Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore องค์ความรู้พื้นฐานการทอผ้าของลาวครั่ง

องค์ความรู้พื้นฐานการทอผ้าของลาวครั่ง

Published by เสมอ จันทร, 2022-06-24 03:08:33

Description: องค์ความรู้พื้นฐานการทอผ้าของลาวครั่ง

Search

Read the Text Version

อ ง ค์ ค ว า ม รู้ ความรู้พื้นฐานการทอผ้าของลาวครั่ง ลาวเวียง จังหวัดอุทัยธานี สำหรับการจัดการเรียนการสอนแบบบูรณาการและต่อชุมชน ดร.อภิญญา จงพัฒนากร และคณะ วิทยาลัยชุมชนอุทัยธานี สถาบันวิทยาลัยชุมชน กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม

องค์ความรู้พ้ืนฐานการทอผา้ ของลาวครั่ง ลาวเวียง จงั หวัดอทุ ยั ธานี สำหรับการจัดการเรียนการสอนแบบบูรณาการและต่อชมุ ชน โดย ดร.อภิญญา จงพัฒนากรและคณะ โครงการวจิ ัยการศึกษาองค์ความรกู้ ญุ แจลาย ลวดลายผ้าทอพ้นื เมืองอทุ ยั ธานี โครงการวจิ ยั นีไ้ ด้รับทนุ สนบั สนนุ จากสถาบนั วิทยาลยั ชุมชน ตุลาคม 2564 วิทยาลัยชมุ ชนอุทัยธานี สถาบนั วทิ ยาลยั ชุมชน กระทรวงการอดุ มศึกษา วทิ ยาศาสตร์ วจิ ัยและนวตั กรรม

คำนำ วิทยาลัยชุมชนอุทัยธานี เป็นแหล่งเรียนรู้ ถ่ายทอดความรู้และเทคโนโลยีเพื่อสร้างความเข้มแข็งให้แก่ ชมุ ชน และการใหป้ ระชาชนมโี อกาสเรยี นรู้ ตลอดชวี ิตอนั จะนำไปสู่การพัฒนาท่ีย่ังยืน โดยวิทยาลัยชุมชนต้องเน้น การพัฒนาชมุ ชนทอ้ งถิน่ และการสรา้ งศักยภาพให้สถานศึกษา องค์กรในชุมชนและประชาชนมีความเข้มแข็งในการ พัฒนาการศึกษา เศรษฐกิจและสังคมในชุมชน ผลิตบัณฑิต และเป็นแหล่งพัฒนาศักยภาพบุคลากรในพื้นที่ให้มี จิตสำนึกและความรู้ ความสามารถเพื่อเป็นหลักในการขับเคลื่อน พัฒนา เปลี่ยนแปลงในระดับพื้นที่ และ ดำเนินการวิจัยและสร้างนวัตกรรมเพื่อนำความรู้ไปใช้ในการพัฒนาชุมชน สืบสาน อนุรักษ์ ประยุกต์ พัฒนา ศิลปวัฒนธรรม ภมู ิปัญญาทอ้ งถ่ินให้เข้ากับยุคสมยั เพ่ือเพิ่มคุณคา่ และมลู คา่ สง่ เสรมิ การสืบทอดและพัฒนาความรู้ จากผมู้ ภี ูมิปัญญาดา้ นศลิ ปวฒั นธรรมและภมู ิปญั ญาทอ้ งถ่ิน จากพนั ธกจิ ดังกล่าว อนั เป็นทมี่ าของโครงการวิจยั การศกึ ษาองค์ความร้กู ุญแจลาย ลวดลายผา้ ทอพืน้ เมือง อุทัยธานี วิทยาลัยชุมชนอุทัยธานี ชุมชน และปราชญ์ชุมชนได้เล็งเห็นความสำคัญของศิลปวัฒนธรรมและ ภูมิปัญญาท้องถิ่นและต้องการรักษาองค์ความรู้และภูมิปัญญา จึงมอบหมายให้ดร.อภิญญา จงพัฒนากรและ คณะวจิ ยั รวบรวมองคค์ วามรู้และภูมิปัญญาท้องถนิ่ เก่ยี วกับผ้าทอพนื้ เมือง จังหวดั อุทัย เกยี่ วกับการทอผ้าของลาว ครั่ง ลาวเวียง จังหวัดอุทัยธานีเพื่อนำความรู้ไปใช้ในการพัฒนาชุมชน สืบสาน อนุรักษ์ ประยุกต์ พัฒนา ศิลปวัฒนธรรม ภูมิปัญญาท้องถิ่นให้เข้ากับยุคสมัยเพื่อเพิ่มคุณค่าและมูลค่า ร่วมกับการส่งเสริมการสืบทอด พัฒนาความรู้จากผูม้ ีภูมิปัญญาด้านศิลปวฒั นธรรมและภูมิปัญญาท้องถิน่ อีกทั้งเป็นการสนองนโยบายของจังหวัด อุทัยธานีที่ต้องการสร้างอาชีพ สร้างรายได้เสริมจากการทอผ้าให้กับประชาชนในในจังหวัดอุทัยธานี และเพื่อให้ เป็นมรดกทางวฒั นธรรมของชาติต่อไป วิทยาลัยชุมชนอุทัยธานี หวังเป็นอย่างยิ่งว่าหนังสือ “การทอผ้าของลาวครั่ง ลาวเวียง จังหวัดอุทัยธานี สำหรับการจัดการเรียนการสอนแบบบูรณาการและต่อชุมชน” จะเป็นเอกสารบันทึกข้อมูลศิลปวัฒนธรรมและ ภูมิปัญญาท้องถิ่นท่ีทรงคณุ ค่า สร้างประโยชนใ์ นด้านการจัดการเรยี นการสอนให้แก่นักเรียน นักศึกษา ประชาชน ผู้ประกอบการและผู้ที่สนใจ ให้สามารถนำองค์ความรู้ที่ได้รับไปพัฒนา ต่อยอด สร้างอาชีพ สร้างมูลค่าเพิ่มและ สรา้ งสรรค์ผลงานดา้ นผ้าทอให้ผ้าทอพ้ืนเมืองจังหวัดอุทัยธานอี ยู่ค่แู ผ่นดนิ ไทยตลอดไป คณะวจิ ัย

สารบญั 1 2 ประวตั คิ วามเปน็ มาของการทอผ้าลาวครง่ั ลาวเวยี ง จังหวัดอทุ ยั ธานี 5 การทอผา้ ของชุมชนทพั คล้าย 6 การทอผ้าของชุมชนบา้ นผาท่ัง 8 การทอผา้ ของชุมชนบา้ นนาตาโพ 8 องค์ความร้พู ืน้ ฐานการทอผ้าของลาวครง่ั ลาวเวียง จังหวัดอทุ ัยธานี 34 40 อุปกรณ์หลักท่ีสำคัญในการทอผ้า 40 การผลติ เสน้ ดา้ ย 40 การเตรียมด้ายพ่งุ 43 การเตรียมด้ายยนื 49 การขึน้ เครือ (ห่นหูก) หรือการเตรยี มเครือดา้ ย ขั้นตอนการสืบหูกก่อนการทอ การทอผ้า

1 ประวตั ิความเปน็ มาของการทอผ้าลาวครัง่ ลาวเวียง จังหวดั อุทยั ธานี ปัจจุบันวัฒนธรรมการทอผ้าได้มีการขยายพื้นที่ไปทั่วทั้งจังหวัดอุทัยธานีถึงแม้สภาพสังคม ปจั จบุ นั จะมีการเปล่ียนแปลงและพัฒนาไปอย่างมาก แตภ่ มู ิปัญญาท้องถิ่นก็คงอยู่ด้วยบรรพบุรุษและคน ในชมุ ชนมองเหน็ ความสำคัญและร่วมกนั สืบทอดรักษา ผลจากการลงพ้ืนท่ีและการศึกษาจากเอกสารและ งานวิจัยที่เก่ียวข้องกับประวตั ิความเปน็ มาของการทอผ้าลาวครั่ง ลาวเวียง จังหวัดอุทัยธานีแล้วนำข้อมูล ดังกล่าวมาการจัดความรู้ให้เป็นระบบ (Knowledge Organization) พร้อมบันทึก เรียบเรียงเนื้อหาที่ ค้นพบได้โดยพื้นที่ที่ผู้ศึกษาและคณะทำงานได้ลงพื้นที่สำรวจข้อมูลคือ บ้านทัพคล้าย บ้านภูจวง บ้านผา ทั่ง บ้านนาตาโพ บ้านป่ากล้วยและบ้านพุต่อเป็นชุมชนมีวิถีชีวิตทอผ้าไว้ใช้ในครอบครัวและเพื่อการ จำหน่ายสร้างรายได้ให้กับครอบครัวหลังการทำการเกษตร การรับจ้างทั่วไปและบางครอบครัวมีอาชีพ หลักในการทอผ้า ประกอบกับเป็นชุมชนที่มีองค์ความรู้ภูมิปัญญาเกี่ยวกับการทอผ้าพื้นเมืองที่มีการสืบ ทอดมานานจากบรรพบุรุษ จากศึกษาข้อมูลทางประวัติศาสตร์ชาวไทครั่ง หรือลาวครั่ง คือ กลุ่มที่อพยพ มาจากฝั่งซ้ายของลุ่มแม่น้ำโขง เข้ามาตั้งถิ่นฐานในประเทศไทย บริเวณจังหวัดอุทัยธานี ชัยนาท สุพรรณบุรี นครสวรรค์ พิจิตร กำแพงเพชร นครปฐม สันนิษฐานว่าน่าจะอพยพมาตั้งสมัยกรุงธนบุรี แต่ การอพยพเคลื่อนย้ายของชาวไทครั่งครั้งสำคัญเกิดขึ้นในปี พ.ศ. 2371 ในสมัยพระบาทสมเด็จพระน่ัง เกล้าเจา้ อยู่หัว รัชกาลที่ 3 แห่งกรงุ รตั นโกสนิ ทร์ กลุ่มวัฒนธรรมไทครงั่ เรยี กตนเองว่า “ลาวครง่ั หรือลาว เวียง” มีแหล่งผ้าทอที่สำคัญคือ บ้านเนินขาม อำเภอเนินขาม จังหวัดชัยนาท บ้านกุดจอก อำเภอหนอง มะโมง่ จงั หวัดชยั นาท บา้ นโคกหม้อ อำเภอทัพทัน จังหวัดอทุ ัยธานี บา้ นทัพคล้าย บา้ นทพั หลวง บ้านนา ตาโพ บ้านห้วยแห้ง อำเภอบ้านไร่ จังหวัดอุทัยธานี บ้านสะแก บ้านบ่อกรุ บ้านหนองกระทุ่ม อำเภอเดิม บางนางบวช จังหวัดสุพรรณบุรี เป็นต้น (กระทรวงวัฒนธรรม, 2555 : 38-39) สำหรับข้อมูลเกี่ยวกับ ประวัติความเป็นมาของการทอผ้าลาวครั่ง ลาวเวียง จังหวัดอุทัยธานคี ร้ังนี้ ผู้วิจัยได้จัดเก็บและเรียบเรยี ง ข้อมูลแยกเป็นชุมชนดงั น้ี

