การแก้ปัญหาในช้ันเรียนโดยการสอนแบบร่วมแรงร่วมใจ เพ่ือยกระดบั ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน ของนักเรียนช้ันประถมศึกษาปี ท่ี 5 วชิ าภาษาองั กฤษ เร่ืองคาศัพท์เกยี่ วกบั สัตว์ อรวรรณ พุดมอญ โรงเรียนวดั พืชนิมติ (คาสวสั ด์ิราษฎร์บารุง) ตาบลคลองหนึ่ง อาเภอคลองหลวง จงั หวดั ปทุมธานี สานักงานเขตพืน้ ทกี่ ารศึกษาประถมศึกษาปทมุ ธานี เขต 1
การแก้ปัญหาในช้ันเรียนโดยการสอนแบบร่วมแรงร่วมใจ เพ่ือยกระดบั ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน ของนักเรียนช้ันประถมศึกษาปี ท่ี 5 วชิ าภาษาองั กฤษ เร่ืองคาศัพท์เกยี่ วกบั สัตว์ อรวรรณ พุดมอญ โรงเรียนวดั พืชนิมติ (คาสวสั ด์ิราษฎร์บารุง) ตาบลคลองหนึ่ง อาเภอคลองหลวง จงั หวดั ปทุมธานี สานักงานเขตพืน้ ทกี่ ารศึกษาประถมศึกษาปทมุ ธานี เขต 1
คำนำ เอกสารงานวิจัยฉบับน้ีจัดทาขึ้นเพื่อเป็นส่วนหนงึ่ ในงานวิจัยชนั้ เรยี นของการเรยี นการสอนในรายวิชาของ นกั เรยี น ซ่งึ งานวิจัยชิน้ น้ีได้ถกู พฒั นาขึ้นเพ่อื พฒั นาปรบั ปรงุ การเรียนการสอนในโรงเรียนใหด้ ยี ิ่งขึ้น จากปัญหาการเรียนการสอนในห้องเรียนที่ครูผู้สอนได้พบเจอพบว่า ปัญหาการเรียนรู้ของนักเรียนเนื่อง ด้วยความไม่รับผิดชอบของนักเรียนและวุฒิภาวะ ทาให้ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนต่า และนักเรียนเกิดความเบ่ือ หน่ายในการเรียนในรายวิชา ครูผู้สอนจึงได้ใช้เทคนิคการเรียนการสอนที่เหมาะสมในการแก้ปัญหาดังกล่าวหวัง เปน็ อยา่ งยงิ่ ว่า จะเป็นเอกสารที่กอ่ ใหเ้ กิดประโยชนต์ อ่ ผ้อู ่านทุกท่าน นางสาวอรวรรณ พดุ มอญ ผจู้ ดั ทา
สำรบัญ เร่ือง หน้ำ บทท่ี 1 บทนา 6 บทที่ 2 เอกสารและทฤษฎที ่ีเก่ยี วข้อง 12 บทที่ 3 การดาเนินงาน 41 บทท่ี 4 ผลการดาเนินงาน 49 บทที่ 5 สรปุ ผลการดาเนิน 52 บรรณานุกรม 54
บทคดั ย่อ การศึกษาคร้ังนี้มีวัตถุประสงค์ดังนี้ 1) เพ่ือพัฒนาชุดการเรียนการสอนให้มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ ตรง กับ มาตรฐานทก่ี าหนดไว้ 80/80 2) เพ่อื ศกึ ษาผลสมั ฤทธท์ิ างการเรยี นทไี่ ดร้ ับจากการจัดการเรียนรู้โดยใช้ชุดการ เรียนสาเร็จรูปทงั้ ก่อนเรียน และหลังเรยี น 3) เพ่อื ยกระดบั คุณภาพผู้เรียนใหเ้ ปน็ ผู้ที่มีความสุข กา้ วทันต่อโลกยุค ใหม่ และสามารถปรับตวั ให้เขา้ กบั สภาพสังคมท่ีตนเองอยู่ เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยชุดกิจกรรมการเรียน ได้แก่ แบบทดสอบก่อนเรียนและหลังเรียน ตลอดจนชุด กิจกรรมและแบบฝึกหัดต่างๆ แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน แบบสังเกตพฤติกรรมนักเรียน และแบบ ประเมินคุณลักษณะอันพึงประสงค์ของนักเรียน ค่าสถิติ ท่ีใช้ในการวิเคราะห์ได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉล่ีย ส่วน เบย่ี งเบนมาตรฐาน (S.D.) และค่า (t-test แบบ Dependent) จากการศึกษาการเรียนการสอนแบบร่วมแรงร่วมใจเพ่ือยกระดับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรวมถึงปรับ พฤติกรรมนักเรียนท่ีขาดความรับผิดชอบในการเรียนของชั้นเรียน จากการสงั เกตนักเรียนก่อนการใชก้ ารสอนแบบ STAD มีค่าคะแนนเฉลี่ยของการทดสอบผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนอยู่ที่ 14.07 คะแนน แต่หลังจากการใช้การสอน แบบ STAD ทาใหค้ ะแนนเฉลย่ี อยู่ที่ 15.14 คะแนน ซึ่งเพิ่มข้ึน 1.07 คะแนน คดิ เป็นรอ้ ยละที่เพมิ่ ขน้ึ 7.60% และ มีส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐานของคะแนนสอบเท่ากับ 1.82 ซ่ึงลดลงจากเดิม 0.26 ทาให้ข้อมูลท่ีได้มีการกระจายตัวท่ี ลดลงแสดงถึงคุณภาพของข้อมูลท่ีดี ผู้เรียนมีคะแนนเกาะกลุ่มใกล้เคียงกันมากขึ้นส่งผลต่อการพัฒนาการเรียนใน ดา้ นอนื่ ๆ ซงึ่ จะทาให้สอนทักษะต่างๆ ได้งา่ ยข้นึ *******************************************
กิตติกรรมประกำศ รายงานการวิจัยชั้นเรียนฉบับน้ี เป็นการวิจัยเชิงพัฒนาเพ่ือพัฒนาการเรียนการสอนของนักเรียนช้ัน ประถมศึกษาปีที่ 5 สาเร็จลุล่วงได้ด้วยคณะครู ผู้เชี่ยวชาญ และผู้อานวยการโรงเรียน ที่กรุณาให้คาปรึกษาพร้อม ทง้ั ชว่ ยเหลือ แนะนาตรวจสอบ แก้ไขขอ้ บกพรอ่ งต่างๆ ผู้รายงานขอขอบพระคณุ เป็นอยา่ งสงู ขอขอบคุณคณะ ครู นักเรียนในโรงเรยี นทุกคน ที่ให้ความรว่ มมือในการเก็บรวบรวมขอ้ มูลในการพฒั นาการจัดการเรียนรู้ส่งู านวิจัย ในครงั้ นดี้ ้วยดี คุณค่าและประโยชน์ของรายงานฉบับนี้ ผู้รายงานขอมอบเป็นเคร่ืองแสดงความกตัญญู ต่อบิดา มารดา ท่ีให้การศึกษา อบรมสั่งสอน ให้มีสติปัญญาและคุณธรรมท้ังหลาย อันเป็นเคร่ืองมือนาไปสู่ความสาเร็จในชีวิต ของผูร้ ายงาน นางสาวอรวรรณ พุดมอญ ผู้จัดทา
1 บทที่ 1 บทนำ ควำมเป็นมำและควำมสำคัญ การเรียนการสอนในรายวิชาภาษาอังกฤษ ของนักเรียนในห้องเรียน ในช่วงตลอดภาคเรียนที่ผ่านมา พบว่านักเรียน มีความรับผิดชอบต่อการเรียนค่อนข้างน้อย จึงทาให้มีผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนที่ต่าซ่ึงก่อให้เกิด ความเสียหายต่อการเรียน จากการศึกษาเอกสารพบว่า นวัตกรรมการสอนท่ีเน้นผู้เรียนเปน็ สาคัญหลายๆ อย่างที่ ได้มีการสร้างข้ึน เช่น รูปแบบการสอนแบบร่วมแรงรว่ มใจระหว่างครูกับนักเรียน เป็นการจัดการเรียนการสอนท่ี เน้นสภาพแวดล้อมทางการเรยี นให้กับผเู้ รยี นเป็นการผสมผสานระหว่างทกั ษะการอยรู่ ว่ มกันในสังคมกับทกั ษะด้าน เนื้อหาวิชาการต่าง ๆ เข้าด้วยกันเป็นอย่างดี โดยให้ผู้เรียนได้อยู่ร่วมกันเป็นกลุ่มเป็นก้อน ได้ช่วยกันทางานและ แลกเปลี่ยนความคิดเห็นส่วนตัวซึ่งกันและกัน โดยแต่ละกลุ่มต้องประกอบไปด้วยผู้เรียนที่มีความรู้เป็นตัวนาการ คิดและเป็นผู้ควบคุมเพ่ือนได้หรือเพื่อนๆ ให้ความไว้วางใจ ซึ่งความสามารถแตกต่างกันจะให้ผู้เรียนที่เก่ง ช่วยเหลือผู้เรียนท่ีอ่อนได้ส่วนหน่ึง และความสาเร็จของบุคคล คือความสาเร็จของกลุ่ม ดังน้ันเพ่ือให้ผู้เรียนมี ความรบั ผิดชอบตอ่ การเรียนในรายวชิ าวิชามากยิง่ ขึ้น ห้องเรียนบรรยากาศในช้ันเรียนมีส่วนสาคัญในการส่งเสริมความสนใจใคร่รู้ใคร่เรียนให้แก่ผู้เรียน ชั้น เรียนท่ีมีบรรยากาศเต็มไปด้วยความอบอุ่น ความเห็นอกเห็นใจ และความเอื้อเฟ้ือเผื่อแผ่ต่อกันและกัน ย่อมเป็น แรงจูงใจภายนอกท่ีกระตนุ้ ใหผ้ ู้เรยี นรักการเรยี น รักการอยู่ร่วมกันในชั้นเรียน และช่วยปลกู ฝงั คุณธรรม จริยธรรม ความประพฤติอันดีงามให้แก่นักเรียน นอกจากน้ีการมีห้องเรียนที่มีบรรยากาศแจ่มใส สะอาด สว่าง กว้างขวาง พอเหมาะ มีโต๊ะเก้าอ้ีที่เป็นระเบียบเรียบร้อย มีมุมวิชาการส่งเสริมความรู้ มีการตกแต่งห้องให้สดใส ก็เป็นอีกสิ่ง หน่ึงท่ีส่งผลทาให้ผู้เรียนพอใจมาโรงเรียน เข้าห้องเรียนและพร้อมที่จะมีส่วนร่วมในกิจกรรมการเรียนการสอน ดังนั้น ผู้เป็นครูจึงต้องมีความรู้ความเข้าใจเก่ียวกับความหมาย ความสาคัญ ประเภทของบรรยากาศ หลักการจัด บรรยากาศในช้ันเรียนและการจัดการเรียนรู้อย่างมีความสุข เพื่อพัฒนาผู้เรียนให้มีลักษณะตามท่ีหลักสูตรได้ กาหนดไว้ ความหมายของการจัดบรรยากาศในช้ันเรียนการจัดบรรยากาศในช้ันเรียน หมายถึง การจัด สภาพแวดล้อมในชั้นเรยี นให้เอ้ืออานวยต่อการเรยี นการสอน เพอื่ ชว่ ยสง่ เสริมให้กระบวนการเรยี นการสอนดาเนิน ไปอย่างมีประสิทธิภาพ และช่วยสร้างความสนใจใฝ่รู้ ใฝ่ศึกษา ตลอดจนช่วยสร้างเสริมความมีระเบียบวินัยให้แก่ ผูเ้ รยี นดว้ ยหลกั สูตรการศึกษาขั้นพืน้ ฐานฉบบั ปัจจุบัน มุ่งหวงั ให้ผู้เรียนเป็นคนดี คนเก่ง มสี ขุ ภาพอนามยั ทสี่ มบูรณ์ ทั้งด้านร่างกายและจิตใจ ทางานและอยู่ร่วมกับผู้อื่นได้อย่างมีความสุขครูจึงเป็นบุคคลที่สาคัญอย่างย่ิงที่จะต้อง สร้างบรรยากาศให้ผู้เรียนได้เกิดการเรียนรู้อย่างมีความสุขความหมายของการสร้างบรรยากาศการเรียนรู้อย่างมี ความสุขบรรยากาศการเรียนรู้อย่างมีความสุข คือ การจัดสภาพการเรียนการสอนให้มีบรรยากาศที่ผ่อนคลาย นักเรยี นรู้สกึ เป็นอิสระ ได้เรียนรูโ้ ดยวธิ ีการตา่ งๆ อย่างหลากหลาย ครูยอมรับความแตกต่างระหว่างบุคคลและเปิด โอกาสให้ผเู้ รยี นได้พัฒนาตนเองอย่างเตม็ ศักยภาพ ความสาคัญของการสร้างบรรยากาศการเรยี นรู้อย่างมีความสุข
2 ให้ผู้เรียนได้เรียนรู้อย่างมีความสุข ก่อให้เกิดประโยชน์ต่อผเู้ รียนท้ังปัจจบุ ันและอนาคต การเรียนรู้อย่างมีความสุข พระธรรมปฎิ ก ได้จัดแบบของการเรยี นรู้อย่างมีความสุขไว้ 2 แบบคือ 1. ความสุขที่อาศัยปัจจัยภายนอก เป็นความสุขที่เกิดจากสภาพแวดล้อม คือมีกัลยาณมิตร เช่นครู อาจารย์ เป็นผู้สร้างบรรยากาศแห่งความรัก ความเมตตา และช่วยให้สนุก ซ่ึงต้องระวังเพราะถ้าควบคุมไม่ดี ความสุขแบบนี้จะทาให้นักเรียนอ่อนแอลง ย่ิงถ้ากลายเป็นการเอาใจ หรือตามใจ จะยิ่งอ่อนแอลงไปทาให้เกิด ลักษณะพ่งึ พา 2. ความสุขท่ีเกิดจากปัจจัยภายใน เป็นความสุขท่ีเกิดจากภายในตัวผู้เรียนเอง ซ่ึงเป็นอิสระ ไม่ต้องพึ่ง ผู้อื่น กล่าวคอื ผ้เู รียนเกิดนสิ ยั ใฝร่ ู้ ใฝเ่ รยี น ใฝ่สรา้ งสรรค์ และมีความสขุ จากการสนองความใฝ่รู้ ความสุขแบบน้ีทา ใหค้ นเข้มแข็ง เขาจะมีความสขุ เม่ือได้เรยี นรู้ เมื่อย่ิงทากย็ ่งิ มีความสขุ และยิง่ มคี วามเข้มแขง็ ดังน้ัน การสร้างบรรยากาศให้เกิดการเรียนรู้อย่างมีความสุขจึงควรมุ่งสร้างความสุขจากปัจจัยภายใน โดยมีปัจจัยภายนอกเปน็ องค์ประกอบนาทาง ก็จะชว่ ยพฒั นานักเรียนใหเ้ ป็นผู้รกั การเรยี นร้อู ย่างแทจ้ รงิ พระราชบญั ญตั กิ ารศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 ซง่ึ เป็นกฎหมายหลกั ทางด้านศึกษาฉบับแรกของประเทศ ไทยท่ีประชาชนได้มีส่วนร่วมในการแสดงความคิดเห็นและให้ข้อมูลอย่างกว้างขวาง เพื่อกาหนดเน้ือหาสาระต่างๆ เก่ียวกับการจัดการศึกษาของประเทศ อันส่งผลกระทบที่สาคัญในการจัดการเปล่ียนแปลงการจัดการศึกษาของ ชาติอย่างมาก โดยในการจัดการศึกษายึดหลักว่าผู้เรียนสาคัญที่สดุ มุ่งเน้นให้ผู้เรียนได้พัฒนาตามธรรมชาติ ความ สนใจและเต็มศักยภาพ เน้นความรู้คู่คุณธรรม กระบวนการเรียนรู้ และการบูรณาการความรู้ ความสัมพันธ์ ระหว่างตนเองกับสังคมเพื่อพัฒนาทักษะด้านต่างๆ ท่ีจาเป็นสาหรับการประกอบอาชีพและการดารงชีวิตอย่างมี ความสขุ กาหนดให้สถานศึกษาใช้วิธีการท่ีหลากหลายในการประเมินผลผเู้ รยี น และการพัฒนากระบวนการเรียน การสอนท่มี ีประสิทธภิ าพ ด้วยเหตุน้ีผู้สอนจึงเลือกวิธีการสอนแบบร่วมแรงร่วมใจ โดยใช้รูปแบบ STAD เพ่ือนามาปรับพฤติกรรม ความรับผิดชอบ และยกระดับผลสมั ฤทธ์ิทางการเรียนของนักเรียน ซ่ึงจะเป็นแนวทางในการพฒั นาผู้เรยี นได้อย่าง ย่ังยืนตามหลกั การของยทุ ธศาสตร์ชาติท่ีไดว้ างไว้ และเป็นแนวทางในการเรียนรู้ของนักเรียนท่ีดอี ีกรูปแบบหน่ึงซง่ึ สามารถนาไปประยุกต์ใช้กับการเรยี นได้อย่างยง่ั ยนื วัตถปุ ระสงคข์ องกำรวจิ ัย 1. เพอ่ื พัฒนาผลสมั ฤทธ์ิทางการเรียนของนักเรียนระดับประถมศกึ ษาปที ่ี 5 วิชาภาษาอังกฤษ จานวน 25 คน เรอ่ื งคาศัพท์เกย่ี วกับสตั ว์ 2. เพ่ือเปรยี บเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรยี นก่อนเรยี นและหลงั เรยี นในรายวิชาดว้ ยรูปแบบการสอนแบบ ปกตแิ ละการสอนโดยใช้วิธี STAD
3 สมมติฐำนของกำรวจิ ยั การเรียนการสอนแบบร่วมแรงร่วมใจ โดยใช้วิธี STAD จะมีผลต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนแตกต่าง จาก การเรยี นแบบปกตขิ องนกั เรยี น ขอบเขตของกำรวิจยั ประชำกร นกั เรยี นช้ันประถมศกึ ษาปีที่ 5 วิชาภาษาอังกฤษ จานวน 42 คน กล่มุ ตวั อยำ่ ง นกั เรียนช้ันประถมศึกษาปีท่ี 5 วชิ าภาษาองั กฤษ จานวน 25 คน ตัวแปรทีใ่ ช้ในกำรวิจยั ตวั แปรอิสระ (Independent Variables) ได้แก่ การเรียนการสอนแบบร่วมแรงรว่ มใจ โดย ใช้วิธี STAD ตัวแปรตำม (Dependent Variables) ไดแ้ ก่ ผลสัมฤทธ์ทิ างการเรยี นวชิ าภาษาองั กฤษ เน้อื หำที่ใชใ้ นกำรวิจัย เน้อื หำท่ีใชใ้ นกำรวจิ ยั ครัง้ น้ี ไดแ้ ก่ บทเรยี นเร่ืองคาศัพทเ์ ก่ียวกบั สตั ว์ ใบงาน ใบความรู้ แบบทดสอบ วิชาภาษาอังกฤษ ชั้นประถมศึกษาปที ี่ 5 เครื่องมอื ในกำรวิจัย 1. รูปแบบการสอนแบบร่วมแรงรว่ มใจ โดยวธิ ี STAD 2. แผนการจดั การเรียนรู้ ใบงาน แบบฝกึ ทักษะ 3. แบบทดสอบวดั ผลสมั ฤทธิ์ทางการเรยี น 4. แบบสงั เกตพฤติกรรมความรับผดิ ชอบ ระยะเวลำกำรดำเนนิ งำนวจิ ัย เดือนพฤษจิกายน – เดือนธันวาคม ของภาคเรียนที่ 2 ปีการศกึ ษา 2562 นยิ ำมศพั ทเ์ ฉพำะ ผลสมั ฤทธิท์ ำงกำรเรียน หมายถึง ความสามารถในการเรยี นของนักเรียน ในรายวิชา ซ่ึงวัดได้จากคะแนน จากการทาแบบทดสอบก่อนและหลังเรียน แบบทดสอบย่อยในแต่ละหัวข้อ แบบประเมินการ ปฏิบัติการทดลอง และแบบประเมินการนาเสนอผลงานหนา้ ช้ันเรยี น ควำมสำมำรถในกำรทำงำนร่วมกับผู้อ่ืนได้ หมายถึง พฤติกรรมการเรียนในการทางานกลุ่ม ได้แก่ การ ช่วยเหลือกลุ่ม มีความรับผิดชอบ การแสดงความคิดเห็น รับฟังความคิดเห็น และสามารถระบุบทบาท หน้าที่ของ ตนเองในการทางานร่วมกับเพ่ือนในกลุ่มได้ ต้ังแต่วางแผนการทางาน การดาเนินตามแผนที่วางไว้ ตลอดจนการ
4 นาเสนอผลงาน ซ่ึงสามารถตรวจสอบได้ โดยการสัมภาษณ์ แบบประเมินตนเองและเพื่อนในกลุ่ม ในการทางาน เป็นกลมุ่ และแผนภาพสงั คมมติ ิ กำรเรียนแบบร่วมแรงร่วมใจ STAD หมายถึง วิธีการเรียนที่ส่งเสริมนักเรียนได้ร่วมมือกันในการเรียน เพ่ือช่วยให้เกิด การเรียนรู้และสามารถทางานร่วมกับผู้อ่ืนอย่างมีความสุข โดยเน้นรูปแบบการต่อบทเรียน (Jigsaw) และ การศึกษาค้นคว้าเป็นกลุ่ม (Group Investigation) ท่ีมีการประเมินท้ังด้านปริมาณและคุณภาพ โดยให้ผูเ้ รยี นมีส่วนรว่ มในการประเมินดว้ ย แบบฝึกทักษะ หมายถึง สื่อหรือเอกสารการเรียนประเภทหนึ่ง ท่ีผู้วิจัยสร้างข้ึนเพื่อให้นักเรียนฝึกปฏิบตั ิ เพ่อื ให้เกิดความรู้ ความเข้าใจและทักษะเพิ่มขึ้น เพ่อื พฒั นาทักษะในด้านหนงึ่ ๆ ท่ผี ้วู จิ ัยตอ้ งการศึกษาพัฒนาการ ให้กับนักเรียน และเรยี งลาดบั จากงา่ ยไปหายาก โดยเน้นการฝกึ ทักษะตามกระบวนการที่ได้กาหนดไว้และสามารถ นาไปใช้ไดใ้ นชวี ติ ประจาวัน ประสิทธิภำพของแบบฝึกทักษะ หมายถึง อัตราส่วนระหว่างค่าร้อยละของค่าเฉลี่ยจาก การปฏิบัติ กิจกรรมระหว่างเรียน โดยใช้แบบฝึกทักษะกับค่าร้อยละของคะแนนท่ีได้จากการทาแบบทดสอบหลังเรียน โดยใช้ ประสทิ ธิภาพ 80/80 เปน็ เกณฑต์ ดั สนิ 80 ตัวแรก หมายถึง ประสิทธิภาพของกระบวนการโดยพิจารณาจากร้อยละของคะแนนเฉลี่ยของ นักเรยี นจากการเรียนโดยใช้แบบฝกึ ทักษะการอา่ นจบั ใจความ 80 ตัวหลัง หมายถึง ประสิทธิภาพของผลผลิตโดยพิจารณาจากร้อยละของคะแนนเฉลี่ยจาก แบบทดสอบหลังเรยี น ของนักเรยี นหลังเรยี นทุกแผนโดยมคี ะแนนเฉลี่ยร้อยละ 80 ขึน้ ไป กรอบแนวคิดในกำรวจิ ัย ตวั แปรตาม ตวั แปรต้น การเรยี นการสอนแบบรว่ มแรงร่วม นกั เรยี นมผี ลสมั ฤทธ์ิทางการเรียนท่ดี ขี ้ึน ใจ โดยใช้วธิ ี STAD และมคี ่าผ่านเกณฑม์ าตรฐาน ประโยชนท์ ค่ี ำดว่ำจะได้รบั 1. นกั เรยี นชน้ั ประถมศกึ ษาปีท่ี 5 มผี ลสมั ฤทธิ์ทางการเรยี นใฝร่ ู้ ใฝ่เรยี น และมีทักษะทางวชิ าการสูงขึน้ 2. การเรยี นแบบร่วมแรงรว่ มใจ STAD และแบบฝกึ ทกั ษะทางวชิ าการ สง่ เสริมให้นกั เรียนใชเ้ วลาวา่ งให้เป็น ประโยชน์ เป็นเครื่องมือในการแสวงหาความรู้ เปน็ ประโยชน์ต่อครูผู้สอน ซง่ึ สามารถนาไปใช้ในการพัฒนาการเรียน การสอนใหม้ คี ุณภาพได้อยา่ งต่อเน่ือง
5 รปู แบบกำรวิจยั (Research Design) รูปแบบการวิจัยที่เหมาะสม จะช่วยป้องกัน หรือลดอคติ หรือความคลาดเคล่ือนอย่างมีระบบ (systematic error) อันอาจจะเกิดข้ึน จากการวิจัยได้ รูปแบบการวิจัย เปรียบเสมือนโครงสร้างของบ้าน จะมี ลักษณะอย่างไร ขึ้นกับคาถาม และวัตถุประสงค์ของการวิจัย ส่วนระเบียบวิธีวิจัย (research methodology) เปรียบเสมือนการตกแต่งภายใน ซึ่งจาเป็นต้องสอดคล้องกับโครงสรา้ งของบ้าน (design) ดังน้ัน ในการเขียนโครง ร่างการวจิ ยั จงึ จาเป็นต้อง กาหนดรปู แบบการวิจยั ที่เหมาะสม การจาแนกรูปแบบการวิจัย ตามวิธีการดาเนินการวิจยั สามารถแบ่งการวิจัยได้เป็น 2 รูปแบบใหญ่ ๆ คือ การวิจัยโดยการสังเกต (observational research) และการวิจัยเชิงทดลอง (experimental research) ขึ้นอยู่ กับว่า ตัวแปรอิสระ ซึ่งอาจได้แก่ ปัจจัยเส่ียง (risk factor หรือ exposure) หรือส่ิงที่เราต้องการประเมิน หรือ ทดสอบ (เชน่ ยา วิธกี ารรักษา โครงการตา่ ง ๆ) ซง่ึ เรยี กว่า \"สงิ่ แทรกแซง\" (intervention) น้นั ผ้วู จิ ัยเป็นผ้กู าหนด (assign) ให้กับตัวอย่างที่นามาศึกษา หรือตัวอย่างท่ีนามาศึกษาน้ัน ได้รับปัจจัยเส่ียงน้ันอยู่แล้ว ในชีวิตประจาวัน หรือไดร้ ับอยูแ่ ลว้ ตามธรรมชาติ (ท่เี รียกวา่ natural exposure) โดยทผ่ี ูว้ ิจยั ไมไ่ ด้เข้าไปควบคมุ หรือแทรกแซงแต่ อย่างใดการวิจัยใดก็ตาม ที่ผู้วิจัยมีการ กาหนดปัจจัยเส่ียง หรือกาหนดสิ่งแทรกแซง ให้กับตัวอย่างท่ีนามาศึกษา แล้วติดตามดูผล ท่ีจะเกิดข้ึนในอนาคต การวิจัยชนิดน้ี เรียกว่า การวิจัยเชิงทดลอง ซึ่งสามารถปรับปรุงเนื้อหาให้ กลายเปน็ วิจัยเชิงพัฒนาในทีส่ ดุ การเลือกรูปแบบการวิจัยท่ีเหมาะสมน้ัน ข้ึนอยู่กับคาถาม หรือปัญหาการวิจัย ที่ต้องการหาคาตอบ ใน การศึกษา เพื่อแสวงหา คาตอบของคาถาม ควรประกอบไปด้วย กระบวนการศึกษาที่ครบวงจร โดยเริ่มต้ังแต่ การศึกษาขนาดของปัญหา ว่ามีมากน้อยเพียงใด (ศึกษาเกี่ยวกับทุกข์) เมื่อทราบว่าโรคน้ันเป็นปัญหา ขั้นต่อไปก็ คือการศึกษา ต้นเหตุของปัญหา (สมมุทัย) การศึกษาหาต้นเหตุของปัญหา ทาให้สามารถกาหนดกลยุทธ ในการ แก้ปญั หา (นิโรธ) และขั้นตอ่ ไปก็คือ การเลือกแนวทางแก้ไขปญั หา
6 ภำพท่ี 8 ลำดบั ขั้นตอนของวธิ กี ำรคิดวเิ ครำะห่เ์ พื่อแกป้ ญั หำ
7 บทท่ี 2 หลกั กำร แนวคดิ และทฤษฎที เี่ ก่ียวข้อง การศึกษาค้นคว้าครัง้ น้ีผศู้ ึกษาคน้ คว้าได้ศึกษาเอกสารทีเ่ ก่ียวขอ้ งกบั การศึกษาคน้ ควา้ โดย เรียงลาดบั ตาม หัวขอ้ ดังต่อไปนี้ 1. ผลสมั ฤทธิ์ทางการเรยี น 2. ความหมายของจดุ ประสงค์การเรียนรู้ 3. พฤติกรรมท่ีคาดหวังทางด้านสตปิ ญั ญา 4. การสอนรปู แบบตา่ งๆ 5. การวดั ผลประเมินผล 6. การเรียนแบบรว่ มแรงร่วมใจ STAD 7. งานวจิ ยั ที่เกี่ยวขอ้ ง 1. ผลสัมฤทธ์ทิ ำงกำรเรยี น ควำมหมำยของผลสัมฤทธทิ์ ำงกำรเรียน ผลสมั ฤทธทิ์ างการเรยี นเปน็ ความสามารถของนักเรยี นในด้านตา่ งๆ ซง่ึ เกิดจากนักเรียนไดร้ ับประสบการณ์ จากกระบวนการเรียนการสอนของครู โดยครูต้องศกึ ษาแนวทางในการวดั และประเมินผล การสร้างเคร่ืองมอื วัดให้ มีคุณภาพนั้น ไดม้ ผี ู้ให้ความหมายของผลสมั ฤทธิท์ างการเรียนไว้ดังนี้ สมพร เชื้อพันธ์ (2547) สรุปว่า ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ หมายถึงความสามารถ ความสาเรจ็ และสมรรถภาพด้านตา่ งๆของผูเ้ รียนท่ีได้จากการเรยี นรู้อนั เป็นผลมาจากการเรียนการสอน การฝึกฝน หรอื ประสบการณข์ องแตล่ ะบคุ คลซง่ึ สามารถวดั ได้จากการทดสอบดว้ ยวิธกี ารตา่ งๆ พิมพันธ์ เดชะคุปต์ และพเยาว์ ยินดีสุข (2548) กล่าวว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหมายถึงขนาดของ ความสาเร็จที่ได้จากกระบวนการเรยี นการสอน ปราณี กองจินดา (2549) กล่าว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หมายถึง ความสามารถหรือผลสาเร็จที่ได้รับ จากกิจกรรมการเรียนการสอนเป็นการเปล่ียนแปลงพฤติกรรมและประสบการณ์เรยี นรู้ทางด้านพุทธิพิสัย จิตพิสัย และทักษะพิสัย และยังได้จาแนกผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนไว้ตามลักษณะของวัตถุประสงค์ของการเรียนการสอนที่ แตกต่างกนั มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช (2546) ให้ความหมายว่า การวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเป็นการวัด ความสาเร็จทางการเรียน หรือวัดประสบการณ์ทางการเรียนท่ีผู้เรียนได้รับจากการเรียนการสอน โดยวัดตาม จุดมงุ่ หมายของการสอนหรือวดั ผลสาเรจ็ จากการศกึ ษาอบรมในโปรแกรมตา่ ง ๆ ไพโรจน์ คะเชนทร์ (2556) ให้คาจากัดความผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนว่า คือคุณลักษณะ รวมถึงความรู้ ความสามารถของบุคคลอันเป็นผลมาจากการเรียนการสอน หรือ มวลประสบการณ์ท้ังปวงท่ีบุคคลได้รับจากการ
8 เรียนการสอน ทาให้บุคคลเกิดการเปลีย่ นแปลงพฤติกรรมในด้านต่างๆ ของสมรรถภาพทางสมอง ซึ่งมีจุดมุ่งหมาย เพื่อเป็นการตรวจสอบระดับความสามารถสมองของบุคคลว่าเรียนแล้วรู้อะไรบ้าง และมีความสามารถด้านใดมาก น้อยเท่าไร ตลอดจนผลที่เกิดขึ้นจากการเรียนการฝึกฝนหรือประสบการณ์ต่างๆ ท้ังในโรงเรียน ท่ีบ้าน และ ส่งิ แวดล้อมอ่ืนๆ รวมทงั้ ความรู้สกึ คา่ นยิ ม จรยิ ธรรมตา่ งๆ กเ็ ปน็ ผลมาจากการฝึกฝนด้วย ดังน้ันจึงสรุปได้ว่าผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน หมายถึง ผลที่เกิดจากกระบวนการเรียนการสอนที่จะทาให้ นักเรียนเกิดการเปลยี่ นแปลงพฤติกรรม และสามารถวัดไดโ้ ดยการแสดงออกมาทงั้ 3 ดา้ น คอื ด้านพุทธพิ สิ ัย ดา้ น จิตพสิ ัย และด้านทักษะพสิ ยั กำรวดั ผลสัมฤทธท์ิ ำงกำรเรียน การวัดผลสมั ฤทธิ์ทางการเรยี นมีความจาเปน็ ต่อการเรียนการสอน หรอื การตัดสินผลการเรียน เพราะเป็น การวัดระดับความสามารถในการเรียนรู้ของบุคคลหลังจากที่ได้รับการฝึกฝน โดยอาศัยเครื่องมือประเภท แบบทดสอบวดั ผลสมั ฤทธิซ์ งึ่ เป็นเครือ่ งมือทนี่ ยิ มมากทสี่ ดุ การวัดผลสมั ฤทธิ์ทางการเรียนตามแนวคดิ ของ Bloom (1982) ถอื วา่ สง่ิ ใดก็ตาม ที่มปี รมิ าณอย่จู ริงส่ิงน้ัน สามารถวัดได้ ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก็อยู่ภายใต้กรอบแนวคิดดังกล่าว ซ่ึงผลการวัดจะเป็นประโยชน์ในลักษณะ ทราบและประเมินระดับความรู้ ทักษะและเจตคติของนักเรียน และระดับความรู้ความสามารถตามแนวคิดของ Bloom มี 6 ระดับ ดงั น้ี 1) ความจา คือ สามารถจาเร่ืองต่าง ๆ ได้ เช่น คาจากัดความสูตรต่าง ๆ วิธีการ เช่น นักเรียนสามารถ บอกช่อื สารอาหาร 5 ชนิดได้ นกั เรยี นสามารถบอกชือ่ ธาตุทเ่ี ปน็ องคป์ ระกอบของโปรตีนได้ครบถว้ น 2) ความเขา้ ใจ คอื สามารถแปลความ ขยายความ และสรุปใจความสาคญั ได้ 3) การนาไปใช้ คอื สามารถนาความรู้ ซึ่งเป็นหลักการ ทฤษฎี ลลล ไปใชใ้ นสภาพการณ์ท่ีต่างออกไปได้ 4) การวิเคราะห์ คือ สามารถแยกแยะข้อมูลและปัญหาต่าง ๆ ออกเป็นส่วนย่อยเช่น วิเคราะห์ องค์ประกอบ ความสัมพันธ์ หลักการดาเนินการ 5) การสังเคราะห์ คือ สามารถนาองค์ประกอบ หรือส่วนต่าง ๆ เข้ามารวมกันเป็นหมวดหมู่อย่างมี ความหมาย 6) การประเมินค่า คือ สามารถพิจารณาและตัดสินจากข้อมูล คุณค่าของ หลักการโดยใชม้ าตรการที่ผู้อน่ื กาหนดไวห้ รอื ตวั เองกาหนดขึน้
9 เยาวดี วิบูลย์ศรี (2540) ได้กล่าวถึงข้อตกลงเบ้ืองต้นท่ีควรคานึงถึงในการสร้างแบบทดสอบผลสัมฤทธิ์ไว้ ดงั น้ี 1) เนื้อหา หรือทักษะภายในขอบเขตท่ีครอบคลุมในแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์นั้น จะต้อง สามารถจากดั อยู่ในรูปของพฤติกรรม ซงึ่ มคี วามเฉพาะเจาะจงในลักษณะทจ่ี ะสื่อสารไปยังบุคคลอื่นได้ ถา้ เป้าหมายทางการศึกษาไม่สามารถจากัดอยู่ในรูปของพฤตกิ รรมแล้ว ย่อมไม่สามารถที่จะวัดได้ในลักษณะ ของผลสัมฤทธ์ไิ ด้อยา่ งชัดเจน
10 2) ผลติ ผลท่แี บบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์วัดนั้น จะต้องเปน็ ผลิตผลเฉพาะท่เี กิดขึ้นจากการเรยี นการ สอนตามวตั ถปุ ระสงค์ทตี่ อ้ งการเทา่ นัน้ จะวัดผลผลิตผลอยา่ งอ่นื ไม่ได้ 3) ผลสัมฤทธิ์หรือความรู้ต่าง ๆ ท่ีแบบทดสอบผลสัมฤทธิ์วัดได้นั้น ถ้าจะนาไปเปรียบเทียบกัน แล้ว ผูเ้ ขา้ สอบทุกคนจะต้องมโี อกาสไดเ้ รยี นรู้ในเรอื่ งนัน้ ๆ เท่าเทียมกนั แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิท์ ำงกำรเรยี น สมบูรณ์ ตันยะ (2545) ไดใ้ ห้ความหมายวา่ แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการ เรียนเปน็ แบบทดสอบที่ใช้ สาหรับวัดพฤติกรรมทางสมองของผู้เรียนว่ามีความรู้ ความสามารถใน เร่ืองท่ีเรียนรู้มาแล้ว หรือได้รับการฝึกฝน อบรมมาแล้วมากน้อยเพียงใด ส่วน พิชิต ฤทธิ์จรูญ (2544) กล่าวว่า แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนเป็น แบบทดสอบท่ีใช้วัดความรู้ ทักษะ และความสามารถทางวิชาการที่ผู้เรียนได้เรียนรู้มาแล้ว ว่า บรรลุผลสาเร็จตาม จดุ ประสงค์ท่กี าหนดไว้เพยี งใด พิชิต ฤทธิ์จรูญ (2545) กล่าวว่า แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หมายถึงแบบทดสอบที่ใช้วัด ความรู้ ทักษะ และความสามารถทางวิชาการที่นกั เรียนได้เรียนรู้มาแล้ววา่ บรรลผุ ลสาเรจ็ ตามจุดประสงคท์ ่ีกาหนด ไว้เพียงใด สิริพร ทิพย์คง (2545) กล่าวว่า แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน หมายถึงชุดคาถามที่มุ่งวัด พฤติกรรมการเรียนของนักเรียนว่ามีความรู้ ทักษะ และสมรรถภาพด้านสมองด้านต่างๆ ในเรื่องท่ีเรียนรู้ไปแล้ว มากนอ้ ยเพียงใด สมพร เช้ือพันธ์ (2547) กล่าวว่า แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน หมายถึงแบบทดสอบหรือชุด ของข้อสอบท่ีใช้วัดความสาเร็จหรอื ความสามารถในการทากิจกรรมการเรียนรขู้ องนักเรียนท่ีเป็นผลมาจากการจัด กจิ กรรมการเรียนการสอนของครผู ู้สอนวา่ ผา่ นจุดประสงคก์ ารเรยี นรู้ท่ีตั้งไวเ้ พียงใด ดังนั้นสรุปได้ว่า แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน คือแบบทดสอบท่ีใช้วัดความรู้ และทักษะ ความสามารถจากการเรียนรู้ในอดตี หรอื ในสภาพปจั จุบันของแตล่ ะบุคคล ประเภทของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธทิ์ ำงกำรเรียน ไพโรจน์ คะเชนทร์ (2556) ได้จัดประเภทของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน แบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือแบบทดสอบท่ีครูสร้างข้ึนเอง (Teacher made tests) และแบบทดสอบมาตรฐาน (Standardized tests) ซึ่งทั้ง 2 ประเภทจะถามเน้ือหาเหมือนกัน คือถามส่ิงท่ีผู้เรียนได้รับจากการเรียนการสอนซึ่งจัดกลุ่ม พฤติกรรมได้ 6 ประเภท คือ ความรู้ ความจา ความเข้าใจ การนาไปใช้ การวิเคราะห์ การสังเคราะห์ และการ ประเมนิ 1. แบบทดสอบท่ีครูสร้างขึ้นเป็นแบบทดสอบที่ครูสร้างข้ึนเองเพ่ือใช้ในการทดสอบผู้เรียนในชั้นเรียน แบง่ เปน็ 2 ประเภท คอื
11 1.1 แบบทดสอบปรนัย (Objective tests) ได้แก่ แบบถูก – ผิด (True-false) แบบจับคู่ (Matching) แบบเติมคาให้สมบูรณ์ (Completion) หรือแบบคาตอบส้ัน (Short answer) และแบบ เลือกตอบ (Multiple choice) 1.2 แบบอัตนัย (Essay tests) ได้แก่ แบบจากัดคาตอบ (Restricted response items) และ แบบไมจ่ ากดั ความตอบ หรือ ตอบอย่างเสรี (Extended response items) 2. แบบทดสอบมาตรฐาน (Standardized tests) เป็นแบบทดสอบที่สร้าง โดยผู้เชี่ยวชาญที่มีความรู้ใน เนื้อหา และมีทักษะการสร้างแบบทดสอบ มีการวิเคราะห์หาคุณภาพของแบบทดสอบ มีคาชี้แจงเกี่ยวกับการ ดาเนินการสอบ การให้คะแนนและการแปลผล มีความเป็นปรนัย (Objective) มีความเท่ียงตรง (Validity) และ ความเช่ือมั่น (Reliability) แบบทดสอบมาตรฐาน ได้แก่ California Achievement Test, Iowa Test of Basic Skills, Standford Achievement Test และ the Metropolitan Achievement tests เปน็ ต้น ส่วนพวงรตั น์ ทวีรัตน์ (2543) ได้จัดประเภทแบบทดสอบไว้ 3 ประเภท ดงั น้ี 3. แบบปากเปล่า เป็นการทดสอบที่อาศัยการซักถามเป็นรายบุคคล ใช้ได้ผลดีถ้ามีผู้เข้าสอบจานวนน้อย เพราะต้องใช้เวลามาก ถามได้ละเอยี ด เพราะสามารถโตต้ อบกนั ได้ 4. แบบเขียนตอบ เป็นการทดสอบท่ีเปลี่ยนแปลงมาจากการสอบแบบปากเปล่า เนื่องจากจานวนผู้เข้า สอบมากและมจี านวนจากัด แบ่งไดเ้ ปน็ 2 แบบ คอื 1. แบบความเรียง หรืออัตนัย เป็นการสอบที่ให้ผู้ตอบได้รวบรวมเรียบเรียงคาพูดของตนเองใน การแสดงทศั นคติ ความรูส้ ึก และความคดิ ได้อยา่ งอิสระภายใต้หวั เรื่องท่ีกาหนดให้ เปน็ ข้อสอบท่ีสามารถ วัดพฤติกรรมด้านการสังเคราะห์ได้อย่างดี แต่มีข้อเสียท่ีการให้คะแนน ซ่ึงอาจไม่เที่ยงตรง ทาให้มีความ เปน็ ปรนยั ไดย้ าก 2. แบบจากัดคาตอบ เป็นขอ้ สอบ ที่มคี าตอบถกู ใต้เง่ือนไขท่ีกาหนดใหอ้ ยา่ งจากดั ขอ้ สอบแบบน้ี แบ่งออกเป็น 4 แบบ คือ แบบถูกผดิ แบบเตมิ คา แบบจับคู่ และแบบเลือกตอบ 5. แบบปฏิบัติ เป็นการทดสอบที่ผู้สอบได้แสดงพฤติกรรมออกมาโดยการกระทาหรือลงมือปฏิบัติจริงๆ เช่น การทดสอบทางดนตรี ชา่ งกล พลศกึ ษา เป็นต้น สรุปได้วา่ แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ิทางการเรยี น แบ่งได้ 2 ประเภท คือ แบบทดสอบมาตรฐาน ซึง่ สร้าง จากผู้เชี่ยวชาญด้านเนื้อหาและด้านวัดผลการศึกษา มีการหาคุณภาพเป็นอย่างดี ส่วนอีกประเภทหนึ่ง คือ แบบทดสอบที่ครูสร้างขึ้น เพื่อใช้ในการทดสอบในช้ันเรียน ในการออกแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน คาศัพท์เพื่อการส่ือสาร ผู้วิจัยได้เลือกแบบทดสอบท่ีผู้วิจัยสร้างขึ้น แบบปฏิบัติ ในการวัดความสามารถในการนา คาศัพทไ์ ปใช้ในการสื่อสารดา้ นการการพูดและการเขียน และเลือกแบบทดสอบแบบเขียนตอบท่จี ากัดคาตอบโดย การเลือกตอบจากตัวเลือกที่กาหนดให้ ในการวัดความรูค้ วามเข้าใจความหมายของคาศัพท์ และการนาคาศัพท์ไป ใชใ้ นการฟังและการอ่าน
12 กำรวำงแผนกำรสรำ้ งและกำรเลือกชนดิ ของแบบทดสอบใหเ้ หมำะสมกบั เนื้อหำ ในการสร้างแบบทดสอบให้ครอบคลุมเน้ือหาและสามารถวัดพฤติกรรมได้เหมาะสมกับเน้ือหา ควรมีการ สร้างตารางวิเคราะห์หลักสูตร (Developing the table of specifications) เพื่อเป็นแนวทางในการสร้าง เหมือนกับการเขียนแบบสร้างบ้าน ท่ีเรียกกันว่า Test blueprint ตารางวิเคราะห์หลักสูตรประกอบด้วยหัวข้อ เนือ้ หา และวตั ถุประสงคก์ ารเรียนรูก้ บั พฤตกิ รรมทีต่ อ้ งการจะวัด การสร้างตารางวิเคราะห์หลักสูตรเร่ิมที่การสร้างตาราง 2 มิติ คือแนวตั้งเป็นพฤติกรรมที่ต้องการจะวัด ประกอบด้วย ความจา ความเข้าใจ การนาไปใช้ การวิเคราะห์ การสังเคราะห์ และการประเมินค่า ส่วนแนวนอน เป็นหัวข้อเน้ือหาหรือวัตถุประสงค์การเรียนรู้ ซึ่งข้ึนอยู่กับเนื้อหาและ/หรือวัตถุประสงค์ของวิชาน้ัน จากน้ันจึง กาหนดนา้ หนักของเน้อื หา พิจารณาจากความสาคัญของเน้ือหาน้ันๆ โดยอาจกาหนดน้าหนักเป็นร้อยละ พร้อมกับ กาหนดพฤติกรรมท่ีต้องการจะวัดและกาหนดความสาคัญ โดยพิจารณาจากจุดประสงค์การเรียนรู้ควบคู่ไปกับ เนื้อหา สุดท้ายจึงกาหนดแบบทดสอบที่จะใช้วัด เช่น แบบถูกผิด แบบจับคู่ แบบเติมคา แบบเลือกตอบ หรือแบบ อตั นยั เป็นต้น 2. ควำมหมำยของจุดประสงค์กำรเรยี นรู้ จุดประสงค์การเรียนรู้ คือ ข้อความที่ระบุคุณลักษณะการเรียนรู้และความสามารถท่ีครูต้องการให้เกิด ขึ้นกบั นกั เรียน หลงั จากทน่ี ักเรยี นได้ผา่ นกิจกรรมการเรยี นการสอนในเรอ่ื ง หรือบทหนึ่งๆแลว้ ควำมสำคัญของจุดประสงคก์ ำรเรยี นกำรสอน จดุ ประสงค์การเรียนรู้ เปน็ จดุ หมายปลายทางของการเรียนการสอนทีไ่ ด้แนวทางมาจากความคิดรวบยอด การเรยี นการสอน ดังน้ันจดุ ประสงค์การเรียนการสอนจงึ มีความสาคัญต่อการจดั การเรยี นการสอน ลักษณะของจุดประสงคก์ ำรเรียนกำรสอน จุดประสงค์การเรยี นการสอนแบ่งได้ 2 ระดับ คอื 1. จุดประสงคท์ ั่วไป เป็นจุดประสงค์ท่ีมีความหมายกว้างไม่เฉพาะเจาะจง ได้แก่ จุดประสงค์การเขียนหลักสูตร จุดประสงค์ ของแผนการศึกษาชาติ ซ่ึงมีคาที่เรียกแตกต่างกันออกไป เช่น จุดมุ่งหมาย ความมุ่งหมาย จุดหมาย วัตถุประสงค์ และผลการเรยี นรู้ทคี่ าดหวัง ตวั อย่างจดุ ประสงค์ของหลกั สตู ร 1. เพอื่ ใหม้ ีนสิ ยั ใฝห่ าความรแู้ ละมคี วามคดิ สร้างสรรค์ 2. เพอ่ื ใหม้ ีความรคู้ วามเขา้ ใจและเหน็ คณุ ค่าในศิลปวฒั นธรรม 3. เพื่อปลูกฝงั ให้มีความภาคภุมิใจในความเป็นไทย 2. จุดประสงคเ์ ฉพาะ เป็นจุดประสงค์ท่ีมีความหมายเฉพาะเจาะจง และเป็นจดประสงค์ที่ต้ังข้ึน เพื่อแสดงให้เห็นอย่างชัดแจ้ง ตรวจสอบได้ ตัวอย่างเชน่ 1. นักเรียนสามารถอธิบายถึงข้อควรปฏิบัตใิ นการฟังและพดู ในโอกาสตา่ งๆได้ 2. นกั เรยี นสามารถเขียนแผนภูมิแท่งได้ 3. นกั เรียนสามารถบอกไดว้ า่ อาหารชนิดใดอยูใ่ นหมวดหมใู่ ดไดถ้ กู ตอ้ ง 8 ชนดิ จุดประสงค์เฉพาะจะช้ีให้เห็นส่ิงที่ต้องการจากการศึกษาอย่างเฉพาะเจาะจงและเก่ียวข้องกับเนื้อหาวิชา โดยตรง
13 จุดประสงค์การเรียนการสอนนอกจากจะแบ่งเป็น 2 ระดับแล้วดังกล่าวแล้วยังแบ่งตามลักษณะการ เรยี นร้ไู ด้ 3 ด้านดังน้ี พทุ ธพสิ ัย เปน็ จุดประสงคท์ างการศึกษาทเ่ี ก่ียวกบั การเรียนรู้ทางด้านปัญญา คอื ความรู้ความเข้าใจ การ ใช้ความคิดแบง่ ได้ออกเปน็ 6 ระดับ คือ 1. ความรู้ หมายถึง ความสามารถในการจาเน้ือหาความรู้ และระลึกได้เม่ือต้องการนามาใช้ ความรทู้ ีเ่ ก่ยี วกบั วธิ ีการ และความรู้เกีย่ วกับหลักการ เช่น -นักเรยี นสามารถบอกคาแปลของเครื่องหมายได้ -นกั เรียนสามารถอธิบายความหมายของการอนุรกั ษ์ทรพั ยากรธรรมชาติได้ถูกต้อง 2. ความเข้าใจ เป็นความสามารถในการจับใจความสาคัญของส่ือได้ และสามารถแสดงออกมาใน รูปของการแปลความ ตีความ คาดคะเน ขยายความ หรือ การกระทาอน่ื ๆเช่น -นกั เรียนสามารถเขียนรปู จากโจทยท์ ีก่ าหนดไว้อยา่ ถูกตอ้ ง -นกั เรยี นสามารถอธบิ ายความหมายของการอนรุ ักษ์ทรพั ยากรธรรมชาตไิ ด้ถูกต้อง 3. การนาความรู้ไปใช้หมายถึง การนาเอาเน้ือหาสาระ หลักการ ความคิดรวบยอด เป็นข้ันท่ี ผู้เรียนสามารถนาความรู้ ประสบการณ์ไปใช้ในการแก้ปัญหาในสถานการณ์ต่าง ๆ ได้ ซึ่งจะต้องอาศัย ความรคู้ วามเขา้ ใจ จึงจะสามารถนาไปใชไ้ ด้ เช่น -นาหลักของการใชภ้ าษาไทยไปใชส้ อื่ ความหมายในชวี ิตประจาวันได้ถูกตอ้ งและเหมาะสม -นักเรยี นสามารถเสนอความคิดในการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติได้ 4. การวิเคราะห์ เป็นขั้นท่ีผู้เรียนสามารถคิด หรือ แยกแยะเรื่องราวสิ่งต่าง ๆ ออกเป็นส่วนย่อย เป็นองค์ประกอบที่สาคัญได้ และมองเห็นความสัมพันธ์ของส่วนที่เกี่ยวข้องกัน ความสามารถในการ วิเคราะห์จะแตกต่างกันไปแลว้ แต่ความคิดของแต่ละคนซึ่งนักเรยี นจะสามารถวิเคราะห์ฃเน้อื หาสาระได้ก็ ตอ่ เม่ือนักเรียนเข้าใจเน้อื หาสาระทีเ่ รียนมาแล้ว เช่น -นักเรียนสามารถแยกองคป์ ระกอบของหลกั สตู รได้ -นักเรยี นสามารถจาแนกวิธีของการอนุรกั ษท์ รพั ยากรธรรมชาติได้ 5. การสังเคราะห์ หมายถึง ความสามารถท่ีจะนาองค์ประกอบส่วนย่อยๆเข้ามารวมกันเพื่อให้ เป็นภาพทสี่ มบรู ณ์เกิดความกระจ่างใสในสิ่งเหล่านัน้ เชน่ -หลังจากที่ครูให้ตัวอย่าง 5 ตัวอย่างเรื่องการหาร นักเรียนสามารถสรุปได้ว่าการหารคือการหัก ออกทีละเทา่ ๆกัน 6. การประเมนิ คา่ หมายถึง ความสามารถในการพิจารณาตัดสนิ คุณค่าของสิ่งต่างๆโดยที่ผู้ตัดสิน กาหนดเกณฑข์ ้นึ มาเอง หรอื เกณฑท์ ี่ผอู้ ืน่ กาหนดขึน้ เชน่ -หลังจากทอี่ ่านบทความแล้วนักเรยี นสามารถวจิ ารณค์ วามรูส้ ึกของผเู้ ขียนได้ จิตพสิ ัย จติ พิสยั เป็นอารมณ์ หรอื ความรูส้ ึกของแต่ละบคุ คล ทไี่ ด้แสดงออกมา ทั้งด้านการกระทา การแสดงความ คิดเหน็ เจตคติ ค่านิยมและคุณธรรมกระบวนการเกดิ ข้นึ ภายในเหลา่ นจี้ ะเกดิ ตามลาดับข้ันตอนตอ่ ไปน้ี 1.การรับคือการท่ีนักเรียนได้รับประสบการณ์จากสิ่งแวดล้อม เช่น นักเรียนยอมรับความแตกต่างทาง วฒั นธรรมในสงั คม 2.การตอบสนอง คือ การมีปฏิกิริยาโต้ตอบกับสิ่งแวดล้อมท่ีรับเข้ามาด้วยความเต็มใจ เช่น นักเรียนได้ แสดงความคิดเหน็ เพิ่มเติมในเรอื่ งทค่ี รูบรรยาย
14 3.การเห็นคุณค่า เป็นส่ิงท่ีเกิดขึ้นภายหลังจากที่ได้รับรู้สิ่งแวดล้อมและมีปฏิกิริยาโต้ตอบสังเกตได้จาก พฤตกิ รรมทยี่ อมรบั ค่านยิ มใดนิยมหนึง่ เชน่ -นักเรยี นแสดงความสนใจในวัฒนธรรมโดยตดิ ตามอ่านหนังสอื เกีย่ วกับวฒั นธรรมอย่างสม่าเสมอ 4.การจดั รวบรวม เป็นการคดิ พิจารณา และรวบรวมคา่ นยิ มให้เป็นระบบค่านิยม เช่น -นกั เรยี นสามารถจดั โครงสรา้ งของวฒั นธรรมได้ 5.การพิจารณาคุณลักษณะจากค่านิยม เป็นเร่ืองความประพฤติ คุณสมบัติ คุณลักษณะของแต่ละบุคคลท่ี เปน็ ผลของความรสู้ ึก เช่น -นักเรยี นสามารถสรา้ งค่านิยมตอ่ วัฒนธรรมได้ ทักษะพิสยั จุดประสงค์เก่ียวกับทักษะในการเคลื่อนไหว และใช้อวัยวะต่างๆของร่างกาย มีลาดับการพัฒนา ทักษะ ดงั น้ี การเลยี นแบบเป็นการทาตามตัวอย่างทค่ี รูให้ หรอื ดุของจริง เชน่ นักเรยี นวาดภาพเหมอื นตัวอย่าง การทาตามคาบอก เป็นการทาตามคาสง่ั ของครูโดยไม่มตี วั อยา่ งให้ดุ เชน่ นกั เรยี นวาดภาพสิง่ ท่ีครูบอกช่ือ ได้ การทาอย่างถูกต้องและเหมาะสม เป็นการทาโดยอาศัยความรู้ที่เคยทามาก่อนแล้วเพิ่มเติม เช่น นักเรียน สามรถออกแบบภาพได้ การทาได้ถูกต้องหลายรูปแบบ เป็นการทาเรื่องท่ีคล้ายๆกันและแยกแยะรูปแบบได้เช่น นักเรียนสามารถ วาดภาพส่ิงทีม่ ีชวี ิตได้หลายประเภท การทาอย่างเป็นธรรมชาติ เป็นการทาท่ีเกิดจากความรู้ ความชานาญ และเสร็จได้ในเวลาอันรวดเร็ว เช่น นักเรยี นสามารถวาดรปู ภาพไดถ้ กู วิธีและรวดเร็ว จดุ ประสงคเ์ ฉพาะมีบทบาททสี่ าคัญต่อการเรยี นการสอน คอื จุดประสงคเ์ ชงิ พฤติกรรม จุดประสงคเ์ ชิงพฤติกรรม การกาหนดจดุ ประสงคเ์ ชงิ พฤติกรรทช่ี ัดเจนทาให้ครูสามารถ -หาวิธีการสอนได้อยา่ เหมาะสม -หาวธิ กี ารสอนไดอ้ ยา่ งเหมาะสม -เลือกสือ่ การเรียนการสอนไดส้ อดคลอ้ งกบั เน้ือหาสาระทีจ่ ะเรยี น -จดั กิจกรรมการเรยี นการสอนไดเ้ หมาะสม -เตรียมการวัดผลและประเมนิ ผลไดเ้ หมาะสม -ทาใหก้ ารสอนบรรลุจุดประสงคท์ ต่ี งั้ ไว้ ควำมหมำย จุดประสงค์เชิงพฤตกรรมเป็นจุดประสงค์การศึกษาที่บ่งบอกถึงการกระทาของนัก เรียนอย่างชัดเจนว่า นักเรยี นสามารถทาอะไรได้บา้ ง หลังจากท่ีได้เรยี น บทเรียนนั้นๆ ไปแล้ว องค์ประกอบ จดุ ประสงค์เชิงพฤตกรรมประกอบดว้ ยองคป์ ระกอบ 3 ส่วน 1.สถำนกำรณ์ท่ีครูต้ังขึ้น เพื่อให้นักเรียนแสดงพฤติกรรมออกมา มักใช้คาว่า กาหนดให้…., ภายหลัง จากท…ี่ .., ถ้ามี….., เม่อื … 2.พฤติกรรมของนักเรียนท่ีครูคำดหวังให้แสดงออกมำ ซ่ึงเป็นพฤติกรรมที่สามารถสังเกตได้ ได้แก่ อธิบาย บรรยาย บอก วาด เขยี น ชี้ คานวณ ตอบ ท่อง เปรยี บเทยี บ สร้าง รายงาน ลลล
15 คาท่ีไม่ควรใชใ้ นจดุ ประสงค์เชิงพฤตกรรม ไดแ้ ก่ รู้เขา้ ใจ วาบซงึ้ ตระหนัก จนิ ตนาการลลล 3.เกณฑ์ระดับควำมสำมำรถของพฤติกรรมที่นักเรียนแสดงออก มักใช้คาว่า ได้ ถูกต้อง ถูกหมด ได้ ทกุ ขอ้ ตัวอย่ำงจุดประสงค์เชิงพฤตกิ รรม 1.เมอื่ กาหนดโจทย์เลขเศษส่วนให้ 10 ข้อ นักเรยี นสามารถทาได้ถกู ตอ้ งอยา่ งน้อย 8 ข้อ 2.เมือ่ นาแผนมาใหน้ กั เรียนดู นักเรียนสามารถบอกชื่อเคร่ืองหมายในแผนท่ไี ด้อย่างน้อย 5 ชอ่ื 3.เมือ่ นาช่ือสตั วต์ า่ งๆมาติดบนกระดานดา นกั เรยี นสามารถแยกช่ือสัตว์ท่ีเลยี้ งไวใ้ ช้งานไดถ้ กู ต้อง 4.จากการสงั เกตจากดวงอาทิตย์ นกั เรียนสามารถชี้ทิศท้ังสที่ ศิ ได้ สรุปความหมายของจุดประสงค์การเรียนรู้ คือ เพ่ือให้มีความรู้ ความเข้าใจในวิชาที่เรียน ข้อมูลที่ปรากฏ ในส่ิงแวดล้อม สามารถคิดอยา่ งมเี หตผุ ล และใชเ้ หตผุ ลในการแสดงความคิดเห็นอย่างมรี ะเบยี บ ชดั เจนและรดั กมุ เพื่อให้มีทักษะในการเรียนเพิ่มข้ึน เพื่อให้เห็นประโยชน์ของวิชาคณิตศาสตร์ท้ังท่ีมีต่อชีวิตประจาวัน และเป็น เครื่องมือแสวงหาความรู้ เพ่ือให้สามารถนาความรู้ ความเข้าใจ และทักษะทางคณิตศาสตร์ไปใช้ในชีวิตประจาวัน และเปน็ พ้นื ฐานในการศึกษาคณิตศาสตรแ์ ละวชิ าอื่น ๆ ท่อี าศยั ความเชอ่ื มโยงของวิชา 3. พฤตกิ รรมทีค่ ำดหวังทำงดำ้ นสตปิ ญั ญำ การกาหนดผลการเรียนรู้ที่คาดหวังให้ครอบคลุมจุดมุ่งหมายแต่ละด้าน มีข้อยุ่งยากอยู่ท่ีการกาหนด พฤติกรรมท่ีคาดหวัง จาเป็นท่ีผู้กาหนดจะต้องเข้าใจก่อนว่า ในแต่ละด้านน้ันมีจุดมุ่งหมายย่อย ๆ อะไรบ้าง และมี พฤติกรรมอะไรบ้าง ทั้งนี้เพ่ือมิให้พฤติกรรมท่ีคาดหวังเป็นเพียงพฤติกรรมง่าย ๆ ในระดับต่า เพราะจะเป็นผลให้ การเรียนการสอนไม่ส่งเสรมิ พฤติกรรมช้ันสูงท่ีมคี ุณค่ามากกว่า ในเอกสารนจ้ี ะกล่าวถึงพฤติกรรมทีค่ าดหวงั สาหรับ ด้านสตปิ ญั ญาเท่านั้น (นวลน้อยเจริญผล. 2538 : 44-48) เมเกอร์ (Mager, 1975, p. 21) ได้เสนอว่าองค์ประกอบของจุดประสงค์เชิงพฤติกรรมมี 3 องค์ประกอบ ไดแ้ ก่ 1) พฤติกรรมหรือทักษะท่ีผู้เรียนแสดงออก จุดประสงค์จะต้องอธิบายสิ่งท่ีผู้เรียนสามารถทาได้ ไม่ใช่ กิจกรรมการเรียนการสอนท่ีครูให้ทาความของจุดประสงค์ประกอบด้วย การกระทาและเน้ือหา ยกตัวอย่างเช่น วาดภาพเหมอื นของตวั เอง วเิ คราะห์โจทยเ์ ลข 2) เง่ือนไขการแสดงพฤติกรรมหรือการท างานของผู้เรียน จุดประสงค์จะต้องระบุสภาพของ การท างาน ซึ่งเป็นสิง่ เรา้ ภายนอก หรืออุปกรณ์/เคร่ืองมือท่ีใหผ้ ู้เรียนใช้ในขณะปฏิบัติงาน ยกตวั อย่างเชน่ อนุญาตให้ผเู้ รียนใช้ เครอ่ื งคิดเลขในการคานวณเลข หลังการอ่านหนังสือจบ นกั เรยี นสามารถสรปุ สาระสาคัญได้ 3) เกณฑ์ในการแสดงพฤติกรรมเพ่ือใช้ในการประเมินการปฏิบัติงานของผู้เรียน เกณฑ์มักระบุ ในรูปของ ความถูกต้อง เวลาที่ใช้ หรือระดับคุณภาพในการแสดงพฤติกรรมของผูเ้ รียนซึ่งเปน็ ที่ยอมรับ เกณฑ์อาจระบุในเชงิ ปริมาณท่ีสามารถแจงนับได้ หรือเกณฑ์ในเชิงคุณภาพซึ่งบอกลักษณะของพฤติกรรม ซ่ึงเป็นที่ยอมรับของ ผู้เชี่ยวชาญ ดังนั้นหากต้องการเขียนจุดประสงค์เชิงพฤติกรรมท่ีแสดงถึงความสามารถ ในระดับใดก็ควรเลือกใช้ คากริยาที่ชี้บ่งให้เห็นขั้นพฤติกรรมในระดับนั้น หรือกาหนดเกณฑ์ท่ีชี้ให้เห็นสภาพ ที่ต้องการพัฒนา ยกตัวอย่าง เช่น แกป้ ญั หาไดถ้ กู ต้อง 2 ใน 3 ข้อ โยนลูกบอลได้ 10 ครั้ง ภายใน 1 นาที
16 หลักกำรเขยี นจุดประสงคเ์ ชิงพฤติกรรม การเขยี นจดุ ประสงคเ์ ชิงพฤตกิ รรมในแตล่ ะองคป์ ระกอบ ควรมหี ลักการดงั น้ี 1) ข้อความที่ใช้บรรยายพฤติกรรมต้องชัดเจน เฉพาะเจาะจง ไม่สับสน เป็นพฤติกรรมที่ สามารถ สังเกตเหน็ ได้ เช่น คาทแี่ สดงพฤติกรรมดา้ นความรู้ ใช้คาวา่ ระบุ บอก อธิบาย ให้นยิ าม สาธิต เป็นต้น แทนคาท่ีมี ลักษณะกากวม ไม่สามารถสังเกตพฤติกรรมได้ เช่น คาว่า “รู้” “เข้าใจ” ส่วนคาท่ี แสดงพฤติกรรมที่บอกเจตคติ นิยมใช้คาที่ให้ผู้เรียนเลือก ตัดสินใจแสดงพฤติกรรมท่ีมาจากความรู้สึกแทน คาว่า “ซาบซึ้ง” ซ่ึงไม่เห็นพฤติกรรม จงึ เป็นคาทไี่ ม่ควรใช้ สาหรบั พฤตกิ รรมเก่ียวกับทักษะทางกาย มี ลักษณะท่ชี ดั เจนในตัวเองเพราะผู้เรียนต้องแสดง พฤตกิ รรมใหป้ รากฏจงึ ไม่เปน็ ปญั หา ตวั อยา่ งเชน่ นักเรียนแต่งประโยคท่ีมอี งค์ประกอบ 3 สว่ น คอื ประธาน กิริยา และกรรมไดถ้ กู ตอ้ ง นักเรยี นเล้ียงลกู วอลเลยบ์ อลได้ตอ่ เนอ่ื งอย่างนอ้ ย 50 ลูก นกั เรยี นสง่ งานทุกชน้ิ ทคี่ รมู อบหมายในเวลาที่กาหนด 2) การบอกเงื่อนไขของการแสดงพฤติกรรม พิจารณาจากส่ิงเร้าหรือตัวช่วยท่ีผู้เรียนนาไป เช่ือมโยงกับ ความรู้/ความคิดรวบยอดท่ีเก็บไว้ในโครงสร้างทางปัญญา ทาให้ผู้เรียนสามารถระลึกได้และ นากลับมาใช้ในการ ปฏิบัตงิ าน เงอ่ื นไขการเรียนรู้ พฤตกิ รรมท่แี สดงออก ตัวอยา่ ง เชน่ นักเรยี นบวกเลขสองหลกั โดยคดิ ในใจไดถ้ กู ต้อง จานวน 8 ขอ้ ใน 10 ขอ้ นักเรยี นยนื ตรงแสดงความเคารพทกุ ครั้งเมอื่ ได้ยินเสียงเพลงชาติไทย 3) การกาหนดเกณฑ์ในการแสดงพฤติกรรม สามารถเขียนเกณฑ์ได้หลายลักษณะข้ึนกับเกณฑ์ ท่ีใช้และ ประเภทของพฤตกิ รรมการเรียนรู้ ได้แก่ (1) เกณฑ์ความถูกต้องความรู้ที่เป็นข้อเท็จจริง กฎหรือทฤษฎีที่เป็นเนื้อหาซ่ึงมีคาตอบที่ ถูกต้อง แน่นอนอยู่แล้ว เกณฑ์กค็ ือความถูกตอ้ งตรงตามเนื้อหา (2) เกณฑ์ความรอบรู้ หมายถึง เกณฑ์ท่ีแสดงว่ารู้จริง ทาได้จริง ใช้เกณฑ์การแสดง พฤติกรรมท่ี ทาไดถ้ กู ต้องเทา่ กบั หรอื ต้ังแต่ร้อยละ 80 ข้ึนไป (3) เกณฑ์ด้านทักษะ จะพิจารณาจากรายการของพฤติกรรมที่คาดหวังให้แสดงได้ซึ่งใช้ ระยะเวลาหรือความถ่ีในการแสดงพฤติกรรมหรือลักษณะของการตอบสนองซ่ึงเป็นที่ยอมรับจาก ผลการวจิ ัย (4) เกณฑ์ด้านเจตคติ พิจารณาจากจานวนคร้ังของการแสดงพฤติกรรมท่นี ่าพอใจ ในสถานการณ์ ที่จัดข้ึนโดยใช้แบบตรวจสอบรายการพฤติกรรมจากการสังเกตขณะทางาน ตัวอย่างจุดประสงค์เชิง
17 พฤตกิ รรมที่กาหนดเกณฑใ์ นการแสดงพฤติกรรม เช่น นกั เรียนเลี้ยงลูกวอลเลย์บอลไดต้ ่อเน่ืองอย่างน้อย 50 ลกู นกั เรียนจัดพานไหวค้ รูดว้ ยวสั ดอุ ปุ กรณท์ ่กี าหนดไดส้ าเร็จในเวลา 3 ช่วั โมง ประเภทของจดุ ประสงคก์ ำรเรยี นรู้ จุดประสงค์การเรียนรู้แบ่งตามลักษณะการแสดงออกทางพฤติกรรมท่ีเสนอโดยบลูม (Bloom) แครทโรล (Krathrohl) และแฮร์โรว์ (Harrow) ออกเป็น 3 ด้าน ได้แก่ ด้านพุทธิพิสัย (cognitive domain) ด้านทักษะพิสัย (psychomotor domain) และดา้ นจติ พสิ ัย (affective domain) (Kellough & Roberts, 1991, pp. 210-218) 1. ด้านพุทธิพิสัย จุดประสงค์การเรียนรู้ด้านพุทธิพิสัย หมายถึง จุดประสงค์ท่ีแสดง ความสามารถของ สติปัญญาในการประมวลข้อมลู พฤติกรรมทช่ี บ้ี ่งความสามารถในด้านนีส้ ามารถแบ่งได้ 6 ระดับ จากระดับพ้ืนฐาน ไปสู่ระดบั ทซ่ี บั ซ้อน ดงั น้ี 1) ความรู้ ความจา (knowledge) หมายถงึ การรับรู้ขอ้ มูล ความรู้ความสามารถในการ ระลึกได้ จาได้ ซึ่งเป็นพื้นฐานในการพัฒนาความสามารถระดับสูงขึ้นไป คากริยาท่ีใช้บ่งบอกพฤติกรรม ในระดับน้ี ไดแ้ ก่ เลือก ระบุ อธิบาย เติมคาให้สมบรู ณ์ ช้ีบ่ง จดั ทารายการ จบั คู่ เรยี กช่อื ระลกึ จา บอก และกาหนด เป็นต้น 2) ความเข้าใจ (comprehension) หมายถึง ความสามารถในการแปลความ อธิบาย ความรู้ ตีความ คาดคะเน คากริยาท่ีใช้ ได้แก่ เปล่ียน อธิบาย ประมาณการ ขยายความ สรุป อ้างอิง แปล ความหมาย คาดคะเน ตีความ ขยายความ อปุ มาอุปมยั ลงสรปุ และยกตัวอยา่ ง เปน็ ตน้ 3) การนาไปใช้ (application) หมายถึง ความสามารถในการนาข้อมูลไปใช้ คากริยาท่ีใช้ ได้แก่ การประยุกต์ การคานวณ การสาธิต การพัฒนา การค้นพบ การดัดแปลง การดาเนินการ การมีส่วนร่วม การแสดง วางแผน ทานาย เชื่อมโยง แสดงและทาใหด้ ู เป็นต้น 4) การวิเคราะห์ (analysis) หมายถึง ความสามารถในการพิจารณาแยกแยะองค์ประกอบย่อย ด้วยเกณฑห์ รอื คณุ สมบตั ทิ ีก่ าหนด คากรยิ าทใี่ ช้ ไดแ้ ก่ วิเคราะห์ แยกแยะ จดั พวก จดั ชน้ั จดั ประเภท จดั กลุ่ม เปรียบเทียบ หาความแตกต่าง วิจารณ์ แสดงแผนภูมิ จาแนก สรุปอ้างอิง และกาหนดองค์ประกอบ เป็นต้น 5) การสังเคราะห์ (synthesis) หมายถงึ ความสามารถในการรวบรวมองค์ประกอบย่อย เพ่อื การ สร้างสิง่ ใหมท่ ี่มีคุณลักษณะแตกตา่ งจากเดิม ไดแ้ ก่ การออกแบบ วางแผน และนาเสนอโครงการ คากริยา ที่แสดงทักษะการสังเคราะห์ ได้แก่ จัดเตรียม จัดประเภท แบ่งพวก ผสมผสาน รวบรวม กาหนด สร้าง ออกแบบ พัฒนา ผลิต ดัดแปลง จัดระบบ วางแผน ปฏิรูป วางระบบ ปรับปรุง ทบทวน สรุปรวบยอด สังเคราะห์ ประพันธ์ แต่ง นาเสนอ และจัดการแสดง เป็นต้น 6) การประเมินคุณค่า (evaluation) เป็นระดับข้ันสูงสุดของความสามารถทางสติปัญญา หมายถึง การแสดงความคิดเห็นและการตัดสินคุณค่า คากริยาท่ีใช้ ได้แก่ โต้แย้ง ประเมิน เปรียบเทียบ สรุปความ วิจารณ์ ตดั สนิ อธิบาย ตีความ จดั ลาดับท่ี จดั ช้นั และเทยี บกบั มาตรฐาน เปน็ ต้น
18 2. ด้านจิตพิสัย จุดประสงค์การเรียนรู้ด้านจิตพิสัย หมายถึง จุดประสงค์ที่แสดงพฤติกรรม ที่เกี่ยวกับ ความร้สู ึก เจตคติและคา่ นยิ ม ซ่ึงการเรยี นรูด้ ้านเจตคตแิ ละคา่ นยิ ม มลี าดับข้ันของการเกิด พฤติกรรมดงั น้ี 1) การรับรู้ (receiving) เป็นลาดับของการตระหนัก รับรู้ต่อสิ่งเร้า ซ่ึงเป็นจุดเริ่มต้น ของ ความรู้สึกพึงพอใจ นักเรียนจะแสดงออกให้เห็นถึงความตั้งใจ ความสนใจ ต่อสิ่งเร้าหรือประสบการณ์ ท่ี ไดร้ บั คากรยิ าทใ่ี ช้ ได้แก่ ถาม เลือก อธิบาย ตอบ บอกช่ือ สาธติ ระบุ บอกความแตกตา่ ง และบอกจดุ เด่น เป็นต้น 2) การตอบสนอง (responding) เป็นข้ันของการตอบสนองต่อส่ิงเร้า ซึ่งอาจเน่ืองมาจาก การ ถูกควบคุมซึ่งเป็นปัจจัยจากภายนอก หรือโดยความสนใจของนักเรียนเองซึ่งเป็นปจั จัยภายใน เพราะเห็น วา่ สิง่ เร้านั้นนา่ สนใจ หรือเกดิ ความพงึ พอใจต่อสง่ิ เร้านนั้ คากริยาทใ่ี ช้ ไดแ้ ก่ พสิ ูจน์ รวบรวม ทาตามคาส่ัง แสดง ฝึกปฏบิ ัติ นาเสนอ และเลอื ก เป็นต้น 3) การเห็นคุณค่า (valuing) เป็นขั้นที่นักเรียนแสดงพฤติกรรมด้วยความเช่ือ ความประทับใจ ความซาบซ้ึง และศรัทธาท่ีมีต่อส่ิงน้ันด้วยตัวของนักเรียนเอง คากริยาท่ีใช้ ได้แก่ อธิบาย ทาตาม ริเริ่ม เข้ารว่ ม นาเสนอ และทาใหส้ มบูรณ์ เปน็ ตน้ 4) การจัดระเบียบ (organizing) เป็นข้ันที่นักเรียนสร้างระบบค่านิยมส่วนตนข้ึนมา โดยการ ยอมรับและจัดระเบียบคุณค่าต่าง ๆ ให้เช่ือมโยงเข้ากับค่านิยมเดิมที่มีมาก่อนของตนเอง เป็นค่านิยม ใน ชีวิต คากริยาที่ใช้ ได้แก่ จัดระเบียบ รวบรวม สรุป บูรณาการ ดัดแปลง จัดลาดับ สังเคราะห์ สร้าง และ จัดระบบ เป็นต้น 5) การสร้างระบบค่านยิ มของตนเอง (internalization of values) เปน็ จดุ ประสงค์ ระดับสงู สดุ พฤติกรรมในระดับน้ีมีความคงเส้นคงวา แน่นอนไม่เปลี่ยนแปลงต่อความเชื่อของตนเอง คากริยาที่ใช้ ไดแ้ ก่ ปฏิบัติ แสดงออก แก้ปัญหา ประกาศตวั แสดงตน อทุ ศิ ตน ทมุ่ เท ยอมรับ และเกิดสานึก เปน็ ตน้ 3. ด้านทักษะพิสัย ทักษะเป็นความสามารถทางกาย ท่ีอาศัยการเคลื่อนไหวของกล้ามเน้ือ ในการทางาน เช่น ทกั ษะที่อาศัยการท างานของกล้ามเน้ือมัดใหญเ่ ป็นหลัก ไดแ้ ก่ การเล่นกฬี าตา่ ง ๆ การเตน้ รา เป็นต้น ทักษะ ทอ่ี าศัยการท างานของกล้ามเนื้อมัดเล็กเปน็ หลัก ไดแ้ ก่ การใช้มอื และสายตา ประกอบกนั ไดแ้ ก่ งานช่างฝีมือต่าง ๆ การประกอบอาหาร การท างานประดิษฐ์ การเล่นเคร่ืองดนตรี เป็นต้น การจัดประเภทของจุดประสงค์ด้าน ทักษะพิสัยนี้ยังไม่เป็นท่ียอมรับอย่างกว้างขวาง แต่ได้มี การนาเสนอทักษะที่เป็นความสามารถทางกายที่มีการ พัฒนามาเปน็ ลาดบั ขน้ั ตั้งแต่เกิดดังน้ี 1) การเคลื่อนไหวสะทอ้ น (reflex movement) เปน็ พฤตกิ รรมทแี่ สดงการตอบสนอง โดยไม่ตัง้ ใจ เปน็ ไป เองเมอ่ื ไดร้ ับส่ิงกระตุน้ 2) การเคล่ือนไหวพื้นฐาน (fundamental movement) เป็นพฤติกรรมการเคล่ือนไหว พื้นฐานท่ี พัฒนาขนึ้ ในขวบปีแรกของชีวิต เปน็ ส่ิงทเ่ี กิดขึ้นเองตามพัฒนาการตามวัยโดยไมต่ ้องสอน
19 3) ความสามารถรับรู้ (perception abilities) เป็นพฤติกรรมท่ีพัฒนาจากการรับรู้ ดังน้ันในวัยเด็กเล็ก ควรส่งเสริมใหเ้ ดก็ สารวจ และมีสว่ นร่วมในกิจกรรมทีใ่ ช้ประสาทสัมผัสเพ่ือพัฒนา ความสามารถในการรับรู้อย่างมี ประสทิ ธภิ าพ 4) ความสามารถทางกาย (physical abilities) เป็นพฤติกรรมที่แสดงความสามารถ ของการเคล่ือนไหว ร่างกาย ประกอบดว้ ย ความทนทาน ความแขง็ แรง ความยดื หยุ่น และความคล่องแคลว่ 5) การเคลื่อนไหวอย่างคล่องแคล่ว (skilled movement) เป็นพฤติกรรมที่แสดงถึง ทักษะในการ เคลอ่ื นไหว ทาให้การท างานมีประสิทธิภาพ คอื ไดท้ ั้งผลงานและการประหยดั พลังงานในการทางาน 6) การสื่อสารโดยไม่อาศัยการพูดหรือการเขียน (nondiscursive communication) เป็นพฤติกรรมทาง กายท่ีแสดงออกหรือส่ือถึงความรู้สึกนึกคิดด้วยท่าทางหรือภาษาใบ้ การพัฒนาทักษะต้องอาศัยการพัฒนาเป็น ลาดับขั้น จากระดับที่ทาได้พื้นฐานไปสู่การปฏิบัติ อย่างเชี่ยวชาญชานาญการ ซ่ึงเร่ิมต้นจากการทาได้โดยอาศัย การทาตามแบบ หรอื ตามกรอบทกี่ าหนดไว้ และพฒั นามาเป็นการทาไดด้ ้วยตนเอง มาสขู่ ั้นที่ทาได้อยา่ งคล่องแคล่ว การทาไดอ้ ยา่ งชานาญการและสุดท้ายทาไดอ้ ย่างสร้างสรรค์ คอื สามารถคดิ ประดิษฐส์ ร้างงานหรือออกแบบการทา ได้ถึงขั้นที่มีเอกลักษณ์เฉพาะ เป็นของตนเอง สามารถสื่อถึงหลักการและแนวคิดท่ีแฝงอยู่ในการแสดงพฤติกรรม น้ันได้ ข้ันตอนกำรเขยี นจดุ ประสงค์เชิงพฤตกิ รรม การเขยี นจดุ ประสงคเ์ ชิงพฤติกรรมมีลาดบั ขัน้ ตอนในการดาเนนิ งาน ดงั น้ี 1) กาหนดเป้าหมายการเรียนร้หู รือผลการเรียนรู้ท่ีตอ้ งการให้เกิดกับผู้เรียนจากแหล่งข้อมูล เช่น การวเิ คราะห์จากมาตรฐานการเรียนร้แู ละตัวบง่ ชกี้ ารเรยี นรขู้ องสาระการเรียนรูต้ ่าง ๆ ในหลักสูตร 2) เขียนจุดประสงค์ปลายทางท่ีแสดงพฤติกรรมที่คาดหวังให้ผู้เรียนมีความรู้และความสามารถ ในการปฏิบตั ิซึ่งวเิ คราะหจ์ ากผลการเรียนรทู้ ่ีคาดหวัง 3) เขียนจุดประสงค์นาทางซึ่งวิเคราะห์ได้จากทักษะย่อยที่ผู้เรียนพึงมี พึงปฏิบัติได้เพื่อทาให้ บรรลุจุดประสงคป์ ลายทาง 4) เขียนจดุ ประสงค์ของทักษะที่ผู้เรียนควรมีตดิ ตวั กอ่ นเรยี นรูเ้ รื่องใหม่ 5) เขยี นจดุ ประสงคข์ องความรูเ้ ดิมซึง่ เปน็ พน้ื ฐานในการเรยี นรูเ้ รือ่ งใหม่ หนำ้ ทีข่ องจดุ ประสงค์เชงิ พฤติกรรม จุดประสงค์เชิงพฤตกิ รรมมีหน้าทีห่ ลายประการท่มี ีความสาคัญต่อการออกแบบการเรียนการสอน ดงั นี้ 1) บอกให้รู้ว่าหลังเรียน ผู้เรียนรู้อะไรและสามารถทาอะไรได้เพื่อใช้เป็นพฤติกรรมบ่งชี้ ความสาเรจ็ ของการเรียนการสอน 2) ใชใ้ นการส่ือสารระหว่างผสู้ อนและผู้เรียน ใหร้ จู้ ุดหมายปลายทางของการเรียนการสอน
20 3) ใช้เป็นเกณฑ์ในการประเมินคุณภาพและประสิทธิภาพขององค์ประกอบเชิงระบบใน กระบวนการออกแบบการเรยี นการสอนได้ 4) ใช้เปน็ แนวทางในการสร้างเคร่ืองมือเพื่อวัดประเมินผลผเู้ รยี นก่อนเรยี น ทาให้ได้ข้อมลู ทีใ่ ช้ ใน การออกแบบข้ันตอนการเรียนการสอน กิจกรรมการเรียนรู้ สื่อการเรียนรู้ และการจัดกลุ่มผู้เรียน เป็นต จดุ ประสงค์เชิงพฤติกรรมท่ีเขียนขึ้นจะทาให้ทราบว่าผ้เู รียนจะมีพฤติกรรมท่ีสะท้อนความรู้ ความสามารถ อะไรภายหลังการเรียนรู้ ซ่งึ ใช้เป็นแนวทางในการออกแบบการเรยี นการสอนไดอ้ ย่าง เหมาะสม 4. กำรสอนรปู แบบตำ่ งๆ กำรสอนวิชำกำร การสอนวิชาการ เป็นภาวะอันหนักแก่ผู้สอนอย่างย่ิง เพราะนักเรียนในช้ันมีทั้งเรียนเก่งและนักเรียนที่ เรียนอ่อน ถ้าครูคณิตศาสตร์สอนโดยวิธีเดียวกันนักเรียนที่เรียนเก่งก็สามารถ เข้าใจได้รวดเร็วและไม่มีปัญหามาก นัก แต่นักเรียนท่ีเรียนอ่อนอาจไม่เข้าใจมากนัก จึงทาให้เกิดความเบื่อหน่าย ไม่อยากเรียน จึงมีความจาเป็นท่ี จะต้องหาวิธีการสอนที่จะให้นักเรียนทุกคนสามารถเข้าใจได้ และสนองตอบต่อความแตกต่างทางสติปัญญา (ยุพิน พิพิธกุล. 2527 : 276) ดังน้ัน การสอนวิชาคณิตศาสตร์เพื่อให้ได้ผลดี และเป็นไปตามความสามารถหรือความ แตกต่างระหวา่ งบคุ คล ยพุ นิ พพิ ิธกลุ (2530 : 174) ไดเ้ สนอวิธกี ารสอนคณติ ศาสตรไ์ ว้หลายวิธคี ือ 1. วิธีสอนแบบบอกให้รู้ เป็นวิธีสอนท่ีครูเป็นผู้บอกให้นักเรียนเป็นผู้ตีความ เมื่อครูปรารถนาที่จะให้นัก เรียนรู้เร่ืองใด ครูก็จะอธิบายและมักจะสรุปเสียเอง ในขณะที่ครูอธิบายนั้น ครูจะวิเคราะห์ แยกแยะให้เห็น และ ตีความให้นักเรียนเข้าใจ ครูอาจจะมีวัสดุการสอนมาแสดงให้ดู แต่ครูใช้ประกอบการอธิบายหรือการบอกของครู เพ่ือให้นักเรียนติดตามในการสอนกฏหรือสูตร ครูมักจะบอกสูตรนั้นและบอกว่านาไปใช้อย่างไร โดยยกตัวอย่าง ประกอบ เสรจ็ แลว้ ครูก็ใหน้ กั เรียนลองทาแบบฝึกหัดโดยใช้สูตรนน้ั ถา้ นักเรยี นทาได้ก็แสดงว่านกั เรียนเขา้ ใจ 2. วิธีสอนแบบบรรยาย เป็นการสอนแบบบอกให้รู้เช่นเดียวกัน การสอนแบบน้ีครูจะเป็นฝ่ายพูดเป็น ส่วนมาก โดยมุ่งจะป้อนเนื้อหาวิชาให้แก่นักเรียนเพียงฝ่ายเดียว นักเรียนจะเป็นผู้ฟังครูอาจจะใช้สื่อการสอน ประกอบการบรรยายกไ็ ด้ 3. วิธีสอนแบบสาธิตเป็นการแสดงใหน้ ักเรยี นดู ซ่ึงผู้แสดงจะใช้วัสดุประกอบการสอนหรือจะแสดงโดยวธิ ี ใดกต็ าม ใหน้ ักเรียนสามารถสรปุ บทเรยี นไดจ้ ากการแสดงน้ัน ๆ การแสดงน้ันอาจจะแสดงโดยครู หรอื โดยนักเรยี น ก็ได้ และในบางครงั้ ครูและนกั เรียนอาจจะร่วมกนั แสดงกจิ กรรม นนั้ ๆ 4. วิธีสอนแบบทดลอง เป็นการสอนท่ีให้นักเรียนได้กระทาด้วยตนเอง เพื่อค้นหาข้อสรุปการทดลองนั้น อาจทดลองเปน็ รายบุคคลหรอื เปน็ กลุ่มก็ได้ 5. วิธีสอนแบบถาม – ตอบ เป็นกลวิธีสอนที่ใช้แทรกกับวิธีสอนอื่น ๆ ซ่ึงนับว่า เป็นวิธีที่สาคัญวิธีหน่ึง ครู บางคนคิดว่า วิธีสอนท่ีดีนั้นจะต้องมีสื่อการสอนเสมอ ความจริงแล้ว ยังมีวิธีสอนท่ีดีอีกคือ “วิธีสอนแบบถาม – ตอบ” ถ้าครูสามารถใช้คาถามท่ดี ีนักเรียนสามารถเข้าใจก็ย่อมใชไ้ ด้
21 6. วิธีสอนแบบฮิวริสติค ได้รับมาจากภาษากรีก ซ่ึงหมายความว่า “ฉันพบ” นักเรียนจะต้องเป็นผู้ค้นพบ นักเรียนจะเป็นผู้ค้นหาคาตอบด้วยตนเองแทนการบอกครูวธิ ีนี้ต้องการให้นักเรียนได้กระทาด้วยตนเอง เป็นวิธีการ ท่นี ักเรียนจะได้ใหเ้ หตผุ ลด้วยตัวของเขาเอง 7. วธิ สี อนแบบวิเคราะห์ – สงั เคราะห์วธิ สี อนแบบวิเคราะห์ เปน็ การแยกแยะปัญหาน้ันออกมาจากสิ่งที่ไม่ รู้ไปสู่ส่ิงท่ีรู้หรือการแยกส่ิงต่าง ๆ อยู่รวมกันออกจากกัน ผู้ท่ีวิเคราะห์น้ัน จะต้องพยายามคิดอยู่เสมอว่าต้องการ ค้นพบอะไรเป็นอันดับแรก และคิดต่อไปวา่ อะไรที่จะคน้ พบต่อไปวธิ สี อนแบบสงั เคราะห์ เปน็ ขบวนการตรงกันข้าม กับการวิเคราะห์ การสังเคราะห์ประกอบด้วย การนาข้อสรุปย่อยท่ีจาเป็นต่าง ๆ มารวมกัน จนกระท่ังได้ข้อสรุป รวมทีต่ ้องการ หรอื อกี นัยหนึ่ง การวิเคราะหจ์ ะต้องเร่มิ จากส่ิงทีร่ ้แู ลว้ เพือ่ จะนามาชว่ ยในการหาส่งิ ทยี่ ังไมร่ ู้ มาชว่ ย ในการพสิ ูจน์เนือ้ หาใหม่ เรยี กว่า เปน็ การสงั เคราะห์ 8. วธิ สี อนแบบนิรนัย - อปุ นัยอุปนยั หมายถึง การนาไปสู่ ในระหว่างกระบวนการสอน ครจู ะชว่ ยนักเรียน ให้ตีวงแคบเข้า จนสามารถกาหนดนัยทั่วไปได้นิรนัย วิธีนิรนัยน้ีสัมพันธ์กับวิธีบอกให้รู้ ครูท่ีใช้วิธีนี้ จะบอกกฏ หลกั เกณฑ์ หรือนยั ท่วั ไป ซึง่ เป็นเร่อื งที่จะนามาใชป้ ระโยชน์ แล้วนักเรียนก็ถูกถาม เพือ่ ใชค้ าบอกนั้นมาแก้ปญั หา 9. วิธีสอนแบบแกป้ ญั หา หมายถงึ วิธีสอนที่จะใหน้ ักเรยี นได้ใชเ้ หตผุ ลในการแกป้ ัญหาวิธีการแกป้ ัญหานั้น ข้ึนอยูก่ ับเนื้อหา หรอื โจทยป์ ัญหาท่จี ะใหน้ ักเรียนคิด วธิ กี ารแกป้ ญั หาทางคณิตศาสตร์ ยอ่ มมีกลวธิ ีแตกตา่ งกันตาม ลกั ษณะปญั หาน้นั ๆ 10. วธิ ีสอนแบบคน้ พบ มีความหมายเป็น 2 ประการ คือ 10.1 เปน็ กระบวนการค้นพบ ครจู ะมอบปญั หาให้แกน่ ักเรยี น แล้วใหน้ กั เรยี นเสาะแสวงหาวิธีการทจี่ ะ แก้ปัญหานนั้ โดยครจู ะใหป้ ญั หาท่ีงา่ ยก่อนแล้วกใ็ ห้นักเรียนทาปญั หาท่ีคล้ายกัน ซึ่งเชื่อว่านักเรยี นจะค้นพบได้ แต่ ครกู ็ไม่คาดหวงั ว่านักเรียนจะค้นพบอะไร 10.2 เป็นการเน้นไปท่ีนักเรียนจะคน้ พบอะไร เช่น คน้ พบสูตรคูณ นิยาม ลลลนักเรยี นจะเกิดมโนมติ และ กาหนดนัยทั่วไปได้ การค้นพบน้ีจะเป็นการค้นพบโดยวิธใี ดกไ็ ด้ เช่น การถามตอบ สาธติ การทดลอง การอภิปราย โดยเฉพาะอยา่ งยิ่งการสอนโดยวธิ ีอุปนัยหรอื นิรนัย กำรเรยี นกำรสอนแบบเพื่อนชว่ ยเพ่ือน “เพ่ือนช่วยเพ่ือน” หรือ “Peer Assist” เป็นการจัดการความรู้ก่อนลงมือทากิจกรรม (Learning Before Doing) เพ่ือแสวงหาผู้ช่วยท่ีมีความแตกต่าง มาแลกเปล่ียนประสบการณ์ความรู้ เพื่อขยายกรอบความคิดให้กว้าง และมีประสิทธิภาพมาย่ิงข้ึน โดยอาศัย “คน” เป็นธงนา (People Driven) เปิดมุมมองความคิดที่หลากหลายจาก การแลกเปล่ียนระหว่างทีมที่มีทักษะ ความสามารถ และประสบการณ์ท่ีแตกต่างกัน ทาให้ไม่มองอะไรเพียงด้าน เดยี ว
22 หลักกำรเรยี นรู้ด้วยกลมุ่ ร่วมมือ 1. การทางานเป็นชีวิตจริงเปน็ การทางานร่วมกับผู้อ่ืน ผู้เรียนจึงควรได้ฝึกการทางานแบบรว่ มมือเพ่ือเปน็ การเตรียมผู้เรยี นไดร้ ูจ้ ักการทางานรว่ มกับผูอ้ ื่น 2. การทางานเปน็ ทีมเปน็ ลกั ษณะหนง่ึ ของการทางานของนักสังคมศาสตร์ 3. การเรียนรู้ด้วยกลุ่มร่วมมือเปิดโอกาสให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมในกิจกรรมการเรียนสอนทุกคนและต้อง ลง มอื ทางานกบั เพื่อนสมาชิกอยา่ งจริงจงั จงึ เปน็ การสนับสนุนใหผ้ ู้เรียนเป็นศูนยก์ ลางวิธหี น่งึ 4. การเรยี นรูด้ ้วยกล่มุ ร่วมมืออาจจัดเปน็ กิจกรรมการเรียนการสอนประกอบหรือเป็นกจิ กรรมย่อย ของวธิ ี สอนสงั คมศกึ ษาแบบต่าง ๆ ไดอ้ ยา่ งดี หนำ้ ทคี่ รูของผสู้ อน 1. จัดผู้เรยี นใหม้ สี มาชกิ แตกต่างกนั กลุม่ ละประมาณ 3 – 5 คน 2. ทบทวนบทบาทการทางานกลมุ่ หนา้ ทข่ี องสมาชกิ การช่วยเหลือซึ่งกนั และกัน 3. ช้แี จงวตั ถุประสงคใ์ นการเรยี นให้เขา้ ใจชดั เจนเก่ียวกับเนอ้ื หาในบทเรียนทต่ี ้องศึกษา 4. ใหค้ วามร่วมมือกลุ่มในการทางาน 5. ประเมินผล 5. กำรวัดผลประเมินผล กำรประเมิน 1. การเสนอผลงานของผเู้ รยี นดว้ ยวธิ ีตา่ ง ๆ 2. การทดสอบ 3. การสังเกตการณท์ างานของผูเ้ รียนแตล่ ะกล่มุ 4. การแสดงความคดิ เห็นของผเู้ รียนในชน้ั ระดมสมอง แนวคดิ เก่ยี วกบั กำรวัดและประเมินผล ควำมหมำยของกำรวดั ผล นกั การศึกษาหลายทา่ นให้ความหมายของการวัดผลไวด้ ังน้ี Guilford (1976: 8) ได้ให้ความหมายของการวัดผลไว้ว่า “การวัดผล หมายถึงกระบวนการท่ีกาหนด จานวน ตัวเลขให้กับวัตถุส่ิงของ หรือบุคคลตามความหมายท่ีจะวัดสอบและเปรียบเทียบลักษณะความแตกต่างที่ ปรากฏอย่ใู นสิง่ ทีจ่ ะวดั น้ัน ๆ” ภัทรา นิคมานนท์ (2522: 1) ได้ให้ความหมายของการวัดผลไว้ว่า “การวัดผล หมายถึง การ ใช้เครื่องมือ อย่างใดอย่างหน่ึง ที่จะค้นหา หรือการตรวจสอบเพื่อให้ได้ปริมาณจานวนหรือคุณภาพ ที่มีความหมายแทน พฤตกิ รรม หรือผลงานทีแ่ ตล่ ะคนแสดงออกมา”
23 วิเชยี ร เกตุสิงห์ (2514: 5) ไดใ้ ห้ความหมายของการวดั ผลไวว้ า่ “การวดั ผล หมายถึง ขบวนการท่จี ะนามา ซ่ึงตัวเลข จานวนปริมาณ โดยจานวนหรอื ปริมาณนั้นมีความหมายแทน พฤติกรรมอย่างหนึ่งหรือแทนผลงานทแี่ ต่ ละคนแสดงปฏกิ ิรยิ าโตต้ อบส่ิงเรา้ ออกมา” จากท่ีกล่าวมาพอสรุปได้ว่า การวัดผล หมายถึงวิธีการที่จะทาให้ทราบปริมาณและคุณภาพ โดยอาศัย เคร่ืองมอื หรือวิธีการตา่ ง ๆ เช่น การสงั เกต การตรวจผลงาน การสอบถาม หรอื สัมภาษณ์ และการใชแ้ บบทดสอบ ควำมหมำยของกำรประเมินผล มนี กั วิชาการหลายท่านไดใ้ หค้ วามหมายของการประเมนิ ผลไว้ดงั น้ี วทิ ยา ประชากุล (2548: 30 อ้างอิงใน พระนิมิตร กล่ินดอกแกว้ . 2549: 113) กลา่ วว่า “การ ประเมินผล หมายถึง การะบวนการทผ่ี สู้ อนใช้พัฒนาคุณภาพผเู้ รียน สถานศึกษาและดาเนนิ การประเมนิ ผลโดยแบ่งออกเป็น 2 ลักษณะ ได้แก่ การประเมินผลระดับชั้นเรียน เป็นการวัด ความก้าวหน้าของผู้เรียนและการประเมินผลระดับ สถานศึกษาเป็นการประเมนิ เพื่อตรวจสอบ ความก้าวหน้าดา้ นการเรยี นร้เู ป็นรายชนั้ ปแี ละชว่ งช้นั ของสถานศึกษา” กรมวิชาการ (2546: 24) กล่าวว่า “การประเมินผลการเรียนรู้ หมายถึงกระบวนการท่ีให้ ครูผู้สอนให้ พัฒนาคุณภาพผู้เรียนเพราะจะช่วยให้ได้ข้อมูลสารสนเทศท่ีแสดงถึงพัฒนาการ ความก้าวหน้าและความสาเร็จ ทางการเรียนของผเู้ รยี น รวมทั้งข้อมูลท่ีเปน็ ประโยชน์ตอ่ การสง่ เสรมิ ให้ ผู้เรียนเกิดการพัฒนาและเรียนรู้อย่างเตม็ ศกั ยภาพ” สุวิมล ว่องวาณิช (2546: 171) กล่าวว่า “การประเมินผล หมายถึงกระบวนการตีความหรอื ตัดสินคุณค่า ของสารสนเทศท่รี วบรวมมาไดโ้ ดยสารสนเทศทีร่ วบรวมมาได้จากกระบวนการประเมินน้ัน เปน็ เสมอื นภาพจากกก ระจกเงาที่สะท้อนให้เหน็ ภาพผเู้ รียนในห้องเรียนเท่าน้ัน สารสนเทศ เหล่านั้นได้สะท้อนคุณค่าในตัวผู้เรียนที่เราตง้ั ไวห้ รือไม่ กลา่ วคอื นักเรยี นได้เรียนรใู้ นส่งิ ที่เรามุ่งม่นั ให้ เขาเรียนรหู้ รอื ไม่ มากน้อยเพยี งใด” ประเสริฐ ธรรมโวรหาร (2542: 107) กล่าวว่า “การประเมินผล หมายถึง การประเมินเพื่อ ปรับปรุงการ เรียนรู้และเพื่อการตัดสินผลการเรียนรู้ของนักเรียน จัดเป็นเครื่องมือสาคัญยิ่งจะช่วยให้ ครูได้ทราบระดับความ เจริญงอกงามของเด็กแต่ละคนว่ามีการเปลี่ยนเพ่ิมข้ึน หรือลดลงอย่างไร ผู้เรียนได้เกิดความรู้ความเข้าใจ มีทักษะ เจตคติและการปฏบิ ตั ติ ามจดุ ประสงคข์ องการเรยี นรู้ เพียงใดหรอื ไม”่ มหาวทิ ยาลยั สุโขทยั ธรรมาธริ าช (2540: 207) กลา่ ววา่ “การประเมิน หมายถงึ การตรวจสอบดูว่าผู้เรียน ไดเ้ กดิ การเปล่ียนแปลงความรู้ เจตคติ และทกั ษะไปตามจดุ มุ่งหมายของ หลกั สูตรหรือไม่เพยี งใดภายหลังจากท่ีได้ ผา่ นประสบการณท์ ี่หลักสตู รจัดใหแ้ ลว้ ” ดงั นน้ั จงึ อาจกลา่ วโดยสรปุ ไดว้ า่ การประเมินผล หมายถงึ กระบวนการทผี่ ู้สอนใช้วดั ความรู้ ความสามารถ การพัฒนาการ การเปลี่ยนแปลงทางเจตคติทักษะ รวมทั้งผลสาเร็จทางการเรียนรู้ของ ผู้เรียน เพื่อนามาสู่การ ปรบั ปรงุ เปล่ยี นแปลงการจดั กิจกรรมการเรียนการสอน
24 องคป์ ระกอบด้ำนกำรประเมนิ ผล วศิน กาญจนวณิชย์กุล (2545: 26-27) ได้กล่าวว่า การประเมินผลเปน็ กระบวนการต่อเน่ือง ของการเรียน การสอน แบ่งเป็น 3 ข้ันตอน ดังน้ี 1. การประเมินผลก่อนเรียน เพื่อช่วยให้ผู้สอนได้ทราบความสามารถของแต่ละคน เพ่ือเป็นข้อมูลในการ พิจารณาตัดสินว่า จะมีความสามารถเพียงพอในการศึกษาต่อหรือไม่ ถ้าไม่ดีพอจะได้ทาการปรับปรุงแก้ไขให้ดีข้ึน ได้ 2. การประเมินผลระหว่างเรียนเม่ือมีการสอนไประยะหน่ึงๆ ควรจะได้มีการ ประเมินผลผู้เรียนตาม จุดประสงคข์ องรายวิชานนั้ ๆ เพื่อจะได้ทราบวา่ มีความรเู้ พยี งพอหรือควรจะ กา้ วไปข้างหนา้ ไดห้ รอื ยัง 3. การประเมินผลหลังเรียน เป็นการประเมินผลรวม ครอบคลุมจุดประสงค์ต่างๆ หลายจุดประสงค์ เป็น การประเมินเพื่อตัดสินความสามารถ เพ่ือดูว่าต้ังแต่ต้นจนบัดน้ี ผู้เรียนมีความสามารถตามจุดประสงค์เชิง พฤตกิ รรมตา่ งๆ มากน้อยเพียงใด ขัน้ ตอนของกำรประเมนิ ผล สมคดิ (2532) ได้กลา่ วถึงขัน้ ตอนและล าดับข้ันของการประเมนิ ผลการเรยี น สรุปได้ดงั นี้ ขั้นที่ 1 ทาความเข้าใจ พฤติกรรมท่ีต้องประเมิน โดยแปลความหรือตีความในรูป ของการแสดงออกของ เด็ก ซง่ึ เป็นขน้ั ทาความเขา้ ใจจุดประสงค์ในการสอน ข้นั ที่ 2 ต้งั เกณฑโ์ ดยการกาหนดว่า การแสดงออกของนักเรียนต้องอยู่ในระดับใดครู จงึ ยอมรบั วา่ นักเรียน มีพฤตกิ รรมนนั้ จรงิ ขั้นที่ 3 วัดผลนักเรียนโดยเลือกใช้วิธีการ และเครื่องมือที่เหมาะสมเพ่ือให้ได้ข้อมูลท่ีบอกให้ทราบว่าผล พฤติกรรมของนักเรียนอยู่ในระดับใด สถานศึกษาจะต้องสนใจศึกษาหาความรู้และจัดดาเนินการภายใน สถานศกึ ษาอยา่ งมีประสทิ ธิภาพ ขั้นที่ 4 ลงความเห็นว่านักเรียนมีพฤติกรรมน้ันจริงหรือไม่ โดยการนาข้อมูลในข้ันที่ 3 เปรียบเทียบกับ เกณฑ์ในข้ันที่ 2 ถ้าพฤติกรรมของนักเรียนถึงระดับที่เป็นเกณฑ์ก็ยอมรับว่านักเรียน มีพฤติกรรมนั้นจริงโดย สมบรูณ์ ถา้ พฤติกรรมของนกั เรยี นไม่ถงึ ระดับทเี่ ป็นเกณฑ์ กว็ ินิจฉยั หา ข้อบกพรอ่ งของการเรียนการสอน จากการท่ีได้ศึกษาแนวคิดที่เก่ียวกับการวัดและประเมินผลในเบื้องต้นนั้น ผู้ทาการวิจัยได้ทาการสรุป ความหมายของการวัดและประเมินผลไว้ว่าการวัดและประเมินผล หมายถงึ กระบวนการตรวจสอบเพื่อให้ได้มาซ่ึง ตัวเลข หรือสัญลักษณ์ที่มีความหมายแทนคุณลักษณะ หรือคุณภาพของสิ่งที่วัด โดยใช้เคร่ืองมือวัดผลท่ีมี ประสิทธิภาพ และวินิจฉัยตัดสินลงสรุปคุณค่าเพ่ือพิจารณาตัดสินใจที่ได้ จากการวัดผลอย่างมีกฎเกณฑ์ และมี คณุ ธรรม ซึ่งผู้ทาการวิจัยไดแ้ บง่ การประเมินผลไว้ดงั นี้
25 1. การประเมินระหว่างเรียน (Formative Evaluation) เป็นการประเมินเพ่ือใช้ผลการประเมินในการ ปรับปรุงกระบวนการจัดการเรียนการสอน การประเมินประเภทน้ีใช้ระหว่างการจัดการเรียนการสอน เพื่อ ตรวจสอบว่าผู้เรียนมีความรู้ความสามารถตามจุดประสงค์ท่ีกาหนดไว้ใน ระหว่างการจัดการเรียนการสอนหรือไม่ หากผเู้ รยี นไม่ผ่านจุดประสงค์ที่ต้ังไวผ้ ้สู อนก็จะหาวิธกี ารทจ่ี ะช่วยให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ตามเกณฑ์ท่ตี ั้งไว้ ผลการ ประเมินยังเป็นการตรวจสอบผู้สอนเองว่าเป็นอย่างไร แผนการสอนรายครั้งที่เตรียมมาดีหรือไม่ ควรปรับปรุง อย่างไร กระบวนการจัดการเรยี นการสอนเป็นอย่างไร มีจดุ ใดบกพร่องทตี่ อ้ งปรับปรุงแก้ไขต่อไป 2. การประเมินเพื่อตัดสิน (Summative Evaluation) เป็นการประเมินเพื่อตัดสินผลการ จัดการสอน เปน็ การประเมินหลังจากผเู้ รยี นได้เรยี นไปแลว้ อาจเป็นการประเมนิ หลงั จบเรือ่ งใดเร่ืองหนึง่ หรอื หลายเรอื่ ง รวมทั้ง การประเมินปลายภาคเรียนหรือปลายปี ผลจากการประเมนิ ประเภทนี้ใช้ในการตดั สินผลการจัดการเรียนการสอน หรอื ตดั สนิ ใจว่าผูเ้ รยี นคนใดควรจะได้รับระดับคะแนนใด 6. กำรเรียนแบบรว่ มแรงร่วมใจ STAD 1. ความหมายการเรยี นแบบร่วมแรงรว่ มใจ STAD (Co-operative Learning) อารี สัณหฉวี (2543 : 33) กล่าวว่า การเรียนรู้ด้วยกลุ่มร่วมมือ หมายถึงเป็นวิธีการเรียนท่ีให้นักเรียน ทางานดว้ ยกันเป็นกลมุ่ เลก็ ๆ เพอื่ ให้เกิดผลการเรยี นรทู้ ้ังทางด้านความรแู้ ละทางด้านจติ ใจช่วยให้นักเรียนเหน็ ดา้ น จิตใจคุณค่าในความแตกต่างระหว่างบุคคลของเพ่ือนๆเคารพความคิดเห็นและความสามารถของผู้อ่ืนที่ แตกต่าง จากตนตลอดจนรู้จักช่วยเหลอื และสนบั สนุนเพื่อน ๆ สลาวิน (พิมพ์พันธ์ เดชะคปุ ต์ : 2544) กลา่ ววา่ การเรียนรดู้ ้วยกลุ่มรว่ มมือ หมายถงึ วิธกี ารสอนอีก แบบ หนึ่ง ซ่ึงก าหนดให้นักเรียนท่ีมีความสามารถแตกต่างกัน ทางานร่วมกันเป็นกลุ่มเล็กๆ โดยปกติจะมี 4 คน เป็น นักเรียนที่เรียนเก่ง 1 คน เรียนปานกลาง 2 คน และเรียนอ่อน 1 คน การทดสอบของนักเรียนจะแบ่ง ออกเป็น 2 ตอน ตอนแรกจะพิจารณาค่าเฉลี่ยของท้ังกลุ่มตอนที่ 2 จะพิจารณาคะแนนทดสอบเป็นรายบุคคล โดยการทดสอบ นักเรียนต่างคนต่างทาแต่เวลาเรียนต้องเรียนร่วมกัน รับผิดชอบงานของกลุ่มร่วมกัน โดยท่ีกลุ่ม จะประสบ ผลสาเร็จได้ เมอ่ื สมาชิกทกุ คนได้เรียนรู้ บรรลตุ ามจดุ ม่งุ หมาย เชน่ เดียวกนั มานพ ประธรรมสาร (2546) กล่าวว่า การเรียนรู้ด้วยกลุ่มร่วมมือ คือการทางานร่วมกันเพ่ือบรรลุ เป้าหมายที่มีอยู่ด้วยกัน ภายในกจิ กรรมท่รี ว่ มทานี้ แต่ละคนจะแสวงหาผลลัพธท์ ่ีเป็นประโยชน์ต่อตนเองและ เป็น ประโยชน์ต่อสมาชิกคนอ่ืน ๆในกลุ่มการเรียนรู้แบบร่วมมือ ใช้ในการสอนกลุ่มเล็ก ๆ ให้ทางานร่วมกันตามทไี่ ดร้ ับ มอบหมายจนกระท่ังสมาชิกในกลุ่มทุกคนมีความเข้าใจถูกต้องและทางานจนเสร็จสมบูรณ์สมาชิก ทุกคนในกลุ่ม ไดร้ บั ประโยชน์จากความพยายามร่วมกนั สมบัติ กาญจนารักพงค์ (2547) กล่าวว่า การเรียนรู้ด้วยกลุ่มร่วมมือเป็นการจดั กิจกรรมการเรียนรู้ที่ เน้น ให้ผู้เรียนร่วมมือและช่วยเหลือกันในการเรยี นรู้ โดยแบ่งนักเรียนออกเป็นกลุ่มเล็ก ๆ 4 - 5 คน ท่ีมี ความสามารถ แตกต่างกนั ทางานรว่ มกนั เพ่ือเป้าหมายกลุ่มสมาชิกมีปฏิสัมพันธ์ส่งเสรมิ ซง่ึ กันและกนั รบั ผดิ ชอบ ร่วมกนั ทง้ั ในส่วน ตนและส่วนรวม ผลงานของกลุ่มขึ้นอยู่กับผลงานของสมาชิกแต่ละคนในกลุ่ม ความสาเร็จ ของแต่ละคนคือ ความสาเร็จของกลุ่ม
26 จากการศึกษาความหมายการเรียนแบบร่วมมือ สามารถสรุปได้ว่าการจัดการเรียนรู้ด้วยกลุ่มร่วมมือ กัน เรียนรู้ หมายถึง การจัดกิจกรรมการเรียนการสอนที่ช่วยให้ผู้เรียนใช้ความสามารถเฉพาะตัวในการร่วมมือ กัน แก้ปัญหาต่าง ๆ นักเรียนรู้จักวธิ กี ารทางานกลุ่มการชว่ ยเหลอื ซึ่งกนั และกันตลอดจนมีปฏสิ มั พันธ์ที่ดตี ่อกัน เพื่อให้ บรรลุผลสาเรจ็ ตามเปา้ หมายโดยสมาชกิ ในกล่มุ ตระหนักวา่ แตล่ ะคนเป็นสว่ นหน่ึงของกลมุ่ หลักกำรเรียนรู้ดว้ ยกลมุ่ รว่ มมือ 1. การทางานเป็นชีวิตจริงเปน็ การทางานร่วมกับผู้อ่ืน ผู้เรียนจึงควรได้ฝึกการทางานแบบร่วมมือเพ่ือเป็น การเตรียมผเู้ รยี นไดร้ ู้จักการทางานรว่ มกับผอู้ นื่ 2. การทางานเป็นทมี เปน็ ลักษณะหน่งึ ของการทางานของนักวชิ าการ 3. การเรียนรู้ด้วยกลุ่มร่วมมือเปิดโอกาสให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมในกิจกรรมการเรียนสอนทุกคนและต้อง ลง มอื ทางานกบั เพอ่ื นสมาชกิ อยา่ งจรงิ จงั จงึ เป็นการสนบั สนุนให้ผู้เรียนเปน็ ศนู ยก์ ลางวิธีหนงึ่ 4. การเรียนรูด้ ว้ ยกลุม่ รว่ มมอื อาจจัดเป็นกิจกรรมการเรียนการสอนประกอบหรือเป็นกิจกรรมย่อย ของวธิ ี สอนผู้เรียนแบบตา่ ง ๆ ได้อย่างดี ขั้นตอนกำรเรียนรดู้ ้วยกลุ่มร่วมมอื 1. ข้ันนาเขา้ สู่บทเรียน ใช้เวลาประมาณ 8 – 15 นาที เพอื่ ทบทวนเรื่องทมี่ าเรียนแล้วและทบทวน บทบาท สมาชิกภายในกลมุ่ 2. ขน้ั การทางานกลมุ่ ใชเ้ วลา 25 – 30 นาที เป็นขั้นทคี่ รูแจกอปุ กรณ์หรอื สอื่ การเรียน ผูเ้ รยี น ปฏบิ ัตติ าม บทบาทท่ีได้รับมอบหมาย ใช้เวลา 25 – 30 นาที เป็นขั้นที่ครู แจกอุปกรณ์หรือส่ือการเรียน ผู้เรียน ปฏิบัติตาม บทบาทที่ได้รับมอบหมาย 3. ขั้นระดมสมอง ใชเ้ วลา 10 – 15 นาที เป็นการเสนอผลงาน เสนอแนะร่วมกันทงั้ ห้อง ให้แต่ละกลุม่ ได้มี โอกาสแสดงความคิดเหน็ โดยครคู อยถามให้ผูเ้ รียนเสนอความคิดเหน็ ได้อยา่ งเตม็ ที่และท่วั ถงึ กำรประเมิน 1. การเสนอผลงานของผเู้ รยี นดว้ ยวิธีต่าง ๆ 2. การทดสอบ 3. การสังเกตการณท์ างานของผู้เรยี นแต่ละกลมุ่ 4. การแสดงความคดิ เหน็ ของผูเ้ รยี นในช้ันระดมสมอง ควำมหมำยของกำรสอนแบบรว่ มแรงร่วมใจ ท่ีนิยมใชใ้ นปจั จบุ ันมี 7 รปู แบบ ดังน้ี 1. จิกซอ (Jigsaw) เป็นการสอนท่ีอาศัยแนวคิดการต่อภาพ นักเรียนแต่ละคนจะได้ศึกษาจากหัวข้อยอ่ ย ของเนื้อหาทั้งหมดจากเอกสารท่ีครจู ัดให้ นักเรยี นจะทางานเปน็ กลุ่มกบั เพ่ือนที่ได้รับมอบหมายให้ศึกษาหวั ข้อย่อย เดียวกนั และกลับไปอธิบายให้เพ่ือนสมาชิกในกลุ่มพ้ืนฐานของตนเอง
27 2. STAD (Student Teams – Achievement Division) เป็นการสอนแบบเป็นทีม การนาเสนอสิ่งท่ี เรียน ทางานเป็นกลุ่ม ทดสอบย่อยโดยนักเรียนต่างคนต่างทา และมีการรับรองผลงานของกลุ่มโดยการประกาศ คะแนนของ แต่ละกลุ่มให้ทราบ ซึ่งการทดสอบย่อยเพ่ือประเมินความรู้จะเป็นตัวกระตุ้นความรับผิดชอบของ นักเรยี นแต่ละคน 3. LT (Learning Together: LT) เป็นการสอนท่ีมีการกาหนดสถานการณ์และเงื่อนไขให้นักเรียนทา ผลงานเป็นกลุ่ม ใหแ้ ลกเปลยี่ นความคิดเหน็ แบง่ ปันเอกสาร แบง่ งานทเี่ หมาะสมและการใหร้ างวัล 4. TAI (Team Assisted Individualization) เป็นการสอนโดยให้นักเรียนได้ลงมือทากิจกรรมในการ เรียน ได้ด้วยตนเอง และส่งเสริมความร่วมมือภายในกลุ่ม มีการแลกเปลี่ยนประสบการณ์เรียนรู้และปฏิสัมพันธ์ ทางสงั คม 5. TGT (Team – Games - Tournaments) เป็นการสอนแบบร่วมมือกันแข่งขันทากิจกรรม กลุ่มใดมี แต้มโบนัสสูงสุดจะใหร้ างวลั หรือตดิ ประกาศ ไว้ในมุมข่าวของห้อง 6. GI (Group Investigation) เป็นการสอนท่ีมอบหมายความรับผิดชอบอย่างสงู ให้กับนักเรียน ในการ ที่จะ บ่งช้ีว่าเรียนอะไร ในการรวบรวมข้อมูล วิเคราะห์และตีความหมายส่ิงที่เราจะศึกษาโดยเน้นการสื่อ ความหมายและ การแลกเปลี่ยนความคดิ เห็นของกันและกันในการทางาน 7. โปรแกรม CIRC (Cooperative Intergrated Reading and Composition) เปน็ โปรแกรมสาหรับ สอนการอา่ น การเรยี นและทกั ษะทางภาษา โดยเน้นที่หลักสตู รและวธิ ีการสอน มีการนามาใชค้ วบค่กู ับการสอน แบบรว่ มแรงร่วมใจ โดยครสู อนแล้วให้นกั เรียนฝึกปฏบิ ัตภิ ายในกลมุ่ และประเมนิ ผลการเรียนร้ไู ด้เอง เอกสำรทเี่ ก่ียวข้องท่เี กี่ยวกับชดุ กิจกรรม การศึกษาเกี่ยวกับชดุ กจิ กรรม ความหมายของกิจกรรม กิจกรรมเป็นส่ิงที่มีคุณค่าสามารถช่วยให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ตามวัตถุประสงค์ซ่ึงโดยมากจะ แทรกอยใู่ นรปู ของความสนุกสนาน ได้มผี ้ใู ห้ความหมายไวห้ ลายทา่ น ดังนี้ จรินทร์ ธานีรตั น์ (อา้ งใน วราภรณ์ ภูละคร, 2533: 12) ได้ใหค้ วามหมายของคาวา่ กิจกรรมดังนี้ กิจกรรม หมายถึง สภาพการเรียนรใู้ ดๆ ที่ได้กระทาด้วยความเต็มใจทัง้ ทางสมองและทางกาย เพอื่ เป็นการ สนองความตอ้ งการของผู้กระทาให้บรรลุถึงจุดม่งุ หมาย เช่น การคน้ ควา้ การอภิปราย การแกป้ ญั หา หรอื การท่ีเด็ก ไดใ้ ช้สว่ นต่างๆ ของรา่ งกายและสมองประกอบก็นบั เป็นกิจกรรมแลว้ สมศักด์ิ สินธุระเวชญ์ (2544: 1) ให้ความหมายกิจกรรมว่าการปฏิบัติด้วยตนเอง คือ เป็นชุดของการ ปฏิบตั กิ ารตา่ งๆ ทีม่ กี ารเตรยี มการหรอื วางแผนไว้เรยี บร้อยแล้วผู้ปฏบิ ัติบงั เกดิ ผลตามท่คี าดหวงั ไว้
28 โรม วงศ์ประเสริฐ (2545: 9) กล่าวว่ากิจใดๆ ท่ีผู้ดาเนินการจัดการข้ึนมาอย่างมีจุดมุ่งหมาย โดยมุ่งหมาย หวังเพ่ือใช้กระบวนการของกิจกรรมพัฒนาผู้เข้ากิจกรรมต่อไปโดยท่ีกิจกรร มอาจจะจัดในร่มหรือกลางแจ้งก็ได้ ขน้ึ อยู่กับความเหมาะสมของแตล่ ะกิจกรรมทเี่ ลือกนามาใช้ จากความคิดดังกล่าวพอสรุปได้ว่า กิจกรรม หมายถึง สภาพการณ์หรือการกระทาที่ครูจัดข้ึนเพ่ือให้ นักเรียนสามารถเข้าใจบทเรียนได้ง่ายกว่า การสอนแบบธรรมดา ได้รับท้ังความรู้ความสนุกสนานและผู้เรียนต้อง กระทาด้วยความเต็มใจ และเป็นสิ่งที่ผู้ดาเนินการจัดเตรียมให้ผู้เข้าร่วมลงมือปฏิบัติเพื่อให้เกิดผลตามที่ตั้ง วตั ถปุ ระสงคไ์ ว้ ในการพัฒนาชุดกิจกรรมเพื่อพัฒนาด้านคุณธรรมจริยธรรมนั้น ใช้หลักการพัฒนาชุดการสอน ดังน้ันใน การศึกษาเอกสารและงานวิจัยที่เก่ียวข้อง จึงศึกษาเอกสารและงานวิจัยท่ีเก่ียวข้องกับชุดการสอนชุดกิจกรรมน้ัน เป็นนวัตกรรมการศึกษาชนิดหน่ึง ที่ได้รับความสนใจจากนักการศึกษาและผู้สอนเป็นอย่างมาก ตามลักษณะและ ความหมายของชุดกิจกรรม ได้มีนักการศึกษาได้ให้ความหมายไว้หลายท่าน ซ่ึงนักการศึกษาได้ศึกษาและรวบรวม ไวด้ ังน้ี ชัยยงค์ พรหมวงศ์ ( 2523: 118 ) ได้ให้ความของชุดกิจกรรมไว้ว่า “ชุดกิจกรรม เป็นส่ือประสมที่ได้จาก กระบานการผลิต และนาสือ่ การสอนทส่ี อดคล้องกับวชิ าหนว่ ยการสอนและหวั เร่ืองเพ่ือจะชว่ ยให้การเปลยี่ นแปลง การเรียนรู้เป็นไปอยา่ งมีประสทิ ธภิ าพมากยงิ่ ขึ้น” วชิ ยั วงษ์ใหญ่ ( 2525: 115 ) กล่าวถงึ ชดุ กิจกรรมไว้ว่า “เปน็ ระบบการผลติ สื่อและนาส่ือการสอนหลายๆ อย่างมาสัมพันธ์กันและมีคุณค่าเสริมซ่ึงกันและกัน ส่ือการเรียนอย่างหนึ่งอาจใช้เพื่อเร้าความสนใจ ในขณะที่อีก อย่างหนึ่งใช้เพื่ออธิบายข้อเท็จจริงของเนื้อหาและอีกอย่างหน่ึงอาจใช้เพื่อเกิดการเสาะแสวงหาอันนาไปสู่ความใจ ลึกซงึ้ ” ธีระชัย ปูรณโชติ ( 2532: 4-16 ) ได้กล่าวไว้ว่า “ชุดกิจกรรมเป็นสื่อประสมท่ีได้จัดรวมการผลิตที่มีความ สอดคลอ้ งกบั วิชาหนว่ ย ตวั เรือ่ งและวัตถปุ ระสงค์ของวิชานนั้ ๆเพื่อใหผ้ ูเ้ รียนเกิดการเรียนอยา่ งมีประสิทธิภาพ กรองกาญจน์ อรุณรัตน์ ( 2536: 265 ) ได้ให้ความหมายของชุดกิจกรรมว่า “ชุดของส่ือประสมที่สอดคล้องกับ เน้ือหาวิชาและประสบการณ์ในแต่ละหน่วย โดยนาวิธีการจัดระบบ เอาไว้ท้ังนี้เพื่อช่วยในการเปล่ียนแปลง พฤติกรรมของผเู้ รียนใหบ้ รรลุตามจดุ มุง่ หมายและช่วยใหก้ ารสอนของครดู าเนินไปโดยสะดวกและมปี ระสทิ ธิภาพ จากความหมายดังกลา่ วพอสรุปไดว้ ่า ชดุ กิจกรรม หมายถึงชุดของส่ือประสมท่ีมีการจดั โปรแกรมการเรียน การสอนด้วยวิธีการท่ีเป็นระบบ โดยมีจุดมุ่งหมายเฉพาะที่สอดคล้องกับหน่วยการเรียน เพ่ือทาให้ผู้เรียนเกิดการ เรียนรอู้ ยา่ งมีประสิทธภิ าพ และเกิดความสะดวกต่อการนาไปใชใ้ นชุดกจิ กรรมแตล่ ะชุดประกอบดว้ ย ชุดการเรียน หมายถึง ชุดของโปรแกรมส่ือประสมที่มีการนาวิธีการจัดระบบมาใช้ในเน้ือหาการนาเสนอ เนื้อหา และจัดกิจกรรมการเรยี นเพื่อใหผ้ ูเ้ รียนได้ศึกษาดว้ ยตนเองตามความสามารถในอัตราการเรียนและรูปแบบ การเรียน ( Learning Style ) ของแต่ละคน
29 ชุดกิจกรรม หมายถึง ชุดของสื่อประสม ( Multi Media ) ท่ีสอดคล้องกับเนื้อหาวิชาและประสบการณ์ใน การเรียนแต่ละหน่วย โดยนาวิธีการจัดระบบเอาไว้ ท้ังนี้เพ่ือช่วยในการเปล่ียนแปลงพฤติกรรมการเรียนรู้ของ ผเู้ รยี นให้บรรลุตามจุดมงุ่ หมายทวี่ างไวแ้ ละชว่ ยให้การสอนของครูดาเนินไปโดยสะดวกและมีประสิทธภิ าพ หลักเกณฑใ์ นกำรเลอื กกจิ กรรม การวางแผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ ผู้สอนจะต้องเลือกกิจกรรมท่ีมีความเหมาะสม เพื่อให้การเรียนรู้ เปน็ ไปอย่างมีประสิทธภิ าพ มีผู้ให้หลักเกณฑ์ในการเลือกกจิ กรรมดังนี้ สิริวรรณ ศรีพหล (2540: 477) กล่าวว่าการเลือกกิจกรรมการเรียนในวิชาการส่ิงท่ีผู้สอนควรจะคานึงถึง คือ กิจกรรมนั้นๆ จะก่อให้ผู้เรียนได้ประโยชน์อย่างเต็มท่ีได้อย่างไร ดังนั้นการจัดกิจกรรมการเรียนใดก็ตามสิ่งท่ี ผู้สอนจะตอ้ งถามตนเองกอ่ นอ่นื ว่ากิจกรรมนัน้ ๆ มีคณุ คา่ หรือไมเ่ พียงใดดังน้ี - กิจกรรมนั้นๆ กระตุ้นความสนใจของผ้เู รยี นหรือไม่ - กจิ กรรมนน้ั ๆ กระตนุ้ ใหผ้ เู้ รียนรู้จักคดิ หรอื ไม่ - กิจกรรมนั้นๆ เปดิ โอกาสใหผ้ ู้เรยี นสว่ นใหญ่ได้มีส่วนรว่ มดว้ ยหรอื ไม่ - กจิ กรรมน้นั ๆ ส่งเสริมประสบการณ์ของผ้เู รยี นให้กว้างขวางขนึ้ กว่าเดมิ หรอื ไม่ - กิจกรรมนน้ั ๆ สง่ เสริมความสามารถเชิงสรา้ งสรรคข์ องผู้เรยี นหรือไม่ - กิจกรรมน้นั ๆ เชื่อมหรือสัมพันธ์กบั กิจกรรมอื่นๆ ของโรงเรยี นหรือไม่ - กจิ กรรมนั้นๆ ตอบสนองความต้องการของผ้เู รียนหรอื ไม่ นอกจากนี้ วันทนีย์ จันทรเ์ อ่ยี ม (2541, หนา้ 1) ไดเ้ สนอเพมิ่ เตมิ วา่ แนวทางการเลอื กกจิ กรรมควร 1. เป็นกิจกรรมที่สอดคล้องกับวัตถุท่ีต้องการเรียนรู้และสอดคล้องกับความต้องการของสมาชิกและควร พิจารณาถงึ ผลท่ีเกดิ ขึน้ วา่ จะมีประโยชนห์ รอื โทษตอ่ สมาชกิ กลมุ่ อยา่ งไร 2. เป็นกิจกรรมเหมาะสมกับระดับความสามารถของสมาชิก สามารถสอดแทรกความสนุกสนานเพ่ือให้ผู้ รว่ มกิจกรรมเพลดิ เพลินต่อการเรยี นรูห้ รอื เกดิ การเรยี นรโู้ ดยไมร่ ตู้ วั 3. เป็นกิจกรรมที่สอดคล้องกับสภาพของผู้เข้าร่วมกิจกรรม เช่น เพศ อายุ เหมาะสมกับวุฒิภาวะและอยู่ ในความสนใจของสมาชกิ 4. เป็นกจิ กรรมท่ีเหมาะสมกบั สถานทีแ่ ละเวลา 5. เปน็ กิจกรรมท่สี มาชิกทุกคนมีโอกาสเข้าร่วมทากิจกรรมและได้แสดงออกโดยท่ัวถงึ สรุปได้ว่า การเลือกกิจกรรมควรต้ังอยู่บนหลักเกณฑ์ที่มีความเหมาะสมของตัวผู้เรียนเนื้อหาวิชาและ สภาพแวดลอ้ มที่เกย่ี วข้อง
30 ควำมสำคัญของกิจกรรม กิจกรรมการเรียนการสอน หมายถึง การดาเนินการต่างๆ ในโรงเรียนท้ังโดยครู อาจารย์ นักเรียน การ สอนให้นักเรียนค้นคว้า อภิปราย การบรรยาย การอบรม การสาธิต การปฏิบัติงาน การจัดนิทรรศการ การศึกษา นอกสถานที่ และการทากิจกรรมต่างๆ ตามท่กี าหนดไว้ในหลักสูตร (ดนยั ไชยโยธา, 2534: 7) การจัดกิจกรรมนับว่าเป็นหัวใจสาคัญที่จะส่งเสริมให้การเรียนการสอนประสบผลสาเร็จและบรรลุตาม จุดประสงค์ทวี่ างไว้ การจัดกจิ กรรมต้องเน้นใหผ้ ู้เรียนเปน็ ธรรมชาติ เป็นผคู้ ดิ และเป็นผู้ปฏิบัติเองให้มากท่สี ุดเท่าที่ จะทาได้ ครูทาหน้าท่ีช่วยเหลือและดาเนินกิจกรรมให้เป็นไปตามจุดมุ่งหมายที่เรียกว่านักเรียนเป็นศูนย์กลางการ เรียนรู้ส่งิ ทผี่ ู้สอนจะต้องเตรียมการให้มากทส่ี ดุ คอื กจิ กรรมการเรียนการสอน ขอ้ ควรคานงึ ในการจัดกจิ กรรมการเรียนการสอน 1. ช่วยสนองความสามารถในการเรยี นรูข้ องผเู้ รยี นไดอ้ ยา่ งทัว่ ถึง 2. ผ้เู รียนมีส่วนรว่ มและสนกุ สนาน 3. ชว่ ยใหผ้ ู้เรียนคิดเป็น ทาเป็น แกป้ ัญหาเป็น 4. ช่วยสนองพัฒนาการทางดา้ นร่างกาย อารมณ์ สังคม และสติปัญญาของผเู้ รียนประโยชนข์ องกิจกรรม ควำมสำคัญของชดุ กิจกรรม ไดม้ ีการเผยแพร่แนวคิดเร่ืองสื่อการสอนและศึกษาวิจัยโดยนักศึกษาพบว่าชุดกิจกรรม มปี ระโยชนต์ ่อการ จัดการเรียนการสอนดังท่ี สุนันท์ ปัทมาคม ( อ้างใน นิพนธ์ ประพินพงศกร, 2527: 32-33 ) ได้กล่าวว่าไม่ว่าชุด กิจกรรมประเภทใดยอ่ มมคี ณุ ค่าและประโยชนต์ อ่ การเพิ่มคณุ ภาพการเรยี นร้ใู นการเรียนการสอน คือ 1. ช่วยผู้สอนให้ถ่ายทอดเน้ือหาและประสบการณ์ที่สลับซับซ้อน และมีลักษณะเป็นนามธรรมสูง เช่น อวัยวะในรา่ งกาย การทางานของเครอ่ื งกล ลลล ซ่งึ ผ้สู อนไมส่ ามารถถ่ายทอดด้วยการบรรยายไดด้ ี 2. ทาให้การเรียนการสอนเกิดประสิทธิภาพมากขึ้น เพราะชุดกิจกรรมผลิตข้ึนจากกลุ่มบุคคลท่ีมีความรู้ ความชานาญหลายดา้ น และมกี ารทดลองใชจ้ นแน่ใจแล้ววา่ ได้ผลดีจงึ นาออกมาใช้ 3. ชุดกิจกรรมลดภาระของผู้สอน เมื่อมีชุดการเรียนสาเร็จรูปแล้ว ผู้สอนจะดาเนินการสอนตาม คาแนะนาท่ีบอกไว้ในชุดกิจกรรมตามลาดับข้ัน แต่ละข้ันจะมีอุปกรณ์ กิจกรรมตลอดจนข้อแนะนาไว้ให้พร้อม ผ้สู อนไมจ่ าเปน็ ตอ้ งทาใหม่อกี หรอื ทาเพ่ิมจะใช้ได้ทนั ที 4. ผู้เรียนจะได้ความรู้ในแนวเดียวกันกับการสอนปกติ เม่ือมีผู้สอนหลายคนที่ทาการสอนในวิชาเดียวกนั ก็อาจเกิดความแตกต่างในด้านประสิทธิภาพของการสอน การมีชุดกิจกรรมจะแก้ปัญหาในเร่ืองน้ีได้ทั้งหมด แม้ ผู้เรียนจะมีจานวนมากเท่าใดก็ชว่ ยแก้ปัญหาไดเ้ ปน็ อย่างดี 5. ช่วยเร้าความสนใจของนักเรียนต่อสิ่งท่ีกาลังศึกษา เพราะชุดการเรียนเปิดโอกาสให้ผู้เรียนมีส่วนร่วม ในการเรียนดว้ ยตนเอง
31 6. ประหยัดเวลา แรงงาน และรายจา่ ย ครูไม่ต้องเตรยี มงานสอนหนกั มาก ไม่ต้องจัดทาใหม่ ใชส้ ะดวกได้ นานหลายปี 7. แก้ปญั หาในโรงเรียนทีม่ ีครไู ม่ครบชั้น 8. ใช้ได้ทุกระดบั การศึกษา 9. เปดิ โอกาสให้ผเู้ รยี นตามความสามารถและความต้องการตน อตั ราการเรยี นของแต่ละคนจะมมี ากน้อย แตกต่างกันไปตามความสามารถ ชุดการเรียนนี้จะช่วยให้ทุกคนได้ประสบความสาเร็จทางการเรียนได้ทั้งส้ิน ตาม อัตราการเรยี นของผ้นู ัน้ 7. งำนวจิ ยั ท่ีเกยี่ วข้อง งำนวิจัยในประเทศ นุชนาฎ วรยศศรี (2558) ได้ศึกษาปัจจัยท่ีมีความสัมพันธ์กับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน วัตถุประสงค์เพื่อ ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยด้านตัวผู้เรียนคือนิสัยในการเรียนและเจตคติต่อการเรียน ปัจจัยด้านสังคม คือ ฐานะทางเศรษฐกิจของครอบครัวและการส่งเสริมของทางบ้าน ปัจจัยด้านการเรียนการสอน คือ บรรยากาศทาง วชิ าการและการรับรพู้ ฤติกรรมการเรียนการสอน กับผลสมั ฤทธ์ิทางการเรียนของนักศึกษา พบว่าตัวแปรที่สามารถ สง่ ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน คือ เจตคติต่อการเรียนซ่งึ เป็นตวั แปรหนงึ่ ของ ปัจจัยด้านตวั ผ้เู รียนท่มี อี านาจพยากรณ์ ผลสัมฤทธท์ิ างการเรียนภาษาองั กฤษไดร้ ้อยละ 21.80 อย่างมนี ยั สาคญั ทางสถติ ทิ ีร่ ะดับ 0.01 และปัจจยั ด้านสังคม ได้แก่ การส่งเสริมทางการเรียนของทางบ้าน มีความสัมพันธ์ทางบวกกับผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนอย่างมีนัยสา คัญ ทางสถิติที่ ระดับ 0.01 และปัจจัยด้านตัวผูเ้ รยี นได้แก่ เจตคติต่อการเรียนวชิ าต่างๆ เป็นปัจจัยท่ีสามารถพยากรณ์ ผลสัมฤทธ์ทิ างการเรยี นของนักเรียนได้ร้อยละ 21.80 อย่างมีนยั สาคญั ทางสถิติทรี่ ะดบั 0.01 สุกัญญา จันทร์แดง (2559) ได้ศึกษาผลการจัดการเรียนด้วยชุดการสอนแบบร่วมมือที่มีต่อผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียนและความสามารถ ในการทางานร่วมกัน วิชาภาษาอังกฤษ ของนักเรียนช้ันประถมศึกษาปีท่ี 6 ผลการวิจัยพบว่า 1. ผลการเรียนรู้ทางการเรียนของนักเรียนที่เรียนด้วยชุดการสอนแบบร่วมมือ มีผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียนสูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยสาคัญทางสถิติท่ีระดับ 0.05 2. ความสามารถในการทางานร่วมกันของ นักเรยี นชัน้ ประถมศึกษาปีที่ 6 ทเี่ รียนดว้ ยชดุ การสอนแบบรว่ มมือ มีพฤตกิ รรมในการทางานร่วมกันอยู่ในระดับ ดี มาก 3. ความคดิ ของนักเรียนเห็นต่อการเรยี นการสอนด้วยชุดการสอนแบบรว่ มมือ อยใู่ นระดับดมี าก นิภาพร ปาระแกว้ (2560) ได้ทาการศึกษาวิจัยเรื่องความคิดเห็นเกี่ยวกับปัจจัยท่ีส่งเสริมการใช้สื่อการ สอนของครูโรงเรียนมัธยมศึกษา สังกดักรมสามัญศึกษาจังหวัดขอนแก่น มีวัตถุประสงค์เพ่ือศึกษาความคิดเห็น เกี่ยวกับปัจจัยท่ีส่งเสริมการใช้ส่ือการสอนของครูใน 3 ปัจจัยคือ 1) ปัจจัยเก่ียวกับสื่อการสอน 2) ปัจจัยเกี่ยวกับ สภาพแวดล้อมภายในโรงเรียน 3) ปัจจัยเก่ียวกับแรงจูงใจกลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษาคร้ังน้ีคือครูผู้สอนใน โรงเรยี นมธั ยมศึกษา สังกดกั รมสามัญศึกษา จงั หวัดขอนแก่น ซึ่งได้จากการสุ่มแบบหลายขั้นตอน จานวน 346 คน จากประชากรจานวน 3,461 คน ซ่ึงผลการวิจัยพบว่า ปจั จัยเกยี่ วกับส่อื การสอน เปน็ ปจั จัยทีส่ ง่ เสริมการใช้สื่อการ สอนของครู ในระดบั มาก ปจั จยั เกยี่ วกับสภาพแวดล้อมภายในโรงเรียน เป็นปจั จยั ทีส่ ง่ เสรมิ การใช้สื่อการสอน ของ ครูในระดบั ปานกลาง และปัจจยั เกยี่ วกบั แรงจูงใจ เปน็ ปจั จัยทีส่ ง่ เสรมิ การใช้สื่อสอนของครูในระดบั ปานกลาง
32 อรวรรณ สัมฤทธิ์ (2561) การศึกษาวิจัยเรื่องนี้มีวัตถุประสงค์เพ่ือศึกษาปัจจัยท่ีมีผลต่อการใช้สื่อการสอน ตามความคิดเห็นของครูโรงเรียนประถมศึกษา กลุ่มตัวอย่างท่ีใช้ในการวิจัยได้แก่ครูผูป้ ฏิบิัติหน้าท่ีสอนในโรงเรียน จานวน 286 คน เครื่องมือท่ีใช้ในการเกบ็ ข้อมลู เป็นแบบตรวจรายการและแบบมาตราสว่ นประมาณคา่ สถิติท่ีใช้ใน การวิเคราะห์ข้อมูลใช้ค่าร้อยละค่าเฉลี่ยค่าความเบี่ยงเบนมาตรฐาน วิเคราะห์ระดับ ปัจจัยและการใช้สื่อการสอน ผลการวิจัยพบว่า 1) ปัจจัยที่มีผลต่อการใช้สื่อการสอนตามความคิดเห็นของครูอยู่ในระดับ ปานกลางและเมื่อ พิจารณาแต่ละปจั จัย พบว่าปจั จยั ดา้ นตัวครแู ละปัจจยั ด้านผู้เรยี นเป็นปัจจัย ท่ีมีผลตอ่ การใช้ส่ือการสอนตามความ คิดเหน็ ของครูอยู่ในระดบั มาก ส่วนปัจจยั ดา้ นการสนับสนุนส่งเสริมจากโรงเรียน เปน็ ปัจจัยที่มีผลต่อการใชส้ ่ือการ สอนตามความคดิ เห็นของครอู ยู่ในระดบั ปานกลาง 2) ระดับการใช้สือ่ การสอนของครมู สี ภาพการปฏบิ ัติโดยรวมอยู่ ในระดบั มาก เมอ่ื พจิ ารณาเปน็ รายขนั้ ตอนพบวา่ สภาพการปฏบิ ัติทุกขน้ั ตอนอยูใ่ นระดบั มาก งำนวจิ ัยในต่ำงประเทศ โพลิทเซอร์ (Politzer 2014 : 54-68) ศึกษาพฤติกรรมการเรียนรู้ภาษาและความสัมพันธ์ ของพฤติกรรม การเรียนรู้ภาษากับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนภาษาของนักเรียนที่เรียนภาษาอังกฤษเป็ นภาษาที่สองในระดับ มหาวิทยาลัย พบวา่ สาขาวชิ าเปน็ องค์ประกอบที่สาคญั ในการเรยี นภาษา แบบเข้มของนักศกึ ษา ซงึ่ มคี วามแตกต่าง กันระหว่างนักศึกษาท่ีเรียนสาขาวิชาวิศวกรรมศาสตร์ และคณิตศาสตร์กับสาขาธุรกิจสังคมและการศึกษา ต่อมา โพลทิ เซอร์ ( Politzer 2014 : 67-68) ไดศ้ กึ ษาในทานองเดียวกัน พบว่าสาขาวชิ าเอกของนักศึกษามหาวทิ ยาลัยมี อิทธิพลต่อการเลือกใช้ กลวิธีการเรียนภาษาท่ีสอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งนักศึกษาสาขาวิชาเอกมนุษยศาสตร์ สังคม วิทยาและ สาขาการศึกษาสามารถใช้กลวิธีการเรียนได้ดีกว่านักศึกษาสาขาวิชาคอมพิวเตอร์ สาขาวิชาเอก คณิตศาสตร์และคณิตศาสตร์ โอมอลล่ีและคณะ (O’Malley and others 2016 : 32-41) ศึกษาการประยุกต์ใช้กลวิธีการเรียน ภาษาอังกฤษของนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาท่ีเรียนภาษาอังกฤษเป็นภาษาที่สอง จานวน 70 คนและครูสอน ภาษาองั กฤษจานวน 22 คน เก็บขอ้ มูลโดยการสมั ภาษณ์และบนั ทึกเสียง แบบสัมภาษณ์ประกอบดว้ ยคาถามต่างๆ ทีใ่ หน้ ักเรยี นอธบิ ายประเภทของกลวิธีการเรียนภาษาองั กฤษใน การพดู การออกเสยี งคาศพั ท์ การปฏิบตั ติ ามคาสั่ง การใช้ภาษานอกช้นั เรยี นและการฟงั นอกจากน้ีผู้วจิ ยั ไดส้ งั เกตการเรยี นการสอนในชน้ั เรยี นและสัมภาษณ์ครูผู้สอน แต่ละคนว่าได้สอน กลวิธีการเรียนภาษาอังกฤษให้แก่นักเรียนหรือสังเกตการณ์การใช้กลวิธีการเรียนของนักเรียน หรือไม่ ผลการศกึ ษาพบวา่ นกั เรียนใช้กลวิธีการเรยี นภาษาอังกฤษอยู่ในระดับต่าและปานกลาง และนกั เรียนมักใช้ กลวิธีการเรยี นภาษากับการเรยี นแบบจุลภาษา (Discrete tasks) ซง่ึ เป็น การเรียนรู้คาศัพท์ การฟัง การออกเสียง และการเรียนไวยากรณ์เฉพาะเรื่องมากกว่าการเรยี นแบบ ทักษะสัมพันธ์ (integrative tasks) ทั้งน้ีอาจเป็นเพราะ ขณะที่เรียนในช้ันเรียนนักเรียนมีโอกาสได้ ฝึกกิจกรรมทางภาษาน้อยมาก นอกจากน้ียังพบว่าครูส่วนใหญ่ไม่มี ความรู้เร่ืองกลวิธีการเรียน ภาษา ไม่เคยแนะน ากลวิธีการเรียนให้นักเรียนในขณะท่ีสอนและไม่เคยสังเกตการใช้ กลวิธี การเรยี นของนักเรยี น กิลเลตต์ (Gillette 2017 : 268-278) ศึกษาวิธีการเรียนรู้และแรงจูงใจในการเรียนของผู้ท่ีประสบ ผลสาเร็จในการเรียนภาษาต่างประเทศ 2 คน เป็นการศึกษาเฉพาะกรณี โดยใช้วิธีการท่ี ให้ผู้เรียนทั้ง 2 คน พิจารณาการเรียนของตนเอง การสังเกตการณ์การเรียนในช้ันเรียน การสัมภาษณ์ แบบสอบถามวัดทัศนคติและ
33 แรงจูงใจในการเรียนภาษาต่างประเทศ ผลการศึกษา พบว่า ผู้เรียนทั้งสองเรียนภาษาโดยเน้นท่ีความหมายของ ภาษามากกว่ากฎเกณฑ์ มีความกล้าท่ีจะ ลองใช้ภาษา สนใจพ้ืนฐานทางสังคมและวัฒนธรรมของเจ้าของภาษา ต่ืนตวั ตอ่ การเรียนรู้อยูเ่ สมอ สามารถควบคุมกระบวนการเรยี นรู้ของตนเองได้อย่างเต็มที่ ใชก้ ลวธิ ีการเรียนภาษาที่ เป็นของ ตนเอง ไม่เคยเลียนแบบกลวธิ ีการเรียนของผู้อนื่ นอกจากน้ี ยงั มีความอดทนต่อความกากวมของภาษา มี บคุ ลกิ ภาพกล้าแสดงออก มคี วามเข้าใจ พงึ พอใจในการเรยี นภาษาและมีการรับรู้เกย่ี วกับ ความภาคภูมใิ จในตนเอง (Self-esteem) ส่วนเรื่องแรงจูงใจนั้นผู้เรียนมีแรงจูงใจเชิงเคร่ืองมือ (Instrumental motivation) มากกว่า แรงจูงใจเชิงบูรณาการ (Integrative motivation) และมีรูปแบบ ของการเรียนแบบมองภาพรวม เป็นการเรียน ภาษาแบบทกั ษะสัมพนั ธม์ ากกว่าการมองรายละเอยี ด ซ่ึงเปน็ การศึกษาขอ้ ปลกี ย่อยของภาษา ซู (Su 2018 : 351) ได้ทาการวิจัยถึงคุณค่าและประโยชน์ของบทบาทสมมติ (Role-play) ซึ่งช่วยให้ นกั เรียนมสี มรรถภาพในการสื่อสาร (Communicative competence) ในช้ันเรยี น บทบาทสมมตทิ าให้นักเรียนท่ี เรียนวิชาต่างๆ ในฐานะของภาษาต่างประเทศ (EFL) อยู่ในสถานการณ์ การพูดเพ่ือการส่ือสารที่คลา้ ยคลงึ กับชีวิต จริง สถานการณ์เช่นนี้ทาใหน้ กั เรยี นพัฒนาทักษะการพูด ผลการวิจยั พบว่า บทบาทสมมตมิ ปี ระสิทธภิ าพในการลด ความกลัวของนักเรียนในการพูดและช่วยให้นักเรียนรู้พฤติกรรมการเรียนวิชาต่างๆ ย่ิงไปกว่าน้ันนักเรียนมี ประสทิ ธภิ าพในการสื่อสารมากข้นึ สามารถเช่อื มโยงเนอ้ื หาหลายวิชาเขา้ ดว้ ยกันไดเ้ ป็นอยา่ งดี
34 บทท่ี 3 วิธกี ำรดำเนินกำรวิจยั กลุม่ เปำ้ หมำย ประชำกร นักเรียนช้ันประถมศึกษาปที ่ี 5 วชิ าภาษาอังกฤษ จานวน 42 คน กลุ่มตวั อยำ่ ง นักเรยี นชัน้ ประถมศึกษาปีที่ 5 วิชาภาษาองั กฤษ จานวน 25 คน วธิ ีกำรเก็บรวบรวมขอ้ มูล 1. ช้ีแจงวิธีการเรียนการสอนแบบร่วมแรงร่วมใจต่อนักเรียนในชั้นเรียน โดยครูผู้สอนทาการแบ่งกลุ่ม นกั เรยี นเป็นกลมุ่ ยอ่ ยๆ โดยแต่ละกลุ่มมสี มาชกิ จานวนเท่าๆ กนั หรือใกล้เคยี งกนั 2. ผู้สอนพิจารณาความเหมาะสมของกลุ่มเพ่ือให้สมาชิกของกลุ่มมีความรู้ความสามารถแตกต่างกันโดย พิจารณาจากคะแนนเฉลี่ยในชั้นเรียน ผลการเรียนและผลการปฏิบัติงานมอบหมายในรายวิชา ในเดือนสิงหาคม ของการเรียนประกอบการพิจารณา 3. ผ้สู อนชแี้ จงระเบยี บการเรยี นการสอนแบบร่วมแรงรว่ มใจ โดยรปู แบบ STAD ตลอดจนการทางาน ท่ี มอบหมายจากผูส้ อนและการทางานทม่ี อบหมายจากกลมุ่ 4. งานที่มอบหมายจากกลุ่มมอบหมายหน้าท่ีให้ปฏิบัติงานและความรับผิดชอบการทางานในกลุ่มและ กระตุ้นให้เหน็ ความสาคญั ของความสาเรจ็ ของกล่มุ 5. ตดิ ตามสังเกตพฤติกรรมหลงั จากปรบั เปล่ียนวิธีการสอน 6. เก็บรวบรวมคะแนนประเมนิ ผลทงั้ กอ่ นเรยี นและหลงั เรยี นมาทาการเปรยี บเทยี บกัน เครื่องมือในกำรวิจัย 1. รูปแบบการสอนแบบร่วมแรงร่วมใจ โดยวิธี STAD 2. แผนการจดั การเรียนรู้ ใบงาน แบบฝกึ ทักษะ 3. แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ิทางการเรยี น 4. แบบสังเกตพฤติกรรมความรับผดิ ชอบ กำรสร้ำงและกำรหำคุณภำพเคร่ืองมอื การสร้างเครอ่ื งมอื ทใ่ี ชใ้ นการวจิ ัย มีรายละเอียดการสร้างเครือ่ งมอื ดงั นี้ 1. คู่มือการใช้เพ่ือส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์ โดยใช้ฐานทฤษฎีความคิดสร้างสรรค์ในชุดกิจกรรม ของ นักเรียน ผูว้ ิจยั ได้ดาเนินการสรา้ งคูม่ ือตามขนั้ ตอน ดังนี้ 1.1 กาหนดเนือ้ หาท่จี ะเขียนในคมู่ ือการใช้ชุดกจิ กรรมต่างๆ 1.2 ศกึ ษารายละเอยี ดต่างๆ ของชดุ กิจกรรม 1.3 ดาเนินการเขียนส่วนประกอบต่างๆ ที่กาหนดไว้ในคู่มือการใช้ชุดกิจกรรม ซ่ึงมีรายละเอียด ตามข้นั ตอนดงั นี้ 1.3.1 ข้อแนะนาในการใช้ชดุ กจิ กรรม
35 1.3.2 กาหนดการจัดการเรียนรู้ สาหรับนกั เรียน 1.3.3 แผนการจัดการเรียนรู้โดยกาหนดเป็นแผนการจัดการเรียนรู้ ซึ่งในแต่ละแผน ประกอบด้วย - มาตรฐานการเรยี นรู้ - สาระสาคญั ของเนื้อหา - ผลการเรยี นรู้ทีค่ าดหวงั - จดุ ประสงคก์ ารเรียนรู้ - สาระการเรยี นรู้ - กิจกรรมการเรียนรู้ - ภาระชิน้ งาน - สือ่ การเรยี นรู้ - การวดั ผล และประเมินผล - เครือ่ งมือท่ีใช้ประเมนิ - เกณฑก์ ารให้คะแนน - บันทกึ หลงั สอน - ข้อเสนอแนะของอาจารยท์ ่ปี รึกษา 1.4 นาคูม่ อื การใช้ชุดกจิ กรรมตา่ งๆ ทผี่ ู้ศึกษาไดจ้ ัดทาขึ้นไปใหผ้ เู้ ชี่ยวชาญ ตรวจสอบคณุ ภาพของ คู่มอื การใช้แบบฝึกเสริมทกั ษะทางวิชาการในด้านตา่ ง ๆ ประกอบด้วย 1.4.1 ดา้ นความเหมาะสมของกาหนดการจัดการเรียนรู้ 1.4.2 ด้านข้อแนะนาในการใช้แบบตามความคิดสร้างสรรค์ 1.4.3 ด้านความเหมาะสมของเน้อื หาสาระการเรียนรู้ 1.4.4 ดา้ นความสอดคลอ้ งของจดุ ประสงค์การเรียนร้กู ับสาระการเรียนรู้ 1.4.5 ด้านความเหมาะสมของกจิ กรรมการจดั การเรยี นรู้ กำรใชส้ ถติ ิวิเครำะหข์ ้อมูล วิเคราะห์ข้อมูล โดยใช้ ค่าสถิติพื้นฐานท่ัวไป เช่น ค่าเฉล่ีย ค่าร้อยละ ค่าส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐาน โดยใช้ t – test ประเภท Dependent Samples ท่นี ัยสาคัญทางสถิตทิ ี่ .05 เพ่อื เปรียบเทียบความแตกต่างของค่าเฉล่ีย แบบทดสอบ ของการทาแบบทดสอบก่อนเรียนและหลังเรียนจากการใช้กิจกรรมการสอนแบบร่วมแรงร่วมใจ STAD มีค่าสถิตติ า่ งๆ ดังน้ี 1. สถิติพ้ืนฐาน ทนี่ ามาใช้วิเคราะหข์ ้อมลู ในการวจิ ยั คร้งั นี้มีดังต่อไปนี้ ค่าเฉลีย่ ∑ ������ ������̅ = ������ แทนค่า ������̅ คือ ค่าเฉล่ยี
36 ∑ ������ คอื ผลรวมของคะแนนของผเู้ รยี น ������ คอื จานวนผู้เรียน 2. สถติ ิพื้นฐานทใ่ี ชใ้ นการหาคุณภาพเครอ่ื งมือ ∑ ������ ������������������ = ������ แทนคา่ ������������������ คือ ดชั นีความสอดคล้องระหวา่ ง -1 ถึง +1 ∑ ������ คือ ผลรวมคะแนนความคดิ เหน็ ของผู้เชย่ี วชาญทัง้ หมด ������ คือ จานวนผเู้ ชีย่ วชาญท้งั หมด 3. สถติ ิที่ใช้ในการทดสอบสมมตฐิ าน ขน้ั ตอนการทดสอบสมมตฐิ านทางสถิติมดี ังนี้ 1. ต้งั สมมติฐานหลัก (H0) และสมมติฐานทางเลือก (H1) ใหม้ คี วามหมายตรงขา้ มกันเสมอ 2. กาหนดระดับนยั สาคญั α 3. เลือกตัวสถติ ิทดสอบที่เหมาะสม แล้วหาจดุ วกิ ฤตเพ่ือกาหนดบริเวณปฏิเสธ H0 ให้ สอดคลอ้ ง กับ H0 และ α 4. คานวณค่าสถิติท่ใี ช้ทดสอบจากตวั อย่างขนาด n ท่สี ่มุ มา 5. ตดั สนิ ใจยอมรับหรือปฏิเสธ H0 โดยพจิ ารณาจากเง่ือนไขน้ี ถา้ ค่าสถิตทิ ดสอบที่คานวณไดจ้ าก ข้นั ตอนที่ 4 ตกอยู่ในบริเวณยอมรับ เราจะตัดสินใจยอมรบั H0 แตห่ ากตกอยู่บรเิ วณปฏเิ สธ จะตดั สินใจ ปฏเิ สธ H0 6. สรุปผล 4. คา่ รอ้ ยละ (Percentage) ใช้สูตรดังนี้ ������ ������ = ������ 100 แทนคา่ ������ คือ รอ้ ยละ ∑ ������ คอื ความถ่ีท่ีต้องการแปลงให้เป็นรอ้ ยละ ������ คอื จานวนความถท่ี ้ังหมด 5. ค่าเบ่ียงเบนมาตรฐาน (Standard Deviation) โดยใช้สตู ร Ferguson (Ferguson, 1981 : 49)
37 ������. ������. = 2 ∑ ������2 − (∑ ������)2 √ ������(������ − 1) แทนคา่ ������. ������. คือ ค่าความเบ่ียงเบนมาตรฐาน ∑ ������2 คอื ผลรวมของกาลงั สองของคะแนน (∑ ������)2 คอื ผลรวมของคะแนนทั้งหมดยกกาลงั สอง ������ คือ จานวนคนในกลุ่มตัวอย่าง นาข้อมูลท่ีได้จากการทาแบบทดสอบก่อนเรียนและแบบทดสอบหลังเรียนมาสร้างตาราง เปรียบเทียบคะแนนสอบก่อนเรียนและหลังเรียนของนักเรียนของนักเรียนรายบุคคลมา เพ่ือดูพัฒนาการ ของนกั เรยี นและจดุ บกพรอ่ งต่อไป คำ่ ควำมยำกง่ำยของขอ้ สอบ เป็นการตรวจสอบคณุ ภาพของขอ้ สอบเปน็ รายข้อ เพื่อพิจารณาวา่ ข้อสอบแต่ละข้อน้ัน มีระดบั ความยาก หรอื คา่ ความง่าย ( Difficulty index or Easiness ) และคา่ อานาจจาแนกของขอ้ สอบ ( Disciminant index ) เพียงใด รวมท้งั พจิ ารณาถงึ ประสิทธภิ าพของตวั ลวงในข้อเลอื กตอบของข้อสอบข้อน้ันด้วย ผลการวิเคราะห์จะ ทาให้ทราบว่าข้อสอบแต่ละข้อมีความเหมาะสมมากน้อยเพียงใด ข้อสอบที่มีคุณภาพจะสามารถนาไปวัดและ ประเมินผลไดอ้ ย่างเท่ียงตรงและเช่อื มั่นได้ แบบทดสอบท่ีดีต้องมีความยากง่ายพอเหมาะ คือ ไม่ยากเกินไปและไม่ ง่ายเกินไป ความยากง่ายของ แบบทดสอบพิจารณาได้จากผลการสอบของแบบทดสอบฉบับนั้นเป็นสาคัญ การ พจิ ารณาความยากง่าย พิจารณาดงั น้ี 1. กำรพจิ ำรณำควำมยำกง่ำยของแบบทดสอบทั้งฉบบั 1.1 พิจารณาจากคะแนนรวมของแบบทดสอบทั้งฉบับ โดยพิจารณาจากคะแนนเฉลี่ยของ คะแนนรวมทัง้ ฉบับ - หากคะแนนเฉล่ียสูงกว่าครึ่งหน่ึงของคะแนนเต็ม แสดงว่าแบบทดสอบฉบับนั้นง่ายหรือ ค่อนขา้ งงา่ ย - หากคะแนนเฉล่ียต่ากว่าครึ่งหนึ่งของคะแนนเต็ม แสดงว่าแบบทดสอบฉบับน้ันยากหรือ คอ่ นข้างยาก 1.2 พิจารณาจากค่าความยากง่ายของข้อคาถามรายข้อ โดยพิจารณาค่าเฉลี่ยของความยากราย ขอ้ ท้ังฉบบั ความยากงา่ ยของขอ้ สอบรายข้อมีค่าอยู่ระหว่า 0 – 1.00 - หากค่าเฉล่ียค่าความยากง่ายรายข้อท้ังฉบับสูงกว่า .50 แสดงว่าแบบทดสอบฉบับนั้นง่าย หรือ ค่อนขา้ งงา่ ย - ถ้าค่าเฉล่ียของค่าความยากง่ายรายข้อท้ังฉบับต่ากว่า .50 แสดงว่าแบบทดสอบฉบับน้ัน ยาก หรือคอ่ นข้างยาก
38 2. กำรพิจำรณำควำมยำกงำ่ ยของแบบทดสอบรำยข้อ พจิ ารณาจานวนผู้ตอบถูกในแตล่ ะขอ้ - ถา้ ขอ้ ใดทม่ี ผี ู้ตอบถูกมากกวา่ ครึ่งหนึ่งของผสู้ อบ แสดงวา่ เป็นผ้สู อบท่งี ่ายหรือคอ่ นขา้ งงา่ ย - ถ้ามีจานวนผู้ตอบถูกน้อยกว่าครึ่งหนึ่งของผู้สอบท้ังหมด แสดงว่ายากหรือค่อนข้างยาก ค่า ความยากง่ายของข้อสอบ หมายถึง สัดส่วนของผู้ท่ีตอบข้อคาถามนั้นถูก ซ่ึงนิยมให้แทนค่า “ P ” มี ค่า ตงั้ แต่ 0 ถงึ 1.00 กำรแปลควำมหมำยค่ำ P : อาจแบ่งได้เปน็ 5 ชว่ ง ดังน้ี ค่ำ P ระดบั ควำมยำก ควำมหมำยเทียบสอบจำก กำรพจิ ำรณำ ผ้สู อบ 100 คน 0 - .19 ยากมาก มผี ู้ตอบถูกไมถ่ งึ 20 คน ควรปรับปรงุ หรือตัดท้ิง .20 - .39 คอ่ นข้างยาก มผี ู้ตอบถูก 20 - 39 พอใช้ได้ .40 - .59 ยากพอเหมาะ มผี ู้ตอบถูก 40 - 59 ใช้ได้ .60 - .80 คอ่ นข้างงา่ ย มผี ตู้ อบถูก 60 - 80 พอใช้ได้ .81 - 1.00 ง่ายมาก มีผตู้ อบถูก 81 - 100 ควรปรับปรงุ หรอื ตัดทิ้ง ดังน้นั ค่า ความยากงา่ ย ( p ) ของขอ้ สอบทีค่ วรนามาใชค้ วรมาค่าระหวา่ ง .20 - .80 ประโยชนข์ องกำรวิเครำะห์ข้อสอบ 1. ทาใหท้ ราบขอ้ มูลพื้นฐานของตวั ข้อสอบและคาตอบ รวมถึงขอ้ สอบแตล่ ะข้อได้ทาหน้าที่วัดผล สัมฤทธ์ิอย่างมคี ุณภาพเพียงใด 2. ชี้ให้เห็นถึงจุดอ่อนท่ีผู้สอนหรือผู้เรียนต้องปรับปรุงแก้ไข เพื่อพัฒนาความสามารถและทักษะ ของผเู้ รียนให้เป็นตามท่คี าดหวงั 3. เป็นพ้ืนฐานสาคัญในการปรับปรงุ พัฒนาการเรียนการสอน โดยเฉพาะอย่างย่ิงด้านพฤติกรรม การเรยี นรู้ท่เี หมาะสมสาหรับเน้ือหาวิชานัน้ ๆ 4. ช่วยเพิ่มทักษะในการสร้างข้อสอบ ทาให้ทราบถึงอานาจการจาแนก ระดับความยากง่าย ประสิทธิภาพของตัวลวง ตลอดจนการเขียนขอ้ สอบในลกั ษณะใดจงึ จะไดข้ ้อสอบทดี่ ี 5. ทาให้สามารถคัดเลือกข้อสอบที่มีคุณภาพมารวมเป็นฉบับข้อสอบท่ีดี สามารถจัดทาข้อสอบ คขู่ นานและเปน็ รากฐานสาคญั ในการพัฒนาแบบสอบมาตรฐาน
39 บทท่ี 4 ผลกำรดำเนินกำร วิเครำะหข์ อ้ มลู การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาวิธีการเรียนของนักเรียนให้เอ้ือต่อการเรียนรู้ ของนักเรียนชั้น ประถมศึกษาปีที่ 5 โดยมีเป้าหมายให้นักเรียนทุกคนมีผลการเรียนผ่านเกณฑ์ที่กาหนด โดยเสนอผลการวิเคราะห์ ขอ้ มูลเป็นลาดบั ในลกั ษณะตารางประกอบคาบรรยายดงั นี้ วเิ ครำะห์ผล ตำรำงที่ 1 แสดงคา่ คะแนนและผลต่างของการทดสอบของนกั เรียนชน้ั ประถมศึกษาปีที่ 5 จานวน 25 คน กำรทดสอบ คะแนนเต็ม คะแนนเฉล่ยี ( x ) ร้อยละของคะแนนท่ีเพ่ิมขน้ึ ส่วนเบ่ียงเบนมำตรฐำน ก่อนสอนแบบ 20 14.07 - 2.08 STAD หลงั สอนแบบ 20 15.14 7.60 1.82 STAD จากการสงั เกตนกั เรยี นก่อนการใช้การสอนแบบ STAD มีคา่ คะแนนเฉล่ียอยู่ท่ี 14.07 คะแนน แตห่ ลงั จาก การใช้การสอนแบบ STAD ทาให้คะแนนเฉลี่ยอยู่ที่ 15.14 คะแนน ซ่ึงเพ่ิมขึ้น 1.07 คะแนน คิดเป็นร้อยละที่ เพิ่มข้ึน 7.60% และมีส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ 1.82 ซ่ึงลดลงจากเดิม 0.26 ทาให้ข้อมูลมีการกระจายท่ี ลดลงแสดงถึงคณุ ภาพของข้อมลู ทดี่ ี ตำรำงที่ 2 เปรียบเทยี บคะแนนสอบก่อนเรียนและหลงั เรยี นของนักเรียน ท่ี ชื่อ คะแนนก่อนเรยี น คะแนนหลังเรยี น 15 1 ด.ญ.ทพิ วรรณ คนกลาง 14 16 15 2 ด.ญ.วลั ลี ยบุ ลชติ 14 15 17 3 ด.ญ.ชนัดชิดา ปญั ยรัตน์ 15 15 13 4 ด.ช.ภาณพุ งษ์ ทิมหา 12 12 13 5 ด.ญ.ภัทรธดิ า ภักดีบาง 14 12 16 6 ด.ญ.อรจิรา จิตรแก้ว 11 15 12 7 ด.ช.อภชิ ัย เขยี วอ่อน 12 14 13 8 ด.ช.นคร บุญศรี 11 15 9 ด.ญ.นันทน์ ภสั คงสน 12 10 ด.ญ.เจษฎาพร ไชยเพชร 11 11 ด.ช.สมพงษ์ ยุบลชติ 14 12 ด.ช.ภัทรพล เสง่ียมตน 12 13 ด.ช.ธนพล พรหมวงศส์ อน 10 14 ด.ช.พงศธร สมุ าลย์ 13 15 ด.ช.ธนวรรธน์ พว่ งอา่ งทอง 12 16 ด.ญ.สริ ินดา แสงเพชร 15
40 ท่ี ช่ือ คะแนนก่อนเรยี น คะแนนหลังเรียน 17 ด.ญ.ตรีทพิ ยนิภา ขวัญสุข 11 12 18 ด.ญ.ศศลิ กานต์ เสนเผือก 12 16 19 ด.ช.ณฐั วฒุ ิ พิทกั ษ์ศร 13 15 20 ด.ญ.ป่ินมณี เหมทานนท์ 12 14 21 .ช.ธีรภทั ธ บัวภา 12 14 22 ด.ญ.ชนัดชิดา ปญั ยรตั น์ 12 15 23 ด.ช.ธรรมนญู รัตน์วจิ ติ ร 13 16 24 ด.ช.ณัฐกิตติ์ อ่อนเหลา 11 13 25 ด.ญ.รักษดิ า ชชู ว่ ย 15 16 14.07 15.14 คา่ เฉลีย่ ผลรวมคะแนน ผลต่างคะแนนพฒั นาการ +1.07 ร้อยละของคะแนนทเ่ี พมิ่ ขน้ึ +7.60% จากตารางที่ 2 เปรยี บเทยี บคะแนนสอบก่อนเรียนและหลังเรียนของนักเรียน ผลปรากฎว่านักเรียนทุกคน มีผลคะแนนที่ดีขึ้นหลังจากใช้แบบทดสอบก่อนเรียนและหลังเรียนในภาพรวม ซ่ึงมีค่าเฉลี่ยผลรวมคะแนนก่อน เรียนเป็น 14.07 คะแนน และค่าเฉลี่ยผลรวมคะแนนหลังเรียนเป็น 15.14 คะแนน และมีค่าผลต่างคะแนน พัฒนาการ +1.07 คะแนน ซึง่ ผลการวจิ ัยนีจ้ ะช่วยยกระดบั ผลสมั ฤทธิ์ทางการเรยี นในรายวิชาของนักเรยี นให้สูงขึ้น ได้ตอ่ ไป ตำรำงที่ 3 ประสทิ ธภิ าพของการทาแบบฝกึ ทักษะตามเกณฑ์ 80/80 จานวนนกั เรยี น คะแนนแบบฝึกทักษะ (E1) คะแนนวดั ผลสมั ฤทธิ์ทางการเรยี น (E2) ค่าคะแนนเฉลยี่ (คะแนนเตม็ ) ร้อยละ ค่าคะแนนเฉลยี่ (คะแนนเต็ม) รอ้ ยละ 25 คน 87.81 87.81 35.05 87.62 จากตารางที่ 3 พบวา่ ประสิทธภิ าพของแบบฝึกทักษะท่ีสรา้ งข้ึนมีคา่ เท่ากับ 87.81/87.62 หมายความว่า แบบฝึกทักษะทาให้นักเรียนเกิดกระบวนการเรียนรู้เท่ากับ 87.81 และมีประสิทธิภาพทางการเรียนรู้หรือ ประสทิ ธภิ าพของแบบฝึกทักษะ ในการเปลีย่ นแปลงผลการเรียนรู้ของนักเรยี นเทา่ กบั ร้อยละ 87.62 แสดงวา่ แบบ ฝึกทักษะ มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 80/80 ตามวัตถุประสงค์ของการวิจัย และสามารถนาไปใช้ในการเรียนรู้ได้ อย่างมปี ระสิทธภิ าพ
41 บทที่ 5 สรปุ ผลกำรดำเนินกำร วัตถปุ ระสงคข์ องกำรวิจัย 1. เพ่อื พัฒนาผลสมั ฤทธ์ิทางการเรียนของนักเรยี นระดับประถมศกึ ษาปที ่ี 5 วชิ าภาษาองั กฤษ จานวน 25 คน เรือ่ ง คาศัพทเ์ กยี่ วกบั สตั ว์ 2. เพ่ือเปรียบเทียบผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนก่อนเรยี นและหลงั เรยี นในรายวิชาด้วยรูปแบบการสอนแบบ ปกตแิ ละการสอนโดยใชว้ ธิ ี STAD ประชำกรและกลุ่มตัวอยำ่ ง ประชำกร นกั เรยี นชั้นประถมศึกษาปีท่ี 5 วชิ าภาษาอังกฤษ จานวน 42 คน กลุ่มตัวอยำ่ ง นกั เรยี นชั้นประถมศึกษาปีท่ี 5 วชิ าภาษาองั กฤษ จานวน 25 คน เคร่อื งมือในกำรวิจัย 1. รปู แบบการสอนแบบรว่ มแรงร่วมใจ โดยวธิ ี STAD 2. แผนการจัดการเรยี นรู้ ใบงาน แบบฝึกทักษะ 3. แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ิทางการเรยี น 4. แบบสังเกตพฤตกิ รรมความรับผิดชอบ วิธกี ำรเก็บรวบรวมขอ้ มูล 1. ชี้แจงวิธีการเรียนการสอนแบบร่วมแรงร่วมใจต่อนักเรียนในช้ันเรียน โดยครูผู้สอนทาการแบ่งกลุ่ม นกั เรยี นเป็นกลุ่มยอ่ ยๆ โดยแตล่ ะกลมุ่ มสี มาชกิ จานวนเท่าๆ กนั หรือใกลเ้ คียงกนั 2. ผู้สอนพิจารณาความเหมาะสมของกลุ่มเพ่ือให้สมาชิกของกลุ่มมีความรู้ความสามารถแตกต่างกันโดย พิจารณาจากคะแนนเฉล่ียในชั้นเรียน ผลการเรียนและผลการปฏิบัติงานมอบหมายในรายวิชา ในเดือนสิงหาคม ของการเรียนประกอบการพิจารณา 3. ผสู้ อนชแ้ี จงระเบียบการเรียนการสอนแบบรว่ มแรงรว่ มใจ โดยรูปแบบ STAD ตลอดจนการทางาน ท่ี มอบหมายจากผู้สอนและการทางานที่มอบหมายจากกลุ่ม 4. งานท่ีมอบหมายจากกลุ่มมอบหมายหน้าท่ีให้ปฏิบัติงานและความรับผิดชอบการทางานในกลุ่มและ กระตนุ้ ใหเ้ หน็ ความสาคญั ของความสาเรจ็ ของกลุ่ม 5. ตดิ ตามสงั เกตพฤตกิ รรมหลังจากปรบั เปลีย่ นวิธกี ารสอน 6. เกบ็ รวบรวมคะแนนประเมินผลท้งั ก่อนเรียนและหลงั เรยี นมาทาการเปรยี บเทยี บกนั สรุปผลกำรวิจัย
42 จากการศึกษาการเรียนการสอนแบบร่วมแรงร่วมใจเพื่อยกระดับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรวมถึงปรับ พฤตกิ รรมนักเรียนท่ีขาดความรับผดิ ชอบในการเรียนของช้ันเรียน จากการสังเกตนกั เรียนก่อนการใชก้ ารสอนแบบ STAD มีค่าคะแนนเฉลี่ยของการทดสอบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนอยู่ท่ี 14.07 คะแนน แต่หลังจากการใช้การสอน แบบ STAD ทาใหค้ ะแนนเฉล่ียอยทู่ ี่ 15.14 คะแนน ซ่ึงเพ่มิ ขน้ึ 1.07 คะแนน คดิ เปน็ ร้อยละท่ีเพมิ่ ข้นึ 7.60% และ มีส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐานของคะแนนสอบเท่ากับ 1.82 ซ่ึงลดลงจากเดิม 0.26 ทาให้ข้อมูลที่ได้มีการกระจายตัวที่ ลดลงแสดงถึงคุณภาพของข้อมูลท่ีดี ผู้เรียนมีคะแนนเกาะกลุ่มใกล้เคียงกันมากข้ึนส่งผลต่อการพัฒนาการเรียนใน ด้านอ่นื ๆ ซึง่ จะทาใหส้ อนทักษะตา่ งๆ ได้งา่ ยข้นึ อภปิ รำยผลกำรวิจัย จากการศึกษาวจิ ัยพบว่าการสอนโดยวิธรี ่วมแรงรว่ มใจระหวา่ งครูกับนักเรียนในรายวิชา ทาใหผ้ ลสัมฤทธิ์ ทางการเรียนของผู้เรียนมพี ฒั นาการทีด่ ีขึ้นอยา่ งเห็นได้ชดั ขอ้ เสนอแนะ เสนอแนะสำหรบั กำรนำไปใชต้ ่อไป 1. จากการวิจัยพบว่าการใช้การสอนแบบร่วมแรงร่วมใจ ในกิจกรรมการเรียนการสอนของนักเรียนช้ัน ประถมศึกษาปีท่ี 5 เป็นสิ่งที่ดี กล่าวคือทาให้นักเรียนมีผลการเรียนรู้สูงข้ึน ทั้งยังก่อให้เกิดความสนุกสนาน มี ความรับผิดชอบ และการมีส่วนร่วมในการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนตลอดจนสามารถนาความรู้ท่ีได้ไปใช้ใน ชวี ิตประจาวนั จึงถือวา่ เป็นนวตั กรรมทีจ่ ะช่วยพัฒนาการเรยี นรู้ของนักเรยี นไดอ้ ีกทางหน่ึง 2. ในการนาการสอนแบบร่วมแรงร่วมใจ ไปใช้ในการเรียนการสอนให้กับนักเรียนนั้น ครูจะต้องมีการ เตรยี มพร้อมในดา้ นต่างๆ คอ่ นข้างมาก 3. ผู้บริหารสถานศึกษาควรให้การส่งเสริมและสนับสนุนครูในการสร้างนวัตกรรมการเรียนการสอนเพื่อ ก่อใหเ้ กดิ กาลงั ใจ และเกิดความกระตอื รอื รน้ ในการจดั การเรยี นการสอน ข้อเสนอแนะสำหรบั กำรทำวิจยั ต่อไป ควรศึกษาเปรียบเทียบผลการเรยี นรู้ในวธิ กี ารสอนแบบตา่ งๆ แล้วนาผลท่ีได้มาเปรยี บเทียบกัน เพื่อเป็น แนวทางในการคดิ คน้ วิธกี ารสอนรูปแบบใหมใ่ หก้ ับการศึกษาในอกี ทางหน่ึง
Search