Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore อารยธรรมจีน

อารยธรรมจีน

Published by soontornwongchalard, 2020-06-16 05:31:17

Description: อารยธรรมจีน

Search

Read the Text Version

สภาพภมู ศิ าสตร์ จนี มพี ื้นทที่ ้ังหมดประมาณ 906 ลา้ นตารางกิโลเมตร ถือไดว้ า่ เป็นประเทศที่มอี าณาเขตใหญท่ ีส่ ดุ ในเอเชยี พืน้ ที่ส่วนใหญ่ ประมาณ 2 ใน 3 ปกคลมุ ด้วยภเู ขา เทือกเขา ทรี่ าบสูง ทะเลทราย

ก่อนประวัตศิ าสตร์ (3 ลา้ นปกี ่อน – ก่อนคริสศตวรรษท่ี 21) มกี ารขดุ พบซากฟอสซิลโบราณของ ‘มนุษยอ์ ูซาน’ทม่ี อี ายกุ ว่า 2,000,000 ปี ท่ีอาํ เภออูซานในมณฑลฉงช่ิง โครงกระดกู มนษุ ย์หยวนเหมย มนษุ ย์ หลนั เถยี น มนุษยป์ กั กิ่ง และ มนุษย์ถ้ํา เคร่อื งมือหนิ กะเทาะแห่งยุคหนิ เก่า

ศิลปวฒั นธรรมจีน 1. แหล่งวัฒนธรรมสมยั หินเกา่ พบที่ถาํ้ โจเกาเถยี น ทาง ตะวันตกเฉียงเหนอื ของกรงุ ปักกิ่ง มกี ารค้นพบโครง กระดกู มนุษย์ปกั ก่งิ และ เครื่องมือเครือ่ งใช้ทท่ี ําดว้ ยหิน ซากมนุษยป์ กั ก่งิ ในโจวโขว่ เตยี้ นตั้งอยู่บนภเู ขาหลงกู่หมู่บา้ นโจวโข่วเต้ียนเขตฝางซานนคร

แหล่งโบราณคดโี จวโขว่ เตยี้ น ไดร้ วบรวมกะโหลกศีรษะมนุษยท์ ่สี มบรู ณไ์ ว้ 6 หัว ฟอสซิลฟันของมนุษยป์ ักกิ่ง กระดกู หน้าผากมนษุ ย์ปกั ก่ิงชนิ้ แรกทพ่ี บในปี ค.ศ.1929

2. แหล่งวัฒนธรรมสมัยหินใหม่ พบในแมนจูเลียและมองโกล ได้แกแ่ หลง่ วัฒนธรรม ยางเชา (Yang-shaow)และแหลง่ วฒั นธรรมลงุ ชาน(Lung-shan)

วฒั นธรรมสมยั กอ่ นประวัติศาสตร์ของจีน  1.วัฒนธรรมยางเชา (Yang Shaow) ลมุ่ แม่นาํ้ ฮวงโห พบหลกั ฐานท่ี เป็นเครือ่ งปน้ั ดินเผามลี กั ษณะ สําคัญคือเคร่อื งป้ันดนิ เผาเป็นลาย เขียนสี มักเปน็ ลาย เรขาคณิต พชื นก สัตวต์ า่ งๆ และพบใบหน้า มนุษย์ สีท่ใี ชเ้ ปน็ สีดาํ หรอื สมี ่วง เข้ม นอกจากนยี้ ังมกี ารพมิ พล์ าย หรอื ขดู สลักลายเปน็ รปู ลายจักสาน ลายเชือกทาบ

วฒั นธรรมสมยั ก่อนประวตั ิศาสตรข์ องจีน วัฒนธรรมหลงซาน ( Lung Shan Culture ) ลุม่ น้ําแยงซี พบหลกั ฐานท่เี ป็น เครื่องป้ันดนิ เผามลี ักษณะ สําคญั คือ เคร่ืองปนั้ ดนิ เผามี เน้ือละเอียดสดี าํ ขัดมนั เงา คณุ ภาพดีเน้ือบางและแกรง่ เป็นภาชนะ 3 ขา