2 การทอผ้าของชุมชนทัพคล้าย จากข้อมูลทางประวัติศาสตร์ของชุมชนทัพคล้าย ตำบลทัพหลวง อำเภอบ้านไร่ จังหวัด อุทัยธานี เขียนไว้ว่า พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าจุลจักรพงษ์ ได้เขียนเร่ืองราวทางประวตั ิศาสตรใ์ น สมัยกรุงธนบุรีและกรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้นไว้ในหนังสือ “เจ้าชีวิต” ซึ่งพอจะใช้เป็นหลักฐานอ้างอิงถึง การเดนิ ทางมาจากหลวงพระบางและเวยี งจันท์ของเมืองลาวของชาว “ทพั คลา้ ย” หรือชาวทพั ค่าย ฟังได้ ว่า บรรพบุรุษของชาวทัพคล้ายถูกกวาดต้อนมาเป็นเชลยศึก และเกณฑ์เอามาเป็นลูกหาบขนเสบียงและ สิ่งของกลับเมืองไทยเมื่อครั้งที่พระพุทธยอดฟ้าฯ เป็นทหารเอกของพระเจ้าตากสินยกกองทัพไปปราบ เมืองหลวงพระบางและเวียงจันทร์เมื่อปี พ.ศ. 2318 และมาพักอยู่ในเมืองหลวงเป็นเวลาประมาณ 10 ปี เม่ือปี พ.ศ. 2329 พระพทุ ธยอดฟ้าฯ คุมกองทพั มาต้านพม่าทางดา้ นทิศตะวันตกจึงได้เกณฑเ์ ชลยท่ีกวาด ต้อนมาในครั้งกระนั้นเพือ่ เป็นทหารแนวหน้าและเปน็ ลูกหาบขนเสบียงอาหาร ครั้นยกทัพกลบั เมืองหลวง จึงได้ให้เชลยและลูกหาบอยู่แนวหน้าคอยเป็นกองสอดแนมเพื่อส่งข่าวข้าศึกให้กับกองทัพฝ่าย ไทย เวลานานวันผ่านไปจึงได้รวมกันเป็นชุมชนและไม่กลับไปยังเมืองหลวงอีก ดังนั้น ชนเผ่าไทยท่ี เดินทางมาจากเวียงจันท์และหลวงพระบาง จึงถือกำเนิดขึ้น ณ ดินแดนแห่งนี้ตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา ถ้านับรวมถงึ พ.ศ.2545 เทา่ กับวา่ เดินทางมาจากเวยี งจนั ท์เมอ่ื 226 ปที ี่แลว้ และถ้าคดิ การเดนิ ทางตั้งแต่ พระพทุ ธยอดฟ้า ฯ เดินทัพมาก็เท่ากบั ว่าเป็นเวลาถึง 216 ปี ดังนน้ั เม่อื สมัยกอ่ นปู่ย่าตายายเล่าให้ฟังว่า เมื่อรัชกาลที่ 5 เลิกทาสแล้วจึงได้มีสิทธิ์ที่จะทำตามฮีตคองของตนเองได้ หลังจากได้ตั้งเป็นหมู่บ้านแล้ว พวกผู้หญิงก็ได้พากันฟื้นฟูการทอผ้าขึ้นอีกครั้งหนึ่งโดยขอเมล็ดฝ้ายจากชนพื้นเมืองซึ่งเป็นชาวกะเหรี่ย ง มาปลูกและให้พวกผชู้ ายทำก่ีพรอ้ มอุปกรณ์การทอผา้ อย่างงา่ ย ๆ ส่วนสกี ็ใช้สจี ากธรรมชาติ เช่น ขมน้ิ ปูน คราม โคลน เป็นต้น จุดมุ่งหมายของการทอผ้าก็เพื่อใช้เป็นเครื่องนุ่งห่มเท่านั้นเพราะในสมัยก่อนหากไม่ ทอผา้ ใช้เองก็ไมร่ ้วู า่ จะไปซือ้ หาได้จากท่ใี ดเนอ่ื งจากสมยั น้ันไม่มเี สื้อผ้าขายเหมอื นเช่นปจั จบุ ัน ในสมัยโบราณการทอผ้าของชุมชนทัพคล้ายเพื่อสวมใส่ในชีวิตประจำวันสว่ นใหญ่จะทอ เปน็ ผ้าพื้น ขาวตามสขี องดอกฝ้ายเรียกวา่ “การตำแผน่ ” ใชส้ ำหรับตัดเส้อื ไปวดั และใสอ่ ยกู่ บั บา้ น ท้ังชาย และหญิง สว่ นกางเกงผู้ชายและเสื้อทจ่ี ะใสไ่ ปทำงานไรน่ ามักจะย้อมเป็นสดี ำ ส่วนผู้หญิงไม่นิยมนำผา้ พื้น ไปตัดเป็นผา้ นุ่งที่เรยี กวา่ “ซนิ่ ” แตจ่ ะทอเปน็ “ผ้าซน่ิ ” ที่มีพ้ืนสดี ำคน่ั ดว้ ยขาว ต่อมาได้ทำเป็นลวดลาย ให้เกิดความสวยงามยิ่งขึ้น การทอผ้าจะทอกันตอนที่มีสมาธินิ่งใจสงบหากวันไหนจิตใจว้าวุ้นวันนั้นจะไม่

3 ทอผ้าเลย แม้แต่ขณะที่กำลังทออยู่หากมีสิ่งใดมากระทบทำให้ใจไม่สงบไม่มีสมาธิจะหยุดทอผ้าทันที ดังนั้น กว่าจะได้ผ้าผืนหนึ่งจึงต้องใช้เวลานานในสมัยก่อน ไม่มีเสื้อผ้าใหม่ ๆ ใช้กันแต่อย่างใด คงมีแต่ เสื้อผา้ ท่ีติดตวั มาจากบางกอก การตั่มหรือการทอผ้าซิ่นความสำคัญอยูท่ ี่ “ตีนซิ่น” และต้องเป็นสีแดงเท่านั้น สีอื่น ไม่เอา คนโบราณใช้สีมาเป็นสัญลักษณ์แทนการบอกถึงที่ตั้งของบ้านเมืองที่บรรพบุรุษได้จากมาไว้ที่ “ตีนซิ่น” ให้สีแดงแทน “ตะเว็น”(ดวงอาทิตย์) อันหมายถึง บรรพบุรุษได้เดินทางมาจากทาง ทิศตะวนั ออกและจะใช้เฉพาะผ้าซิ่นเท่านนั้ สว่ นลวดลายตา่ ง ๆ ทนี่ ำมาประกอบมักใชล้ วดลายตามความ เชื่อเพื่อการอยู่เย็นเป็นสุขและเพื่อไม่ให้สิ่งชั่วร้ายมากล้ำกลายเป็นหลัก ด้วยเหตุที่บังคับให้ใช้สีแดงกับ ผ้าซ่นิ จึงเรียกผ้าน่งุ ของผู้หญิงวา่ “ผา้ ซ่ินตนี แดงหรือซิน่ ตนี แดง” การใช้สีบอกเล่าเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับชุมชนมีอยู่ 5 สี คือ สีแดง หมายถึง “ตะเว็น” บอก ถึงที่มาของบรรพบุรุษว่า เดินทางมาจากทางทิศตะวันออก คือประเทศลาว สีดำ หมายถึง “เมือง” บอกถึง ทมี่ าของบรรพบรุ ษุ ว่า เดนิ ทางมาจาก “ดินดำนำ้ ชุ่ม” คำว่า “ดินดำน้ำชุ่ม “เปน็ สมญานามของเมืองเวียงจันทร์ ในสมัยนั้น สีขาว หมายถึง “เชื้อชาติ” บอกถึงความเป็นชาติพันธุ์หรือชนเผ่าของบรรพบุรุษ คือ “ลาวพุทธ” สเี หลอื ง หมายถึง “ดอกจำปา” บอกถึง เอกลักษณ์ของชุมชนคือ ความเป็นลาว สสี ว้ิ (สเี ขียว) หมายถึง “การ ดำรงชีวิต” บอกถงึ ความอดุ มสมบูรณ์ คอื ความเปน็ ธรรมชาติ สว่ นสีกใ็ ช้สีจากธรรมชาติ เชน่ ขมน้ิ ปูน คราม โคลน ลกู ไม้ ใบไมแ้ ละเปลอื กไม้ เปน็ ตน้ การทำลวดลายปัจจุบนั จะมีวธิ กี ารทำอยู่ 2 ลกั ษณะ คือ (1) วธิ กี ารท่เี รยี กว่า “จก” หรือ “ขดิ ” (2) วธิ กี ารท่เี รียกวา่ “เกาะลาย” ซง่ึ จะมวี ิธีการของแตล่ ะลกั ษณะ จก คือ วิธีการทำลวดลายด้วยการเพิ่มเส้นด้ายที่จะใช้ทำลวดลายเข้าไปในด้ายยืน ต่างหาก ส่วนเส้นด้ายที่เพิ่มจะปล่อยห้อยไวใ้ ต้ด้ายยืนเวลาจะทำลวดลายมักจะใชน้ ้ิวมือล้วงหรือควักเอา เส้นดา้ ยทหี่ อ้ ยอยูข่ น้ึ มาทำเป็นลวดลาย และสอดด้ายน้ันลงไปห้อยไว้ใต้ด้ายยนื ตามเดิม โดยไม่มีการพัน รอบด้ายยืน และการทำลวดลายจะทำต่อเนื่องกันตลอดหน้ากว้างของผ้าที่ทอก็ได้หรือจะทำเป็นลาย ๆ เว้นระยะหา่ งกนั กไ็ ด้ ขดิ จะเพิ่มด้ายท่ีใช้ทำลวดลายไปกบั ดา้ ยยืนเหมือนกบั วธิ ีการจกทุกประการ แต่วิธีการ นำด้ายทห่ี อ้ ยอยู่ใต้ด้ายยืนขึ้นมาเพ่ือทำลวดลาย มักใชอ้ ุปกรณ์ท่ีมีปลายแหลม เช่น ขนเม่น หรือปิ่นปัก ผมแทงลงไปใต้ด้ายยืน แล้วขิดหรืองัดเอาด้ายที่ห้อยอยู่นั้นขึ้นมาทำเป็นลวดลายและทำลวดลาย

4 ต่อเนื่องกันไปตลอดความกว้างของหน้าผ้าแต่เพียงอย่างเดียว ไม่มีการทำลวดลายเว้นระยะเป็นช่วง ๆ เหมือนวิธีการจก “จก” กบั “ขดิ ” ดา้ นเรยี บหรอื ดา้ นทส่ี วยงามจะอยดู่ ้านบน เกาะลาย คอื การใชเ้ สน้ ด้ายสตี ่าง ๆ ที่จะทำลวดลายเกาะไว้กับด้ายยนื ปลายดา้ ยทัง้ 2 ข้างจะวางไว้ด้านบนของผ้าที่ทอ และเกาะไว้เป็นช่วง ๆ ตามลายที่ทำ เมื่อเกาะแล้วก็ทอตามปกติ วิธีการเกี่ยวด้ายและพันรอบด้ายยืนก่อนที่ทอทับอีกครั้งหนึ่งนั้น เป็นวิธีการเพิ่มความแข็งแรงให้กับ เนอื้ ผา้ นนั่ เอง การเกาะดา้ ยในลักษณะนี้ดา้ นลวดลายผา้ ท่ีสวยงามจะอยูด่ ้านลา่ ง ชมุ ชนทพั คลา้ ย ตำบลทัพหลวง อำเภอบ้านไร่ จังหวดั อุทัยธานี เปน็ ชุมชนที่มียังคงดำรง รกั ษาองคค์ วามรแู้ ละภูมิปัญญาการทอผ้าฝ้ายลายโบราณได้อย่างดีเปน็ ชุมชนท่เี ปน็ ตน้ กำเนดิ ของการฟื้นฟู การทอผ้าและได้ขยายองค์ความรู้การทอผา้ ไปยังชมุ ชนอ่ืนในพ้ืนท่ีอำเภอบ้านไร่ดว้ ยคนในชุมชนได้ย้ายถ่ิน หรือมีครอบครัวใหม่กับคนในพื้นที่อื่นจึงทำให้องค์ความรู้การทอผ้ามีการแพร่และขยายไปยังพื้นที่อื่น อีกทั้งเป็นชุมชนที่สามารถเปน็ แหล่งเรียนรู้ แหล่งรวบรวมข้อมูลเกีย่ วกับขั้นตอนและวิธีการออกแบบลาย ผ้าโบราณ และเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญของอำเภอบ้านไร่ การคมนาคมสะดวก อีกทั้งเป็นชุมชนที่มี ต้นทุนทุนมนุษย์ ต้นทุนทางสังคมและวัฒนธรรมท่ีโดดเด่นเป็นเอกลักษณ์ มีศักยภาพด้านบุคคลสามารถ พัฒนาต่อยอดไปสู่การสร้างความเข้มแข็งให้กับชุมชนและจะนำไปสู่การพัฒนาอย่างยั่งยืนและเป็น รปู ธรรม

5 การทอผา้ ของชุมชนบา้ นผาทั่ง ปี พ.ศ. 2537 ได้เริ่มมีการทอผ้าในชุมชนบ้านผาทั่งโดยคุณแม่ทองลี้ คณทา เป็นผู้ก่อตั้งกลุ่ม แม่บ้านขึ้นด้วยมีความสนใจในขั้นตอนการทอผ้า การย้อมผ้า จากนั้นได้เริ่มฝึกทอผ้าจากคุณแม่และคุณ ยาย โดยมีวิธีการสอน คือ ใหน้ ั่งทอด้วยและแบ่งอีกฝ่งั ให้น่งั ทอพร้อมบอกวธิ ีการจกเส้นดา้ ยและการผูกมัด เกบ็ รายละเอียดของงานตง้ั แตน่ น้ั มาจงึ ได้เทคนิคการทอจากคุณแม่และคุณยายอีกหลายทา่ นในชุมชนและ ได้นำความรู้ที่ได้มาใช้ในการทอผ้าจนถึงปัจจุบัน ส่งผลให้ได้รับรางวัลด้านการทอผ้าในปี 2559 ได้รับ รางวัลทายาทศิลป์หัตถกรรม จากศูนย์ส่งเสริมศิลปาชีพระหว่างประเทศ (องค์การมหาชน) และต่อมา ได้รับรางวัลพระราชทานในการประกวดผ้าทอพื้นเมืองประเภท ผ้าซิ่นจกฝ้ายชาติพันธุ์ลาวครั่งแบบ ประยุกต์จกเต็มผืน ย้อมด้วยธรรมชาติ ในงานมหกรรมผ้าทอพื้นเมอื งเฉลิมพระเกียรตสิ มเด็จพระนางเจา้ สิริกิตติ์ พระบรมราชินีนาถ เน่อื งในโอกาสทรงเจรญิ พระชนมพรรษา 84 พรรษา 12 สิงหาคม 2559 จาก สมเด็จพระเทพฯ และได้ทำกิจกรรมเกี่ยวกับการทอผ้าออกแบบลวดลายพร้อมท้ังยังคงอนรุ กั ษ์งานศลิ ปะ บนผืนผ้าสืบ ผลิตภัณฑ์ที่สร้างชื่อเสียงและทำให้ชุมชนผาทั่งเป็นที่รู้จักคือชุดเครื่องนอนก่อนวิวาห์ที่มี ความสวยงามโดดเด่นจากยูเนสโก้ โดย “ยูเนสโก้ให้เป็นที่ 1 ของโลก ด้านชุดเครื่องนอนก่อนวิวาห์ รางวลั ชนะเลิศระดบั โลก ยเู นสโก”้ จนไดร้ ับการกล่าวขานวา่ เป็น “แหล่งราชินีผา้ ฝ้าย” และยงั คงมีการ อนุรักษ์ด้านการทอผ้าสืบทอดภูมิปัญญาจากบรรพบุรุษให้คงอยู่ต่อไป (เข้าถึงเมื่อ 8 สิงหาคม 2564. เข้าถงึ ได้ http://www.oknation.net)

6 การทอผ้าของชุมชนบา้ นนาตาโพ หญิงสาวบ้านนาตาโพ ผู้สืบเชื้อสายลาวครั่ง กลุ่มชนเชื้อสายลาวที่ถูกกวาดต้อนมาจากตอนบน ของแม่น้ำโขง เป็นผหู้ นง่ึ ในอีกไมก่ ี่คนของไทย ทส่ี ามารถสืบทอดและเก็บผ้าทอโบราณของบรรพบุรุษไว้ได้ อย่างงดงาม บุคคลที่สำคัญของชุมชนบ้านนาตาโพที่เป็นผู้สืบทอด อนุรักษ์ ถ่ายทอดองค์ความรู้และภูมิ ปัญญาการทอผ้าคือ นางจำปี ธรรมศิริ เกิดวันพุธ เดือนเมษายน 2490 จังหวัดอุทัยธานี บิดาชื่อนายทะ ขนั ทวี มารดาชื่อนางซ้อน ขันทวี นางจำปี เปน็ บุตรคนท่ี 1 ในพน่ี ้อง 3 คน เรม่ิ ปัน่ ฝ้ายต้งั แต่เด็ก ๆ ในฐานะท่ี เป็นลูกคนโต ที่ต้องช่วยพ่อแม่ทำงานทุกอย่าง สมัยก่อนผู้หญิงไทยไม่ค่อยเรียนหนังสือ ต้องทำงาน บ้านงานเรือน เย็บปัก ถักร้อย รวมไปถึงการทอผ้าไว้ใช้เองด้วย นางจำปีก็เช่นกัน เริ่มทอผ้าแบบโบราณ เมื่อปี 2509 ตอนนั้นอายุ 12 ปี เรียนทอผ้าจากย่าป๊อก (แม่สามี) จนถึงปี 2514 ก็เริ่มทอผ้าแบบโบราณ ขาย ผ้าชน้ิ แรกทเ่ี ริ่มขายเป็นผ้าตีนซน่ิ คลู่ ะ 12 ถึง 15 บาทในสมยั นั้น กเ็ ริ่มทอผา้ ไวใ้ ชน้ ุ่งห่มในครอบครัว ด้วยด้ายสีที่มีอยู่ตามธรรมชาติ ย้อมตกแต่งตามภูมิปัญญาชาวบ้าน ส่วนลวดลายต่าง ๆ ก็เป็น จินตนาการทคี่ ดิ เองตามท่เี หน็ ที่สมั ผัสในชีวิตประจำวนั ปา้ จำปกี ลา่ ว่า “อายุสิบกว่าปีก็ทำแล้ว ทอตั้งแต่มือยังไม่ถึงหัวกี่เลย ตอนนั้นทอเป็นผ้าเฉย ๆ ทอเป็นผ้าซิ่นคั่น ให้แม่ ผ้าคั่นโบราณจะใช้เป็นผ้าถุง สมัยก่อนป้าเป็นคนยากจน ทำเป็นเพราะความลำบาก ต้องปั่นฝ้าย ดีดฝ้าย อิ้วฝ้ายเอง ให้แม่ไปทำไร่กับพ่อ ทำไปเลี้ยงน้องไป ผ้าคั่นทำออกมาปีละ 3 ผืน ให้แม่ผืนหนึ่ง ให้ น้องสาวผืนหน่ึง ให้ตวั เองผนื หน่งึ อีกครง่ึ ผืนให้น้องชาย เป็นผ้าขอดหยอย เหมือนผา้ ขาวมา้ คร่งึ ผนื เอามา พบั ทำเหมือนผ้าพันคอ ขอดหยอยเปน็ ภาษาลาว คอื ผ้าผูกคอ นั่นเอง” การทอผ้าจะเริ่มต้นจากการทอผ้าฝ้ายธรรมดา ไม่ได้ทอลวดลายมากนัก แต่จะเริ่มทอแบบ มีลวดลายสวยงามหลังจากแต่งงานแล้ว ประมาณปี พ.ศ. 2507-2508 พอแต่งงานก็ได้อยู่กับย่าป๊อก ของสามี ไปหดั ทอลายกบั ย่า ยา่ ทำก็ทำ ย่าดดี กด็ ดี ย่าบอกวา่ เราไมม่ คี วามรู้อะไร กใ็ ห้ทอผา้ เปน็ วิชาติดตัว ป้าจำปีเหน็ วา่ สมยั ก่อนผา้ ทอมันขายไม่ไดก้ ็ไม่อยากทำ แต่ย่าก็บอกให้ทำไปเถอะ เวลามศี กึ สงครามจะได้ สบาย อย่างหม้อ กระทะใหญ่ นี่ก็เอาผ้าแลกมา หม้อทอง โอ่งน้ำก็เอาผ้าไปแลกเปลี่ยนมาจากจีน ป้าก็ บอกว่าสมัยนี้คงไม่มีแล้ว ย่าก็ยังยืนยันว่ามันต้องมี และก็มีจริง ๆ เพียงแต่สมัยนี้เป็นสงครามเศรษฐกิจ สงครามชีวติ ของเราเอง”

7 ต่อมายิ่งทำก็ยิ่งรัก 5 ปีหลังจากเริ่มต้นทอผ้าขึ้นลวดลายกับย่าในปี 2509 ป้าจำปีก็สามารถทอ ลายผ้าแบบโบราณได้ทั้งหมด อีกทั้งยังได้ผ้าทอโบราณจากย่ามาอีกหลายสิบผืน เคยมีผู้ที่นิยมผ้าทอ พื้นบ้านมาขอซื้อต่อ ป้าจำปีก็ไม่ยอมขาย ด้วยถือว่า ผ้าทอเหล่านี้ คือมรดกตกทอดที่บรรพบุรุษให้ ไว้ กอปรกับย่ายกพวกผ้าเก่าให้ป้าจำปี 2 ถุงละว้าใบใหญ่ ๆ สมัยก่อนจะมีถุงละว้า ที่ทอไว้ทำ ขนมจนี เวลาโมแป้งทำแปง้ จะกรองใส่ในถุง ท้งิ ใหน้ ้ำลอดลงมาจนเหลือแต่แป้งท่ีใชท้ ำเส้นขนมจีน ตอนที่ ย่าให้มา 2 ถุง ป้าก็ไม่รู้จะเอาไปทำอะไร เพราะเป็นผ้าเก่า ๆ ใช้ก็ไม่ได้ แกก็บอกให้เอาไปเถอะ แกจะได้ นอนตายตาหลับ ป้าก็เอาเก็บรักษาไว้อย่างนั้นแหละ มีคนมาขอซื้อ จะให้เป็นหมื่น สมัยปี 2513-2514 ถือว่าเยอะนะ แต่ป้าก็ไม่ขาย กลับไปแล้วสักพักก็กลับมาอีก คราวนี้กลับมาถามว่าจะเอาเท่าไหร่ ป้าต้อง บอกไปว่า ขายไมไ่ ด้จรงิ ๆ มนั เป็นสมบัติตกทอดท่ีป่ยู ่าตายายใหม้ า ไม่ขายหรอก จะเกบ็ ไวอ้ ย่างนีแ้ หละ นี่คือความเป็นมาเบื้องต้นเกีย่ วกับการทอผ้าของชุมชนในพื้นทีอ่ ำเภอบา้ นไร่ จังหวัดอุทยั ธานีที่มี ปราชญ์ชุมชนที่จำเรื่องราวและการเริ่มต้นการทอผ้าของชุมชนของตนได้ ท่านได้ให้ข้อมูลไว้เพื่อให้ ลกู หลานในของชุมชนของตนไดท้ ราบเร่อื งราวความเป็นมาของการทอผ้าท่ีเกิดข้ึนกับชมุ ชนของตน

8 องค์ความรูพ้ ืน้ ฐานการทอผ้าของลาวคร่งั ลาวเวยี ง จังหวัดอุทัยธานี การทอผ้าของลาวครั่ง ลาวเวียง จังหวัดอุทัยธานี คนที่จะเรียนทอผ้าต้องประกอบไปด้วยความรู้ และทักษะเรื่องการใช้เครื่องมือและอุปกรณ์การทอ เทคนิคการทอหากขาดความรู้ดังกล่าวจะไม่สามารถ เรียนรู้ได้การศึกษาข้อมูลครั้งนี้ต้องการสร้างความรู้ทักษะให้กับผูเ้ รียนหรือผู้สนใจเพือ่ จะนำไปต่อยอดใน การประกอบอาชีพเสริมและอาชีพหลักขณะเรียนหรือเมื่อจบการศึกษาจึงได้รวบรวมองค์ความรู้ ทักษะ เทคนิคเกี่ยวกับการทอผ้าเบื้องต้นตั้งแต่ อุปกรณ์ การเตรยี มด้าย การทอ นอกจากนีอ้ งค์ความรู้การทอผ้า ยังสามารถสร้างอาชีพให้กับคนในชุมชนได้หลายอาชีพด้วยกระบวนการผลิตผ้าทอประกอบด้วยวัตถุดิบ เครอ่ื งมือ และอปุ กรณ์การทอมากมายหลายชิ้น การสร้างเครื่องมือและอุปกรณ์การทอล้วนต้องใช้ความรู้ ทักษะการทำซึ่งสิ่งเหล่านี้ไดร้ ับการถ่ายทอดสืบทอดจากบรรพบุรุษของตนที่ใช้สอนสืบต่อกันมา โดยส่วน ใหญเ่ ครอื่ งมือและอปุ กรณ์จะจัดทำขึน้ เองโดยคนในครอบครวั หรือในชุมชนจะมีความรู้เรื่องการทำก่ี (หูก) และอุปกรณ์ทอผ้าเป็นอย่างดีโดยใช้วัสดุที่หาได้ง่ายจากสิ่งแวดล้อมในท้องถิ่นตามธรรมชาติ เช่น ไม้เน้ือ แข็ง ไม้ไผ่หรือเหล็กมาทำกี่ ไม้มาทำคำพัน ตีนเหยียบ ไม้ไผ่นำมาทำซี่ฟันหวี (ฟืม) ไม้คิ้ว ไม้ดิ้วและ อุปกรณ์ประกอบกอ่ี น่ื ๆ อปุ กรณห์ ลักท่ีสำคัญในการทอผ้า ในการทอผ้าระดับพนื้ ฐานลาวคร่ัง ลาวเวยี งอุปกรณห์ ลกั ทสี่ ำคญั ในการทอผ้าทุกชนิด มีดังนี้ 1) กหี่ รือหูก 2) ฟืมหรอื ฟนั หวี 3) เขาหกู หรือตะกอ 4) หาบหกู 5) ไมค้ านเหยยี บหรือไมต้ นี เหยยี บ 6) ไมก้ ำผั้นหรือไม้มว้ นผา้ 7) ไม้แปน้ หูกหรือไม้พาดกี่ 8) ไมไ้ ขว้ 9) ไม้ขดั หูกหรอื ไม้ขดั เครือหกู

9 10) ไมค้ ันพงั หรือไม้ขดั เขย้ี วพัง 11) ไมเ้ กบ็ หรือไม้เก็บลาย 12) ไมห้ ลาบหรอื ไม้ดาบ 13) ไมค้ ้วิ 14) ไม้ขดั 15) ไมแ้ นบผา้ 16) ไม้กะเดยี งหรือไมก้ ะเดื่อง 17) ไมห้ ลอดหรือไม้กรอหลอดหรือหลอดพุ่ง 18) กวกั 19) เพย่ี นกรอหลอดดา้ ยพุง่ 20) ระวิง 21) อัก 22) หวีหกู 23) กระสวย 24) เฟีย 25) แท่นใสห่ ลอด 26) เชอื กปอ 27) กรรไกรขลบิ 28) เครอ่ื งกรอด้ายทำเส้นยนื 29) เสน้ ดา้ ย สำหรับอปุ กรณ์ที่สำคัญในการผลิตผ้าทอมอื ของลาวครั่ง ลาวเวียง พ้นื ฐานแบบผ้าพื้นยัง ไม่มีการสร้างลวดลายใด ๆ หากผู้ไม่มีความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับการทอผ้าด้วยมือมาก่อน เครื่องมือและ อุปกรณ์ที่ใช้จะหาซื้อได้จากชุมชนทัพคล้าย ชุมชนห้วยแห้ง และชุมชนบ้านผาทั่งโดยแต่ละชุมชนก็จะ หลงเหลอื ช่างทีส่ ามารถทำอปุ กรณแ์ ละเครื่องมือไม่ครบทุกชนิ้ ผู้ที่จะเรยี นทอผา้ ต้องหาซ้ือจากหลายท่ีต้อง ใช้เวลาในการซอื้ ด้วยชา่ งทำเครื่องมือจะทำสินค้าตามคำส่ังซ้ือเท่านน้ั และปัจจุบันชา่ งเหล่านี้เหลืออยู่น้อย

10 มากและมีอายุสูงมาก แต่อาจซื้อเคร่ืองมือทอผ้ามือสองได้ในแตล่ ะชุมชนที่มีการทอผ้าด้วยมีการบอกขาย กนั อยูเ่ ปน็ บางเวลา โดยหนา้ ทข่ี องอปุ กรณแ์ ต่ละชิ้น มีดงั นี้ 1) กี่ (Loom) หรือหูก คือ เครื่องมือที่ใช้ทอผ้าลาวครั่ง ลาวเวียงจะใช้ก่ีพื้นเมือง เป็น โครงไม้ขนาดเล็กทรงสี่เหลีย่ มมีเสา 4 ต้น ประกอบไปด้วยฟันหวี ฟันหวีทำหน้าที่กระทบเส้นพุ่งให้ขัดกับ เส้นยืน กี่พื้นเมืองใช้มือพุ่งกระสวยสลับไปมา ซ้ายขวา (ไม่มีเชือกกระตุก) คือ ถ้ามือซ้ายพุ่งกระสวยมือ ขวาก็จับฟันหวีกระทบ ถ้ามือขวาพุ่งกระสวยมือซ้ายก็จับฟันหวีกระทบสลับไปมาเช่นนี้เรื่อย ๆ การทอ ดว้ ยก่ีพืน้ เมืองใชเ้ วลานานกว่ากี่กระตกุ ไดเ้ น้ือผ้าเรียบเนยี นแลดสู วยงามกว่าผ้าท่ที อจากกี่กระตุก ก่ีชนิดน้ี ใช้ทอผ้าได้ทุกประเภททั้งผ้าทอพื้น ผ้ามัดหมี่ ผ้าขิดและผ้าจก ช่างทออาวุโสใช้กี่พ้ืนเมือง ทอผ้าที่มี ลวดลายซบั ซ้อน เชน่ ผา้ ขดิ และผา้ จก ลักษณะของกม่ี ดี งั น้ี ภาพท่ี 1 กีด่ า้ นหนา้

11 ภาพที่ 2 กี่ด้านหลงั 2) ฟมื หรือฟนั หวี เปน็ อุปกรณห์ น่ึงในการทอผา้ มลี กั ษณะเป็นซ่ีเรียงกันอยู่ในกรอบของไม้ ใช้สำหรบั กระทบเส้นดา้ ยพงุ่ จากกระสวยให้ชดิ เป็นระเบยี บ และทำให้ผ้ามคี วามแนน่ ความถขี่ องฟันฟืมน้ัน ขึ้นอยู่กับลักษณะของเส้นด้าย หากเป็นผ้าไหมฟันฟืมจะถี่ หากเป็นผ้าฝ้ายฟันฟืมจะห่าง ในปัจจุบันใช้ฟัน ฟืมที่เป็นโลหะเพื่อความแข็งแรง และความทนทาน แต่หากทำด้วยไม้ก็จะใช้ไม้จริงทำกรอบด้านบน สว่ นตวั ฟนั หวีจะทำด้วยไม้ไผห่ รือโลหะ ฟืมหรอื ฟนั หวีมีหลายขนาดขนึ้ อย่กู บั ความกว้างของผนื ผ้า ผทู้ อตอ้ ง เลอื กใหเ้ หมาะสมกบั ขนาดของที่จะทอ ลกั ษณะของฟมื หรือฟันหวี มีดังน้ี ภาพท่ี 3 ฟืมหรอื ฟนั หวี

12 3) เขาหูกหรือตะกอ คือ เชือกทำด้วยด้ายไนลอนที่ร้อยคล้องเส้นด้ายยืน เพื่อแบ่งเส้นด้าย เป็นหมวดหมู่ตามที่ต้องการเมื่อยกเขาหูกหรือตะกอขึ้น ก็จะดึงเส้นด้ายยืนเปิดเป็นช่อง สามารถพุ่ง กระสวยเขา้ ไปให้เสน้ ดา้ ยพ่งุ สานขัดกับเส้นดา้ ยยืนได้ เวลาสอดเส้นดา้ ยยนื ต้องสอดสลับกันไปเส้นหนึ่งเว้น เส้นหนึ่ง และมีเชือกผกู เขาหกู แขวนไวก้ ับโครงกด่ี า้ นบนสามารถเลอ่ื นไปมาได้ สว่ นด้านลา่ งผูกเชือกติดกับ คานเหยียบ เมื่อต้องการดงึ แยกเส้นดา้ ยใหเ้ ป็นช่องจะใช้เท้าเหยียบที่คานเหยียบทำให้เขาหูกเล่ือนขึ้น-ลง เกดิ เปน็ ช่องสำหรับใส่เส้นดา้ ยพงุ่ หากตอ้ งการทอผา้ เป็นลวดลายท่ีงดงาม จะตอ้ งใชต้ ะกอและคานเหยียบ จำนวนหลายอนั ลกั ษณะของเขาหูกหรือตะกอ มีดังนี้ ภาพที่ 4 เขาหูกหรอื ตะกอ

13 4) หาบหูกหรอื ไม้หามผูก เป็นไม้ที่ตดิ กับไม้ตีนเหยยี บทำหนา้ ท่ีแขวนฟืมหรือฟนั หวีและ แขวนเขาหูก คานหาบหูกนี้จะอยู่ดา้ นบนของก่ีทอผา้ มีไวส้ ำหรับทำหนา้ ทผี่ กู ฟนั วหี รอื ฟืม เขานอ้ ย และ เขาใหญ่ ลกั ษณะของหาบหูกหรอื ไม้หามผกู มดี ังน้ี ภาพที่ 5 หาบหูกหรือไมห้ ามผกู

14 5) ไมค้ านเหยียบหรือไม้ตีนเหยยี บ คอื ไม้สำหรับเหยียบเพื่อบังคับให้เสน้ ดา้ ยยืนขน้ึ หรือลง ตามต้องการ ไมค้ านเหยียบหรือไม้ตนี เหยียบตำแหนง่ จะอยู่ใตก้ ี่ใกล้กับพ้นื ดา้ นทางด้านไม้แป้นหกู ซึ่งเป็น ทน่ี งั่ ของผ้ทู อ ไม้คานเหยยี บหรอื ไม้ตีนเหยยี บจะมีเชอื กผูกโยงไวก้ ับเขานอ้ ย ปจั จุบันมีท้งั ทำจากลำไมไ้ ผ่ ลวกและทำจากไม้เนื้อแขง็ หากจะประหยัดเน้นเพยี งประโยชนใ์ ชส้ อยไม่เนน้ ความสวยงามช่างทอผา้ กจ็ ะ ใช้เพียงลำไม้ไผ่ท่ีมีอยู่ในถ่นิ ค่อนข้างมากลักษณะของไมค้ านเหยยี บหรอื ไม้ตีนเหยยี บ มดี ังนี้ ภาพที่ 6 ไม้คานเหยยี บหรือไมต้ นี เหยียบทำจากไม้เนื้อแข็ง

15 6) ไม้กำผ้ันหรือไม้มว้ นผ้า เปน็ ไม้ทรงส่ีเหล่ียมคลา้ ยเสาบ้านมีความยาวกวา่ ความกว้างของ หนา้ ผา้ ทอ เสน้ ผ่านศูนยก์ ลางประมาณ 5 เซนตเิ มตร มีไวใ้ ช้ม้วนเกบ็ ผ้าในสว่ นของผา้ ที่ทอเสรจ็ แลว้ เกบ็ ไว้ แกนมว้ นผ้าหรอื ไม้กำผ้นั ในอดีตใชล้ ำต้นไม้ท่ีมขี นาดสม่ำเสมอ และเหยยี ดตรง ลักษณะของไมก้ ำผัน้ หรือ ไมม้ ้วนผา้ มีดงั นี้ ภาพท่ี 7 ไม้กำผนั้ หรอื ไม้ม้วนผา้ 1 ภาพท่ี 8 ไม้กำผัน้ หรือไม้ม้วนผา้ 2

16 7) ไม้แป้นหูกหรือไม้พาดก่ี เปน็ ไมท้ ี่ใช้หรับน่ังทอผา้ มหี ลายรูปแบบบางบา้ นใช้ไมแ้ ผน่ บาง บา้ นใช้ต้นไม้ไผเ่ หลาใหเ้ รยี บแล้วผาดนง่ั ทอผา้ ลกั ษณะของไม้แปน้ หกู หรือไม้พาดก่ี มดี งั นี้ ภาพที่ 9 ไม้แป้นหูกหรือไม้พาดก่ี 8) ไมไ้ ขว้ คอื ไม้ทที่ ำหนา้ ทจ่ี ดั เส้นด้ายยนื ให้เป็นระเบยี บไม่พันกัน มีสองอันอยู่คกู่ ัน ลักษณะของไมไ้ ขว้ มดี งั น้ี ภาพที่ 10 ไม้ไขว้

17 9) ไม้ขัดหูกหรือไม้ขัดเครือหูก เป็นไม้ขนาดเล็กคล้ายตะเกียบแต่มีความยาวสั้นกว่า ปัจจุบัน ชา่ งทอผา้ อาจใช้ดินสอไม้แบบแท่งแทนเพราะหาซื้อง่ายสะดวกและใช้ได้เหมือนกัน ใชส้ ำหรับเครือหูกเพ่ือทำ ให้เครือหูกตึงและแน่น ถ้าทอผ้าหน้าไม่กว้างมาก เช่น ผ้าสไบ ผ้าคลุมไหล่จะใช้ไม้ขัดหูกเพียงอันเดียวเพื่อ บังคับเครือหูก หากทอผ้าหน้ากว้าหรอื ทอผ้าซิ่นจะใช้ไม้ขดั หูก 2 อัน แต่ปัจจุบันช่างทอบางคนก็จะไม่ใช้ไม้ ขัดหดู ว้ ยมีการใช้นวตั กรรมแบบใหม่ท่ดี งึ เครือหูกใหต้ ึง ลักษณะของไม้ขัดหกู หรือไมข้ ัดเครือหกู มดี งั น้ี ภาพที่ 11 ไม้ขดั หูกหรือไมข้ ัดเครือหูก

18 ภาพที่ 12 การใชเ้ ครอ่ื งดงึ เครือ 10) ไม้คนั พงั หรือไม้ขดั เขย้ี วพัง เป็นไมท้ ม่ี ีความยาวมากกว่าความกว้างหน้าผา้ ขนาดประมาณ 1 เซนติเมตร รปู ร่างโค้ง ทำหนา้ ท่ีบงั คบั หน้าผ้าใหต้ งึ ขณะทอผา้ ไม้คันพังจะมีตำแหน่งอยู่ใตผ้ ืนผ้าสว่ นที่ทอ แลว้ แต่ยังไม่ได้มว้ นเก็บเข้ากับไมก้ ำผั้นหรือไม้ม้วนผา้ ลักษณะของไม้คันพังหรือไม้ขดั เขยี้ วพัง มดี ังน้ี ภาพที่ 13 ไม้คันพังหรือไม้ขัดเขี้ยวพัง

19 11) ไม้เก็บหรือไม้เก็บลาย หากทอผ้าที่มีการสรา้ งลวดลายบนผนื ผ้าต้องมีไม้เก็บหรือไม้เก็บ ลาย ซึ่งเป็นไม้ขนาดเล็กลักษณะแบนยาวปลายด้านหนึ่งจะแหลม มีลักษณะคล้ายไม้หลาบแต่มีขนาดเล็ก กว่า ท่วั ไปกวา้ งประมาณ 5-6 เซนติเมตร ใชใ้ นการเก็บลายผา้ ทข่ี นึ้ ไว้หลังจากท่ีนบั เส้นด้ายยืนเพื่อกำหนด ลวดลายผ้าจะต้องใช้ไม้เก็บสอดเส้นยืนไว้ ไม้หน้าเก็บจะอยู่หน้าฟันหวีหรือเขาน้อย ลักษณะของไม้เก็บ หรอื ไมเ้ กบ็ ลาย มีดงั น้ี ภาพที่ 14 ไมเ้ กบ็ หรือไมเ้ ก็บลาย

20 12) ไม้หลาบหรือไม้ดาบ ที่ผู้ทอผ้าต้องใช้ขณะทอผ้าตลอด รูปร่างแบนยาว และยาวกว่าฟนั หวีมระมาณ 15 เซนติเมตร กว้างประมาณ 7-8 เซนติเมตร ปลายข้างหนึ่งแหลม ใช้สำหรับเวลาทอสอด เสน้ ยนื แล้วพลิกดา้ นสันค้ำเส้นด้ายยืนเพ่ือให้เกิดช่องวา่ ง เม่ือเวลาพุ่งกระสวยจะได้ทำได้ง่าย ตำแหน่งของ ไม้หลาบจะอยู่หลังฟันฟวีและเขาน้อย แต่อยู่หน้าของตะกรอลอยหรือหน้าเขาใหญ่ ลักษณะของไม้หลาบ หรอื ไมด้ าบ มดี งั นี้ ภาพที่ 15 ไมห้ ลาบหรือไม้ดาบ

21 13) ไม้คิ้วหรือไม้ดิ้ว เป็นไม้ที่ทำจากไม้ไผ่เหลาให้มีลักษณะค่อนข้างกลม เรียวยาว ขนาด เส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 0.5 เซนติเมตร ขนาดของไม้คิ้วหรือไม้ดิ้วขึ้นอยู่ความกว้างของผ้าที่ทอ ใช้ สำหรับสอดเครือหูกหรือสอดเขาใหญ่ เพื่อกำหนดลายเก็บลายผ้าทอหรือบันทึกลายไว้ จำนวของไม้ค้ิว หรือไม้ดิ้วขึ้นอยู่กับความซับซ้อนของลวดลายผ้า มีการทำจำหน่ายราคาอันละ 2-5 บาท ลักษณะของไม้ ค้ิวหรอื ไมด้ วิ้ มดี งั น้ี ภาพที่ 16 ไมค้ ้ิวหรือไมด้ วิ้

22 14) ไม้ขัด คอื ไม้สำหรบั ขัดฟันหวีไม่ใหต้ กลงมาเกะกะมอื คนทอผา้ ขณะเกบ็ ลายผ้าหรอื สรา้ ง ลวดลายผา้ ลักษณะของไม้ขัดมดี งั นี้ ภาพที่ 17 ไม้ขัด

23 15) ไม้แนบผา้ เป็นไม้ขนาดเล็กเท่านว้ิ มอื ผูท้ อจะสอดไม้แนบผา้ ไว้ในรอ่ งกำผั้น เพ่ือกดริม ผ้าตลอดแนวตามความกวา้ ของหน้าผาชา่ งทอจะสอดไม้แนบผ้าใหอ้ ยใุ่ นร่องไมก้ ำผ้นั กอ่ นที่จะม้วนผ้าเพ่ือ ไม่ให้ผ้าสว่ นท่ที อแลว้ หลุดออกจากไมก้ ำผัน้ ลกั ษณะของไม้แนบผ้า มดี ังนี้ ภาพท่ี 18 ไมแ้ นบผา้

24 16) ไม้กะเดยี งหรือไมก้ ะเด่ือง เป็นไมท้ ี่ทำมาจากตน้ ไผ่หรือต้นหมากเหลาใหก้ ลม ขนาด ประมาณน้วิ ชี้ ยาวประมาณ 10 เซนติเมตร ใช้ 2 อัน มีไว้สำหรับผกู เชอื กโยงกับเขาน้อย ที่ดา้ นปลายของ เขาน้อยแตล่ ะอนั กบั คานหากหกู ลกั ษณะของไม้กะเดยี งหรือไม้กะเด่ือง มดี งั นี้ ภาพที่ 19 ไมก้ ะเดียงหรือไมก้ ะเดือ่ ง

25 17) ไม้หลอดหรือไม้กรอหลอดหรือหลอดพ่งุ เป็นไม้ทที่ ำมาจากแกนไม้ไผ่ พลาสติก สำหรบั ไวเ้ ผย่ี น หลอดหรอื กรอดา้ ยใสห่ ลอด มี 2 ขนาด หลอดขนาดใหญไ่ ว้สำหรบั กรอด้ายยนื ลกั ษณะของไม้ หลอดหรือไม้กรอหลอดหรือหลอดพุ่ง มีดังนี้ ภาพท่ี 20 หลอดกรอดา้ ย ภาพท่ี 21 หลอดกรอพร้อมด้าย

26 18) กวกั เป็นเครื่องจกั สานจากไม้ไผห่ รือต้นหวายมหี ลายขนาด ทำหน้าท่เี รียงเสน้ ด้ายทีจ่ ะ ทำเป็นเครือหูกให้ตึงเป็นระเบียบเพอ่ื ทจี่ ะไปทำโฮน้ หกู ต้องใชก้ วักสองอนั เพื่อทำหนา้ ทีเ่ ป็นขาตง้ั ให้กับกง เวลาขนึ้ เส้นด้ายเพื่อกรอด้ายใส่กระสวยพุ่งหรือกรอดา้ ยพุ่งสำหรับการทอ ลักษณะของกวัก มีดงั นี้ ภาพที่ 22 กวกั 19) เครอื่ งเพยี่ นกรอหลอดดา้ ย ทำมาจากไม้เนอื้ แข็งทรงคลา้ ยลอ้ เกวยี น มดี า้ มจับหมุนใหว้ งล้อ เคลือ่ นท่ี ดา้ นบนจะใสห่ ลอดดา้ ยพ่งุ เพ่อื นำดา้ ยไปพุง่ ขณะทอผ้า ลกั ษณะของเคร่อื งเพ่ียนกรอหลอดด้าย มีดงั นี้ ภาพท่ี 23 เคร่ืองเพีย่ นกรอหลอดด้าย

27 20) กงหรือระวงิ คอื เครื่องมือสำหรับใส่ขดด้ายทจี่ ะกรอรปู ร่างคล้ายวงลอ้ ทำด้วยไม้ไผ่ เป็นซๆี่ หรือทำจากเชือกทำเปน็ ล้อหมนุ สาวเส้นด้ายมใิ ห้พันกนั ลักษณะของระวิง มดี ังน้ี ภาพท่ี 24 กงหรือระวงิ 21) อัก คือ เคร่ืองพักเส้นด้ายหรือเสน้ ไหมก่อนกรอเข้ากระสวย ลักษณะของหวหี กู มีดังนี้ ภาพที่ 25 อัก

28 22) หวหี กู เป็นแปรงดา้ ยเส้นยนื เพื่อไม่ให้ด้ายพันกนั ทำดว้ ยกาบมะพร้าว ปจั จุบนั ช่างทอ บางคนไม่ใช้หวีหูกแล้วดว้ ยมีกรรมวิธกี ารทอท่ีทำให้เสน้ ดา้ ยตงึ ไม่พนั กนั ลกั ษณะของหวีหูก มีดงั นี้ ภาพที่ 26 หวีหูก 23) กระสวย ทำมาจากไม้เนื้อแข็งเจาะช่องตรงกลาง รูปร่างคล้ายเรือพาย มีไว้สำหรับใส่ หลอดเสน้ พุ่งทำหน้าทเี่ ป็นตัวพุ่งของเส้นดา้ ยของก่ีแบบพน้ื บ้าน กระสวยมแี บบชอ่ งเดยี วหรอื แบบสองช่อง ลักษณะของกระสวยมดี ังน้ี ภาพท่ี 27 กระสวย (สองช่อง)

29 24) เฟยี หรือเครือ่ งข้นึ เครอื เดิมเปน็ เครือ่ งที่ทำจากไมเ้ นื้อแข็ง ปจั จุบันทำจาก เหล็กมลี กั ษณะคลา้ ยกงล้อเกวียน ทำหน้าที่กำหนดความยาวของเส้นด้ายให้ตรงตามขนาดของฟืม จากไม้ หรือเหล็กเมื่อก่อนใช้ไม้แต่เกิดปัญหาการชำรุดและการยืดหยุ่นทำให้เปลี่ยนเป็นเหล็ก โดยมีความยาว ประมาณ 4 เมตร กว้าง 1 เมตร มีหลักยาวประมาณ 5 เซนติเมตรด้านล่ะ 13 หลัก มีจุดเก็บด้ายอีก 1 หลัก อยู่ข้างใดข้างหนึ่ง ปัจจุบันมีการพัฒนารูปแบบเฟียให้สามารถกำหนดความยาวได้มากขึ้น เสียด้าย ลดลง เสียเวลานอ้ ยลงและลดความยุ่งยากในการข้ึนหลอดดา้ ยลักษณะของเคร่ืองขึ้นเครอื มีดังนี้ ภาพท่ี 28 เฟยี หรอื เครือ่ งข้ึนเครอื แบบเดิมใชค้ นเดินเรยี กชุดมา้ เดิน

