. (L.E. CORPS ) คือ ผู้สอนเครือข่ายอุดมการณ์ L.E. ท่ีได้รับการถ่ายทอด ความรู้ “R&D: L.E. อาชีวศึกษาเกษตร:แนวทางสู่การปฏิบัติ”จาก ผศ.ดร.ลาวัณย์ วิจารณ์ มหาวิทยาลัยรังสิต, ผศ. ดร. ศักดิ์ศรี รักไทย สถาบันเทคโนโลยีปทุมวัน โดยมีท่านอาจารย์ ดร. โสภณ ธนะมัย เป็นท่ีปรึกษา และได้กรุณาถ่ายทอดความรู้ปรัชญาทางการศึกษาท่ีเป็นแก่นแท้ของ อาชีวศึกษาเกษตรด้วยความเมตตากับกองกาลัง L.E. ตลอดมา และท่าน ผอ.วิศวะ คงแก้ว ผู้อานวยการสถาบันการอาชีวศึกษาเกษตรภาคใต้ คอยสนับสนุน รวมถึงผู้ท่ีเก่ียวข้องท่ีไม่ได้กล่าวถงึ ล้วนเป็นผู้ท่ีมีความทุ่มเท เสียสละ และมีวิสัยทัศน์ในการพัฒนาผู้สอนให้มีความสามารถในการ เรยี นรู้ ประสบการณ์เพ่ือการเรียนรู้(Learning Experience : L.E.) คือ “ รูปแบบการจัดการเรียน การสอน”รูปแบบหนึ่งที่มุ่งเน้นไปที่ผู้เรียน โดยเน้นปฏิสัมพันธ์ของผู้เรียนกับกิจกรรมการเรียนรู้ใน เน้ือหาความรู้ท่ีผู้สอนสร้างขึ้นจนผู้เรียนเกิดการเปล่ียนแปลงพฤติกรรมตามวัตถุประสงค์ท่ีผู้สอน กาหนดไว้ มีหลักการท่ีสาคัญ คือ “จะต้องไม่มีผู้เรียนคนใดเลยที่ไม่ผ่านการเรียนรู้ตามวัตถุประสงค์ การสอน” (ลาวณั ย,์ 2561) “หลักคิด” เพ่ือสร้างสถานการณ์ให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ ดร.โสภณ ธนะมัย ได้ใช้คาว่า “ถอดรหสั คิด (Think: An Introductory Analysis)” ซึ่งอธิบายกระบวนการคิดไว้ดังนี้ ความคิดเกิด จากการเชื่อมโยงเอาข้อเท็จจริงที่รู้มาก่อนกับข้อเท็จจริงที่พบหรือได้รับมาใหม่ “ถอดรหัสคิด” มี ข้อความหลกั อยู่ 3 ข้อความ คือ ขอ้ เท็จจริงทร่ี ู้ อกั ษรย่อ เป็น F2 หรอื Fact 2 หมายถึงข้อเทจ็ จรงิ ท่ีมี อยู่ก่อนแล้ว กับข้อเท็จจริงเหตุให้คิด กาหนดด้วยตัวอักษรย่อ เป็น F1 หรือ Fact 1 หมายถึง ข้อเท็จจริงที่พบหรือได้รับ ซ่ึงเมื่อนาข้อเท็จจริงทั้งสองประการมาโยงหรือมาผูกกัน เกิดเป็น “ความคิด”ในใจเกิดขน้ึ (ใช้คายอ่ ว่า T หรือ Thought ) การสร้างประสบการณ์เพื่อการเรียนรู้ ประกอบด้วย 6 ขั้นตอน ได้แก่ ขั้นท่ี 1 วิเคราะห์ และเรยี บเรียงเนอื้ หาความรู้ ขั้นท่ี 2 กาหนดวตั ถปุ ระสงคก์ ารสอน ขั้นที่ 3 กาหนดวตั ถปุ ระสงค์เชิง พฤติกรรม ข้ันท่ี 4 กาหนดสถานการณ์การเรียนรู้ ขั้นที่ 5 กาหนดสื่อช่วยสอน และขั้นที่ 6 กาหนดการประเมินผล การวิจัยและพัฒนา (Research and Development; R&D) เป็นการวิจัยรูปแบบหน่ึงท่ี มุ่งพัฒนานวัตกรรมในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง โดยต้องมีการนานวัตกรรมที่สร้างข้ึนน้ัน ไปทดลองใช้และ ทดสอบว่ามีประสิทธิภาพ จนนาไปสกู่ ารใชป้ ระโยชน์ได้จริง ซึง่ ผ้สู อนจะตอ้ งเรียนรู้ตามหลักการวิจัย และพัฒนา โดย ผศ.ดร.ลาวัณย์ วิจารณ์ ได้นาเอาคากล่าวของ ดร. โสภณ ธนะมัย เขียนไว้ใน หนงั สอื R&D: L.E. อาชวี ศึกษาเกษตร แนวทางสูก่ ารปฏบิ ตั ิ ไดก้ ล่าวไว้ว่า หลักการวิจยั และพัฒนา คือ หลักหมายถึงเครื่องยึดเหน่ียว สาหรับ R&D มีหลักสาคัญอยู่ 3 ประการ ได้แก่ 1) ผลผลิต

2 ของการวจิ ยั (Output) ตอ้ งเปน็ นวัตกรรมทถ่ี ูกพัฒนาข้ึนมา 2) ผลลัพธข์ องการวิจัย (Outcome) คือ การใช้ประโยชน์จริงของผลผลิตของการวิจัย (Output) และ 3) การทดลองใช้และทดสอบ ประสิทธิภาพของนวัตกรรมต้องอิงแบบการทดลอง สาหรับข้ันตอนของกระบวนการ R&D ประสบการณ์เพ่ือการเรียนรู้อาชีวศึกษาเกษตร ยึดหลักกระบวนการ R&D ของ ดร.โสภณ ธนะมัย แต่ได้ปรับเปล่ียนจากเดิมซึ่งต้องมีการกาหนดโจทย์การวิจัยซึ่งเป็นข้ันตอนแรก เปล่ียนเป็น 4 ข้นั ตอน ดังนี้ ขน้ั ท่ี 1 สรา้ งนวัตกรรม ข้นั ที่ 2 ทดลองใช้ตารางประสบการณเ์ พ่ือการเรยี นรู้ ข้ันท่ี 3 ทดสอบความแตกต่างของคะแนนจากการทดลอง และขั้นท่ี 4 การเผยแพร่ ก่อให้เกิดประโยชน์ จากนวัตกรรม คอื ตารางประสบการณ์เพ่อื การเรียนรู้ทไ่ี ด้สร้างข้นึ มา กระบวนการวิจยั และพฒั นาประสบการณ์เพ่ือการเรียนรู้อาชีวศึกษาเกษตร เปน็ รูปแบบการ จัดการเรียนการสอนที่ผู้สอนสร้างข้ึน เป็นสิ่งใหม่สาหรับการจัดการเรียนการสอน ย่อมต้องมีการ ปรับปรุงหลังจากใช้จัดการเรียนการสอนกับกลุ่มผู้เรียนกลุ่มหน่ึงไปแล้ว เพื่อนาไปใช้กับกลุ่มใหม่ จึงเห็นได้ว่าการจัดประสบการณ์เพ่ือการเรียนรู้อาชีวศึกษาเกษตร เป็นสิ่งใหม่เสมอซึ่งก็คือ “นวตั กรรม” สรุป เอกสาร“การสร้างประสบการณ์เพื่อการเรียนรู้ สาหรับการอาชีวศึกษาเกษตร” (Construction of the Learning Experience for Vocational Education in Agriculture) เป็นส่ือการเรียนรู้ แนวทางสู่การปฏิบัติกับผู้สอนเครือข่าย L.E. (L.E. CORPS - กองกาลัง L.E.) ทุก คน ได้เข้าใจตรงกันว่า L.E. (Learning Experience: ประสบการณ์เพื่อการเรียนรู้) เป็นรูปแบบการ จัดการเรียนการสอนรูปแบบหนึง่ ที่เหมาะสมกับอาชีวศึกษาเกษตร ที่ต้องอาศัยรูปแบบการวิจัย R&D เพ่ือพิสูจน์ ซ่ึงรูปแบบดังกล่าวจะสร้างขึ้นโดยพวกเรากองกาลัง L.E. (L.E. CORPS ) ให้เป็น อัตลกั ษณ์ของอาชวี ศึกษาเกษตร ด้วยความเมตตากรุณาจาก ผอ. วิศวะ คงแก้ว ผู้อานวยการสถาบันการอาชีวศึกษาเกษตรภาคใต้ ผศ.ดร.ลาวณั ย์ วจิ ารณ์ ผศ. ดร. ศักด์ิศรี รักไทย ดร. โสภณ ธนะมัย และผูท้ เี่ ก่ยี วขอ้ งทุกฝ่าย Making Changes Together และความคาดหวงั ผู้สอนเครือขา่ ย L.E.ภาคใต้ (L.E. CORPS -กองกาลัง L.E.) Together We Can!!!

3 สว่ นที่ 1 ประสบกำรณ์เพอื่ กำรเรียนรู้ (Learning Experience : L.E.) การสร้างประสบการณ์เพ่ือการเรียนรู้ เป็นรูปแบบการจัดการเรียนการสอนวิธีหนึ่งที่มุ่งเน้น การจัดกิจกรรมการเรียนรจู้ ากเนื้อหาความรภู้ าคความรู(้ Knowing Element) และภาคปฏิบตั ิ (Doing Element) ตามวัตถุประสงค์การสอนท่ีผู้สอนต้องการให้เกิดข้ึนกับผู้เรียน ซึ่งจะนาไปสู่การ เปล่ียนแปลงพฤตกิ รรมของผูเ้ รยี น ควำมหมำยของประสบกำรณเ์ พ่อื กำรเรียนรู้ คาว่า“ประสบการณ์เพื่อการเรียนรู้ (Learning Experience: L.E.)” นั้นเกิดจากการรวมกัน ของคาว่า“การเรียนรู้” (การเปล่ียนแปลงพฤติกรรมอันเน่ืองมาจากการมีประสบการณ์) และ “ประสบการณ์” (การได้ประสบมาด้วยตนเองหรือเข้าไปเก่ียวข้องกับเหตุการณ์แล้วเกิดความรู้) เม่ือ นาคาสองคามารวมกนั ประสบการณเ์ พ่ือการเรียนรู้ จึงหมายถงึ การแสดงออกอยา่ งกระตือรือร้นของ ผู้เรียนต่อสถานการณ์ที่ผู้สอนสร้างข้ึนจนบรรลุวัตถุประสงค์ที่กาหนดไว้ ซ่ึงส่งผลให้ผู้เรียนเกิดการ เปลี่ยนแปลงพฤตกิ รรม ควำมสำคัญของประสบกำรณ์เพือ่ กำรเรียนรู้ ประสบการณเ์ พ่ือการเรียนรู้ เปน็ ฟันเฟอื งสาคัญทส่ี ดุ ของการจดั การเรียนการสอนที่มุง่ เน้นไป ทผี่ ูเ้ รยี นและผสู้ อน ซ่งึ ท้ังสองสว่ นน้จี ะตอ้ งมีปฏิสมั พันธ์ (Interaction) ต่อกันโดย ผสู้ อน......ทาหน้าท่ีจัดสรา้ งสถานการณก์ ารเรยี นรู้ (Learning Situation) ใหก้ บั ผเู้ รียน ผู้เรียน......ทาหนา้ ท่ีตอบสนอง (Interaction: ปฏิสัมพันธ์) ต่อสถานการณ์การเรียนรู้ที่ผู้สอน ได้จัดสร้างข้ึนอย่างกระตือรือร้นจนผู้เรียนมีความรู้และ/หรือมีทักษะ และ/หรือมีเจตคติ ในเน้ือหา ความรตู้ ามทผ่ี สู้ อนตอ้ งการ ประสบการณ์เพื่อการเรียนรู้ (L.E.) จึงเป็น “ รูปแบบการจัดการเรียนการสอน”รูปแบบหนึง่ ที่มุ่งเน้นไปที่ผู้เรียน โดยเน้นปฏิสัมพันธ์ของผู้เรียนกับกิจกรรมการเรียนรู้ในเน้ือหาความรู้ท่ีผู้สอน สร้างข้ึนจนผู้เรียนเกิดการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมตามวัตถุประสงค์ที่ผู้สอนกาหนดไว้ ซึ่งรูปแบบการ จดั การเรยี นการสอนแบบ L.E. นี้มหี ลักการทส่ี าคญั คอื จะตอ้ งไม่มผี เู้ รียนคนใดเลยท่ีไมผ่ ่านการเรียนรู้ ตามวัตถุประสงคก์ ารสอน องคป์ ระกอบของประสบกำรณ์เพ่อื กำรเรยี นรู้ ประสบการณ์เพื่อการเรียนรู้ (L.E.) ประกอบด้วย 6 องค์ประกอบ คือ 1) เน้ือหาความรู้ 2) วัตถุประสงค์การสอน 3) วัตถุประสงค์เชิงพฤติกรรม 4) สถานการณ์การเรียนรู้ ประกอบด้วย กิจกรรมการเรียนรู้ในเน้ือหาความรู้ที่ผู้สอนสร้างขึ้นกับกิจกรรมที่ผู้เรียนกระทา 5) สื่อช่วยสอน และ 6) การประเมนิ ผล ซ่งึ จัดเรยี งอยูใ่ นรูปของตาราง ดงั นี้

4 เ น้ื อ ห า วัตถุประสงค์ วัตถุประสงค์ สถำนกำรณก์ ำรเรียนรู้ สอ่ื ชว่ ย ก า ร ความรู้ การสอน เชิงพฤตกิ รรม กิจกรรมการเรยี นรู้ในเนือ้ หา กิจกรรมทผี่ เู้ รียนกระทา สอน ประเมินผล ความรทู้ ่ผี ู้สอนสร้างขึ้นสร้างขนึ้ เนือ้ หำควำมรู้ คาวา่ “เน้อื หาความรู้”(Subject Matter) หมายถงึ ข้อเทจ็ จริงท่ีเป็นสาระความรู้ท่ีทนั สมัยถูกต้อง ตามหลักวชิ าการของศาสตรน์ ัน้ ๆ ซงึ่ จาแนกออกได้เปน็ 2 ประเภท (สมสดุ า และโสภณ, 2534) ไดแ้ ก่ เน้ือหาความรู้ภาคความรู้ (knowing Element) และเน้ือหาความรู้ภาคปฏิบัติ (Doing Element) ดัง แสดงในภาพท่ี 1 ภำพท่ี 1 ประเภทของเนื้อหาความรู้ กำรวิเครำะห์และเรยี บเรยี งเนอื้ หำควำมรู้ โดยท่ัวไป เน้ือหาความรู้ท่ีนักวิชาการเขียนขึ้นน้ัน มีลักษณะของการขยายความ มีการ ยกตัวอย่าง มีภาพประกอบเพ่ือช่วยให้ผู้อ่านเข้าใจง่าย แต่สาหรับการจัด L.E.น้ัน เนื้อหาความรู้ เหล่านั้น นอกจากจะต้องวิเคราะห์เน้ือหาแล้ว ยังต้องนามาเรียบเรียงใหม่ ให้สอดคล้องกับประเภท เนอ้ื หาความรนู้ ั้นๆ ดังนี้

5 1. เนื้อหำภำคควำมรู้ (knowing element) หมายถึง เนื้อหาที่ทาให้ผู้เรียนเกิดความรู้ ซ่ึง แบง่ ออกเป็นเนอ้ื หาข้อเท็จจริง เนอ้ื หาความคดิ รวบยอด และเนอื้ หาหลักการ 1.1 เนื้อหำข้อเท็จจริง (Knowing Element) หมายถึง เน้ือหาที่ทาให้ผู้เรียนเกิด ความรู้ เนอื้ หาประเภททส่ี ามารถเขา้ ใจได้ง่ายในเวลาอนั รวดเรว็ ประกอบดว้ ย 1.1.1 ข้อเท็จจริงเฉพาะเจาะจง: เป็นข้อเท็จจริงในเร่ืองใดเร่ืองหน่ึงท่ีผู้สอน พิจารณาแล้วว่า “ผเู้ รียนต้องจดจา” ตวั อย่าง การสบื พันธขุ์ องไรแดง มี 2 แบบ คอื แบบไม่อาศยั เพศ(Parthenogenesis) และ แบบอาศยั เพศ (Sexual Reproduction) 1.1.2 ข้อเท็จจริงเกณฑ์/มาตรฐาน: เป็นข้อเท็จจริงท่ีเรียบเรียนเฉพาะข้อเท็จจริงท่ี แสดงเกีย่ วกบั สง่ิ ทเี่ ป็นเกณฑ์ เปน็ มาตรฐาน “ผเู้ รยี นสามารถนาไปวินิจฉัย เลอื ก และตดั สินใจได้ ตัวอย่าง ข้ันตอนการเพาะเล้ียงไรแดงเติมน้าเขียว (Chlorella) ลงในบ่อประมาณ 1,000 ลิตร ทิ้งไว้ ประมาณ 3 วัน เพื่อรอให้น้ามีสีเขียวของ Chlorella มากข้ึน ในระหว่างนี้ควรคน นา้ บ่อยๆ เพ่ือป้องกันการตกตะกอน 1.1.3 ข้อเท็จจริงเจตคติ: เป็นข้อเท็จจริงท่ีชักนาให้เห็นคุณค่า เช่น “ประโยชน์ ความสาคัญ” ของเรือ่ งน้ันๆ ตัวอย่าง ความสาคัญของไรแดง 1) ด้านนิเวศวิทยา 2) ด้านการเพาะเลีย้ งสัตว์น้า 3) ดา้ นการศกึ ษา 4) ดา้ นบาบัดนา้ เสีย และ 4) ด้านการสรา้ งรายได้และอาชีพ 1.2 ควำมคิดรวบยอด เป็นเนื้อหาท่ีมีลักษณะเฉพาะท่ีสาคัญ (Critical Attributes) บุคคลท่ีมีความคิดรวบยอดในเร่ืองนั้น จะต้องมีความเข้าใจตรงกัน ความคิดรวบยอดน้ันเป็น “การให้ คานิยาม ใหค้ วามหมายได้ มีเอกลกั ษณ์ทเ่ี ปน็ ลกั ษณะเฉพาะท่ีสาคัญ” ตัวอย่าง การแยกเพศไรแดง ไรแดงเพศเมียมีตัวอ่อนหรือถุงไข่บนหลัง ขนาดใหญ่ ลาตัว กลม มีขนาดเฉลี่ย 1.25 มิลลิเมตร ไรแดงเพศผู้เป็นไรแดงท่ีไม่มีตัวอ่อนหรือถุงไข่บนหลังมีขนาดเล็ก และลาตัวยาวกว่าเพศเมีย มีขนาดเฉลยี่ 0.6 มลิ ลิเมตร 1.3. หลักกำร: เป็นเน้ือหาเกี่ยวกับแนวทางปฏิบัติท่ีได้รับ “การยอมรับ เป็นความจริง และมีการยึดถือเปน็ หลกั ปฏิบัติ” ตวั อยา่ ง หลักการออกแบบสร้างบอ่ เลยี้ งไรแดง 1. บ่อเพาะเลย้ี งไรแดงควรตงั้ อย่กู ลางแจ้ง 2. บ่อซีเมนต์สี่เหล่ยี มขนาด 4x5x1 เมตร หรอื 20 ตารางเมตร 3. บ่อเล้ียงจะมีการเทคานและใช้อิฐบล็อค 4 – 6 ก้อนก่อเป็นผนัง พ้ืนบ่อมีการเท ปูนหนาพอสมควรเพ่ือป้องกันน้ารั่วซึม ด้านในของบ่อทั้ง 4 ด้าน จะฉาบผิวสูงประมาณ 30- 50 เซนตเิ มตร 4. มกี ารวางระบบน้า โดยวางท่อพีวีซีไปยงั ทกุ บอ่ เพอ่ื เติมน้า 5. มกี ารวางระบบเตมิ ออกซิเจน โดยวางท่อพีวซี ีไปยังทุกบอ่ เพ่ือเตมิ ออกซิเจน 6. มคี นู ้าและระบบระบายน้าเพือ่ สะดวกในการเกบ็ เกย่ี ว

6 2 เนื้อหำภำคปฏิบัติ (Doing) หมายถึง เนื้อหาท่ีทาให้ผู้เรียนเกิดทักษะในการทางาน เนอ้ื หาระบุถงึ วธิ ดี าเนินการ หรือระบขุ ้นั ตอนการทางาน ตัวอยา่ ง ข้ันตอนการบรรจไุ รแดงแบบมีชวี ติ 1. เตรียมถุงพลาสติกขนาดต่างกัน ตามปริมาณการซื้อ กรณีขนส่งทางไกลมักจะใช้ซ้อน กัน 2-3 ชน้ั เพือ่ ป้องกนั มิใหม้ กี ารร่ัวหรอื ฉกี ขาด 2. เตรียมน้าสะอาด ใช้น้าแหล่งเดียวกับท่ีใช้เพาะเล้ียงไรแดง ใส่ประมาณ 1/3-1/4 ของ ปรมิ าตรของถงุ 3. นาไรแดงบรรจุถุง ควรพิจารณาในการขนส่ง คือ 1) ระยะทาง ถ้าระยะทางไกลให้ ลดปริมาณไรแดงลงตามสัดส่วนที่พอเหมาะ นาไรแดงไปแช่ในน้าเย็น 2) อุณหภูมิต่า เช่น รถปรับ อากาศหรอื มีน้าแขง็ แชร่ อบถุง บรรจุได้มากขึน้ 4. อัดออกซิเจนในถงุ พลาสตกิ จะปลอ่ ยแก๊สจากถังตามสายยางซงึ่ จุ่มลงนา้ ภายในถงุ โดย ปล่อยให้ฟองแก๊สแทนท่ีอากาศภายในถุง 2/3 ส่วนถึง 3/4 ส่วนของปริมาตรความจุของถุงพลาสติก รดั ด้วยยางวงใหแ้ น่น 5. วางถุงบรรจพุ ลาสติก ควรวางตามแนวนอน เพือ่ เพ่ิมเนื้อท่ีของไรแดงได้มากข้ึน วัตถุประสงค์กำรสอน การเรียนรูม้ ี 3 ดา้ น คือด้านความรู้ ดา้ นทักษะ ด้านเจตคติซงึ่ เรียกวา่ วตั ถปุ ระสงคก์ ารศึกษา สามารถจาแนกเป็น วัตถุประสงค์การสอน (Instructional Objective) และวัตถุประสงค์เชิง พฤติกรรม (Behavioral Objective) สาหรบั วตั ถปุ ระสงค์การสอนเป็นขอ้ ความท่รี ะบุคุณลักษณะทต่ี ้องการให้เกดิ ข้ึนในผู้เรียนตาม วัตถุประสงค์การศึกษาทั้ง 3 ด้าน ได้แก่ พุทธิพิสัย ทักษะพิสัย และเจตพิสัย แต่ละด้านมีรายละเอยี ด ดงั น้ี 1. พุทธิพิสัย (Cognitive Domain) เป็นการเรียนรู้ที่เน้นเก่ียวกับความรู้ (Knowledge) โดย การพฒั นา เกิดจากกระบวนการคิด (Cognitive Process) จาแนกออกเป็น 6 ระดับ ดงั น้ี 1.1 ข้ันจา (Knowledge) มีความสามารถในการจาเรื่องราวต่างๆท่ีเรียนและระลึกเรื่อง เหล่านัน้ ได้ถูกตอ้ ง 1.2 ขนั้ เขา้ ใจ (Comprehension) มคี วามสามารถ 1) แปลความ ถ่ายเทความหมายจากของเดิมเป็นของใหม่ท่ีทาให้เขา้ ใจไดง้ ่ายขึน้ 2) ตคี วาม สรปุ ภาพรวมเปน็ ใจความส้นั ๆใหเ้ ขา้ ใจไดง้ ่ายขึ้น 3) ขยายความ เสริมแตง่ ขอ้ ความเดมิ ทาใหช้ ดั เจนเขา้ ใจได้งา่ ยขึ้น 1.3 ขั้นนาไปใช้ (Application) มีความสามารถนาความรู้ท่ีได้เรียนมาแล้วไปใช้ใน สถานการณใ์ หม่ ตา่ งจากสถานการณเ์ ดิมที่เคยเรยี นรมู้ าแลว้ 1.4 ข้ันวิเคราะห์ (Analysis) มีความสามารถในการแยกแยะว่า ส่ิงน้ันประกอบด้วย ส่วนย่อยๆและส่วนยอ่ ยเหลา่ น้นั เก่ยี วขอ้ งกนั อยา่ งไร

7 1.5 ข้ันสังเคราะห์ (Synthesis) มีความสามารถในการนาความรู้ท่ีได้จากแหล่งต่างๆมา ประมวลกันแล้วสร้างเป็นความรู้ใหม่ ผลงานใหม่ วิธีการใหม่ หรือมีความสามารถในการผสมผสาน ส่วนย่อยเข้าเป็นเรือ่ งราวหรือส่งิ ใหม่อกี รูปแบบหนึง่ แปลกแตกต่างไปจากของเดิมก่อนนามารวมกัน 1.6 ข้ันประเมินค่า (Evaluation) มีความสามารถในการพิจารณาตัดสินเกี่ยวกับคุณค่า เรื่องใดเรื่องหน่ึงหรือตัดสินใจกระทาส่ิงใดสิ่งหนึ่ง โดยเปรียบเทียบกับเกณฑ์หรือมาตรฐานที่กาหนด เอาไว้แล้ว 2. ทักษะพิสัย (Psychomotor Domain) เป็นการเรียนรู้ท่ีเน้นเก่ียวกับการกระทา (Doing) อย่างมีทักษะในการทาเร่ือง/ส่งิ นั้นๆ เรียงตามลาดับจากความสามารถท่ีซับซ้อนน้อยไปสู่ซับซ้อนมาก จาแนกออกเปน็ 6 ระดบั 2.1 ขัน้ เตรียมพร้อมปฏิบัติ (Set) มคี วามสามารถในการเตรยี มความพรอ้ มท้ังด้านความรู้ ดา้ นกลา้ มเน้อื และดา้ นอารมณ์ที่จะใชป้ ฏิบัติงาน 2.2 ข้ันสัมผัสรู้ (Perception) มีความสามารถในการใช้ประสาทสัมผัสทั้ง 5 ในการรับรู้ ได้อยา่ งถกู ตอ้ ง 2.3. ขั้นปฏิบัติได้ภายใต้คาแนะนา (Guided Response) มีความสามารถในการ เลยี นแบบตามพฤติกรรมของผ้ฝู ึกและในการลองผิดลองถูก 2.4 ข้ันปฏิบัติได้จนคล่อง (Mechanism) มีความสามารถกระทาได้อย่างชานิชานาญ คล่องแคล่วว่องไว 2.5 ขั้นปฏิบัติงานที่ซับซ้อนได้ (Complex over Response) มีความสามารถนาทักษะ จากงานที่งา่ ย ฝึกจนสามารถปฏิบัติงานทซี่ ับซอ้ นได้ 2.6 ขั้นปรับปรุง (Adaptation) มีความสามารถในการปฏิบัติงานจนปรับปรุงได้ผลงาน ใหม่ ที่มคี ุณภาพ 2.7 ขั้นต้นแบบ (Origination) มีความสามารถในการปฏิบัติงานจนเป็นต้นแบบให้ผู้อ่ืน ต้องปฏบิ ัติตาม 3. เจตพิสัย (Affective Domain) เป็นการเรียนรู้ที่เน้นเก่ียวกับความรู้สึก (Feeling) ซ่ึงมี อิทธิพลต่อพฤติกรรมของผู้เรียน เรียงลาดบั จากซบั ซอ้ นน้อยไปซับซอ้ นมาก จาแนกออกเป็น 5 ระดับ 3.1 ขัน้ รับรู้ (Attending) มคี วามตง้ั ใจทจี่ ะรับรู้ข้อมูลต่างๆแล้วเกิดการรับรู้ว่า อะไรเป็น อะไร 3.2 ขั้นตอบสนอง (Responding) แสดงออกตอบโต้กับข้อมูลและสถานการณ์ที่ผู้สอน สร้างขน้ึ 3.3 ข้ันเห็นคุณค่า (Valuing) เห็นของดีของเรื่องน้ันมากกว่าข้อเสีย เห็นว่าสิ่งน้ันๆมี คุณค่าหรือมีประโยชน์อย่างไร 3.4 ขั้นจัดระบบคุณค่า (Organization) นาคุณค่าต่างๆมาประมวล แล้วพิจารณาจน ยอมรบั คณุ ค่าน้นั ด้วยตวั ของผเู้ รียนเอง

8 3.5 ขั้นสร้างลักษณะนิสัย (Characterization) ปฏิบัติตามคุณค่าน้ันจนออกมาเป็น ลกั ษณะนสิ ัย ควำมสัมพันธร์ ะหว่ำงเนอื้ หำควำมรู้กับวัตถปุ ระสงค์กำรสอน ความสัมพันธ์ระหว่างเนื้อหาความรู้กับวัตถุประสงค์การสอนเป็นการวิเคราะห์ว่า “ประเภทเน้ือหาความรู้”ได้แก่ เนื้อหาความรู้ภาคความรู้ (1) ข้อเท็จจริงเฉพาะเจาะจง ข้อเท็จจริง เกณฑ์/มาตรฐาน และข้อเท็จจริงเจตคติ (2) ความคิดรวบยอด (3) หลักการ และเน้ือหาความรู้ ภาคปฏบิ ตั ิ ควรจะอยู่ตรงกบั วัตถุประสงค์การสอนระดับใด การวิเคราะห์ความสัมพันธ์ของเนื้อหาความรู้ว่า ควรจะตรงกับระดับวัตถุประสงค์การสอนระดับ ใดน้ัน มีความสาคัญเป็นอย่างยิง่ เปน็ ขั้นตอนที่ขนึ้ อยู่กบั ดลุ ยพินิจของผู้สอนวา่ จากเนือ้ หาความรู้ภาค ความรู้และเน้ือหาความรู้ภาคปฏิบัติท่ีจะทาการสอนน้ัน ผู้สอนต้องการคุณลักษณะด้านพุทธิพิสัย ทกั ษะพิสยั หรอื เจตพสิ ยั ระดับใด ใหเ้ กิดขนึ้ ในผู้เรยี น ถึงแม้ว่าการวิเคราะห์ความสัมพันธ์ของเน้ือหาความรู้ ควรจะตรงกับระดับวัตถุประสงค์การสอน ระดับใดนนั้ ข้นึ อยู่กบั ดลุ ยพินจิ ของผู้สอนเปน็ สาคญั แต่ สมสุดา ผพู้ ฒั น์ และโสภณ ธนะมัย (2534) ได้ เสนอแนวทางเพื่อช่วยในการพิจารณาความสัมพันธ์ระหว่างประเภทเน้ือหาความรู้กับวัตถุประสงค์ การสอนให้เหมาะสม ดงั นี้ ประเภทเนอื้ หาความรู้ ควรเป็น ระดับวตั ถุประสงค์ ตัวอยา่ งการตัง้ การสอนขั้นสงู สุด วตั ถปุ ระสงคก์ ารสอน 1. ข้อเท็จจรงิ ควรไปถงึ ขนั้ จำ (พทุ ธพิ สิ ยั ) เฉพาะเจาะจง ควรไปถึง เพื่อให้ผู้เรียนจาชนิดของวัสดุ อุปกรณ์ 2. ข้อเท็จจริงทเ่ี ปน็ ควรไปถึง ขนั้ ประเมนิ คา่ (พุทธพิ สิ ัย) ท่ใี ช้ในการเพาะเล้ยี งไรแดงได้ มาตรฐาน/เปน็ เกณฑ์ ควรไปถึง 3. ขอ้ เท็จจริงเจตคติ ควรไปถึง ขัน้ เห็นคุณค่ำ (เจตพิสัย) เพื่อให้ผู้เรียนจาแนกเพศเมียและเพศผู้ ของไรแดงได้ 4. ความคิดรวบยอด เพ่ือใหผ้ ู้เรียนเหน็ ความสาคัญของไรแดง 5. หลักการ ขนั้ เขำ้ ใจ- นำไปใช้(พุทธพิ สิ ยั ) เพื่อให้ผู้เรียนจาแนกเพศเมียและเพศผู้ 6. ปฏิบัติ ของไรแดงได้ ข้ันประเมินคา่ (พทุ ธิพิสัย) เพ่ือให้ผู้เรียนคานวณราคาขายไรแดงได้ ข้ันปฏิบัติได้ภายใต้คาแนะนา เพ่ือให้ผู้เรียนสามารถบรรจุ ไรแดงด้วย (ทักษะพิสัย) ตนเองทั้ง 2 วิธไี ด้ภายใตค้ าแนะนา จะเหน็ ได้ว่าเนอ้ื หาความรูท้ ีเ่ ปน็ 1) ข้อเท็จจรงิ เฉพาะเจาะจง ควรเปน็ ไดแ้ ค่ พทุ ธพิ ิสยั ขนั้ จา 2) ขอ้ เท็จจรงิ ทเี่ ป็นมาตรฐาน/เป็นเกณฑ์ ควรไปถงึ พทุ ธิพสิ ัยข้ันประเมินคา่ 3) ข้อเท็จจริงเจตคติ ควรไปถงึ เจตพิสยั ข้นั เห็นคณุ คา่ 4) ความคดิ รวบยอด ควรไปถึง พุทธพิ สิ ยั ข้ันเข้าใจหรือนาไปใช้ 5) หลักการ ควรไปถงึ พทุ ธพิ สิ ัยข้นั ประเมินค่า 6) ภาคปฏิบตั ิ ควรไปถึง ทักษะพสิ ยั ขัน้ ปฏบิ ัตไิ ด้ภายใตค้ าแนะนา

9 จากแนวทางดังกลา่ ว ผู้เขยี นได้นามาเขยี นในลักษณะเป็นคาคล้องจองเพื่อชว่ ยใหจ้ าได้ง่ายขึ้น ดังนี้ ประเภทเนอ้ื หำควำมรู้ ระดบั วตั ถปุ ระสงคก์ ำรสอน เฉพาะ จงึ ต้องจา เกณฑ์ ใช้ ประเมินค่าได้ เจตคติ สรา้ ง คุณค่า ความหมาย ตอ้ ง เขา้ ใจ หลกั การ ต้อง ปฏิบตั ิตาม ปฏบิ ตั ิ จน ทาได้ วตั ถปุ ระสงคเ์ ชงิ พฤติกรรม วัตถุประสงค์เชิงพฤติกรรม (Behavioral Objective) เป็นข้อความที่ขยายความ “วัตถุประสงค์การสอน”ให้ชัดเจน จนระบุออกมาเป็นพฤติกรรมของผู้เรียน เพื่อให้สามารถวัด พฤติกรรมท่เี ปล่ยี นแปลงไปได้อย่างชดั เจน เชน่ วตั ถปุ ระสงคก์ ารสอนระบวุ า่ : ผู้เรยี นเพาะเล้ยี งไรแดงได้ภายใตค้ าแนะนา ผู้สอนคิดว่า หากผู้เรียนเพาะเลี้ยงไรแดงได้ภายใต้คาแนะนา ผู้เรียนจะต้องแสดงพฤติกรรม อยา่ งไรออกมา ดังน้ันผู้สอนจึงกาหนดวัตถุประสงค์เชิงพฤติกรรมว่า: ผู้เรียนทุกคนเพาะเล้ียงไรแดง ได้ ถกู ต้องตามขั้นตอน และได้ผลผลิตไม่น้อยกวา่ 5 กิโลกรมั ในเวลา 1 สปั ดาห์ จากตวั อย่างจะเหน็ ได้ว่า“วัตถุประสงค์เชิงพฤติกรรม”ประกอบดว้ ย 3 ส่วน ดงั น้ี 1) พฤตกิ รรมท่ผี ูส้ อนคาดหวงั ใหเ้ กิดขน้ึ ในผู้เรยี น (สามารถเพาะเล้ียงไรแดงได้) 2) เง่ือนไขที่ก่อให้เกิดพฤติกรรมที่ผู้สอนคาดหวังให้เกิดขึ้นในผู้เรียน (เพาะไรแดงได้ตาม ขั้นตอน ไดผ้ ลผลิตไม่นอ้ ยกวา่ 5 กโิ ลกรัม ) 3) มาตรฐานของพฤตกิ รรมที่ผูส้ อนคาดหวังใหเ้ กิดขึน้ ในผเู้ รียน (ในเวลา 1 สัปดาห์)

10 คากิริยาบง่ ชพ้ี ฤติกรรม การระบุพฤติกรรมที่ผู้สอนคาดหวังให้เกิดข้ึนในผู้เรียนนั้น มีคากิริยาที่แสดงพฤติกรรมที่จะ ใชใ้ นการเขยี นวตั ถุประสงค์เชิงพฤติกรรม “คากิรยิ า”ที่แสดงการกระทาบ่งช้ีถึงพฤติกรรม ควรเป็นคา ท่ีง่ายต่อความเข้าใจของคนทั่วไป และขณะเดียวกันก็สามารถส่ือสะท้อนให้เห็นภาพของระดับ วตั ถปุ ระสงคก์ ารสอนไดอ้ ยา่ งถูกต้องตามความหมายของระดบั วัตถุประสงคน์ น้ั ๆ ได้หลากหลาย อย่างไรก็ตาม“คากิริยาบ่งช้ีพฤติกรรม”ต่อไปน้ีเป็นเพียงตัวอย่างเท่าน้ัน ซ่ึงสามารถระบุคา กริ ยิ าทส่ี อดคลอ้ งกับวัตถุประสงค์เชิงพฤติกรรมได้ ตำรำงที่ 1 คากริ ิยาบง่ ชพ้ี ฤติกรรมด้านพุทธิพิสัย พุทธพิ ิสัย คากริ ยิ าบง่ ช้พี ฤติกรรม 1.ข้ัน“จา”: มีความสามารถในการจาเรือ่ งราวต่างๆท่ี บอก เขียน เลา่ เรียนและระลกึ เรอ่ื งเหลา่ น้ันไดถ้ ูกตอ้ ง สง่ิ ทผี่ สู้ อนไดส้ อนไปแลว้ ได้ 2.ข้นั “เข้าใจ”: มีความสามารถ อธบิ ายส่งิ ที่ผูส้ อนได้สอนไปแลว้ ดว้ ยคาพดู 1) แปลความ (ถ่ายเทความหมายจากของเดิมเป็น ของตนเองได้ ของใหม่ที่ทาให้เขา้ ใจได้ง่ายข้นึ ) 2) ตีความ (สรุปภาพรวมเปน็ ใจความสัน้ ๆให้เข้าใจ สรุปย่อ สง่ิ ทผ่ี ู้สอนไดส้ อนไปแล้วได้ ไดง้ ่ายข้ึน 3) ขยายความ (เสริมแต่งข้อความเดิม ทาให้ ขยายความ สิ่งที่ผู้สอนได้สอนไปแล้วได้ ชัดเจนเขา้ ใจไดง้ า่ ยขึ้น) เช่น ยกตัวอย่างประกอบการอธิบาย เขียน ภาพประกอบ เปน็ ตน้ 3.ขัน้ “นาไปใช้”: มคี วามสามารถนาความรู้ท่ีได้เรียน อธิบาย ให้เหตุผล ยกตัวอย่าง สาธิตให้ดู มาแล้วไปใช้ในสถานการณ์ใหม่ ต่างจากสถานการณ์ ส่ิ ง ท่ี ผู้ ส อ น ไ ด้ ส อ น ไ ป แ ล้ ว ไ ป ใ ช้ ใ น เดิมท่ีเคยเรียนรมู้ าแล้ว สถานการณ์ใหม่ทแี่ ตกต่างจากสถานการณ์ เดมิ 4. ขั้น “วิเคราะห์”: มีความสามารถในการแยกแยะ จาแนก แยกแยะ ให้เหตุผล ว่าส่วนย่อย ว่า สิ่งน้ันประกอบด้วยส่วนย่อยๆและส่วนย่อย ส่วนใดที่มีความสาคัญมาก มีส่วนเกี่ยวพัน เหล่านัน้ เก่ยี วขอ้ งกันอยา่ งไร กนั อย่างไร อาศยั หลกั การใด 5.ขน้ั “สงั เคราะห์”: มีความสามารถในการผสมผสาน ผสมผสานรวมส่วนย่อยเขา้ ด้วยกัน ส่วนย่อยเข้าเป็นเรื่องราวหรือส่ิงใหม่อีกรูปแบบหนึ่ง เป็นการสรา้ งสรรคส์ ่ิงใหมข่ นึ้ มา แปลกแตกตา่ งไปจากของเดมิ ก่อนนามารวมกัน 6.ข้ัน“ประเมินค่า”: มีความสามารถในการพิจารณา ตัดสิน เปรียบเทียบของสงิ่ น้นั ตัดสินเกี่ยวกับคุณค่าเร่ืองใดเร่ืองหน่ึง หรือตัดสินใจ โดยใช้เกณฑ์หรือมาตรฐานที่ กระทาสง่ิ ใดสิ่งหนึง่ โดยเปรียบ ผู้สอนไดส้ อนไปแลว้ เทยี บกับเกณฑ์หรือมาตรฐานที่กาหนดเอาไว้แล้ว

11 ตำรำงท่ี 2 คากิรยิ าบง่ ชี้พฤติกรรมดา้ นทักษะพิสัย ทกั ษะพิสัย คากิรยิ าบ่งชี้พฤติกรรม 1.ข้ัน“รับรู้”: มีความสามารถในการใช้ประสาทสัมผัสทั้ง บอก ผลท่ไี ด้จากประสาทสมั ผสั ทงั้ 5 5 ในการรับรู้สิง่ ทจี่ ะกระทา 2.ขั้น“เตรียมพร้อม”: มีความสามารถในการเตรียมความ เตรียมวัสดุอุปกรณ์อย่างถูกต้อง และ พร้อมท่จี ะปฏิบัติ เม่อื รับรูส้ ่ิงทจ่ี ะต้องกระทา พรอ้ มใชง้ าน 3.ขน้ั “ปฏบิ ัตไิ ด้ภายใตค้ าแนะนา”: มีความสามารถในการ ปฏิบตั ิตามทผี่ ูส้ อนกาหนด เลียนแบบตามพฤติกรรมของผู้ฝึกและในการลองผิดลอง ถกู 4.ข้นั “ปฏบิ ตั ไิ ดจ้ นคล่อง”: มคี วามสามารถกระทาได้อย่าง ปฏบิ ัติไดด้ ว้ ยตนเองอยา่ งชานาญ ชานิชานาญคลอ่ งแคล่วว่องไว 5. ขนั้ “ปฏบิ ัติงานทซี่ บั ซ้อนได้”: มคี วามสามารถนาทักษะ ปฏิบตั งิ านที่ยงุ่ ยากไดด้ ้วยตนเอง จากงานทีง่ า่ ย ฝึกจนสามารถปฏิบตั ิงานท่ซี ับซอ้ นได้ 6. ข้ัน“ปรับปรุง”: มีความสามารถในการปฏิบัติงานจน แก้ไขจนไดผ้ ลงานใหม่ ปรบั ปรงุ ได้ผลงานใหมท่ ่ีมีคณุ ภาพ 7.ข้นั “ตน้ แบบ”: มคี วามสามารถในการปฏิบัติงานจนเป็น สรา้ งขน้ึ ดว้ ยตนเองจนเปน็ แบบฉบบั ตน้ แบบให้ผู้อืน่ ต้องปฏิบัติตาม ตำรำงที่ 3 คากริ ิยาบง่ ชี้พฤติกรรมดา้ นเจตพิสัย เจตพสิ ัย คากิริยาบ่งช้พี ฤติกรรม 1.ข้ัน“รับรู้”: มีความต้ังใจที่จะรับรู้ข้อมูลต่างๆแล้ว ซักถาม ฟังอย่างตั้งอกต้ังใจ และตอบ เกิดการรับรู้วา่ อะไรเปน็ อะไร คาถามในเน้ือหาความรู้ท่ีผู้สอนได้สอนไป แล้วอย่างถูกต้อง 2. ขัน้ “ตอบสนอง”: แสดงออกตอบโต้กับข้อมูลและ กระตือรือร้น ที่จะตอบข้อซักถามของ สถานการณ์ที่ผูส้ อนสร้างขน้ึ ผู้สอน/ ร่วมกจิ กรรมท่ผี สู้ อนกาหนด 3.ข้ัน“เห็นคุณค่า”: เห็นของดีของเรื่องนั้นมากกว่า อธบิ ายประโยชน์/ความสาคญั /ความจาเป็น ข้อเสีย เห็นว่าสิ่งนั้นๆมีคุณค่าหรือมีประโยชน์ ของเนอื้ หาความรู้เรอ่ื งนัน้ ๆ อยา่ งไร 4.ข้ัน“จัดระบบคุณค่า”: นาคุณค่าต่างๆมาประมวล อธิบายเหตุผลของการจัดลาดับของคุณค่า แล้วพิจารณาจนยอมรับคุณค่าน้ันด้วยตัวของผู้เรียน ตา่ งๆ เอง 5.ข้ัน “สร้างลักษณะนิสัย”: ปฏบิ ัตติ ามคณุ ค่านั้นจน ปฏิบัติตาม/ประพฤติตามคุณค่านั้นๆเป็น ออกมาเปน็ ลกั ษณะนสิ ัย ประจาสมา่ เสมอ

12 ตวั อยา่ งวตั ถปุ ระสงค์เชิงพฤติกรรม ตวั อยา่ งวัตถุประสงคเ์ ชิงพฤติกรรมต่อไปนี้ ใชเ้ นอ้ื หาความรู้ 5 เรื่อง จากหวั ข้อ“ตวั อย่าง การเรียบเรียงเนื้อหาความรู้” ได้แก่ ชีววิทยาของไรแดง ความสาคัญของไรแดง การสืบพันธ์ุของไร แดง ขน้ั ตอนการบรรจไุ รแดง และการคานวณการขายไรแดง ดังตารางท่ี 4 ตารางที่ 4 ตัวอย่างวัตถปุ ระสงคเ์ ชงิ พฤติกรรม เนอ้ื หาความรู้ วตั ถปุ ระสงค์การ วัตถปุ ระสงคเ์ ชงิ สอน พฤติกรรม เน้อื หา : Knowing ความคิดรวบยอด พุทธิพิสัย : จา 1. ผู้เรียนทุกคนบอก ชีววิทยาของไรแดง (Water Flea) ผู้ เ รี ย น จ า ลักษณะรูปร่างของ ลักษณะของไรแดง ลักษณะรูปร่าง ไรแดงได้ภายในเวลา 1. เปน็ สัตว์ไมม่ ีกระดูกสนั หลงั จาพวกกุ้ง ของไรแดงได้ 10 นาที 2. เป็นแพลงกต์ อนสัตว์ 2. ผู้เรียนทุกคนแยก 3. ลาตวั รปู ไข่ สเี หลอื งสม้ หรอื สีแดง ภาพไรแดงออกจาก 4. มขี นาด 0.4-1.8 มลิ ลเิ มตร ภ า พ แ พ ล ง ก์ต อน 5. ร่างกายประกอบดว้ ย 2 ส่วน คือ ส่วนหัวและลาตัว ส่วนหัวกลม ช นิ ด อ่ื น ไ ด้ ภ า ย ใ น ขนาดใหญ่ เวลา 10 นาที 6. มีแผ่นเปลอื กปกคลมุ ร่างกาย ลกั ษณะเปลือกเป็น 2 ฝา 7. มีตาประกอบ (Compound Eye) 1 คู่ มีหนวด 2 คู่ หนวดคู่ แรกเล็ก (First Antennules) หนวดคู่ท่ี 2 มีขนาดใหญ่ อยู่ด้านข้าง ของหัว มขี าอก 5 คู่ เน้อื หา : Knowing ข้อเทจ็ จริงเจตคติ เจตพิสัย : เห็น ผู้เรียนสามารถสรุป ความสาคญั ของไรแดง คณุ ค่า ความสาคัญของไร 1. ด้านนิเวศวิทยา เป็นผู้บริโภคข้ันต้นของห่วงโซ่อาหารในแหล่งน้า ผู้ เ รี ย น เ ห็ น แดงได้ครอบคลุมทั้ง ธรรมชาติ ความสาคัญของ 5 ด้าน 2. ดา้ นการเพาะเล้ยี งสตั วน์ า้ เปน็ อาหารสาหรบั อนุบาลลกู สตั วน์ ้า 3. ด้านการทดลองทางวทิ ยาศาสตร์ เชน่ ศึกษาการเปลีย่ นแปลงรปู ร่าง ไรแดง ดว้ ยภาษาของตนเอง ตามสภาพแวดล้อม ในเวลาทก่ี าหนด 4. ด้านบาบัดน้าเสีย มักพบไรแดงในแหล่งน้าเสียที่มีอินทรียวัตถุมาก ไรแดงช่วยกินสาหร่าย จุลินทรีย์และอินทรียวัตถุในแหล่งน้าจึงทาให้มี คุณภาพน้าดีขึ้น ดังนั้นไรแดงจึงสามารถใช้บ่งบอกคุณภาพน้าและ ประเมินระดบั ความเนา่ เสยี ของนา้ จากแหลง่ ต่างๆได้ 5. ด้านการสรา้ งรายได้และอาชีพ ไรแดงมรี าคาแพง กิโลกรัมละ 60- 150 บาท และมตี ้นทนุ ในการผลิตต่า เนอ้ื หา : Knowing พุทธพิ สิ ยั : จา ผู้เรียนสามารถเขียน ขอ้ เท็จจรงิ เฉพาะเจาะจง ผู้เรียนสามารถ ลักษณะการสืบพันธ์ุ การสบื พันธุ์ของไรแดง จาลักษณะการ ของไรแดงได้ถูกต้อง การสืบพันธุ์ของไร มี 2 แบบ คือ สื บ พั น ธ์ุ ข อ ง ไ ร ภายในเวลา 5 นาที 1. แบบไมอ่ าศยั เพศ (Parthenogenesis) 1) ไรแดงเพศเมีย สร้างไข่ท่ีสามารถเจริญเป็นตัวอ่อนโดยไม่ต้อง แดงได้ ไดร้ ับการผสมพันธก์ุ ับเพศผู้

13 เนอ้ื หาความรู้ วัตถุประสงค์การ วตั ถุประสงคเ์ ชงิ สอน พฤตกิ รรม 2) เกิดในกรณีท่ีสภาพแวดล้อมสมบูรณ์ ได้แก่ มีอาหารเพียงพอ pH ประมาณ 6.5-8 ปรมิ าณออกซิเจนทเี่ พียงพอ 2. แบบอาศัยเพศ (Sexual Reproductive) 1) ไรแดงเพศผู้และเพศเมียผสมพันธ์ุกัน ไรแดงเพศเมียจะสร้างไข่ จานวน 2 ฟอง มีลักษณะทึบแสง วางไข่สู่ก้นบ่อ เรียกว่าไข่พัก (Resting Egg หรือ Ephippium) 2) ไขม่ คี วามทนต่อสภาพแวดล้อมท่ไี มเ่ หมาะสมได้เปน็ เวลานาน 3) ไขจ่ ะฟกั ออกเป็นตวั ก็ต่อเมื่อสภาพแวดล้อมเหมาะสม เนอ้ื หาภาคปฏิบตั ิ (Doing) ทักษะพสิ ัย เ พ่ื อ ใ ห้ ผู้ เ รี ย น ขั้นตอนการบรรจไุ รแดง ป ฏิ บั ติ ไ ด้ จ น สามารถบรรจุไรแดง 1. การบรรจแุ บบมีชวี ติ ในถุงพลาสตกิ คล่อง ด้วยตนเอง ได้อย่าง 1.1 เตรียมน้าสะอาดใส่ในอ่างสาหรับพักไรแดง ใส่ด่างทับทิม (0.1 เ พื่ อ ใ ห้ ผู้ เ รี ย น ถูกต้อง ตามขั้นตอน กรัมละลายน้า 20 ลิตร) ให้มีสีชมพูอ่อน นาไรแดงลงไปแช่ สามารถบรรจุ ไร ภายในเวลา 15 นาที ประมาณ 5 นาที เพ่อื ฆา่ เชอ้ื โรค กรองด้วยสวงิ ผา้ โอลอ่ น แดงด้วยตนเอง 1.2 เตรียมถุงพลาสตกิ ขนาดต่างๆ กัน ตามปรมิ าณการซือ้ กรณขี นสง่ ทั้ง 2 วิธีได้อย่าง ทางไกลมกั จะใชซ้ อ้ นกนั 2-3 ชัน้ เพื่อป้องกนั มใิ หม้ ีการรั่วหรอื ฉีกขาด คลอ่ งแคลว่ 1.3 เตรียมน้าสะอาด เป็นน้าท่ีมาจากแหล่งเดียวกับที่ใช้เพาะเลี้ยงไร แดง ใส่ประมาณ 1/3-1/4 ของปรมิ าตรของถงุ 1.4 การนาไรแดงใสใ่ นถุง ควรพจิ ารณาในการขนส่งคอื 1) ระยะไกลให้ลดปริมาณไรแดงลงตามสัดส่วนท่ีพอเหมาะ นาไร แดงไปแช่ในน้าเย็น 2) อุณหภูมิต่า เช่นรถปรับอากาศหรือมีน้าแข็งแช่รอบถุง บรรจไุ ด้ มากขน้ึ 1.5 อัดออกซิเจนในถุงพลาสติกจะปล่อยแก๊สจากถังตามสายยางซึ่ง จุ่มลงน้าภายในถุง โดยปล่อยให้ฟองแก๊สแทนท่ีอากาศภายในถุง 2/3 ส่วนถึง 3/4 ส่วนของปริมาตรความจุของถุงพลาสติก รัดด้วยยางวงให้ แนน่ 1.6 วางถงุ บรรจุพลาสตกิ ควรวางตาม แนวนอน เพอื่ เพิม่ เน้ือทข่ี องสตั ว์นา้ ได้มากข้ึน 2. การบรรจแุ บบไมม่ ีชีวติ 2.1 เตรียมน้าสะอาดใส่ในอ่างสาหรบั พักไรแดง ใส่ด่างทับทิม (0.1 กรัมละลายน้า 20 ลิตร) ให้มีสีชมพูอ่อน นาไรแดงลงไปแช่ประมาณ 5 นาที เพื่อฆ่าเชอื้ โรค กรองดว้ ยสวิงผ้าโอล่อน 2.2 มาแบ่งใสถ่ งุ พลาสตกิ แบบซิบลอ็ ก นา้ หนักตามตอ้ งการ เกลีย่ ไร แดงในถงุ ใหเ้ รยี บ และมชี อ่ งวา่ งอากาศในถงุ ใหน้ ้อยทส่ี ดุ 2.3 นาไรแดงห่อด้วยกระดาษหนังสือพิมพ์และบรรจุในกล่อง กระดาษ A4 ปิดกลอ่ งให้เรียบรอ้ ย

14 เนื้อหาความรู้ วตั ถปุ ระสงค์ วตั ถปุ ระสงค์เชิง การสอน พฤติกรรม เนอ้ื หา : Knowing พุ ท ธิ พิ สั ย : ผู้เรียนสามารถคานวณ : หลักการ นาไปใช้ ราคาขายไรแดงจาก การคานวณราคาขายไรแดง ตั ว อ ย่ า ง โ จ ท ย์ ไ ด้ อ ย่ า ง 1.แยกประเภทรายจ่ายในการผลิตไรแดงออกเป็นค่า ถูกต้องภายในเวลา 20 ลงทุน คา่ วัสดอุ ุปกรณ์ และค่าใช้จ่ายอ่ืนๆ เพ่ือให้ผู้เรียน นาที 2. รวมจานวนคา่ ใชจ้ ่ายทั้งหมดในการผลิตไรแดง คานว ณ ราคา 3. คานวณกาไรทั้งหมด โดยใช้สูตรดังน้ี คือ กาไร ขายไรแดงได้ ทั้งหมด= คา่ ใช้จา่ ยทั้งหมด × เปอรเ์ ซ็นตก์ าไรทค่ี าดหวงั ) ÷ 100 4. คานวณราคาขายผลผลิตท้ังหมด โดยคานวณจาก กาไรท้งั หมด + คา่ ใชจ้ ่ายทง้ั หมด 5. คดิ ราคาขายต่อหน่วย โดยใช้ สูตร ราคาขายต่อหน่วย = ราคาขายผลผลิตทั้งหมด ÷ จานวนไรแดงทีข่ าย สถานการณก์ ารเรียนรู้ สถานการณ์การเรียนรู้ (Learning Situation) มาจากคาว่า “สถานการณ์” ซึ่งหมายถึง เหตกุ ารณท์ ก่ี าลังเปน็ ไป และ “การเรยี นรู้” หมายถงึ การเปลี่ยนแปลงพฤตกิ รรม ดังนน้ั สถานการณ์ การเรียนรู้ จึงหมายถึง การท่ีผู้เรียนเกิดการเรียนร้(ู ผเู้ รียนคนนั้นได้เกิดการเปล่ียนแปลงพฤติกรรมขน้ึ ในตัวของผู้เรียนเอง) จากเหตุการณ์ท่ีกาลังเป็นไปด้วยตนเอง ตัวอย่างเช่น ผู้สอนจะสอนให้ผู้เรียนใน โรงเรียนบนดอยทางภาคเหนือ ได้เรียนรู้ถึงความหมายของคาว่า “ทะเล” ซ่ึงผู้สอนอาจจะสร้าง สถานการณไ์ ดห้ ลายกรณี เชน่ กรณที ่ี 1 ผสู้ อนอธิบายความหมายของคาวา่ “ทะเล” โดยการบรรยาย กรณีท่ี 2 ผู้สอนใชภ้ าพทะเลประกอบการบรรยายความหมายของคาวา่ “ทะเล” กรณีท่ี 3 ผู้สอนพาผู้เรยี นไปทศั นศึกษาชายทะเลบางแสน และให้ผ้เู รียนลงเลน่ นา้ ทะเล จะเหน็ ไดว้ า่ สถานการณ์ในกรณีที่ 3 ผู้สอนพาผูเ้ รยี นไปทัศนศึกษาชายทะเล และให้ผูเ้ รียนลง เล่นน้าทะเล ผู้เรียนจะเกิดการเรียนรู้ได้ด้วยตนเองว่า ทะเลน้ันกว้างใหญ่สุดสายตา และน้ามีรสเค็ม มาก ซึ่งแสดงว่าผู้เรียนได้มีปฏิสัมพันธ์ (Interaction: การกระทาระหว่างกัน)กับสถานการณ์ท่ีผู้สอน สร้างข้ึน คือการได้ลงไปเล่นน้าทะเล ดังน้ันผู้เรียนจึงมีปฏิสัมพันธ์กับสถานการณ์จริง คือทะเล ซึ่ง บรรลุวัตถปุ ระสงคก์ ารสอนของผูส้ อน ทต่ี ้องการให้ผ้เู รียนไดเ้ รียนรู้เนื้อหาความรคู้ วามหมายของคาว่า “ทะเล”

15 จากตวั อย่างสถานการณ์ในกรณีท่ี 3 สามารถสรุปเป็นความหมายของสถานการณ์การเรยี นรู้ได้ว่า สถานการณ์การเรียนรู้ หมายถึง ปฏิสัมพันธ์ (Interaction) ของผู้เรียนที่มีต่อกิจกรรมการเรียนรู้ที่ ผสู้ อนสร้างขน้ึ เกี่ยวกบั เนื้อหาความรู้น้ัน ๆ ของผเู้ รียนเอง สาหรับสถานการณ์ในกรณีที่ 1 และ2 จะเห็นได้ว่า ไม่มีปฏิสัมพันธ์ของผู้เรียนกับส่ิงที่ผู้สอน ต้องการให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ ผู้เรียนจึงยังไม่เกิดการเรียนรู้ด้วยตนเองว่าแท้จริงแล้ว “ทะเล”มี ลักษณะอย่างไร สถานการณ์การเรยี นรู้จาแนกออกเป็น 2 ส่วน ได้แก่ กิจกรรมการเรียนรู้ในเนื้อหาความรู้ที่ผู้สอน สร้างขึ้นและกิจกรรมท่ีผเู้ รยี นกระทา 1) กิจกรรมการเรียนรู้ท่ีผู้สอนสร้างข้ึน คือ กิจกรรมที่ผู้สอนแสดงออกในเน้ือหาความรู้ที่ต้องการ ใหผ้ ้เู รยี นไดเ้ รียนรู้ เชน่ ผู้สอนอธบิ ายและสาธติ ข้ันตอน การบรรจุไรแดงแบบมีชีวิตกับไม่มีชีวิต ให้ผู้เรียนดู กิจกรรมส่วนนี้ จัดเป็น กิจกรรมให้ความรู้ (F2) ซึ่งเป็น ข้อเทจ็ จริงท่ใี หผ้ ้เู รียนไดร้ กู้ อ่ น ภาพที่ 2 ผู้สอนอธิบายขั้นตอนการบรรจุไรแดงด้วย Power Point 2. กิจกรรมท่ีผู้เรียนกระทา คือกิจกรรมที่ ผูส้ อนกาหนดใหผ้ เู้ รยี นมีปฏสิ ัมพันธ์กบั กิจกรรมท่ีผู้สอน สร้างข้ึน ตัวอย่างเช่น ผู้สอนกาหนดให้ผู้เรียนทาการ บรรจุไรแดงแบบมีชวี ิตกับไม่มีชวี ติ ตามขั้นตอนท่ีผู้สอน ได้สาธิต ซ่ึงส่วนนี้ จัดเป็น กิจกรรมที่ผู้สอนกาหนดให้ ผูเ้ รียนปฏิบัติ ( F1 ) จดั เปน็ ข้อเท็จจริงเหตุให้คิด การท่ี ผู้เรียนได้ลงมือทาการบรรจุไรแดงแบบมีชีวิตกับไม่มี ชีวิต ตามขั้นตอนท่ีผ้สู อนสาธติ ให้ดู คือการมีปฏิสัมพันธ์ (Interaction) กบั สถานการณท์ ่ผี ู้สอนสร้างขน้ึ ภาพที่ 3 กิจกรรมการบรรจไุ รแดงแบบมชี ีวิต

16 สถานการณ์การเรียนรู้ท่ีผู้สอนสร้างข้ึน ท้ังกิจกรรมการเรียนรู้ที่ผู้สร้างข้ึนและกิจกรรมท่ีผู้เรียน กระทาจะต้องสอดคล้องกบั “วัตถปุ ระสงคก์ ารสอน” ที่ผู้สอนได้กาหนดไว้ ดงั น้ี 1. ถ้าวัตถปุ ระสงค์การสอนกาหนดให้เกิดพุทธิพิสัย กิจกรรมการเรียนรู้ที่ผูส้ อนสร้างขน้ึ ต้องเป็น กิจกรรมที่แสดงออกในเชิงพุทธิพิสัย คือ เป็นกิจกรรมที่ให้ผู้เรียนเกิดการพัฒนาทางปัญญา เช่น จา ขัน้ ตอนการบรรจุไรแดงแบบมีชวี ติ กับไมม่ ชี ีวิต เป็นตน้ 2. ถ้าวัตถปุ ระสงค์การสอนกาหนดให้เกดิ ทักษะพิสยั กิจกรรมการเรียนรู้ทผ่ี ูส้ อนสร้างข้ึนต้องเป็น กิจกรรมท่ีแสดงออกในเชิงทักษะ คือ เป็นกิจกรรมท่ีให้ผู้เรียนได้ปฏิบัติจริง เช่น ลงมือบรรจุไรแดง แบบมีชวี ิตกับไมม่ ีชีวติ ได้ เปน็ ต้น 3. ถ้าวัตถุประสงค์การสอนกาหนดให้เกิดเจตพิสัย กิจกรรมการเรียนรู้ที่ผู้สอนสร้างข้ึนต้องเป็น กจิ กรรมทแี่ สดงออกในเชิงเจตพสิ ัย คือ เปน็ กจิ กรรมทใ่ี ห้ผู้เรยี นได้พัฒนาความคดิ จิตใจ อารมณ์ เช่น เกดิ ความคิด ความเขา้ ใจ เห็นคุณค่า เห็นประโยชน์ เช่น เหน็ ประโยชน์ของการการบรรจุไรแดงแบบ มีชวี ิตกบั ไม่มชี วี ติ เปน็ ต้น 4.สถานการณ์การเรียนรู้ที่ผู้สอนสร้างข้ึน ต้องเปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้แสดงพฤติกรรมท่ีระบุไว้ใน วัตถปุ ระสงค์การสอน 5. สถานการณก์ ารเรยี นรทู้ ผ่ี ู้สอนสรา้ งขึ้นจะตอ้ งทาใหผ้ ู้เรยี นเกิดความพึงพอใจ 6. ผเู้ รียนจะตอ้ งมีศักยภาพพอทจี่ ะปฏบิ ัติตามสถานการณ์ท่ีผูส้ อนสรา้ งขน้ึ 7. การกาหนดสถานการณ์การเรียนรู้ ผู้สอนต้องสร้างสถานการณ์ให้ใกล้เคียงกับเร่ืองจริงท่ี ผู้เรยี นจะต้องกระทาใหค้ ล้ายคลงึ กันมากท่สี ดุ 8. ผู้สอนต้องสร้างกิจกรรมท่ีให้ผู้เรียนกระทาสอดคล้องกับ “คากิริยาที่บ่งชี้พฤติกรรม” ท่ีระบุ เอาไว้ในวัตถปุ ระสงคเ์ ชิงพฤตกิ รรม 8.1 หากในวตั ถปุ ระสงคเ์ ชงิ พฤตกิ รรม ระบุให้ผู้เรียน จา กจิ กรรมการเรียนรู้ทผ่ี ูส้ อนควรสรา้ ง ข้ึนต้องให้ผู้เรียนสามารถจาความรู้น้ัน ๆ ได้ เช่น ผู้สอนอธิบายข้ันตอนการบรรจุไรแดงโดยใช้สื่อ Power Point ผเู้ รยี นฟงั และจดบันทกึ และให้ผูเ้ รยี นเขยี นข้ันตอนสรุปการบรรจไุ รแดง 8.2 หากในวัตถุประสงค์เชิงพฤติกรรม ระบุให้ผู้เรียน นาไปใช้ กิจกรรมการเรียนรู้ที่ผู้สอน ควรสร้างขน้ึ ตอ้ งใหผ้ เู้ รียนสามารถนาความรูน้ นั้ ๆ ไปใช้ในสถานการณ์อื่น ๆท่ไี มเ่ หมอื นกบั ตัวอย่างได้ เช่น ผู้สอนให้ผู้เรียนบรรจุถุงไรแดงในหลายๆ สถานการณ์ และผู้เรียนสามารถบรรจุไรแดงได้ตาม สถานการณ์ที่แตกต่างกนั ไดอ้ ย่างถูกต้อง 8.3 หากในวัตถุประสงค์เชิงพฤติกรรม ระบุให้ผู้เรียนมีเจตคติ กิจกรรมการเรียนรู้ท่ีผู้สอน สร้างขึ้นต้องสามารถชกั นาใหผ้ เู้ รยี นเหน็ คณุ ค่าในเร่ืองนนั้ ๆ ได้ เช่น แสดงให้ผ้เู รยี นเหน็ วธิ กี ารบรรจถุ ุง 2 แบบ คือแบบทม่ี ัดถงุ แนน่ ตามหลักการกบั แบบมัดถุงทวั่ ไป แล้วใหผ้ ู้เรยี นเลอื กปฏบิ ัติจาก 2 วิธี และ ผ้เู รยี นสามารถเหน็ คณุ ค่าของวิธีการเลอื กมัดถุงท่ีถกู ต้องได้ 8.4 หากในวตั ถปุ ระสงคเ์ ชิงพฤติกรรม ระบใุ หผ้ เู้ รียนได้ความคิดรวบยอด กจิ กรรมการเรียนรู้ ที่ผู้สอนสร้างขึ้นต้องสามารถทาให้ผู้เรียนให้ความหมายในเรื่องนั้นได้ถูกต้องเป็นภาษาตัวเองเช่น ผู้สอนอธบิ ายลกั ษณะชวี วิทยาของไรแดงและผู้เรยี นสามารถให้ความหมายของไรแดงเปน็ ภาษาตัวเอง ได้อย่างถกู ต้อง

17 8.5 หากในวตั ถปุ ระสงคเ์ ชงิ พฤตกิ รรม ระบุให้ผเู้ รียนได้หลกั การ/ทฤษฎี กิจกรรมการเรยี นรู้ที่ ผู้สอนควรสร้างขึ้นต้องสามารถทาให้ผู้เรียนนาหลักการและวิธีการในเรื่องนั้นๆ ไปใช้ได้ เช่น ผู้สอน อธิบายวิธีการคานวณต้นทุนและการต้ังราคาขายไรแดงและผู้เรียนสามารถคานวณราคาขายไรแดง จากตน้ ทุนการผลิตไรแดงท่ผี สู้ อนกาหนดได้ 8.6 หากในวัตถุประสงค์เชิงพฤติกรรม ระบุให้ผู้เรียนปฏิบัติได้ ต้องสามารถทาให้ผู้เรียน สามารถปฏบิ ตั ติ ามคาแนะนาได้ เช่น ผสู้ อนสาธิตขัน้ ตอนการบรรจุถุงไรแดง และผเู้ รียนสามารถบรรจุ ถงุ ไรแดงไดถ้ ูกต้องตามคาแนะนา หลกั คดิ เพอ่ื สรา้ งสถานการณ์การเรยี นรู้ การสรา้ งสถานการณก์ ารเรียนรู้เปน็ สิ่งสาคัญมากในการจัดทาตารางการจัดประสบการณ์เพ่ือ การเรียนรู้ ทั้งน้ีเนื่องจาก ผู้สอนจะต้องสร้างกิจกรรมในเนื้อหาความรู้ท่ีต้องการให้ผู้เรียนเกิดการ เรียนรู้ โดยผู้เรียนจะต้องมีปฏิสัมพันธ์กับกิจกรรมในเน้ือหาความรู้ที่ผู้สอนสร้างข้ึนจนเกิดการเรียนรู้ ตามวตั ถุประสงคก์ ารสอนทผ่ี ู้สอนกาหนดไว้ “หลักคิด” เพ่ือสร้างสถานการณ์ให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้นี้ได้นาเอาหลักการ “ถอดรหัสคิด (Think: An Introductory Analysis)” ของ ดร.โสภณ ธนะมัย ซึ่งอธิบายกระบวนการคิด โดยใช้คา ว่า “ถอดรหสั คิด” การถอดรหัสความคิด “ความคดิ เกิดจากการเชอื่ มโยงเอาข้อเทจ็ จริงท่ีรู้มาก่อนกับ ข้อเทจ็ จริงทพ่ี บหรือไดร้ ับมาใหม่” โดยไดน้ าเสนอภาพของการเกดิ ความคิด เปน็ แผนผังโครงร่าง ดังน้ี โยง F2 F1 ข้อเทจ็ จริงท่ีรู้ ข้อเท็จจริงเหตุให้คดิ ผูก T ความคดิ ภาพที่ 4 โครงร่างแสดงการเกดิ ความคิด แผนผังโครงร่าง “ถอดรหัสคิด” มีข้อความหลักอยู่ 3 ข้อความ คือ ข้อเท็จจริงท่ีรู้ ซ่ึง ดร.โสภณ ธนะมัย กาหนดด้วยตัวอักษรย่อ เป็น F2 หรือ Fact 2 หมายถึงข้อเท็จจริงที่มีอยู่ก่อนแล้ว กับข้อเท็จจริงเหตุให้คิด กาหนดด้วยตัวอักษรย่อ เป็น F1 หรือ Fact 1 หมายถึงข้อเท็จจริงที่พบหรือ ได้รับ ซ่ึงเม่ือนาข้อเท็จจริงทั้งสองประการมาโยงหรือมาผูกกัน เกิดเป็น “ความคิด” ในใจเกิดขึ้น (ใช้คายอ่ วา่ T หรอื Thought )

18 จากโครงร่างการเกิดความคิด (Thought) เกิดจากการนาเอาข้อเท็จจริงที่รู้มาก่อนแล้ว (F2) มาเชื่อมโยงกับข้อเท็จจริงที่พบหรือได้รับมาซ่ึงเป็นข้อเท็จจริงเหตุให้คิด ดังตัวอย่างประสบการณ์ของ ดร.โสภณ ธนะมัย เรื่อง อนุสาวรีย์สุนทรภู่ ซ่ึงท่านได้เดินทางไปเที่ยวชมอนุสาวรีย์สุนทรภู่ท่ีจังหวัด ระยอง ตัวอนุสาวรีย์ถูกสร้างขึ้นอย่างสวยงาม มีการจัดภูมิทัศน์รอบอนุสาวรีย์อย่างสวยงามม าก เสียอย่างเดียว ทาไมจึงต้องมาต้ังอยู่ในสวนยางเสียได้ น่าจะไปตั้งอยู่ที่ริมทะเลให้สุนทรภู่ท่านน่ังชม ทะเลตามทีท่ า่ นชอบเหมือนกับสมยั เม่ือคร้ังที่ทา่ นยังมชี ีวิตอยู่ ถอดรหัสคิด 1. จดุ เร่มิ ตน้ ของการคิด คือ ดร.โสภณ ธนะมัย มีข้อเทจ็ จริงอยู่ก่อนแล้วว่า “สนุ ทรภ่ชู อบน่ัง ชมทะเลอยเู่ ป็นประจา ซ่งึ ประเดน็ น้ีคอื “ขอ้ เท็จจริงทีร่ ู้( F2 หรอื Fact 2) 2. ดร.โสภณ ธนะมัย มาพบข้อเท็จจริงอนุสาวรีย์สุนทรภู่ท่ีจังหวัดระยองต้ังอยู่ในสวนยาง ประเดน็ นี้คือ “ข้อเท็จจริงเหตุใหค้ ดิ ”( F1 หรอื Fact 1) 3. ดร.โสภณ ธนะมัยเกิดความคิดเกี่ยวกับอนสุ าวรยี ์สนุ ทรภู่ที่จังหวัดระยอง ว่า “อนุสาวรีย์ ของสนุ ทรภู่ควรสร้างอยู่รมิ ทะเลให้ท่านได้ชมทะเล เหมอื นกับสมยั เมอื่ ครั้งทท่ี า่ นยังมชี วี ติ อยู่ การถอดรหสั คดิ ของ ดร.โสภณ ธนะมยั ได้มาสร้างเป็นภาพแผนผังโครงร่างดังนี้ โยง F1 F2 ข้อเท็จจริงเหตุใหค้ ิด ข้อเทจ็ จริงที่รู้ (สุนทรภชู่ อบนงั่ ชมทะเล) (อนุสาวรียต์ ง้ั อยู่ในสวนยาง) ผูก T ความคดิ : อนสุ าวรยี ์สุนทรภู่ควรสรา้ งอยรู่ มิ ทะเล ภาพท่ี 5 แผนผังโครงรา่ งถอดรหสั คิด การสร้างสถานการณ์การเรยี นรสู้ ามารถนาเอาหลักการถอดรหัสคิดมาใช้ในการสร้างกจิ กรรม เพ่ือจัดประสบการณ์เพอื่ การเรียนร้ใู หผ้ ้เู รยี นได้บรรลุถึงวตั ถปุ ระสงค์ของการเรยี นรู้ได้ดังน้ี

19 1. “ข้อเท็จจริงท่ีรู้( F2 หรือ Fact 2) หมายถึง ส่วนเน้ือหาความรู้ที่เป็นความรู้เดิมของผู้เรียน หรือผู้สอนใหค้ วามรแู้ กผ่ เู้ รียน 2. “ข้อเท็จจริงเหตุให้คิด”( F1 หรือ Fact 1) หมายถึง กิจกรรมที่ผู้สอนเป็นผู้กาหนดให้ผเู้ รียน มปี ฏสิ มั พนั ธก์ ับ ขอ้ เทจ็ จรงิ ที่รู้ สามารถเขยี นเปน็ แผนผังโครงรา่ งถอดรหัสคดิ ดังนี้ โยง F1 F2 กจิ กรรมท่ีผ้สู อนกาหนด ความรูเ้ ดมิ / ใหผ้ ู้เรยี นปฏิบตั ิ ผู้สอนให้ความรู้ ผกู T ผ้เู รยี นเกดิ ความคิด : บรรลตุ ามวตั ถปุ ระสงคท์ ผี่ สู้ อนกาหนด ภาพท่ี 6 แผนผังโครงรา่ งถอดรหัสคดิ การประสบการณ์เพือ่ การเรยี นรู้ สอื่ ชว่ ยสอน สื่อช่วยสอนหมายถึง ส่ิงต่างๆ ท่ีเป็นบุคคล วัสดุ อุปกรณ์ ตลอดจนเทคนิควิธีการ ซ่ึงเป็น ตัวกลางทาให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรูต้ ามจุดประสงค์ของการเรียนการสอนท่ีกาหนดไว้ได้อย่างง่ายและ รวดเรว็ เป็นผลให้ผเู้ รียนเปล่ยี นแปลงพฤตกิ รรมไปตามวัตถุประสงค์การสอนได้อย่างถูกต้องเหมาะสม การเลอื กใชส้ ือ่ ช่วยสอนสาหรับสถานการณก์ ารเรยี นรู้ ในสถานการณ์การเรียนรู้น้ัน ผู้สอนได้กาหนดส่ือช่วยสอน (Instructional Media) ว่าสื่อ อะไรบ้างที่จะใช้ในการช่วยสอนเนอ้ื หาความรู้ที่ต้องการให้ผู้เรยี นเกิดการเรียนรู้ ช่วงเวลาก่อนท่ีจะมี เทคโนโลยีสารสนเทศเข้ามามีบทบาทในการสื่อสาร เคร่ืองช่วยสอนของผู้สอนหรือนักส่งเสริม การเกษตรที่ใช้ในการสอน การเผยแพร่ความรู้ เรียกว่า “โสตทัศนูปกรณ์”หรือ“โสตทัศนอุปกรณ์” (Audio-Visual Aids) คือ สิง่ ท่มี องเห็นได้ สงิ่ ทไ่ี ดย้ นิ เสียง(บุญธรรม, 2540) เชน่ ของจริง ของจาลอง รูปภาพ สไลด์ Power Point แผ่นใส แผ่นข้อความ บัตรข้อความ แผ่นภาพ ภาพถ่าย ภาพยนตร์ เอกสารสิง่ พิมพต์ า่ งๆ เป็นตน้

20 สื่อช่วยสอนท่ีผู้สอนจะใช้นั้น จะต้องสอดคล้องกับประเภทของเนื้อหาความรู้ท่ีต้องการให้ ผ้เู รียนเกดิ การเรียนรู้ ตวั อยา่ งเชน่ เนอ้ื หาความรู้ท่ีต้องการให้ผู้เรียนจดจาข้ันตอนการเพาะไรแดง ส่อื ช่วยสอนที่ต้องใช้ ได้แก่ Power Point ข้ันตอนการเพาะไรแดง ตัวไรแดงของจริง วัสดุอุปกรณ์การ เพาะไรแดงที่ใช้จริง เปน็ ต้น ภาพที่ 7 ส่ือชว่ ยสอน Power Point ขน้ั ตอนการเพาะไรแดง แตเ่ น้อื หาความร้ทู ีต่ อ้ งการให้ผเู้ รียนเกิดการเรียนรูภ้ าคปฏบิ ัติ สอื่ ช่วยสอนจะต้องช่วยใหผ้ เู้ รยี นได้ ฝึกปฏิบัติได้ เช่น เน้ือหาความรู้การบรรจุถุงไรแดง สื่อช่วยสอนจะต้องเป็นของจริง เช่น อุปกรณ์ สาหรับบรรจุ ถุงบรรจุไรแดง และตัวไรแดงของจริง เป็นต้น เพ่ือให้ผู้เรียนได้สัมผัสและฝึกใช้งานจริง และสามารถปฏบิ ตั ไิ ด้ นาสะอาด ด่างทับทมิ ไรแดง ถงุ ซิบบรรจุไรแดงไมม่ ีชีวติ ถงุ บรรจุไรแดงมีชวี ิต ยางมดั ถุง ภาพที่ 8 อุปกรณส์ าหรบั การบรรจถุ งุ การประเมนิ ผล คาภาษาอังกฤษ “Evaluation”น้ีมีความสับสนของคาไทยที่แปลว่า “การประเมิน”กับคา ไทยทีแ่ ปลโดยมีคาว่า “ผล”ต่อทา้ ย คือ แปลว่า “การประเมินผล”

21 ดร.โสภณ ธนะมัย ได้ให้ความหมายท่ีกระชับและส่ือให้เห็นถึงวิธีการของการประเมินผลใน การสอนวิชา“เทคนิคการวิจัยทางส่ิงแวดล้อมขั้นสูง” สาหรับนิสิตปริญญาเอก สาขาวิทยาศาสตร์ สิง่ แวดล้อม คณะสิง่ แวดลอ้ ม มหาวทิ ยาลยั เกษตรศาสตร์ (ลาวัณย์, 2561) Evaluation = measurement + judgement การประเมนิ ผล การวัดผล การตดั สิน การให้ความหมายในรูปสมการทาให้เข้าใจได้ง่ายข้ึน คือ การประเมินผลเป็นการตัดสินค่าที่ ได้จากการวัดผลสิ่งที่ต้องการจะประเมิน โดยในการจัดการเรียนการสอนนั้นเมื่อเสร็จสิ้นแต่ละภาค การศึกษาแล้ว ผู้สอนจะต้องออกคะแนนหรือเกรดแก่ผู้เรียนเพ่ือเป็นหลักฐานรับรองว่าผู้เรียนมี ผลสัมฤทธิก์ ารเรยี นมากน้อยเพียงใดน่ันเอง เช่น การวัดผลการเรยี นของผเู้ รียนวิชาโรคพยาธแิ ละศัตรู ของสตั ว์น้า ไดค้ ะแนนเท่ากบั 81 คะแนน (Measurement) การตัดสินผลการเรียนของรายวชิ านี้ตาม เกณฑ์ คอื ถา้ คะแนนมากกวา่ 80 คะแนนจะได้เกรดเอ (Judgement) ดงั นน้ั ประเมินผล ไดว้ า่ ผู้เรียน มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนในวิชานี้ในระดับดีมาก (Evaluation – การตัดสินค่าที่ได้จากการวัดผลตาม เกณฑ์) การประเมินผลตามตารางการจัดประสบการณ์เพ่ือการเรียนรู้ การประเมินผลการเรียนรู้ของผู้เรียนตามวัตถุประสงค์เชิงพฤติกรรมที่ผู้สอนต้องการ ให้ เกิดข้นึ ตอ่ ผู้เรยี นทันทีท่ีผเู้ รียนได้มปี ฏิสมั พนั ธ์กบั กิจกรรมการเรียนร้ทู ผ่ี ูส้ อนสร้างขนึ้ เชน่ ตาราง L.E. เรอ่ื ง วิธกี ารตรวจโรคสัตว์น้าท่เี กดิ จากปรสติ ภายนอกโดยใชก้ ลอ้ งจลุ ทรรศน์

22 ตัวอย่างการประเมินผล จากตาราง L.E วัตถุประสงค์เชงิ พฤติกรรม คือ“เพ่ือให้ผู้เรียนทุกคน สามารถปฏิบัติตามวิธีการตรวจโรคสัตว์น้าที่เกิดจากปรสิตภายนอกได้ตามลาดับข้ันตอน การ ประเมินผลเริ่มจากการวัดผล (Measurement) การใช้กล้องจุลทรรศน์ตรวจโรคสัตว์น้าท่ีเกิดจาก ปรสิตภายนอกตามลาดับข้ันตอนของผู้เรียนวา่ ถกู ต้องหรือไม่ การตัดสิน (Judgement) ก็คือ ถ้าผู้เรียนทุกคนสามารถ ใช้กล้องจุลทรรศน์ตรวจโรคสัตวน์ า้ ท่ีเกิดจากปรสิตภายนอกตามลาดับขั้นตอนถูกต้องในเวลา 10 นาที แสดงว่า ผู้เรียนทุกคนบรรลุ วัตถุประสงค์เชิงพฤติกรรมท่ีผู้สอนกาหนดไว้ กล่าวคือ ผู้เรียนทุกคนเกิดทักษะพิสัยระดับปฏิบัติได้ ภายใต้คาแนะนาแต่ถ้าผู้เรียนบางคนทาไม่ถูกต้องตามลาดับข้ันตอนแม้จะเสร็จทันในเวลา 10 นาที หรือทาถูกต้องตามลาดับข้ันตอนแต่ไม่สามารถทาได้เสร็จทันในเวลา 10 นาที แสดงว่า ยังไม่บรรลุ วตั ถุประสงค์ ในกรณีที่ไม่บรรลุวัตถุประสงค์ ผู้สอนต้องปรับสถานการณ์การเรียนรู้ขึ้นใหม่ และเม่ือมีการ ประเมนิ ผล พบวา่ ยังไม่บรรลุวตั ถปุ ระสงคก์ ็ตอ้ งปรับสถานการณก์ ารเรียนร้ขู ้นึ ใหม่อกี ครั้ง แต่กรณีท่ีมีผู้เรียนบางส่วนไม่สามารถใช้กล้องจุลทรรศน์ตรวจโรคสัตว์น้าที่เกิดจากปรสิต ภายนอกตามลาดับข้ันตอนได้ถูกต้องภายในเวลา 10 นาที ผู้สอนจาเป็นต้องปรับสถานการณ์การ เรียนรู้ใหม่ โดยสถานการณ์การเรียนรู้ที่ปรับใหม่น้ันจะต้องนาไปใช้กับผู้เรียนท่ียังไม่สามารถใช้กล้อง จุลทรรศน์ตรวจโรคสัตว์น้าที่เกิดจากปรสิตภายนอกตามลาดับข้ันตอนได้ถูกต้องภายในเวลา 10 นาที และปรับสถานการณ์การเรียนรู้จนกว่าผู้เรียนทุกคนสามารถใชก้ ล้องจุลทรรศน์ตรวจโรคสตั ว์น้าที่เกิด จากปรสิตภายนอกตามลาดับขน้ั ตอนได้ถกู ต้องภายในเวลา 10 นาที การกาหนดเกณฑ์ในการประเมินผลตามประสบการณ์เพื่อการเรียนรู้ ผู้สอนจะต้องกาหนดวิธีการประเมินผลให้สอดคล้องกับวัตถุประสงค์เชิงพฤติกรรมท่ีกาหนด ไว้ โดยพิจารณาถึง จานวนผู้เรียนที่จะต้องผ่านการประเมินตามวตั ถุประสงค์เชิงพฤติกรรม วิธีการ ประเมินตามวัตถุประสงค์เชิงพฤติกรรม และเวลาท่ีใช้ในการประเมิน ตัวอย่างเช่น วัตถุประสงค์เชิง พฤติกรรม คือเพ่ือให้ผู้เรียนทุกคนสามารถใช้กล้องจุลทรรศน์ตรวจโรคสัตว์น้าท่ีเกิดจากปรสิต ภายนอกตามลาดบั ขัน้ ตอนถูกตอ้ งในเวลา 10 นาที ดังได้กล่าวแล้วว่า การประเมินผลในเอกสารฉบับน้ี เป็นการประเมินผลการเรียนรู้ของ ผู้เรียนตามวัตถุประสงค์เชิงพฤติกรรมที่ผู้สอนต้องการให้เกิดขึ้นใน ผู้เรียนในทันที ท่ีผู้เรียนได้มี ปฏสิ มั พนั ธ์กับกิจกรรมการเรียนร้ทู ผ่ี สู้ อนสร้างขึ้น การประเมินผลตามประสบการณ์เพ่ือการเรียนรู้ จึง ช่วยให้ผู้สอนทราบว่า ผู้เรียนคนใดเกิดการเรียนรู้ตามวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้ ผู้เรียนคนใดยังต้อง ปรับปรุง ซึ่งเป็นหน้าท่ีของผู้สอนจะต้องปรับสถานการณ์การเรียนรู้ข้ึนใหม่ สาหรับผู้เรียนคนนี้หรอื กลุ่มนี้ จึงถือได้ว่า เป็นโอกาสท่ีจะนาผู้เรียนทั้งหมด ท่ีผู้สอนต้องรับผิดชอบให้บรรลุวัตถุประสงค์ไป พรอ้ มกันทุกคน นอกจากน้ีวิธีการประเมินผล ตามประสบการณ์เพ่ือการเรียนรู้น้ี ทาได้ง่าย ไม่ยุ่งยากเพียง สังเกตผู้เรียนจากการท่ีผู้สอนให้ผู้เรียน“พูด” (บอก อธิบาย) “เขียน” และ “กระทา” ว่า สอดคล้อง กับ “วัตถุประสงค์เชิงพฤติกรรม” ท่ีผู้สอนกาหนดไว้หรือไม่เท่านั้น ซึ่งต่างจากวิธีการประเมินผลท่ี

23 นิยมใช้วิธีการทางสถิติเข้ามาช่วยในการสร้างเคร่ืองมือการวัดผลทางการเรียน เช่น การสร้าง แบบทดสอบ ซง่ึ ตอ้ งใช้ความร้ทู างวชิ าการเฉพาะ จงึ จะสามารถสรา้ งไดอ้ ย่างถูกต้อง ข้อบกพร่องอีกประการหนึ่งของวิธีการประเมินผลการเรียนท่ีใช้กันอยู่ คือ เป็นการจัด ประเภทของผู้เรียน ได้แก่ ผู้เรียนกลุ่มเก่ง ผู้เรียนกลุ่มอ่อน และผู้เรียนกลุ่มไม่ผ่านเกณฑ์มาตรฐานที่ กาหนด เหตุการณ์น้ีนับว่าสร้างความเสียหายต่อการศึกษาเป็นอย่างย่ิง โดยเฉพาะสาหรับอาชีพ ผู้สอน เนื่องจากเม่ือผู้สอนถูกกาหนดให้ประเมินผล เม่ือสอนได้ครึ่งเทอมและเม่ือสิ้นเทอม ผู้สอนจึง ไม่มีโอกาสท่ีจะปรับปรุงการสอนในระหว่างทางก่อนถึงส้ินเทอม และเม่ือผลการประเมินออกมาว่า ผเู้ รียน”สอบตก” ผูส้ อนจึงไมม่ ีเหตผุ ลท่ีจะอธิบายตอ่ สังคมว่า เพราะอะไรจงึ เปน็ เชน่ นน้ั ในทา้ ยที่สดุ ขอยกคากลา่ วของนักวชิ าการการศึกษา ดา้ นการประเมนิ ท่ีได้กล่าวเอาไว้ในหนังสือ ช่ือ“การประเมินในช้ันเรียน”ในหน้า“คานา” ดงั น้ี ...การทผ่ี ู้เรียนจะเรยี นรู้หรือไม่ ไมไ่ ด้อยทู่ ก่ี ารประเมิน อยูท่ ก่ี ารสอนและกิจกรรมการ เรียน การประเมินเพียงแต่เป็น การชี้บ่งว่า ผู้เรียนได้เรียนรู้ในสิ่งเหล่าน้ีแล้วหรือยัง ยงั ขาดตกบกพรอ่ งในสิง่ ใดบ้าง… ( ดร.โกวทิ ประวาลพฤกษ์ และสมศักด์ิ สินธุระเวชญ์, 2523 )

24 ส่วนที่ 2 การสรา้ งประสบการณ์เพื่อการเรียนรู้ ประสบการณ์การเพ่ือการเรียนรู้ประกอบไปด้วย 6 องค์ประกอบคือ เน้ือหาความรู้ วัตถุประสงค์การสอน วัตถุประสงค์เชิงพฤติกรรม สถานการณ์การเรียนรู้ ส่ือช่วยสอนและการ ประเมินผล ซงึ่ สามารถนามาสรา้ งเปน็ ตารางประสบการณเ์ พ่อื การเรียนรู้ ดังภาพ สถานการณก์ ารเรียนรู้ เน้ือหา วัตถุประสงค์ วัตถุประสงค์ กิจกรรมการเรยี นรู้ใน กิจกรรมที่ สือ่ ชว่ ย ประเมินผล ความรู้ การสอน เชิงพฤติกรรม เน้ือหาความรูท้ ่ีผูส้ อน ผ้เู รยี นกระทา สอน สร้างขึ้นสร้างขึน้ ภาพที่ 9 ตารางประสบการณเ์ พือ่ การเรยี นรู้ ขนั ตอนการสรา้ งประสบการณเ์ พื่อการเรยี นรู้ องค์ประกอบของประสบการณ์เพ่ือการเรียนรู้มีท้ังหมด 6 องค์ประกอบ (ลาวัณย์, 2561) และมขี นั้ ตอนในการสรา้ งตารางประสบการณ์การเพ่ือการเรียนรู้ 6 ขน้ั ตอนดงั นี้ ขันท่ี 1 วิเคราะหแ์ ละเรียบเรียงเนือหาความรู้ เป็นการวิเคราะห์ว่าเนื้อหาความรู้เป็นเนื้อหาประเภทใด เป็น Knowing หรือ Doing จากน้ันจึงเรียบเรียงเนื้อหาให้สอดคล้องกับประเภทของเนื้อหาน้ัน ๆ ซ่ึงจะได้เป็นเนื้อหาความรู้ใส่ลงในตารางช่องท่ี 1 (เน้ือหาความรู้) เนื้อหาความรู้ต้องมีความสัมพันธ์กับวัตถุประสงค์การสอน เนื่องจากเนื้อหาความรู้เป็นตัวกาหนดระดับของวัตถุประสงค์การ สอน ในขณะเดียวกันวัตถุประสงค์การสอนเป็นตัวกาหนดลักษณะ ของการเรียบเรยี งเนื้อหา ขันท่ี 2 กาหนดวัตถปุ ระสงค์การสอน การกาหนดวัตถุประสงค์การสอนนี้ จะต้องวิเคราะห์ความสัมพันธ์เนื้อหาความรู้จากช่อง ตารางท่ี 1 ว่าควรจะตรงกบั วัตถุประสงค์การสอนด้านพุทธิพิสยั ทกั ษะพิสัย หรือเจตพิสัย ในระดับใด แลว้ ใส่ลงในตารางชอ่ งท่ี 2 (วัตถุประสงคก์ ารสอน)

25 ขันที่ 3 กาหนดวตั ถปุ ระสงคเ์ ชงิ พฤติกรรม การกาหนดวัตถุประสงคเ์ ชิงพฤติกรรมเปน็ การขยายความวัตถปุ ระสงค์การสอนให้เห็นภาพ ของพฤติกรรมที่ผู้เรียนต้องแสดงออกว่าจะบรรลุ วัตถุประสงค์การสอนที่ตั้งไว้หรือไม่ แล้วใส่ลงในตาราง ช่องท่ี 3 (วัตถุประสงค์เชิงพฤติกรรม) วัตถุประสงค์เชิง พฤติกรรมต้องมีความสัมพันธ์กับวัตถุประสงค์การสอน เน่อื งจากการกาหนดวตั ถุประสงค์เชงิ พฤติกรรมเป็นการ ขยายความเพ่ือให้วัตถุประสงค์การสอนมีความชัดเจน และสามารถวัดได้จริง และวัตถุประสงค์เชิงพฤติกรรมเป็นตัวกาหนดสถานการณ์การเรียนรู้ ทั้ง กิจกรรมการเรียนรทู้ ผี่ ู้สอนสร้างข้นึ และกิจกรรมท่ีผู้เรยี นกระทา ขนั ที่ 4 กาหนดสถานการณ์การเรยี นรู้ ผู้สอนกาหนดกิจกรรมเพื่อให้เน้ือหาความรู้แก่ผู้เรียน น้ันก็คือ เป็นกิจกรรมเพ่ือสร้าง ข้อเท็จจริงที่รู้ (F2) ให้แก่ผู้เรียน (เป็นหน้าท่ีของผู้สอนที่ต้องให้เน้ือหาความรู้แก่ผู้เรียน) และกาหนด กิจกรรมเพื่อให้ผู้เรียนได้คิด นั้นก็คือ กิจกรรมเพื่อสร้างข้อเท็จจริงเหตุให้คิด (F1) (เป็นหน้าที่ของ ผู้สอนท่ีกาหนดให้ผู้เรียนมีปฏิสัมพันธ์กับสถานการณ์การเรียนรู้ที่ผู้สอนสร้างขึ้น) ใส่ลงในตารางช่อง กจิ กรรมทผ่ี สู้ อนสร้างขนึ้ การกาหนดกิจกรรมให้ผูเ้ รียนกระทากิจกรรมเพื่อใหไ้ ดร้ ับข้อเท็จจริงทร่ี ู้ (F2) และได้รับข้อเท็จจริงเหตุใหค้ ิด (F1) นั้นก็เพ่ือให้ผู้เรียนได้มีปฏิสัมพันธก์ ับเน้ือหาความรู้ใสล่ งในตาราง ช่องกิจกรรมท่ีผู้เรียนกระทา การกาหนดสถานการณ์การ เรียนรู้นนั้ จะต้องสอดคล้องกับ วัตถุประสงค์เชิงพฤติกรรม ดว้ ย ขันท่ี 5 กาหนดสอื่ ชว่ ยสอน ให้ระบุส่ือช่วยสอน ซ่ึงต้องสอดคล้องกับส่ือช่วยสอนท่ีกาหนดไว้ในกิจกรรมการเรียนรู้ใน เนื้อหาความรู้ที่ผู้สอนสร้างข้ึน และกิจกรรมที่ผู้เรียนกระทา ใส่ลงในตารางช่องที่ 5 (ส่ือช่วยสอน) สถานการณ์การเรียนรู้เป็นตัวกาหนดส่ือช่วยสอน โดยสื่อนั้น ๆ จะต้องสอดคล้องกับกิจกรรมการ เรียนรู้ท่ีผู้สอนสร้างข้ึน แ ล ะ ส อ ด ค ล้ อ ง กั บ กิจกรรมทีผ่ ู้เรียนกระทา

26 ขนั ท่ี 6 กาหนดการประเมนิ ผล กาหนดการประเมินผลให้สอดคล้องกับวัตถุประสงค์เชิงพฤติกรรมที่กาหนดไว้ ใส่ลงใน ตารางช่องท่ี 6 (การประเมินผล) การประเมินผลเป็นการตัดสินค่าท่ีได้จากการเรียนรู้ของผู้เรียนตาม วัตถุประสงคเ์ ชงิ พฤติกรรมทไ่ี ดก้ าหนดไว้ จะเห็นได้ว่า องค์ประกอบท้ัง 6 องค์ประกอบของตารางประสบการณ์เพ่ือการเรียนรู้ จะมี ความสมั พันธ์เชื่อมโยงกัน ดงั ภาพ

27 ตวั อย่างประสบการณเ์ พื่อการเรียนรู้ ประสบการณ์เพ่ือการเรียนรู้ 6 องค์ประกอบนามาสร้างเป็นประสบการณ์เพื่อการเรียนรู้ แสดง ตวั อย่างได้ดงั น้ี

ตารางที่5 การสรา้ งประสบการณเ์ พ่อื การเรียนรู้ การเพาะเล้ียงไรแดงเพ่อื การคา้ เรื่องล เนือหาความรู้ วัตถุประสงค์ วตั ถปุ ระสงค์ การสอน เชิงพฤตกิ รรม กจิ กรรมการเรียนรใู้ นเนอื ห เนอื หา Knowing พุทธิพิสัย ผเู้ รยี น F1.1 ผสู้ อนใหผ้ เู้ รยี นทดส ความคดิ รวบยอด นาไปใช้ สามารถแยก นาภาพไรแดงและแพลงก ลกั ษณะของไรแดง ภาพ ไรแดง 10 ภาพ ให้ผเู้ รียนแยกแย 1.เปน็ สตั วไ์ ม่มีกระดูกสนั หลงั เพอื่ ให้ผู้เรยี น ออกจากภาพ F2.1 ผสู้ อนแจกตวั อย่างไ จาพวกกุ้ง สามารถนา แพลงก์ตอน พจิ ารณาลักษณะของไรแ 2.เปน็ แพลงกต์ อนสัตว์ ลักษณะ ชนิดอื่นๆได้ เปล่า จากน้ันนาไปสอ่ งก 3 ลาตวั รปู ไข่ สเี หลืองสม้ หรอื สี รปู รา่ งของไร อยา่ งถูกต้อง นาท)ี แดง แดงไปใช้ ในเวลา 5 นาที F2.2 ผสู้ อนอธิบายลักษณ 4.มขี นาด 0.4-1.8 มิลลิเมตร แยกแยะไร Power Point และแจกใ ลักษณะเดน่ (5 นาที) 5.ร่างกายประกอบด้วย สว่ นหวั แดงออกจาก F1.2 ผู้สอนใหผ้ เู้ รียนแยก และลาตัว แพลงก์ตอน ภาพแพลงกต์ อนสตั ว์ชนดิ นาที 6. มีแผ่นเปลือก ปกคลุม ชนดิ อ่ืนได้ F1.3 ผสู้ อนใหผ้ ู้เรียนทดส ร่างกาย ลกั ษณะเปลือกเป็น 2 แยกภาพไรแดงออกจากภ ชนดิ อน่ื ให้เสรจ็ ภายใน 5 ฝา 7. มีตาประกอบ 1 คู่ มีหนวด 2 คู่ หนวดคแู่ รกเลก็ หนวดคูท่ ี่ 2 มขี นาดใหญ่ อยู่ด้านข้างของหวั มขี าอก 5 คู่ F1.4 ผู้สอนใหผ้ ู้เรยี นช่ว ภาพไรแดงออกจากภาพแ อ่ืน

28 ลักษณะของไรแดง สถานการณก์ ารเรียนรู้ สื่อช่วย การ สอน ประเมนิ ผล หาความรู้ทผี่ สู้ อนสร้างขึน กจิ กรรมท่ีผู้เรียนกระทา 1. ภาพไร ผเู้ รยี นทกุ สอบกอ่ นเรยี นโดยการ ผเู้ รยี นทดสอบก่อนเรยี นโดยการ แดงและ คนสามารถ แพลงก์ตอน แยกภาพ ก์ตอนสตั วช์ นดิ ต่างๆ แยกแยะภาพไรแดงและแพลงก์ สตั วช์ นิด ไรแดงออก ต่างๆ จากภาพ ยะภาพไรแดง ตอนสัตวช์ นดิ ตา่ งๆ 10 ภาพ 2. ตัวไรแดง แพลงกต์ อน 3. บกี เกอร์ สตั วช์ นดิ ไรแดง โดยให้ผ้เู รยี น ผเู้ รยี นพิจารณาลกั ษณะของไร 4. กล้อง อ่นื ๆ ได้ จลุ ทรรศน์ อย่างถูกตอ้ ง แดงในบกี เกอรด์ ว้ ยตา แดงดว้ ยตาเปล่าต่อจากนั้นนาไป 4. Power ในเวลา 5 Point นาที กล้องจลุ ทรรศน์ (10 ส่องดดู ้วยกลอ้ งจลุ ทรรศน์ 5. แบบ บันทึกการ ณะเด่นของไรแดง ดว้ ย ผู้เรยี นฟงั และบันทกึ ลักษณะ เปรียบเทยี บ ใบงานใหผ้ ้เู รยี นบนั ทกึ เด่นของไรแดง นาสง่ ผู้สอน ลักษณะ ไร แดง กภาพไรแดงออกจาก ผู้เรยี นดภู าพไรแดง ภาพแพลงก์ ดอน่ื ใหเ้ สรจ็ ภายใน 5 ตอนสัตว์ชนิดอืน่ ๆ สอบหลงั เรียน โดยการ ผเู้ รยี นแยกภาพไรแดงออกจาก ภาพแพลงก์ตอนสัตว์ แพลงกต์ อนสัตว์ชนดิ อน่ื ๆ 5 นาที ภายใน 5 นาที วยกันเฉลยการแยก ผเู้ รยี นชว่ ยกันเฉลยการแยกภาพ แพลงกต์ อนสัตวช์ นดิ ไรแดง

ตารางท่ี6 การสรา้ งประสบการณ์เพอ่ื การเรยี นรู้ การเพาะเลยี้ งไรแดงเพอ่ื การคา้ เรอื่ งก เนอื หาความรู้ วตั ถปุ ระสง วตั ถุประสง สถา ค์การสอน คเ์ ชงิ กิจกรรมการเรียนรู้ในเนือหาความรทู้ ผ่ี ้สู อ พฤตกิ รรม เนือหา Knowing พทุ ธพิ สิ ัย เพอ่ื ให้ผู้เรยี น F1.1 ผสู้ อนให้ผ้เู รยี นทดสอบกอ่ นเรยี น ความคิดรวบยอด นาไปใช้ สามารถแยก ภาพไรแดงเพศผู้ และเพศเมยี จานวน 1 การแยกเพศไรแดง เ พื่ อ ใ ห้ ภ า พ แ ส ด ง ผู้ เ รี ย น เ พศ ผู้ เ พศ F2.1 ผู้สอนอธิบาย “ลักษณะไรแดงเพศ ไรแดงเพศเมยี มีตวั อ่อนหรอื ถุงไข่บน ส า ม า ร ถ เ มี ย ข อ ง ไ ร ดว้ ย Power Point (5 นาท)ี F1.2 ผู้สอนให้ผู้เรียนดู “ตัวอย่าง ไรแ หลัง มีขนาดใหญ่ จาแนกเพศ แดง จานวน เพศผู้” ด้วยกล้องจุลทรรศน์ เปรียบเทยี ลาตัวอ้วนกลม มี เ มี ย แ ล ะ 10 ภาพ ได้ แดงเพศผูแ้ ละเพศเมีย (5 นาที) ขนาดเฉลี่ย 1.25 เพศผู้ของไร ถู ก ต้ อ ง ใ น แดงได้ เวลา 5 นาที F1.3 ผู้สอนให้ผู้เรียนบันทึก ความแ มิลลเิ มตร เพศท้ัง 2 ลงในกระดาษ แล้วนาสง่ ผสู้ อน ไรแดงเพศผู้ F2.2 ผู้สอนแจกภาพไรแดงเพศเมีย เ มีขนาดเล็กและลาตัว ผเู้ รียนแยกภาพจานวน 10 ภาพภายใน ยาวกว่าเพศเมีย มี ขนาดเฉลย่ี 0.6 F1.4 ผู้สอนให้ผเู้ รียนทดสอบหลังเรียน มิลลิเมตร ภาพไรแดงเพศผู้ และเพศเมีย ให้เสร นาที F1.5 ผู้สอนให้ผู้เรียนช่วยกันเฉลยการ แดงเพศผู้ และเพศเมยี

29 การแยกเพศไรแดง านการณก์ ารเรียนรู้ กิจกรรมทผ่ี เู้ รียนกระทา ส่อื ช่วย การ สอน ป ร ะ เ มิ น อนสร้างขนึ ผล โดยการแยก ผู้เรียนทดสอบก่อนเรียน โดยการภาพ 1.Power ผู้ เ รี ย น 10 ภาพ ไรแดงเพศผู้ และเพศเมีย จานวน 10 Point ส า ม า ร ถ ลั ก ษ ณ ะ ไ ร แยกภาพ ศเมีย เพศผู้” ภาพ แดงเพศเมีย แสดงเพศผู้ ผู้เรียนฟังคาอธิบายพร้อมดู Power เพศผู้ และ เ พ ศ เ มี ย Point ภาพไรแดง ของไรแดง แดงเพศเมีย ผเู้ รยี นดูตัวอยา่ ง ไรแดงเพศเมีย เพศ 2. ตวั ไรแดง จานวน 10 ยบกับภาพไร ผู้” ด้วยกล้องจลุ ทรรศน์ เปรยี บเทยี บ 3. ก ล้ อ ง ภ า พ ไ ด้ จลุ ทรรศน์ ถูกต้องใน กับภาพ ไรแดงเพศผูเ้ พศเมีย 4. กระดาษ A เ ว ล า 5 แตกต่างของ ผเู้ รยี นบนั ทึกความแตกตา่ งของเพศท้ัง 4สาหรับจด นาที น (5 นาท)ี 2 ลงในกระดาษ แล้วนาส่งผูส้ อน บันทึก เพศผู้เพื่อให้ ผู้เรียนแยกภาพไรแดงเพศผูเ้ พศเมยี 5 นาที โดยการแยก ผู้เรียนทดสอบหลงั เรยี น ร็จภายใน 5 รแยกภาพไร ผู้เรียนช่วยกันเฉลย การแยกภาพไร แดง เพศผู้ และเพศเมีย

ตารางท่ี 7 การสรา้ งประสบการณ์เพอื่ การเรียนรู้ การเพาะเลย้ี งไรแดงเพื่อการคา้ เร่ือง เนือหาความรู้ วตั ถปุ ระสงค์ วตั ถุประสงค์ การสอน เชิงพฤติกรรม กิจกรรมการเรียนรูใ้ นเนอื เนือหา Knowing พทุ ธพิ ิสัย ผู้เรียนสามารถ 1 ผสู้ อนให้ผเู้ รยี นทา ขอ้ เทจ็ จรงิ เฉพาะจงจง จา บอกชนิดของ 1 บ่อซีเมนต์เพาะไรแดง ขนาด เพื่อให้ผู้เรียน วัสดุ อุปกรณ์ที่ 2 ผู้ ส อ น น า ผู้ เ รี ย 4×5×1 เมตร พ้ืนบ่อฉาบและขัด จ า ช นิ ด ข อ ง ใ ช้ ใ น ก า ร เพาะเลี้ยงไรแดง แล มันเพ่ือให้น้าหมุนเวียนได้สะดวก วัสดุ อุปกรณ์ เ พา ะ เ ลี้ยงไร วสั ดุ อปุ กรณท์ ี่ใชใ้ นฟ เกิดการย่อยสลายของปุ๋ยและ ที่ ใ ช้ ใ น ก า ร แดงได้ถูกต้อง กระดาษ A4 และอาหารได้ดี มีทางน้าเข้าออก เพาะเลี้ยงไร ค ร บ ถ้ ว น 10 สะดวก บ่ออยกู่ ลางแจง้ แดงได้ รายการ ภายใน 2 ปมั้ ลม ช่วยเพมิ่ ปรมิ าณออกซิเจน เวลา 5 นาที 3 ผู้สอนสรุป วัสดุ อ เร่งการเจริญเติบโตของน้าเขียว ไรแดง โดยให้ดูแผนผ และไรแดง และลดความเป็นพิษ กระดานไวท์บอร์ด ร ของน้า ทีละรายการ และให 3 ผา้ กรองน้าตาถี่ สาหรบั กรองน้าที่ รายการวัสดุ อุปกรณ นาเข้าบ่อเพ่ือไม่ให้ศัตรูไรแดงเข้า ครบถ้วน มาในบ่อเล้ียง และใช้เพ่ือเก็บ เก่ียวผลผลิตไรแดง 4 ผู้สอนให้ผู้เรียน 4 หัวเช้ือน้าเขียว หรือคลอเรลล่า อุปกรณ์ที่ใช้ในฟาร์ม เ ป็ น แ พ ล ง ก์ ต อ น พื ช ข น า ด เ ล็ ก ให้ผู้เรียนบอกช่ือทีล เ ซ ล ล์ เ ดี ย ว ที่ มี คุ ณ ค่ า ท า ง อปุ กรณ์ของจรงิ ทผี่ สู้ โภชนาการสูง ใช้ในการเพาะเล้ียง ไรแดง

30 งวัสดุอุปกรณท์ ใ่ี ชใ้ นการเพาะไรแดง สถานการณก์ ารเรยี นรู้ สื่อช่วย ประเมนิ ผ สอน ล อหาความรู้ท่ผี สู้ อนสร้างขนึ กิจกรรมที่ผู้เรียนกระทา 1 ผ้เู รยี น าแบบทดสอบก่อนเรียน 1 ผู้เรียนทาแบบทดสอบ แบบทดส สามารถ อบก่อน บอกชนิด กอ่ นเรียน และหลงั ของวัสดุ เรยี น อปุ กรณ์ท่ี นทั ศ นศึ ก ษา ฟา ร์ ม 2 ผู้เรียนทัศนศึกษาฟาร์ม 2 ฟาร์ม ใช้ในการ เพาะพันธ์ุ เพาะเลย้ี ง ละให้ผู้เรียนจดบันทึก เพาะเลี้ยงไรแดง และจด ไรแดง ไรแดงได้ 3 วัสดุ ถูกต้อง ฟาร์มเพาะไรแดง ลงใน บันทึกวัสดุ อุปกรณ์ท่ีใช้ใน อปุ กรณ์ท่ี ครบถว้ น ใชใ้ น 10 ฟาร์มเพาะไรแดง โดยการ ฟาร์ม รายการ เพาะพันธ์ุ ภายใน สั ง เ ก ต บั น ทึ ก ล ง ใ น ไรแดง เวลา 5 4 สูตรปยุ๋ นาที กระดาษ A4 อาหารที่ ใช้ใน อุปกรณ์ท่ีใช้ในการเพาะ 3 ผู้ เ รี ย นฟังส รุ ป วัส ดุ ฟารม์ เพาะไร ผงั Mind Mapping ใน อุปกรณ์ที่ใช้ในการเพาะไร แดง ร่วมกับการให้ดูของจรงิ แดง และบันทึกเพิ่มเติม ห้ผู้เรียนบันทึกเพิ่มเติม รายการวัสดุ อุปกรณ์ใน ณ์ในกระดาษA4 ทยี่ งั ไม่ ก ร ะ ด า ษ A4 ที่ ยั ง ไ ม่ ค ร บ ถ้วน จ นค ร บถ้วน สมบูรณ์ ร่วมกันบอกช่ือวัสดุ 4 ผู้เรียนร่วมกันบอกชื่อ มเพาะพันธุ์ไรแดง โดย วัสดุ อุปกรณ์ที่ใช้ในฟาร์ม ละรายการ จากสื่อวัสดุ เ พา ะ พันธ์ุไ ร แ ด ง โ ด ย สอนถาม ผูเ้ รียนบอกช่อื ทลี ะรายการ จากสื่อวัสดุ อุปกรณ์ของ จรงิ ทีผ่ สู้ อนถาม

เนอื หาความรู้ วตั ถปุ ระสงค์ วตั ถุประสงค์ กิจกรรมการเรยี นรู้ในเนือ การสอน เชิงพฤตกิ รรม 5 หวั เชอื้ ไรแดง ใช้สาหรับแพรพ่ ันธุ์ 5 ผสู้ อนทดสอบผูเ้ รยี 6 เครื่องชั่ง ขนาด 5 กิโลกรัม ให้ สาหรับชั่งปุ๋ย อาหารสาหรับเพาะ ไรแดง 7 อุปกรณ์ที่ใช้กวนน้า เพื่อให้ปุ๋ย อาหารไรแดงท่ีใส่ลงในบ่อเลี้ยง ละลายเข้ากนั ดี 8 ปุ๋ยและอาหารสาหรับเพาะน้า เขียวในบ่อ ขนาด จุน้า 10 ลบ.ม. คือ ปุ๋ยสูตร 4 สูตรเกษตรควน พลอง ได้แก่ อามิ-อามิ 2 ลิตร ป๋ยุ นา 16-20-0 ½ กก. ปุ๋ยยูเรีย ½ กก. ปูนขาว 1 กก. อาหารหมู ½ กก. และ ราละเอียด ½ กก.

31 สถานการณ์การเรียนรู้ ส่ือช่วย ประเมนิ ผ ล อหาความร้ทู ี่ผูส้ อนสร้างขึน กจิ กรรมทีผ่ เู้ รียนกระทา สอน ยนหลงั เรยี น 5 ผู้เรียนทาแบบทดสอบ 5 หลังเรียน กระดาษ A4 6 ภาพ แผนผัง ความคิด ใน กระดาน ไวทบ์ อร์ด

ตารางที่ 8 การสรา้ งประสบการณเ์ พ่ือการเรียนรู้การเพาะเล้ยี งไรแดงเพ่ือการค้าเร่ืองข เนือหาความรู้ วัตถปุ ระสง วัตถปุ ระสงค์ ค์การสอน เชิงพฤติกรรม กิจกรรมก เนือหา Knowing พุทธพิ ิสยั เพ่ือให้ผู้เรียน F2.1: ผ้สู อ ข้อเท็จจรงิ เกณฑ/์ มาตรฐาน จา เ ขี ย น ส รุ ป เพาะเลีย้ งไ ข้นั ตอนการเพาะเลยี้ งไรแดง ขั้นต อนการ Power P 1.ตากบ่อทง้ิ ไว้ 1 วัน เพอื่ ให้ผ้เู รียน เพาะเล้ียงไร F2.2 ผู้สอน 2.เปิดน้าและกรองลงบ่อให้ได้ระดับความลึก สามารถสรุป แ ด ง ไ ด้ ฟารม์ เพาะ 20เซนตเิ มตร ปริมาตรน้า 10 ลูกบาศกเ์ มตร ขั้นตอนการ ถู ก ต้ อ ง ต า ม นครศรีธรร 3.ละลายอาหารเพาะเลี้ยงไรแดงโดยผา่ นอวนไน เพาะเล้ียงไร ขั้ น ต อ น ใ น F1.2: ผู้สอ ล่อนสีฟ้าตามสูตรที่กาหนดพร้อมเติมอากาศลง แดงได้ เวลา 10 นาที เขียนสรุป” ในน้า ไ ร แ ด ง เ ป 4.เติมน้าเขียว (Chlorella) ลงในบ่อประมาณ กระดาษ A 1,000ลิตร (1 ตัน) ทิ้งไว้ประมาณ 3 วัน เพือ่ รอ ให้น้ามีสีเขียวของChlorella มากขึ้นในระหว่าง F2.3, 1.3 น้คี วรคนน้าบอ่ ยๆเพื่อปอ้ งกนั การตกตะกอน ร่ ว ม กั น 5.เติมน้าสะอาดโดยผ่านผ้ากรองให้ได้ระดับ เ พ า ะ เ ลี้ ย ความลึก 40 – 50 เซนติเมตร คนน้าในบ่อให้ Power Po ทว่ั ทิง้ ไว้ 1 วนั 6. นาพันธ์ุไรแดงใส่ลงไปบ่อจานวน 2กิโลกรัม ทง้ิ ไวป้ ระมาณ 2วันสามารถเกบ็ เกีย่ วไรแดงได้ 7.เก็บเกย่ี วไรแดงโดยใชถ้ งุ กรอง

32 ขน้ั ตอนการเพาะเลย้ี งไรแดง สถานการณ์การเรียนรู้ สื่อชว่ ย การ สอน ประเมนิ ผล การเรียนรูใ้ นเนอื หาความรู้ กจิ กรรมทีผ่ ู้เรียนกระทา ที่ผสู้ อนสรา้ งขนึ อนอธบิ าย “วธิ กี าร ผเู้ รยี นฟงั และดู 1. Power ผู้เรียนเขียน ไรแดง” โดยใช้ Power Point และวีดิ Point สรุปขั้นตอน Point และวดี ิทศั น์ ทศั น์ การ การ นนาผู้เรียนทัศนศึกษา ผู้เรียนทัศนศกึ ษาฟารม์ เพาะเล้ียง เพาะเล้ียงไร ะเลยี้ งไรแดงของ วษ.ท. เพาะเล้ียงไรแดงของ ไรแดง แดง ได้ รมราช วษท.นครศรีธรรมราช 2. วีดิทศั น์ ถูกต้องตาม อนให้ผู้เรียนแต่ละคน ใ ห้ ผู้ เ รี ย นแ ต่ ล ะ ค น การ ข้นั ตอน ใน ”ขัน้ ตอนการเพาะเลี้ยง เขียนสรุป”ข้ันตอนการ เพาะเล้ียง เวลา 10 ป็ น Flow Chart ใ น เพาะเลี้ยงไรแดงเป็น ไรแดง นาที A4 Flow Chart ใ น 3. ฟ า ร์ ม กระดาษ A4 เพาะเล้ียง 3: ผู้สอนและผู้เรียน ผู้ ส อ น แ ล ะ ผู้ เ รี ย น ไรแดง ส รุ ป ข้ั น ต อ น ก า ร ร่วมกันสรุปขั้นตอน ว ษ ท . ยงไรแดง ประกอบ การเพาะเล้ยี งไรแดง นครศรีธร oint รมราช

ตารางท่ี 9 การสร้างประสบการณเ์ พอ่ื การเรียนรู้การเพาะเล้ียงไรแดงเพ่ือการค้าเรื่องข เนอื หาความรู้ วัตถุประสง วัตถปุ ระสงค์เชิง กจิ กรรมการเรียนรู้ในเ คก์ ารสอน พฤตกิ รรม ผสู้ อนสรา้ ง เนอื หา Doing ข้นั ตอนการบรรจุไรแดง ทกั ษะพิสัย เพอื่ ให้ผูเ้ รยี น F1.1 ผสู้ อนให้ผ้เู รยี 1. การบรรจุแบบมีชีวิตใน ปฏิบตั ไิ ด้จน สามารถบรรจุไร แบบทดสอบก่อนเร ถงุ พลาสติก คล่อง แดงดว้ ยตนเอง นาที 1.2 เตรยี มน้าสะอาดใส่ในอา่ ง ไดอ้ ย่างถกู ต้อง F2.1 ผสู้ อนอธบิ ายข เพ่ือใหผ้ ูเ้ รยี น ตามขั้นตอน บรรจุ สาหรับพกั ไรแดง สามารถ ภายในเวลา 15 ไรแดง โดยใช้ส่อื Po ใส่ด่างทบั ทิม (0.1 กรมั ละลายนา้ 20 บรรจุ ไรแดง นาที ประกอบ ลิตร) ให้มสี ีชมพอู อ่ น นาไรแดงลงไป ด้วยตนเอง F1.2 ผู้สอนให้ผู้เรีย แช่ประมาณ 5 นาที เพอื่ ฆ่าเชือ้ โรค ท้งั 2 วธิ ไี ด้ “ขั้นตอนการบรรจ กรองด้วยสวิงผ้าโอร่อน อยา่ ง กระดาษ แล้วนาสง่ 1.2 เตรยี มถุงพลาสตกิ ขนาดต่างๆ คล่องแคล่ว กนั ตามปรมิ าณการซอ้ื กรณีขนสง่ F2.2 ผู้สอนสาธิตข ทางไกลมักจะใช้ซ้อนกนั 2-3 ช้ัน บรรจุไรแดงแบบมีช เพ่อื ปอ้ งกันมิใหม้ ีการร่ัวหรือฉกี ขาด ปดิ และแบบแชแ่ ขง็ 1.3 เตรยี มนา้ สะอาด เปน็ นา้ ที่มา F1.2 ผู้สอนให้ผู้เร จากแหลง่ เดยี วกับทีใ่ ชเ้ พาะเลย้ี งไร “การบรรจุไรแดงแ แดง ใสป่ ระมาณ 1/3-1/4 ของ ภาชนะปิดและแบ ปรมิ าตรของถุง ทุกคนสามารถปฏิบ 1.4 การนาไรแดงใส่ในถุง ควร F1.3 ผู้สอนให้ผู้เรยี พจิ ารณาในการขนสง่ คือ ปฏิบัติการบรรจุไร ชีวิต โดยมีขั้นตอน ดงั น้ี

33 ขน้ั ตอนการบรรจุไรแดง สถานการณก์ ารเรียนรู้ สื่อชว่ ย การ สอน ประเมนิ ผล เนอื หาความรู้ท่ี กิจกรรมทผ่ี ู้เรยี นกระทา งขนึ ยนทา ผู้เรยี นทาแบบทดสอบตนเอง 1. Power ผู้เรยี น รยี นให้เวลา 5 ก่อนเรียนใหเ้ สรจ็ ในเวลา 5 Point สามารถ นาที 2. วัสดุ บรรจไุ ร ขน้ั ตอนการ อุปกรณ์ แดงดว้ ย ผ้เู รยี นฟงั คาอธิบาย และจด สาหรบั ตนเอง ได้ ower Point บันทึก บรรจุ ไร อย่าง แดงแบบมี ถูกต้องตาม ยน เขียนสรุป เขยี นสรปุ “ข้ันตอนการบรรจไุ ร ชีวิต ได้แก่ ข้ันตอนท้ัง จุไรแดง”ลงใน แดง”ลงในกระดาษ แลว้ นาสง่ ถงุ พลาสติก 2 วธิ ี งผู้สอน ผู้สอน , น้าสะอาด ภายใน ,ยางวงรดั เวลา 15 ขั้นตอนในการ ผเู้ รยี นชมการสาธิต “ขน้ั ตอนใน ปากถุง, ถงั นาที ชีวิตในภาชนะ การบรรจุไรแดง” แล้วฝึกบรรจุ ออกซเิ จน ง ไรแดง ตามคาแนะนาจนเกิด 3. ถุงซบิ สาหรับ รียนฝึกปฏิบัติ ความชานาญ บรรจไุ รแดง แบบมีชีวิตใน แบบแชแ่ ข็ง บบแช่แข็ง จน บัติไดจ้ นคลอ่ ง ปฏิบัติการบรรจุ ไรแดง ,กล่อง ยนทดสอบการ ตามข้ันตอนด้วยตนเองท้ัง 2 วิธี กระดาษ แดงทั้งแบบมี ใหเ้ สรจ็ ในเวลา A4 , นแตกต่างกัน 15 นาที กระดาษ

เนือหาความรู้ วตั ถปุ ระสง วตั ถปุ ระสงคเ์ ชงิ กิจกรรมการเรียนรู้ในเ คก์ ารสอน ผสู้ อนสรา้ ง 1) ระยะไกลให้ลดปรมิ าณไรแดง พฤติกรรม ลงตามสัดสว่ นทพี่ อเหมาะ นาไรแดง ไปแช่ในน้าเยน็ กลมุ่ 1 2) อณุ หภูมิต่า เช่นรถปรับ 1. ผู้สอนเตรียมน้าส อากาศหรอื มีนา้ แข็งแช่รอบถุง บรรจุ ไดม้ ากขึน้ ทับทิมใหผ้ ู้เรยี น 1.5 อัดออกซิเจนในถุงพลาสติกจะ ปล่อยแกส๊ จากถังตามสายยางซ่ึงจมุ่ 2. ในขั้นตอนการอัด ลงนา้ ภายในถุง โดยปล่อยให้ฟอง แก๊สแทนท่ีอากาศภายในถงุ 2/3 ใ น ถุ ง บ ร ร จุ ไ ร แ ด สว่ นถึง 3/4 สว่ นของปริมาตรความจุ ของถุงพลาสติก รดั ด้วยยางวงให้ ดาเนินการเปิดปิดอ แนน่ 1.5 วางถงุ บรรจพุ ลาสตกิ ควรวาง ตนเอง ตาม แนวนอน เพือ่ เพ่ิมเนือ้ ที่ของสัตว์น้า กลมุ่ 2 ไดม้ ากขึ้น 2. การบรรจุแบบไมม่ ชี ีวิต 1. ผู้สอนให้ผู้เรีย 2.1 เตรยี มนา้ สะอาดใส่ในอา่ ง สาหรบั พกั ไรแดง สะอาดแช่ด่างทบั ทมิ ใส่ด่างทบั ทิม (0.1 กรัมละลายน้า 20 ลิตร) ใหม้ สี ีชมพอู ่อน นาไรแดงลงไป 2. ในขั้นตอนการอัด ใ น ถุ ง บ ร ร จุ ไ ร แ ด ง ออกซิเจนไว้ตลอด ต่อเน่ืองให้เสร็จทุก ถงั ออกซิเจน การบรรจุแบบแช่แข มคี วามแตกตา่ งกนั ค กลุ่ม 1. ใช้ถาดของ ไรแดงใส่ถุงซิบให้ กรัมในเวลา 15 นาท กลุ่ม 2 ใช้ช้อนโต๊ะ ถงุ ซิบใหม้ นี า้ หน เวลา 15 นาที

34 สถานการณ์การเรยี นรู้ ส่ือช่วย การ สอน ประเมินผล เนอื หาความรู้ที่ กจิ กรรมที่ผูเ้ รียนกระทา งขนึ หนงั สือ พิมพ,์ ตาช่งั สะอาดแช่ด่าง 4. ดา่ ง ทับทมิ ชนดิ ดออกซิเจนใส่ เกลด็ ดง ให้ผู้เรียน 5. ชอ้ นโต๊ะ ออกซิเจนด้วย 6. ถาด เครอ่ื งชัง่ ย น เ ต รี ย ม น้ า มด้วยตนเอง ดออกซิเจนใส่ ง ผู้สอนเปิด ด ให้ผู้เรียนใช้ กคนแล้วจึงปิด ขง็ คือ งเครื่องช่ัง ตัก มีน้าหนัก 10 ที ะตักไรแดงใส่ นัก 10 กรมั ใน

เนอื หาความรู้ วัตถุประสง วัตถุประสงคเ์ ชงิ กจิ กรรมการเรียนรูใ้ นเ ค์การสอน พฤตกิ รรม ผสู้ อนสร้าง แชป่ ระมาณ 5 นาที เพอ่ื ฆา่ เชอ้ื โรค กรองด้วยสวงิ ผ้าโอร่อน 2.2 มาแบ่งใส่ถงุ พลาสตกิ แบบ ซปิ ลอ็ ก น้าหนักตามต้องการ เกลยี่ ไร แดงในถงุ ให้เรยี บ และมีชอ่ งว่าง อากาศในถุงให้น้อยทสี่ ดุ 2.3 นาไรแดงห่อด้วยกระดาษ หนงั สือพมิ พแ์ ละบรรจใุ นกล่อง กระดาษ A4 ปิดกลอ่ งให้เรียบรอ้ ย

35 สถานการณก์ ารเรียนรู้ สอ่ื ช่วย การ สอน ประเมนิ ผล เนอื หาความรู้ท่ี กจิ กรรมท่ผี ู้เรยี นกระทา งขนึ

36 สว่ นท่ี 3 การวจิ ยั และพัฒนาประสบการณเ์ พอื่ การเรยี นรู้อาชีวศึกษาเกษตร (Research and Development R&D: L.E.) การอาชีวศึกษาเกษตรจาเป็นต้องสร้างรูปแบบการจัดการเรียนการสอนอาชีพเกษตรของ ตนเองข้ึนมาแล้วนาไปปฏิบัติ แล้วถ้านามาพิสูจน์ทดสอบได้ผลเป็นที่พอใจ ด้วยการทาวิจัยท่ีเรียกว่า R&D (Research and Development: วิจัยและพัฒนา) เราก็ถือว่าเป็นทฤษฎีที่สามารถใช้เป็น แนวทางในการปฏิบัติต่อไป การทา R&D: L.E. ในแต่ละชั่วโมงเรียนก็จะมีการทาวิจัยด้านการเรียน การสอนควบคกู่ ันไปเพื่อยนื ยันผลสมั ฤทธท์ิ างการเรียน ความหมายของการวจิ ัยและพฒั นา (Research and Development; R&D) ตวั อักษร R เปน็ คานาหน้าของคาว่า Research แปลเปน็ ภาษาไทยวา่ การวิจัย ตัวอกั ษร D เป็นคานาหน้าคาว่า Development แปลเป็นภาษาไทยว่า การพัฒนา เม่ือนาคา R&D มา รวมเข้าด้วยกันเป็นคาว่า Research and Development แปลเป็นภาษาไทยว่า การวิจัยและ พฒั นา การวิจัยและพัฒนาจึงเป็นการวิจัยเพ่ือพัฒนาแก้ปัญหา เพ่ือทาให้ดีข้ึน มุ่งเน้นสู่การใช้ ประโยชน์จริง ซ่ึงต่างจากการวิจัยท่ีมุ่งเน้นสร้างทฤษฎี สร้างองค์ความรู้ทางวิชาการ ซึ่งไม่แน่นอน วา่ จะได้นาไปใช้ประโยชน์เพอ่ื การพัฒนา เพ่ือแกป้ ญั หา เพื่อทาใหด้ ขี ึ้นหรอื ไม่อยา่ งไร สรุปได้ว่า R&D เป็นการวิจัยรปู แบบหนึ่งท่ีมุ่งพฒั นานวัตกรรมในเร่ืองใดเร่ืองหนึ่ง โดยต้อง มีการนานวัตกรรมที่สร้างข้ึนนั้น ไปทดลองใช้และทดสอบว่ามีประสิทธิภาพ จนนาไปสู่การใช้ ประโยชน์ไดจ้ ริง ความหมายของนวตั กรรม คาว่านวัตกรรม มาจากคาภาษาอังกฤษว่า Innovation ส่วนคากิริยามาจากคาว่า Innovate ซง่ึ หมายถึง to Renew คอื ทาขึน้ มาใหม่ จากความหมายของนวัตกรรมดังกล่าวข้างต้น เห็นได้ว่าคาว่า “ใหม่” น้ัน มีบริบท หลากหลาย ไมว่ ่าจะเปน็ ใหม่สาหรับตัวบุคคล ใหม่สาหรับชุมชน ใหม่สาหรบั ประเทศ แตม่ เี งื่อนไข ที่สาคญั ว่าต้องเป็นส่ิงใหม่ ณ ช่วงเวลานัน้ ตัวอย่างเช่น เครื่องบนิ มิใชน่ วัตกรรมสาหรับปัจจุบันแต่ อย่างใด เพราะว่าเกิดข้ึนมาจนเป็นที่รู้จักของทุกคนบนโลกนี้เป็นอย่างดี แต่นวัตกรรมหรือส่ิงใหม่ก็ ยงั คงเกิดแกเ่ ครื่องบิน เน่ืองจากมีการปรับปรุงบางสว่ นของเครื่องบิน เกิดสิง่ ใหมท่ ีละนดิ มีการออก เครอ่ื งบนิ รุน่ ใหม่ออกมา

37 นวัตกรรม สงิ่ ใหม่ ใหม่ สาหรับตวั บุคคล ใหม่ สาหรบั ชมุ ชน ใหม่ ณ ช่วงเวลานัน้ ใหม่ ทงั้ หมด ใหม่ เฉพาะบางส่วน ภาพที่ 10 แผนผงั ความหมายนวัตกรรม ทม่ี า: ลาวณั ย์ วิจารณ์ (2561) ดังน้ันจึงเห็นได้ว่า คาว่า “ใหม่” ในบริบทของนวัตกรรมน้ัน มี 2 ลักษณะ คือ “ใหม่” เฉพาะบางส่วนท่ีปรับปรุงเปลี่ยนแปลงจากตัวนวัตกรรมเดิม กับ “ใหม่” หมดทุกอย่าง เนื่องจาก เป็นสง่ิ ใหมท่ ่ไี ม่เคยมีมากอ่ น นั่นคอื เครอ่ื งบินเครื่องแรกที่เกิดข้ึนบนโลกน้ี (ลาวัณย์, 2561) หลักการวิจัยและพฒั นา โสภณ ธนะมัย (2552) ได้กล่าวว่า หลัก หมายถึง เครื่องยึดเหน่ียว สาหรับ R&D มี หลักสาคัญอยู่ 3 ประการ ได้แก่ 1) ผลผลิตของการวิจัย (Output) ต้องเป็นนวัตกรรมท่ีถูก พัฒนาขึ้นมา 2) ผลลัพธ์ของการวิจัย (Outcome) คือ การใช้ประโยชน์จริงของผลผลิตของการ วิจัย (Output) และ 3) การทดลองใช้และทดสอบประสิทธิภาพของนวัตกรรมต้องอิงแบบการ ทดลอง หลักท่ี 1 Output = นวตั กรรม หลัก R&D หลักท่ี 2 Outcome ตอ้ งใชป้ ระโยชน์จริง หลักท่ี 3 การทดลอง ภาพท่ี11 หลกั การวจิ ัยและพัฒนา ทมี่ า: ลาวัณย์ วจิ ารณ์ (2561) กระบวนการวจิ ัยและพัฒนา โสภณ ธนะมัย (2552) ได้เสนอกระบวนการวิจัยและพัฒนาประกอบด้วยข้ันตอนหลัก 4 ขั้นตอนดงั นี้ ข้ันตอนที่ 1 การกาหนดโจทยว์ ิจัยเพื่อสร้างนวัตกรรม ประกอบด้วย 4 ข้ันตอนย่อย คือ 1) วิเคราะห์สาเหตุของปัญหา 2) คัดกรองสาเหตุท่ีสามารถแก้ไขได้ด้วยนวัตกรรม 3) ศึกษา เอกสารและงานวิจยั เพ่อื เลือกนวตั กรรมที่เหมาะสม และ 4) กาหนดโจทยว์ จิ ยั