ยุคก่อนประวตั ศิ าสตร์ของจีน ราชวงศ์เซีย่ (2000-1500 ก่อนคศ.) เร่มิ ตน้ การครองราชยโ์ ดยการสบื สายโลหิต เป็นราชวงศ์แรกท่ี ปกครองแบบพอ่ สืบทอดใหล้ ูก โดยเรมิ่ จากพระเจา้ เซ่ยี หวี่ ถึง พระเจ้าลวี่กยุ่ (เซีย่ เจ๋ยี ) เป็นชว่ งที่ผู้ปกครองมักใช้อาํ นาจใน การยึดครองทรัพยส์ นิ เปน็ ของสว่ นตวั เป็นช่วงทผี่ ู้ปกครองไมส่ นใจในการปกครองมีการแยง่ ชิง อาํ นาจ ในท่ีสดุ ถูกพวกซางรุกรานและยดึ ครอง

ยคุ ประวัติศาสตร์ของจนี ประวตั ศิ าสตรส์ มยั โบราณสมัย(ฟิวดัล) เรม่ิ ตงั้ แต่สมัยราชวงศ์ ชาง สน้ิ สุดสมยั ราชวงศโ์ จว ประวตั ิศาสตร์สมยั จกั รวรรดิ เร่มิ ตั้งแตส่ มัยราชวงศจ์ น๋ิ จนถงึ ปลายราชวงศ์ชิงหรอื เชง็ ประวัติศาสตร์สมยั ใหม่ เร่มิ ปลายราชวงศเ์ ช็งจนถงึ การปฏวิ ตั ิ เขา้ สูร่ ะบอบสงั คมนยิ ม ประวตั ศิ าสตร์รว่ มสมยั เริ่มตง้ั แตจ่ ีนปฏิวัติเปล่ียนแปลงการ ปกครองเขา้ ส่รู ะบอบสงั คมนิยมหรือคอมมวิ นสิ ตจ์ นถึงปจั จบุ นั

เขตพื้นท่ขี องราชวงศต์ า่ งๆตามประวตั ิศาสตร์ของจนี

อารยธรรมจีนสมัยประวตั ศิ าสตร์ 1. สมยั ฟิวดลั (Feudul System)อํานาจอย่กู ับขนุ นาง ราชวงศ์ชาง เป็นราชวงศแ์ รกของจนี มกี ารประดิษฐต์ วั อกั ษรขน้ึ ใชเ้ ป็น ครง้ั แรก พบจารึกบนกระดองเต่า และกระดูกววั เร่อื งที่จารกึ สว่ นใหญ่ เป็นการทํานายโชคชะตาจงึ เรียกว่า “กระดกู เสย่ี งทาย” มคี วามเชอื่ เร่ืองการบชู าบรรพบุรษุ มกี ารปกครองแบบนครรฐั

ราชวงศช์ างหรือยิน (ปี 1766-1028 ก่อน ค.ศ. ) ศูนย์กลางความเจริญอยู่บริเวณแมน่ ้ําเหลอื งในมลฑลเหอหนัน เหอ เปย่ ซันตุง เรอื่ งราวของราชวงศน์ ไ้ี ด้มาจากอกั ษรจีนท่จี ารกึ บน กระดองเตา่ และกระดกู วัว มกี ารแบง่ อาณาเขตเปน็ แคว้นขนึ้ ต่อ กษัตริย์ การปกครองคล้ายระบบศกั ดนิ า มีชนช้นั ปกครองท่ี เข้มแข็งกองทพั มปี ระสิทธิภาพ เน่อื งจากต้องทําสงครามเผ่าตา่ ง ตลอดเวลา และสร้างระบบความเชอ่ื และพิธีกรรมทางศาสนา เพ่ือเสริมสรา้ งบารมีของกษัตรยิ ์