30 ภาพที่ 29 เฟียหรือเคร่ืองข้นึ เครอื แบบใหมใ่ ช้เคร่ืองเดนิ แทนคน ภาพที่ 30 การนำดา้ ยใส่เฟยี หรอื เครอ่ื งขน้ึ เครอื

31 25) แทน่ ใส่หลอด ทำมาจากไม้หรอื เหล็กเม่ือก่อนใช้ไม้แตเ่ กิดปัญหาการชำรุดและการ ยืดหยุ่นทำให้เปลี่ยนเป็นเหล็ก มีลักษณะ สูงโดยประมาณ 1 เมตร 50 เซนติเมตร ยาวประมาณ 2 เมตร โดยมีหลักที่ใช้ในการเสียบหลอดด้ายสูงประมาณ 10 เซนติเมตร ประมาณ 20 หลัก โดยทำมาจากไม้หรือ เหล็ก ลกั ษณะของแทน่ ใส่หลอด มดี ังน้ี ภาพที่ 31 แท่นใส่หลอด

32 26) เชือกปอ ทำหนา้ ที่ มดั เสน้ ด้ายใหไ้ ม่พันกนั ในข้ันตอนการขึ้นเครอื นำเชือกปอ มามัดด้ายตรงด้านที่มหี ลักพัก ปจั จบุ ันมีเชือกปอทท่ี ำจากฝ้ายและจากพลาสติก ลักษณะของเชอื กปอ มดี ังน้ี ภาพที่ 32 เชือกปอ 27) กรรไกรขลิบเล็ก ทำหนา้ ท่ีตัดเสน้ ด้ายส่วนเกนิ ออกขณะทอผา้ ลกั ษณะของกรรไกร ขลบิ เล็ก มดี งั น้ี ภาพที่ 33 กรรไกรขลิบเล็ก

33 28) เครื่องกรอด้ายทำเส้นยืน ทำจากไม้เนื้อแข็งและไม้ไผ่ผสมกัน ด้านหนึ่งจะเหมือนล้อ รถจักรยาน อีกด้านหนึ่งจะเหมือนกงล้อเกวียน ปัจจุบันมีการพัฒนาให้ง่ายขึ้นด้วยการใช้วงล้อรถจักรยานอีก ด้านหน่ึงและอกี ด้านหน่ึงยังคงรูปแบบโบราณใช้ไม้ไผ่เหลาขึน้ รปู เป็นกง ทำหนา้ ท่ีกรอด้ายเส้นยืนใส่หลอดเพ่ือ นำไปทอเปน็ เส้นยืน ลกั ษณะของเคร่อื งกรอด้ายทำเส้นยืน มีดงั น้ี ภาพที่ 34 เคร่ืองกรอดา้ ยทำเส้นยนื 29) เสน้ ด้าย ปัจจุบันวตั ถดุ ิบการทอผ้าแบบลาวคร่งั ลาวเวียงมกี ารพัฒนาลดขน้ั ตอนท่ี ยุ่งยาก และมีการเพิ่มความสะดวกมากขึ้นในอดีตการทอผ้าจะเริ่มตั้งแต่การทำเส้นด้ายด้วยตนเอง แต่ปัจจุบันส่วนมากจะใช้เส้นด้ายสำเร็จรูปไม่ว่าจะเป็นเส้นฝ้ายหรือเส้นไหม แต่ก็ยังมีบางครอบครัวที่ ยังคงอนุรกั ษร์ ักษาขั้นตอนการผลิตผ้าแบบครบวงจรดว้ ยการปลกู ฝ้ายและนำมาทำเสน้ ดา้ ยดว้ ยตนเองเพ่ือ ทอผ้าไว้ใช้ในครอบครัวแจกลูกหลานในวันสำคัญ และจำหน่ายในชุมชน อาทิ บ้านแม่สอาด จันทร บ้านทุ่งนา อาจารย์นิทัศน์ จันทร บ้านภูจวง และกลุ่มทอผ้าบ้านทัพหลวง ดังนั้น หากบ้านไหนที่ทำ เส้นดา้ ยดว้ ยตนเองกจ็ ะต้องมีขน้ั ตอนและอปุ กรณ์เพิ่มมากขึ้น หากบา้ นไหนทอผ้าจากเส้นด้ายสำเร็จรูปก็ จะลดขั้นตอนและอุปกรณ์ ในการศึกษาครั้งนี้ผู้วิจัยได้รวบรวมองค์ความรู้ต้ังแต่ขัน้ ตอนการผลิตเสน้ ดา้ ย จนถึงขั้นตอนการทอผ้าพื้นฐานเพื่อประโยชน์ของเยาวชน ลูกหลานหรือผู้สนใจที่ต้องการมีความรู้แบบครบ วงจรการผลิตผา้ จะได้นำความรู้ไปเผยแพร่ สบื สานหรือไปประกอบอาชีพเสริมหรืออาชีพหลักให้กับตนเองได้ ด้านการศึกษาสามารถนำความรู้ท่ีรวบรวมครั้งนี้ไปขยายผลได้ตามต้องการ โดยรายละเอยี ดขั้นตอน มดี ังน้ี

34 การผลิตเส้นดา้ ย การทอผ้าหากบ้านใดมีการปลูกฝ้ายเพื่อไว้ใช้ทอผ้าเพื่อใช้ในครอบครัวหรือจำหน่ายบ้าน นั้นก็จะมอี ุปกรณส์ ำหรบั การผลิตเสน้ ดา้ ย ปัจจบุ นั บ้านทพั คล้าย บ้านภจู วง บา้ นทพั หมันมกี ารผลิตผ้าฝ้าย ที่เกิดจาการเข็นมือหรือเกิดจากการทำด้วยมอื จำหน่ายราคาเมตรละ 200-300 บาท แต่ก็มีไม่มากต้องสง่ั จองล่วงหน้าด้วยมีพ้ืนท่ีปลูกฝ้ายไม่มาก โดยข้นั ตอนการทำผ้าทอจะคล้ายกบั ขน้ั ตอนการทำผ้าจุลกฐินทุก ขั้นตอนแตกต่างเพียงนำไปย้อมเป็นสีสำหรับทำผ้าจุลกฐิน ในการรวบรวมข้อมูลครั้งนี้ได้นำขั้นตอนการ ผลิตเส้นฝ้ายมานำเสนอเบื้องต้นหากต้องการข้อมูลแบบละเอียดสามารถสืบค้นได้จากงานวิจัยเกี่ยวกับ จุลกฐนิ หรอื เกยี่ วกบั การทอผ้าของจังหวัดอทุ ัยธานไี ดจ้ ากผเู้ ช่ยี วชาญและนักวิชาการ โดยข้ันตอนมีดังน้ี ขั้นตอนที่ 1 การเก็บดอกฝ้ายพื้นเมืองที่ปลูกด้วยตนเองจากต้นนำไปตากแดดโดยฝ้ายที่ได้ต้อง แก่เต็มที่มีปยุ้ ฝา้ ยท่ีขาวที่แตกออกจากเมล็ดเราจะเก็บแตด่ อกฝ้ายและเด็ดขว้ั ของดอกออกให้หมดให้เหลือ แตป่ ยุ ฝา้ ยเพือ่ ท่ีจะทำความสะอาดได้ง่ายควรเกบ็ ชว่ งเวลาเยน็ เพราะมีความชื้นนอ้ ยทสี่ ดุ ภาพท่ี 35 ดอกฝา้ ย

35 ภาพที่ 36 การเกบ็ ดอกฝ้ายจากตน้ ภาพที่ 37 ฝา้ ยทผ่ี า่ นการตากแดดแลว้

36 ขั้นตอนท่ี 2 การอิ้วฝ้ายคือการแยกเมลด็ ฝ้ายออกจากปยุ ของฝา้ ย ภาพท่ี 38 การอ้ิวฝา้ ย ขน้ั ตอนท่ี 3 การดีดฝ้าย ทำเพื่อนำสงิ่ สกปรกออกและทำใหเ้ น้ือฝา้ ยฟู ใชเ้ วลา 15 นาที โดยประมาณ และขัน้ ตอนนเี้ ป็นข้นั ตอนท่สี ำคัญสดุ เส้นฝา้ ยจะสวยหรอื ไม่ขนั้ ตอนนี้มีสว่ นสำคญั ภาพที่ 39 การดีดฝ้าย

37 ขน้ั ตอนที่ 4 การหลอ่ ฝา้ ย คือการนำฝา้ ยทผ่ี ่านกระบวนการดีดแล้วมาม้วนหรอื ทำให้เป็นแท่ง กลม ๆ เราจะใช้แท่งไมด้ ้วิ ขนาดประมาณ 20 ซม. และแผ่นกระดานไม้ โดยมีการใชเ้ น้อื ฝา้ ยแผ่ใวท้ ี่ กระดานไมแ้ ละนำไมด้ ิ้วมาวางทบั เนอ้ื ฝ้าย และหมนุ ไมด้ ิว้ ไปขา้ งหนา้ เพื่อใหเ้ นื้อฝ้ายห่อไมด้ วิ้ หล่อไปทาง เดียวกนั (ข้างหน้าคือข้างหน้า) (ขา้ งหลังคือขา้ งหลัง) เพื่อเวลาปน่ั เปน็ เสน้ มันจะป่ันเป็นเส้นไดง้ ่าย และไม่ขาด ภาพที่ 40 การหล่อฝ้ายดว้ ยป่นั มือ

38 ข้นั ตอนท่ี 5 การปั่นฝา้ ยโดยใช้ไนปนั่ ฝ้ายที่เป็นเคร่ืองมือในการปั่นโดยมือซ้ายกบั มือขวาต้อง สมั พนั ธ์ มอื ขวาเป็นแรงทห่ี มุนมอื ซ้ายเป็นแรงที่ดึง ถ้าแรงดึงและแรงหมนุ สัมพันธ์กัน เสน้ ฝ้ายที่ได้ออกมา ก็จะเปน็ เส้นสวยงาม ภาพที่ 41 การป่ันฝ้ายให้เป็นเส้น ข้ันตอนท่ี 6 การเปยี ฝ้าย ไนฝา้ ยคือการทปี่ ั่นออกมาเป็นเส้นแล้วคือทำให้เกดิ การเปน็ ไจ (ทำให้ เปน็ วงกลม) เปน็ การรวมเส้นฝา้ ยเพ่ือใชส้ ำหรับการยอ้ มสี ภาพท่ี 42 การเปียฝา้ ย

39 ภาพท่ี 43 ฝ้ายทเ่ี ปียเสรจ็ แลว้ ข้นั ตอนท่ี 7 การเผี่ยนหลอด (การกรอด้าย) เปน็ การเปล่ียนจากไจฝา้ ยมาใสห่ ลอดไมไ้ ผเ่ ลก็ ๆ เพ่ือใสก่ ระสวยเพ่ือเตรยี มเสน้ ดา้ ยและการเก็บลายผา้ ท่ีมกี ารทอแบบมลี วดลาย ภาพที่ 44 การเผย่ี นฝา้ ย (การกรอด้าย) ใสห่ ลอดไมไ้ ผเ่ ล็ก

40 การเตรียมด้ายพุ่ง การเตรยี มด้ายพุ่งผู้ทอต้องเตรยี มด้ายใส่กงท่ีทำหน้าท่ีใหเ้ ส้นด้ายไม่พนั กัน เพื่อกรอใส่หลอด ด้ายพุ่ง หรือเตรียมเส้นด้ายที่พุ่งผ่านกระสวยที่ถูกกรอบนหลอดด้ายบรรจุในกระสวย เพื่อนำไปทอต่อไป โดย เสน้ พุง่ จะพงุ่ ในแนวนอนจากซ้ายไปขวา และจากขวามาซ้ายผ่านเสน้ ยืนที่ยกสลบั กันเมื่อเหยียบคานเหยียบ การเตรยี มดา้ ยยืน ก่อนขึ้นเครือหรือก่อนเตรียมเครือผู้ทอต้องเตรียมด้ายเบอร์ 40/2 ใส่กงที่ทำหน้าที่ให้ เสน้ ดา้ ยไม่พันกนั เพอ่ื กรอใส่หลอดด้ายยืน นำไปเดนิ เครือฝ้ายต่อไปหรือไปสชู่ ุดม้าเดิน เส้นดา้ ยชุดหน่ึงที่ขึงไว้ กบั กต่ี ามแนวตั้ง โดยสอดผ่านชอ่ งฟืม และตะกอท่โี ยงไวก้ ับกี่ และไมเ้ หยียบ ในการทอผ้า ชา่ งทอจะต้องเตรียม เสน้ ด้ายยืนเอาไว้ก่อนเสมอ โดยอาจมีความยาวหลายสบิ เมตร ดา้ ยเสน้ ยนื มีความสําคัญในการทอผ้าไม่น้อยไป กวา่ ดา้ ยเสน้ พ่งุ เมอ่ื เริม่ ทอแล้วจะไม่สามารถเปลีย่ นด้ายเส้นยืนได้จนกว่าจะทอไปตลอดผืนเสร็จ การขน้ึ เครอื (ห่นหูก) หรือการเตรียมเครือด้าย ขั้นตอนการขึ้นเครือ (ห่นหูก) ก่อนที่ช่างทอผ้าจะทอผ้าต้องมีการเตรียมเครือด้าย และการ เตรียมด้ายยืน ด้ายพุ่งไว้สำหรับการทอ การเตรียมด้ายยืน ด้ายพุ่งก็จะมีเครื่องสำหรับการเตรียม โดยเฉพาะขั้นตอนไม่ยุ่งยาก แต่การเตรียมเครือด้ายมีขั้นตอนและวิธีที่ยากกว่า จึงขอนำเสนอไว้เพ่ือ การศกึ ษาและการสืบสานการทอผ้าพน้ื เมืองอทุ ัยธานี ดังน้ี 1) เร่ิมจากการกรอดา้ ยใส่หลอดทีท่ ำจากไม้ไผ่หรอื ท่อPVC ภาพท่ี 45 ด้ายที่กรอใส่หลอดเรียบรอ้ ยแล้วนำมาใส่แทนใสห่ ลอด

41 2) การเดินด้าย หรือ โวน้ เครอื เป็นขั้นตอนหลังจากกรอดา้ ยเข้าหลอดเรียบร้อยแลว้ เป็นการจัด วางเสน้ ยนื ใหเ้ ปน็ รปู โครงของผนื ผ้า มีการคำนวณความกว้างยาวของผืนผ้าท่ตี ้องการทอ เพือ่ สะดวกในการ สอดฟันหวี โดยใชเ้ ครื่องเดินดา้ ย (มาเดินด้าย) ซึง่ มีราวขนาดใหญพ่ อดีสำหรับบรรจหุ ลอดเสน้ ดา้ ยไหม และ แคร่สำหรับเดินด้าย ส่วนใหญ่สามารถเดินเส้นยืนได้ราว 200 หลา เมื่อเดินด้ายหรือโว้นเครือได้ความยาว ตามตอ้ งการเสร็จเรียบรอ้ ยแล้วตอ้ งปลดเสน้ ยนื ออกมาจากแคร่ และขมวดให้เป็นลกู โซ่หรือถกเปน็ เปีย เพ่ือ กนั มิใหเ้ ส้นด้ายยุ่งพันกันหรอื จะใชว้ ธิ ีเดินดา้ ยโดยไม่ใชเ้ คร่ืองก็ได้ หรือการนำหลอดดา้ ยที่จะทำการขึ้นเครือ (ห่นหูก) ตามความต้องการโดยเป็นสีอะไรก็ได้ตามความต้องการไปใส่แท่นใส่หลอดด้าย นำปลายด้าย ทั้งหมดมามัดเป็นห่วงเดียวกันแล้วนำไปพันที่แท่นเฟีย ความยาวด้ายโดยประมาณ อยู่ที่ 32 เมตร โดยเร่ิม จากหลักท่ี 3 ของดา้ นทมี่ หี ลกั พักดา้ ยและไปหลักที่ 2 และไปหลกั ท่ี 1 และไปหลักที่ 1 ของอีกด้าน โดยก่อน ตดั ได้ให้ทำการจับเส้นด้ายสลับคู่เพอ่ื ไปมัดท่หี ลักพัก ภาพท่ี 46 การเดนิ เส้นด้าย

42 3) นำเชอื กปอมามดั ด้ายตรงดา้ นทม่ี ีหลักพักและตรงกลางที่เปน็ กากบาทเพ่ือไม่ใหห้ ลุดออกจากกัน ภาพท่ี 47 การนำเชือกปอมามัดด้าย 4) ตัดด้ายออกจากจากหลอดและจบั สลับเส้นก่อนถักเป็นเปยี เม่อื ดำเนินการเสร็จแล้วค่อยนำไป สบื หูกต่อไป ภาพท่ี 48 การตัดดา้ ยออกจากหลอดและจบั สลับเสน้ กอ่ นถักเป็นเปีย

43 ภาพที่ 49 การนำเสน้ ดา้ ยออกจากเฟยี ขั้นตอนการสบื หูกก่อนการทอ สำหรบั อุปกรณ์ข้นั ตอนการสืบหกู ประกอบดว้ ย ไม้ไขว้ (คว่ ย) ฟมื และหลกั วางไม้ไขว่ (ค่วย) มีข้นั ตอนการสบื หกู ดงั น้ี 1) ผา่ ไม้ไขว้ (คว่ ย) ท้ังสองด้าน และนำเชือกมามัดใส่ ความยาวเชอื กประมาณไม้ไขว้ (คว่ ย) ภาพที่ 50 การผา่ ไม้ไขว้

44 2) นำดา้ ยที่ห่น (เดนิ หรือข้นึ เครอื ) มาเทียบกับไม้ไขว่ (คว่ ย) ภาพท่ี 51 นำด้ายที่ห่นมาใส่ไมไ้ ขว่ด้านบน 3) นำด้ายทหี่ น่ มาใสไ่ ม้ไขว่ (ค่วย) ด้านบน 4) นำด้ายท่ีหน่ มาใสไ่ มค้ ว่ ยดา้ นล่าง 5) มดั ไมไ้ ขว่ (ค่วย) ตดิ กับเสาหลกั เพ่ือให้จบั เสน้ ด้ายในการหน่ หูก 6) ตดั เชอื กปอท่ีมดั หน่ หกู ออก 7) มัดไม้ไขว่ (ค่วย) อันที่ 2 ติดกบั หลกั

45 ภาพที่ 52 การมดั ไมไ้ ขว่ (ค่วย) อันที่ 2 ติดกับหลัก 8) การร้อยฟันหวี (ร้อยฟืม) หรือการสืบ(การต่อด้ายกรณีที่มีด้านเดิมติดอยู่กับกี่) ให้ดูแป้นฟืม เป็นการร้อยเส้นยืนเข้าช่องฟันหวี โดยวัดความยาวจากจุดกึ่งกลางของฟันหวีไปหาริม 2 ข้าง จากนั้น จึงร้อยเส้นยืนเข้าช่องฟันหวีตามความกว้างที่ต้องการ แต่ละช่องฟันหวีร้อยสอดเส้นยืน 2 เส้น จนหมด ดา้ ยหรือครบทุกช่อง ช่องริมๆ อาจสอดด้าย 4 เส้นเพอื่ ให้ริมผา้ แข็งแรง ไมม่ ว้ น เม่ือเสรจ็ แลว้ ให้ผูกเข้ากับ แกนของกงพันม้วนด้าย และนำไปขึงบนกี่เพื่อเก็บตะกอต่อไป ควรเลือกฟันหวีที่มีขนาดช่อง และความ กวา้ งเท่าทต่ี อ้ งการ 9) ตดั ด้ายที่ห่นหรือเดินเครือเสร็จแล้ว

46 ภาพที่ 53 การตัดด้ายที่ห่น 10) วธิ ีการคือสืบดา้ ยทีละคู่ โดยสืบประมาณ 1,760 เสน้ หรอื จนสดุ ฟืม 11) ตอ่ เสน้ ด้ายยนื ทลี ะเส้นจนครบหมดทุกเสน้ แล้วเอาไปประกอบกบั ก่ีเพื่อทำการทอผ้า


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook