35 ตารางที่ 3-3 ทรัพยากรดินในพื้นที่ลุ่มน้าคลองกุย อาเภอกุยบุรี และอาเภอสามร้อยยอด จงั หวัดประจวบครี ีขันธ์ (ต่อ) ลาดบั สญั ลกั ษณ์ คาอธบิ าย เนอ้ื ที่ ไร่ ร้อยละ 7 Pr-col-slA ดนิ ปราณบรุ ที ่ีเปน็ ดนิ ร่วนหยาบ มเี นื้อดนิ บนเปน็ ดนิ รว่ นปน 1,799 0.54 ทราย ความลาดชัน 0-2 เปอร์เซน็ ต์ 8 Pr-col-slB ดนิ ปราณบุรีทีเ่ ป็นดนิ ร่วนหยาบ มเี น้ือดนิ บนเปน็ ดนิ รว่ นปน 805 0.24 ทราย ความลาดชนั 2-5 เปอรเ์ ซ็นต์ 9 Pr-mw-slA ดินปราณบุรีทมี่ ีการระบายน้าดีปานกลาง มีเนอื้ ดินบนเปน็ ดิน 1,638 0.50 รว่ นปนทราย ความลาดชนั 0-2 เปอร์เซ็นต์ 10 Pr-mw-slB ดนิ ปราณบุรีทีม่ ีการระบายนา้ ดีปานกลาง มเี น้ือดนิ บนเปน็ ดนิ 2,566 0.78 ร่วนปนทราย ความลาดชัน 2-5 เปอรเ์ ซ็นต์ 11 Pr-mw,col-slA ดนิ ปราณบุรที ่ีมีการระบายน้าดีปานกลางและดินรว่ นหยาบ 1,911 0.58 มเี น้อื ดนิ บนเปน็ ดนิ รว่ นปนทราย ความลาดชัน 0-2 เปอร์เซ็นต์ 12 Tm-slA ชุดดินทา่ มว่ ง มเี นอ้ื ดินบนเปน็ ดินรว่ นปนทราย 839 0.25 ความลาดชัน 2-5 เปอร์เซน็ ต์ 13 Ty-gslC ชุดดินทา่ ยาง มีเน้ือดนิ บนเป็นดนิ รว่ นปนทรายปนกรวด 28,429 8.60 ความลาดชนั 5-12 เปอร์เซ็นต์ 14 Ty-gslD ชุดดินทา่ ยาง มเี นื้อดนิ บนเป็นดินร่วนปนทรายปนกรวด 18,319 5.54 ความลาดชัน 12-20 เปอรเ์ ซ็นต์ 15 Ty-gslE ชดุ ดินท่ายาง มเี นือ้ ดินบนเปน็ ดนิ ร่วนปนทรายปนกรวด 15,690 4.75 ความลาดชัน 20-35 เปอรเ์ ซน็ ต์ 16 SC พ้นื ท่ลี าดชันเชงิ ซ้อน มีความลาดชนั มากกว่า 35 เปอร์เซน็ ต์ 211,610 64.02 17 U พน้ื ทช่ี มุ ชนและสิง่ ปลูกสร้าง 4,187 1.27 18 W พื้นทนี่ า้ 6,162 1.86 รวมเนือ้ ท่ที ้งั หมด 330,583 100.00
36 ภาพที่ 3-4 ทรัพยากรดิน ลุ่มน้าคลองกุย จังหวัดประจวบคีรขี นั ธ์
37 สภาพปัญหาและข้อจากดั ของดนิ สภาพปัญหาและข้อจากัดของดินในพื้นท่ีลุ่มน้าคลองกุย ส่วนใหญ่เป็นดินตื้นและเนื้อดินปนเศษหิน ความอุดมสมบูรณ์ของดินต่า เส่ียงต่อการขาดแคลนน้าและการชะล้างพังทลายของดิน เน่ืองจากพื้นท่ีมี ความลาดชันสูง โดยแยกเป็น 3 ประเภทหลัก (กรมพัฒนาที่ดิน, 2561) ซ่ึงพบการกระจายตัวในพ้ืนที่ ต่าง ๆ (ตารางที่ 3-4 ภาพท่ี 3-5) โดยมีรายละเอยี ด พอสังเขป ดังนี้ 1) ปัญหาดนิ ตนื้ เป็นดินที่เป็นช้ันดินหนาประมาณ 50 เซนติเมตร ส่วนใหญ่มีเนื้อดินเป็นดินร่วน ดินร่วนปนทราย และดินร่วนปนดินเหนียว ชั้นถัดไปเป็นช้ันดินมีเนื้อดินเป็นดินร่วนปนทราย ดินร่วนปนดินเหนียวและดิน เหนียวท่ีมีปริมาณกรวด หรือเศษหินปะปนมากกว่าหรือเท่ากับร้อยละ 35 โดยปริมาตร หรือพบหินพ้ืน ภายในความลึก 50 เซนตเิ มตร จากผิวดนิ จากลักษณะของดินดังกล่าวถือเป็นอปุ สรรคต่อการเจรญิ เติบโต ของพืชด้านการชอนไชของรากพืช ทาให้การเกาะยึดตัวของดินไม่ดียากแก่ การไถพรวน เกิดการชะล้าง พังทลายได้ง่าย สภาพปัญหานี้พบครอบคลุมเน้ือท่ีรวม 62,438 ไร่ หรือคิดเป็นร้อยละ 18.89 ของเน้ือที่ ลุ่มน้า 2) ปัญหาดินมีความอดุ มสมบูรณต์ ่า เม่ือพิจารณาหลักเกณฑ์การประเมินความอุดมสมบูรณ์ของดินในประเทศไทยนนั้ กรมพัฒนาท่ดี ิน ใช้เกณฑ์การประเมินจากค่าวิเคราะห์ดิน 5 รายการ คือ ร้อยละปริมาณอินทรียวัตถุปริมาณฟอสฟอรัสที่ เป็นประโยชน์ ปริมาณโพแทสเซียมที่เป็นประโยชน์ ความจุแลกเปลี่ยน แคตไอออน และอัตราร้อยละ ความอิ่มตัวเบส ซึ่งแต่ละรายการจะมีเกณฑ์ประเมินเป็นค่าสูง ปานกลาง ต่า เน่ืองจากสภาพทาง ธรรมชาติ โดยดินมีวัตถุต้นกาเนิดดินท่ีมีแร่ธาตุอาหารตามธรรมชาติต่า ประกอบกับมีการใช้ประโยชน์ ท่ีดินอย่างต่อเนื่องติดต่อกันเป็นเวลานาน โดยไม่ได้มีการปรับปรุงบารุงดินเท่าที่ควร ทาให้ดินเสื่อมโทรม ความอุดมสมบูรณล์ ดลงอย่างต่อเนื่อง สง่ ผลใหพ้ ืชเจริญเติบโตช้า ผลผลิตตกตา่ คุณภาพไม่ดีสภาพปัญหา น้ีพบกระจายครอบคลุมเนื้อทรี่ วม 45,347 ไร่ หรอื รอ้ ยละ 13.72 ของเนือ้ ที่ลุ่มน้า นอกจากน้ยี ังพบปัญหา ดนิ มคี วามอุดมสมบรู ณ์ปานกลาง ครอบคลมุ เนื้อทีร่ วม 839 ไร่ หรือรอ้ ยละ 0.25 ของเนอื้ ทล่ี ่มุ น้า 3) ปญั หาพ้ืนท่ีมีความลาดชันสงู พื้นที่ท่ีมีความลาดชันสูง ส่วนใหญ่มีสภาพการใช้ท่ีดินเป็นป่าไม้ พื้นที่นี้ไม่เหมาะท่ีจะนามาใช้ ประโยชน์ดา้ นการเกษตร และมีความเส่ยี งต่อการชะล้างพังทลายของดินสูง สว่ นใหญ่พบกระจายตวั อยู่ใน พน้ื ท่ีตาบลหาดขาม อาเภอกยุ บุรี มเี นื้อที่ 211,610 ไร่ หรอื รอ้ ยละ 64.01 ของเนอื้ ท่ลี ุม่ นา้
38 ตารางท่ี 3-4 สภาพปัญหาของดนิ ในพน้ื ท่ีลุม่ น้าคลองกยุ อาเภอกุยบุรี และอาเภอสามร้อยยอด จงั หวัดประจวบคีรีขันธ์ คาอธบิ าย เน้อื ที่ รอ้ ยละ ไร่ 1) ดินตืน้ 62,438 18.89 1.1) ดนิ ต้นื ในพ้นื ท่ดี อนถึงชัน้ กอ้ นกรวด ลูกรงั หรอื เศษหนิ 62,438 18.89 2) ดินมคี วามอดุ มสมบูรณต์ า่ 45,347 13.72 2.1) ดนิ มีความอุดมสมบรู ณต์ ่าท่ีเปน็ ดนิ ลกึ ปานกลาง 15,718 4.76 2.2) ดนิ มีความอุดมสมบรู ณต์ ่าทเี่ ปน็ ดินลึกมาก 29,629 8.96 3) ดินมีความอดุ มสมบูรณ์ปานกลาง 839 0.25 4) ปัญหาพ้ืนที่มีความลาดชนั สูง 211,610 64.01 5) พืน้ ทชี่ ุมชนและสิ่งปลกู สรา้ ง 4,187 1.27 6) พน้ื ท่นี า้ 6,162 1.86 รวมเนือ้ ที่ 330,583 100.00
39 ภาพท่ี 3-5 สภาพปัญหาทรัพยากรดิน ลมุ่ น้าคลองกยุ จงั หวดั ประจวบครี ีขนั ธ์
40 พื้นท่ีลุ่มน้าคลองกุย ลักษณะลุ่มน้าวางตัวตามแนวทิศตะวันตก-ทิศตะวันออก เป็นส่วนหน่ึงของ ลุ่มน้าหลักเพชรบรุ ี-ประจวบครี ีขนั ธ์ โดยมีรายละเอียด (ภาพที่ 3-6) ดังน้ี ลุ่มน้าสาขาคลองกุย เป็นลุ่มน้าสาขาที่อยู่ตอนกลางของลุ่มน้าเพชรบุรี-ประจวบคีรีขันธ์ ครอบคลุมพื้นท่ีอาเภอกุยบุรีและอาเภอสามร้อยยอด จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ สภาพภูมิประเทศส่วนใหญ่ เป็นภูเขาลาดชนั มแี ม่น้าสายสาคัญ คือ แมน่ ้ากยุ บรุ ี ซึง่ มตี ้นกาเนดิ จากสันปนั นา้ เทอื กเขาอุทยานแห่งชาติ กุยบุรีทางทิศตะวันตกของพ้ืนท่ี ไหลจากคลองกุย ห้วยลึก ห้วยแห้ง และห้วยพุบอน ไหลลงสู่อ่างเก็บน้า หว้ ยยางชุม และไหลลงสู่อา่ วไทย ลาน้าท่ีสาคัญอ่ืน ๆ ได้แก่ คลองกุย คลองหก ห้วยดงมะไฟ ห้วยพุบอน ห้วยแพรกซ้าย ห้วยลึก ห้วยสาโหรง ห้วยหมาหอน หว้ ยแหง้ สาหรับแหล่งน้าที่สาคัญในพนื้ ที่ ไดแ้ ก่ อา่ งเกบ็ น้ายางชมุ อา่ งเกบ็ น้า หว้ ยลึก อ่างเกบ็ นา้ หว้ ยสาโหรง อา่ งเกบ็ น้าบา้ นโปง่ กะสนั และ อา่ งเก็บนา้ บา้ นยา่ นซอื่ - แหล่งนา้ ท่ีมอี ยู่ไม่สามารถใช้ประโยชน์ได้อยา่ งเต็มท่ี เน่ืองจากมีขนาดเล็กและตื้นเขนิ ขาดระบบ ส่งนา้ และเคร่ืองสูบน้า ตลอดจนการบรหิ ารจดั การที่ดี - ขาดแคลนน้าเพื่อการอุปโภคบริโภค ตลอดจนแหล่งน้าเพ่ือการเกษตรโดยเฉพาะในช่วงฤดูแล้ง ในบรเิ วณพืน้ ที่ใกล้ลานา้ หรอื แหล่งน้าขนาดเลก็ - การบุกรุกพ้ืนท่ีแหล่งน้าจากชาวบ้าน บริเวณแหล่งน้าหลายสายถูกบุกรุกจากชาวบ้านเพ่ือ นาไปใชเ้ ป็นพื้นที่เพาะปลกู โดยเฉพาะการปลกู พืชสวนและไร่นา เป็นต้น - คุณภาพน้าในลาน้าสายสาคัญบางสายเสื่อมโทรม เนื่องจากการปนเป้ือนของสารเคมีทาง การเกษตรสูล่ าน้าโดยตรง - การพฒั นาพ้ืนท่ีแหล่งน้าทม่ี ีอยู่ไม่ได้รับการพัฒนาและปรับปรุงให้มีประสิทธภิ าพ มีศักยภาพใน การเกบ็ และการระบายน้า - ปัญหานา้ ท่วมฉับพลันท่ีเกดิ ขึ้นในบางชุมชน เน่อื งจากลาน้ามีความลาดชนั สูง ไมม่ แี หลง่ เก็บกัก นา้ และชะลอการไหลของนา้ อกี ท้ังยงั เป็นพ้ืนท่ที เี่ ปน็ ทางผ่านของน้าอีกด้วย แนวโนม้ ในอนาคตสถานการณป์ ญั หาของแหล่งนา้ เชน่ ปญั หาการขาดแคลนน้าใช้ในช่วงฤดูแล้ง ปัญหาน้าท่วมในช่วงฤดูฝนท่ีเกิดข้ึนในบางพ้ืนท่ี ปัญหาการบุกรุกพ้ืนท่ีแหล่งน้า ปัญหาการพัฒนาพื้นท่ี แหล่งน้า และปัญหาคุณภาพแหล่งน้า ในอนาคตเม่ือคานึงถึงความต้องการท่ีเพิ่มข้ึนของการใช้น้าในด้าน ต่าง ๆ อันเน่ืองมาจากการเพิ่มข้ึนของประชากร การเจริญเติบโตด้านเศรษฐกิจและสังคม ซ่ึงจะทาให้เกดิ ความไม่สมดุลในด้านการใช้น้าและทรัพยากรธรรมชาติอ่ืนท่ีเกี่ยวข้องอาจก่อให้เกิดปัญหาต่าง ๆ ตามมา ปัญหาเหล่านี้ยังคงเป็นปญั หาสาคญั ทีค่ วร ไดร้ บั การแกไ้ ขอยา่ งตอ่ เนอื่ ง
41 ภาพท่ี 3-6 เส้นทางน้าและระบบคมนาคม ลมุ่ น้าคลองกยุ จงั หวดั ประจวบคีรขี นั ธ์
42 จากการศึกษาสภาพพื้นที่ของลุ่มน้าคลองกุย มีพ้ืนที่รับน้าเท่ากับ 528.93 ตารางกิโลเมตร (330,583 ไร่) โดยภายในลมุ่ น้าจะมีลานา้ ลาห้วยไหลลงสลู่ าน้าสายหลัก จึงสามารถแบ่งพื้นที่ภายในเป็น ลมุ่ น้าได้อกี ภาพที่ 3-7 ขอบเขตลุม่ น้าคลองกุย จังหวดั ประจวบครี ีขันธ์
43 1) ปริมาณนา้ ทา่ โดยวธิ ี Reginal Runoff equation จากการคานวณปริมาณน้าท่า ด้วยวิธี Reginal Runoff equation ซ่ึงอาศัยความสัมพันธ์ แบบรีเกรซช่ัน (regression) ระหว่างปริมาณน้านองสูงสุดเฉล่ียและพ้ืนที่รับน้าฝน ซ่ึงจากข้อมูลพ้ืนที่ ลุ่มน้าคลองกุยได้แบ่งพ้ืนที่รับน้าออกเป็น 5 พ้ืนที่ ได้แก่ 168.01 117.65 95.13 71.30 และ 76.83 ตารางกิโลเมตร ตามลาดับ มีพื้นที่รับน้ารวมเท่ากับ 528.93 ตารางกิโลเมตร สามารถคานวณปริมาณ นา้ ท่าได้จากสมการ ������ = 0.248������1.007 สามารถวเิ คราะหป์ ริมาณนา้ เฉลยี่ รายปแี ละพ้นื ที่รับน้าที่ไดจ้ ากสมการที่ 3 เท่ากับ 43.18 30.16 24.35 18.21 และ 19.65 ลูกบาศ์กเมตร ตามลาดับ แสดงให้เห็นว่าลุ่มน้าคลองกุยมีศักยภาพในการ พฒั นาดา้ นการเกบ็ กกั น้าทา่ เพ่ือใชใ้ นพน้ื ที่การเกษตรได้ แนวทางหน่ึงในการแก้ปัญหาทรัพยากรน้าของพ้ืนที่ควรเร่ิมต้นท่ีชุมชนและท้องถ่ินคือการ พัฒนาแหล่งน้าของชุมชนและท้องถิ่น ว่าควรเป็นการพัฒนาแหล่งกักเก็บน้าขนาดเล็กด้วยเหตุผลของ ข้อจากัดในงบประมาณ ความรวดเร็ว และการจัดการภายในพ้ืนที่เฉพาะการพัฒนาแหล่งน้าขนาดเล็กจึง เป็นทางเลือกท่ีเหมาะสมและมีความสาคัญต่อชุมชน ดังนั้น เพื่อให้เกิดภาพรวมในการแก้ไขปัญหา ทรัพยากรน้าของพื้นที่ให้มีประสิทธิภาพ และมีความเชื่อมโยงกันระหว่างการพัฒนาทรัพยากรน้าและมิติ อื่น ๆ ทั้งในด้านการอนุรักษ์ดินและน้า การฟ้ืนฟูสภาพป่า และการใช้ที่ดิน อย่างเป็นรูปธรรม ให้เกิด ความรู้ความเข้าใจในศักยภาพของพ้ืนท่ีท้องถ่ินของตนเองว่ามีปริมาณต้นทุนเดิมและความเป็นไปได้ใน การพัฒนาทรัพยากรน้าเพ่ิมมากขึ้นเพียงใด ในพ้ืนที่ศึกษาลุ่มน้าคลองกุยที่ผ่านมาในด้านการพัฒนาแหล่ง น้าตน้ ทนุ ไมไ่ ดม้ ีโครงการขนาดใหญ่ มีเพยี งโครงการพัฒนาแหลง่ น้าขนาดเล็กโดยหนว่ ยงานตา่ ง ๆ (ตาราง ที่ 3-5) ตารางท่ี 3-5 แหล่งนา้ ตน้ ทนุ ที่ดาเนนิ การผ่านโครงการพัฒนาแหลง่ น้าต้นทนุ อาเภอกุยบรุ ี และอาเภอสามรอ้ ยยอด จงั หวดั ประจวบครี ีขันธ์ ลาดับท่ี ประเภทโครงการ บา้ น ตาบล อาเภอ จังหวดั หน่วยงาน 1 อ่างเกบ็ น้า รวมไทย หาดขาม กยุ บุรี ประจวบครี ขี ันธ์ กรมชลประทาน 2 อ่างเก็บนา้ ยา่ นซ่ือ หาดขาม กุยบรุ ี ประจวบครี ีขนั ธ์ กรมชลประทาน 3 อา่ งเก็บนา้ ยา่ นซอื่ หาดขาม กยุ บรุ ี ประจวบครี ขี ันธ์ กรมชลประทาน 4 อ่างเก็บน้า ย่านซื่อ หาดขาม กยุ บุรี ประจวบครี ขี นั ธ์ กรมชลประทาน ข้อมลู ขอบเขตทีด่ นิ ของรฐั ด้านทรัพยากรปา่ ไม้ ดงั ตารางที่ 3-6
44 ตารางท่ี 3-6 ข้อมูลที่ดินของรัฐที่ใช้ร่วมในการวิเคราะห์ด้านทรัพยากรป่าไม้ อาเภอกุยบุรี และ อาเภอสามรอ้ ยยอด จังหวัดประจวบครี ขี ันธ์ หนว่ ยงาน และข้อมูลประเภททีด่ นิ สถานะทางกฎหมาย 1. กรมอุทยานแหง่ ชาติ สัตวป์ า่ และพันธ์ุพชื 1.1 อุทยานแห่งชาติ แผนทแ่ี นบท้าย พระราชกฤษฎีกา (พระราชบัญญตั ิอทุ ยานแห่งชาติ พ.ศ. 2504 และทีแ่ กไ้ ขเพ่ิมเติม) 1.2 เขตรักษาพนั ธส์ุ ตั ว์ปา่ แผนที่แนบท้าย พระราชกฤษฎีกา (พระราชบัญญัติสงวนและค้มุ ครองสตั ว์ ป่า พ.ศ.2535 พระราชบญั ญตั ิสงวน และคุ้มครองสตั วป์ ่า (ฉบบั ที่ 2) พ.ศ. 2546 และพระราชบัญญัติสงวนและ คุ้มครองสตั ว์ปา่ (ฉบบั ที่ 3) พ.ศ.2557) 1.3 เขตหา้ มลา่ แผนทแี่ นบทา้ ยประกาศกฎกระทรวง 1.4 วนอุทยาน ไม่ระบุ 2. กรมปา่ ไม้ 2.1 ป่าสงวนแหง่ ชาติ ปา่ สงวนแห่งชาติ โดยกฎกระทรวง ตาม พ.ร.บ.ป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ. 2507และท่แี กไ้ ขเพ่ิมเติม 2.2 เขตการจาแนกเขตการใช้ประโยชน์ทรัพยากร มติคณะรฐั มนตรี วนั ที่ 10 และ 17 และดนิ ป่าไม้ในเขตปา่ สงวนแหง่ ชาติ มนี าคม 2535 3. สานักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและ ส่ิงแวดล้อม ชน้ั คุณภาพลมุ่ นา้ มติคณะรฐั มนตรี 4. กรมพฒั นาท่ีดิน ปา่ ไมถ้ าวร มติคณะรฐั มนตรี เมื่อจาแนกพื้นท่ีป่าไม้ตามข้อกาหนดการใช้ท่ีดินประเภท และวัตถุประสงค์ของการประกาศเขตป่า ไมต้ ามกฎหมาย (แนวเขตปา่ ไม้และที่ดนิ ของรฐั ประเภทอืน่ ไม่ชดั เจนและมีการทบั ซ้อนกัน)สามารถจาแนก พ้ืนท่ีในพืน้ ทล่ี มุ่ นา้ ไดด้ ังน้ี พื้นทล่ี ่มุ น้าคลองกุยอยูใ่ นเขตพืน้ ที่เตรยี มการประกาศเขตอุทยานแห่งชาติกยุ บุรี (กรมอุทยาน แห่งชาติ สตั วป์ า่ และพนั ธุ์พชื , 2560) เนือ้ ท่ปี ระมาณ 215,197 ไร่ หรือร้อยละ 64.51 ของเนอ้ื ทล่ี ุม่ น้า
45 การจาแนกเขตการใช้ประโยชน์ทรัพยากรและที่ดินป่าไม้ในเขตป่าสงวนแห่งชาติตาม มติคณะรัฐมนตรีวันท่ี 10 และ 17 มีนาคม 2535 ได้ให้ความเห็นชอบตามมติของคณะกรรมการนโยบาย ป่าไม้แห่งชาติ และกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เรื่องการจาแนกเขตการใช้ประโยชน์ทรพั ยากรและทด่ี นิ ป่าไม้ในเขตป่าสงวนแหง่ ชาติ ซ่ึงได้จาแนกเขตปา่ สงวนแหง่ ชาติ ออกเป็น 3 เขตดังน้ี เขตพื้นที่ป่าเพ่ือการ อนุรักษ์ (โซน C) เขตพื้นท่ีป่าเพ่ือเศรษฐกิจ (โซน E) และเขตพ้ืนที่ป่าที่เหมาะสมต่อการเกษตร (โซน A) เมื่อจาแนกป่าตามเขตปา่ สงวนแหง่ ชาติ พบวา่ พื้นท่ีลมุ่ นา้ คลองกุยอยูใ่ นเขตป่ากยุ บุรี (ตารางท่ี 3-7) และ สามารถจาแนกเขตการใช้ประโยชน์ทรพั ยากรและท่ดี นิ ป่าไม้ในพื้นทป่ี า่ สงวนแห่งชาติ (ตารางที่ 3-8) ตารางที่ 3-7 พ้ืนทีเ่ ขตป่าสงวนแหง่ ชาติในพื้นท่พี ืน้ ทลี่ ่มุ น้าคลองกุย อาเภอกุยบรุ ี และอาเภอสามรอ้ ยยอด จังหวดั ประจวบคีรขี นั ธ์ ป่าสงวนแห่งชาติ เนอื้ ท่ี ไร่ รอ้ ยละ พ้นื ทีป่ า่ สงวนแหง่ ชาติ 278,635 84.29 - ปา่ กยุ บรุ ี 278,635 84.29 ท่มี า: กรมปา่ ไม้ (2560) ตารางที่ 3-8 พ้ืนที่เขตการใช้ประโยชน์ทรัพยากรและที่ดินป่าไม้พ้ืนที่ลุ่มน้าคลองกุย อาเภอกุยบุรี และ อาเภอสามร้อยยอด จงั หวดั ประจวบคีรขี นั ธ์ เขตป่าจาแนกในเขตปา่ สงวนแห่งชาติ เนื้อท่ี ไร่ รอ้ ยละ พื้นท่ีปา่ อนรุ กั ษ์ (โซน C) 223,840 67.71 พื้นทีป่ า่ เศรษฐกิจ (โซน E) 63,280 19.14 ท่มี า: กรมปา่ ไม้ (2560) ตามมติคณะรัฐมนตรี เรื่อง การกาหนดช้ันคุณภาพลุม่ น้า เพ่ือให้มีการอนุรักษ์ทรัพยากร ท่ี เหมาะสมจงึ ไดแ้ บ่งพ้นื ที่ช้ันคุณภาพลุ่มน้าออกเป็น 6 ชน้ั คอื พน้ื ท่ลี มุ่ น้าช้ัน 1A พนื้ ทล่ี มุ่ นา้ ชน้ั 1 พื้นทล่ี มุ่ น้าช้ัน 2 พนื้ ทลี่ ่มุ น้าชัน้ 3 พื้นทลี่ ุ่มน้าชน้ั 4 และพ้นื ท่ลี ุม่ น้าช้ัน 5 จากขอ้ กาหนดการใชป้ ระโยชน์และการ จัดการพ้ืนที่ชั้นลุ่มน้าคุณภาพต่าง ๆ สรุปสาระสาคัญได้ คือ การใช้ประโยชน์พ้ืนท่ีลุ่มน้าช้ัน 1 และพื้นท่ี ลุ่มน้าชั้น 2 ซ่ึงเป็นพื้นท่ีทรัพยากรธรรมชาติท่ีสาคัญท่ีต้องสงวนรักษาไว้เป็นแหล่งต้นน้าลาธารและเป็น พื้นท่ีป่าไม้ของประเทศ เน่ืองจากมีลักษณะและสมบัติท่ีอาจมีผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมจากการ เปลยี่ นแปลงการใช้ที่ดนิ ได้งา่ ยและรนุ แรง ไมค่ วรจะเปลี่ยนแปลงพื้นที่เพ่ือใช้ทาการเกษตร สาหรบั การใช้ ประโยชน์พ้ืนท่ีลุ่มน้าชั้น 3 4 และพ้ืนท่ีลุ่มน้าชั้น 5 น้ัน ให้ใช้ทาการเกษตรได้แต่ต้องมีมาตรการตามข้อ
46 กาหนดการใช้ประโยชนพ์ ืน้ ท่ลี ่มุ น้า ได้แก่ มาตรการดา้ นการอนรุ ักษ์ดินและนา้ และการปอ้ งกนั การชะล้าง พงั ทลายของดนิ เปน็ ตน้ ดังนั้นข้อกาหนดต่าง ๆ จงึ มีมาตรการทเ่ี ขม้ งวดแตกต่างกัน เพือ่ ปอ้ งกันการเสื่อม โทรมของดิน และให้สามารถใช้ประโยชน์ที่ดินได้อย่างย่ังยืนต่อไปพื้นที่โครงการฯ รายละเอียดแสดงใน ตารางท่ี 3-9 ประกอบด้วย ชั้นคณุ ภาพลมุ่ นา้ ดังนี้ 1) พน้ื ทีล่ ุ่มนา้ ชนั้ 1A เปน็ พืน้ ที่ลุ่มนา้ ช้ันท่ี 1 ซง่ึ มสี ภาพเปน็ ปา่ สมบูรณ์ก่อนปี 2525 โดยพื้น ที่นี้ควรสงวนรักษาไว้เป็นป่าต้นน้าลาธาร (ห้ามมีการใช้ประโยชน์อย่างอ่ืน) มีเนื้อท่ีประมาณ 142,166 ไร่ หรอื ร้อยละ 43.00 ของเนอื้ ท่ลี มุ่ น้า 2) พ้นื ทีล่ มุ่ นา้ ชนั้ 1B เปน็ พืน้ ทีล่ มุ่ นา้ ชัน้ ท่ี 1 ซ่ึงสภาพปา่ ถกู บุกรกุ หรือมีการเปลี่ยนแปลงไป เพ่ือพัฒนาการใช้ที่ดินรูปแบบอ่ืนก่อน ปี 2525 โดยพ้ืนที่น้ีควรสงวนรักษาไว้เป็นป่าต้นน้าลาธาร และ ควบคุมการใช้ประโยชน์เปน็ พิเศษ มีเน้อื ทป่ี ระมาณ 290 ไร่ หรือรอ้ ยละ 0.09 ของเนอื้ ทล่ี ุ่มนา้ 3) พ้ืนท่ีลุ่มน้าชั้น 2 เป็นพื้นท่ีมีความลาดชันค่อนข้างสูง ซ่ึงมีคุณภาพเหมาะสมต่อการเป็น ป่าต้นน้าลาธาร และสามารถนามาใช้ประโยชน์เพ่ือกิจการท่ีสาคัญ เช่น การทาเหมืองแร่ สวนยางพารา หรอื พืชที่มคี วามมน่ั คงต่อเศรษฐกิจ มีเนอ้ื ทีป่ ระมาณ 57,254 ไร่ หรอื ร้อยละ 17.32 ของเนือ้ ที่ลมุ่ น้า 4) พื้นที่ลุ่มน้าชั้น 3 เป็นพ้ืนท่ีมีความลาดเทสูง สามารถนามาใช้ประโยชน์ได้ทั้งกิจกรรมทา ไม้ เหมืองแร่ และสามารถใช้พื้นที่เพื่อการเกษตรได้โดยถ้าเป็นบริเวณท่ีเป็นดินลึกควรปลูกไม้ผล หรือไม้ ยืนต้น แต่ถ้าเป็นบริเวณท่ีเป็นดินตื้นควรปลูกป่าและทุ่งหญ้า มีเนื้อที่ประมาณ 39,228 ไร่ หรือร้อยละ 11.87 ของเนอ้ื ท่ีลุ่มนา้ 5) พื้นท่ีลุ่มน้าช้ัน 4 เป็นพื้นที่มีความลาดชันต่า และป่าถูกบุกรุกเป็นพื้นที่ใช้ประโยชน์เพื่อ กิจการทาไม้ เหมืองแร่ และสามารถใช้พื้นที่เพื่อการเกษตรได้ โดยถ้าเป็นบริเวณที่เป็นดินลึกและมี ความลาดชันมากควรปลูกไม้ผล แต่ถ้าเป็นบริเวณที่มีความลาดชันน้อยจะใช้ประโยชน์เพ่ือการปลูกพืชไร่ ได้ มีเน้ือทีป่ ระมาณ 66,638 ไร่ หรอื ร้อยละ 20.16 ของเน้อื ทล่ี มุ่ น้า 6) พื้นท่ีลุ่มน้าช้ัน 5 เป็นพื้นท่ีราบลุ่ม มีเน้ือท่ีประมาณ 25,007 ไร่ หรือร้อยละ 7.56 ของ เนื้อท่ลี ุ่มน้า
47 ตารางท่ี 3-9 พื้นที่ช้ันคุณภาพลุ่มน้าในพ้ืนที่ลุ่มน้าคลองกุย อาเภอกุยบุรี และอาเภอสามร้อยยอด จงั หวดั ประจวบครี ขี นั ธ์ ช้ันคุณภาพลมุ่ นา้ เน้ือที่ ไร่ ร้อยละ พนื้ ที่ลุ่มนา้ ชั้น 1A 142,166 43.00 พน้ื ทล่ี มุ่ นา้ ชั้น 1B 290 0.09 พืน้ ที่ลมุ่ น้าชั้น 2 57,254 17.32 พน้ื ทล่ี มุ่ น้าชน้ั 3 39,228 11.87 พื้นที่ลุ่มน้าชัน้ 4 66,638 20.16 พน้ื ท่ลี ่มุ น้าชน้ั 5 25,007 7.56 รวมเนื้อท่ี 330,583 100.00 ป่าไม้ถาวรตามมติคณะรัฐมนตรี เป็นแนวเขตท่ีดินที่เห็นสมควรรักษาไว้เป็นเขตป่าไม้ โดยมีกรม ป่าไม้เป็นหน่วยงานรับผิดชอบในการนาพ้ืนที่ท่ีคณะรัฐมนตรีมีมติให้รักษาไว้เป็นป่าไม้ถาวรในพื้นท่ี โครงการฯ ประกอบด้วย พื้นท่ีเขตป่าไมถ้ าวรนอกเขตป่า ดังน้ี (ตารางที่ 3-10) ตารางท่ี 3-10 พื้นที่เขตป่าไม้ถาวรนอกเขตป่าในพ้ืนที่ลุ่มน้าคลองกุย อาเภอกุยบุรี และอาเภอสามร้อย ยอด จังหวัดประจวบคีรขี ันธ์ ป่าไมถ้ าวรนอกเขตป่า เนอ้ื ท่ี พ้นื ทป่ี ่าไมถ้ าวร ไร่ ร้อยละ - ป่าหนิ เหลก็ ไฟและกุยบุรี 18,138 5.49 18,138 5.49 ทมี่ า: กรมปา่ ไม้ (2560)
48 ภาพท่ี 3-8 สถานภาพปา่ ไม้ พนื้ ทลี่ มุ่ นา้ คลองกยุ จังหวัดประจวบครี ีขนั ธ์
49 พื้นที่ป่าไม้ในเขตป่าตามกฎหมายวิเคราะห์ จากการซ้อนทับข้อมูลพ้ืนท่ีป่าอนุรักษ์ (เขตรักษาพันธ์ุ สัตว์ป่า อุทยานแห่งชาติ วนอุทยาน) พื้นท่ีป่าสงวนแห่งชาติ (เขตการใช้ประโยชน์ทรัพยากรและที่ดินป่า ไม้ในพื้นท่ีป่าสงวนแห่งชาติ) พ้ืนท่ีป่าอนุรักษ์ตามมติคณะรัฐมนตรี เร่ือง การกาหนดช้ันคุณภาพลุ่มน้าป่า ไม้ถาวรนอกเขตป่า เขตปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม (ส.ป.ก.) แปลงที่ดินทากินตามนโยบายท่ีดินแหง่ ชาติ (คทช.) และสภาพการใช้ท่ดี นิ ในพืน้ ที่โครงการ พบว่า มีสถานภาพของทรัพยากรป่าไม้ ดงั ตารางท่ี 3-11 ตารางที่ 3-11 สถานภาพทรัพยากรป่าไม้ พื้นท่ีลุ่มน้าคลองกุย อาเภอกุยบุรี และอาเภอสามร้อยยอด จงั หวดั ประจวบครี ขี ันธ์ สถานภาพทรัพยากรปา่ ไม้ เนอื้ ที่ รอ้ ยละ ไร่ 85.29 พ้ืนท่ใี นเขตป่าตามกฎหมาย 281,961 70.45 1) ปา่ สมบูรณ์ 232,898 2.41 2) รอสภาพฟื้นฟู 7,983 9.64 3) พน้ื ท่ีมกี ารใช้ประโยชน์เพื่อเกษตรกรรม 31,852 5.63 18,597 3.00 - พืชไร่ 9,909 0.96 - ไมย้ นื ต้น 3,181 0.04 - ไม้ผล 127 0.01 - พชื สวน 38 1.25 - ทงุ่ หญ้าเลย้ี งสัตวแ์ ละโรงเรอื นเลย้ี งสตั ว์ 4,139 0.83 4) พนื้ ที่เบ็ดเตล็ด 2,738 0.71 5) พน้ื ทีช่ มุ ชนและสงิ่ ปลูกสร้าง 2,351 6) พ้ืนทน่ี ้า หมายเหตุ: เนอ้ื ทป่ี า่ ไมต้ ามกฎหมายและป่าตามมตคิ ณะรัฐมนตรี คานวณดว้ ยระบบสารสนเทศภมู ิศาสตร์ สภาพการใช้ท่ีดินในโครงการป้องกันการชะล้างพังทลายของดิน และฟ้ืนฟูท่ีเกษตรกรรมด้วยระบบ อนุรักษ์ดินน้า พื้นที่ลุ่มน้าคลองกุย อาเภอกุยบุรี และอาเภอสามร้อยยอด จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ปี พ.ศ. 2561 ซึ่งเน้ือท่ีรวมทั้งส้ิน 330,583 ไร่ พบว่า สามารถจาแนกประเภทการใช้ที่ ดินได้เป็น 5 ประเภทหลกั ดังนี้ 1) พ้ืนที่ชุมชนและสิ่งปลูกสร้าง (U) มีเนื้อท่ี 4,187 ไร่ หรือร้อยละ 1.27 ของเน้ือที่ลุ่มน้า ประกอบด้วย หมู่บ้าน สถานท่ีราชการและสถาบันต่าง ๆ ถนน โรงงานอุตสาหกรรม สถานท่ีพักผ่อน หย่อนใจ และรีสอรท์ โรงแรม เกสต์เฮ้าส์
50 (1) หมบู่ ้าน (U2) มีเนื้อที่ 1,982 ไร่ หรือร้อยละ 0.60 ของเนอ้ื ที่ลุ่มน้า ประกอบด้วย หม่บู า้ นบน พื้นทีร่ าบ 1,982 ไร่ หรอื ร้อยละ 0.60 ของเนือ้ ทล่ี ุ่มน้า ซงึ่ เป็นทอี่ ยู่อาศัยโดยทั่วไป นอกจากตัวเมือง ส่วน ใหญ่เปน็ บ้านพักท่อี ยอู่ าศยั กระจายตัวเปน็ จุด ๆ ห่างกันตามแนวถนนเชือ่ มตอ่ กนั ท่วั ไปทงั้ หมบู่ ้าน (2) สถานทร่ี าชการและสถาบันต่าง ๆ (U3) มีเนอื้ ท่ี 2,002 ไร่ หรอื ร้อยละ 0.60 ของเนอื้ ทีล่ ่มุ น้า (3) สถานคี มนาคม (U4) มเี น้ือที่ 143 ไร่ หรอื ร้อยละ 0.04 ของเนอ้ื ท่ลี ่มุ นา้ ได้แก่ ถนน (4) สิ่งปลูกสร้างอ่ืน ๆ (U6) มีเน้ือท่ี 60 ไร่ หรือร้อยละ 0.02 ของเนื้อท่ีลุ่มน้า ประกอบด้วย สถานทีพ่ กั ผ่อนหย่อนใจ 60 ไร่ 2) พนื้ ทเ่ี กษตรกรรม (A) มีเนอ้ื ท่ี 71,352 ไร่ หรือรอ้ ยละ 21.58 ของเน้ือท่ลี มุ่ น้า (1) พ้ืนทน่ี า (A1) มีเน้อื ท่ี 139 ไร่ หรอื ร้อยละ 0.05 ของเนื้อที่ลุม่ น้า ประกอบดว้ ยนาร้าง มเี น้ือที่ 52 ไร่ และนาข้าว 87 ไร่ (2) พืชไร่ (A2) เป็นพืชเกษตรกรรมทมี่ ีส่วนมากทสี่ ุด มเี น้อื ท่ี 43,271 ไร่ หรือรอ้ ยละ 13.09 ของ เน้ือท่ีลุ่มน้า พ้ืนท่ีพืชไร่ที่สาคัญทางเศรษฐกิจของจังหวดั ประจวบคีรีขันธ์ ได้แก่ สับปะรด (A205) มีเนื้อท่ี 42,094 ไร่ หรือร้อยละ 12.73 ของเนื้อท่ีลุ่มน้า นอกจากน้ียังมีพืชไร่อื่น ๆ ได้แก่ ข้าวโพด 118 ไร่ อ้อย 376 ไร่ และวา่ นหางจระเข้ 239 ไร่ (3) ไม้ยืนต้น (A3) มีเนื้อท่ี 18,640 ไร่ หรือร้อยละ 5.64 ของเน้ือท่ีลุ่มน้า พืชเศรษฐกิจท่ีสาคัญ ของจังหวัด คอื ยางพารา (A302) มเี นื้อท่ี 13,682 ไร่ หรือร้อยละ 4.14 ของเนื้อท่ีลุ่มนา้ และปาล์มน้ามัน (A303) มีเน้ือท่ี 4,204 ไร่ หรือร้อยละ 1.27 ของเนื้อท่ีลุ่มน้า นอกจากนี้ยังมีไม้ยืนต้นอื่น ๆ ได้แก่ ไม้ยืน ต้นผสม 206 ไร่ ยคู าลิปตสั 196 ไร่ สัก 174 ไร่ และสนประดพิ ัทธ์ 179 ไร่ (4) ไม้ผล (A4) มีเน้อื ที่ 8,989 ไร่ หรอื ร้อยละ 2.72 ของเนอื้ ท่ลี ุ่มนา้ ประกอบดว้ ย - มะมว่ ง (A407) มเี น้อื ที่ 5,720 ไร่ หรอื รอ้ ยละ 1.73 ของเนอื้ ทลี่ ุ่มน้า - ไม้ผลผสม (A401) มเี นื้อท่ี 1,263 ไร่ หรอื ร้อยละ 0.38 ของเน้อื ที่ลมุ่ นา้ - มะพรา้ ว (A405) มีเนอื้ ที่ 1,199 ไร่ หรือรอ้ ยละ 0.36 ของเนอ้ื ทลี่ ุ่มนา้ นอกจากนี้ ยังมีไม้ผลอื่น ๆ ที่เกษตรกรปลูกเป็นแปลงเล็ก ๆ อีกหลายชนิดได้แก่ กล้วย 132 ไร่ ฝรงั่ 43 ไร่ และขนนุ 632 ไร่ (5) พืชสวน (A5) มีเนื้อท่ี 127 ไร่ หรอื รอ้ ยละ 0.04 ของเนอ้ื ทล่ี มุ่ น้า เป็นพนื้ ที่นาหญา้ 127 ไร่ (6) ทุ่งหญ้าเล้ยี งสัตวแ์ ละโรงเรือนเล้ยี งสัตว์ (A7) มีเน้ือท่ี 145 ไร่ หรือรอ้ ยละ 0.04 ของเนอื้ ที่ลุ่ม นา้ ประกอบดว้ ย ทุ่งหญ้าเล้ียงสตั ว์ 71 ไร่ และโรงเรอื นเลย้ี งโค กระบือ และมา้ 74 ไร่ (7) สถานที่เพาะเล้ียงสัตว์น้า (A9) มีเนื้อท่ี 41 ไร่ หรือร้อยละ 0.01 ของเน้ือท่ีลุ่มน้า ประกอบด้วย สถานทีเ่ พาะเล้ียงสัตว์นา้ ร้าง 41 ไร่ 3) พ้ืนทป่ี า่ ไม้ (F) มีเนอ้ื ที่ 243,280 ไร่ หรือรอ้ ยละ 73.59 ของเนอื้ ทล่ี ่มุ น้า ประกอบด้วย (1) ป่าไม่ผลัดใบ (F1) มีเน้ือที่ 40,741 ไร่ หรือร้อยละ 12.32 ของเน้ือท่ีลุ่มน้า เป็นพ้ืนท่ีป่าไม่ ผลัดใบสมบรูณท์ ง้ั หมด (2) ป่าผลัดใบ (F2) มีเน้ือท่ี 202,539 ไร่ หรือร้อยละ 61.27 ของเน้ือที่ลุ่มน้า ประกอบด้วย
51 ป่าผลัดใบรอสภาพฟื้นฟู 8,306 ไร่ หรือร้อยละ 2.51 ของเน้ือที่ลมุ่ นา้ และปา่ ผลัดใบสมบรูณ์ 194,233 ไร่ หรือร้อยละ 58.75 ของเน้ือท่ีลุ่มนา้ 4) พ้ืนท่ีแหลง่ นา้ (W) มีเน้อื ที่ 6,162 ไร่ หรอื ร้อยละ 1.86 ของเนอื้ ทล่ี มุ่ น้า ประกอบดว้ ย (1) แหล่งน้าธรรมชาติ (W1) ได้แก่ แม่น้า ลาห้วย ลาคลอง (W101) มีเนื้อที่ 1,349 ไร่ หรือ ร้อยละ 0.41 ของเน้ือที่ลุ่มน้า และ หนอง บึง ทะเลสาบ (W102) มีเนื้อที่ 52 ไร่ หรือร้อยละ 0.02 ของเนื้อที่ลุ่มน้า ทาให้เกิดแหล่งน้าผิวดินท่ีเกิดจากการถูกกระทาของลาน้ากระจายอยู่ทั่วไป ท้ังลักษณะ หนอง บึง และบางแห่งพบมากเปน็ แหล่งนา้ ชมุ ชนในรปู ฝาย (2) แหล่งน้าทีส่ รา้ งขึ้น (W2) ได้แก่ อ่างเกบ็ น้า (W201) มเี น้ือท่ี 4,615 ไร่ หรือรอ้ ยละ 1.40 ของ เนอ้ื ที่ลุ่มน้า และบอ่ น้า ในไรน่ า มีเน้ือที่ 146 ไร่ หรือรอ้ ยละ 0.04 ของเนอ้ื ทลี่ ุ่มน้า 5) พ้ืนท่ีเบ็ดเตล็ด (M) มีเน้ือท่ี 5,602 ไร่ หรือร้อยละ 1.69 ของเนื้อที่ลุ่มน้า ประกอบด้วย ทุ่งหญา้ ธรรมชาติ มเี นอ้ื ท่ี 676 ไร่ หรอื รอ้ ยละ 0.20 ของเน้อื ทลี่ ่มุ นา้ ทุง่ หญ้าสลับไมพ้ ุ่ม/ไมล้ ะเมาะ 4,453 ไร่ หรือร้อยละ 1.35 ของเน้ือท่ีลุ่มน้า พื้นท่ีลุ่ม มีเนื้อท่ี 228 ไร่ หรือร้อยละ 0.07 ของเนื้อท่ีลุ่มน้า เหมือง แร่ มีเนือ้ ท่ี 84 ไร่ หรอื รอ้ ยละ 0.03 ของเนอ้ื ทล่ี ุ่มน้า และบ่อทราย มีเนอ้ื ที่ 161 ไร่ หรือรอ้ ยละ 0.05 ของ เน้ือทลี่ มุ่ นา้ ตารางท่ี 3-12 ประเภทการใช้ที่ดินในพ้ืนที่ลุ่มน้าคลองกุย อาเภอกุยบุรี และอาเภอสามร้อยยอด จังหวดั ประจวบคีรีขันธ์ สัญลกั ษณ์ คาอธิบาย เนอ้ื ที่ ไร่ ร้อยละ U : พน้ื ที่ชุมชนและส่ิงปลกู สร้าง 4,187 1.27 U2 หมู่บา้ น 1,982 0.60 U201 หมู่บ้านบนพ้ืนราบ 1,982 0.60 U3 สถานที่ราชการและสถาบนั ต่าง ๆ 2,002 0.61 U301 สถานที่ราชการและสถาบนั ต่าง ๆ 2,002 0.61 U4 สถานีคมนาคม U405 ถนน 143 0.04 U6 สงิ่ ปลกู สรา้ งอนื่ ๆ 143 0.04 U601 สถานที่พักผอ่ นหย่อนใจ 60 0.02 60 0.02 A : พน้ื ท่เี กษตรกรรม 71,352 21.59 A1 พ้นื ที่นา 139 0.05 A100 นาร้าง 52 0.02 A101 นาข้าว 87 0.03 A2 พืชไร่ 43,271 13.09
52 ตารางท่ี 3-12 ประเภทการใช้ที่ดินในพื้นท่ีลุ่มน้าคลองกุย อาเภอกุยบุรี และอาเภอสามร้อยยอด จงั หวัดประจวบครี ขี นั ธ์ (ตอ่ ) สญั ลักษณ์ คาอธบิ าย เนือ้ ที่ ไร่ ร้อยละ A200 ไร่รา้ ง A202 ข้าวโพด 444 0.13 A203 ออ้ ย 118 0.04 A205 สับปะรด 376 0.11 A225 ว่านหางจระเข้ 42,094 12.73 A3 ไมย้ นื ต้น 239 0.07 A301 ไมย้ นื ตน้ ผสม 18,640 5.64 A302 ยางพารา 206 0.06 A303 ปาล์มนา้ มนั 13,682 4.14 A304 ยูคาลิปตัส 4,204 1.27 A305 สกั 196 0.06 A307 สนประดพิ ทั ธ์ 174 0.05 A4 ไมผ้ ล 179 0.05 A401 ไม้ผลผสม 8,989 2.72 A405 มะพรา้ ว 1,263 0.38 A407 มะมว่ ง 1,199 0.36 A411 กล้วย 5,720 1.73 A414 ฝรง่ั 132 0.04 A416 ขนนุ 43 0.01 A5 พชื สวน 632 0.19 A510 นาหญ้า 127 0.04 A7 ท่งุ หญ้าเลย้ี งสตั ว์และโรงเรือนเล้ียงสตั ว์ 127 0.04 A701 ทุ่งหญ้าเลยี้ งสตั ว์ 145 0.04 A702 โรงเรอื นเลยี้ งโค กระบือ และมา้ 71 0.02 A303 ปาล์มน้ามัน 74 0.02 A304 ยูคาลิปตสั 4,204 1.27 A305 สัก 196 0.06 A307 สนประดพิ ทั ธ์ 174 0.05 179 0.05
53 ตารางที่ 3-12 ประเภทการใช้ที่ดินในพื้นท่ีลุ่มน้าคลองกุย อาเภอกุยบุรี และอาเภอสามร้อยยอด จังหวัดประจวบครี ีขนั ธ์ (ตอ่ ) สัญลกั ษณ์ คาอธบิ าย เนื้อท่ี ไร่ รอ้ ยละ A9 สถานที่เพาะเลี้ยงสตั วน์ ้า A900 สถานท่เี พาะเลย้ี งสัตว์น้าร้าง 41 0.01 F: พืน้ ทีป่ ่าไม้ 41 0.01 F1 ปา่ ไมผ่ ลัดใบ 243,280 73.59 F101 ป่าไมผ่ ลัดใบสมบรู ณ์ 40,741 12.32 F2 ป่าผลดั ใบ 40,741 12.32 F200 ป่าผลัดใบรอสภาพฟ้ืนฟู 202,539 61.27 F201 ปา่ ผลัดใบสมบูรณ์ 8,306 2.51 W : พน้ื ทนี่ ้า 194,233 58.75 W1 แหล่งนา้ ธรรมชาติ 6,162 1.86 W101 แม่น้า ลาหว้ ย ลาคลอง 1,401 0.42 W102 หนอง บึง ทะเลสาบ 1,349 0.41 W2 แหลง่ น้าท่ีสรา้ งข้นึ 52 0.02 W201 อ่างเก็บน้า 4,761 1.44 W202 บ่อนา้ ในไรน่ า 4,615 1.40 M : พน้ื ทเี่ บด็ เตล็ด 146 0.04 M1 ทุ่งหญา้ และไมล้ ะเมาะ 5,602 1.69 M101 ทุ่งหญา้ ธรรมชาติ 5,129 1.55 M102 ทงุ่ หญา้ สลบั ไม้พุ่ม/ไมล้ ะเมาะ 676 0.20 M2 พนื้ ทล่ี ุ่ม 4,453 1.35 M201 พืน้ ทีล่ มุ่ 228 0.07 M3 เหมืองแร่ บอ่ ขุด 228 0.07 M301 เหมืองแร่ 245 0.07 M303 บ่อทราย 84 0.03 161 0.05 รวมพ้นื ทที่ ้ังหมด 330,583 100.00
54 ภาพที่ 3-9 สภาพการใช้ทีด่ นิ ลมุ่ นา้ คลองกยุ จังหวัดประจวบครี ขี นั ธ์
55 การชะล้างพังทลายของดินเป็นปัญหาท่ีสาคัญที่ส่งผลให้ทรัพยากรที่ดินเส่ือมโทรม เนื่องจากทาให้ เกิดการสูญเสียหน้าดิน การสูญเสียธาตุอาหารและอินทรียวัตถุในดิน ส่งผลให้ความอุดมสมบูรณ์ของดิน ลดลง โดยเฉพาะอยา่ งยง่ิ ในพืน้ ที่ทมี่ ีการใชท้ ี่ดนิ ในการปลกู พืชอย่างเข้มขน้ ในรอบปี รวมท้ังในพืน้ ทที่ ่ีมกี าร ใชเ้ ครอื่ งจกั รกลในการไถพรวนดินเปน็ สาเหตสุ าคญั ที่ทาให้สมบตั ทิ างกายภาพของดินโดยเฉพาะโครงสร้าง ดินถูกทาลาย ย่ิงส่งเสริมให้เกิดการพังทลายของดินในพ้ืนท่ี ผลจากการชะล้างพังทลายของดินจะส่งผล กระทบตอ่ สงิ่ แวดล้อมท้ังในพื้นที่ท่ีเกิดการชะล้างพังทลายของดนิ และพ้นื ทีโ่ ดยรอบ และทาให้ผลผลิตต่อ หน่วยพนื้ ทีล่ ดลง เน่อื งจากความอุดมสมบูรณล์ ดลง และเกิดการต้นื เขินของแมน่ า้ ลาคลองจากมีการสะสม ของตะกอนดิน ทาให้ศักยภาพในการเก็บกักน้าของแหล่งน้าต่าลง ปัญหาเหล่าน้ีจะส่งผลกระทบต่อการ เพาะปลูกในฤดูกาลถัดไป ดังนั้น จึงมีความจาเป็นอย่างยิ่งท่ีจะต้องมีการป้องกันการชะล้างพังทลายของ ดนิ เพ่อื รักษาทรัพยากรท่ดี นิ ให้สามารถใช้ทีด่ ินได้อย่างยง่ั ยืน การชะล้างพังทลายของดินในแต่ละพน้ื ท่จี ะมรี ะดับความรนุ แรงแตกต่างกันไป ขนึ้ อยู่กบั ลักษณะของ ดนิ เอง และปจั จยั จากภายนอก โดยปกติแล้วการชะล้างพังทลายของดนิ ในประเทศไทยจะเกิดขึน้ โดยมีฝน เป็นปัจจัยหลักท่ีสาคัญ แต่โดยธรรมชาติแล้วจะเกิดไม่รุนแรงบนพ้ืนที่ที่มีความลาดชันน้อยและมีสิ่งปก คลุมผิวดินหรือพื้นที่ท่ีมีความลาดชันสูงแต่มีส่ิงปกคลุมผิวดินหนาแน่นจนเม็ดฝนไม่สามารถกระทบสู่ พ้ืนดินได้ แต่จะเกิดรุนแรงมากข้ึนถ้าพ้ืนที่มีความลาดชันมากขึ้นและไม่มีสิ่งปกคลุมผิวดิน โดยมีกิจกรรม การใช้ที่ดินของมนุษย์เป็นตัวเร่งให้เกิดความรุนแรงมากข้ึน การชะล้างพังทลายของดินนอกจากมี ผลกระทบต่อส่ิงแวดล้อมแล้วยังส่งผลเสียทางด้านเศรษฐกิจ และจากการประเมินการสูญเสียดิน (ตนั /ไร/่ ป)ี ในพน้ื ทีล่ ุ่มนา้ คลองกุย สามารถแบ่งระดับความรุนแรงของการชะลา้ งพังทลายของดนิ ออกเป็น 5 ระดบั (ตารางที่ 3-13 และภาพที่ 3-10) ดังน้ี 1) ความรุนแรงของการชะล้างพงั ทลายของดนิ ระดับน้อย พื้นท่ีมีความรุนแรงของการชะล้างพังทลายของดินในระดับน้อย ซึ่งมีปริมาณการสูญเสียดิน 0-2 ตันต่อไร่ต่อปี โดยมีครอบคลุมเนื้อที่ประมาณ 267,380 ไร่ หรือร้อยละ 80.88 ของเน้ือที่ลุ่มน้าพบ กระจายตัวอยู่ในตาบลหาดขาม อาเภอกุยบุรี ซึ่งบริเวณท่ีมีสูญเสียดินเล็กน้อย ส่วนใหญ่มีสภาพพื้นที่เป็น ลูกคลื่นลอนลาดเล็กน้อยถึงพ้ืนที่ราบเรียบหรือค่อนข้างราบเรียบ การใช้ที่ดินส่วนใหญ่เป็นป่าผลัดใบ สมบูรณ์ และใช้ประโยชน์ในการปลูกสับปะรด ยางพารา และปาล์มน้ามัน แม้ในพ้ืนท่ีน้ีซึ่งมีสถานภ าพ ความรุนแรงในระดบั น้อย แต่ควรได้รบั การจัดการด้วยมาตรการอนุรักษ์ดินและน้าท่ีเหมาะสมเพ่ือป้องกัน การสูญเสียดินเพือ่ ใช้ประโยชน์อย่างเหมาะสม 2) ความรนุ แรงของการชะล้างพงั ทลายของดินระดับปานกลาง พื้นที่มีความรุนแรงของการชะลา้ งพังทลายของดินในระดับปานกลาง ซ่ึงมีปริมาณการสญู เสยี ดนิ 2-5 ตันต่อไร่ต่อปี โดยมีเนื้อที่ครอบคลุมประมาณ 31,010 ไร่ หรือร้อยละ 9.38 ของเน้ือท่ีลุ่มน้าพบ กระจายตัวอยู่ในตาบลหาดขาม อาเภอกุยบุรี ฝั่งทางทิศตะวันออก สภาพพ้ืนท่ีส่วนใหญ่มีลักษณะเป็น พ้ืนท่ีลูกคลื่นลอนชัน ส่วนใหญ่เป็นป่าผลัดใบสมบูรณ์ ในการปลูกสับปะรด ยางพารา และปาล์มน้ามัน
56 พื้นที่น้ีควรมีการใช้ประโยชน์ท่ีดินอย่างระมัดระวัง โดยการปลูกพืชตามแนวระดับหรือขวางความลาดเท และควรมกี ารปรบั ปรุงบารงุ ดนิ อยา่ งต่อเนือ่ ง 3) ความรนุ แรงของการชะลา้ งพังทลายของดนิ ระดบั รุนแรง พื้นท่ีมีความรุนแรงของการชะล้างพังทลายของดินในระดับรุนแรง ซ่ึงมีปริมาณการสูญเสียดิน 5-15 ตนั ต่อไร่ตอ่ ปี โดยมเี น้ือท่ีครอบคลมุ ประมาณ 19,120 ไร่ หรอื รอ้ ยละ 5.78 ของเนือ้ ทีล่ ุ่มนา้ โดยพบ กระจายตัวอยู่พ้ืนท่ีตาบลหาดขาม อาเภอกุยบุรี ส่วนใหญ่มีการใช้ที่ดินในการปลูกสับปะรด ยางพารา และปาล์มน้ามัน พ้ืนท่ีน้ีควรนามาตรการป้องกันการสูญเสียดินท้ังวิธีพืชและวิธีกลสาหรับป้องกันการ สูญเสียดิน มีการปรับปรุงบารุงดินอย่างต่อเนื่อง เพื่อการใช้ประโยชน์ท่ีดินทางการเกษตรได้อย่างย่ังยืน ตลอดไป 4) ความรนุ แรงของการชะล้างพังทลายของดินระดบั รุนแรงมาก พื้นท่ีมีความรุนแรงของการชะล้างพังทลายของดินในระดับรุนแรงมาก ซ่ึงมีปริมาณการสูญเสีย ดิน 15-20 ตันต่อไร่ต่อปี โดยมีเนื้อท่ีครอบคลุมประมาณ 738 ไร่ หรือร้อยละ 0.23 ของเน้ือท่ีลุ่มน้า โดย ส่วนใหญ่พบกระจายตัวอยู่ในตาบลหาดขาม อาเภอกุยบุรี สภาพพน้ื ที่สว่ นใหญ่มีความลาดชนั สงู และมกี าร ใช้ประโยชน์ท่ีดินในการปลูกยางพารา สับปะรด ป่าไม่ผลัดใบสมบูรณ์ ป่าผลัดใบรอสภาพฟ้ืนฟู และป่า ผลัดใบสมบูรณ์ พ้ืนท่ีนี้ หากมีการใช้ประโยชน์ท่ีดินทางการเกษตร จาเป็นอย่างยิ่งที่ต้องมีมาตรการ อนุรกั ษด์ นิ และน้าอยา่ งเครง่ ครดั มกี ารปรบั ปรงุ บารงุ ดินอยา่ งต่อเนอ่ื ง เพอ่ื ป้องกนั การสญู เสยี ดนิ 5) ความรุนแรงของการชะล้างพังทลายของดนิ ระดบั รุนแรงมากทส่ี ดุ พื้นที่มีความรุนแรงของการชะล้างพังทลายของดินในระดับรุนแรงมาก ซึ่งมีปริมาณการสูญเสีย ดินมากกว่า 20 ตันต่อไร่ต่อปี โดยมีเนื้อที่ครอบคลุมประมาณ มีเน้ือท่ี 12,335 ไร่ หรือร้อยละ 3.73 ของ เนื้อท่ีลุ่มน้า โดยพบกระจายตัวอยู่ในตาบลหาดขาม อาเภอกุยบุรี พ้ืนที่ส่วนใหญ่มีความลาดเทสูงสภาพ พ้ืนที่ส่วนใหญ่ มีลักษณะเป็นพื้นท่ีลูกคล่ืนลอนชัน ส่งผลให้มีอัตราการสูญเสียดินรุนแรงมากที่สุดโดย มากกว่า 9.6 มิลลิเมตรต่อปี มีลักษณะของการชะล้างพังทลายของดินเป็น ร่องลึก (gully) เกิดข้ึนท่ัวไป และมกี ารใชป้ ระโยชน์ที่ดินในการปลกู ข้าวโพด ขา้ วโพด (ไรห่ มุนเวียน) ปา่ ไม่ผลัดใบสมบูรณ์ ปา่ ผลัดใบรอ สภาพฟืน้ ฟู และป่าผลดั ใบสมบรู ณ์
57 ตารางที่ 3-13 ระดบั ความรุนแรงของการชะล้างพงั ทลายของดิน พ้ืนทล่ี ุม่ นา้ คลองกยุ อาเภอกยุ บุรี และ อาเภอสามรอ้ ยยอด จงั หวดั ประจวบครี ีขันธ์ ระดับความรนุ แรง อัตราการสญู เสยี ดนิ เนอ้ื ที่ (ตนั /ไร/่ ปี) ไร่ ร้อยละ น้อย 0-2 267,380 80.88 ปานกลาง 2-5 31,010 9.38 รนุ แรง 5-15 19,120 5.78 รนุ แรงมาก 15-20 738 0.23 รนุ แรงมากทส่ี ุด มากวา่ 20 12,335 3.73 รวมเนอื้ ทที่ ้ังหมด 330,583 100.00 จากผลการศึกษา จะเหน็ ว่า พื้นท่ีส่วนใหญม่ คี วามรนุ แรงของการชะล้างพังทลายในระดับน้อย โดยมี ปรมิ าณการสูญเสียดิน 0-2 ตันตอ่ ไรต่ ่อปี โดยครอบคลุมเนื้อท่ีคิดเป็นร้อยละ 80.88 ของเนอ้ื ท่ีลมุ่ นา้ โดย พบกระจายตัวอยู่ในตาบลหาดขาม อาเภอกุยบุรี ซ่ึงพื้นท่ีดังกล่าวเป็นพื้นท่ีท่ีมีความลาดชันอยู่ในช่วง 0-12 เปอร์เซ็นต์ มีลักษณะสภาพพ้ืนท่ีเป็นแบบราบเรียบถึงค่อนข้างราบเรียบ ลูกคล่ืนลอดลาดเล็กน้อย และลูกคลื่นลอนลาดบางส่วน เม่ือพิจารณาประเภทการใช้ที่ดินเป็นป่าไม่ผลัดใบสมบูรณ์ ป่าผลัดใบรอ สภาพฟ้ืนฟู และป่าผลัดใบสมบูรณ์ และมีการใช้ประโยชน์ของพื้นที่ในการปลูกสับปะรด ยางพารา และ ปาล์มน้ามัน ซึ่งหากมีปัญหาการชะล้างพังทลายควรได้รับการป้องกันเพ่ือไม่ให้เกิดความเสียหายต่อการ ผลิตและผลผลิตของเกษตรกร อีกทั้งลดต้นทุนการผลิตที่สูญหายไปกับการชะล้างของผิวหน้าดินที่อาจ เกิดขึ้นอย่างต่อเน่ือง นอกจากนี้ ในพื้นท่ีที่มีสภาพภูมิประเทศแบบเนินเขาแบบสูงชันและแบบสูงชันมาก จะเกิดการชะล้างพังทลายของดินที่มีความรุนแรงมากที่สุด โดยก่อให้เกิดปริมาณการสูญเสียดินมากกว่า 20 ตนั ตอ่ ไรต่ อ่ ปี โดยพื้นที่ดงั กลา่ วมกี ารใช้ประโยชนท์ ่ดี นิ เป็นสบั ปะรด ทั้งนี้ เพื่อเป็นการป้องกันและหยุดการชะล้างพังทลายของดินอย่างย่ังยืน โดยเฉพาะพื้นท่ีที่มีความ รุนแรงของการสูญเสียดินปานกลางถึงรุนแรงมากที่สุดน้ัน ควรมีมาตรการในการจัดระบบอนุรักษ์ดินและ น้าที่เหมาะสมสาหรับแต่ละพ้ืนที่ โดยเฉพาะในพ้ืนที่บางแห่งที่มีการใช้ที่ดินอย่างไม่เหมาะสม เนื่องจาก พื้นท่ีที่มีความลาดชันสูง ควรปรับเปลี่ยนการใช้ที่ดินให้เหมาะสม และวิธีการจัดการมีความเป็นไปได้จริง วิธกี ารท่สี ะดวก และเสยี ค่าใช้จ่ายน้อย ไมต่ ้องใช้แรงงานมาก และสอดคล้องตามความต้องการของชุมชน ทั้งน้ี เมื่อพิจารณาถึงการคาดคะเนการชะล้างพังทลายของดินในแต่ละพ้ืนที่และแตล่ ะระดับ แม้กระท้ังใน พื้นท่ีท่ีมีการชะล้างพังทลายในระดับน้อยซึ่งมีปริมาณการสูญเสียดิน 0-2 ตันต่อไร่ต่อปี ซึ่งไม่ควรเพิกเฉย ต่อการใช้มาตรการอนุรักษ์ดินและน้า และมีจัดการปรับปรุงดินท่ีเหมาะสม ซึ่งหากมีการละเลยหรอื มีการ จัดการที่ไม่เหมาะสม และถูกต้องตามหลักวิชาการอาจจะส่งผลกระทบท่ีรุนแรงขึ้น ซึ่งเกิดปัญหาต่อการ สญู เสยี ดนิ ปรมิ าณและคุณภาพผลผลิต และส่งผลกระทบต่อตน้ ทนุ การผลิต การจัดการดิน นา้ ปุย๋ ทาให้ เกษตรกรในพน้ื ที่มคี ่าใชจ้ า่ ยทเ่ี พิ่มสงู ขึ้นตามไปด้วย
58 ภาพท่ี 3-10 การสูญเสียดนิ ลุ่มนา้ คลองกยุ จังหวัดประจวบคีรขี นั ธ์
59 จากการศึกษาข้อมูลสภาวะเศรษฐกิจและสงั คมจากหน่วยงานต่าง ๆ และการสัมภาษณ์เกษตรกรใน พ้ืนท่ีลุ่มน้าคลองกุย อาเภอกุยบุรี และอาเภอสามร้อยยอด จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ประกอบด้วย ตาบล หาดขาม ตาบลสามกระทาย ตาบลไรใ่ หม่ และตาบลไรเ่ ก่า โดยมีรายละเอยี ดตามตารางที่ 3-14 1) สภาพท่วั ไป ประชากรของพ้ืนท่ีลุ่มน้าเฉลี่ยประมาณ 5,054 คนต่อตาบล โดยตาบลที่มีประชากรสูงสุดคือ ตาบลสามกระทาย รองลงมาเปน็ ตาบลหาดขาม ตาบลไรเ่ ก่า และตาบลไรใ่ หม่ ตามลาดบั สดั ส่วนของเพศ ชายและเพศหญิงค่อนข้างใกล้เคียงกัน คือ เป็นเพศชายเฉลี่ยประมาณ 2,497 คนต่อตาบล และเป็นเพศ หญิงเฉล่ียประมาณ 2,557 คนต่อตาบล จานวนครัวเรือนเฉลี่ยประมาณ 1,746 ครัวเรือนต่อตาบล โดย ตาบลหาดขามมีจานวนครัวเรือนสูงสุด รองลงมาเป็นตาบลสามกระทาย ตาบลไร่เก่า และตาบลไร่ใหม่ ตามลาดับ การรวมกลุ่มของเกษตรกรมีทุกตาบล โครงสร้างพื้นฐานด้านสาธารณูปโภค (ไฟฟ้า ประปา โทรคมนาคม) ด้านสถานบริการสาธารณะ และหน่วยธุรกิจมีครบถ้วนทุกตาบล แต่มีจานวนแตกต่างกัน ขนึ้ อยูก่ ับขนาดของพน้ื ท่แี ละประชากร 2) ดา้ นเศรษฐกิจ การประกอบอาชีพ ประชากรส่วนใหญ่ในทุกตาบลประกอบอาชีพเกษตรกรรม เช่น ทานา ทาไร่ ทาสวน และเล้ียงสตั ว์ เป็นการประกอบอาชพี เกษตรกรรมเพ่ือบรโิ ภคและเพ่ือจาหนา่ ย ส่วนอาชพี อน่ื ๆ มี รับราชการ รัฐวิสาหกิจ พนักงานเอกชน ธุรกิจส่วนตัว รับจ้างทั่วไป ค้าขาย และอ่ืน ๆ จานวนครัวเรือน เกษตรเฉลี่ยประมาณ 1,280 ครัวเรือนต่อตาบล คิดเป็นร้อยละ 73.31 ของครัวเรือนท้ังหมด ตาบลท่ีมี ครัวเรือนเกษตรมากท่ีสุดคือ ตาบลหาดขาม รองลงมาเป็นตาบลสามกระทาย ตาบลไร่เก่า และตาบลไร่ ใหม่ ตามลาดับ มีพื้นท่ีเกษตรเฉลี่ย 16.53 ไร่ต่อครัวเรือน จานวนแรงงานเฉลี่ย 2 คนต่อครัวเรือน มี รายได้ครัวเรือนเฉล่ีย 21,940.86 บาทต่อครัวเรือนต่อเดือน ซ่ึงตาบลที่มีรายได้ครัวเรือนเฉลี่ยสูงสุดคือ ตาบลไร่ใหม่ รองลงมาเป็นตาบลไร่เก่า ตาบลสามกระทาย ตาบลหาดขาม ตามลาดับ ลักษณะการถือ ครองท่ีดิน พบว่า ส่วนใหญ่มีที่ดินทากินเป็นของตนเอง มีท้ังท่ีมีหนังสือสาคัญในที่ดิน เช่น โฉนด นส.3 น.ส.3ก เป็นต้น และไม่มีเอกสารสิทธิ์ในท่ีดินทากิน เคร่ืองมือการเกษตร เกษตรกรส่วนใหญ่ใช้รถไถใหญ่ เครอ่ื งพน่ ยา และเครอ่ื งสบู น้า เปน็ ต้น ตารางที่ 3-14 สภาวะเศรษฐกิจและสงั คม สภาวะเศรษฐกจิ และสังคม หาดขาม ตาบล ไรใ่ หม่ ค่าเฉลีย่ สามกระทาย ไร่เก่า สภาพสงั คมและการรวมกล่มุ เกษตร 1,572 5,054 8,365 2,595 813 2,497 1) ประชากร (คน) 7,681 4,090 1,313 759 2,557 4,275 1,282 (1) ชาย (คน) 3,771 (2) หญิง (คน) 3,910
60 ตารางที่ 3-14 สภาวะเศรษฐกิจและสงั คม (ต่อ) สภาวะเศรษฐกจิ และสงั คม ตาบล คา่ เฉล่ยี 1,746 (3) จานวนครวั เรือน หาดขาม สามกระทาย ไรเ่ กา่ ไร่ใหม่ (หลงั คาเรอื น) 655 23.68 3,113 2,376 839 2.49 2) โครงสร้างพ้ืนฐาน 100.00 0.59 (1) สาธารณปู โภค 100.00 100.00 99.70 99.24 4.58 (ร้อยละ) 100.00 100.00 100.00 9.41 - ครัวเรือนท่ีมไี ฟฟา้ ใช้ 100.00 36.14 - ครัวเรือนท่ใี ชน้ า้ 85.71 94.44 98.45 23.14 ประปาตลอดปี 100.00 1,280 - ครัวเรือนที่มี 100.00 100.00 72.00 (73.31) โทรศัพทเ์ คลอื่ นที่ มี 16.53 - การคมนาคมใชไ้ ด้ มี มี มี มี ตลอดท้ังปี มี มี มี มี 2 (2) สถานบริการสาธารณะ มี มี มี 21,940.86 (3) หน่วยธุรกจิ 21.01 (4) การรวมกลุม่ ของ 38.97 22.97 11.75 2.96 เกษตรกร/กลมุ่ อาชีพ 1.21 2.98 2.81 0.06 0.43 1.64 0.20 1.00 สภาพเศรษฐกิจ 5.76 10.93 0.60 15.72 1) การประกอบอาชีพ (ร้อยละ) 4.09 5.91 11.91 39.85 (1) เกษตรกรรรม 26.97 28.68 49.05 19.40 (2) ราชการ 22.57 26.89 23.68 (3) พนกั งานรัฐวสิ าหกิจ 1,720 1,508 105 (4) พนักงานบริษทั (55.25) (63.47) 506 (16.03) (5) ธุรกิจสว่ นตัว เช่น 18.44 17.89 (60.31) 14.63 ค้าขาย 15.17 (6) อ่ืน ๆ เช่น รับจ้างท่ัวไป 22 2 (7) ไมม่ อี าชพี 2 2) ครัวเรอื นเกษตรกร 19,897.46 20,911.33 24,143.93 (ร้อยละของครัวเรอื นทง้ั หมด) 22,810.70 3) พื้นทที่ าการเกษตร (ไร/่ ครวั เรือน) 4) แรงงาน (คน/ครัวเรอื น/ป)ี 5) รายไดค้ รัวเรือน (บาท/ครวั เรือน/เดือน)
61 ตารางท่ี 3-14 สภาวะเศรษฐกจิ และสงั คม (ต่อ) สภาวะเศรษฐกิจและสงั คม ตาบล ไร่เกา่ ไรใ่ หม่ ค่าเฉลีย่ หาดขาม สามกระทาย 2,825.5 512 526 163.25 6) ลักษณะการถอื ครองที่ดิน 57 - (ไร)่ รถไถใหญ่ รถไถใหญ่ (1) หนงั สอื สาคญั ในที่ดนิ 3,137 7,127 เคร่อื งพน่ ยา เครือ่ งพ่นยา เครื่องสบู น้า เคร่อื งสูบน้า (โฉนดที่ดิน, นส.3, น.ส.3ก ฯ) (2) ไมม่ เี อกสารสทิ ธิ์ 596 - 7) เครอ่ื งมอื การเกษตร รถไถใหญ่ รถไถใหญ่ เคร่อื งพ่นยา เครื่อง เครอ่ื งพ่นยา สบู น้า เครอ่ื งสูบน้า 3) พืชเศรษฐกจิ ทส่ี าคญั จากการศึกษาสถานการณ์พืชเศรษฐกิจท่ีสาคัญในพื้นท่ีลุ่มน้าคลองกุย อาเภอกุยบุรีและอาเภอ สามร้อยยอด จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ปีการผลิต 2563 ได้แก่ ยางพารา ไม้ผลผสม มะม่วง ปาล์มน้ามัน และสับปะรด โดยพิจารณาความรุนแรงออกเป็น 5 ระดับ คือ น้อย (อัตราการสูญเสียดิน 0-2 ตัน/ไร่) ปานกลาง (อัตราการสูญเสียดิน 2-5 ตัน/ไร่) รุนแรง (อัตราการสูญเสียดิน 5-15 ตัน/ไร่) รุนแรงมาก (อัตราการสูญเสียดิน 15-20 ตัน/ไร่) และรุนแรงมากที่สุด (อัตราการสูญเสียดิน 20 ตัน/ไร่) (ตารางท่ี 3-15) 3.1 ยางพารา จากการสุ่มตัวอย่างเกษตรกรในพื้นท่ีที่ปลูกยางพาราท่ีมีการชะล้างพังทลายของ ดินใน 4 ระดับ คือ น้อย ปานกลาง รุนแรง และรุนแรงมาก พบว่า กลุ่มตัวอย่างเกษตรกรในพ้ืนที่ปลูก ยางพาราพันธ์ุ RRIT251 และ RRIM600 ผลผลิตท่ีได้จากยางพาราเป็นยางก้อนถ้วย และยางแผ่น ซึ่ง สามารถอธิบายต้นทนุ การผลติ ผลผลิต และผลตอบแทนเหนือต้นทนุ ทงั้ หมด ได้ดงั น้ี ยางพารา (ยางก้อน) พบว่า พ้ืนท่ีดินท่ีมีการชะล้างระดับน้อย เกษตรกรมีปริมาณผลผลิต 475.00 กิโลกรัมต่อไร่ ราคาผลผลิตเท่ากับ 16.11 บาทตอ่ กิโลกรัม ตน้ ทุนการผลิตเท่ากับ 7,650.00 บาท ต่อไร่ ผลตอบแทนเหนือต้นทุนท้ังหมดเท่ากับ 1,900.73 บาทต่อไร่ และอัตราผลตอบแทนรายได้เหนือ ต้นทุนทั้งหมด (B/C ratio) เท่ากับ 1.33 พื้นที่ดินที่มีการชะล้างระดับปานกลาง เกษตรกรมีปริมาณ ผลผลิต 473.50 กิโลกรัมต่อไร่ ราคาผลผลิตเท่ากับ 16.11 บาทต่อกิโลกรัม ต้นทุนการผลิตเท่ากับ 7,628.09 บาทต่อไร่ ผลตอบแทนเหนือต้นทนุ ท้ังหมดเท่ากับ 1,878.32 บาทต่อไร่ และอัตราผลตอบแทน รายได้เหนือต้นทุนท้ังหมด (B/C ration) เท่ากับ 1.33 พ้ืนที่ดินที่มีการชะล้างระดับรุนแรง เกษตรกรมี ปรมิ าณผลผลิต 472.10 กิโลกรัมต่อไร่ ราคาผลผลติ เท่ากับ 16.11 บาทตอ่ กิโลกรมั ตน้ ทนุ การผลิตเท่ากับ 7,605.53 บาทตอ่ ไร่ ผลตอบแทนเหนือต้นทนุ ท้งั หมดเท่ากับ 1,840.10 บาทตอ่ ไร่ และอตั ราผลตอบแทน รายได้เหนือต้นทุนทั้งหมด (B/C ratio) เท่ากับ 1.32 และพื้นที่ดินท่ีมีการชะล้างระดับรุนแรงมาก
62 เกษตรกรมปี รมิ าณผลผลิต 469.80 กโิ ลกรัมตอ่ ไร่ ราคาผลผลติ เท่ากบั 16.11 บาทตอ่ กิโลกรัม ตน้ ทุนการ ผลิตเทา่ กับ 7,568.48 บาทตอ่ ไร่ ผลตอบแทนเหนือต้นทุนทง้ั หมดเท่ากบั 1,796.07 บาทตอ่ ไร่ และอัตรา ผลตอบแทนรายไดเ้ หนอื ตน้ ทุนท้ังหมด (B/C ratio) เทา่ กบั 1.31 ยางพารา (ยางแผ่น) พบว่า พ้ืนที่ดินที่มีการชะล้างระดับน้อย เกษตรกรมีปริมาณผลผลิต 280.00 กโิ ลกรมั ต่อไร่ ราคาผลผลิตเท่ากบั 40.82 บาทตอ่ กโิ ลกรมั ต้นทุนการผลิตเท่ากบั 8,077.31 บาท ต่อไร่ ผลตอบแทนเหนือต้นทุนทั้งหมดเท่ากับ 3,352.29 บาทต่อไร่ และอัตราผลตอบแทนรายได้เหนือ ต้นทุนทั้งหมด (B/C ratio) เท่ากับ 1.41 พื้นท่ีดินท่ีมีการชะล้างระดับปานกลาง เกษตรกรมีปริมาณ ผลผลิต 278.63 กิโลกรัมต่อไร่ ราคาผลผลิตเท่ากับ 40.82 บาทต่อกิโลกรัม ต้นทุนการผลิตเท่ากับ 8,100.74 บาทตอ่ ไร่ ผลตอบแทนเหนือต้นทุนท้งั หมดเท่ากบั 3,272.94 บาทตอ่ ไร่ และอตั ราผลตอบแทน รายได้เหนือต้นทุนทั้งหมด (B/C ration) เท่ากับ 1.40 พื้นท่ีดินที่มีการชะล้างระดับรุนแรง เกษตรกรมี ปรมิ าณผลผลติ 282.52 กิโลกรัมต่อไร่ ราคาผลผลติ เทา่ กับ 40.83 บาทตอ่ กโิ ลกรัม ตน้ ทนุ การผลติ เทา่ กับ 8,124.53 บาทต่อไร่ ผลตอบแทนเหนือตน้ ทนุ ท้งั หมดเทา่ กับ 3,410.76 บาทตอ่ ไร่ และอัตราผลตอบแทน รายได้เหนือต้นทุนทั้งหมด (B/C ratio) เท่ากับ 1.42 และพ้ืนที่ดินท่ีมีการชะล้างระดับรุนแรงมาก เกษตรกรมปี รมิ าณผลผลติ 275.53 กิโลกรัมตอ่ ไร่ ราคาผลผลิตเทา่ กบั 40.82 บาทต่อกโิ ลกรัม ตน้ ทนุ การ ผลติ เท่ากบั 8,158.42 บาทตอ่ ไร่ ผลตอบแทนเหนือต้นทุนทงั้ หมดเท่ากบั 3,388.71 บาทตอ่ ไร่ และอัตรา ผลตอบแทนรายไดเ้ หนือตน้ ทุนทั้งหมด (B/C ratio) เทา่ กบั 1.38 จากข้อมูลข้างต้นจะเห็นได้ว่า กลุ่มตัวอย่างท่ีปลูกยางพาราได้ผลผลิตที่ใกล้เคียงกัน แต่เมื่อ พจิ ารณาตามระดับการชะล้างการพังทลายของดิน พบวา่ ปรมิ าณผลผลิตมีทศิ ทางทล่ี ดลงตามระดับความ รุนแรงของการชะล้างการพังทลายของดิน ในประเดน็ ด้านราคาผลผลติ มีราคาใกล้เคยี งกัน กลา่ วคอื ราคา ยางก้อนเท่ากับ 16.11 บาทต่อกิโลกรัม และยางแผ่นเท่ากับ 40.82 บาทต่อกิโลกรัม ในด้านต้นทุนการ ผลิตทั้งหมด พบว่า ในทุกระดับการสูญเสียดินมีต้นทุนการผลิตท่ีใกล้เคียงกัน แต่เม่ือพิจารณาถึง ผลตอบแทนเหนือต้นทุนทั้งหมด พบว่า มูลค่าผลตอบแทนเหนือต้นทุนทั้งหมดมีมูลค่าลดลงตามระดับ ความรุนแรงของการชะล้างการพังทลายของดนิ 3.2 ไม้ผลผสม จากการสุ่มตัวอย่างเกษตรกรในพ้ืนท่ีที่ปลูกไม้ผลผสมท่ีมีการชะล้างพังทลาย ระดับความรุนแรงน้อย พบว่า กลุ่มตัวอย่างที่เป็นเกษตรกรมีการปลูก มะพร้าว ทุเรียน ขนุน และกล้วย แต่เม่ือทาการหาค่าเฉลี่ยของพื้นท่ีในการเพาะปลูกเพื่อใช้ในการวิเคราะห์ พบว่า ในแปลงการเพาะปลูก เกษตรกรส่วนใหญ่มีการปลูกมะพร้าวในสัดส่วนของพื้นท่ีมากท่ีสุด ในขณะท่ีทุเรียน ขนุน และกล้วย มี สัดส่วนในแปลงการผลิตเพียงเล็กน้อย อีกท้ังยังมีการกระจายของข้อมูล ด้วยเหตุนี้ในการวิเคราะห์หา ต้นทุนการผลิต ผลผลิต และผลตอบแทนเหนือต้นทุนทั้งหมดของการปลูกไม้ผลผสมในครั้งน้ี จึงคานวณ ต้นทุนของมะพร้าวในแปลงไม้ผลผสมเท่าน้ัน โดยพันธ์ุมะพร้าวที่ใช้ปลูก คือ มะพร้าวน้าหอม มีผลผลิต เฉลีย่ 774.19 ลกู ตอ่ ไร่ ราคาผลผลติ เฉลย่ี เท่ากับ 8.80 บาทต่อลูก ตน้ ทนุ การผลติ เท่ากับ 5,481.87 บาท ต่อไร่ ผลตอบแทนเหนือต้นทุนทั้งหมดเท่ากับ 1.642.20 บาทต่อไร่ และอัตราผลตอบแทนรายได้เหนือ ตน้ ทนุ ท้งั หมด (B/C ration) เท่ากับ 1.24
63 3.3 มะม่วง จากการสุ่มตัวอย่างเกษตรกรในพื้นท่ีที่ปลูกมะม่วงที่มีการชะล้างพังทลายของดินใน 3 ระดับ คือ น้อย ปานกลาง และรุนแรง พบว่า เกษตรกรส่วนใหญ่ในพ้ืนที่นิยมปลูกมะม่วง พันธ์ุดอกไม้สีทองเพื่อการส่งออก โดยพื้นท่ีดินที่มีการชะล้างระดับน้อย เกษตรกรมีปริมาณผลผลิต 737.50 กิโลกรัมต่อไร่ ราคาผลผลิตเท่ากับ 40.10 บาทต่อกิโลกรัม ต้นทุนการผลิตเท่ากับ 18,245.22 บาทต่อไร่ ผลตอบแทนเหนือต้นทุนทั้งหมดเท่ากับ 11,328.53 บาทต่อไร่ และอัตราผลตอบแทนรายได้ เหนือต้นทุนท้ังหมด (B/C ratio) เท่ากับ 1.62 พื้นที่ดินที่มีการชะล้างระดับปานกลาง เกษตรกรมีปริมาณ ผลผลิต 735.45 กิโลกรัมต่อไร่ ราคาผลผลิตเท่ากับ 40.11 บาทต่อกิโลกรัม ต้นทุนการผลิตเท่ากับ 18450.32 บาทต่อไร่ ผลตอบแทนเหนือต้นทุนทั้งหมดเท่ากับ 11,048.58 บาทต่อไร่ และอัตรา ผลตอบแทนรายไดเ้ หนือต้นทนุ ท้ังหมด (B/C ratio) เท่ากับ 1.60 และพน้ื ทีด่ ินที่มีการชะลา้ งระดบั รุนแรง เกษตรกรมปี ริมาณผลผลติ 735.33 กิโลกรมั ตอ่ ไร่ ราคาผลผลิตเท่ากบั 40.10 บาทต่อกิโลกรัม ตน้ ทนุ การ ผลิตเท่ากับ 18,543.85 บาทต่อไร่ ผลตอบแทนเหนือต้นทุนทั้งหมดเท่ากับ 10,950.24 บาทต่อไร่ และ อตั ราผลตอบแทนรายได้เหนอื ต้นทุนท้ังหมด (B/C ratio) เทา่ กับ 1.59 จากข้อมูลข้างต้นจะเห็นได้ว่า กลุ่มตัวอย่างที่ปลูกมะม่วงเพ่ือการส่งออก ผลผลิตจากมะม่วงมี ปริมาณผลผลิตท่ีใกล้เคียงกัน แต่เมื่อพิจารณาตามระดับการชะล้างการพังทลายของดิน พบว่า ปริมาณ ผลผลิตมีทิศทางท่ีลดลงตามระดับความรุนแรงของการชะลา้ งการพังทลาย ในด้านต้นทุนการผลิตทง้ั หมด พบว่า ในทุกระดับการสูญเสียดินมีต้นทุนการผลิตที่ใกล้เคียงกัน แต่เม่ือพิจารณาถึงผลตอบแทนเหนือ ต้นทุนท้ังหมด พบว่า มูลค่าผลตอบแทนเหนือต้นทุนทั้งหมดมีมูลค่าลดลงตามระดับความรุนแรงของการ ชะล้างการพังทลายของดนิ 3.4 ปาล์มน้ามัน จากการสุ่มตัวอย่างเกษตรกรในพ้ืนที่ท่ีปลูกปาล์มน้ามันท่ีมีการชะล้างพังทลาย ของดินใน 3 ระดบั คอื นอ้ ย ปานกลาง และรุนแรงมาก พบวา่ กลุม่ ตวั อยา่ งเกษตรกรในพื้นทท่ี ้ังหมดปลูก ปาล์มน้ามันพันธุ์โกลด์เด้นเทเนอร่า โดยพ้ืนที่ดินที่มีการชะล้างระดับน้อย เกษตรกรมีปริมาณผลผลิต 1,145.50 กิโลกรัมต่อไร่ ราคาผลผลิตเท่ากับ 3.20 บาทต่อกิโลกรัม ต้นทุนการผลิตเท่ากับ 2,342.95 บาทต่อไร่ ผลตอบแทนเหนือต้นทุนทั้งหมดเท่ากับ 1,322.65 บาทต่อไร่ และอัตราผลตอบแทนรายได้ เหนือต้นทุนทั้งหมด (B/C ration) เท่ากับ 1.56 พ้ืนท่ีดินท่ีมีการชะล้างระดับปานกลาง เกษตรกรมี ปริมาณผลผลิต 1,134.82 กิโลกรัมต่อไร่ ราคาผลผลิตเท่ากับ 3.20 บาทต่อกิโลกรัม ต้นทุนการผลิต เท่ากับ 2,343.58 บาทต่อไร่ ผลตอบแทนเหนือต้นทุนท้ังหมดเท่ากับ 1,287.85 บาทต่อไร่ และอัตรา ผลตอบแทนรายได้เหนือต้นทุนท้ังหมด (B/C ration) เท่ากับ 1.55 พ้ืนที่ดินที่มีการชะล้างระดับรุนแรง มาก เกษตรกรมีปริมาณผลผลิต 1,095.54 กิโลกรัมต่อไร่ ราคาผลผลิตเท่ากับ 3.20 บาทต่อกิโลกรัม ต้นทุนการผลิตเทา่ กับ 2,269.29 บาทต่อไร่ ผลตอบแทนเหนือตน้ ทุนทั้งหมดเท่ากับ 1,236.44 บาทต่อไร่ และอตั ราผลตอบแทนรายไดเ้ หนือต้นทนุ ท้งั หมด (B/C ration) เท่ากับ 1.55 จากข้อมูลข้างต้นจะเห็นไดว้ ่ากลุ่มตัวอย่างท่ปี ลูกปาล์มน้ามนั ได้ผลผลิตจากปาล์มน้ามันมปี ริมาณ ผลผลิตท่ีใกล้เคียงกัน แต่เม่ือพิจารณาตามระดับการชะล้างการพังทลายของดิน พบว่า ปริมาณผลผลิตมี ทิศทางที่ลดลงตามระดับความรุนแรงของการชะล้างการพังทลายของดินที่เพ่ิมขึ้น ในประเด็นด้านราคา
64 ผลผลิตมรี าคาใกล้เคียงกัน โดยราคาผลผลิต 3.20 บาทต่อกโิ ลกรมั ดา้ นต้นทุนการผลติ ทัง้ หมด พบว่า เม่ือ ระดับการสูญเสียดินมีความรุนแรงมากข้ึนส่งผลต้นทุนการผลติ มีราคาสงู ข้ึน และมูลค่าผลตอบแทนเหนือ ตน้ ทุนทง้ั หมดมีมูลค่าลดลงตามระดับความรุนแรงของการชะลา้ งการพงั ทลายของดิน 3.5 สบั ปะรด จากการสมุ่ ตัวอยา่ งเกษตรกรในพ้นื ทท่ี ่ีปลูกสับปะรดที่มีการชะลา้ งพังทลายของดิน ใน 4 ระดับ คือ ปานกลาง รุนแรง รุนแรงมาก และรุนแรงมากท่ีสดุ พบว่า กลุ่มตัวอย่างเกษตรกรในพ้นื ท่ี ทง้ั หมดปลกู สับปะรดพันธุ์ปตั ตาเวยี โดยพ้นื ทีด่ ินท่ีมีการชะล้างระดับปานกลาง เกษตรกรมีปริมาณผลผลิต 6,058.82 กิโลกรัมต่อไร่ ราคาผลผลิตเท่ากับ 5.58 บาทต่อกิโลกรัม ต้นทุนการผลิตเท่ากับ 29,157.72 บาทต่อไร่ ผลตอบแทนเหนือต้นทุนทั้งหมดเท่ากับ 4,636.40 บาทต่อไร่ และอัตราผลตอบแทนรายได้ เหนือต้นทุนท้ังหมด (B/C ration) เท่ากับ 1.16 พื้นที่ดินที่มีการชะล้างระดับรุนแรง เกษตรกรมีปริมาณ ผลผลิต 6,105.26 กิโลกรัมต่อไร่ ราคาผลผลิตเท่ากับ 5.59 บาทต่อกิโลกรัม ต้นทุนการผลิตเท่ากับ 29,997.23 บาทต่อไร่ ผลตอบแทนเหนือต้นทุนทั้งหมดเท่ากับ 4,108.13 บาทต่อไร่ และอัตรา ผลตอบแทนรายได้เหนือต้นทุนทั้งหมด (B/C ration) เท่ากับ 1.14 พื้นท่ีดินที่มีการชะล้างระดับรุนแรง มาก เกษตรกรมีปริมาณผลผลิต 6,075.00 กิโลกรัมต่อไร่ ราคาผลผลิตเท่ากับ 5.58 บาทต่อกิโลกรัม ต้นทุนการผลิตเท่ากับ 30,004.06 บาทต่อไร่ ผลตอบแทนเหนือต้นทุนท้ังหมดเท่ากับ 3,890.94 บาทต่อไร่ และอัตราผลตอบแทนรายได้เหนือต้นทุนท้ังหมด (B/C ration) เท่ากับ 1.13 และพื้นท่ีดินท่ีมี การชะลา้ งระดบั รนุ แรงมากทีส่ ุด เกษตรกรมปี ริมาณผลผลิต 5,962.96 กโิ ลกรัมต่อไร่ ราคาผลผลติ เท่ากับ 5.58 บาทต่อกิโลกรัม ต้นทุนการผลิตเท่ากับ 29,663.11 บาทต่อไร่ ผลตอบแทนเหนือต้นทุนท้ังหมด เท่ากบั 3,585.04 บาทตอ่ ไร่ และอัตราผลตอบแทนรายได้เหนือต้นทนุ ทัง้ หมด (B/C ration) เทา่ กบั 1.12 จากข้อมูลข้างต้นจะเห็นได้ว่า กลุ่มตัวอย่างที่ปลูกสับปะรดในทุกระดับมีปริมาณผลผลิตต่อไร่ท่ี ใกล้เคียงกัน และราคาผลผลิตอยู่ท่ีระดับราคาใกล้เคียงกัน เนื่องจากในพ้ืนท่ีการเพาะปลูกมีตลาดรับซื้อ ผลผลิตที่แน่นอน (โรงงานแปรรูปผลผลิตทางการเกษตร) ส่งผลให้ราคาของผลผลิตในพื้นท่ีในทุกระดับ ราคามีราคาท่ีเท่ากัน ในด้านต้นทุนการผลิตทั้งหมด พบว่า ในการสูญเสียดินระดับปานกลางถึงระดับ รุนแรงมาก ต้นทุนการผลิตต่อไร่มีมูลค่าเพ่ิมตามระดับความรุนของการชะล้างการพังทลาย ในขณะท่ี ระดับความรุนแรงมากที่สุดต้นทุกการผลิตต่อไร่กลับมีมูลค่าลดลง แต่เมื่อพิจารณาถึงผลตอบแทนเหนือ ต้นทุนทั้งหมด พบว่า มูลค่าผลตอบแทนเหนือต้นทุนทั้งหมดมีมูลค่าลดลงตามระดับความรุนแรงของการ ชะลา้ งการพังทลายของดนิ ตารางที่ 3-15 ต้นทุนการผลิต ผลผลิต และผลตอบแทนเหนือต้นทุนทั้งหมดของการปลูกพืชในพ้ืนที่ท่ีมี ระดบั การชะล้างการพงั ทลายของดินตา่ งกัน ระดบั การชะล้าง ผลผลติ ราคา มูลค่าผลผลติ ตน้ ทุน ผลตอบ B/C พชื พังทลาย เฉล่ยี (กก./ ผลผลิต (บาท/ไร่) การผลิตทัง้ หมด แทนเหนือต้นทุน Ratio ของดิน* ไร)่ (บาท/กก.) (บาท/ไร)่ ท้ังหมด (บาท/ไร่) ยางพารา น้อย 475.00 16.11 7,650.00 5,749.27 1,900.73 1.33 (ยางก้อน) ปานกลาง 473.50 16.11 7,628.09 5,749.77 1,878.32 1.33 รนุ แรง 472.10 16.11 7,605.53 5,765.43 1,840.10 1.32
65 ตารางท่ี 3-15 ต้นทุนการผลิต ผลผลิต และผลตอบแทนเหนือต้นทุนทั้งหมดของการปลูกพืชในพ้ืนท่ที ีม่ ี ระดบั การชะล้างการพังทลายของดนิ ตา่ งกนั (ตอ่ ) ระดับการชะล้าง ผลผลติ ราคา มูลคา่ ผลผลิต ต้นทุน ผลตอบ B/C พชื พงั ทลาย เฉลีย่ (กก./ ผลผลติ (บาท/ไร่) การผลติ ทัง้ หมด แทนเหนอื ตน้ ทุน Ratio ของดิน* ไร่) (บาท/กก.) (บาท/ไร)่ ทั้งหมด (บาท/ไร่) รนุ แรงมาก 469.80 16.11 7,568.48 5,772.41 1,796.07 1.31 ยางพารา น้อย 280.00 40.82 11,429.60 8,077.31 3,352.29 1.41 (ยางแผน่ ) ปานกลาง 278.63 40.82 11,373.68 8,100.74 3,272.94 1.40 รุนแรง 282.52 40.83 11,535.29 8,124.53 3,410.76 1.42 รนุ แรงมาก 275.53 40.82 11,247.13 8,158.42 3,088.71 1.38 ไม้ผลผสม นอ้ ย 774.19 8.80 6,812.90 5,481.87 1,642.20 1.24 (มะพรา้ ว) (ลูก/ไร่) (บาท/ลูก) มะม่วง นอ้ ย 737.50 40.10 29,573.75 18,245.22 11,328.53 1.62 ปานกลาง 735.45 40.11 29,498.90 18,450.32 11,048.58 1.60 รนุ แรง 735.33 40.11 29,494.09 18,543.85 10,950.24 1.59 ปาลม์ น้อย 1,145.50 3.20 3,665.60 2,342.95 1,322.65 1.56 น้ามนั ปานกลาง 1,134.82 3.20 3,631.43 2,343.58 1,287.85 1.55 รนุ แรงมาก 1,095.54 3.20 3,505.73 2,269.29 1,236.44 1.55 สับปะรด ปานกลาง 6,058.82 5.58 33,794.12 29,157.72 4,636.40 1.16 รุนแรง 6,105.26 5.59 34,105.26 29,997.23 4,108.13 1.14 รนุ แรงมาก 6,075.00 5.58 33,895.00 30,004.06 3,890.94 1.13 รนุ แรงมากท่ีสดุ 5,962.96 5.58 33,248.15 29,663.11 3,585.04 1.12 ที่มา: ผ้วู ิจัย (2563) หมายเหตุ * ระดับการชะล้างพังทลายของดิน 5 ระดับ ซ่ึงมีปริมาณการสูญเสียดนิ คือ น้อย (อัตราการสูญเสียดิน 0-2 ตัน/ไร)่ ปานกลาง (อัตราการสูญเสียดนิ 2-5 ตนั /ไร่) รนุ แรง (อัตราการสญู เสยี ดนิ 5-15 ตัน/ไร)่ รุนแรงมาก (อตั ราการสญู เสียดนิ 15-20 ตัน/ไร)่ และรุนแรงมากที่สุด (อตั ราการสญู เสียดินมากกวา่ 20 ตัน/ไร่) 4) ความรู้ ความเข้าใจ ดา้ นการอนุรกั ษ์ดนิ และน้า จากผลการสัมภาษณ์เกษตรกรกลุ่มตัวอย่างเกี่ยวกับความรู้ ความเข้าใจด้านการอนุรักษ์ดินและ นา้ ในพน้ื ท่ีลมุ่ น้าคลองกยุ อาเภอกุยบุรี และอาเภอสามรอ้ ยยอด จงั หวัดประจวบคีรีขันธ์ โดยมุ่งเน้นข้อมูลเก่ียวกับ 1) ความรู้ ความเข้าใจ การชะล้างพังทลายของดิน 2) ผลกระทบที่ เกิดข้ึนต่อผลผลิต 3) แนวทางการป้องกันและการแก้ปัญหาการชะล้างพังทลายของดิน และทัศนคติต่อ การปอ้ งกันสภาพปญั หา (ตารางที่ 3-16) 4.1) ความรู้ ความเข้าใจ การชะล้างพังทลายของดิน จากการสอบถามเกษตรในพื้นที่ในประเด็น ด้านความรู้ ความเข้าใจ การชะล้างพังทลายของดิน พบว่า เกษตรกรส่วนใหญ่ในพ้ืนท่ีร้อยละ 91.11 พบเจอและมีความเข้าใจปัญหาหน้าดินมีรอ่ งหรือร่องน้าเล็ก ๆ รองลงมาคือน้าไหลพัดพาหน้าดิน คิดเป็น
66 ร้อยละ 81.58 แหล่งน้าตื้นเขินมากข้ึน คิดเป็นร้อยละ 68.42 ในขณะท่ีการใช้ปุ๋ยหรือสารเคมีหรือยาฆ่า แมลง มากข้ึนและมรี อยทรดุ หรอื รอยแยกมสี ัดสว่ นทเ่ี ทา่ กัน คิดเป็นรอ้ ยละ 50.00 ทั้งนี้ จะเห็นได้ว่า เกษตรกรมีความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับผลกระทบของการชะล้างพังทลายของ ดินต่อความเสียหายทางทรัพยากรธรรมชาติและส่ิงแวดล้อม โดยดินท่ีถูกชะล้างหรือกัดเซาะจะถูกพัดพา ไหลไปตกตะกอนในแหล่งน้า ทาให้แหล่งน้าเกิดความตื้นเขิน ส่งผลให้เกิดการขาดแคลนน้าในฤดูแลง้ อีก ทั้งสารเคมีและยาฆ่าแมลงท่ีไหลไปปะปนกับตะกอนดินสู่พื้นที่ตอนล่าง ทาให้เกิดมลพิษสะสมในดินและ น้าสง่ ผลกระทบต่อคน สตั ว์ และพชื 4.2) ผลกระทบต่อผลผลิต ในกรณีที่มีร่องน้า/หน้าดินถูกพัดพาหรือทรุดตัวส่งผลกระทบต่อ เกษตรกรในพ้ืนที่คิดเปน็ รอ้ ยละ 83.78 โดยแบ่งระดับผลกระทบตอ่ ผลผลติ ออกเปน็ 3 ระดับคือ (1) น้อย (ลดลงไม่เกิน 20%) คิดเป็นร้อยละ 38.71 (2) ปานกลาง (ลดลง 20%-40%) คิดเป็นร้อยละ 35.48 และ (3) มาก (มากกวา่ 40%) คดิ เปน็ ร้อยละ 25.81 ในขณะท่เี กษตรกรบางกลมุ่ (ร้อยละ 16.22) คดิ ว่าการชะลา้ งการพงั ทลายที่เกิดขึ้นไม่สง่ ผลกระทบต่อผลผลิต 4.3) แนวทางป้องกันชะล้างการพังทลายของดิน จากสภาพปัญหาของการชะล้างการพังทลาย ของดินในพื้นที่เพาะปลูกพืช และท่ีอย่อู าศยั ของเกษตรกร จะเหน็ ได้ว่า เกษตรกรสว่ นใหญ่ ร้อยละ 56.76 มีแนวทางในการปอ้ งกันการชะล้างการพังทลายของดิน โดยมีแนวทางการป้องกันคือ การก่ออิฐขวางทาง น้า ซ่ึงเป็นวิธีการป้องกันที่เกษตรกรป้องกันมากท่ีสุด คิดเป็นร้อยละ 66.67 รองลงมาคือ การทาร่องน้า คิดเป็นร้อยละ 19.05 การปลูกหญ้าแฝก คิดเป็นร้อยละ 9.52 และการปลูกพืชคลุมดิน คิดเป็นร้อยละ 4.76 ตามลาดับ ในส่วนของเกษตรกรท่ีเหลือร้อยละ 43.24 ที่ไม่ได้ป้องกัน โดยให้เหตุผลของการไม่ ดาเนินการป้องกัน เน่ืองจากไม่มีความรู้ร้อยละ 75 ของเกษตรกรที่ไม่ได้ดาเนินการป้องกันไม่มีเวลาร้อย ละ 12.50 ไม่มีงบประมาณและไม่มีแรงงานรอ้ ยละ 6.25 เท่ากัน นอกจากน้ี หากมีช่องทางในการป้องกนั การชะล้างพงั ทลายของดิน โดยหนว่ ยงานของรัฐให้ความชว่ ยเหลือเกษตรส่วนใหญ่ร้อยละ 81.25 มคี วาม ตอ้ งการ ตารางที่ 3-16 ความรู้ ความเข้าใจ ด้านการอนุรักษ์ดินและน้าในพ้ืนท่ีลุ่มน้าคลองกุย อาเภอกุยบุรีและ อาเภอสามรอ้ ยยอด จงั หวดั ประจวบครี ีขันธ์ ปีการผลิต 2562 รายการ ร้อยละ 1) ลักษณะและสภาพปัญหาดา้ นการชะล้างพงั ทลายของดินในพ้นื ทป่ี ลูกพืชท่ีอยู่อาศัย (ตอบได้มากกวา่ 1 ข้อ) (1) หนา้ ดนิ มีร่อง/ร่องนา้ เลก็ ๆ 91.11 (2) นา้ ไหลพัดพาหนา้ ดิน 81.58 (3) แหล่งนา้ ตื้นเขินมากขึ้น 68.42 (4) มีการใชป้ ุ๋ย/สารเคม/ี ยาฆ่าแมลง มากขึน้ 50.00
67 ตารางที่ 3-16 ความรู้ ความเขา้ ใจ ด้านการอนุรักษ์ดนิ และน้าในพนื้ ทลี่ ุม่ นา้ คลองกยุ อาเภอกุยบุรี และ อาเภอสามร้อยยอด จงั หวดั ประจวบคีรขี ันธ์ ปีการผลิต 2562 (ตอ่ ) รายการ ร้อยละ (5) มรี อยทรุดหรือรอยแยก 50.00 2) ผลกระทบตอ่ การผลิต (กรณที ี่มรี ่องน้า/หน้าดินถูกพัดพาหรือทรุดตัว) (1) มี โดยมีผลกระทบอย่ใู นระดับ (83.78) - นอ้ ย (ลดลงไมเ่ กนิ 20%) 38.71 - ปานกลาง (ลดลง 20%-40%) 35.48 - มาก (มากกวา่ 40%) 25.81 (2) ไมม่ ี (16.22) 3) แนวทางปอ้ งกันการชะล้างพังทลายของดิน (กรณีดินถกู นา้ กัดเซาะ/น้าพัดพาหน้าดนิ ) (1) ดาเนินการแก้ไขป้องกัน โดยวิธี (56.76) - กอ่ อิฐขวางทางนา้ 66.67 - ทาร่องนา้ 19.05 - ปลูกหญา้ แฝก 9.52 - ปลูกพืชคลุมดนิ 4.76 (2) ไมด่ าเนินการปอ้ งกนั เนอื่ งจาก (43.24) - ไม่มีความรู้ 75.00 - ไม่มีเวลา 12.50 - ไมม่ งี บประมาณ 6.25 - ไม่มีแรงงาน 6.25 * กรณที ่ีดนิ ถูกน้ากดั เซาะ/นา้ พัดพาหน้าดินมีความประสงคใ์ หร้ ฐั ช่วยเหลอื (3) ต้องการ (81.25) ระดับความต้องการ - มาก 53.85 - ปานกลาง 30.77 - น้อย 15.38 (4) ไมต่ อ้ งการ (18.75) ที่มา: ผ้วู จิ ัย (2563) จากข้อมูลข้างต้น จะเห็นได้ว่า เกษตรกรในพ้ืนท่ีมีความรู้ ความเข้าใจในการรักษาและป้องกันไม่ให้ เกิดการชะล้างพังทลายของดินในแต่ละวิธีการมากหรือน้อยแตกต่างกันออกไป แต่เมื่อสอบถามวิธีการ รกั ษาและปอ้ งกันการชะล้างพงั ทลายของดิน พบวา่ วิธีการทเี่ กษตรกรตอ้ งการ 3 อันดับแรก คือ การปลูก
68 หญ้าแฝกขวางทางลาดชัน การงดการถางป่า ตัดไม้ตัดไม้ทาลายป่า การขุดถนน และการทาฝายน้าล้น หรอื คนั ชะลอความเร็วของน้า (ตารางที่ 3-17) ตารางท่ี 3-17 ความรู้ ความเข้าใจ การรักษาและป้องกันการชะล้างพังทลายของหน้าดินพื้นที่ ลุ่มน้าคลองกุย อาเภอกุยบุรีและอาเภอสามร้อยยอด จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ปกี ารผลิต 2562 วธิ ีการรกั ษาและป้องกัน รอ้ ยละ ลาดับความ ใช่ ไม่ใช่ ไมแ่ น่ใจ ตอ้ งการ 1) ปลูกหญ้าแฝกขวางทางลาดชนั 94.74 2.63 2.63 1 2) การถางปา่ ตัดไม้ทาลายป่า การขดุ ถนน 86.84 13.16 0.00 2 ทาใหเ้ กิดการชะลา้ ง พังทลายของดิน 3) ทาฝายนา้ ล้นหรอื คนั ชะลอความเรว็ ของน้า 86.84 7.89 5.26 3 4) ใช้วสั ดุตา่ ง ๆ อยา่ งง่ายก่อสร้างขวางทางระบายน้า 81.58 13.16 5.26 4 เพอ่ื ชะลอความเร็วของน้าไม่ให้กัดเซาะ 5) ปลกู พชื คลุมดิน 78.95 15.79 5.26 5 6) ปลูกพชื แบบข้นั บันได (ปรับพ้ืนทเ่ี ป็นขนั้ ๆ) 71.05 21.05 7.89 6 7) ทาคนั ดินขวางทางลาดเท 63.16 28.95 7.89 7 8) ยกร่องและปลูกพชื ทาร่องน้าไปตามแนวระดบั 57.89 23.68 18.42 8 9) ปลูกพชื หมุนเวยี น/ปลกู พชื แซม/ปลกู พชื เหลือ่ มฤดู 50.00 42.11 5.26 9 10) ปลกู พชื สลับเป็นแถบ 47.37 23.68 18.42 10 11) ใชว้ ัสดุตา่ ง ๆ คลุมดิน เช่น เศษซากพชื พลาสติก 34.21 52.63 13.16 11 กระดาษ เปน็ ต้น ทม่ี า: ผวู้ ิจัย (2563) เมื่อพิจารณาข้อมูลทัศนคติของเกษตรกรเกี่ยวกับประเด็นที่เชื่อมโยงกับสภาพปัญหาการชะล้าง พังทลายของดิน 3 ด้าน (ตารางท่ี 3-18) ดังน้ี 1) การย้ายถิ่นฐาน จากประเด็นทัศนคติเก่ียวกับ “กรณีหากเกิดเหตุการณ์ดินถล่มในพ้ืนท่ีเส่ียงภัย และภาครัฐต้องการให้เกษตรกรในพ้ืนท่ีอพยพออกจากพื้นที่โดยจะจัดหาสถานท่ีเหมาะสมให้” พบว่า เกษตรกรส่วนใหญ่ รอ้ ยละ 52.63 มีความตอ้ งการย้ายออกจากพ้นื ท่ี ในขณะทเี่ กษตรกรรอ้ ยละ 31.58 ไม่ มีความต้องการย้ายออกจากพ้นื ที่ และรอ้ ยละ 15.79 ไมแ่ นใ่ จ 2) ความช่วยเหลือจากหน่วยงานภาครัฐในการจัดทาเขตระบบอนุรักษ์ดินและน้า พบว่า เกษตรกร ส่วนใหญ่ร้อยละ 94.74 เห็นด้วยท่ีภาครัฐจะจัดทาเขตอนุรักษ์ดินและน้าในพ้ืนท่ี ในขณะท่ีร้อยละ 5.26 ไมเ่ ห็นดว้ ย 3) ปัญหาด้านการเกษตร พบว่า กลุ่มตัวอย่างที่เป็นเกษตรกรส่วนใหญ่ในพ้ืนที่ไม่มีปัญหาด้าน การเกษตร คิดเป็นรอ้ ยละ 57.89 ในขณะทร่ี ้อยละ 42.11 มีปัญหาทางดา้ นการเกษตร โดยประเดน็ ปัญหา
69 ท่เี กษตรกรพบเจอมากทสี่ ดุ คือ ปญั หาทางดา้ นน้าท่ีใชใ้ นการเกษตรไม่เพียงพอ รองลงมาคือ สตั ว์ป่าเข้ามา ทาลายผลผลิตทางการเกษตร ศัตรูพืชหรือโรคพืช ผลผลิตถูกน้าชะล้าง และฝนแล้งหรือฝนท้ิงช่วง ตามลาดับ ตารางที่ 3-18 ทัศนคตดิ ้านการย้ายถิน่ ฐาน ปัญหาดา้ นการเกษตร และแนวทางแก้ไขของเกษตรกรพื้นท่ี ลุ่มน้าคลองกุย อาเภอกุยบุรีและอาเภอสามร้อยยอด จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ปีการผลติ 2562 รายการ รอ้ ยละ 1) การย้ายถ่ินฐาน (กรณีทคี่ าดว่าในอนาคตจะเกิดดนิ ถล่ม และ ทางรัฐต้องการให้อพยพออกจากพ้นื ทโ่ี ดยทางรัฐจัดหาสถานทใี่ ห้) (1) มีความต้องการออกจากพนื้ ท่ีไปอยู่ในสถานที่ทางรฐั จัดให้ 52.63 (2) ไมม่ ีความต้องการออกจากพื้นที่ 31.58 (3) ไมแ่ นใ่ จ 15.79 2) ความช่วยเหลือจากหน่วยงานภาครัฐในการจัดทาเขตอนุรักษด์ นิ และน้า (1) เห็นดว้ ย 94.74 (2) ไม่เหน็ ดว้ ย 5.26 3) ปัญหาด้านการเกษตร (1) ไมม่ ี (57.89) (2) มี (42.11) - น้าในการเกษตรไม่เพยี งพอ 56.25 - สตั วป์ า่ 50.00 - ศัตรูพืช/โรคพชื 25.00 - ผลผลติ ถูกนา้ ชะลา้ งพงั ทลาย 18.75 - ฝนแลง้ /ฝนท้ิงชว่ ง 18.75 จากการรวบรวมข้อมูลสภาพแวดล้อมทางกายภาพ สังคมและเศรษฐกิจ เพื่อจัดทาแผนการใช้ ท่ีดินเพ่ือการป้องกันการชะล้างพังทลายของดินและฟ้ืนฟูพ้ืนท่ีเกษตรกรรม พื้นท่ีลุ่มน้าคลองกุย อาเภอกุยบุรี และอาเภอสามร้อยยอด จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ได้ทาการวิเคราะห์ SWOT โดยศึกษา สภาพการณ์ภายในและภายนอก วิเคราะห์จุดแข็ง จุดอ่อน โอกาส และข้อจากัด ใน 4 ด้าน ได้แก่ ดา้ นทรพั ยากรธรรมชาติ ดา้ นเศรษฐกจิ ด้านสังคม และด้านนโยบาย เพอ่ื นาไปใช้ในการกาหนดมาตรการ ทเ่ี หมาะสมและวางแผนบริหารโครงการ ซง่ึ สามารถสรปุ ไดด้ งั น้ี
70 1. ดา้ นทรัพยากรธรรมชาติ (ทรัพยากรธรรมชาตแิ ละส่งิ แวดลอ้ ม) จุดแข็ง (Strength) จดุ ออ่ น (Weakness) - ลักษณะพื้นท่ีเป็นระบบลุ่มน้า ทาให้สามารถ - พนื้ ที่การเกษตรบางส่วนมกี ารชะลา้ งการพงั ทลาย บรหิ ารจัดการเชิงพืน้ ทไี่ ด้ ของดนิ ระดบั รนุ แรงมาก - ทรัพยากรดินทศี ักยภาพในการทาการเกษตร - มีตะกอนสะสมมากในแหล่งนา้ (สระนา้ สาธารณะ อ่างเก็บนา้ เปน็ ตน้ ) โอกาส (Opportunity) ปัญหา (Threat) - เปน็ นโยบายการแก้ไขปญั หาดา้ นทรพั ยากร - ขอ้ จากดั ทางกฎหมาย เพราะพืน้ ท่กี ารเพาะปลูก ธรรมชาติและสง่ิ แวดล้อมระดับประเทศ ของเกษตรกรกับพ้นื ทีเ่ ขตปา่ - มที รพั ยากรพนื้ ฐาน เชน่ ฝ่ายชะลอน้า (องค์กร ส่วนทอ้ งถน่ิ จดั ทา) อา่ งเกบ็ น้าในพน้ื ท่ีของกรม ชลประทาน (อา่ งยา่ นซ่ือและอา่ งยางชุม) ที่ เหมาะสม ทาไปสู่การบูรณาการพฒั นาการต่อไป 2. ดา้ นเศรษฐกจิ จุดแขง็ (Strength) จดุ อ่อน (Weakness) - มีตลาดรับซื้อผลผลิตทางการเกษตรในพื้นที่ - พ้ืนที่เกษตรส่วนใหญ่ไม่มีเอกสารสิทธ์ิในที่ดิน เช่น พ่อค้าท้องถิ่น โรงงานแปรรูปผลผลิตทาง ทากนิ ทาใหไ้ ม่สามารถเขา้ ถงึ แหล่งเงินทนุ กู้ยืมใน การเกษตร เปน็ ต้น ระบบ - ชุมชนในพื้นที่ประกอบอาชีพเกษตรกรรม เช่น - เกษตรกรในพ้ืนท่ีนิยมผลิตพืชเชิงเดี่ยวทาให้ สบั ปะรด ยางพารา ปาลม์ นา้ มัน เกษตรกรมีรายได้ค่อนข้างต่า ตามกลไกราคา - หน่วยงานภาครัฐ ไม่ว่าจะเป็น เกษตรอาเภอ ตลาด องค์การปกครองสว่ นท้องถิ่น หรอื สถาบนั การเงิน - พืชท่ีปลูกส่วนหน่ึงได้รับผลกระทบจากภัย ของรัฐ (ธกส.) ให้ความสาคัญในการช่วยเหลือ ธรรมชาติ และ สัตว์ปา่ ตลอดจนพัฒนาอาชพี เกษตรกรในชมุ ขน โอกาส (Opportunity) ปญั หา (Threat) - นโยบายของรัฐมุ่งเน้นการแก้ไขภาคการเกษตร - ราคาผลผลติ ราคาสนิ ค้าเกษตรไม่แน่นอนทาให้ เพอ่ื สร้างความเติบโตทางเศรษฐกิจ เกษตรกรไม่สามารถวางแผนการผลิต ส่งผล - แผนปฏิรูปประเทศด้านเศรษฐกจิ ใหค้ วามสาคัญ กระทบตอ่ รายได้ กับการพัฒนาฟนื้ ฟทู รัพยากรดินที่เป็นพื้นฐาน - ความผันผวนจากราคาปัจจัยการผลิต ส่งผล สาคญั ตอ่ การพฒั นาการผลิตภาคการเกษตร กระทบต่อรายได้ และต้นทุนการผลิต โดยเฉพาะ การปลูกพชื เกษตรเชิงเดยี ว
71 3. ด้านสงั คม จดุ แข็ง (Strength) จุดอ่อน (Weakness) - เกษตรกรในพ้ืนที่ส่วนใหญ่ให้ความสนใจและ - เกษตรกรสว่ นใหญ่อย่ใู นวัยสูงอายุ ตระหนักถึงผลกระทบ - ระบบสาธารณูปโภค เช่น นา้ ประปา ไฟฟ้า ยงั ไม่ -มีการรวมกลุ่มเกษตรกรในพ้ืนที่ และผู้นาชุมชน ครอบคลุมเพียงพอในพ้ืนที่ มคี วามเข็มแข็ง โอกาส (Opportunity) ปญั หา (Threat) -องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ให้ความสาคัญใน -องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นมีงบประมาณจากัด ด้านการพัฒนาโครงสร้างพนื้ ฐาน จงึ ไม่สามารถพัฒนาโครงสรา้ งพน้ื ฐานท่ัวถงึ -องค์กรปกครองส่วนท้องถ่ินไม่มีบุคคลากรท่ี เชีย่ วชาญทางดา้ นอนุรกั ษด์ นิ และนา้ 4. ดา้ นนโยบาย จุดแขง็ (Strength) จดุ อ่อน (Weakness) - กรมฯ ใหค้ วามสาคัญในการคดั เลอื กพื้นที่ต้นแบบ - ยังขาดการรับรู้ของหน่วยงานผู้ปฏิบัติงานใน ในการบรหิ ารจัดการเชงิ พนื้ ท่ีระดับลมุ่ นา้ ระดับพน้ื ที่ - กรมฯ กาหนดใหเ้ ป็นแผนปฏบิ ัติการโครงการระยะ - ยังขาดการเช่ือมโยงงานด้านแผนงาน วิชาการ 20 ปี และปฏบิ ตั กิ าร เพอื่ ขบั เคล่อื นงานส่รู ะดบั พนื้ ที่ - หน่วยงานมฐี านข้อมลู เชงิ วิชาการในการสนบั สนนุ และวางแผน โอกาส (Opportunity) ปญั หา (Threat) - แผนบริหารฯ มีความสอดคล้องกับยุทธศาสตร์ - แผนงาน/โครงการยังไม่สามารถสนับสนุนได้ ชาติ ยุทธศาสตร์ท่ี 5: ด้านการเติบโตคุณภาพชีวิต ครอบคลุมทุกสภาพปัญหาของพ้ืนที่ เนื่องจาก ท่ีเป็นมิตรกับส่ิงแวดล้อม แผนแม่บทการบริหาร ข้อจากัดทางด้านงบประมาณ จัดการนา้ ท้ังระบบ - ขาดการติดตามและประเมินผลตามตัวชี้วัดท่ี - แผนบริหารฯ อย่ใู นแผนแม่บทการบริหารจัดการ ครอบคลุมในทุกมิติทางการภาพ สังคม และ ทรัพยากรน้า 20 ปี ของสานักงานทรัพยากรน้า เศรษฐกจิ แห่งชาติ ในด้านที่ 5 การอนุรักษ์ฟื้นฟูพ้ืนที่ เกษตรกรรมในพ้ืนท่ีดินเสื่อมโทรมและการชะล้าง พงั ทลายของดิน - การดาเนินงานเพื่อแกไ้ ขปัญหาและพฒั นาพนื้ ที่มี ความสอดคล้องและเช่ือมโยงกับหลายหน่วยงาน
72 จาการวิเคราะห์สภาพแวดลอ้ มภายในและภายนอก (SWOT Analysis) ในข้างต้นสามารถนาผลการ วิเคราะห์ดังกล่าวมาทาการวิเคราะห์ TOWS Matrix ซึ่งเป็นการวิเคราะห์ถึงความสัมพันธ์ระหว่างจุดแข็ง กับโอกาส จุดแข็งกับข้อจากัด จุดอ่อนกับโอกาส และจุดอ่อนกับอุปสรรค เพื่อนามากาหนดแนวทางและ มาตรการสาหรับการพัฒนาพื้นท่ีเพ่ือป้องกันการชะล้างพังทลายของดินและฟื้นฟูพื้นที่เกษตรกรรม สาหรับเป็นแนวทางในการกาหนดมาตรการด้านการอนุรักษ์ดินและน้า กาหนดแผนงาน/โครงการสนับส นุนที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนการจัดลาดับความสาคัญของปัญหาในการกาหนดแผนการดาเนินการและกลไก การขบั เคลื่อนแผนบริการจัดการโครงการในลาดบั ต่อไป
73 4
74 4 เขตการใช้ที่ดินเป็นผลจากการวิเคราะห์ข้อมูลสถานภาพของทรัพยากรธรรมชาติและสภาพการใช้ ท่ดี ินรว่ มกบั ข้อกฎหมายที่เกย่ี วข้องภายในพื้นทโ่ี ครงการฯ โดยการวเิ คราะห์อยภู่ ายใต้เงื่อนไขทต่ี ้องรักษา สภาพปา่ ไม้และระบบนเิ วศของพ้ืนท่ีไว้ รว่ มกบั การใช้พน้ื ท่ีให้เหมาะสมกับศักยภาพของท่ีดนิ ตามประเภท การใช้ท่ีดิน ภายใต้ข้อจากัดการใชท้ ี่ดินของภาครัฐ และต้องสอดคล้องกับภาวะเศรษฐกิจสังคมของชมุ ชน ในพนื้ ท่ตี ามแนวทางเศรษฐกิจพอเพยี ง โดยเน้นการมีสว่ นร่วมของชุมชนและภาครัฐในการพิจารณาจัดทา แผนการใช้ที่ดินในพ้ืนท่ีโครงการฯ เพื่อให้เกิดการใช้ประโยชน์พ้ืนที่อย่างยั่งยืน และคงไว้ซ่ึงสมดุลของ ระบบนิเวศรวมท้ังก่อให้เกิดประโยชน์ในแง่ของการฟ้ืนฟูและอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติในพ้ืนท่ี โครงการฯ ตอ่ ไป จากการวิเคราะห์ฐานข้อมูลเพ่ือการพิจารณากาหนดเขตการใชท้ ี่ดินในพื้นที่ลุ่มนา้ คลองกุย สามารถ กาหนดเขตการใช้ทดี่ นิ ในพ้ืนที่ ได้เปน็ 6 เขตหลกั คอื 1) เขตพืน้ ที่ป่าไม้ตามกฎหมาย 2) เขตเกษตรกรรม 3) เขตชุมชนและส่ิงปลูกสร้าง 4) เขตแหล่งน้า และ 5) เขตพื้นท่ีคงสภาพป่าไม้นอกเขตป่าตามกฎหมาย 6) เขตพ้ืนทอ่ี ่ืน ๆ (ตารางที่ 4-1 และภาพท่ี 4-1) โดยมรี ายละเอยี ด ดังน้ี เขตพน้ื ท่ีป่าไม้ตามกฎหมายในพ้นื ท่ีโครงการฯ มเี นื้อที่ 276,873 ไร่ หรอื รอ้ ยละ 83.76 ของเนอ้ื ท่ีลุม่ นา้ พนื้ ทีใ่ นเขตนเี้ ป็นบริเวณทมี่ กี ารประกาศเปน็ เขตป่าไมต้ ามกฎหมาย รวมถงึ บริเวณทีม่ มี ติคณะรัฐมนตรี เกี่ยวกับการใช้ทรัพยากรท่ีดิน พ้ืนที่เขตอุทยานแห่งชาติ พ้ืนท่ีเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าหรือพื้นท่ีช้ันคุณภาพ ลุ่มน้าชั้นท่ี 1 และช้ันที่ 2 และเม่ือพิจารณาตามวัตถุประสงค์หลักของการประกาศเขตป่าไม้ ความ เหมาะสมของท่ดี ินต่อการทาเกษตรบนพ้นื ทีส่ ูงในดา้ นความลาดชนั ของพื้นท่ีและความลกึ ของดิน สามารถ กาหนดเขตการใชท้ ีด่ นิ โดยมีรายละเอยี ด ดงั น้ี เขตน้ีมีเนื้อท่ี 232,898 ไร่ หรือร้อย ละ 70.45 ของเนื้อทล่ี มุ่ นา้ สภาพพื้นท่ปี ัจจุบันมลี กั ษณะเป็นป่าสมบูรณ์ ขอ้ เสนอแนะการใช้พน้ื ท่ใี นเขตคมุ้ ครองสภาพปา่ จากการท่ีรัฐบาลมีนโยบายทเ่ี ดน่ ชัดในการรักษาพื้นที่ป่าไม้ โดยเฉพาะบรเิ วณที่เป็นป่าสมบูรณ์ให้ คงสภาพอยู่ เพ่ือรักษาความสมดุลของระบบนิเวศภายในพื้นท่ีลุ่มน้า ดังนั้นในการใช้พื้นที่ดังกล่าวจึงควร ดาเนนิ การ ดังนี้
75 - ควบคุมมใิ ห้มกี ารเปลีย่ นแปลงสภาพป่าตามธรรมชาติไปใช้ประโยชน์ในรปู แบบอื่น - ควรมีการบารุงรักษาสภาพป่าธรรมชาติตามหลักวชิ าการ - ดาเนินการป้องกันและปราบปรามการลักลอบตัดไม้ทาลายป่า ให้มีประสิทธิภาพและมีการ ปฏบิ ตั อิ ยา่ งตอ่ เน่ือง รวมท้งั ดาเนินการกบั ผกู้ ระทาผิดอย่างเด็ดขาด - ถา้ บรเิ วณนี้มีการบกุ รกุ พื้นท่ีในภายหลงั เจ้าหน้าทีผ่ รู้ บั ผิดชอบในพ้นื ท่ีควรรีบดาเนินการปลกู ป่า ทดแทนโดยเรว็ และป้องกนั การบกุ รุกเพ่ิม - ควรส่งเสริมใหร้ าษฎรในพ้ืนท่ี และพื้นที่ข้างเคียงเหน็ คุณค่าของทรพั ยากรป่าไม้ และมีส่วนรว่ ม ในการดูแลรักษาป่าไม้ เขตน้ีมีเน้ือท่ี 12,547 ไร่ หรือร้อยละ 3.80 ของเน้ือที่ลุ่มน้า พื้นที่ในเขตน้ีปัจจุบันมีสภาพเป็นพื้นที่ป่ารอสภาพฟ้ืนฟู และบาง บริเวณมีการใชป้ ระโยชน์เพ่ือการเกษตร ได้แก่ บริเวณท่ีมีการปลูกสับปะรด ในสภาพพ้ืนท่ีมีความลาดชนั มากกวา่ 50 เปอรเ์ ซ็นต์ สว่ นใหญ่มีการใชพ้ ื้นท่เี พ่ือปลกู สับปะรด ป่ารอสภาพฟน้ื ฟู และทุง่ หญา้ สลบั ไม้พุ่ม หรือไมล้ ะเมาะ ข้อเสนอแนะการใช้พ้ืนทใ่ี นเขตฟื้นฟสู ภาพปา่ ธรรมชาติ - กาหนดมาตรการและแนวทางในการป้องกันมิให้ราษฎรบุกรุกพื้นที่ในเขตนี้เพื่อนากลับมาใช้ ด้านการเกษตร รวมทัง้ ป้องกนั มใิ ห้มกี ารเปิดพื้นทปี่ า่ เพื่อทาการเกษตรเพ่มิ - ควรจัดทาแนวกันไฟเพื่อป้องกันไฟป่าท่ีอาจเกิดข้ึนได้จากธรรมชาติหรือจากกจิ กรรมของมนุษย์ เพื่อให้ปา่ ไมม้ ีการฟน้ื ตวั ตามธรรมชาติทส่ี มบรู ณ์ เขตนี้มี เน้ือท่ี 31,428 ไร่ หรือร้อยละ 9.51 ของเน้ือที่ลุ่มน้า พ้ืนที่ในเขตนี้ปัจจุบันเป็นบริเวณที่มีการใช้ที่ดินเพื่อ การปลูกยางพารา มะมว่ ง ไม้ผลผสม และสบั ปะรด - เขตพ้ืนที่ท่ีมีการใช้ท่ีดินเพื่อการเกษตรท่ีมีแนวโน้มของการชะล้างพังทลายสูง (หน่วยแผนที่ 131) เขตน้ีมีเน้ือท่ี 72 ไร่ หรือร้อยละ 0.02 ของเนื้อที่ลุ่มน้า พ้ืนที่ เขตน้ีปัจจุบันมีการใช้ที่ดิน เพื่อการ ปลูกยางพารา มะม่วง ไมผ้ ลผสม ซงึ่ ดนิ เป็นดนิ ตนื้ ในสภาพพนื้ ที่มี ความลาดชนั 35-50 เปอรเ์ ซน็ ต์ หรอื บริเวณท่ีมีการปลูกสับปะรด ซ่ึงดินเป็นดินลึกในสภาพ พื้นท่ีมีความลาดชัน 35-50 เปอร์เซ็นต์ และเป็น บริเวณซ่ึงมีความเสี่ยงต่อการชะลา้ งพังทลายในระดบั รุนแรงถึงรนุ แรงมากทีส่ ุด - เขตพ้ืนท่ีที่มีการใช้ท่ีดินเพ่ือการเกษตรที่มีแนวโน้มของการชะล้างพังทลายปานกลาง (หน่วย แผนท่ี 132) มีเน้ือท่ี 6,912 ไร่ หรือร้อยละ 2.09 ของเนื้อที่ลุ่มน้า พื้นที่ เขตนี้ปัจจุบันมีการใช้ท่ีดิน เพื่อ การปลกู ยางพารา สบั ปะรด และมะม่วง ในสภาพพน้ื ท่มี ีความลาดชัน 12-35 เปอรเ์ ซ็นต์ และเป็นบริเวณ ซงึ่ มีความเสยี่ งต่อการชะลา้ งพงั ทลายในระดับปานกลางถึงรนุ แรง - เขตพื้นท่ีท่ีมีการใช้ที่ดินเพื่อการเกษตรท่ีมีแนวโน้มของการชะล้างพังทลายต่า (หน่วยแผนท่ี 133) มเี นอ้ื ที่ 24,434 ไร่ หรอื ร้อยละ 7.39 ของเนอ้ื ที่ล่มุ น้า พนื้ ที่เขตนี้ ปัจจุบนั มีการใชท้ ีด่ ินเพื่อการปลูก
76 ยางพารา สบั ปะรด ปาลม์ นา้ มัน และมะมว่ ง ในสภาพพ้ืนทมี่ ีความลาดชันต่ากว่า 12 เปอรเ์ ซน็ ต์ และเป็น บริเวณซงึ่ มคี วามเสยี่ งต่อการชะล้างพงั ทลายในระดับน้อยถงึ ปานกลาง - เขตพ้ืนท่ีท่ีมีการใช้ท่ีดินเพื่อการเกษตรควรมีการปรับรูปแปลงนา (หน่วยแผนที่ 134) มีเน้ือที่ 10 ไร่ หรือร้อยละ 0.01 ของเน้ือที่ลุ่มน้า พ้ืนที่เขตนี้ปัจจุบันมีการใช้ที่ดินเพื่อการทานา ในสภาพพ้ืนท่ีมี ความลาดชนั ต่ากว่า 12 เปอร์เซ็นต์ ข้อเสนอแนะการใชพ้ นื้ ท่ใี นเขตฟ้นื ฟทู รัพยากรธรรมชาติภายใต้เง่ือนไข - ให้หน่วยงานท่ีเกี่ยวข้องปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรี เม่ือวันท่ี 30 มิถุนายน2541 เร่ือง มาตรการและแนวทางแก้ไขปัญหาทดี่ ินป่าไม้ โดยมงุ่ เน้นแก้ไขปญั หาในพ้ืนทปี่ ่าอนุรักษ์ตามกฎหมาย เชน่ เขตอุทยานแห่งชาติ และพ้ืนท่ีป่าอนุรักษ์ตามมติคณะรัฐมนตรี กาหนดให้กรมป่าไม้สารวจพ้ืนที่ที่มีการ ครอบครองใหช้ ดั เจน - ใหห้ น่วยงานท่เี กี่ยวขอ้ งปฏบิ ัตติ ามมติคณะรฐั มนตรี เม่อื วันที่ 16 กนั ยายน 2540 เรอ่ื ง แผนการ จัดการทรัพยากรที่ดินและป่าไม้ระดับพื้นที่ เพื่อให้เกิดการบริหารจัดการทรัพยากรที่ดินและป่าไม้อย่างมี ระบบ โดยให้มีการอนุรักษ์ควบคู่กับการพัฒนาท่ีย่ังยืน และสงวนรักษาไว้ซึ่งทรัพยากรป่าไม้ท่ีเหลืออยู่ รวมถึงฟ้ืนฟูป่าที่เสื่อมสภาพ โดยต้องอยู่บนหลักในการลดปัญหาความขัดแย้งของการใช้ทรัพยากรใน พ้ืนท่ี - ควรเพ่ิมมาตรการในการอนุรักษ์ที่เข้มงวด จริงจัง และต่อเนื่อง เพื่อคงสภาพป่าไม้ให้มีความ สมบูรณ์ โดยการพัฒนาด้านต่าง ๆ ต้องคานึงถึงความย่ังยืนของระบบนิเวศและผลกระทบต่อพื้นที่ลุ่มน้า ด้านล่าง โดยเฉพาะแนวทางจัดการให้พื้นที่ป่าไม้เป็นตัวควบคุมปริมาณน้าในลุ่มน้าในเวลาท่ีเหมาะสม เชน่ การสร้างฝายชะลอนา้ ในบรเิ วณทเี่ หมาะสม - ควรเร่งปลูกป่าทดแทนและฟื้นฟูสภาพป่าเพื่อรักษาระบบนิเวศลุ่มนา้ บริเวณพ้ืนที่ที่มีความลาด ชนั สงู และพ้ืนท่ีเส่ยี งตอ่ การชะล้างพังทลาย โดยเพม่ิ มาตรการอนรุ กั ษด์ นิ และนา้ ที่เหมาะสม เช่น การปลูก หญา้ แฝกและสรา้ งฝายชะลอน้า เปน็ ตน้ - ควรส่งเสริมและรณรงคใ์ ห้ราษฎรในพนื้ ท่ีเห็นถงึ คณุ ค่าของทรัพยากรปา่ ไม้และมีสว่ นร่วมในการ ดูแลและบารงุ รกั ษาผนื ป่าในพื้นทีร่ ่วมกนั มีเนื้อท่ีประมาณ 39,944 ไร่ หรือร้อยละ 12.08 ของเน้ือท่ีลุ่มน้า พื้นท่ีในเขตนี้อยู่นอกเขตท่ีมีการ ประกาศเป็นเขตป่าไม้ตามกฎหมาย ซ่ึงเป็นพื้นท่ีทากินมีการออกเอกสารสิทธิ์ (โฉนด ส.ป.ก. คทช.) และ จากการพิจารณาสามารถแบ่งพื้นท่ีตามความเหมาะสมของท่ีดินตามศักยภาพของพ้ืนท่ีได้เป็น 7 เขตย่อย ดังนี้ มีเน้ือท่ีประมาณ 263 ไร่ หรือร้อยละ 0.08 ของเนื้อที่ลุ่มน้า พ้ืนที่เขตน้ีมีการใช้ประโยชน์
77 ท่ีดินเพ่ือการปลูกสับปะรด และยางพารา ในสภาพพื้นท่ีมีความลาดชันมากกว่า 50 เปอร์เซ็นต์ มี ขอ้ เสนอแนะในการใชพ้ ้นื ทีเ่ ขตฟ้นื ฟูสภาพพนื้ ทเี่ กษตรกรรม เพื่อการรกั ษาระบบนิเวศต้นนา้ ดังน้ี - ภาครัฐควรกาหนดเป้าหมายในการควบคุมการใช้พื้นที่ในเขตดังกล่าวรวมถึงรณรงค์ให้มีการใช้ ประโยชน์ทด่ี ินเพื่อการปลูกป่าหรือระบบวนเกษตร และสง่ เสรมิ มาตรการอนรุ ักษ์ดินและน้าท่ีเหมาะสมกับ สภาพพ้ืนท่ี - ส่งเสริมให้มีการใช้ปุ๋ยและสารปราบศัตรูพืชท่ีเป็นชีวภาพทดแทนการใช้สารเคมีเน่ืองจาก สารเคมจี ะตกคา้ งในดนิ และแหล่งนา้ และจะส่งผลต่อระบบนเิ วศของพ้ืนที่ปลายน้า มเี นอ้ื ทป่ี ระมาณ 2,293 ไร่ หรอื รอ้ ยละ 0.69 ของเนื้อทล่ี ่มุ นา้ พื้นท่ีเขต นี้มีการใช้ที่ดินเพ่ือการปลูกสับปะรด ในสภาพพื้นที่มีความลาดชัน 20-35 เปอร์เซ็นต์ หรือบริเวณท่ีมีการ ปลูกยางพารา และมะม่วง ในสภาพพื้นท่ีมีความลาดชัน 35-50 เปอร์เซ็นต์ มีข้อเสนอแนะในการใช้พื้นที่ เขตพนื้ ท่เี กษตรกรรมทต่ี ้องเร่งรดั ดาเนินการจดั ทาระบบอนุรักษด์ นิ และนา้ ดังน้ี - ในบริเวณพ้ืนทมี่ คี วามลาดชนั สูง และเส่ียงต่อการชะลา้ งพงั ทลาย ควรจดั ทาระบบอนุรักษ์ดิน และน้า เช่น การปลูกไม้ยืนต้นร่วมกับหญ้าแฝกขวางความลาดเทบนแนวคันดิน ทาอาคารชะลอความเร็วน้า ร่วมกับการใช้หญ้าแฝก ฝายชะลอน้า คันดินเบนน้า คูรับน้ารอบขอบเขา เพ่ือป้องกันการชะล้างพังทลาย ของดิน และช่วยเก็บความช้ืนไว้ในดิน รวมทั้งมีการจัดระบบการปลูกพืชให้เหมาะสมกับสภาพพ้ืนที่ และ บารงุ ดนิ ด้วยปยุ๋ หมักหรือปยุ๋ คอก เพ่อื เพม่ิ อนิ ทรียวัตถุใหด้ ิน - ในกรณีท่ีเป็นดินดีหรือดินลกึ ควรทาเป็นคันดินสาหรับปลูกพืชลม้ ลุกที่มีมูลค่าทางเศรษฐกิจ สูง หรือถ้ามกี ารปลูกไม้ยืนต้นควรปลูกพชื คลมุ ดินรว่ มดว้ ย - ในกรณีท่ีเป็นดินต้ืนไม่ควรปลูกพืชไร่หรือพืชล้มลุก ควรปลูกไม้ยืนต้นขวางความลาดเทของ พ้ืนท่ี และปลูกพืชคลุมดินระหว่างต้นพืช และควรทาคันคูรอบเขาเพื่อระบายน้า ในกรณีที่ปลูกไม้ยืนต้นและ ต้องการปลกู พชื แซมระหวา่ งแถวก่อนไม้ยืนต้นโตน้นั ไมค่ วรมีการไถพรวน เนือ่ งจากพื้นที่มีความลาดชันสูง ทาให้เกดิ การสญู เสียหน้าดนิ ได้ง่าย มีเน้ือท่ีประมาณ 6,216 ไร่ หรือร้อยละ 1.88 ของเน้ือที่ลุ่มน้า พ้ืนท่ีเขตนี้มีการใช้ ที่ดินเพ่ือการปลูกสับปะรด ยางพารา ปาล์มน้ามัน และมะม่วง ในสภาพพ้ืนท่ีมีความลาดชัน 12-20 เปอร์เซ็นต์ หรือบริเวณที่มีการปลูกยางพารา ปาล์มน้ามัน และมะม่วง ในสภาพพื้นที่มีความลาดชัน 20-35 เปอรเ์ ซ็นต์ มีข้อเสนอแนะในการใช้พ้ืนที่เขตพ้ืนท่ีเกษตรกรรมท่ีควรส่งเสริมมาตรการในการ อนุรักษ์ดินและ น้า โดยในบริเวณพื้นท่ีที่มีความลาดชนั สูง และเส่ียงต่อการชะล้างพังทลายควรจัดทาระบบอนุรักษ์ดินและ นา้ โดยใช้ระบบพชื ในการอนรุ ักษ์ดินและนา้ เช่น การปลูกแถบหญ้าแฝก ปลูกพืชสลบั เป็นแถบ หรอื ปลกู พืช
78 คลุมดิน เพ่ือป้องกันการชะล้างพังทลายของดิน และช่วยเก็บความชื้นไว้ในดินรวมท้ังมีการจัดระบบการ ปลกู พืชให้เหมาะสมกบั สภาพพืน้ ท่ี และบารุงดนิ ด้วยปยุ๋ หมักหรอื ปุ๋ยคอก เพื่อเพม่ิ อินทรยี วตั ถุให้ดิน มีเนือ้ ที่ประมาณ 30,457 ไร่ หรือรอ้ ยละ 9.21 ของเนื้อท่ลี ุ่มน้า พ้ืนท่เี ขตน้มี ีการใชท้ ี่ดินเพื่อ การปลูกพชื ไร่ ไม้ผล และไมย้ นื ตน้ ในสภาพพ้นื ท่ีมีความลาดชนั นอ้ ยกว่า 12 เปอร์เซ็นต์ มขี ้อเสนอแนะใน การใชพ้ ืน้ ทเ่ี ขตพ้นื ทีเ่ กษตรกรรมมคี วามลาดชนั น้อยกวา่ 12 เปอรเ์ ซน็ ต์ ดังนี้ - ควรทาคันดินเบนน้าเพ่ือป้องกันน้าท่ีจะไหลบ่าเข้ามาจากพื้นท่ีด้านนอก ซ่ึงอาจจะทาความ เสียหายให้แก่พืชในพ้ืนท่ีได้ และยังช่วยลดการชะล้างพังทลายของดิน และอาจต้องทาทางระบายน้าออก จากพน้ื ทีแ่ ต่ถา้ มที างนา้ ธรรมชาติอยู่แล้วควรรักษาให้อยู่ในสภาพดี - ควรจัดระบบปลูกพืชให้เหมาะสมโดยการไถพรวน และปลูกพืชขวางความลาดเท และควรจัดให้มี พืชข้ึนปกคลุมหน้าดินตลอดทั้งปี สนับสนุนการปลูกไม้โตเร็วควบคู่กับการอนุรักษ์ดินและน้า เน้นการทา การเกษตรแบบผสมผสานตามแนวทางเศรษฐกจิ พอเพยี ง โดยเน้นการปลูกพชื ให้หลากหลายชนดิ ทั้งไม้ผล ไม้ยืนต้น พืชไร่ และพชื ผัก - พัฒนากระบวนการผลิตไม้ผล ส่งเสริมการผลิตพืชปลอดสารพิษ เพิ่มศักยภาพการผลิตโดย ปรบั ปรงุ โครงสร้างของดินดว้ ยการปลูกพชื ตระกลู ถั่วในพืน้ ท่ี เพือ่ เพิ่มอินทรียวตั ถุแก่ดิน สง่ เสริมการใช้ปุ๋ย อนิ ทรีย์ และผลิตภณั ฑเ์ ทคโนโลยีชีวภาพทดแทนการใช้ปุ๋ยเคมีและสารเคมี มีเนอ้ื ทปี่ ระมาณ 129 ไร่ หรือร้อยละ 0.04 ของเน้ือที่ล่มุ นา้ ซ่งึ เป็นบริเวณทม่ี กี ารใช้ที่ดินเพื่อการทานา ดิน ที่พบในบริเวณน่ีเป็นดินลึก มีการระบายน้าดีปานกลาง และมีการทาคันนา ดินมีความอุดมสมบูรณ์ตาม ธรรมชาติต่า ส่วนใหญ่แหลง่ น้าในเขตน้ีพอเพียงสาหรบั การเพาะปลูกในช่วงฤดูฝนเท่าน้นั แต่ถ้าบริเวณใด มีปริมาณน้าพอเพียงก็สามารถปลูกพืชครั้งที่สองได้ มีข้อเสนอแนะในการใช้พื้นที่เขตพ้ืนที่เกษตรกรรมที่มี การทานา ดังน้ี - ควรมีการปรับพ้ืนที่ในแปลงนา เพ่ือรักษาระดับการขังของน้าให้เหมาะสมในระยะท่ีข้าว เจริญเติบโต - ควรปรับปรุงบารุงดินโดยการเพิ่มอินทรียวัตถุ เช่น ปุ๋ยหมัก ปุ๋ยคอก หรือปุ๋ยพืชสด เพื่อช่วย ปรับปรุงโครงสร้างของดิน และเพ่ิมธาตุอาหารที่เป็นประโยชน์สาหรับพืช ร่วมกับการใส่ปุ๋ยเคมีใน อัตราสว่ นทเ่ี หมาะสม มีเน้ือท่ีประมาณ 551 ไร่ หรือร้อยละ 0.17 ของเน้ือที่ลุ่มน้า โดยปัจจุบันมีสภาพเป็นทุ่งหญ้าธรรมชาติ ทุ่งหญ้าเลี้ยงสัตว์ หรือ โรงเรอื นเลย้ี งสัตว์ มีเน้ือท่ีประมาณ 35 ไร่ หรือร้อยละ 0.01 ของเนื้อทล่ี ุม่ น้า โดยปัจจบุ นั มสี ภาพเป็นพ้ืนทเี่ พาะเล้ยี งสตั ว์นา้ ร้าง
79 มเี นือ้ ทีร่ วมประมาณ 4,187 ไร่ หรือรอ้ ยละ 1.27 ของเน้ือที่ลุ่มนา้ มีเน้ือท่ีรวมประมาณ 6,162 ไร่ หรือร้อยละ 1.86 ของเนื้อท่ีลุ่มน้า ได้แก่ แหล่งน้าธรรมชาติ มีเนื้อที่ ประมาณ 1,401 ไร่ หรือร้อยละ 0.42 ของเนื้อท่ีลุ่มน้า และแหล่งน้าท่ีมนุษย์สร้างข้ึน มีเนื้อที่ประมาณ 4,761ไร่ หรอื ร้อยละ 1.44 ของเนอ้ื ท่ีลุ่มน้า มีเน้ือที่ประมาณ 3,181 ไร่ หรือร้อยละ 0.96 ของเน้ือที่ลุ่มน้า พ้ืนที่ในเขตนี้มีสภาพเป็นป่าค่อนข้าง สมบูรณ์แต่อยู่นอกเขตป่าสงวนแห่งชาติ สภาพพื้นที่โดยท่ัวไปมีความลาดชันค่อนข้างมาก รวมถึงพ้ืนท่ีดิน ต้ืนมีกรวดหินปะปน พ้ืนท่ีในเขตนี้กระจายตัวอย่เู ป็นหย่อม ๆ ต่อจาก เขตป่าสงวนแหง่ ชาติ ซ่ึงควรรักษา พนื้ ทไ่ี ว้ใช้ประโยชนร์ ว่ มกันหรือจัดทาเปน็ ปา่ ชมุ ชน ขอ้ เสนอแนะในการใช้พ้ืนทเ่ี ขตพื้นทีค่ งสภาพปา่ ไมน้ อกเขตป่าตามกฎหมาย - ควรมีการใช้ประโยชน์พ้ืนท่ีโดยปลูกไม้โตเร็ว และยึดหลักการใช้ที่ดินแบบผสมผสานระหว่างป่าไม้ กบั การเกษตร - ควรป้องกันและรักษาสภาพป่าไม้ให้คงความสมบูรณ์และมีความหลากหลายทางชีวภาพ โดยให้ ชมุ ชนมสี ว่ นร่วมในการจดั การ เพอื่ ใหม้ ีการใชป้ ระโยชนจ์ ากไม้และของป่ารว่ มกนั อยา่ งพอเพยี งและยั่งยนื มีเนือ้ ทป่ี ระมาณ 236 ไร่ หรอื ร้อยละ 0.07 ของเนื้อท่ีล่มุ นา้ ตารางที่ 4-1 แผนการใช้ท่ีดินเพ่ือการอนุรักษ์ดินและน้าในพื้นที่ลุ่มน้าคลองกุย อาเภอกุยบุรี และอาเภอสามร้อยยอด จังหวัดประจวบครี ขี ันธ์ สัญลกั ษณ์ เขตการใชท้ ดี่ ิน เนื้อท่ี ไร่ รอ้ ยละ 1. เขตพน้ื ทีป่ า่ ไมต้ ามกฎหมาย 276,873 83.76 11 1.1 เขตคุ้มครองสภาพปา่ ตามกฎหมาย 232,898 70.45 12 1.2 เขตฟน้ื ฟสู ภาพปา่ ตามธรรมชาติ 12,547 3.80 1.3 เขตฟืน้ ฟทู รัพยากรธรรมชาตภิ ายใตเ้ ง่อื นไข 31,428 9.51 131 - เขตพนื้ ท่ีทมี่ กี ารใชท้ ดี่ นิ เพื่อการเกษตรที่มแี นวโนม้ ของการชะลา้ ง 72 0.02 พงั ทลายสงู 132 - เขตพ้ืนทที่ ่มี กี ารใชท้ ่ดี ินเพอ่ื การเกษตรที่มแี นวโนม้ ของการชะล้าง 6,912 2.09 พังทลายปานกลาง
80 ตารางท่ี 4-1 แผนการใช้ท่ีดินเพ่ือการอนุรักษ์ดินและน้าในพ้ืนท่ีลุ่มน้าคลองกุย อาเภอกุยบุรี และอาเภอสามร้อยยอด จงั หวดั ประจวบคีรขี นั ธ์ (ตอ่ ) สัญลกั ษณ์ เขตการใช้ที่ดิน เนอื้ ท่ี ไร่ รอ้ ยละ 133 - เขตพื้นที่ท่มี กี ารใช้ที่ดนิ เพ่อื การเกษตรที่มแี นวโนม้ ของการชะลา้ ง 24,434 7.39 พังทลายตา่ 10 0.01 134 - เขตพื้นท่ีทม่ี ีการใชท้ ่ีดนิ เพอื่ การเกษตรควรมกี ารปรับรูปแปลงนา 39,944 12.08 2. เขตเกษตรกรรม 0.08 263 0.69 21 เขตฟื้นฟูสภาพพน้ื ท่ีเกษตรกรรมเพื่อการรกั ษาระบบนิเวศต้นนา้ 2,293 22 เขตพน้ื ที่เกษตรกรรมทตี่ อ้ งเร่งรัดดาเนนิ การจดั ทาระบบอนุรักษ์ดนิ 6,216 1.88 และน้าดว้ ยวธิ กี ลท่ีเข้มขน้ 23 เขตพืน้ ที่เกษตรกรรมทค่ี วรส่งเสรมิ มาตรการในอนุรักษด์ นิ และนา้ 30,457 9.21 อยา่ งเข้มขน้ 129 0.04 24 เขตพน้ื ที่เกษตรกรรมทม่ี คี วามลาดชันน้อยกว่า 12 เปอร์เซน็ ต์ ควร 551 0.17 35 0.01 แนะนาการจดั ระบบปลกู พืช 4,187 1.27 25 เขตพน้ื ที่เกษตรกรรมท่ีควรมกี ารปรับรปู แปลงนา 4,187 1.27 26 เขตพัฒนาทงุ่ หญา้ เลี้ยงสตั ว์ 6,162 1.86 27 เขตพัฒนาการประมง 6,162 1.86 3. เขตชุมชนและสิ่งปลกู สร้าง 3,181 0.96 3 เขตชมุ ชนและสิ่งปลูกสร้าง 3,181 0.96 4. เขตแหล่งน้า 236 0.07 4 เขตแหล่งนา้ 236 0.07 5. เขตพ้ืนทคี่ งสภาพปา่ ไม้นอกเขตปา่ ตามกฎหมาย 330,583 100.00 5 เขตพน้ื ทีค่ งสภาพปา่ ไมน้ อกเขตปา่ ตามกฎหมาย 6. เขตพ้ืนทีอ่ ่ืน ๆ 6 เขตพื้นทอ่ี ่นื ๆ รวมเนื้อท่ที ้ังหมด
81 ภาพท่ี 4-1 เขตการใชท้ ่ีดนิ เพ่ือการอนรุ ักษ์ดินและน้า ล่มุ น้าคลองกยุ จังหวดั ประจวบครี ีขนั ธ์
ตารางท่ี 4-2 สรปุ แนวทางแผนการใชท้ ่ีดนิ เพ่อื การอนรุ กั ษ์ดนิ และนา้ พ้นื ที่ล่มุ แม่คลองกุย อาเภอกยุ บรุ ี และอาเภอสามรอ้ ยยอด จงั หวัดประจวบคีรขี นั ธ์ 82
ตารางท่ี 4-2 สรปุ แนวทางแผนการใชท้ ่ีดินเพ่อื การอนรุ กั ษ์ดนิ และนา้ พ้นื ท่ลี ุ่มแม่คลองกุย อาเภอกุยบรุ ี และอาเภอสามรอ้ ยยอด จังหวดั ประจวบครี ขี ันธ์ (ตอ่ ) 83
ตารางท่ี 4-2 สรปุ แนวทางแผนการใชท้ ่ดี ินเพ่อื การอนรุ กั ษ์ดนิ และนา้ พ้นื ท่ลี ุ่มแม่คลองกุย อาเภอกุยบรุ ี และอาเภอสามรอ้ ยยอด จังหวดั ประจวบครี ขี ันธ์ (ตอ่ ) 84
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144