ลกั ษณะทางสงั คม มีการแบ่งชนชั้นโดยใชฐ้ านะทางสงั คมและเศรษฐกิจเป็น ตวั กําหนด - ชนชนั้ สงู บา้ นเรอื นมุงหลงั คาดว้ ยกระเบือ้ งมีรวั้ รอบ - ชนชัน้ ตาํ่ บ้านคบั แคบ อดึ อดั ◊นับถอื เทพเจา้ ในธรรมชาติ บรรพบรุ ษุ ผู้ลว่ งลับและเทพ แหง่ สงคราม

การสิ้นสุด ปลายสมัยราชวงศ์ชาง ชนเผา่ ทางตะวันตกของ มณฑลฉ่านซีมอี าํ นาจมากขึ้นและยกทัพเข้ามาโค่น ล้มอํานาจพรอ้ มทั้งสถาปนาราชวงศ์ขึ้นมาใหม่ คือ ราชวงศโ์ จว

ศิลปวฒั นธรรมสมยั ราชวงศช์ าง (Shang Dynasty) ประมาณ 1700 ปีกอ่ น คริสตกาล มศี นู ย์กลางอยู่ที่บริเวณลุ่มน้ําฮวงโห งานศิลปวัฒนธรรมท่สี าํ คัญ เชน่ -การเขียนตัวอักษรบนกระดกู สตั ว์ เพ่อื ทําเป็นกระดกู เสี่ยงทาย -การทําเครือ่ งสาํ รดิ โลหะ เชน่ อาวธุ ภาชนะ ขวานสําริดรปู หน้าสัตว์ -การทําเครอ่ื งปน้ั ดินเผา เครื่องหยก เครื่องเคลือบ มงั กรหยกสลัก เครอ่ื งประดบั สมัยซาง กระดูกเส่ียงทาย ''ติ่ง'' 4 ขา สมัยซาง ใช้ในการเซน่ ไหว้ บรรพบุรษุ และบ่งบอกฐานะทางสังคม

ศิลปะสมัยชาง หยกสลักรูปคน เครื่องประดบั สมัยซาง มังกรหยกสลัก เครือ่ งประดับสมยั หงสห์ ยกสลัก เครื่องประดับสมยั ขวานสาํ รดิ รปู หนา้ สัตว์ ภาชนะบรรจเุ หลา้ รปู นกทําดว้ ยสํารดิ

อารยธรรมจนี สมยั ประวัตศิ าสตร์ ราชวงศ์โจวหรือจิว (1122-221 ปกี อ่ น ค.ศ.)แบง่ ออกเปน็ 2 สมัยคือ -โจวตะวนั ตก (1122-771 ปกี อ่ น ค.ศ.) ศูนยก์ ลางความเจริญอยู่ภาค ตะวันออกของเมืองซอี าน มลฑลฉา่ นซี -โจวตะวนั ออก (771-256 ปกี อ่ น ค.ศ.) ศูนย์กลางความเจรญิ อยูท่ ่เี มืองล่ัว หยาง มลฑลเหอหนัน  สมยั น้ีมกี ษตั ริย์ปกครอง 35 องค์ ถือเป็นราชวงศท์ ่ีมอี ายุยาวนานทีส่ ดุ  ทศั นคติเกีย่ วกบั อาณตั ิแหง่ สวรรค์(เทยี นหมงิ ) การปกครองแบบ สมบรู ณาญาสทิ ธริ าชย์  การปกครองคล้ายระบบศกั ดนิ าของยโุ รป

ความสําคญั เหล็กเขา้ มาแทนสาํ รดิ ทําใหเ้ กิดการบุกเบิกท่ีดินอย่าง กว้างขวาง มกี ารขุดคลองเพ่อื การเกษตร ความเชือ่ ท่ีวา่ จีนเปน็ ศูนย์กลางความเจรญิ ของโลก ไม่ ยอมรบั วัฒนธรรมของคนอ่ืน เป็นยุคทองทางนกั คิดและนกั ปราชญเ์ นอ่ื งจากความ วุ่นวายทางการเมอื งและสงคราม

ลกั ษณะเด่นในสมัยน้คี อื ระบบจงิ เทยี นหรอื ระบบบ่อนํา้ โดย กาํ หนดใหช้ าวนา 8 ครอบครัวมีท่ีนาคนละแปลง แตต่ ้อง ทํานาร่วมกัน ใหเ้ จา้ หน้าทฝี่ า่ ยปกครอง 1 แปลง เป็นการ เสียภาษแี กร่ ฐั วิธีหน่งึ ขุนนางสาํ คัญทีร่ ว่ มบกุ เบิกราชวงศ์โจว ได้แก่ „กุ้ย‟ ภาชนะใสอ่ าหารและเคร่อื งยศท่ี เจียงซ่าง(ซา้ ย) โจวกง(กลาง)และเจากง(ขวา) มพี ฒั นาการมาจาก „ต่งิ ‟

ศิลปวฒั นธรรมสมัยราชวงศ์โจว (chou เคร่อื งหยกสลักลวดลายมงั กร Dynasty) ประมาณ 1,122-200 ปีก่อนครสิ ตกาล งานศิลปวัฒนธรรมทส่ี าํ คัญ เชน่ -การทาํ โลหะสําริด -การทําภาชนะดนิ เผา -การทาํ เคร่อื งเคลือบ -การแกะสลักหยก ประณีต กวา่ สมัยราชวงศช์ าง ภาชนะใส่เหล้ารูปมา้ ศกึ ทาํ ดว้ ยสาํ ริด กระเบ้อื งมุงหลังคาดนิ เผาท่นี ิยมใชอ้ ยา่ งแพรห่ ลายในสมยั โจวตะวันตก

งานดา้ นวรรณกรรมและปรชั ญา นักปรชั ญาทสี่ ําคัญ ไดแ้ ก่ เมง่ จือ้ ขงจอื้ เล่าจอื้ โมจ่ อื้ เกดิ ลทั ธคิ วามเชอ่ื 2 ลัทธิคือ 1.ลัทธิเตา๋ เน้นความสมั พนั ธก์ บั ธรรมชาติ ไม่ยดึ ม่นั ใน กฎระเบยี บ ไมเ่ นน้ เหตุผล แตส่ อนให้คนร้จู กั ควบคมุ ตนเอง 2.ลัทธิขงจอ้ื เนน้ ความมเี หตผุ ล และยึดม่ันในขนบธรรมเนยี ม ประเพณี

 เล่าจอื๊ นกั ปราชญท์ ม่ี ีชอื่ เสียงชาวจีนท่สี ุด ท่านหนึง่ ของชนชาติจีน ที่เชื่อกันวา่ อาศัย อย่ใู นชว่ ง 400 ปี ก่อน ค.ศ. ในชว่ งของ สงครามปรชั ญา และสงครามการเมืองยคุ ชนุ ชิว เลา่ จือ๊ ได้เขียนตําราอนั เป็นแบบ แผนในทางเต๋า นัน่ คือ \"เต๋าเตก็ เกง็ \" ซ่ึง เปน็ ผลงานทางลทั ธิเตา๋ ทีย่ งั คงตกทอด มาถึงยุคปจั จุบนั นี้ เลา่ จือ๊ เปน็ นักปราชญ์ท่ี เชย่ี วชาญทางเตา๋ ประวัติศาสตร์ ภูมิศาสตร์ ดาราศาสตร์  เล่าจอ๊ื ได้ทาํ งานในราชวงศโ์ จว

 ขงจือ้ ขงฟจู่ ่ือ ขงจอ่ื คงฉิว หรอื คงซ้งนี) เปน็ นกั คดิ และนกั ปรัชญาสังคมท่มี ีชอื่ เสียงของจนี คําสอนของขงจ๊อื น้ัน ฝังรากอิทธิพลลึกลงไปใน สังคมเอเชยี ตะวันออกมาเป็นเวลาถงึ 20 ศตวรรษ หลักปรชั ญาของขงจ๊อื นัน้ เนน้ เก่ยี วกับ ศีลธรรมสว่ นตัว และศลี ธรรมในการปกครอง ความถูกต้องเหมาะสมของความสมั พันธใ์ น สงั คม และ ความยตุ ธิ รรมและบรสิ ุทธ์ใิ จ  ก่อนสน้ิ ใจ ขงจ๊ือไดท้ ิง้ ท้ายข้อความไวก้ บั ซื่อคง ไว้ว่า \"ขุนเขาตอ้ งพงั ทลาย ข่ือคานแขง็ แรงปาน ใด สุดท้ายต้องพังลงมา เหมอื นเช่น บณั ฑติ ท่ี สุดท้ายต้องรว่ งโรย\"

เม่งจือ้ เกดิ ท่ีเองโฉเสยี น อยใู่ นแคว้นลู้ ปจั จุบนั คือมณฑลชางตุง เม่งจื้อเกดิ ใน ตระกูลหมาง เดิมชื่อหมางโก เมง่ จอ้ื สาวกเอกของขงจอ้ื ท่านเป็นนักตคี วาม หลกั ปรัชญาของขงจ้ือ นอกจากน้นั ยงั เปน็ ที่เขา้ ใจกันว่า มีความคดิ ใหม่เพิม่ เตมิ อนั เป็นของเขาเอง ความคดิ ท่สี ําคัญที่ เพ่มิ เตมิ จากหลักคําสอนของขงจื้อ คอื กาํ เนิดความดีความช่วั ของบคุ คล กษัตริย์ ปกครองประชาชนโดยคุณธรรม และ พละกําลงั

โมจ่ อ้ื มคี ําสอนอยทู่ ีก่ ารมองทกุ สิ่งทกุ อย่าง โดยให้ ถือประโยชน์สว่ นใหญ่เป็นหลกั ซง่ึ ตรงกบั หลัก อรรถประโยชน์นิยม ดงั นั้น โมจอ้ื จึงเปน็ คนต่อต้าน พธิ ีกรรมและการสงคราม เป็นผนู้ ําในด้าน ตรรกวิทยาพวกแรกของชาตจิ ีน เขาไดก้ ล่าวถึง ความคิดของเขาอย่างง่ายๆดงั ต่อไปนี้ 1. แหลง่ กําเนดิ ของเหตผุ ล ควรหาได้จากความ ชํานาญและศกึ ษาความคิดของผูท้ ี่มคี วามรใู้ นอดีต 2. วธิ กี ารทจี่ ะนาํ ไปสู่เหตผุ ล ควรจะตรติ รองหา ความจริงจากประสบการณ์และชีวติ ของประชาชน 3. การนาํ เหตผุ ลมาปฏิบัติ ควรทาํ ใหเ้ ปน็ กฎหมาย หรอื ระเบียบของรฐั บาล ควรสืบสวนดูว่าส่ิงเหลา่ นีม้ ี ประโยชน์แกป่ ระเทศชาตหิ รือประชาชนมากน้อย เพยี งใด

เครื่องแต่งกายและเครื่องประดบั ศีรษะชายหญงิ

ศลิ ปะราชวงศโ์ จวตะวนั ตก รถศกึ ปอ้ มที่คุมขงั โจวปอ๋ ชง่ั หรือโจวเหวินหวงั ภาชนะใสเ่ หลา้ รปู ห่านทาํ ดว้ ยสาํ รดิ

การสน้ิ สุด ราชวงศ์โจวสน้ิ สดุ ลงเพราะกษตั รยิ ไ์ มส่ ามารถ ปราบปรามจราจลและยตุ ิสงครามระหวา่ งรฐั ลง ได้ แคว้นฉนิ รวบรวมแผ่นดินจนี เข้าเป็น ปกึ แผ่นและสถาปนาราชวงศ์ปกครองอาณาจกั ร ทงั้ หมด

2.สมัยสมบูรณญาสทิ ธริ าชย/์ สมยั จักรวรรดิจนี  ปกครองด้วยระบอบสมบรู ณาญาสิทธิราชย์ ประกอบราชวงศ์ 1.ราชวงศจ์ ๋นิ หรอื ฉนิ (ปี 221-206 ก่อน ค.ศ.) ต้นราชวงศจ์ ๋นิ ได้แกฉ่ นิ เชออว่ งตี๋(จักรพรรดจิ น๋ิ ซี ฮอ่ งเต)้ อดีตเป็นเจา้ ผู้ ครองนครจ๋ิน ไดร้ บั การยกยอ่ งวา่ เปน็ จกั รพรรดพิ ระองคแ์ รกของจีน ทาํ การปราบปรามนครรัฐใหญ่น้อยเข้าดว้ ยกัน ตอ่ มาแผ่นดนิ น้รี ูจ้ ักกนั ใน ชอ่ื ประเทศจีน ศนู ย์กลางการปกครองอย่บู ริเวณลมุ่ แม่น้ําวยุ ในมลฑลสน่ั ซี สมัยนเ้ี ป็น จุดเรม่ิ ต้นของการเปน็ อนั หนึ่งอนั เดียวกันของคนในประเทศจนี

สมัยราชวงศ์จิน๋ เปน็ ราชวงศ์ แรกทีร่ วบรวมจีนใหเ้ ป็น ปกึ แผ่น มีความเจริญด้าน สถาปัตยกรรมทโี่ ดดเดน่ คอื การสร้างกําแพงเมืองจีน เพอ่ื ปอ้ งกันการรกุ รานจาก พวกมองโกล พระจกั รพรรดิ จ๋ิน ซี ฮ่องเต้ สรา้ งความเข้มแข็งในส่วนกลางราชธานี โดยสง่ั เผาทําลายวรรณกรรม และประหารชีวิตนักปราชญจ์ ากสํานกั ตา่ งๆ เพอื่ ให้ประชาชนฟังในอาํ นาจของผู้นํา



การปฏวิ ัติวฒั นธรรมทส่ี ําคญั สมยั นี้คอื การล้มเลิกความเชื่อเกยี่ วกบั ปรชั ญา ตา่ งๆทําลายความคิดของประชาชน ให้เผาตําราตา่ งๆ ใชห้ ลกั ปรัชญา ระบบฟาเฉีย คอื ยึดหลกั กฎหมายจะ เป็นเครอ่ื งกําหนดควบคมุ พฤตกิ รรมของคนในสงั คม อาํ นาจ ของจักรพรรดเิ ปน็ อาํ นาจสงู สดุ ฉินซฮี อ่ งเต้ (อิ๋งเจ้งิ )

วฒั นธรรมสมยั ราชวงศฉ์ ิน รวบรวมดนิ แดนจีนเข้าเป็นหนงึ่ เดียว ออกเหรยี ญและระบบแลกเปล่ยี นเงนิ ตราเป็นมาตรฐาน เดียวกนั ใช้ภาษาเขียนเปน็ แบบเดยี วกนั ใช้ลัทธินิตธิ รรมนิยม (ฟาเฉีย)เป็นหลกั ในการปกครอง วางมาตรฐานการชง่ั ตวง วดั

ศิลปะราชวงศฉ์ นิ หุ่นปน้ั ดนิ เผากองทพั นักรบ ในมหาสสุ านของจิน๋ ซฮี อ่ งเตอ้ นั ลอื ล่ัน กาํ แพงเมืองจนี หนึ่งในผลงานมหัศจรรยข์ องจ๋ินซฮี อ่ งเต้

หุน่ ป้ันดนิ เผากองทพั นักรบในมหาสุสานของจน๋ิ ซีฮอ่ งเตอ้ ันลอื ล่ัน เครื่องตรวจวดั แผน่ ดินไหว จากการคิดค้นของจางเหงิ สรา้ งขน้ึ ในครสิ ตศกั ราช 132 ถือเป็น ชุดหยก ทาํ จากแผ่นหยกนับพันชิ้นเรยี งร้อยด้วยเสน้ ไหมทองคํา เคยี วเหล็ก-เครอื่ งมือทําการเกษตรสมัยฮน่ั ตะวันออก ใช้หอ่ ห้มุ ศพของกษตั รยิ ์หรอื ชนชน้ั สงู ในสมยั นั้น โดยเชื่อวา่ หยกเป็นส่งิ บริสุทธ์จิ ะช่วยรกั ษาสภาพศพไม่ให้เน่าเปือ่ ย

จ๋นิ ตะวนั ตก พระพทุ ธรูปสํารดิ ตุก๊ ตาดินเผาอ่านหนงั สอื คําจารกึ ทีส่ ลกั ไวบ้ นแผ่นไม้หน้าสุสานของ หวังหม่ิน จ๋นิ ตะวนั ตกเป็นยคุ สมยั ที่อกั ษรจนี เรมิ่ พฒั นาส่รู ูปแบบทใี่ ช้ในปจั จบุ ัน

จิ๋นตะวนั ออก ผลงานชิ้นเอก ของนกั เขยี นพ่กู นั จนี ชั้นครูหวังซีจอื รองเท้าถักสานจากป่านปอ ปักเปน็ ลวดลายตวั อกั ษรจนี ซ่งึ เป็นทน่ี ยิ มในหมชู่ นช้นั สูง

เครื่องแต่งกายชาย นิยมแขนเส้อื หลวมกว้าง เคร่อื งแตง่ กายและทรงผมของผู้หญงิ ชนชั้นสูงนยิ มสวมวกิ มวยผมอย่างแพร่หลาย

การสนิ้ สุด ฉนิ ซ่ือหวง หรอื ฉิน เชออว่ งตี๋สิ้นพระชนม์เม่อื 210 ปีกอ่ น ค.ศ.หลงั จากนนั้ ราชวงศ์ฉนิ กเ็ ส่อื ม ลง

2.ราชวงศฮ์ ัน่ (ปี 206 กอ่ น ค.ศ.-ค.ศ.220) เมื่อราชวงศจ์ น๋ิ ถกู โค่นลง หลิวปงั ไดป้ กครองจีน ฮนั่ เกาสปู ฐมกษัตรยิ ร์ าชวงศฮ์ ่นั และตั้งราชวงศใ์ หม่ จกั รพรรดอิ งค์สําคญั คอื จกั รพรรดิวตู่ ่ี ซงึ่ ได้ ขยายอาณาเขตจีนอยา่ งกว้างขวางมคี วาม เจรญิ รงุ่ เรือง ต่อมาราชวงศ์ฮน่ั ได้ยา้ ยเมอื งหลวง ไปอยทู่ ี่เมืองโลยาง ทางทศิ ตะวันออก จึงเรียก สมัยฮนั่ ตะวันออก ในระยะนม้ี ีการตดิ ต่อกับอนิ เดยี ศาสนาพทุ ธ จึงเขา้ มายงั ประเทศจีนตาม เสน้ ทางสายไหม (Silk Road)

มคี วามเจริญดา้ นศลิ ปวัฒนธรรมดังน้ี 1.ด้านการปกครอง มีการแบ่งงานออกเป็นทบวงเพ่ือแบง่ หนา้ ท่ีรบั ผิดชอบ มกี ารสอบแเข่งขนั รับราชการเปน็ ครั้งแรก(สอบจอหงวน) 2.ด้านวรรณกรรม มกี ารค้นพบการทํากระดาษ มีการแปล คมั ภีรพ์ ระไตรปิฎกเป็นภาษาจีน เป็นยคุ ท่ีให้ ความสําคัญกบั นกั ปราชญ์อกี ครัง้ โดยเฉพาะลัทธขิ งจือ้ 3. ลูกคดิ

4.ด้านจติ กรรม ได้รบั แรงบัลดาลใจจากลัทธเิ ต๋าและพระพทุ ธศาสนา พระพุทธศาสนา ในคริสต์ศตวรรษท่ี 1 พระพุทธศาสนา เข้ามาในสมยั ราชวงศฮ์ น่ั โดยพอ่ คา้ ชาวอินเดียท่ีเข้ามาติดตอ่ ค้าขาย ในครสิ ต์ศตวรรษที่ 2 มีการส่งทูตไปอนิ เดีย ในคริสต์ศตวรรษที่ 3-4 มีพระจนี ไดเ้ ดินทางไปอินเดยี เพื่อศึกษา พระพุทธศาสนา เช่น พระฟาเหยี น ในครสิ ตศ์ ตวรรษท่ี 8 พระเสวียนจัง (พระถังซมั จัง) พระพทุ ธศาสนาเจรญิ สงู สดุ ได้เดนิ ทางไปอัญเชิญพระไตรปฎิ ก ท่อี นิ เดีย (สมยั ราชวงคถ์ งั ) ศาสนาพทุ ธในจีนจะมลี ทั ธิเตา๋ ผสมอยู่

ศาสนาคริสต์ ในครสิ ต์ศตวรรษที่ 7 ทตู จีนติดเดินทางไปถึงกรุงคอนสแตนติโน เปลิ ยุโรปไดส้ ง่ มิชชนั นารเี ข้ามาในสมยั พระเจ้าถังไทจง เผยแพรศ่ าสนาในจีนแต่หลงั จากนัน้ อกี 300 ปี ศาสนาครสิ ต์ก็ หายไปพร้อมๆกบั ศาสนาพทุ ธ

ศาสนาอสิ ลาม ในคริสตศ์ ตวรรษที่ 8-9 มผี ู้เผยแพร่ศาสนาอิสลาม เดนิ ทาง จนี ทางบกเป็นกองคาราวานมาแถบเอเชยี กลาง มายังเมอื ง กว้างต้งุ แตไ่ ด้รับการตอ่ ต้าน ในคริสตศ์ ตวรรษท่ี 12 พวกมองโกลนําทหารมุสลมิ เข้ามา ชว่ ยรบในสงครามได้ชยั ชนะ ใหอ้ าศัยอยู่ทางภาคตะวนั ตก เฉียงเหนือและเฉียงใต้ ศาสนาอิสลามไม่คอ่ ยไดร้ บั ความ นิยมเพราะมลี ทั ธขิ งจอื้

ในปลายราชวงศฮ์ ั่นมกี ารแยง่ ชิงอํานาจกนั โดยแบ่งออกเป็นกก๊ ใหญๆ่ ได้ 3 ก๊ก แต่ละ ก๊กได้แบง่ แยกกันปกครองจนี เปน็ ระยะเวลา เกือบ 50 ปี

สมยั สามกก๊ (ค.ศ.220-265) สามก๊กเปน็ ยคุ สมัยทเี่ กิดจากสภาพ การคานอํานาจกนั ของกองกาํ ลัง 3 ฝ่ายอันได้แก่ กก๊ วุ่ย ก๊กสู และ ก๊กอู๋ ท่ตี ่างก็แย่งชงิ กันเปน็ ใหญ่ โดยชว่ งปีค.ศ. 220 น้ันเปน็ เวลา ทว่ี ุ่นขึน้ ครองอาํ นาจใหญแ่ ทน ราชวงศฮ์ ่นั ตะวันออก สมัยนีน้ กั ประวัตศิ าสตรไ์ มถ่ ือวา่ มีบคุ คลใดสบื เช้ือสายมาจากราชวงศฮ์ น่ั อย่าง ถูกตอ้ ง จึงไม่เรียกเปน็ สมยั ราชวงศ์ แต่เรยี กวา่ สมัยสามก๊ก สมัยนี้สน้ิ สดุ ลง โดยการถกู รวมอยู่ใต้การปกครองของราชวงศ์สุย

บุคคลสาํ คัญในกก๊ วุ่ย จากซา้ ยมาขวา ได้แก่ โจโฉ โจผี โจสดิ สุมาอ้ี บคุ คลสาํ คญั ในก๊กสู จากซา้ ยมาขวา ได้แก่ เลา่ ปี่ ขงเบ้ง กวนอู เตยี หยุ


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook